>>>/subculture/648/ แม่บ้านโม่งสายหนังสือ วงการนิยายไทยมีเหี้ยไรให้นินทามั้ย
>>>/subculture/890/มหกรรมแม่บ้านสายหนังสือแห่งเว็บโม่งครั้งที่ 2
Last posted
Total of 1000 posts
>>>/subculture/648/ แม่บ้านโม่งสายหนังสือ วงการนิยายไทยมีเหี้ยไรให้นินทามั้ย
>>>/subculture/890/มหกรรมแม่บ้านสายหนังสือแห่งเว็บโม่งครั้งที่ 2
สารบัญเกี่ยวไรวะเฮ้ย
ดีแล้ว กระทู้ชื่อแม่ย้านมันฝือ
ไหนๆ แล้วก็รวบรวมนิยายขวัญใจโม่งจากกระทู้ด่อนกันหน่อย
เพื่อนโม่งมีใครอ่าน don Quijote บ้างวะ
มึงงงงกูอยากถามว่าพวกนิยายกริมม์แบบฉบับดั้งเดิมที่เนื้อหาแม่งกุโระหน่อย ๆ นี่มีใครพอรู้จักไหม เอาแบบอิ๊งก็ได้ กูไปเดินดูมาที่คิโนะแม่งเยอะจนกูแยกไม่ถูกว่าอันไหนเป็นอันไหน
หนังสือเยอะพอกัน บ้านกูไม่มีคนอื่นอ่านด้วยกูไม่อยู่บ้านยังดีมีแม่ช่วยไปปัดฝุ่นชั้นหนังสือให้บ้าง กะว่าสักวันคงทำใจเอาไปบริจาคต่อ ขายต่อหรือไรก็ตามแต่ พวกหนังสือดีมีสาระยังพอ แต่โดวายนี่กูต้องเผาทิ้งก่อนตายไหมวะเนี่ย
ของกู 30000 เล่ม อ่านแล้วจำใส่หัวแล้วจะไปไหนก็ไป (ส่วนใหญ่ไปบ้านญาติ บ้านแม่บ้าน) เก็บแต่เฉพาะที่ชอบจริงๆ
ตอนนี้ก็สะสม e book อยู่นะ สบายใจดีถ้าไม่โดนแฮคเอา account ไป
การ์ตูน นิยาย นิตยสาร ส่วนใหญ่การ์ตูน
มันตกมาตั้งแต่รุ่นตายาย รุ่นแม่ รุ่นพ่อละ แล้วพอคบกับแฟนก็กลายเป็นสองบ้านรวมเป็นหนึ่ง
ปัจจุบันที่อยู่กับตัวยังหลายพัน ขนาดทยอยเลิกซื้อแล้วนะ
จริงๆอยากสะสมหนังสือเพิ่มแบบบ้านโน๊สอุดมนะ หนังสือที่มีภาพสวยๆ หนังสือรวมศิลปิน แต่สู้ราคาไม่ไหว
รู้สึกสิ้นหวังกะห้องสมุดโรงเรียนวะ พวกวรรณกรรมอะไรที่พวกโม่งๆว่ามาไม่มีเลย สามก๊กก็หาย เหลือ2เล่มจาก4 พวกอารยธรรมกรีกก็มีแค่เล่มเดียว รู้สึกอนาถจัง
ห้องสมุดโรงเรียนกูมีฮันนิบาลซุกเหงาๆอยู่มุมตู้หนังสือ สะอาดเอี่ยมมากไม่มีรอยจับหรือการยืม กูอยากจิ๊กกลับบ้านจัง
ปล.กูเคยยืมหนังสือขุนช้างขุนแผนแบบกลอนเล่มหนาๆกลับบ้าน ดูในบัตรยืมแล้ว มีกูยืมอยู่คนเดียว กูรู้สึกเศร้าแปลกๆ หรือในโรงเรียนนี้กูจะรักการอ่านอยู่คนเดียววะ
มหาลัยกูมีเพชรพระอุมายกชุด เฮสเสเกือบทุกเรื่อง แล้วก็นิยายของพวกบ้านวรรณกรรมแบบคู่กรรม ทวิภพ มีของว.วินิจฉัยกุลหลุดมาประปราย มหาลัยกูไม่มีคณะพวกสังคมหรืออักษรมีให้อ่านเท่านี้ก็ดีถมเถแล้ว
มหาลัยกูมีแต่เท็กซ์บุ้ค เศร้าแปร๊บ
กูเลิกเข้าห้องสมุดโรงเรียนตั้งแต่ชั้้นวรรณกรรมเยาวชนโดนแจ่มใสปกลูกกวาดเบียดบัง
ยังดีที่ห้องสมุดมหาลัยยังมีหนังสือแบบที่กูชอบให้เสพย์
เพื่อนโม่งช่วยนิยาม+ยกตัวอย่างหนังสือที่เข้าข่ายขยะวรรณกรรมให้กูฟังหน่อยดิ อยากอ่านความเห็นว่ะ
พี่ครับ ผมมาจากต่างจังหวัดกำลังจะไปงานหนังสือ
อยากทราบว่าพอขึ้นที่สถานีสิริกิตแล้วต้องนั่งรถต่อไปอีกไหมครับ
ตอนนี้อยู่บนรถทัวร์กำลังจะถึงหมอชิต
กูไม่ตบมุกมึงนะ
LNเกือบทุกเรื่องในไทยก็เข้าข่าย ยิ่งของfuckpimนี่ยิ่งใช่
>>23 http://writer.dek-d.com/say-u/story/view.php?id=1211829
เอาอันนี้ไปอ่านแล้วจะร้องสัตว์ออกมา
พอเถอะนะโม่งจ๊ะ มาคุยเรื่องนิยายดีๆดีกว่านะ
เออเปิดประเด็นที่มันเข้าท่าใหม่ดิ...
ไอ้เรื่องประเด็นด่าๆนี่บ่อยไปก็ท้อ
เพราะด่าจนใจตัวเองขุ่นมัว
ช่วงนี้นิยายมาใหม่ไรที่น่าสนใจบ้าง ไม่ก็นักเขียนรุ่นใหม่ๆที่สำนวนเข้าท่าอ่ะ แนะนำหน่อยสหายโม่ง
ทำไมคนชอบมาถามหาอะไรใหม่ๆวะ เก่าๆมึงอ่านกันหมดแล้วหรอไง
วัฒนธรรมหนังสือมันเลยจุดสูงสุดมาครึ่งศตวรรษแล้ว มาตามหาหนังสือใหม่ๆมึงก็ได้แต่ขยะนั่นแหละ
>>36 มึงจะให้กูจมกับอะไรเก่าๆหรือ ถึงกูจะอ่านมันยังไม่หมดก็เถอะ
ถึงนิยายเก่าๆมันจะดีมันจะเป็นยุคทองแต่อะไรเก่าๆก็ไม่มีบรรยากาศแบบสมัยใหม่ ไม่มีอารมณ์แบบที่เจอตอนอ่านสมัยใหม่ และก็เพราะส่วนใหญ่มันมักเขียนห่วยเนี้ยแหละ คนถึงต้องถามว่า แบบใหม่ๆมีอันไหนดีบ้างจะได้หามาอ่าน
>>36 การอ่านของกูมีสองแบบคือ อ่านเอาเรื่อง กับอ่านเอาภาษาว่ะ และกูไม่เคยนับว่าสิ่งพิมพ์เป็นขยะ เมื่อก่อนกูก็เคยด่าเหมือนกันเรื่องขยะวรรณกรรมนี่ แต่ผ่านไปซักพักกูคิดว่าการอ่านมันอยู่ที่รสนิยมว่ะ คนเราไม่สามารถชอบอะไรเหมือนกันได้ งานเขียนที่บอกมาว่าขยะๆแต่เสือกขายได้คือแม่งตรงกับรสนิยมที่คนๆนั้นอ่านเว้ย บางคนชอบแนวตบจูบ บางคนชอบเรื่องลึกลับ งานกากงานดีก็แล้วแต่คนนั้นจะมองวะ
การที่กูชอบอะไรใหม่ๆ คือกูอยากเปิดรับมุมมองใหม่ๆ บ้าง ไม่ใช่ตีกรอบกันตัวเองให้อยู่ในคอก ท่องให้ขึ้นใจว่าสิ่งที่กูอยู่คือสิ่งที่ดีงาม ข้างนอกแม่งสวะ
การอ่านมันคือรสนิยม อย่าเอาคอกมากกั้นกู
//ถอนสายบัว
มีใครเคยอ่านงานของ วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา ไหมเพื่อนโม่ง
กูอ่านแต่กิ่งฉัตรกับอ.วินิดา แม่มไม่ค่อยรู้เรื่องหนังสืออะไรเล้ย
ไปดูในโม่งคอมมูตอนนี้สิ ถ้ามึงบอกว่าแบบนั้นไม่ใช่ขยะวรรณกรรม(คอมมู) กูก็นับถือมึงเลย แต่งเรื่องได้แบบไม่หาข้แมูล จะเอาแต่พลังมโนของตัวเองอย่างเดียว แถมเขียนขัดกันเองอีก แม่งขยะชัดๆ
ไม่รู้สินะ สำหรับกูคือ นิยายมันควรจะนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ว่ะ ไม่ใช่มีแต่พล็อตแนวเดิมรูปแบบเดิมซ้ำซากอะมึง เหมือนละครเนี่ย พล็อตเดิมตบจูบน้ำเน่า วนลูปสัส
แต่นำเสนอสิ่งใหม่นี่ ต้องดีด้วยนะมึง ไม่ใช่อะไรห่วยๆ ออกมา คือของพวกนี้มันเหมือนเป็นสื่ออย่างนึงปะวะ มันมีอิทธิพลกับคนอ่านว่ะ
หนังสือบนโลกมีเป็นล้านๆเล่ม
ถ้าเอาแค่นิยาย Plot มันจะซ้ำกันก็ไม่แปลก
แต่มันมีความต่างอยู่ที่การนำเสนอ การบรรยาย การพรรณนา
การคิด Character และเสน่ห์ของการดำเนินเรื่องปลีกย่อยอีกร้อยแปดทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์
ถ้าเอาแค่แฟนตาซีไทย
กรูก็เห็นตั้งแต่ยุคบารามอสเฟื่องฟูแล้วนะ (เรียกว่าแนวโรงเรียนแล้วกัน)
การบรรยายงี้มาในแนวทางเดียวกันหมดเลยหวะ...แต่ไม่เข้าท่าสักเรื่อง
ไอ้เรื่องได้รับอิทธิพลจากงานเขียนนู่นนี่นั่นก็เข้าใจ
แต่ถ้ากระทั่งเอกลักษณ์ยังแสวงหามาไม่ได้มันก็ขายคนอ่านที่ผ่านตางานเขียนแบบนี้มาเยอะๆไม่ได้หรอก
อารมณ์ประมาณแบบ...ผ่าน plot แบบนี้มาแล้ว มุกนี้แม่งดาษดื่น
บรรยายก็คล้ายๆกัน พรรณนาก็แนวทางเดียวกัน....
gen 2 ก็คงเป็นแนวออนไลน์
ซึ่งกรูก็ไม่เข้าใจว่า 80% เป็นเหี้ยไรมากกับ Plot สัตว์อัญเชิญเพศหญิง
เหมือนสร้างฮาเร็มกลายๆ
แต่ถ้าถามว่านักเขียนแฟนตาซีไทยคนไหนยำ Plot ได้เก่งสุด
กรูคงตอบแสงจันทร์แบบไม่ลังเล...
พล็อตแนวออนไลน์กูว่ามันมาในช่วงกระแสบุฮี้ฮาเร็มด้วยวะมันก็เลยเข้าทำนอง เข้าเกม โชว์เทพ ตกหญิง เซอร์วิส
เอาจริงกูว่าตั้งแต่แรกเลยนิยายไทยส่วนใหญ่แม่งก็ลอกมาหมด ขนาดรุ่นใหญ่ๆแม่งยังลอกเลยแบบคึกฤทธิ์(ยอมรับเลยว่ากูเสียความรู้สึกสัส)
แล้วลอกนะไม่เท่าไร ลอกแล้วยังเสือกทำให้เป็นแบบฉบับตัวเองไม่เป็น ก็ได้แต่วนเวียนอยู่กะพล็อตขายฝัน การบรรยายห่วยแตกนั้นละ
แต่ก็เสือกขายดีเพราะคนอ่านส่วนใหญ่แม่งเป็นเด็กที่ไม่ได้อ่านเยอะพอจะเทียบไรได้
กูเคยอ่านเจอว่าพล็อตเรื่องบนโลกมีซ้ำกันอยู่ 25 แบบ อยู่ที่วิธีนำเสนอออกมาว่าแตกต่างยังไง อย่างแฮร์รีก็เป็นพล็อตซ้ำชนิดหนึ่ง เช่นพระเอกมีพลังพิเศษ เป็นคนในคำทำนายว่าจะปราบตัวร้าย มีความกล้าหาญและเสียสละ แต่มันก็ยังสนุกเพราะขายความแตกต่าง โรงเรียนเวทย์มนต์ แฟนตาซี หาข้อปกปิดและสร้างโลกได้เจ๋งมากจนมีคนหลายล้านคนอยากเป็นส่วนหนึ่งในโลกแฮร์รี่ (กูด้วย) บรรยายก็สนุก มุกตลกแบบอังกฤษก็ไม่ได้ทำให้คนไม่สนุกเลย
อีพล็อตออนไลน์นี่มันดังเพราะอะไรวะ มันเป็นกระแสแทนโรงเรียนเวทมนต์ไปตอนไหนเนี่ย
ไม่อ่านเอาเนื้อเรื่องก็อ่านเอาภาษาบางเรื่องแม่งไม่มีดีสักอย่างแต่ยังเสือกได้ตีพิมพ์ นี่กูควรทำยังไงกับมันดีวะ
ตอนกูซื้อกูก็คาดหวังสักอย่างเหมือนกัน ไม่ต้องครบ แม่งมีสักอย่างก็พอ .....แต่เสือกไม่มี.... กูควรเรียกว่าอะไรดีวะ
พล็อตของแฮรี่มันแทบทำตามขนบในheroes with a thousand faceเลยนะ มึงลองอ่านดูจะรู้เลยว่าฮีโร่แต่ละคนมีแนวทางที่เป็นแบบแผนมาเป็นพันๆปีแล้ว เป็นหนังสือที่ดีมากๆะล่มหนึ่งเลย
งานใหม่ๆ กูอ่านแต่ของลวิตร์... แต่ถ้ามึงจะเอานิยายแปลด้วยก็ได้หลายเล่มนะ ถ้าเอาแบบหนาปึ้กๆ ร่วงใส่หน้าแล้วตายห่าก็ต้อง World without end ของ Ken Follet มีแปลไทยแล้ว ตอนกูอ่านหนุกมากๆ วางไม่ลง
กูอ่านนิยาย LN บางเล่มแล้วก็อิจฉาในความเปิดกว้างของตลาดสิ่งพิมพ์ญี่ปุ่นนะ บางเรื่องกากหมาสัดๆ มีแต่ตลกฝืดกับตัวละครหญิงไว้บุฮี้ก็ขายออกแล้ว ได้แปลขายตปท.ด้วย กูริษยา
กูชอบคำว่า "การอ่านมันคือรสนิยม อย่าเอาคอกมากกั้นกู" นะ แต่มึงก็ต้องเข้าใจด้วยของเหี้ยก็คือของเหี้ย ถึงคนชอบมันก็เหี้ย บางครั้งเราจะแดกของเหี้ยๆบ้างมันก็ไม่แปลก แต่ถ้าแดกเยอะๆไป หรือเห็นเหี้ยกลายเป็นดีมันก็ไม่ไหว
มาทีกูซื้อlnกากสัสหมามาเพื่เสพสมภาพกับอวยตัวละคร
เออ นอกเรื่องนิด ใครเป็นนักเขียนบอกกูทีว่าเนื้อหาของเรื่องสั้น (?) ในกระทู้นี้แม่งเป็นความจริงอ่ะป่าว http://pantip.com/topic/32778679
ถ้าจริงกูก็ไม่แปลกใจที่ทำไมนิยายไทยพล็อตมันซ้ำซากเยี่ยงนี้ เกิดจากการคัดสรรของบก.เองนี่หว่า...
คือการอ้างคำว่ารสนิยมนี่ มันหมายความว่า ถ้ามีคนชอบกินขี้ บอกว่าขี้คืออาหารชั้นยอด คือสิ่งดี แล้วมาพูดใส่หูคนอื่นว่ากินขี้กันเหอะ ดีนะ
กูต้องยอมรับหรอวะ
กูว่าถ้ามีคนชอบกินขี้ แล้วมันพร่ำพรรณาของมันอยู่คนเดียวว่าขี้แม่งดี ประเสริฐงั้นงี้ ไม่เอามายัดเยียดใส่หน้ากู กูก็รับได้นะ เพราะเป็นเรื่องของมัน
แต่ถ้าเอามาชักชวน กูตบใส่แม่ง
>>63 ก็นิยายที่ขายดีที่สุดเป็นนิยายเยิ้บนี่หว่า พวกป้าๆนี่กำลังซื้อเยอะ กูเคยเห็นป้าคนนึงเข็นรถเข็นผ่านหน้าไปในนั้นแม่งมีแต่นิยายเยิ้บ พอกูไปยืนหน้าบูธที่ป้าเขาซื้อ คนขายรีบแนะนำเรื่องนี้ขายดีมากค่ะ ฉากเรททุกฉากทุกตอนจุใจ เป็นเรื่องของนางเอกถูกขายเป็นโสเภณีเพื่อใช้หนี้ให้ครอบครัว อีกเรื่องก็พระเอกแค้นครอบครัวนางเอกเลยหลอกนางเอกมาเย็ด.......นี่มันอาชญากรรมชัดๆ
มันแยกระหว่างความชอบกับประโยชน์ได้นะ อย่างฟาสฟู้ดนี่กูว่าอร่อย แต่ถ้าบอกว่สมันมีประโยชน์เท่ากับสลัดนี่กูว่าไม่ใช่
วรรณกรรมก็เหมือนกัน มันแยกองค์ประกอบได้ว่าส่วนใหนดีไม่ดี เช่น ภาษา พล็อตเรื่อง ข้อมูล/ความสมจริง การผูกเรื่อง/ปริศนา-การเฉลย มิติตัวละคร หรือจรรยาบรรณ เช่น การลอกงานคนอื่น การโขมยงาน นีกเขียนผี ฯลฯ
ควาสชอบมันก็ส่วนหนึ่ง อย่างกูเองก็อ่านนิยายเด็กดีฆ่าเวลา แต่กูก็ไม่ปฏิเสธว่ามันนิยายขยะ แกรี่สนองนีดคนแต่ง มีส่วนน้อยที่กูคิดว่าพอไปวัดไปวาได้ แต่ก็เทียบกับนิยายขึ้นหิ้งไม่ได้อยู่ดี
>>69 นักเขียนชื่อทรรศิกาของแจ่มใส ลอกงานแบบเอาภาษาบรรยายเรื่องตามรักคืนใจของกิ่งฉัตรมาใส่ในงานตัวเอง แล้วหลังจากนั้นก็มาเกรียนจับผิดว่านิยายเรื่องสูตรสเน่หาของกิ่งฉัตร ลอกซีรี่ยส์เกาหลีเรื่อง Witch Yoo hee แต่จริงๆสูตรสเน่หาตีพิมพ์ก่อนตั้ง 3 ปี
อันนี้ตลกจริง ก๊อปรุ่นใหญ่แล้วมาหาเรื่องเขาต่อ ตัวเองไม่เจ๋งจริง ข้อมูลก็ไม่แน่น
dear เพื่อนโม่งที่รัก
กูถามชื่อนิยายเรื่องนึงหน่อยดิ กูจำได้แบบเลือนลางมาก
เผื่อมีใครเคยอ่าน เป็นนิยายญี่ปุ่นอะ นางเอกชื่อประมาน คิระ รึอะไรแบบนี้อะ
แล้วเหมือนนางเอกจะได้แชท รึเมล์คุยกับเพื่อนคนนึงในเนตอะ
ซึ่งน่าจะเป็นดาราที่นางชอบพอดี รึไงประมานนี้อะ
ใครช่วยกูบอกชื่อเรื่องได้กูขอกราบงามๆทีนึงนะะ
ของไต้หวันมีดังๆคือเรื่องพิภพพญามังกรภาค3ที่ไปลอกฉากสงครามของเรื่องอื่นมา อันนี้สนพ.เจ็บปวดมาก เพราะลงทุนไปกับเรื่องนี้เยอะแล้ว แถมยังพิมพ์ล็อตใหญ่มาเพื่องานหนังสือีก แต่ดันขายไม่ได้เพราะไปลอกงานคนอื่นเขามา คนเขียนก็ถูกขับไล่ออกจากวงการ ตอนนี้ไม่รู้ไปใหนแล้ว
ของญี่ปุ่นเร็วๆนี้ก็มี แต่เป็นการดราฟท์งานของคนว่างno game no life ซึ่งคนวาดปกดันเป็นคนแต่งเรื่องด้วย แต่อันนี้เรื่องเงียบไปแล้ว ไม่รู้เอาไงต่อ
ของไทยดังๆก็มีกาเหว่ที่บางเพลงของหม่อมคึกฤทธิ์ กับอีกอันที่ไปลองราโชมอนมาแล้วใส่องค์ประกอบเพิ่มเติมนิดหน่อย พวกเกมออนไลน์ในเด็กดีหลายๆเรื่องก็ลอกเรื่องอื่นมา ป่าละเมาะนี่ก็ลอกมาเยอะ แต่ออกตัวก่อนว่าลอกมา เลยไม่โดนอะไรมั้ง
http://www.happybanana-online.com/v3/talkboard_view.php?subject_id=0003903&v=1
เคสนี้ใช่ไหม พิภพพญามังกร โหดโคตร
>>83 นางเอกชะตาอาภัพถูกไล่ออกจากบ้าน มาทำงานร้านอาหารของสองผัวเมียคนไทยในอเมริกา(?) ทีนี้พระเอกที่เป็นมาเฟียแม่งมาทานข้าวร้านนี้ไง นางเอกก็กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าไปเสิร์ฟอาหารให้ แต่พระเอกเห็นแล้วเสือกถูกใจนางเอกให้ลูกน้องไปถามเจ้าของร้านว่านางเอกขายหรือเปล่า ฝ่ายเมียอ่ะไม่ขาย แต่ฝ่ายชายที่เป็นผัวติดหนี้อยู่เลยไปตกลงเจรจา แล้วส่งตัวนางเอกให้ไปที่คาสิโนซักที่ อินางเอกก็ใส๊ใส ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาจะพาตัวเองไปทำอะไร พอเข้ามาเจอพระเอก อีพระเอกก็จะปล้ำเลย ใส่ถุงยางเรียกร้อย มารู้ว่านางเอกบริสุทธิ์ตอนเสียบไปแล้วนี่แหละ เลยถอดถุงยางออกเพราะสำนึกผิด อินางเอกก็โดนข่มขืนเสร็จแล้ว หลังจากนั้นกูก็จำไม่ได้ข้ามไปแค่เพื่อนนางเอกแนะนำให้นางเอกไปทำงานที่ไร่ที่ตัวเองหรือแม่ตัวเองนี่ล่ะทำงานอยู่ นางเอกก็ไปผ่านไปไม่กี่เดือนแม่งพบว่าตัวเองท้อง
นางก็เลยอยู่จนคลอดลูกแล้วเลี้ยงลูก ทีนี้กลับมาทางฝั่งพระเอกตั้งแต่นางเอกหายไปแม่งก็ตรอมใจพร่ำเพ้ออย่างู้นอย่างงี้ จนไปประสบอุบัติเหตุร้ายแรงต้องพักรักษาตัว แล้วที่พักคือไร่ที่นางเอกทำงานอยู่ เพราะนั่นเป็นไร่ของแม่มัน ตอนมาก็มาแบบหนวดเคราดกงามรกรุงรัง เจอนางเอกคือจำได้เลยแต่อยู่นิ่ง ๆ ไว้ ส่วนนางเอกนี่ไม่รู้แต่เอะใจว่าทำไมชื่อมันดูคุ้น ๆ แค่ยังไม่เห็นนามสกุลเลยไม่อะไรมาก จนวันหนึ่งเอาอะไรซักอย่างไปให้นี่ล่ะ แล้วไปเห็นเอกสารลับวางอยู่ในห้องเห็นชื่อเลยรู้ว่าเป็นพระเอก จะตกใจหนี อิพระเอกโกนขนโกนเผ้าก็ออกมาจากห้องน้ำดักรอแล้ว
แล้วก็ลงท้ายแบบเดิม ๆ
เออ กูลืมไปมีฉากพ่อลูกอาบน้ำกัน แล้วลูกถามว่าทำไมค**คุณพ่อใหญ่จังเลย..........
