>>88 จริงๆมันก็มีทั้ง 2 ด้านแหละนะคือ สังคมไม่ยอมรับจริงๆ คือไปอยู่ในสังคมที่ไม่คุ้นชินกับพวกคุ ไม่เข้าใจพวกคุ ไม่ก็สังคมที่โดนตีกรอบมากๆ อันนี้อาจจะเจอบ่อยมากนะในตามออฟฟิศทั่วไปเลย ยิ่งออฟฟิศที่วัยผู้ใหญ่เยอะเป็นพิเศษ
อีกแบบก็ มึงมองไปที่หมาไซ แบบที่ไอ้>>68 บอก มันมีคนแบบนี้จริงๆ ที่โตแล้วแต่แบบยังเหมือนปรับตัวกับสังคมไม่ได้เท่าไร
ของกูนะ บ.ฝรั่งเศษ สังคมดีมากระดับนึงเลย สิ่งที่เขาเห็นเวลากูสั่งมังงะมาเป็น 30-40 เล่มคือ แค่ถามว่า อ่านกี่วันหมด
หัวหน้ากูตอนนั้นก็มาบ่นๆว่าสามีเขา ก็ชอบซื้อแบบนี้เลย รกเต็มบ้าน แถมไม่อ่านซื้อทำไม กุเลยขอยืมหัวหน้ามาอ่านก็มี แกก็ใจดีหิ้วมาที 30-40 เล่ม
หรือคนอื่นในแผนกเห็นเวลากุดูอนิเมะตอนแดรกข้าว ก็แค่ถามๆว่า ดูอะไรอยู่ สนุกหรอ กูก็ตอบแค่ดูเพลินๆ เขาก็ชวนกูไปดูซีรีย์ แนะนำนู่นนี่ ไรงี้
บางทีก็มีคุยๆกันในหัวข้อว่าอนิเมะตอนนี้เป็นยังไงเทียบกับซีรีย์ เพราะกูเป็นคนเดียวในแผนกที่ดูอนิเมะ คนอื่นแม่งผู้หญิงหมด เลยดูแต่ซีรีย์
กูก็บอกว่าดูอนิเมะแล้วถ้าเจอเรื่องดีๆมันก็ไม่ต่างกับซีรีย์ดีๆเหมือนกันนะ แค่ตัวแสดงไม่ใช่คนจริง แล้วยกพวก avenger มาเทียบว่า จริงๆไอ้พวกนี้มันก็มาจาก comic มาจากการ์ตูน ถ้ามองที่การวางบทแล้วอนิเมะมันมีขีดจำกัดในแต่งเติมจินตนาการได้มากกว่าหนัง หรือ ซีรีย์คนแสดง
ช่วงนั้นมี your name กูก็แนะนำให้เขาลองไปดูกัน เขาก็ไปดูแล้วบอกมันก็ดีมาก แต่สงสัยอยู่หลายจุด อะไรงี้
แต่จุดที่ทำกูลำบากใจเวลาชวนนอร์มี่ไปดูอนิเมะ หรือลำบากใจเวลาแนะนำอนิเมะให้ดู คือพวกฉากเซอร์วิสเกินจำเป็นอะแหละนะ
แต่ที่กุเคยเจอโอตาคุจังๆ เป็นลุงอ้วนๆใส่แว่น คุยปกติไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่คนเขานับถือกันแทบทั้ง บ. เพราะสกิลการใช้งาน applicationหลักของ บ. พี่แกคือ ที่ 1 แล้ว นิสัยค่อนข้างเฟรนด์ลี่ เป็นตาลุงใจดี บางทีเอามังงะมาอ่านเวลาทำงานด้วย แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรแก เพราะ ถ้าไปขอให้แกช่วยไรแกช่วยหมด สกิลแกเทพจริง เก่งจริงจนไม่มีใครสนใจเรื่องส่วนตัวแกเท่าไร แต่ก็มีพูดถึงว่าแก้บ้า อยุดี อันนี้เป็นบริษัทตอนกูฝึกงานเมื่อสักปี 2011