>>352 กูอ่านแล้ว 90% กูว่าจริง
ปัญหาจริงๆ ของการศึกษาศิลปะในไทยมันอยู่ที่ระบบ แบบอุปถัมถ์ ทำตามกันมา แบ่งพรรคแบ่งพวก อิจฉาขัดแข้งขา ทำเองโชว์กันเองอวยกันเองให้รางวัลกันเองอยู่ในอ่าง มันไม่ได้มีองค์ความรู้อะไรในการสอน แต่เป็นการลอกๆตามๆ กันมาของรุ่นพี่รุ่นน้อง พยายามยัดเยียดให้เด็กหาสไตล์ให้ได้ทั้งที่ฐานรากไม่มี คนทำงานศิลปะก็ใจแคบขัดขากันเอง แทนที่จะช่วยกัน เป็นอาจารย์เดี๋ยวนี้ต้องทำป.เอก ขอถามว่าคนที่เป็นศิลปินเขียนงานขายสบายๆ อยู่แล้วใครจะมานั่งทำผลงานทางวิชาการวะ ส่วนคนที่เก่งจริงๆ ก็ไม่ค่อยยอมมาสอน โอ๊ย เยอะแยะ...
ตายไปชาตินึงก็ไม่รู้ว่า ระบบการศึกษาศิลปะบ้านเราจะเปลี่ยนมั้ย มันสิ้นหวังจริงๆ นะ เผลอๆ ไปเรียนออนไลน์กับฝรั่งยังได้อะไรมากกว่า
ลองหันไปดูประเทศจีน วางระบบการศึกษาไว้แบบแน่นมาก ทุกคนต้องพื้นฐานต้องแน่นก่อน แน่นขนาดไหนเอาเป็นว่าเด็กติวเอนทรานซ์ฝีมือยังดีกว่าเด็กจบป.ตรีศิลปะบ้านเราอะ แต่ที่จีนก็มีสูตรในการสอน คือเด็กต้องวาดตามสูตร วาดมา 300 คน แนวเดียวกันหมด ต่างกันที่วาดใครจะวาดตามสูตรได้เก่งกว่ากัน ถ้ามึงไปดูงานฝรั่งเด็กติวเอนทรานซ์ คือ เด็ก 30 คน ออกมา 30 แบบไม่เหมือนกันเลย แต่ฝีมือไม่เท่าจีน ซึ่งไทยก็ตามแนวฝรั่งคือ เน้นให้มีแนวของตัวเอง แต่เผอิญถ้าฐานไม่แข็งพอจะพยายามเค้นสไตล์มันก็ไม่ออกอยู่ดี สรุปว่า ฝีมือก็ไม่ได้ แนวความคิดก็ไม่ได้ เด็กจบมางูๆปลาๆ มึนๆกันไปกลับไปช่วยแม่ขายของที่บ้านเหมือนเดิม (ไอ้พวกพรสวรรค์ 5% นี่ขอไม่พูดถึง เพราะพวกนี้ไปเกิดอยู่ไหนก็รุ่งอยู่แล้ว)
เมืองไทยเน้นหาช้างเผือก แต่ไม่มีระบบที่จะช่วยสร้างช้างเผือกให้มีกันมากๆ ให้วงการมันเฟื่องฟู
บางทีหาช้างเผือกได้แล้ว ไม่ใช่พวกตัวเองก็ไม่ได้สนับสนุน ต้องดิ้นรนไปดังกันที่เมืองนอก และนโยบายบ้านเราก็เอื้อเรื่องการส่งงานศิลปะไปแสดงที่เมืองนอกซะเหลือเกิน มีศิลปินที่คนแล้วที่ส่งงานไปแสดงแล้วพองานกลับไทยต้องไปจ่ายค่าภาษีงานศิลปะของตัวเองเป็นหมื่นๆ ตอนหลังคือถ้าแสดงงานต้องไปทำเรื่องเอกสารขอยกเว้นภาษีไว้ก่อน แต่ก็มีคนที่ไม่รู้โดนอยู่เรื่อยๆ
กุพล่ามซะยาว