พระเอกชื่อแดนเนียล ชื่อเล่นชื่อพอล
" อีพระเอกก็จะปล้ำเลย ใส่ถุงยางเรียกร้อย มารู้ว่านางเอกบริสุทธิ์ตอนเสียบไปแล้วนี่แหละ เลยถอดถุงยางออกเพราะสำนึกผิด อินางเอกก็โดนข่มขืนเสร็จแล้ว " <<< สำนึกผิดเลยถอดถุง? ตรรกะโลกไหน?
นี่กูเห็นคนแชร์มาในทวิตกูเลยกดเข้าอ่าน ชีวิตกูแบบโลกกูพังลงแล้ว
กูอยากรู้มากกว่าว่าใครเป็นคนแจ้งแบน
http://writer.dek-d.com/say-u/story/view.php?id=1133921 เลยเข้าไปอ่านอีกเรื่องของคนเขียวเดียวกันดู เห็นจั่วหัวไว้ว่าผ่านการพิจารณา สนพ อินเลิฟ นี่แปลว่าจะได้ตีพิมพ์แล้วเรอะ
พูดตามตรงกูอึ้งมากถ้างานนี้จะได้ตีพิมพ์จริงๆ กูอ่านมาสี่ตอนจับใจความห่ารากไรไม่ได้เลย มาถึงก็มาเที่ยวญี่ปุ่นไม่มีปีไม่มีขลุ่ย ไม่มีการบรรยายกูยังงงอยู่เลยตัดฉับๆซะกูจับใจความไม่ได้ ตัวละครพูดจาประดิษฐ์มากกกกก ดูไม่เหมือนคนเลยว่ะ แถมเขียนไม่รู้เรื่องอีก อ่านทวนสามรอบก็ยังไม่เข้าใจเลยว่ามันพิมว่าอะไร เช่น "นี่สินะนางแบบรุ่นพี่ที่เคยได้เป็นคู่นอนของเขาได้รับจนถึงขนาดเอาไปเพ้อ พอเขาเรียกตัวหล่อนมารุ่นพี่ถึงกลับไม่พอใจ" << ประโยคนี้แปลว่าไรวะ ใครไม่พอใจใคร นางแบบอายุมากกว่าเป็นรุ่นพี่หรือแฟนนางแบบเป็นรุ่นพี่ของพระเอก(แล้วรุ่นพี่อะไรก็ไม่รู้ก่อนหน้านี้ไม่มีเปรยถึงแต่อยู่ๆก็มาใส่คำว่ารุ่นพี่) ใครเป็นคู่นอนใคร ตกลงประโยคนี้มีคนกี่คน กูงง งงจนพิมเองยังไม่รู้เรื่องเลย
บทบรรยายทื่อชิบหาย อธิบายแค่ว่าพระเอกหล่อ ตาสีไร หุ่นเป็นไง ตบท้ายด้วยสาวๆกรี๊ดสลบ นางเอกหน้าตาเป็นไงไม่รู้เท่าไหร่ รู้แค่ตัวเล็กผิวสีน้ำผึ้งแต่ใส่ความคิดคนเขียนมาว่าดูแล้วไม่น่าเบื่อ คือแม่งนามธรรมมากๆดูแล้วไม่น่าเบื่อมันเป็นไงวะ แต่ละตอนก็สั้นชิบหายอ่านไม่ถึงสองนาทีก็จบตอนแล้วอ่ะ ยังกับตอนนึงมีหนึ่งหน้ากระดาษ กูอ่านถึงตอนสามมีฉากเยิ๊บกันละ บรรยายได้ห่วยแตกสิ้นดีไม่มีอารมณ์ร่วมเลย มีแต่ ฉันทนไม่ไหวแล้วค่ะ ช่วยด้วย และเขาเข้าเติมเต็มให้ทันทีอย่างรวดเร็วและร้อนแรงจนแทบระเบิด....จบ อืมนะ ขนาดชื่อตอนยังมีชื่อแบบว่า "ตอน พี่ริวอ่ะ^//^ หรือ ตอน อร๊าย พี่เรียว \\*o*//" มันดูแปลกดีว่ะ
แต่ที่แย่ที่สุดมันคือแม่งไม่มีความสมเหตุสมผลเลย อยู่ๆเจ้านายอยากไปญี่ปุ่นจะพานางเอกที่เป็นเพื่อนซี้ไปด้วย เรียกนางเอกมาคุยแล้วบอกห้ามปฏิเสธนะ ต้องไป จะเซ็นหยุดงานให้(นี่คือความคิดของผู้บริหารนะ จะออกเงินให้ลูกน้องไปเที่ยว งานการไม่ต้องทำ ออกแนวงานน่ะช่างมันเถอะ อยากเที่ยว ถามจริงบริษัทไม่เจ๊งหรอวะ ความคิดยังกะเด็กเอาแต่ใจอยากได้ไรต้องได้งั้นแหละ) แล้วก็ตัดไปวันเดินทางเลยกินอยู่ฟรีเจ้านายเลี้ยง แถมยังมีการจะพาไปซื้อเสื้อผ้าให้ ถามจริงนี่เพื่อนหรือป๋าวะ ตลกป่ะทุ่มซะขนาดนี้ ผิดวิสัยไปหน่อยมั้ยอ่ะหรือเพื่อนกันเค้าเลี้ยงดูปูเสื่อแบบนี้เป็นปกติ(คือเพื่อนจ่ายตั้งแต่ค่าเดินทาง ค่าเครื่องไรงี้เลยนะ นางเอกแม่งโชคดีบ้า) แล้วพระเอกเจอหน้านางเอกครั้งแรกอยู่ๆก็อยากได้นางเอกซะงั้น ไม่รู้ทำไม ไม่มีเหตุผลนางเอกไม่ได้ทำอะไรแค่สวัสดีเองแต่แม่งอยากได้แบบหมกมุ่นเลย คือไม่เข้าใจอะไรจะขนาดนั้น แค่แม่งนึกถึงก็แข็งแล้ว (มันไม่ได้บอกงั้นนะแต่บทบรรยายมันพาคิดจริงๆ อ่านท้ายๆตอนสี่ดู) เห้อ
รวมๆแม่งเหมือนมีคนมาสรุปตัดจบให้กูฟังมากกว่าที่กูกำลังอ่านนิยายอ่ะ แถมเป็นสรุปตัดจบที่เห่ยน่าดู กูคาใจจริงๆมันไม่สนุกเลยแต่กำลังจะได้ตีพิมพ์ เป็นไปได้ไงวะ นิยายอีโมติค่อนยังสนุกกว่าอีกนะ
กูไม่อ่านต่อละ ไปๆมาๆมันออกแนวลามกโรคจิตไงไม่รู้ ไอการที่พระเอกมายืนคาดเดาสัดส่วนนางเอกนี่มันก็......พระเอกนี่ยังไงก็จะเยิ๊บนางเอกให้ได้เลยว่ะ ดูเชิงแล้ว
กูอ่านนี้แล้วรู้สึกมวลมนุษยชาติกำลังจะล่มสลาย
นิยายท็อปแฟนตาซีเด็กดีแม่มก็สัสหมาพอๆกับนิยายรักแหละมึง นิยายรักท็อปบางเรื่องถ้าดวงมึงดีมึงจิ้มไปก็มีแบบที่ไม่มีเยิ้บนะเว้ย
แต่แฟนตาซีนี่แม่ง 9ต่อ10แม่งออนไลน์ล้วนๆ
>>100 http://writer.dek-d.com/matsuo_masahiro/story/viewlongc.php?id=1070018&chapter=69
ทดลองแปะ 1 ใน 2 นิยายที่ไม่ใช่ออนไลน์ที่ติดท็อปแฟนตาซี
แล้วทีนี้ช่วยบอกหน่อยนะคะว่า บทบรรยายตรงนี้แม่งหมายถึงอะไร เพราะสกิลภาษาไทยกูห่วยไปเองหรือบทบรรยายมันแปลก ๆ
เขาเลยเป็นหนึ่งในนักเรียนชายที่ใส่ชุดนักเรียนได้ดูดีที่สุดคนหนึ่งในโรงเรียน
คือตรงนี้เนี่ยคนเขียนจะสื่อว่าอะไร? จะสื่อว่าพอถอดเสื้ออกมีหุ่นดี เลยกลายเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ใส่ชุดนักเรียนแล้วดูดีคนหนึ่งในโรงเรียน? หรือจะเป็นอย่างที่ว่า ว่า แม่งดูดีที่สุดในโรงเรียน
กูงงกับอันนี้มาก
และคนเขียนเขาตั้งใจเขียนใช่ไหมวะ? อย่างน้อยช่วยจัดหน้าหรือเปลี่ยนขนาดฟอนท์หน่อยก็ไม่ได้เหรอ หรือยุ่งจนไม่มีเวลา
ปล. กูแต่งนิยายแฟนตาซีในเด็กดีเจอมึงด่าแบบนี้นี่กูสะดุ้งเลย แต่นิยายกูไม่ติดท็อปน่ะ แล้วไม่ใช่แนวออนไลน์ด้วย
>>103 ถ้าอ่านประโยคที่มึงยกมาอย่างเดียวนี่ไม่งงนะ อ่านแล้วเข้าใจว่าเป็นหนึ่งในคนที่ใส่ชุดนักเรียนแล้วดูดีที่สุด แต่ทีนี้พอไปดูประโยคเต็มเสือกอวยต่อว่าแก้ผ้าก็ยังดูดี มันเลยงงๆ เพราะเป็นประโยคอวยซ้ำอวยซ้อนไง เออ ถ้าใส่ชุดนักเรียนแล้วซ่อนรูปเลยไม่รู้ แต่แก้ผ้าแล้วเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เลยเกินคาดก็ว่าไปอย่าง
คุยกันแต่เรื่องขยะ
กูอยากรู้จริงๆว่าทำไมนิยายพวกนี้ถึงขายดี
อีการ์ตูนนี่ป่าววะ ที่เจ๊สแตมเบอรี่เขาเป็นเดือดเป็นแค้นนักหนา
เจ๊เขาเคืองไมอ่ะ กูว่าคนเขียนก็เขียนตรงดีนี่หว่า
>>113 เออๆ เหมือนตอนนั้นที่ดราม่ากันก็เพราะกาตูนนี่แหละ ถ้ากูจำไม่ผิดล่ะนะแต่กูค่อนข้างเห็นด้วยกับกาตูนนะ เพราะกูเกลียดนิยายของแตมเบอรี่มากกก โดยเฉพาะซีรี่7s 7x หรืออะไรซักอย่างนี่แหละ แม่งโครตพ่อโครตแม่เวอร์สัสๆ อายุน้อยร้อยล้านกันทุกคน ทุกเรื่อง แม่งโครตเพอร์เฟกกายทั้งชายและหญิง พื้นฐานต้องหน้าตาดี รวยบรรลัยยิ่งกว่าบิลเกต ชีวิตเพอเฟกทำตัวเหี้ยยังไงก็มีคนรัก เก่งระดับพระกาฬ ฉลาดขนาดลิงซีซ่าร์ยังต้องอาย คนเหี้ยไรวะแทบไม่มีรอยด่างในชีวิตเลออ
>>115 มึงอ่านด้วยเรอะ เออๆ กูไม่ได้ว่าอะไรหรอกแค่อยากจะบอกว่ากูก็อ่านเหมือนกัน แต่ที่กูอ่านคือกูเห็นว่ามันขายดีมากๆ ว่ะ ขายดีจนเกินเหตุ ขายดีกันชิบหาย ไปร้านหนังสือทีไร ต่อให้เล่มใหม่แม่งออกมา 2-3 เดือนแล้วแม่งก็ยังติดอันดับขายดีแปะหราให้กูเห็น จนกูเริ่มคาดหวังว่าถ้าขายดีขนาดนี้มันจะมีอะไรข้างในบ้างป่ะวะ เห้ย มันต้องมีบ้างดิ หรือเจ๊แสตมเขาเปลี่ยนแนวแล้ว จากนั้นกูก็หยิบ...มึงไม่ต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นเป็นเรื่องที่กูเสียใจที่สุดในชีวิต กูหยิบอีเล่มปกม่วงๆ ที่พระนางนอนก่ายบนปกแทบจะได้กันอ่ะ เล่มไหนวะ นางเอกโคตรปัญญาอ่อน พระเอกแม่งก็เหี้ย เซ็ตติ้งบอกอีนี่ฉลาด เพลย์บอย แต่เสือกทำตัวโง่ชิบหาย รักนางเอกภายใน 2 วัน สัส...
>>117 โชคดีจังที่ไม่อ่าน....นี่เห็นเพื่อนตัวเองติดมากขนาดว่าตามซื้อทุกเล่มเลยสงสัยว่าเป็นไง แต่เห็นชื่อเจ๊แตมป์ก็เพลียกับตรรกะแล้ว แต่งนางเอกกี่เรื่องนี่ถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็เข้าขั้นโง่แบบเหี้ย ๆ ไปเลย
ใครสงสัยไปตามดูงานแรก ๆ ของแกได้อีวงไซโคที่พระเอกชื่อจีซัสอะไรนั่น
พวกมึงใจเย็นนะ 5555
ตกลงว่าที่กูถามชื่อเรื่องไปนี่ไม่มีใครรู้ใช่ป่ะ 55555
เหมือนกูอ่ะ ไม่ได้ตามข่าว แล้วหลงซื้อfifty shades of greyมาเพราะเห็นว่าขายดีๆสัสๆ กับปกดำๆนึกว่าเป็นนิยาย horror
ถือเป็นการใช้เงินที่โง่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
ยิ่งรู้ที่หลังว่าต้นฉบับมันเป็นแฟนฟิคของทไวไลท์มาก่อนนี้ กูถึงโกรธตัวเองเชี้ยๆ
>>122 fifty shade of grey เป็นนิยายที่ถูกทิ้งตามสถานที่ต่างๆมากที่สุดในโลก กูไปเจอบทความนี้กูเลยตัดสินใจได้ว่ะ ถ้ามันดีจริงมันคงไม่โดนทิ้ง พอดีไปทำงานสัปดาห์หนังสือในบูธมีแท็ปเล็ตให้อ่าน กูก็ยืนสไลด์อ่านตรงนั้น...ดีมากที่ไม่ซื้อ เก็บไปซื้อซีรีย์ชิงบัลลังก์ดีกว่า
>>123 คิดถูกแล้วล่ะ ไม่แปลกใจด้วยที่ถูกทิ้ง
เรื่องนี้คือเหียกอ่ะ มากๆ เหียกเหี้ยๆ ไม่มีห่าอะไรแปลกใหม่เลย ฉากเซ็กส์หรือbdsmก็งั้นๆ ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย
คือกูโกรธและสิ้นหวังมากอ่ะ ว่าขยะพรรค์นี้ขายดีได้ยังไง แถมกูเองนี้แหล่ะ ที่โง่ซื้อมาอีก ฟฟฟฟฟฟ
(ปัจจุบัน เอาไปรองตู้แล้ว)
มีใครอ่านหนังสือของ Jacqueline wilson บ้างปะวะ กูอยากหาเพื่อน 5555
กูชอบฟิฟตี้เชดส์ตรงที่มันทำให้กูรู้ซึ้งว่าไม่ได้มีแค่ประเทศกูเท่านั้นที่ชอบอ่านนิยายหื่นกาม
แต่กูไม่เคยอ่านเรื่องนี้นะ
มีใครเช็คมั้ยว่าไอ้แฮมสเตอร์เข้ารังนี้มันมาแต่แรกหรือคนแปลแปลงวะ ...แต่แฮมสเตอร์เข้ารัง บัดซบสิ้นดีเลยวะไม่มีคำให้เลือกแล้วรึไง 55555
ข้างบนมันคุยเรื่องส้นตีนไรกันวะ ไล่แม่งกลับรังไปดิ๊
พอๆ เลิกคุยเรื่องนิยายห่วยๆแล้วคุนนิยายดีๆกันเเถอะ แต่กูไม่รู้จะเปิดประเด็นไรดีวะ มึงมีไรเปิดมั้ย
>>135 >>137 อยากคุยอะไรก็เปิดประเด็นสิวะ พวกมึงที่มาแหกปากในกระทู้เพราะคุยเรื่องที่ไม่ถูกใจตัวเองนี่มึงเป็นคนเดียวกับกระทู้สาววายรึเปล่า เหี้ย หนังสือแม่งก็ต้องมีดี มีห่วย แล้วในนี้จะวิจารณ์ที่ตัวเองเคยอ่านอะไรห่วยๆเหี้ยๆมาไม่ได้ใช่มั้ย ต้องคุยวรรณกรรมดีๆเอาใจพวกมึงตลอด กูพอใจจะคุยเรื่องนี้แล้วมึงจะทำไม กูเห็นข้อความทำนองนี้ตั้งแต่กระทู้ที่แล้วกูรำคาญมากเลยนะ อยากคุยแต่ไม่เปิดประเด็นแล้วด่าคนอื่นนี่แม่ง....
