>>416 กุว่าทำอย่างนี้มันก็ถูกแล้วนั่นแหละ การเลือกตัวหมากให้ถูกมันสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ดังนั้น pre-production มันต้องสำคัญมากๆ เพราะนี่มันเหมือนการสถานะการณ์การทำ music production แบบย่อมๆ คือในตอนทำงานยังไงมันต้องมีระบบ มีกรอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าทุกคนอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจฉัน ไม่มีกรอบไม่มีเกณฑ์ สะเปะสะปะ แล้วก็โยนภาระทุกอย่างมาให้ทีม post-production อย่าง mixer หรือ animator นี่เป็นระบบการทำงานที่ bullshit เลยนะ คือไอ้เรื่องการก้าวข้ามขีดจำกัดอะไร เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องพิสูทธ์ให้คนยอมรับก่อนว่าสามารถทำได้จริงๆ เขาจึงจะเลือก ไม่ใช่ให้มาสดเอาหน้างานคือจะทำได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ ความเสี่ยงก็สูง ถ้าทำได้ก็ดีไป แต่ถ้าทำไม่ได้ก็เจ๊งกันหมด คือง่ายๆนะถ้ากุเป็น producer ได้โจทย์มาให้โปรดิวซ์เพลงแนวร็อคเมทัลโหดๆเลือดสาด แล้วมีนักดนตรีสองกลุ่มมาออดิชั่น กลุ่มแรกใส่สูทผูกไทน์มาเล่นดนตรี disco โจ๊ะๆ แล้วกลุ่มที่สองเป็นชายชุดดำไว้ผมยาวแสกกลาง ชอบเหยียบมอนิเตอร์แล้วร้องว๊าก เป็นกุคงเลือกกลุ่มที่สองโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย เพราะกุคงไม่มาเลือกกลุ่มหนึ่งแล้วมาบอกว่า ‘นี่มึงลองก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองดูสิลองไปเล่นแนวเมทัลดูเผื่อรุ่ง’ เนี่ยเห็นมั้ยว่าการเลือกหมากผิดตั้งแต่แรก ความชิบหายมันก็รอมึงอยู่แล้ว คืองานมันจะออกมาดีไม่ดีมันก็อยู่ตั้งแต่ตอน เลือกเพลง เลือก script แล้วเพราะมันเป็นเหมือนการตั้งแนวทาง เป็น pre-production เป็นการตั้งเข็มทิศเอาไว้ ถ้าเกิดมันชี้ไปผิดทางตั้งแต่ต้น งานมันก็ออกมาเละเทะ ไม่ราบรื่นมีแต่ปัญหา ต้องคอยให้ฝ่าย post-production มาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปตลอด แบบนี้เป็นระบบงานที่ห่วยแตก bullshit เพราะมันเดินผิดทางมาตั้งแต่ต้น ที่เหลือมันก็ส่งผลตามกันมาหมดเป็น butterfly effect แบบนี้ก็ยากที่ปลายทางจะออกมาดีได้