>>302 ตอบรวมเรื่องๆว่ากูไม่เชื่อเพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับ และไม่สมเหตุสมผลละกัน
ตอนเด็กส่วนมากก็เชื่ออยู่แล้ว เพราะผู้ใหญ่เค้าเชื่อก็เลยเชื่อๆตามเค้า พอโตขึ้นได้เรียนรู้ว่าบนโลกนี้มันก็มีความเชื่ออื่นๆที่แตกต่างจากเรา
แล้วไม่มีทางที่ทุกความเชื่อของทุกคนจะเป็นความจริงได้อยู่แล้ว เพราะแต่ละคนก็เชื่อไม่เหมือนกัน
เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติต่างๆที่เล่าๆกันมาก็มักจะสอดคล้องกับความเชื่อของคนเล่า/คนที่ประสบพบเจอ แถมไม่มีหลักฐานชัดเจนอีก
แต่ "เรื่องทุกอย่างต้องอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์" ถ้าตีความตามตัวอักษรแล้วจะหาเรื่องโจมตีมันก็มีช่องโหว่อยู่
กูคิดว่าคำที่ตรงกว่าคือกูเชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุผลละกัน เพียงแต่บางอย่างก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้เพราะไม่มีหลักฐานชี้ชัด
หรือเหตุผลแบบที่กูเชื่อ บางอย่างมันก็แค่เกิดจากปัจจัยเล็กๆน้อยๆหลายอย่างที่ควบคุมยากหรือควบคุมไม่ได้ประกอบกัน
เรียกง่ายๆคือความบังเอิญ ซึ่งในมุมของคนเชื่อเรื่องลึกลับได้ฟังไปก็คงไม่ยอมรับว่านี่คือเหตุผลอยู่ดี
ยกตัวอย่างเรื่องไม่สามารถพิสูจน์ได้เพราะไม่มีหลักฐานชี้ชัด อย่างเช่นวันนึงมีคนบอกว่าเข้าไปในบ้านร้างแล้วเจอผี
แต่ความเป็นจริงคือมีคนแต่งตัวเป็นผีไปซุ่มรอมาแกล้งมัน แล้วจะให้กูเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ให้ได้
แต่ไอ้บ้านร้างที่ว่าอยู่ห่างไกลชุมชน รอบนอกแถวนั้นหรือในตัวบ้านไม่มีกล้องวงจรปิด เหตุเกิดตอนที่คนเจอผีเข้าไปคนเดียว
มันก็เหมือนไปสืบคดี แล้วของแบบนี้ถ้าคนแกล้งไม่ได้เผลอทิ้งหลักฐานไว้ชัดๆ เช่นลืมชุดผีทิ้งไว้ในบ้านร้าง
มันก็พิสูจน์อะไรต่อไม่ได้ รอยเท้า/ร่องรอยยานพาหนะเฉยๆก็ไม่ได้มากพอจะพิสูจน์ว่าเป็นคนที่มาแกล้ง หรือแค่ของคนที่มาลองของคนอื่น
ยกตัวอย่างเรื่องความบังเอิญ เช่นคนไปขโมยของ ระหว่างกำลังขนของหนีโดนฟ้าผ่าตาย
ในมุมคนที่เชื่อ ก็คงมองว่าขโมยโดน พระเจ้า/เทพ/กฏแห่งกรรม ลงโทษ ทั้งที่ของแบบนี้มันไม่มีเหตุผลเชื่อมโยงกัน
คนที่ออกไปอยู่กลางแจ้งคนอื่นที่เค้าหากินสุจริตก็ซวยโดนฟ้าฝ่าได้เหมือนกัน
แล้วพอยกตัวอย่างเรื่องแบบนี้ คนที่เชื่อมากๆก็จะเอาเรื่องพิสูจน์ไม่ได้อย่างอื่นมาอ้าง เช่นบาปในอดีต/ชาติที่แล้วมาเป็นเหตุผลอีก