จริงๆกูชอบให้พวกมึงพูดถึงหนังสือห่วยๆนะ รู้แล้วจะได้ไม่หาอ่าน...กูรู้สึกว่าหลังๆนี้กูพลาดบ่อย Ora
>>139 กูก็ชอบอ่านเวลาด่าหนังสือห่วยกัน เพราะหนังสือดีๆมันมีคนชมเยอะแล้ว 555555555
อยากคุยสาระเหรอ อืม วันนี้กูอ่านนิยายต่างประเทศเล่มนึงที่พูดถึงค่านิยมการถือครองพรหมจรรย์ทั้งๆที่มันไม่ใช่นิยายอังกฤษด้วยซ้ำ กูอยากรู้จริงๆว่าการแทรกซึมของค่านิยมวิกตอเรียนมันแผ่ขยายจนแทรกซึมไปทั่วโลกจนหลอกให้หลายๆประเทศหลอกตัวเองว่ามันเป็นค่านิยมของตัวเองไปได้ยังไง (งงมั้ย?) ซึ่งประเทศไทยเราก็รับค่านิยมนี้มาหลอกตัวเองว่าเป็นประเพณีไทยโบราณเช่นกัน มันลุกลามผ่านทางวรรณกรรมใช่หรือไม่ จงอภิปรายอย่างกว้างขวาง
อะ พอใจยัง สัส
SM ของพระเอกกับเพื่อนชายของแม่ แฮมส์เตอร์กูนี่ตื่นเลย
>>138 เห็นพวกมึงคุยกันแบบแม่บ้านนินทาผัวกูก็รู้แล้วว่าพวกมึงอพยพมาจากไหนกัน
มึงลองไปอ่านมู้ก่อนๆ เนื้อหาแม่งไม่มีนินทาเหี้ยไรแบบนี้หรอก กระทู้มันเริ่มเดินได้เพราะคนเริ่มเห็นว่ามันมีสาระ
แต่เสือกมีไอ้ตัวน่ารำคาญแบบพวกมึงที่เห็นกระทู้เริ่มดังแล้วอพยพกันเข้ามา เอาประเด็นขยะๆมาคุยกันแทนที่จะคุยกันที่เดิมของพวกมึงไป ไอ้พวกขยะ!!
กูถามเป็นความรู้หน่อยดิ ว่าพวกเล่น sm มันจะมีเซ็กส์กันด้วยมั้ย กูจะได้หายข้องใจว่าพระเอกมันโดนเพื่อนแม่มันเปิดซิงหลังไปยัง
>>144 มึงน่ะสิขยะ เขาคุยกันแป๊บๆเดี๋ยวเขาก็ไปคุยเรื่องอื่นกันแล้ว ใครว่ากระทู้แรกไม่มีนินทาวะ กูเถียงขาดใจ และกูไม่จำเป็นต้องเอาใจมึงด้วยการคุยเรื่องที่มึงปรารถนาจะอ่านหรอกนะ อยากคุยอะไรก็เปิดประเด็นเองสิ ใครจะไปตรัสรู้ว่าอยากคุยอะไร มีประเด็นอะไรเขาก็แจมตามน้ำ อีกอย่างกระทู้นี้บอร์ดนี้เป็นของมึงเหรอ ขยะจริงๆ กูจะเลิกสนใจความเห็นขยะแบบมึงแล้วนะ
Don't feed trolls กูหมายถึงพวกที่ชอบมาขวางๆ ด่าลมด่าแล้งบรรทัดเดียวจบ เมินๆ มันไปเหอะ กูคิดถึงกระทู้ก่อนที่มีโทรลล์มากลิ้งๆ แล้วทุกคนพร้อมใจกันเดินผ่านมันอย่างไม่แยแสว่ะ กูยินดีมาก มองเห็นเป็นแสงแห่งสติปัญญาเผาโทรลล์เป็นขี้เถ้าตายห่าไป
กูสนับสนุนให้คุยเรื่องหนังสือดีและห่วยอย่างไม่แบ่งแยกต่อไปด้วย ให้คุยกันแต่วรรณกรรมยุโรป มุราคามิอย่างเดียวกูก็เบื่อนะ อะไรที่มันห่วยๆ ก็ยกมาด่ามั่งก็ได้ ไม่งั้นเก็บกดชิบหาย
แถมอีกนิดไอ้เหี้ยบางตัวที่บอกน่าเบื่อเรื่องที่กำลังคุยอยู่แล้วให้เปิดประเด็นใหม่
ในเมื่อตัวมึงยังไม่มีปัญญาหาประเด็นมาคุย แล้วทำไมต้องไปให้คนอื่นมาหาประเด็นมาคุยเพื่อมึงด้วยวะ
แค่สมองคิดเรื่องที่จะหามาคุยยังไม่มีเลย
กูไม่โอเคกับนักเขียนที่ประกาศตัวว่าไม่วายนะครับ ไม่วายยยยยย แต่เสือกเขียนฉากเรียกแฟนอวย แบบเกินระดับขั้นจิ้นกรุบกริบ อย่างฉากตัวเอกในเรื่องแต่งหญิง แล้วตัวละครคู่จิ้นคิดว่าสวยจังเลย หัวใจกระตุกอะไรงี้ แม่งฉากอย่างกับในนิยายวายสมัยก่อน แต่ก็ป่าวประกาศต่อไปว่านิยายกูไม่วายครับบบบบ กูอยากบอกมากว่าไม่ต้องเขียนเรียกกระแสขนาดนั้นก็ได้ คนมันจะจิ้นต่อให้ตัวละครมันเกลียดกันแทบจะฆ่ากันตายมันก็จิ้นได้ว้อยยยยยย
แคร์อะไรมากนักวะ จะคุยเรื่องอะไรก็คุยไปดิ
ไม่ใช่ว่าหาประเด็นมีสาระมาคุยไม่ได้หรอก
แต่พอมีคนเริ่มประเด็นมาก็จะโดนกลบโดยเรื่องหีเปียก นิยายขยะ นักเขียนสวะ ของพวกแก๊งคุณป้าชะนีของพวกมึง
มึงกล้าพูดไหมล่ะว่าเผ่าอนารยชนแบบพวกมึงไม่ได้เพิ่งอพยพเข้ามา แล้วแทนที่มึงจะดูหน่อยว่ามู้เค้าคุยกันแบบไหน
นี่เสือกเอาภาษาคนป่ามาคุย ทำตัวเหมือนไอ้เหี้ยอีสานบ้านนอกย้ายถิ่นมาอยู่ในกรุงเทพแล้วเอารถกระบะลำโพงใหญ่มาเปิดในเมือง
ทำมาพูดว่านิยายมันเหี้ยอย่างนู้นอย่างนี้ แต่แม่งเสือกรู้รายละเอียดดีชิบหาย แสดงว่านิยายเหี้ยๆมันสนองรสนิยมเหี้ยๆของพวกมึงสินะ
เคสทางการแพทย์ มีกรณีที่ผู้ชายถูกคุณหมอตรวจภายใน(ทวาร) แล้วน้ำแตกกันบ่อยๆด้วยซ้ำ ทั้งที่ไม่ได้เป็นเกย์
กลับเยรูซาเล็มกันไหมนาย เราไม่ไหวละว่ะ 555
กูสงสารนิ้วกลมกับด๊อกป๊อบที่เคยโดนด่ามาจริงๆ
เห็นพวกมึงบอกชอบงานลวิตร์กัน งานเก่า ๆ เค้ากูก็ชอบนะ แต่อ่านเล่มล่าสุดแล้วรู้สึกแม่งอะไรวะกับมุกตลกตัวละครเค้าว่ะ พวกมึงขำกันมั้ยวะ
เดมอน เบเกอรี่นี้กูชอบมุกตลกเขานะ(หรือกูแค่เส้นตื้นก็ไม่รู้) แต่ตอนแรกๆกูก็อยู่ในขั้นชอบพอประมาณเฉยๆจนมาตอนหลังๆกูถึงชอบมากขึ้นเยอะ ยิ่งตอนจัดการมารุสไพรากูยิ่งชอบ เหมือนเขาจะลองเขียนอีกแนวดูก็เลยฝืนๆบ้างช่วงแรกๆ แต่ช่วงหลังๆกูว่าเขากลับมาใช้รู้แบบเดิมอะนะก็เลยดูจะดีขึ้น
พูดถึงลวิตร์แล้วกูชอบบทบรรยายหลายๆอย่างเขานะ ยิ่งบางประโยคกูชอบมากขนาดติดในหัว แต่ก็ชักเบื่อกับการบรรยายที่ชอบใส่ประโยคคำถามไว้วะ ถึงกูเข้าใจวาเขาอยากให้คนอ่านคิดร่วมแต่ใช้บ่อยๆมันชักเบื่อนา
>>174 >>175 มึงเคยอ่านวาณราสูรของลวิตร์ไหม? มันเป็น POV ของอสุรผัด (มั้ง? ถ้ากูจำไม่ผิด) แล้วมันเป็นช่วงที่ท้าวจักรวรรดิเข้าตีกรุงลงกา ที่ตอนนั้นพิเภกเป็นกษัตริย์อยู่ พิเภกเลยต้องถูกจำอยู่ใต้ดิน (แบบมีอะไรโฮลี่แปลกๆ) พอมาเจอท่านตาในเดมอนเข้า กูเลยรู้สึกเหมือนได้กลิ่น (จริงๆอาจไม่เกี่ยวอะไรกัน) แต่กูว่ากูชอบท่านตาพิเภกมากกว่านะ
พวกตำนานของเมโสโปเตเมีย แบบตำนานกิลกาเมช งี้กูสามารถหาอ่านได้จากไหนบ้างวะ มีหนังสือไรเขียนละเอียดๆบ้าง กูเจอแต่หนังสือตำนานเทพกรีกซะส่วนใหญ่
ลวิตร์ก็เคยเขียนเรื่องกิลกาเมชเมื่อนานมาแล้วนะ แต่ไม่จบ กูเสียจัย...
เราโพสมู้ไม่ได้
เพื่อนโม่งช่วยวิจารณ์ให้หน่อยดิ คือกูเขียนเรื่องนี้มานานมากแล้วล่ะแต่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาอ่านเลย ลองกลับไปอ่านเองอีกรอบก็ไม่รู้สึกว่าสนุกเท่าไหร่แต่ก็ไม่รู้ว่าจุดอ่อนของตัวเองอยู่ตรงไหน คืออยากเขียนนิยายดีๆออกมาบ้างน่ะแต่ไม่กล้าเอาให้คนรู้จักอ่านเลยไม่รู้จะแก้ไขตัวเองยังไงดี แนะนำหน่อยนะและถ้ายังไงอย่าอยากรู้ตัวตนของกูเลยนะ กูก็ไม่ใช่คนดังอะไรหรอกแถมขี้อาย สัสๆ แค่ยอมโม่งแตกเอานิยายของตัวเองมาโพสนี่กูก็กังวลแทบมุดดินหนีแล้ว ไม่รู้ทำไม ยังไงก็ช่วยวิจารณ์ แนะนำหน่อยนะ
ตอนเขียนกูก็เขียนออกมาเรื่อยๆไม่ได้มีเป้าหมายว่าอยากสื่ออะไร อยากให้อะไร กูคิดแค่อยากเขียนไปตามใจอ่ะ พูดตรงๆมาได้เลยนะ
ปล. ไม่รู้ยังไงโพสลิงค์ไม่ได้ว่ะ มันหาว่าเป็นสแปม งงจริง
เอ้ากูอุตส่าห์แปะลิงค์ให้มึงก็เสือกแปะได้พอดี เดี๋ยวขอเวลาอ่านแป๊บ อยากได้การสับระดับไหน? แบบหั่นเป็นชิ้นพอคำ สับหยาบๆ หรือแหลกละเอียด
ยังไงก็ได้รับได้หมด ขอแบบละเอียดๆเลยนะชี้เป็นจุดๆได้ยิ่งดี ขอบคุณมากนะ
>>บรรยายรวบรัดเกินไป สร้างจินตนาการให้ผู้อ่านไม่ได้ ร้านขนมเก่าแก่ที่สุดของในย่านขนมหวาน มันคือที่ไหน ประเทศอะไร แถวไหน ถ้าพูดว่าในวงการยังพอได้ แต่ย่านขนมหวานนี่คือที่ไหน
>>ตัวละครเป็นแยมส้ม แต่ไม่เขียนว่าแยมส้มที่ว่านี่โผล่มาในรูปร่างไหน อยู่ในขวด หรือดึ้บๆเป็นเศษอยู่เคาท์เตอร์ หรือเป็นคน หรือเป็นแบบการ์ตูนฝรั่ง เพิ่มตากลมๆกับปาก
>>ไม่อินกับแยมส้ม พรํ่าเพ้อถึงวันที่ร้านรุ่งเรืองอยู่นั่นแหละ แต่ยังไงก็นึกภาพไม่ออกสักที ถ้าจะให้ตัวละครนึกถึงอดีตควรปูพื้นก่อน จะเป็นย้อนอดีตเล็กๆย่อยๆก็ได้
>>จัดบรรทัดไม่ค่อยเวริค์
>>เล่าความหลังจัดเต็มยัดๆๆเข้าไปจนอึดอัด ควรใช้บทสนทนาของตัวละครช่วยมากกว่า
>>เขาพูดพลันวิ่งนำไปแต่ไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็พลันล้มลงสติดับวูบ ตรงนี้ต้องเว้นไปอีกบรรทัด ไม่ใช่ยัดมาตอนตัวละครกำลังพูดอยู่
>> “ลาก่อน” เป็นตัวละครดูน่ารักแต่ใช้ภาษาทางการไปหน่อย ลองเพิ่มให้มันดูเป็นภาษาพูดน่าจะเพิ่มอารมณ์ได้มากกว่านี้
ถ้าไม่ติดว่าตัวละครเป็นขนมปังกับแยมส้มที่ดูน่ารัก มันก็นิยายรักธรรมดาอะ
ลืมไปอีกข้อ
บรรยายสั้นมาก สร้างภาพไม่ได้ บทไหนไม่สำคัญก็ยัดจัง บทสุดท้ายบรรยายได้สั้นมาก มันควรจะมีอะไรมากกว่านี้นะ
อ่านได้เรื่อยๆ ข้อเสียตามที่ด้านบนว่าเลย เพิ่มอีกอย่างคือสรรพนาม เค้า นี่ไม่น่าใส่มาตอนบรรยายนะ
เวลาอ่านกูดันไปคิดถึงโคเงปังว่ะ เป็นหนมปังที่ชีวิตบัดซบสุดๆ ในสายตากู...
เอาภาพรวมก่อนนะ ความรู้สึกหลังอ่านจบคือ เรื่องไม่ดึงดูด อ่านจนจบก็ไม่รู้สึกเกิดอิมแพคหรือความประทับใจอะไร
ดูไม่ค่อยมีจุดหมายที่ต้องการสื่อ นอกจากการพร่ำเพ้อหาความหลัง ที่คนอ่านไม่ได้มีความผูกพันใดๆ ไปกับพวกมันด้วยเลย
จังหวะการดำเนินเรื่องมันเอื่อย ยืดยาดเยิ่นเย้อมาก แล้วพอถึงตอนที่อิขนมปังคิดได้บวกกับจะรำลึกความหลังก็ล่อมาแบบพรวดๆๆๆ รวดเดียวจบ เว้นวรรคเคาะย่อหน้าบ้างก็ด๊ายยยยยยยยยย
โทนเรื่องโดยรวมเข้าใจว่าจะเขียนให้เป็นแนวหม่นๆ เศร้าๆ แต่มันไม่อิน มันเลยไม่เศร้าตาม ขนาดอีขนมปังโดนราแดกตายก็ยังรู้สึกว่า เออ ก็ตายไปดิ แล้วไง... (ดูใจร้ายไร้ความรู้สึกมากเลยใช่มั้ยเนี่ย ขอโทษนะ...)
ก็พอจะเห็นภาพเป็นนิทานเด็กนะ พวกที่สมมติข้าวของพืชผักผลไม้สัตว์ป่าน้อยใหญ่ให้มีชีวิตเหมือนมนุษย์ขึ้นมา แต่มันยังไม่เป๊ะ คือพอเข้าใจว่าต้องการแนวไหน แต่อ่านไปก็ยังรู้สึกงงๆ อยู่ดี มึงต้องเข้าใจว่านิยายไม่ใช่นิทานภาพอะนะ แล้วเรื่องมันก็ดูไม่น่าจะเหมาะกับเด็กเท่าไหร่ปะวะ จากพล็อตเรื่องนี่ถ้าเด็กที่ไม่ได้ผ่านชีวิตผ่านการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาและยุคสมัย อาจจะไม่อินไปด้วยเท่าไหร่หรอกมั้ง
เรื่องภาษาไม่ถึงกับเลวร้าย แต่ไม่ดึงอารมณ์ให้เกิดความรู้สึกคล้อยตาม ดูเยิ่นเย้อแบบไร้จุดหมาย
พวกคำบรรยายประกอบบทสนทนาดูทื่อๆ ตัวอย่าง
“นั่นมัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวและสีหน้าตื่นกลัวอย่างเป็นที่สุด <<< อ่านแล้วไม่รู้สึกตื่นเต้นตกใจอะไรตามอิแยมส้มเลยสักนิดว่ะ
รายละเอียดเล็กน้อยของการใช้คำ เช่น ซัก เค้า ถ้าไม่ได้จะเขียนภาษาวัยรุ่นที่เอาภาษาพูดมาเขียนแบบนิยายอีโมสมองกลวงหรือก็ควรเขียนให้เป็นแบบภาษาเขียน (แล้วบางทีก็ เค้า บางทีก็ เขา จะเอายังไงก็เอาให้แน่สักอย่าง)
เพิ่มเติมนิด การใช้ภาษาแบบอ่านง่ายๆ กับการใช้คำที่ไม่ใช่ภาษาเขียน สำหรับกูเป็นคนละเรื่องว่ะ อธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกัน มีใครเข้าใจบ้างมั้ยเนี่ย
เช็กตัวสะกดด้วย รสชาติ สะกดงี้ (ถ้าอยากดูคนเถียงกันเรื่อง รสชาติ หรือ รสชาด ไปหาดูได้แถวพันทิป แม่งเถียงกันมาสิบชาติเศษได้)
“ฉันมีที่ๆอยากให้เธอดู ตามมาสิ” <<< ที่ที่ ในบริบทแบบนี้ใช้ไม้ยมกไม่ได้ เพราะที่จริงมันเป็นคนละคำ คือ "ที่" คำแรกเป็นคำนาม หมายถึงสถานที่ ส่วนคำหลังเนี่ยชี้อิคำข้างหน้าอีกที (ตัวอย่าง คนที่ไม่น่าคบ นิยายที่ดี แก้วน้ำที่ว่างเปล่า ที่ที่เคยไป ฯลฯ พอเข้าใจไหม)
นอกนั้นส่วนมากน่าจะแค่พิมพ์พลาดเฉยๆ มั้ง
เอออีกอย่าง ตอนเปิดเรื่องมาจะมีเสียงของคนบรรยาย คือคนที่มาเล่าว่าคุณอย่างนั้นคุณอย่างนี้น่ะ (ถ้าคุณมาที่ร้านเร็วกว่านี้สักสิบปี... เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะแปลกใจ..." อยู่ดีๆ ก็หายไปเลยนะ เหมือนหมดประโยชน์แล้วโดนเขี่ยทิ้งชอบกล
มันไม่เหมือนนิทานเด็กอ่ะ นิทานเด็กน่าจะเล่าเรื่องตรงไปตรงมากว่านี้ ไม่เยิ่นเย้อขนาดนี้ กับเรื่องนี้กูรู้สึก surreal
จริงๆกูชอบพล็อตนะ กูอ่านแล้วมโนว่าเป็นเรื่องของแยมส้มโลกสวยผู้ขังตัวเองไว้ในอดีตหลอกตัวเองไปวันๆ กับขนมปังที่รักแยมส้มเลยอยู่ดูแลจนราขึ้น พอขนมปังตายแยมส้มเลยตื่นจากภาพหลอนชั่วขณะ มองขึ้นไปเห็นว่าหลังคาร้านสีฟ้าที่เห็นอยู่ทุกวันเหลือแค่โครงผุๆ แล้วตกใจหนีความจริงขังตัวเองในโลกจินตนาการว่าไปอยู่กับขนมปังอื่นๆแล้ว ความจริงแล้วแยมส้มใส่สารกันบูดเลยจะนั่งอยู่ตรงนั้นไปอีกสิบปี
ปัญหาคือสำนวนกับวิธีเล่าเรื่องแหละ มันไม่ดึงดูด กูอ่านสามย่อหน้าแรกแล้วเกือบเลื่อนไปกดปิด
>>199 ส่วนนึงน่าจะอยู่ที่การบิ๊วมาก่อนหน้านั้น คือตั้งแต่ขนมปังฝัน จนตื่นเพราะแยมส้มปลุก กับส่วนของการบรรยาย นี่เป็นการสังเกตเอาเองโดยไร้ซึ่งหลักวิชาใดๆ ว่าถ้าใช้การบรรยายประกอบบทพูดประเภท "เขาพูดอย่าง...." "เธอพูดด้วยน้ำเสียง...." มากเกินไป มันมักจะทำให้ความรู้สึกร่วมลดลงว่ะ คืออ่านแล้วรู้ว่าคนเขียนต้องการจะบอกว่าตัวละครนั้นรู้สึกอย่างไร แต่ไม่เกิดความรู้สึกแบบนั้นไปด้วย
แล้วก็สำหรับประโยคนี้ อาจจะใช้คำมากเกินจำเป็นไปด้วยมั้ง "น้ำเสียงหวาดกลัวและสีหน้าตื่นกลัวอย่างเป็นที่สุด" กว่าจะอ่านคำขยายจบก็หายตกใจแล้วว่ะ
คนแต่งเรื่องก็อย่าไปใส่ใจกับคำวิจารณ์มากนะครับ
นักวิจารณ์ใครก็เป็นได้ทั้งนั้น เค้าอาจจะอ่านแต่นิยายหีเปียกมาทั้งชีวิตแล้วมาวิจารณ์ก็ได้
อาจจะวิจารณ์เพื่อสนองนี้ดตัวเองเพราะว่าอยากทำร้ายจิตใจคนอื่นเล่นๆก็ได้
คุณเอาเวลาไปอ่านหนังสือให้มากแล้วเอามาขัดเกลางานตัวเองดีกว่าครับ
กูเคยโดนวิจารณ์นิยายจนเป๋ไปเลย จากเขียนเพราะสนุกกลายเป็นเขียนเพราะคนอ่าน
สุดท้ายก็ไม่ไหว มันไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว กูเลิกเขียนมาพักใหญ่ๆแล้ว จากตอนนั้น ตอนนี้ก็เขียนไม่ค่อยได้ แบบเบื่อ เหนื่อย
กูแต่งนิยาย แล้วมีคนอวยเยอะเกินเพราะแนวเรื่องกูมันต่างจากคนอื่น กูเป็นมือใหม่เพิ่งแต่งเรื่องเดียว พอเจอคนอวยกุไปไม่ถูกเลยเพราะตอนแรกกุแต่งเรื่อยเฉื่อยของกุอยู่ แล้วไอ้ตอนนั้นมันเริ่มจริงจังขึ้นมา กุก็ไม่รู้จะแต่งจริงจังหรือแต่งเรื่อยเฉื่อยต่อดี แบบเหมือนโดนคาดหวังมากๆ กุเลยยัดไปทั้งความจริงจังทั้งความเรื่อยเฉื่อยปรากฏออกมาเละจนกูไม่อยากแต่งต่อ เศร้า... เพราะตอนแรกกุแต่งฆ่าเวลาเฉยๆไม่ได้วางพล็อตแน่นๆด้วยแหละ แย่มาก
กูแต่งนิยายลงเว็บเด็กดีนี่ล่ะ แต่เรื่องคนอ่านอะไรแบบนี้เรื่อย ๆ ว่ะ ส่วนมากเข้ามาอ่านแล้วปิดไป
Comment คือไม่ต้องพูดถึงนอกจากของคนรู้จัก และของคนรู้จักของคนรู้จัก แทบไม่มีเลย
กูแต่งนิยายเพราะกูอยากเสนอความคิดของกูออกมา อยากถ่ายทอดจินตนาการ ทัศนคติออกมา
กูเลยถือว่ากูแต่งนิยายเพื่อความสุขของตัวเอง มีแชร์ให้เพื่อนอ่านบ้างอะไรบ้าง ไม่ดิ ปกติเขาตามอ่านงานกูอยู่แล้ว
แล้วก็มีคนรู้จักของเพื่อนมาตามบ้างอะไรบ้าง
คือตอนมึงแต่งนิยายมึงก็น่าจะมีเหตุผลของตัวเองกันนี่? ไม่ไหวคือไม่ไหวรู้สึกกดดันก็พักไปก่อน อยากกลับมาแก้พล็อตใหม่ก็ทำ
ไม่อยากให้เอาเสียงคนอ่านมาเป็นตัวตัดสินชีวิตการแต่งนิยายมึงเท่าไหร่ เพราะคนแต่งคือมึงถ้ามึงแต่งให้ตัวเองพอใจมึงก็แต่งไปแบบนั้นล่ะ
เขาชอบเขาก็อยู่อ่านต่อ ไม่ชอบก็แค่จากไป
.........ในความเป็นจริงกูไม่มีฐานแฟนเลยล่ะ ฮ่า ๆ
เพิ่งอ่านบิเบลียจบ ปกติกูไม่ใช่คนอ่านหนังสือสักเท่าไรแต่กูว่ากูชอบความรักของพระนางจัง
คือเอาจริงๆเขาเจอกันแค่ไม่เท่าไรก็จริง แต่กูชอบลักษณะที่ดูเหมือนค่อยเป็นค่อยไป พระเอกธรรมดา
นางเอกน่ารัก มีเหตุการณ์ธรรมดาร่วมกัน
คือกูแค่อยากมาถามโม่งหนังสือว่ามีนิยายความรักประมาณนี้อีกไหม แนวประมาณเรื่องสั้นจบในตอนไม่ใช่ตอนยาว
คู่พระนางไม่มีเลิฟซีนแต่พอมีโมเม้นให้รู้ว่าเขาชอบกันนิดหนึ่งประมาณนี้น่ะ
กูชอบอ่านที่พวกมึงคุยกันมากเลย ถึงพวกมึงจะคุยกันแต่หนังสือเก่าๆยากๆ ไม่นับที่ด่าๆกันนะ 555
>>182 ในเล้าล็อคไปแล้ว >>>/meta/685/346-351/
ฝากถึงคนที่ขุดในเล้าหน่อย ว่ามึงควรแก้ความเน่าของกระทู้ด้วยการถมคอนเทนต์ใส่มันนะ บ่นใส่มันไม่ช่วย
มึงกูเจอคนบอกว่านิยายแนวออนไลน์เป็นดิสโทเปีย
เค้าจำสลับกับคำว่ายูโทเปียป่าว
ดิสโทเปียนี่เป็นนิยายแนวไหนวะ แบบโลกล่มสลายป่ะเท่าที่กูเข้าใจ
ส่วนยูโทเปียนี่คือโลกสงบสุข ถ้ายังไงช่วยขยายความให้ที ยกตัวอย่างได้ก็ดี นึกภาพไม่ออกเลย
>>219 ไม่ได้บอกแบบระบุเรื่อง แต่มีคนถามหาพวกแนวนิยายที่จะเป็นแนวแบบยุคต่อไปของเด็กดีในกระทู้ มีคนมาแบบแนวออนไลน์ ดิสโทเปีย...กูเลยงงเลย
เออ เรื่องนิยายที่มีคนทายแนวมีคนดัน"บันทึกจอมโจร"ขึ้นมาด้วยว่ะ แบบงี้แปลว่าในเด็กดีกูจะเจอคนแต่งแบบมุดกรวยมุดสุสานกันเป็นว่าเล่นใช่ไหมเนี่ย ถ้ามันกลายเป็นแนวจริง
>>216 ถมทำไมวะ ย้ายไปเล่นบอร์ดฝรั่งดีกว่า เลือกกลุ่มคุยได้ตามรสนิยมเลย
จะมาเสียเวลาอ่านให้เนื้อหาขยะรบกวนพื้นที่ในสมองทำไม ในนี้ที่กูรู้สึกว่ามีคลาสในการอ่านไม่เกิน 5 ตัวหรอก ดูจากสำนวนและเนื้อหาที่คุย
ส่วนที่แห่กันมาทีหลังก็ปล่อยมันจมกองหนังสือขยะไปทั้งชีวิตเหอะ
>>220 ไม่รู้กูเข้าใจถูกปะนะ ดิสโทเปียแบบที่กูนึกถึงคือมืดมนสิ้นหวังอะ แบบมันหม่นๆ กูเจอดิสโทเปียอยู่สองแบบคือโลกที่เผด็จการเหี้ยๆมีแต่กฎเกณฑ์ กับโลกที่ไม่มีกฎเกณฑ์ไรเลย บ้านเมืองไม่มีขื่อแป รอคนรู้มากกว่านี้มาขยายละกัน ฮาๆ ;;
แต่กูชอบอ่านนิยายเผด็จการมากอะ มีใครแนะนำได้มั้ยว่าเล่มไหนน่าสน
ถ้าโลกล่มสลายเต็มๆ มันจะไปลง Post Apocalypse แบบซึ่งจริงๆ มันคล้ายกันมากและมักจะมาคู่กัน
เพราะว่ามักจะเป็นเหตุเป็นผลกันว่าโลกล่มสลายจึงปกครองแบบควบคุมเพื่อรักษาสังคมไว้อะไรแบบนี้
โดยรวมๆ Dystopia มันจะหมายถึงสังคมที่ปกครองด้วยด้านลบน่ะแหละ นิยายจะเน้นเรื่องการกดดันควบคุมประชาชน
อย่าง Hunger Games เป็นแนวมี Dystopian เป็นส่วนเสริม
เรื่องยุคหลังที่กูชอบมากก็ชินเซโคโยริ (From the New World) ที่เป็นอนิเมจากนิยาย กำลังหัดอ่านญี่ปุ่นอยู่ เล็งจะอ่านเรื่องนี้ กับเคยถามคนที่อ่านนิยายแล้ว บอกว่าอ่านยากมาก
แต่สนุกแนะนำ เพราะมีทั้ง Apocalypse ทั้ง Dystopian ทั้ง Homo
เรื่องที่ไม่ถึงกับ Post Apocalypse ก็พวกคลาสสิกอย่าง 1984, Fahrenheit 451, Brave New World
บางเรื่องก็เป็นดิสโทเปียอ่อนๆ อย่าง Minority Report
เออ ลืมบอกว่า story teller ของลวิตร์ก็เป็นดิสโทเปียนะ ถึงจะไม่หดหู่รุนแรงแบบ 1984 แต่ก็เป็นสังคมสิ้นหวัง โลกถูกควบคุม สงครามระหว่างดาวกับผู้ชายที่เรียกหาสันติภาพ กูแนะนำอันนี้ด้วย
>>232 ชินเซไคกูก็นับว่ดิสโทเปียนะ แต่เป็นดิสโทเปียแบบที่อยู่ในมุมมองของคนที่กดขี่คนอื่น(แต่ตัวเองก็โดนผู้ใหญ่/บรรพบุรุษ/ยีนส์ควบคุมอีกที) บรรยายกาศเรื่องดูเหมือนออกแนวสบายๆอยู่กับธรรมชาตินะ แต่แบบทุกอย่างแม่งโดนคุมไว้หมดเลย
อยากอ่านฉบับนิยายเป็นบ้า แต่ดูภาษาแล้วน่ากลัวเป็นบ้า
กูดูชินเซไคแล้วกูเห็นต่างกับหลายๆคนนะ คือกูชอบยาโคมารุและอุดมการณ์มันก็จริง รวมถึงสงสารพวกมนุษย์ยุคก่อนที่โดนล้างเผ่าพันธ์ด้วย
แต่กูกลับสนับสนุนพวกผู้ใช้พรนะ เพราะกูออกแนวTrans-humanismด้วย กูเชื่อว่า"ผู้เหนือกว่าย่อมมีสิทธิปกครอง" เช่นเดียวกับที่มนุษย์"เลี้ยงสัตว์"
ถ้าผู้ใช้พรเหนือกว่ามนุษย์และพิชิต"โลกของมนุษย์"ได้ ผู้ใช้พรก็มีสิทธิปกครองมนุษย์ แต่กูเป็นคนที่เน้นความเท่าเทียม นั่นหมายถึงในทางกลับกันด้วย
ถ้ามนุษย์หรือพวกหนูผีชนะผู้ใช้พร พวกเขาก็มีสิทธิปกครองผู้ใช้พร กูไม่เชื่อในเรื่องCo-existenceเท่าไหร่ ยกเว้นทั้ง2ฝ่ายจะมีอำนาจเท่าเทียมกัน
พูดให้เลวคือกูค่อนข้างสนับสนุนแนวการปกครองแบบDystopiaหลายๆอย่าง ถ้าคนในสังคมนั้นๆ"ด้อยกว่า"จริงๆ เหมือนอย่างที่หมาเลือกนายไม่ได้
เรื่องนี้กูก็อยากอ่านนิยาย แต่กูเห็นยอดขายของเรื่องนั้นหลังจากฉายมา3เดือนได้ไม่ถึง500แผ่น กูก็ปลงพอๆกับการที่บ้านเราจะกลับมาฮิตSci-Fiอีกนั่นละ
ขนาดเรื่องNo.6ที่ออกแนวDystopiaเหมือนกันยังถูกลอยแพเลย กูดูคร่าวๆแล้วเรื่องนี้ก็มาแนวเดียวกับชินเซไคและPsycho-Passนั่นละ แค่มีYพ่วงด้วย
>>236 ส่วนตัวกูไม่ชอบแนวคิดว่าเพราะกูแกร่งกว่า ดังนั้นกูจึงปกครอง/เป็นเจ้าชีวิตเอ็งได้นะ ถึงความจริงส่วนใหญ่จะเป็นงั้นก็เถอะแต่ถ้าคิดงั้นจริงจิตใจกูคงหม่นหมองหน้าดู
งั้นกูขอยก แนวจากเรื่องพันธนาการของลวิตร์ละกัน คือแนวมันเริ่มด้วยการ กูแกร่งกว่าเอ็งดังนั้นกูจึงกิน/ล่าเอ็งไม่ผิด เหมือนกับที่มึงยกตัวอย่างนั้นละ แต่เมื่อไปเรื่อยๆแนวคิด กูแกร่งกว่ามึงจึงต้องอยู่ใต้กู ก็พากันให้สองเผ่าเกือบล่ม และกูชอบที่ลวิตร์เขียนไว้ตอนท้ายเล่มนะ
ชินเซไคขายไม่ออกจริงดิ เป็นอนิเม26ตอนที่ทำให้กุดูเพลินๆไม่บ่นเบื่อเลยนะ.... อีปิคดี
กุเบื่อพวกบอกดูๆๆๆไปซักพักสุดท้ายแม่งก็ข้ามไปเปิดตอนจบแล้วก็เอามาคุยชิบหายเลย ขี้เกียจดูนักก็กลับไปดูอนิเมขายนมไป
>>238 ขายไม่ออกจริงมึง โฮโม+ไม่เซอร์วิส ก็ไล่ลูกค้าได้หลายแล้ว แต่มึงพูดแล้วกูเจ็บนะ คือกูได้ครึ่งเรื่องแล้วกูข้ามไปตอนจบ แล้วพักสักพักใหญ่แล้วค่อยไล่ดูตอนที่เหลือ คือดูแล้วแม่งอึดอัดวะ ดูแค่ครึ่งแรกกูก็จิตตกแล้ว สุดท้ายก็ทนไม่ไหวไปดูตอนจบให้คลายๆลงหน่อย แล้วค่อยกลับไปไล่ดู สุดท้ายก็จิตตกอยู่ดี
เดี๋ยวไอ้ห่าเรื่องมากนั่นจะมาไล่อีก กูขออธิบายว่าชินเซไคโยริเป็นนิยายดิสโทเปียน+โลกหลังหายนะจากสงครามระหว่างมนุษย์กับมนุษย์กลายพันธุ์มีพลังจิต ผลคือมนุษย์ดั้งเดิมแพ้เพราะอาวุธนิวเคลียร์ทำลายตัวเองทั้งหลายแหล่ และเพื่อไม่ให้เป็นภัยอีกมนุษย์มิวแตนท์เลยรวม DNA มนุษย์ดั้งเดิมเข้ากับหนู ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนด้อยไร้พิษภัยต่อมนุษย์พลังจิตอีก
มนุษย์มิวแตนท์ก็รู้ว่าตัวเองมีแนวโน้มทำลายตัวเองเลยผนึกยีนเผ่าพันธุ์ตัวเอง สะกดจิตตั้งแต่เด็กให้ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันไม่ได้ เพื่อจะได้ไม่ฆ่ากันเอง แล้วก็มีระบบไว้คัดสรรค์คนที่จะควรจะอยู่ไม่เป็นภัยต่อเผ่าพันธุ์ ใครพลังด้อยหรือพฤติกรรมก้าวร้าวก็เก็บซะตั้งแต่เด็ก แล้วก็มีปมเล็กๆ (ว่าเพื่อให้ระบายความเครียด เลยโปรแกรมไว้ให้ผูกพันธ์กับเพศเดียวกัน เลยมีทั้งคู่ยาโอยคู่ยูริ)
ตัวเอกในเรื่องเป็นเด็กผู้หญิง เป็นมุมมองตั้งแต่เด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ ผ่านอะไรหลายอย่างในระบบโดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ช่วงท้ายพวกมนุษย์หนูก่อขบถตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่นางเอกเป็นเด็ก แต่สุดท้ายปราบถูกได้ จบเรื่องนางเอกลงเอยกับเพื่อนสมัยเด็กที่รอดอยู่คนเดียว (ได้เมียเพราะรอดเฉยๆ นี่แหละ)
ตอนแรกเหมือนจะเป็นโลกแฟนตาซี แล้วหักมุมเป็นไซไฟอนาคต เจ๋งดี พลังจิตของมนุษย์ในเรื่องเวอร์มาก ทำได้ทุกอย่างด้วยความคิดจริงๆ เลยต้องผนึกพลังตัวเองไว้ส่วนนึง อย่างลาสบอสก็เป็นเด็กมนุษย์ที่หนูเอาไปเลี้ยงแบบไม่ผ่านพิธีผนึกพลัง เทพเวอร์จนคนที่เก่งที่สุดในเรื่องยังสู้ไม่ได้
นิยายแปลยังหวังอยู่แบบสิ้นหวังแล้ว
ยอดอยู่แถวๆ 500 แผ่นมั้ง
>>237 กูอยู่สายสัจจะนิยม สำหรับกูIs(สิ่งที่เป็นอยู่)คือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าOught(สิ่งที่ควรเป็น)จะเป็นเช่นไร แต่ตราบใดที่ISยังคงเป็นเช่นนั้น มันก็จะเป็นไปเช่นนั้น จริงอยู่ว่าเราสามารถทำตามOughtได้ แต่เมื่อเพชิญหน้ากับChoice Isย่อมชนะเสมอ ยกเว้นOughtจะมีอำนาจมากกว่าIs แต่ตราบใดที่Oughtยังไม่กลายเป็นIs=Universal ข้อยกเว้น(Black Swan)ก็ไม่มีความหมายมากไปกว่าคำพูดอันสวยหรู
แต่กูไม่ได้บอกว่าผู้ที่เหนือกว่าต้องโหดร้ายกว่าผู้ที่อยู่ต่ำกว่านะ กูพูดไม่เคลียร์เอง ในหลักการปกครอง กูยึดHegemony(อำนาจนำ)เป็นหลัก ใครมีHegemonyเหนือกว่าย่อมเป็นผู้นำ และในฐานะTrans-Humanism กูเชื่อว่าผู้ที่เหนือกว่า(ด้านวิวัฒนาการ)ควรมีHegemonyมากที่สุด ส่วนการได้มาซึ่งHegemonyเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
กูเทียบกับCivilization Vก็แล้วกันที่มีVictoryหลายๆอย่าง เช่นDomination, Cultural, Vote, Science มันไม่สำคัญว่าจะเป็นHegemonyแบบใหน สำคัญที่ว่าใครมีHegemonyมากที่สุด และสิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างคือ"การแข่งขัน" ทุกๆฝ่ายมีสิทธิสถาปนาHegemony แต่ใครจะมีHegemonyมากที่สุดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับกูคือ"ผู้เหนือกว่าย่อมมีสิทธิปกครอง(มากที่สุด)" แต่จะปกครองและสถาปณาHegemonyได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง
ที่ผ่านมาในโลกก็เป็นไปตาม >>242 ว่านะ สมัยหนึ่งเคยมีมองโกลปกครองครึ่งโลก(อย่างสงบสุขด้วยเหอะ) สมัยหนึ่งเคยมีโรมัน สมัยหนึ่งเคยมีจักรวรรดิอังกฤษ สมัยที่พวกนี้พีค ต่างก็มีอำนาจนำแบบไร้ต่อต้านทั้งนั้น แต่อำนาจนำมันอ่อนลงได้ด้วยหลายๆ สาเหตุ อย่างสุขสบายนานเกินไป แย่งอำนาจกันเอง หรือมีอำนาจอื่นมาท้าทาย ในชินเซไคก็เป็นงั้นเหมือนกัน มนุษย์พลังจิตขึ้นมาปกครองได้ ก็ถูกพวกหนูผีท้าทายได้
ส่วนตัวคิดว่าแนวคิดปกครองให้อยู่แทบเท้ากันแล้วจะล่มจมทั้งสองฝ่ายนี่เป็นการมองแบบสุดกู่เกินไปว่ะ ซึ่งก็เห็นได้ตามงานเขียนเรื่อยๆ นะ
ในยุคสงครามโลกหรือสงครามเย็น จะมีแนวๆ นี้เยอะ
เออ อีกอันที่เหี้ยมากๆ ในแนวดิสโทเปีย คือโลกของเรื่อง The Time Machine ต้นฉบับนิยาย ที่พวกกรรมมาชีพวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์สังคมระบบรังอาศัยอยู่ใต้ดิน ล่าพวกที่วิวัฒนาการมาจากชนชั้นนำที่กลายเป็นสัตว์สวยงามไม่ทำการทำงานกินเป็นอาหาร
สุดท้ายแล้วพวกข้างล่างแดกพวกข้างบนหมด สูญพันธุ์เกลี้ยง
กูเข้าไปดูเทรนทวีตของไทยมา #คนไทยอ่านปีละ50เล่ม
มีคนแนะนำอิด๊อกปอบด้วยว่ะ สิ้นหวังแล้วววววว 55555
>>249 มันมคโทรลรสนิยมสูงชั้นดาวพลูโตมาแหกปากทุกทีที่พูดเรื่องที่ไม่ถูกใจมันไง คนอื่นเลยพูดเพื่อมีคนถาม จะได้ไม่รกกระทู้จบเรื่องไวๆ
เข้าเรื่องนิยาย กูอยากอ่านหนังสือsci-fiดีๆแบบภาษาไทยอะ ใครมีเรื่องไรแนะนำมั่ง คือถ้าหนังสือประเภทอื่นกูพออ่านอังกฤษได้นะ แต่sci-fiนี่กูไม่ใหวจริงๆ แพ้ศัพท์เทคนิค
I robot นี่เป็นดิสโทเปียรึเปล่า หรือแค่ไซไฟเฉยๆ สงสัยมาก
>>251 Dune บอกแล้วว่าอย่าเด็ด ปกติสามารถทนอ่านแปลห่วยระดับ World War Z ได้ แต่Duneแม่งแปลไปเหนือกว่านั้นอีก จนกูอ่านมาแล้วครึ่งเล่มแล้วยอมแพ้ อ่านไปเหมือนโดนมอมยานอกจากแปลคำห่วยแล้วแม่งยังเรียงประโยคเหี้ยสัดๆ เหมือนกูต้องเล่นเกมไขปริศนาเอาประโยคมาต่อให้ได้ใจความ
โลกนี้มีอะไรแปลเหี้ยกว่าwwzอีกเหรอวะ
สถาบันสถาปนามีพิมพ์ใหม่หรอวะ ของสนพ.อะไร
ไซไฟแปลไทยมันดับเพราะคนไทยไม่ชอบอ่านอะไรยาก ไม่ใช่เพราะคนแปลศัพท์ประหลาดห่าเหวอะไรของมึง กุอ่านความคิดพวกมึงแล้วกุอยากเอาหัวโขกกำแพง ให้กับความฉลาดล้ำเลิศของพวกมึง พวกมึงอ่านจริงรึเปล่าวะ กูแนะนำว่าพวกมึงกลับไปอ่านภาษาอังกฤษเถอะ
กูว่าวงการนิยายไซไฟไทยนี่สมัยก่อนยังดูรุ่งเรืองกว่าอีกนะ มีนิตยสารชัยพฤกษ์แล้วก็รวมเรื่องสั้นไซไฟของนักเขียนดังๆ ด้วย กูมีเรื่อง "ห้องอนาคต" "ขายดวงดาว" อ่ะ เก่ามาก สมัยนี้แม่งเงียบกริบ... ขนาด Ender's game ยังต้องขายแบบสั่งจอง...
กูนอกเรื่องนิดได้ป่ะ เห็นบนๆ ดูเหมือนมีคนเขียนนิยายอยู่เยอะเหมือนกัน พวกมึงเคยน้อยใจไหมอ่ะที่สื่อรูปแบบตัวอักษรมันได้รับความนิยมน้อยกว่าภาพอ่ะ เคยนึกมั่งป่ะว่าถ้ามีคนเอาเรื่องของเราไปเขียนการ์ตูนมีหวังฮิตโคตรๆ ไรงี้อ่ะ
>>265 ไม่ว่ะ คนแต่งนิยายเขาภูมิใจในสำนวนของเขาด้วย ไม่ใช่แค่เนื้อเรื่อง ถ้าคิดเนื้อเรื่องเทพ = นิยายเทพ แบบนั้นมึงก็คิดเรื่องเทพๆอยู่ในหัวของมึงไม่ต้องแต่งออกมา จบ หรือเขียนเป็นซินนอปซิส แค่นี้ก็ได้ละ นิยายเทพ จริงม่ะ?
คนทำนิยาย เขาอยู่ได้ด้วยสำนวนว่ะไม่ใช่เนื้อเรื่อง ไอ้เซ็งที่ภาพมีการโต้ตอบเยอะกว่านิยายน่ะมีบ้าง แต่ไอ้การคิดว่าถ้าเรื่องของเราโดนเอาไปวาดจะดังมาก นี่กูว่าเป็นคนที่ไม่เข้าใจอะไรในการแต่งนิยายเลยนะ
ใช่ว่านิยายทุกเรื่องเอามาเขียนเป็นการ์ตูนแล้วออกมาดีจริงๆนะ
คนวาดการ์ตูนที่สามารถถอดอารมณ์กับเนื้อหามาได้โดยไม่เสียอรรถรสของนิยายนี่ต้องเก่งมาก
โดยส่วนตัวยกให้อ.ชิมิสึ อากิที่วาดกล่องภูตพราย อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าอ.ชิมิสึแกรักนิยายเรื่องนี้จริงๆ
ถ้าให้เลือกนิยายกับการ์ตูน กูเลือกนิยายวะ เพราะกูชอบเก็บรายละเอียด ซึ่งนิยายมันบรรยายได้ดีกว่า ยกเว้นพวกหน้าตาตัวละครนี่ละที่กูต้องการภาพ นอกนั้นไม่ต้องก็ได้ อ้อ พวกสิ่งของบางอย่างนี่มีรูปก็ดี อย่างพลั่วสยบซอมบี้ในWWZนี่กูนึกภาพไม่ออกจนไปหาในเน็ต แม่งเท่กว่าที่กูมโนเยอะเลย
นอกจากนักวาดกับนักเขียนแล้ว กูยังอยากนับถือนักแปลอีก แต่ละอย่างหาข้อมูลกับทำความเข้าใจได้ไงว้าาาาา
อ.ชิมิสึถ่ายทอดดีมาก ข้อมูลครบ อารมณ์ครบ แอบบอกด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าเข้าใจง่ายกว่าตอนเป็นนิยายอีกต่างหาก (โดยเฉพาะปริศนาหัวกะโหลก)
ทริคที่คิดว่าจะวาดออกมาเป็นการ์ตูนยาก อาจารย์แกก็อุตส่าห์วาดได้อีก ซูฮกพะยะค่ะ
>>273 กูซื้อมา แต่ยังไม่ได้แกะอ่านเลย โอเค กูจะรีบอ่านเลย
มีโม่งคนไหนอ่านผู้ชนะสิบทิศบ้างมะ ในเรื่องกูชอบคู่นันทวดีกับมังตรามากเลย ดูหงอเมียมากๆแต่ก็ยังเหล่หญิงอื่นอยู่นะ จะเด็ดแม่งเจ้าชู้ชิบ ไปที่ไหนก็มีเมีย ในเรื่องกูชอบตะละแม่จันทรานะ นางเป็นเมียที่ยิ่งใหญ่ดี อีกคนก็นันทวดีที่เอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อด้วยความเต็มใจเพราะรู้ว่ายังไงจะเด็ดแม่งก็ต้องมาตีเมืองคืน
กูพึ่งถูกหวยมาว่าจะซื้อหนังสือ
เลือกอะไรดีวะ ระหว่างเด็กเตอร์ซีรีย์กับไมรอนซีรีย์
Dexter
ฮาลาน โคเบน เป็นนักเขียนที่กูชังมาก
หมายถึงไมรอน โบลิทาร์สินะ
ยังไม่ได้อ่าน Dexter สักที แต่ถ้าไมรอนมันจะมีพวกมุกฮากริบแบบเมกันหน่อย พวกคดีจะเดาค่อนข้างง่ายอยู่ แต่ก็ลุ้นตามได้ ถ้าชอบกีฬาอาจจะอ่านสนุกขึ้นนิดหน่อยเพราะประเด็นมันจะอยู่กับพวกนักกีฬาเยอะ สรุปคือเป็นแนวสืบสวนที่อ่านสบายๆ กูอ่านสนุกเพราะตัวละคร +จิ้นวายได้ด้วย(ถ้าไม่ได้ชอบวายก็ถือว่ามันคุยเกย์กันฮาๆดี)
ใครรีวิวเด็กซ์เตอร์ต่อที เล็งมานาน ไม่เคยอ่าน ไม่เคยดูซีรีส์อะไรหนุกกว่าวะ
ถ้านิยายของฮาลาน โคเบน มันจะมีแพทเทิร์นซ้ำๆกันเกือบทุกเรื่องเว้ย แบบ...พระเอกตกที่นั่งลำบาก ตัวร้ายเก่งมาก ใช้อำนาจมืด ส่งคนมาข่มขู่พระเอกและผองเพื่อน พระเอกหนีตาย ต้องไปสืบคดี พบว่าคนร้ายเป็นคนที่คาดไม่ถึง กูอ่านมาทุกเรื่องเลยจับทางมันได้ละ แต่ก็ยังอ่านอยู่นะ
นิยายสืบสวนญี่ปุ่นกับฝรั่งนี่มันมาคนละขนบกันเลยนะ อ่านของญี่ปุ่นเยอะๆ แล้วอ่านของฝรั่งไม่ค่อยสนุกเลยว่ะ
ไม่ได้บอกว่าใครดีกว่าใครนะ แค่เป็นความชอบน่ะ
ฝรั่งกูชอบของไมเคิล คอเนลี่ เป็นขั้นเป็นตอน ไม่บ้าบอใส่อะไรให้มันดูจงใจบิ๊วอารมณ์มาก
ญี่ปุ่น อ่านแล้วสยิวดี ชอบแบบสมัยเก่าหน่อยๆ ได้รู้ได้เห็นสภาพสังคมค่านิยมสมัยก่อนด้วย คินดะอิจินี่ประทับใจจอร์จที่สุด
กูชอบงานโป มันดำๆมืดๆดี ส่วนของคินดะอิจินี่บางเรื่องวิปริตสุดๆอะ แบบปู่อยากอึ๊บหลานเลยสร้างห้องเอาไว้แอบดู สร้างสวนวงกตที่เอาไว้มองคนที่เดินเข้าไปในนั้น คินดะอิจิรุ่นหลานกูชอบตอนหมู่บ้านหกมุม ซานตาครอสเคราแดงกับทะเลสาปพ่ายรักว่ะ มันเศร้ามาก
นิยายฆาตกรรมกุว่าต้องของยุโรปว่ะ อย่างของเย็ดโด้นี่อ่านไปหนาวไป
ตอนอ่านมึงต้องสร้างบรรยากาศหน่อย ๆ แอร์เย็นๆ ไฟสลัวๆ อ่านตอนดึกๆ เงียบๆ
ถ้าเรื่องความวิปริตนี่แนะนำเอโดงาวะ รัมโป
เสียดายที่งานเขาไม่ค่อยมีแปลไทย
รัมโปเห็นแปลอันเดียวของผีเสื้ออะ อยากอ่านพวกนัตสึเมะ โซเซกิด้วยแต่ยังไม่เห็นมีที่ไหนเอาเข้ามาเลย
โซเซกิเคยมีสำนักพิมพ์ฟรีฟอร์มแปลเรื่อง บจจัง แต่จำชื่อไทยไม่ได้ละ
อ้อ ถ้าอยากอ่านวรรณกรรมญี่ปุ่นเด็ดๆ โอเอะ เคนซาบุโรก็มีแปลไทยเยอะอยู่
กูเคยเห็นโคโคโระแปลไทยนะ แต่เก่ามากๆแล้วสมัยกูเรียน
ถึงจะอ่านภาษาญี่ปุ่นออก แต่กูว่าวรรณกรรมคลาสสิคญี่ปุ่นนี่ไม่สนุกเลย... มันชืดๆ ไม่มีไคลแม็กซ์ว่ะ อ่านแล้วงง
ถ้า 純文学 นี่มันไม่เน้นเนื้อเรื่องนะ เน้นสำนวนภาษา โดยมากอ่านแล้วจะอารมณ์ WTF มากกว่า
อยากรู้ว่างานของมุราคามิมีดียังไง
คืออ่านนอร์วีเจียนวู้ดกับทาซากิ ซึคุรุแล้วรู้สึกเฉยๆ งงๆ เราโง่จนเข้าไม่ถึงหรือยังแก่ไม่พอจะเข้าใจชีวิต
นอร์วิเจี้ยนวู้ดกูเคยเช่ามาอ่านแต่อ่านไปได้บทสองบทก็หลับ เลยไปถามจากเพื่อนที่เคยอ่าน เพื่อนบอกมันเอากันทั้งเรื่อง.....มันจริงป่าววะ กูไม่เคยอ่านรีวิวอื่นๆนะ แต่มันพอจะมีประเด็นอะไรให้กูสนใจติดตามอยากอ่านต่อได้มั่งวะ
ไอ้เหี้ยคนแปลมันอีโมไง มึงลองไปอ่านฉบับอิงดูมึงจะเห็นความแตกต่าง
ไอ้อีโมนี่มันเสือกแปลจากฉบับอิงที่แปลมาจากยุ่นอีกที บวกอารมณ์อีโมส่วนตัวเข้าไปมึงคิดดูสิว่ามันจะห่างไกลจากออริจินอลแค่ไหน
กุแอบหัวเราะทุกครั้งที่มีคนบอกว่าอ่านมุราคามิของกำมะหยี่แล้วชอบมาก อารามณ์มันลึกซึ้งมาก ควยยยยยเหอะะะ
ส่วนไอ้ความเซอเรียลมันก็มีอยู่ตามสไตล์มัน ส่วนมากกุชอบบทสนทนาในเรื่องมากกว่าเนื้อเรื่องว่ะ
มุราคามิของกำมะหยี่หลังๆ ก็ไม่ได้ใช้นพดลแปลป่ะวะ หันมาแปลตรงจากญี่ปุ่นล่ะ มึงอย่าเหมารวมดีกว่านะ
>>299 .... ทำไมมันฟังแล้วเหมือนไม่ใช่ ... เอากันทั้งเรื่องนี่ห่างไกลก่ะคำจำกัดความของนอรฺวิเจี้ยนวู้ดนะ
กุเป็นติ่งมุราคามิว่ะ อ่านทั้งภาษาอังกฤษและไทยถ้าอ่านภาษาอื่นได้ก็จะอ่าน กุอยากอ่านภาษาญี่ปุ่นออกที่สุดจะได้อ่านต้นฉบับ
กุว่างานมุราคามิมันไม่อยู่ที่พลอทว่ะ มันอยู่ที่อารมณ์ คือเนื้อเรื่องช่างมันเหอะ แต่อารมณ์มันแบบได้อ่ะ
แล้วอารมณ์ที่ว่าเด่นๆ คืออารมณ์เหงาอึนๆอ่ะ เวลาอ่านจะรู้สึกหน่วงๆอึนๆ
อ่านจบแล้วแบบ เหี้ยกุเหงา กุวอนท์ซัมบอดี้ แต่พอเพื่อนมาชวนไปดูหนังกุก็จะตอบว่า ไม่เอาอ่ะอยากอยู่คนเดียว อยากไปทะเลคนเดียว
แล้วพอคนถามว่ามึงไปทำห่าอะไรคนเดียว กุก็จะบอกว่ากุไม่รู้กุเหงา ...
.... อะไรเงี้ย มึงเข้าใจกุไหม
แนะนำพวกหนังสือรวมเรื่องสั้นหน่อยดิ
มุราคามิกูชอบพวก พินบอล, Dance Dance dance กับ Sweetheart อะไรซักอย่าง
กูถามมึงหน่อย sputnik Sweetheart กับคาฟกา วิฬาร์ นาคาตะนี้เป็นไงวะ ถ้ากูจะเริ่มอ่านนิยายมุราคามิจากสองเรื่องนี้มันจะดีมั้ย
กุอ่าน Norwegian wood ได้จนจบเพราะรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติในเรื่อง ประมาณว่าเด๋วต้องมีใครซักคนสติแตกแน่ๆ แต่อ่านจบแล้วก็เฉยๆ
คาฟกัาแมวนี่เป็นเรื่องของคนสองคนมั้ง คนนึงเป็นชายหนุ่มที่มีชะตากรรมต้องเอาแม่ฆ่าพ่อ กับนากาตะตาลุงแก่ๆคนนึง กูอ่านนานแล้ว จำไม่ค่อยได้ จำได้ว่ากูค่อนข้างพยายามมากจนถึงช่วงท้าย 55555
เรื่องสั้นมุราคามิมีหลายเล่มนะ ลองอ่านจากเรื่องสั้นดูก่อนก็ได้ กูว่าน่าจะดีกว่า
เออ พวกมึงแนะนำแนวอีโรติกดีๆให้กูหน่อยได้ไหม กูอ่านปริมณฑลแห่งรักในมติชน ชอบสำนวนมากเสียดายแมร่งยูริ กูอยากได้ชายหญิง มีตอนโม้กจะดีมาก
อ่านฟรานส์คาฟก้ากันเลยดีกว่า(ไม่เกี่ยวอะไรกะมุราคามิเลย แต่เห็นชื่อคาฟก้าแล้วนึกถึง) ยังเห็นมีแปลขายอยู่นะ
>>310 ชุด In Death ของเพิร์ลอะ อีโรติคด้วย แล้วก็สืบสวนสอบสวนด้วย คดีค่อนข้างวิปริตและป่วยทางจิต บางเล่มโครตป่วยเลย อย่างฆาตกรเด็กหรือฆ่ากันตายในครอบครัวเพราะขัดขากันเรื่องผลประโยชน์ น่าจะยังหาได้อยู่นะเพราะออกมาเยอะอยู่ 25 เล่ม นางเอกเป็นตำรวจ พระเอกเป็นนักธุรกิจ
พวกณาราอะไรนี่ก็มีโม้กนะ แต่มันสวะไป ถ้าอ่านเอาเย็ดอย่างเดียวแนะเรื่องกลรักลวงใจ ธาราหิมาลัย เหตุผลเชี่ยอะไรโยนทิ้งไปให้หมด
พวกมึงจะคุยนิยายเอากันทำไม เดี๋ยวก็มีคนมาด่าว่าคุยนิยายชั้นต่ำอีก หัดมีรสนิยมวิไลไปถึงดาวเนปจูนหน่อย
ถึงดาวอังคารให้ได้ก่อนเหอะ
อิโรติกนี่แหละ ถ้าเขียนได้สวยล่ะก็มีรสนิยมโคตรๆเลย
>>303 กูเป็นเหมือนมึงเลย อ่านแล้วแม่งเหงาชิบหาย
กูอึนอยู่พักนึง แล้วก็เหงา แต่ถามว่าแล้วอยากมีใครมั้ยก็ไม่ 5555
ถามว่ากูชอบไหม กูก็ตามอ่านหมดนะ 1Q84นี่ก็สนุกดี
แต่พินบอลนี่เฉยๆ อิแกะนี่แทบเขวี้ยงทิ้ง แบบ เชี่ยอัลไลลล
>>306 sputnik Sweetheart นี่กูชอบอ้ะ
เข้าใจอารมณ์คนแอบรัก กูแอบอิน 555
กูมารู้จากห้องนี้แหละว่าคนแปลแปลมุราคามิได้แบบ...มาก
กูจะพยายามอ่านจากengเอามั่งนะ (ส่วนเวอร์ญี่ปุ่นปล่อยเบลอ55)
พวกเรื่องสั้นของนักเขียนยุโรป อเมริกา มีใครเจ๋งๆบ้างอะ
เคยอ่านแต่โปที่พวกมึงแนะนำมา ปกติอ่านแต่โนเวลหรืออย่างมากก็ชอตโนเวล
ถ้าเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว กูเชียร์ Different Seasons ของป๋าสตีเฟ่น คิง เรื่อง Shawshank redemption ก็อยู่ในนี้ด้วย ถ้าจำไม่ผิดนะ
สตีเฟ่น คิง แนะนำเรื่อง The Shining / Misery
เฮมิ่งเวย์ แนะนำเรื่องเฒ่าผจญทะเล
นาโบคอฟ แนะนำเรื่องโลลิต้า ภาษาสวยมาก อ่านอังกฤษจะยิ่งดี
อาซิมอฟ แนะนำเรื่อง สถาบันสถาปนา
มาร์ค ทเวน แนะนำเรื่อง การผจญภัยของทอม ซอว์เยอร์
โทลคีน เดอะลอร์ดยาวไปแนะให้อ่านเดอะฮอบบิท
โทมัส มอร์ Uthopia
ที่เคยอ่านมีแค่นี้ว่ะ รอคนอื่นมาเสริมละกัน
เชียร์มั่ง
The Yellow Wallpaper ของ Charlotte Perkins Gilman
และ Metamorphosis ของ Franz Kafka
อ่านจบกูวางถุงกาวแล้วตั้งสติเลย
ว่าไปกูยังหาซื้อ misery ไม่ได้เลย ชี้แหล่งให้หน่อยได้มะ จะไปคุ้ยที่จตุจักรก็ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น
Metamorphosis มันใช้ภาษาง่ายๆ เล่าเรื่องธรรมดาๆ ไม่พรรณนาอะไรมากมาย
คนเลยตีความเนื้อเรื่องกันได้หลายแบบ ขนาดรูปแมลง คาฟคายังไม่ยอมให้เอาขึ้นปกเลย เพราะอยากให้คนจินตนาการเอาเอง
หลายคนอ่านแล้วชอบมาก เพราะรู้สึกว่าตีความแล้วเข้ากับชีวิตตัวเอง
กูอ่านแล้วโคตร depressed แต่กูก็อ่านหลายรอบ ทั้งไทยทั้งอังกฤษ
ถ้ากูอ่านเยอรมันออกก็คงจะหามาอ่านเหมือนกัน
อยากไดหนังสือเด็กๆแต่ให้แง่คิดดีๆแบบเจ้าชายน้อยวะแนะนำหน่อยย
พวกมึงเคยมีนิยายที่ความรู้สึกชอบพลอตมันมากๆ อ่านแล้วทรมานชิบหายบ้างมั้ยวะ
คือกูเจอเรื่องนึงแล้วเห็นว่าพลอตแม่งเจ๋งดี ตอนคนแนะนำมานี่กูแทบจะแหกโค้งไปจกมาอ่าน
ปัญหาคือแต่พออ่านแล้ว กูรุ้สึกว่าความสามารถในการดำเนินเรื่องเค้าแม่งเอื่อยเฉื่อยเป็นบ้า อ่านแล้วเหมือนจะหลับ
ไปบ่นกับคนที่อ่านมาแล้วคนเค้าจะบอกแต่แค่ว่า "เรื่องนี้มีของนะ" "อย่าอ่านเอาภาษาดิ"
กูก็แบบ....กูก็อยากเสพย์ตัวพลอตเมนเรื่องหลักนะ แต่การเสพย์แม่งต้องอ่านไง กูพยายามแล้วแต่แม่งเปิดแต่ละทีก็เหี่ยว OTL
ไม่เคยอ่านเรื่องนี้นะ แต่เคยอ่านอีกเรื่องของคนนี้ในเด็กดี ภาษามันเป็นภาษาวัยรุ่นมาก เล่นมุกปัจจุบันที่ถ้าไม่ตามข่าวคงไม่ขำ สำนวนเวิ่นเว้อพอควร น้ำก็เยอะ มึงอ่านข้ามๆไปก็ไม่มีปัญหา
คนเขียนนี่จะว่าเขียนดีก็เขียนดี เพราะจับจุดเด่นที่น่าจะดังและขายได้มาเขียนตลอด แต่ข้อเสียคือพยายามทำให้ภาษาตัวเองดูสวย และน้ำเยอะ บางแง่ไม่ถึงกับเป็นข้อเสียอะไร ขึ้นอยู่กับแนวนิยาย แต่อาจจไม่เหมาะกับแนวที่ต้องการๆเดินเรื่องฉับไวเท่าไหร่
ปล. แต่ในนักเขียนสถาพร กูให้เครดิตมันพอควรนะ อย่างน้อยกูก็รู้สึกดีกว่าของmasalanเยอะ อันนั้นให้เปิดยังรู้สึกหนักมือเลย
ลองเมนท์ไปบอกเขาหลังไมค์ดีมั้ยวะ เผื่อจะได้ปรับปรุงให้ดีขึ้น มาพูดแบบนี้คงไม่ได้อะไรว่ะ กูเคยส่งคอมเมนต์ไป(ไม่ใช่เรื่องนี้นะ)ไม่รู้เปิดอ่านรึเปล่า กูก็โอเค ถือว่าได้บอกแล้ว
>>336 เห็นเค้าเขียนออนไลน์ด้วยแต่ไม่ได้อ่าน มีเรื่องแรกนัยน์ตาสะกดมิติไรนั่น กับเรื่องนี้ ที่กูสนใจ กูว่าเค้าเป็นคนที่พัฒนาได้อีกนะ
คือพล๊อตน่าสนใจดีจัดว่ามันแปลกใหม่และเจ๋ง ติดที่ภาษานี่แหละ ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ อ่านละง่วงเหี้ยๆ น้ำนอง
มึงอย่าพูดถึงmasalan แม่งคนละเรื่องกันเลย กูโอเคที่จะเสียเงินให้SCนะแม้ภาษาจะทำให้กูหงุดหงิดใจ
แต่masalanนี่อิห่า...กูสงสารยันต้นไม้ที่ทำกระดาษให้แม่งพิมพ์
>>338 masalan นี่กูซื้อเรื่องจ้างมา ป๋าจัดให้ เพราะกูเห็นเซเบอร์ใส่สูทดำบนหน้าปก อ่านๆไป ไอ้เหี้ย สงครามจูนิเบียว ชื่อพระเอกก็จูนิเบียว แถมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องการ์เดี้ยนของมันที่กูยังไม่ได้แกะอ่านอีก กูรู้สึกเสียใจมากเบย สปอยได้มั้ยวะว่ามันสนุกมั้ย ซื้อมาแล้วควรจะอ่านเพื่อให้คุ้มค่าเงินมั้ย
เออ ขอบใจมาก กูไล่อ่านกระทู้เก่าอยู่ เพิ่งเห็นว่ามีคนรีวิว กูควรเอาไปขายต่อสินะ
ไอ้เหี้ยจะร้องไห้ที่บ้านกูมีอยู่เล่มนึง
กูจะเขียนหนังสือ "นิ้วกลมใน 1 ชั่วโมง"
โดยรวบรวมมุมมองความคิดและวิธีคิดทั้งหมดของนิ้วกลม มึงว่าจะขายออกไหมวะ
เด็กๆจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาอ่านสี่สิบห้าสิบเล่ม
เพราะนิ้วกลมมันก็วนอยู่ไม่กี่เรื่อง กุรวมรวมแพทเทินไว้หมดแล้ว
อาทิมิสฟาวสนุกไหม
อาร์ทีมิสกูชอบเล่มแรกที่สุดละ
อาร์ทีมิสอ่านถึงแค่สามเล่มแรกพอหลังจากเปลี่ยนนามปากกาเขียนเหี้ยลง 120%
ถามนิยายเก่าหน่อย ที่เป็นเด็กสามสี่คนเรียนห้องเดียวกัน แล้วพระเอกมันชอบสาวคนนึงที่ลึกลับๆ หน่อยในห้อง
แล้วเกิดเรื่อง พวกพระเอกกับเพื่อนอีกสามคนหลุดไปในโลกเทพนิยายที่รวมๆ กันหลายอย่าง โดนพวกออร์คจับมั่ง พยายามหนีมั่ง แล้วก๊มีต้องพยายามตามหานางเอกคนนั้น
ตอนเดินเรื่องจะเปลี่ยนตามมุมมองความคิดเล่มละคน เวลาหลุดไปอีกโลกจะเป็นตื่นในโลกนั้น เวลานอนจะกลับมาโลกเดิม
คำว่า เชื่อขนมกิน นี่มันหมายความว่าไงวะ อ่านิยายย้อนยุคของไทยแล้วเจอคำนี้บ่อยจัง มันหมายถึงเชื่อฉันเถอะหรอ แล้วทำไมต้องเป็นเชื่อขนมกินอ่ะ เกี่ยวไรกะขนม แล้วกินมาจากไหน
>>357 เชื่อขนมกินได้เลยนี่ มันคือการรับประกันว่าคนที่เอาขนมจากร้านนี้ไปแดกจะมาจ่ายตังทีหลังแน่นอนไม่ทีชักดาบ เลยเอามาเปรียบเป็นสำนวนว่ารับรองได้ เชื่อถือได้
>>358 หลักสูตรสมัยนี้เขาไม่ได้สอนเรื่องสำนวน คำพังเพยแล้วเหรอวะ สมัยกูเรียนให้ทำบัตรคำเป็นเล่มๆ หาสำนวนที่ชอบจากพจนานุกรมแล้วจดไว้ในบัตรคำนั่นล่ะ
อัฐยายซื้อขนมยายอปลว่าไรอ่ะ ไม่เคยได้ยินเลย
>>357 เหี่ยอ่านแล้วคิดว่าตัวเองแก่ เดียวนี้เขาไม่สอนแล้วหรือวะ
เชื่อขนมกินได้ ..แปลว่าเชื่อถือได้ เป็นคำเปรียบเปรย เชื่อในที่นี้หมายถึง กู้ยืมนะมึง ไปเอาขนมเขามากินไม่จ่ายตังส์ เดี่ยวค่อยกลับมาจ่าย แล้วเจ้าของร้านเขายอมให้เซนต์ไง... แปลว่าคนนั้นมีเครดิตดีไรงี้อะ
อัฐยายซื้อขนมยาย .... แปลว่า เอาเงินเขามาซื้อของในร้านเขาเอง ซึ่งเชิงเปรียบเทียบว่า เจ้าของร้านคนนั้น(ยาย) มีแต่เสียกับเสีย อีคนทำก็มีแต่ได้กับได้ต้องไม่ลงทุน "อัฐ" แปลว่า เงิน มาจากสมัยก่อน เขาใช้เบี้ย ใช้อัฐแทนเงินไง .
ผิดถุกยังไง รอเพื่อนโม่ง ที่แก่..ทัน มาแก้นะจ๊ะ ...
กูไม่รู้ว่าเขาสอนไม่สอนหรอก แต่พวกสำนวนมึงไปถามอากู๋ดูก่อนก็ดีนะ เออถ้าจะถามที่มาสำนวนที่หาไม่เจอค่อยมาถามก็ได้
นึกถึงตอนอ่านจันดารา ไปงงกับคำว่า ไม่อินังขังขอบ ต้องไปถามแม่เอา
ว่าไปกูสงสัยอย่าง สตึแปลว่าอะไรวะ ค้นกูเกิ้ลมีแต่สติให้กู สงสัยมานานแล้วตั้งแต่เห็นเพื่อนโม่งคุยกันผ่านๆ
The World of Ice and Fire อย่าซื้อฉบับ e-Book
อ่านง่ายแต่ไม่สวยเท่าปกแข็ง
เล่มจริงสวยมากถึงจะเล่มใหญ่เวอร์ก็เถอะ
ปล. ราคา 1000++
ตํานานแห่งซิลมาริลนี่แปลดีไหมอ่ะเพื่อน
จะหาอะไรอ่านก่อนหนังเข้าโรง
พวกมึงมีใครมี 2 เล่มนี้ในครอบครองบ้าง
Celtic Myths and Legends
The Norse Myths (The Pantheon Fairy Tale and Folklore Library)
มันดีหรือไม่ดี? ถ้าไม่มีคนมีกูจะได้ไปซื้อตอนปลายเดือนเลย แต่ถ้าไม่ดีบอกกูกูจะได้ไปหาเล่มอื่น
เปิดโลกนิยานสืบสวนให้กูหน่อยสิเพื่อนโม่ง กูเคยอ่านแค่โฮมส์กับงานของอากาธา
>>381 เอลารี่ ควีน นักสืบหนุ่มพลังล้นเหลือ ไม่อมข้อมูล คนเขียนตั้งใจท้าคนอ่าน ถ้าชอบคิดตามให้อ่านคนนี้
ฟิลิป มาร์โลว์ ถ้าอยากเห็นหน้านักสืบแนวกร้านโลก ดื่มจัดสูบจัด แบบที่เห็นในหนังเก่าๆ ก็คนนี้เลย
มีสนพ.พยายามแปลและพิมพ์ซีรี่ย์สองคนนี้อยู่ หาอ่านได้
ส่วนตัวคดีเนี่ย ยุค CSI แล้วมันไม่มีอะไรให้ว้าวแล้วมั้ง
ฮาลาน โคเบน กูแนะเรื่องหายกับอย่าบอกใคร หักมุมซับซ้อนสับสนดี แต่มึงต้องทนความขี้บ่นของตัวเอกและความเมพของตัวร้ายได้นะ
พระอาทิตย์เที่ยงคืน ไม่เชิงสืบสวน แต่มีคดีหลายคดีเกิดในนี้ คนร้ายนี่ตำรวจรู้อยู่เต็มอกว่าใคร ขาดแต่หลักฐานกับเบาะแสที่จะสาวไปหาตัวการ
ฆาตกรรมบนถนนมอร์ก ของโปนี่ก็ใช้ได้ หักมุมนิดๆและคาดไม่ถึง
โฮล์ม แมวสามสี พระเอกเป็นตำรวจ คอยไขคดีโดยมีแมวช่วยนิดหน่อย
ยาคุโมะ นักสืบวิญญาณ อันนี้ออกแนวเรื่องเหนือธรรมชาติ พระเอกตาแดงเห็นผีเห็นปีศาจได้
ตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบวังหลวงยุคบูเช็คเทียน มีเรื่องการเมือง ราชวงศ์แทรกเข้ามาด้วย
ถ้าเป็นมังงะกูแนะนำ Q.E.D. พระเอกเป็นอัจฉริยะที่ฟังเรื่องเล่าจากนางเอกก็ไขคดีได้ แต่จะไม่เอาตัวไปเสือกกับคดีนั้นๆนอกจากจะเหลืออด ส่วนนางเอกล้มหมีด้วยมือเปล่าได้ เรื่องเรียลพอสมควรตรงที่ีหลักฐาน พยาน แต่สำนวนอ่อนจนคนร้ายหลุดคดีไปก็มี ไม่ได้จบแฮปปี้แบบโคนัน
คินดะอิจิ 27 เล่มแรก ดาร์ก มืด หดหู่ คดีโหดๆอย่างฆ่าหั่นศพ ฆ่าตัดคอ ถ่วงน้ำทั้งเป็น
ถ้าเกมแนะนำ Pheonix right เกมทนาย สืบสวนสอบสวน ว่าความกันในชั้นศาล ต้องหาหลักฐานช่วยลูกความ เกทับบลัฟแหลก แต่ภาษาอังกฤษต้องแข็งแรงนะถึงจะรู้เรื่อง
ที่ใหนยังขายสิทธารถะมั่งอะ แล้วควรอ่านฉบับใหนดี
หมายถึงที่แปลจากเยอรมันเหรอ เห็นมีคนแปลอยู่ แต่ยังหาไม่เจอว่าที่ใหนขาย
นาร์ซิซัสแอนด์โกลมุนต์เป็นยังบ้าง มีใครเคยอ่านมั้ย
กุเพิ่งรู้ว่ากำมะหยี่มันขายคาฟกาเล่มละเกือบ 500
โชคดีจริงๆที่กุอ่านฉบับอังกฤษเล่มละ 300 แปลไม่กากด้วย
กูอ่านเด็กเก็บว่าวจบแล้ว สะเทือนใจเป็นบ้า มีประเด็นเกย์ๆ แต่ไม่ใช่นิยายวายนะ มันออกไปทางมิตรภาพและความเชื่อใจกันมากกว่า แนะนำเรื่องนี้ให้เหล่าโม่งอ่านนะ
แม่งนิยายแปลป้าหลินประกาศเลื่อนอีกแล้ว... แม่งสามภพสามชาติตามชื่อเรื่องจริงๆ
งวดนี้เปลี่ยนคนวาดปก เลยขอยาวถึงมิถุนาปีหน้า แม่ม
เลื่อนอีกแล้วเหรอ... กูตั้งใจว่าจะเก็บสามภพสามชาติป่าท้อนี่เป็นชุดสุดท้ายแล้วนะ แต่ได้ยินว่ามันยังมีต่ออีกชุดที่เป็นเรื่องของลูกพระเอกนางเอกภาคแรกป่ะ... กูตายแป๊บ
ตัดมา...ป้าแกจะเลื่อนต่ออีกไหมให้ทาย
5. คุณ 猫君大白 เคยอ่านเรื่องลิขิตเหนือเขนยมาแล้ว จึงทราบเนื้อหา ฉากภายในเรื่อง และบุคลิกลักษณะตลอดจนอุปนิสัยของตัวละครดี เธอยืนยันว่าจะไม่ทิ้งงานวาดค้างกลางคันแล้วเลิกวาด และเนื่องจากเพื่อความสวยงามของปก จำเป็นต้องให้คุณ猫君大白 วาดใหม่ทั้ง 4 ปก จึงต้องให้เวลาเธอวาดปกละ 1 เดือน คือเดือนพ.ย.-ก.พ.
6. เพื่อให้กระทบต่อเวลาที่ท่านจะได้รับหนังสือน้อยที่สุด ทางเราจึงตัดสินใจว่า จะจัดพิมพ์และจัดส่งเล่ม 1-2 ก่อนในเดือนกุมภาพันธ์ ค่อยจัดส่งเล่ม 3-4 ในเดือนเมษายนพร้อมกับนิยายแนวปัจจุบันที่เคยเกริ่นไว้เมื่อเดือนที่แล้ว
เคยได้ยินว่าเจ๊แกทำงานละเอียดมาก สั่งแก้งานเป็นร้อยครั้ง กูแอบสงสารคนวาดเก่ามากกว่า เงินคงไม่ได้ซักกะบาทแต่ต้องคว่ำโต๊ะหนีเพราะทนไม่ไหว
เจ๊แกบอกว่า ที่นักเขียนปกขอยกเลิก เพราะคิดงานไม่ได้ไม่ใช่เหรอว่ะ ประมาณไม่อินเรื่องไรงี้ เลยตัน
อยากอ่านสามชาติสามภพแต่แม่งแพงชิบหายเลย
4 เล่มปกอ่อนสองพันห้า แม่งงงงงงงง. ตอนแรกคิดว่าปกแข็ง.
สองพันห้า ถ้าขายได้ซัก 500 ชุด แม่งมีเงินตั้งล้านสองแสนกว่าๆ แล้วค่าลิขสิทธิ์ซื้อมาตีพิมพ์พวกนี้มันแพงมากมั้ยกูไม่รู้ว่ะ แต่หักลบนั่นนี่แล้วน่าจะมีกำไรเหลือซักแสนสองแสนล่ะวะ
อยากบ่นนิยาย ยังทำได้อยู่ป่าววะที่นี่ หรือต้องคุยแต่นิยายชั้นสูงเท่านั้น
บ่นไปเหอะ ดีกว่าเงียบ ไอ้พวกรสนิยมชั้นสูงไปถึงดาวพลูโตนั่นช่างหัวมัน ถ้ามาโทรลล์อีกก็เมินไปเหอะ
กูสงสัยนานละไอ้แฮมสเตอร์ลงรูนี้กูไม่เข้าใจ อย่างอื่นมีให้เทียบไม่เทียบอย่าง งูเงี้ย ทำไมมันต้องแฮมสเตอร์ลงรู ทำไมแม่งต้องเอาสัตว์หน้าตาบ๊องแบ๊วมาแทนอะไรแบบนี้ด้วยวะ กูไม่เข้าใจ
งั้นขอบ่นหน่อยละกัน
กุอ่านงานของป้าหลินแล้วกุว่ามันธรรมดาชิบหายเลยว่ะ ทั้งเนื้อเรื่องและความสละสลวยของภาษาไม่มีอะไรน่าประทับใจเลย
ก่อนอ่านกุตั้งความหวังไว้พอสมควรแต่ก็เผื่อความผิดหวังไว้เหมือนกัน เพราะเรื่องที่ดังเพราะคนอวยมักจะทำให้กุผิดหวังเสมอ
งานแกเขียนเอง หรือว่างานแปลวะ งานแกเขียนเองกุว่าก็พออ่านได้ ส่วนงานแปล กุว่าเรื่องที่แกเลือกมาทำขายเองมันอึนๆ มันไม่สุดซักทางพิกล ถึงแกจะชอบบอกว่าเรื่องแกเนี่ยคัดแล้วคัดอีก งานดีสัสๆ ของดีมีคุณภาพ สามภพสามชาติภาคแรกอ่านแล้วกุว่าเฉยๆ ยิ่งม่านม่านแม่งยืดยิ่งกว่าลูฟี่แดกผลปีศาจอีก
อีกคนคือลวิตร แม่งอ่านแล้วจืดชืดเหมือนอ่านมังงะที่ผู้หญิงวาดเช่นพวก blue exorcist , magi
ถ้ากุไม่เคยอ่านพวกแฮรี่มาก่อนอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ หรือว่ามันเขียนไว้สำหรับผู้หญิงเท่านั้นวะ
magi นี่จืดดดดดดสุดตีนเลยล่ะ มันเหมือนจะวางพล็อตให้มีแง่มุมหลากหลายนะ แต่ทุกแง่มุมแม่งไม่พีคเลยสักอัน
ไม่ว่าเรื่องการวางแผน การเมือง บทบู๊ ความแฟนตาซี เหมือนจับมารวมๆให้มันดูหลากหลายไปงั้น แต่พอออกมาแล้วทื่อสัสๆ
กุว่าเพราะวิธีการเล่าเรื่องมันไม่ฉลาดด้วยแหละ
กุเคยไปวิเคราะห์ในพันทิปทีนึงก็โดนไล่กระทืบเละไปเรียบร้อย แต่ในมู้มังงะนี้ส่วนใหญ่ก็คิดเหมือนกับกุนะ
ส่วนที่กุงงมากที่สุดคือนิทเช่มันเกี่ยวเหี้ยอะไรด้วยวะ ?? กุรู้จักนะแต่กุไม่เข้าใจมึง ??
ก็มึงเอาไปเทียบกับแฮรี่แล้วบอกว่าจืดไง แฮรี่มีดีตรงที่เป็นhi-fantasyสูงมากและให้ความสดใหม่ในตลาด(ช่วงนั้น) แต่นอกนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก ถึงกูจะบ้ามันอยู่พักหนึ่ง แต่เนื้อเรื่องของแฮรี่นี่เดินตามขนบเหี้ยๆเลย กูอ่านheroes with a thousand faceเอาก็ได้
แล้วแฮรี่นี่นิยายเด็กดีมาก ในเรื่องแทบไม่มีคนตาย ตายก็ตายไม่โหด magiยังตายโหดกว่า ปาะเด็นและภาพก็matureพอควร ถึงกูจะคิดว่าหลายๆอย่างมันโลกสวยและไร้สาระก็เถอะ กูเลยขัดใจที่มึงอ้างแฮรี่ เหมือนมึงบอกว่าดราก้อนบอลจืดกว่าทอมแอนด์เจอรี่
ปล. เอาจริงๆกูก็คิดว่าmagiเป็นเรื่องโหลๆที่ดังเพราะเอาหลายๆอย่างมายำกันได้พอดี(สำหรับคนทั่วไป) แต่ประเด็นหลาบๆอย่างก็งั้นๆ แต่กูขัดใจที่มึงเอามาเทียบกับแฮรี่นี่ละ ถึงบอกให้เอาอะไรที่มันดีกว่านี้มาเทียบหน่อย
หลินโม่ว มีตำนานดราม่ากับคนวาดมาแต่โบราณการ นับแต่ ศึกจอมขมังเวท lol
เป็นเรื่องที่ดีจนจอมเวทวาร์ปมาฆ่าแม่ทัพ กูเลิกอ่านเลย
งานเจ๊หลินกูว่าม้าตีนต้นนะ ช่วงแรกๆ ที่แกลงให้อ่านฟรีนั่นกูอ่านแล้วติดมากกก ต้องควักกระเป๋าตังค์ซื้อ แต่อ่านจบแล้วรู้สึกไม่ฟินเท่าไหร่ แต่เข้าใจว่าที่ไม่ฟินเป็นเพราะคาดหวังสูงไป เจอความหนาของหนังสือที่เล่มหลังเชิงอรรถกินไปเพียบแล้วเลยแบ่บ... แต่กูนับถือว่าแกย่อยงานเก่งนะ เล่าเรื่องย่อได้สนุกน่าสนใจมาก อ่านเพลินมากๆ อ่ะ
ส่วนลวิตร์นี่ไม่รู้ว่ะ คือกูชอบไง เป็นนักเขียนที่กูอวยอ่ะ สไตล์งานของเขาอาจจะไม่เหมาะกับมึงแค่นั้นเองก็ได้ ไม่คิดว่ามันเป็นงานของผู้หญิงด้วย แต่ถ้างานละเมียดล่ะก็ใช่
ปล. มึงลองอ่านไมรอนยังล่ะ หนักๆ ดี อาจจะถูกใจก็ได้
สำหรับกู แฮรี่นี่อ่านแล้วเฉยๆ ไม่ได้อินอะไรมากมาย เท่าไหร่ว่ะ
ถามนิด กูหาไมรอนได้จากไหนวะ หรือกูมีทางเลือกเดียวคือต้องสั่งเว็บสนพ.เอา
กูชอบไมรอนนะ ปวารณาตนเป็นสาวกลวิตร์เลยแหละ แต่หลังจากอ่านเดมอนเบเกอรี่แล้วกูก็...
กุเทียบแฮรี่กับmagi ตอนไหนวะ มึงช่วยกลับไปอ่านใหม่ทีเถอะนะ ใครจะเอามังงะมาเทียบกับวรรณกรรมวะไอห่า
ถึงแฮรี่จะเป็นนิยายที่กูไม่ได้ชอบมาก เพราะกุไม่ได้อ่านแนวนี้เป็นหลัก แต่สำหรับแนวเดียวกันแล้ว ลวิตรแม่งเล่าเรื่องได้ทื่อมากเลยว่ะ ภาษาก็งั้นๆ
มึงไปอ่านงานยุโรปดู ขนาดกูอ่านภาษาอังกฤษที่ผ่านการแปลมาแล้วยังรู้สึกว่ภาษาและวิธีการเล่าเรื่องแม่งโคตรสวยงาม ถ้าอ่านต้นฉบับออกคงขึ้นสวรรค์
ส่วนเมไจนี่ต่อให้กุไม่เอามาเทียบกับวรรณกรรม มันก็เป็นหนังสือขยะรอขายทิ้งสำหรับกุอยู่ดีนั่นแหละ
อีกคนคือ"ลวิตร แม่งอ่านแล้วจืดชืดเหมือนอ่านมังงะที่ผู้หญิงวาดเช่นพวก blue exorcist , magi ถ้ากุไม่เคยอ่านพวกแฮรี่มาก่อนอาจจะรู้สึกดีกว่านี้"
มึงไม่ได้เทียบตรงๆแต่มึงเหมารวม ลวิตร์+มังกะที่ผู้หญิงวาด vs พวกแฮรี่(ยุโรป) แต่มึงจะแถว่ามึงหมายถึงลวิตรคนเดียวก็ได้ กูไม่ว่าอะไร
งานสายยุโรปแม่งก็ไม่ได้ดีไปหมดหรอก หลักๆที่มันมีดีคือเรื่องภาษา เพราะตลาดสายยุโรปเน้นเรื่องภาษาและสำนวน แต่งานกากๆก็ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่มันก็อยู่ภายในประเทศของมัน ไม่ได้ส่งออกมาให้มึงรับรู้ ถ้ามึงไปดูตลาดบนๆของไทย ระดับสำนวนภาษามันก็ไม่ด้อยกว่ากันหรอก
ปัญหานี้ก็เกิดกับLN พวกที่นำเข้ามานี่ถือเป็นสายpopularของวรรณกรรมญี่ปุ่น เรื่องภาษาต่อให้ไม่แปลก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมาก(อาจจะยกเว้นบาเกะ) ส่วนตลาดบนๆเขาก็เสพย์วรรณศิลป์ที่มีระดับอีกขั้น งานของพวกคินดะอิจินี่ก็เกิดด้วยสำนวนพอๆกับความลึกลับนั่นละ
แนวฝั่งตะวันตก กุชอบ โรอัลดาห์ แมรี นอร์ตัน ไรพวกนี้ กุเลยชอบจิ้นว่าแม่มด แม่งตัวหัวล้านเท่านั้น ถถถถถ
กูเถียงหน่อยละกันนะ กูผู้ชาย กูชอบงานลวิตร์ทุกเรื่อง ชอบสำนวนด้วย ชอบพลอตด้วย กูไม่มีรสนิยมคล้ายผู้หญิงสักนิด ถ้ามึงจะบอกว่าจืดเพราะดูเป็นเรื่องสำหรับผู้หญิง กูว่าลอจิกมึงพังแล้วว่ะ อย่าเอาตัวเองเป็นแกนโลกหน่อยเลยมึง
>>430 กูบอกว่าหลักๆ ไม่ใช่ทั้งหมด และภาษาของสายยุโรปมันก็เด่นจริงๆนิ เพราะตลาดบ้านเขามีรสนิยมแบบนี้ ยิ่งงานของฝรั่งเศสนี่ยิ่งต้องการเสพย์ภาษาหนักๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเนื้อเรื่องไม่ต้องซักหน่อย และถ้ามึงศึกษาเรื่องนี้จริงๆ งานเขียนสายยุโรปแทบทุกสาขาแม่งเล่นสะบัดสำนวนทั้งนั้นละ ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ยันงานวิชาการ บทนำงานวิจัยวิทยาศาสตร์ของเยอรมันยังเคยเอาวาทะของค้านท์มาใส่เลย(แต่กูก็อ่านจากอ้างอิงในภาษาอังกฤษอีกทีนะ)
ปล. มึงเป็นโทรลรสนิยมสูงตัวนั้นสินะ กูก็ไม่น่ามาเถียงกับมึงเลย
เหอ ตกลงแอบโทรลล์ป่ะวะ แต่ก็สนุกดีกว่าบอร์ดเงียบ กูว่าสไตล์การใช้ภาษาของลวิตร์คือเรียบแต่ลึกป่ะ แบบว่าเป็นคนที่แตกฉานแล้ว แต่เลือกที่จะเล่าเรื่องด้วยภาษาเรียบๆ แบบ minimalist มากกว่า ทีนี้พอมึงคาดหวังการใช้ถ้อยคำหรูหราไฮโซประหนึ่งเครื่องเรือนหลุยส์ที่ 14 มึงก็ต้องมาว่าจืดเป็นธรรมดา
>>435 กำ กูโคตรชอบผู้เสกทรายเลย แบบว่าเป็นงานโปรดของกูเลยอ่ะ ทุกวันนี้ยังอยากให้เขากลับไปเขียนงานหนักๆ มั่ง ถึงกูจะเอ็นจอย DB ก็เหอะ
>>433 แค่กูไม่ชอบงานลวิตรกูก็กลายเป็นโทรลไปแล้วสินะ การอ่านหนังสือมันไม่ได้ช่วยให้มึงโลกกว้างเปิดใจมากขึ้นเลยหรอวะ
กูไม่ได้ด่าว่าลวิตรมันรสนิยมต่ำอะไรเลยนะ กูพูดถึงงานของเขาอย่างเดียว
ไอ้เหี้ยแฟนเมไจก็ด่ากูเป็นโทรลทั้งที่กูก็ยังไม่ได้ด่ามันเลยว่ามันโง่อ่านการ์ตูนแบบนั้นไปได้ไงวะ
กูอยากรู้จังว่าจากที่มีงศึกษามา มึงอ่านงานยุโรปอะไรมาบ้าง เอาแบบไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้าน่ะ กุจะได้เชื่อว่ามึงไม่ได้พูดกว้างๆไปอย่างนั้นเอง
ปรกติกูอ่านสายวิชาการอย่างฟูโกต์ ค้านท์ มาร์กซ ไฮเดกเกอร์ แดริดาร์ แซนด์เดล มีทั้งจากภาษาไทยและอังกฤษ ซึ่งฉบับแปลอังกฤษของฟูโกต์นั้นเจ้าตัวชื่นชมมากว่าแปลได้ครบสมบูรณ์อย่างยิ่ง
ส่วนสายวรรณกรรมกูอ่านเฮสเส(ไทย) โทลคีน(ฉบับอังกฤษมีแต่อ่านไม่จบ) มอร์ ฮูโก้ ซาเบดรา ดันเต้(อังกฤษ) เดโฟ ตอลสตอย(ไทย-ยังอ่านไม่จบ)
เอาจริงๆกูก็ไม่ได้อ่าน(ฉบับอังกฤษ)จบทุกเล่มหรอก ซื้อมาประดับชั้นหนังสือซะมากกว่า แต่ปรกติกูอ่านข่าวภาษาอังกฤษ กูเลยรู้ว่ามันเล่นสำนวนกันยังไง แถมเรื่องการเล่นสำนวนในวงวิชาการยุโรปนี่เป็นเรื่องที่เลื่องลืออยู่แล้ว ฟูโกต์ยังเคยพูดเลยว่า"ถ้าคุณเขียนงานให้อ่านง่ายๆ คนจะถือว่างานของคุณนั้นต่ำต้อย ไม่ว่าข้อเท็จจริงในนั้นจะเป็นยังไง" ไอ้โล้นสติแตกนี่เลยเขียนงานที่อ่านยากสัดหมาที่สุดใน100ภาษาขึ้นมา
มีใครอ่านซีไรท์ปีนี้ยัง หรือแถวนี้ไม่อ่านแนวนี้กัน
เอาจริงๆ ไม่ประชดแบบบนๆ ไม่ได้อ่านอ่ะ ซีไรท์ (ถึงกูจะอ่านงานวินทร์บ้าง แต่กูอ่านเพราะเป็นวินทร์ ไม่ได้อ่านเพราะเป็นซีไรท์) แต่ชอบอ่านตอนคนในวงการวรรณกรรมสูงส่งลุกมาด่ากันเรื่องงานซีไรท์
กุอ่านซีไรต์บ้าง แต่ช่วงปีหลังๆไม่ได้อ่าน สุดท้ายที่อ่านน่าจะเจ้าหงิญมั้ง. พวกกวีซีไรต์นี่ยิ่งไม่ค่อยแตะเลย
รวบกวนสหายโม่งแนะนำนิยายไทยหน่อย
แฟนตาซี สำนวนสมัยใหม่หน่อย แต่ไม่ออนไลน์ก็ดี
ขอบพระคุณล่วงหน้า
มีแฟนโอตสีอิจิบ้างไหมวะ
>>448 กูชอบโอตสึนะ(อาจไม่ใช้แฟนตัวยงแต่ก็ถือว่าชอบ) แต่งานหนังสือที่ผ่านมาก็ยังไม่มีเรื่องใหม่เขาวะ กูเลยไม่รู้จะคุยไร ขอบ่นนิดหน่อยว่ากูผิดหวังกับกล่องจำลองฝันเขานะ พออ่านเจอที่บอกว่าหมดมุกเลยประกวดหามุก แล้วกูก็เข้าใจเลยว่าทำไมมันแย่เพราะเรื่องมันโดดไปโดดมาจนค่อยมาสนุกที่เรื่องหิมะนี้ละ
กูชอบช่วงโทรศัพท์สลับมิติ ดอกไม้ไฟ กะรอยสัก ไรนี้มากเลย แต่ช่วงหลังๆอ่านแล้วเฉยๆ
กูชอบ GOTH กับ ZOO น่ะ ของที่ J-Book เอามาทำชอบแค่ดอกไม้ไฟฯ เรื่องเดียว กูว่าคนโรคจิตในเรื่องของโอตสึมันดู real ดีนะ คือมันไม่มีเหตุผล ไม่ดราม่า ไม่เหี้ยอะไรทั้งนั้น มันทำก็เพราะมันอยากทำ จบอะ มีนักเขียนคนอื่นที่เขียนแนวนี้ได้อีกมั่งมั้ยแนะนำหน่อย
ช่วงหลังๆกูว่าหมดมุก(ฮา) แต่นิทานมืดกูชอบอยู่กูคงชอบเพราะคาแรกเตอร์นางเอกนั้นละ กับพลังคนร้ายกูว่ามันแปลกๆดี
>>451กูก็ชอบgoth กูอ่านแล้วได้อารมณ์คนโรคจิตที่ไม่มีห่าเหวอะไรแค่ก็กูโรคจิตอยากทำ จริงๆน่าจะเขียนแนวนี้บ่อยๆนะ ส่วนzooนี้กูชอบแค่7 roomวะเรื่อวอื่นกูเฉยๆบางเรื่องกูว่าไร้เหตุผลมากอย่างตอนเครื่องบิน งานเขียนเก่าๆเขาที่กูอยากอ่านอย่างเรื่องช็อกโกแลตแต่หาไม่เจอวะแย่จริง
พูดถึงเรื่องโหดกูอ่าน10คดีบาปแล้วกูโคตรคลื่นไส้ โคตรหยะแหยง กูอ่านgothได้ไม่มีปัญหา(หรือบางทีอาจเพราะมันไม่โหด กูก็ไม่รู้) คือแบบกูอ่าน10คดีบาป(กูเอาของเพื่อนมาพลิกๆอ่าน) แล้วแบบตัวละครหญิงเอาอสุจินร.ชายมาใส่ช่องคลอดตัวเอง สัสสสส คนรักกับหมาเงี้ย สัสสส แล้วคือแต่ละอย่างในเรื่อง+การบรรยายนี้มันทำให้กูแทบหาวิธีลบมันออกจากหัวกูเลย
งานสยองขวัญของจีนช่วงนี้เน้นเลือดสาดชวนแหวะเยอะ กูเคยอ่านของenterที่เป็นแนวสืบผี มันไม่มีความน่ากลัวเลย มีแต่ความชวนแหวะเลือกสาด ถึงกูจะอ่านไดีชิวๆแต่ก็ไม่ชอบแนวนี้ เลยดรอปไป
http://www.jamsai.com/product/1191-
กูไม่ชอบเรื่องนี้ของเอนเตอร์ว่ะ มันเป็นนิยายแบบที่กูคิดว่า อยู่ๆมึงอยากมีไอ้นี่โผล่มา มึงก็มีจนได้ ปีศาจที่โผล่มาก็งั้นๆแบบตัวร้ายในนิยายเกรด B ประกาศชัดเจนว่ากูจะฆ่ามึงแล้วนะ เคี้ยก เคี้ยก กลัวกูซะสิ ไม่หักมุมใดๆทั้งสิ้น มีแต่ฉากหยอกล้อกันของตัวเอกสองคน ขายวายแบบโจ่งแจ้ง พระเอกนายเอกเป็นสูตรสำเร็จอีกแบบนึงของนิยายวาย ปากบอกชอบผู้หญิงแต่เสือกโชว์ฉากเกย์จนฟุอย่างกูเลี่ยนเลย กูหลงผิดซื้อมาเพราะปกแท้ๆ
>>454 อ้าว...สัส ตกลงไม่สนุกเรอะ กูกะหยิบหลายรอบละ เพราะเห็นแฟนอวยกันเยอะ...อะไรวะเนี่ย ขอบคุณมึงที่รีวิว
เออ พูดถึงเอนเทอร์ มีใครอ่านเรื่องนี้บ้างป่ะวะ http://www.jamsai.com/product/3046 ตอนนี้กูอยากอ่านแนวเบาสมอง ของอวี้หว่อกูก็อ่านๆ เอาขำอยู่ แต่ล่าสุด unreal นี่ไม่ค่อยขำสำหรับกูเลย (เล่ม 2 กูเลยยังไม่ซื้อ) กูอยากได้แนวตลกว่ะ จะมีใครพอแนะนำอะไรให้กูบ้างได้ไหม...
ปืนกับช็อกโกแลตของโอตสึอิจิ คหสต กูนะ กูว่าไม่ค่อยมีกลิ่นของโอตสึอิจิเลยอะ ก็สนุกดีแต่มันไม่เหมือนเป็นนิยายของเขาเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเนื้อเรื่องมันดูเป็นฝั่งตะวันตก หรือเพราะตัวละคร หรือเพราะอะไร
>>455 กูรอรีวิวเรื่องนี้มีใครอ่านมั้ย...แต่กูว่าไม่มีดม่งคนไหนอ่านวะ
มันเป็นเรื่องที่กูรู้สึกถูกโฉลกในหลายๆด้านแต่ก็ไม่กล้าหยิบขึ้นมาเพราะกลัวไม่สนุก กูอยากอ่านในแง่คอมเมดี้คลายเครียดตัวละครหญิงไม่งี่เง่า(ถ้าตัวละครหญิงนิสัยหล่อก็ยิ่งดี) พระเอกไม่หน้าหมั่นไส้ออกมาโชว์หล่อเทพมันเป็นงี้มั้ยวะ
แนวเบาสมองกูแนะของป้าหนอนที่อยู่แจ่มใสอะ ชุดความรู้สึกดีๆ เขาชอบเขียนเรื่องเฮฮาๆ สูตรสเน่หาของกิ่งฉัตร แต่มึงหาหนังดูก็โอเคนะ เรื่องนี้แอนเล่นได้ฮาและกวนตีนมาก หญ้าแพรก ดอกมะเขือและเรือน้อยของว.วินิจฉัยกุล นางเอกเป็นครู พระเอกเป็นทหารลูกน้องพ่อ ไม่ได้โฟกัสเรื่องความรักอย่างเดียว แต่มีเรื่องหน้าที่การงานของนางเอกด้วย เทวาพาคู่ฝัน รักกุ๊กกิ๊กของพระเอกนางเอกวัยมหาลัย น้ำใสใจจริง เรื่องของนักศึกษารุ่นบุกเบิกมหาลัยในตจว. เรื่องนี้ฮามาก ของแก้วเก้ากูแนะเรื่องวิมานมะพร้าวกับพิมมาลา วิมานมะพร้าว นางเอกเป็นวิศวกรพระเอกเป็นเจ้าของโรงงาน มีวิญญาณคุณปู่พระเอกชงให้ลงเอยกัน พิมมาลา พระเอกโดนสาปให้เป็นผู้หญิงเพราะความเจ้าชู้ ใจแคบ เห็นแก่ตัว จะได้เข้าใจจิตใจของผู้หญิงบ้าง
>>458 แนวที่มึงพูดรู้สึกจะไม่ถูกโฉลกกูเท่าไร กูไม่ค่อยชอบแนวนิยายรักวะ หรือถ้าจะมีรักนี้กูขอแนวบิเบลียได้มั้ย คือเรื่องหลักคือสืบด้วยการเอาหนังสือเป็นสื่อกลาง แต่ละหว่างทางก็มีฉากมุ้งมิ้งพระนางนิดๆให้ฟินเล่น ส่วนนิยายรักไทยส่วนใหญ่นี้กูว่าคือมุ่งรักแล้วเอาเรื่องอื่นมาเติมวะ กูเลยไม่ค่อยชอบไม่อิน
กูอยากหาแนวแนวเบาสมองแฟนตาซีคอมเมดี้ อารมณ์แบบกูเตะเหตุผลออกนอกโลกแล้ว(แต่ไม่เตะความสมเหตุสมผลนะ) มีจริงจังบ้างตามเวลาไรแบบนี้
>>459 มึงเคยอ่านคุณฮาริยามะของบลิสมะ ไอนั่นอะแฟนตาซีเตะเหตุผลทิ้ง ชื่อเรื่องเป็นคุณฮาริยามะแต่จริงๆเป็นตัวประกอบ มีเชี่ยอะไรก็ไม่รู้อยู่รุมล้อมคุณฮาริยามะกันให้เต็มไปหมดทั้งมนุษย์ต่างดาว ฆาตกรโรคจิต กีกี้ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ฮีโร่ บลา บลา แล้วคุณฮาริยามะก็ไม่รู้เรื่องนี้ด้วย
ผู้ชายที่ตามรักเธอทุกชาติ เรื่องนี้แม่งเอาทฤษฎีหลายอันมายำรวมกันให้เบาสมอง มึงจะเจอฮอว์คิง ดาวินซี่ อะแซหวุ้นกี้ หรืออะไรก็ตามที่คนเขียนจะนึกออก เหมือนจะมีสาระ แต่แม่งไร้สาระสุดๆ
สึคุโดโมะ ร้านรับซื้อของเก่า ปริศนามีบ้าง สืบสวนกันบ้าง แต่พระเอกนางเอกหวานใส่กันทุกบทที่สี่
ไอ้ลิสต์ข้างบนกูแนะนำจริงๆว่ะเพราะมันตลก แต่มึงไม่ชอบ กูก็ไม่ได้ว่าอะไร
>>460 ฮาริยามะกูอ่านกูชอบมาก กูชอบเรื่องที่อะไรไม่รู้แม่งประเดประดังเข้ามาแถมไม่ได้มีแค่แนวเดียว เรื่องเหมือนดูไม่เกี่ยวแต่ก็โยงกันนิดๆตอนสุดท้ายกูชอบงานเขียนของคนนี้จริงๆ ส่วนผู้ชายที่ตามรักเธอทุกชาติ กับ สึคุโดโมะกูจะจดเข้าลิสน่าซื้อไว้
ขอโทษกูก็ไม่ได้ว่าอะไรมึงนะ แต่มันก็ไม่ใช้แนวกูจริงๆนั้นละ กูขอบคุณที่มึงแนะนำนะ
นิยายไทยมีใครเขียนฉากบู๊หนุกๆ มั่ง ไม่แนวออนไลน์นะ ถ้าจะอ่านแบบนั้นไปอ่านไลท์โนเวลดีกว่า
บิเบลียนี่ถ้าหลับตาอ่าน(?) นึกว่าของT1ทำนะเนี่ย รูปเล่มดีมาก แต่ก็บอบบางสัสๆ ไม่ชอบที่แปลทับศัพท์บางคำ อย่างอเลิร์ท > ตื่นตัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด กูดีใจที่มีคนเอาเรื่องนี้มา
กูอ่านเรื่องนี้เข้าใจกว่าสาวน้อยวรรณกรรม การแปลน่าจะเท่ากัน แต่กูว่าสาวน้อยเรียบเรียงดีกว่า
ลวิตร์เค้ามีนักเขียนโปรดป่าววะ กุอยากรู้ที่มาของแนวทางการเขียนอะ
คงไม่ใช่ดอกเตอร์ผู้บุกเบิกนะ
ทำไมกูเฉยๆ กับลวิตร์มากเลยวะ อ่านผู้เสกทรายแล้วเฉยมากจริงๆ กูชอบภาษานะ รสนิยมกูคงไม่ใช่ทางนี้ละมั้งทั้งที่ปกติกูอินกับเรื่องอื่นที่เพื่อนโม่งเม้าท์กันมากนะ
แต่กูเสียศรัทธานิดหน่อยนะ ตอนเขาเขียน Riva Estella แล้วแนะนำให้ลองอ่านดู สนุกทุกเรื่องเนี่ย เข้าใจนะว่าต้องเชียร์เพื่อนนักเขียนด้วยกัน แต่บางเรื่องมันสัดหมาจริง...
Sinner Redeem << กุว่าเรื่องนี้ของลวิตร์ก็ดาร์กอยู่นา ตอนแรกกุยังไม่คิดเลยว่าเอ็นเธอร์จะเอาเรื่องนี้ไปพิมพ์
กุว่างานเขามีแบบหลากหลายอ่ะ เบาๆ หน่วงๆ แล้วแต่ช่วงว่ะ กุก็อ่านเรื่อยๆ มีชอบบ้างไม่ชอบบ้าง
ว่าแต่กุเห็น ลาสแฟนตาซีขายอยู่ในนายอินทร์วันก่อน เรื่องนี้มันยังไม่จบอีกเหรอวะ หรือมันเป็นรีปริ้นท์
จะให้เขาด่าเพื่อนร่วมสนพ.มันก็กระไรอยู่ เป็นกูอย่างมากก็เพลเซฟว่า"ทุกเรื่องเป็นเอกลักษณ์ของคนเขียนแต่ละคน" (ไม่ว่าจะดีหรือขยะก็ตาม)
มึงก็รู้ว่านักอ่านไทยสมัยนี้อ่านงานขยะและอวยไม่ลืมหูลืมตาเยอะแค่ใหน งานสวะอย่างมาซาลานห่ือปากกาฯแม่งก็มีคนอวยทะลุฟ้า ต่อให้ลวิตรบอกว่ากาก สาวกแม่งก็ชอบอยู่ดี เผลอๆจะมีดราม่าตามมาอีก
ก็นะส่งเสริมการขาย แต่ไอ้"ทุกเรื่องเป็นเอกลักษณ์ของคนเขียนแต่ละคน" นี้กูอ่านดูก็รู้สึกว่ามันจะเลี่ยงๆไม่พูดว่ามันดียังไงชอบกล ดังนั้นถ้าพูดงี้ก็สามารถตีความว่าไม่สนุกได้ เพราะงั้นถ้าจะส่งสริมการขายก็พูดว่ามันสนุกไปเลยดีกว่า(แต่คนอ่านจะสนุกทุกคนมั้ยก็อีกเรื่อง)
กูข้าวไปอ่านลวิตร์เลยว่ะ เพื่อนกูก็ซื้อเก็บเพราะลวิตร์เหมือนกัน กัลฐิดากูพยายามอ่านแล้ว ยืดชิบหาย เมื่อไหร่เขาจะเลิกพรรณาความหล่อ ความสวย ความดูดีของตัวละครแบบยาวๆยืดๆซักทีวะ แหม่ หยั่งกะอ่านบทชมโฉมตัวละครในวรรณคดี
นี่เขาก็ไม่ได้โกหกนะ ก็สนุกทุกเรื่อง แต่สนุกสำหรับใครก็ละไว้ในใจไง
ที่จริงเป็นแฟนลวิตร์แบบตามเก็บทุกเรื่อง แต่เซ็ตนี้ซื้อไม่ลงจริงว่ะ จะซื้อเฉพาะเล่มสุดท้ายที่มีของลวิตร์ยังเสียดายเงิน พูดตรงๆเรื่องนี้ของลวิตร์อ่านแล้วก็รู้สึกว่าไม่ถึงขั้น มาตรฐานดรอปยังไงไม่รู้
ริว่ามันเป็นแฟนตาซีของ บก. คนนี้ ซึ่งกูไม่แฟนตาซีด้วยว่ะ
ซื้อแค่เล่มสามยังเสียดายตังจริงๆ
เพื่อนโม่งเทพนิยายแปลของสนพ.freeformนี่ดีไหมอ่ะ
เห็นมีนิทานกริม อยากรู้ว่าเป็นเวอร์ชั่นดั้งเดิมป่ะ
ไม่ชอบแบบดิสนี่ย์ว่ะโลกสวยไป ถ้าเป็นแบบนั้นจะได้ไม่ซื้อ
นอกเรื่อง ถามนิดดิ่ มีใครจะลองส่งประกวดนิยายของ Enter มั่งป่ะ มีคุณลวิตร์เป็นกรรมการด้วยนะ ปีนี้
เพื่อนๆ ขอแทรกหน่อย มีใครอ่านเรื่อง กาหลมหรทึก บ้างปะ
http://www.goodreads.com/book/show/23264415
กุอ่านแล้วชอบมากนะ แนะนำเลย (ขัดใจที่ตอนจบรีบๆ เกินไป แต่นอกนั้นชอบหมด) เป็นสืบสวนถอดรหัสย้อนยุคแบบไทยๆ ที่เจ๋งมาก แต่ไม่ชอบไอ้คำโปรย "แดนบราวน์แห่งสยามประเทศ" เลยว่ะ เพราะนอกจากเรื่องถอดรหัส แม่งก็ไม่ได้มีอะไรเหมือนแดนบราวน์ซักเท่าไหร่
>>501 ส่วนตัวกูว่าอ่านต้นฉบับได้ก็อ่านเถอะ ฉบับแปลนี้อ่านแล้วบางจุดก็โอเค พยายามหาผลงานเชคเสปียร์ที่มีฉบับแปลไทยมาเทียบ แปลอ้างอิงผู้เขียนบ้าง แต่หลายๆ จุดแปลตรงทื่อจนกูรู้เลยว่าต้นฉบับมันเขียนไว้ว่าอะไร และความจริงแล้วมันควรจะแปลว่าอะไร(phrasal verb หลุดทื่อๆ มาบ่อยมาก) เพลงโซมาที่นางเอกร้องไปดูต้นฉบับภาษาแล้วจะรู้สึกว่าแปลได้ทื่อแทน
แต่ก็อย่างที่บอก เล่มแอนเดอร์สันแปลลื่นกว่านี้มาก สรุปว่าขึ้นกับคนแปล ของสนพ.นี้ตอนหลังๆก็พยายามหาเล่มจริงมาอ่านก่อนซื้อตลอด
ใครเคยสั่งหนังสือจาก amazon บ้าง
อยากรู้ว่าตรงราคาที่มี 3 ราคา คือ amazon new from used from
ไอ้ new from มันคืออะไรวะ สามารถส่งมาถึงไทยได้ปะ เห็นราคามันถูกกว่า
>>503 amazon priceคือราคาปก(มั้งนะหรืออาจจะถูกกว่าปกนิดหน่อยอันนี้ไม่ชัวร์) newคือมือหนึ่ง มึงต้องกดเข้าไปดูว่ามันมาจากคนขายคนไหนว่ะ เพราะราคาแต่ละคนมันไม่เท่ากัน (ที่เห็นมือสอง(used)แพงกว่าอย่าตกใจเพราะพวกนี้มันราคาต่ำกว่าปกอยู่แล้ว) แล้วเจ้าก็ส่งแค่ในประเทศ หรือ+ค่าส่งอะไรยังไงก็ดูเอาดีๆ
กุแนะนำ http://www.bookdepository.com/ ราคาตามปกแต่ส่งถึงไทยฟรี มือ1แท้แน่นอน
กูอยากได้หนังสือเล่มนึงจากเมกามาก แต่สั่งอเมซอนมันไม่ยอมส่งว่ะ ถ้าส่งแม่งก็ราคาเป็นเท่าตัวของค่าหนังสือเลย จะให้ร้านรับหิ้ว แม่งก็ราคาเป็นสองเท่าของหนังสือ กูเห็นแล้วยอมแพ้เลย การจะได้หนังสือเล่มนึงทำไมมันยากขนาดนี้วะ
กูเพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องเซ็งเป็ดในพันทิป อีเหี้ย ถ้าไม่จั่วหัวว่าเรื่องจริงนี่คงไม่มีใครเปิดอ่านหรอก กากเดนทั้งภาษา เนื้อหา ข้อมูล พวกมันปลื้มเข้าไปได้ยังไงวะกับเรื่องเล่าพรรค์นี้
โม่งอักษรเยอรมันยังสิงสถิตอยู่ป่าววะ
อยากรู้ว่า faust นี่ฉบับแปลอังกฤษของใครน่าอ่านสุดวะ พอรู้ป่าว
>>517 เรียนเชิญที่ http://www.reddit.com/r/books/comments/14r2gx/need_helping_finding_a_good_english_translation/
คือกูอ่านแค่ฉบับเยอแบบย่อความมาแล้วว่ะ ฮอล เคยเห็นศูนย์หนังสือเยอรมันขายเล่มภาษาเยอรมัน แต่กูไม่อาจเอื้อมจริงๆ
เออ เผื่อสนใจ ตอนนี้อาจารย์ภาษาเยอรมันในไทยกำลังแปล Nibelungenlied อยู่ กูไม่แน่ใจว่าอาจารย์กี่ท่านแปล แต่เรื่องมันมีราวๆ2400 strophe รึไงเนี่ย ตอนนี้เพิ่งแปลไป700เองมั้ง.. รอหน่อยนะ..
ถามหน่อย นิยายแบบไหนที่พวกมึงเห็นแล้วไม่คลิกเข้าไปอ่านเลย ของกูนี่เจอชื่อเรื่องหยาบคายกูก็เลื่อนผ่านแล้ว ไม่เสียเวลากดเข้าไปดูเลย
>>522 กูด้วยคน ตอนกูเปิดไปดูนิยายในเว็บเด็กดวกโหมดวายนี่กูถึงกับอึ้ง...เดี๋ยวนี้มันแปะคำหยาบกันหราอย่างงี้เลยเรอะ กูๆ มึงๆ มึงเป็นเมียกูเดี๋ยวนี้นะ เมียกูเซ็กส์จัด...อิห่า มึงใช้อะไรคิดชื่อเรื่องวะ กูที่อ่านนิยายภาษาสุภาพมาทั้งชีวิตอ่านไปนี่คงไม่มีทางอินลงว่ะ ถึงชีวิตจริงกูจะใช้คำหยาบก็เหอะ
กุไม่อ่านนิยายในเน็ตเลยอะ ในคอมมูกุก็ไม่อ่าน ส่วนมากแต่งกาก แล้วมันไม่มีอะไรดึงดูดรับรองด้วยว่าคนนี้แต่งดีนะ บางคนยิ่งแต่งยิ่งเบียว จะทนอ่านได้ก็ต่อเมื่อมันเป็นนิยายจากการ์ตูน ไม่ใช่สร้างขึ้นเอง
>>526 กูเสี่ยงดวงเอาว่ะ แต่ส่วนมากมักไม่เจอนักเขียนดีๆที่กูตามหามานานเลย กูให้โอกาสคนเสมอนะมึงถ้าเป็นหน้าใหม่ นามปากกาใหม่ แต่จำพวก สุดท้ายกูก็รักมึงจนได้ ไอ้โรคจิต หรือเมียผมชอบเอา อะไรแบบนี้กูไม่อ่านว่ะ ชั้นต่ำเกินกว่าจะคลิกไปให้เป็นเสนียดมือ แค่เห็นชื่อเรื่องก็ระคายตาแถมเดาเนื้อในได้เลย
>>526 กูเหมือน >>527 ปกติถ้ามีเวลาว่างกูจะคุ้ยนิยายในเด็กดีอ่านอยู่บ่อย ๆ ส่วนมากจะเลี่ยงชื่อเรื่องที่แม่งหยาบคายและส่อความต่ำออกมา...ซึ่ง กูเป็นสาววายนะ แต่นิยายวายในเด็กดีส่วนมากแม่งเป็นแบบที่กูว่ามาทั้งนั้นเลย ถึงปกติกูจะหมกอยู่กับแท็กแฟนตาซีและวรรณกรรมเยาวชนแต่ก็มีพวกนิยายเสนียดโผล่มาให้เห็นอยู่ตลอดเวลาซึ่งแม่งเหี้ยมาก ของกูขอเป็นนิยายที่โอเคอ่านได้กูก็พอใจแล้ว ไม่ต้องอะไรมากแต่ถ้าเหี้ยก็เลิกอ่าน
เล้าเป็ดคือไรอ่ะ
พวกนิยายเน็ตกูอ่านได้นะ แต่ต้องเลือกเรื่องหน่อย ในเด็กดอยกูคัดจากtop 20 ต่ำกว่านั้นก็ไม่อ่านแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็แกรี่แมรี่ซานต้ามากันให้พรึ่บ ถ้าแค่นี้นะไม่เท่าไหร่ แต่ตรรกะตลค.แม่งไร้เหตุผลเกิน กูอ่านไม่ลงวะ
แต่มีเรื่องหนึ่งที่กูอ่านแรกๆก่อนเป็นหนังสือแล้วน่าสนใจมากคือmagic world online ช่วงตอนที่มันสร้างเกมส์นี่กูชอบมากนะ แหวกแนวดี แต่ละคนดูมีเป้าหมายและความสามารถที่เข้ากับตลค.ดี จน"พระเอก"ผุ้แกรี่โผล่มาพร้อมกับความสามารถมากกว่าคนอื่น10เท่า โอเค กูเลิกอ่านเลย ไม่รู้หลังจากนั้นเป็นไงต่อ
นิยายเน็ตที่กูตามอ่านตอนนี้มี3เรื่อง นีทเกิดใหม่(mushoku tenshi) Ark(ของเกาหลี) แล้วก็monster soul แต่ละเรื่องมีเอกลักษณ์ของมันดี msoตอนแรกๆก็แกรี่ตามสูตรราชาแห่งราชันย์ที่ใช้กันเกร่อในแนวนิยายออนไลน์ แต่กูชอบที่มันเป็นนิยาย"กำลังภายใน"ด้วย เป็นเรื่องแรกๆเลยมั้งที่เป็นแบบนี้ แถมตัวร้ายอย่างมนตรานี่แม่งสเปกตัวร้ายในดวงใจกูเลย เชียร์ยิ่งกว่าพระเอกอีก
แต่กูว่าไอ้นิยาย top 20 ส่วนใหญ่น่าจะห่วนนะ(กูไม่ได้อ่านเด็กดวกนานแล้ว)ไอ้นิยายดีๆกูว่ามันจะอยู่ตามซอกหลืบประเภทนิยายดีพระเอกไม่แกรี่ เนื้อเรื่องไม่กระแส ตกพวกนักอ่านเด็กๆไม่ได้ ก็เลยไม่มีขึ้นอันดับ
>>533 นิยาย top แหล่ะยิ่งห่วย มีช่วงนึงหมวดนิยายรักหวานแหววนิยายเย็ดๆขึ้น top เป็นว่าเล่น มีสนพ.เอาไปตีพิมพ์อีก ไอ้พวกหมวดฟรีสไตล์ก็ฟิควาย exo นิยายวายแบบกากเดน นิยายอีโมติค่อน หมวดแฟนตาซีก็นิยายเกมออนไลน์ ไอนิยายดีๆที่บังเอิญไปเจอเสือกมียอดวิวกับคอมเมนต์หลักสิบ กูเสียดายมาก
กูเห็นด้วยว่าทอปๆนะห่วยเยอะ แต่ข้อดีของพวกนี้คือตอนเยอะ อัพไว เรื่องดีๆส่วนใหญ่ตอนน้อย อัพช้า บางคนก็เลิกเขียน กูเลยไม่อยากตามเท่าไหร่ กลัวติดแล้วไม่ได้อ่านต่อ จะสั้นจะยาวกูไม่ว่า ขอแค่มันจบก็พอ แต่แม่งหาได้น้อยจริงๆวะ
กุไม่ได้อ่านนิยายในเด็กดีเท่าไหร่วะ. ที่ไม่อ่านเพราะไม่ชอบระบบใหม่ของเว็บมาตั้งนานละ. แสบตา หลักกูก็หาอีบงอีบุ๊ค ไม่ก็ตามเพจนักเขียนที่ชอบๆเอา.
>>535 กูลองไปหาฟิค EXO ในเด็กดีมาดู...
- Prince and His Wife http://writer.dek-d.com/chiffon-cakez/story/view.php?id=1091518 นายเอกเป็นไพร่ หน้าสวยหยาดเยิ้ม แต่บ้านเป็นหนี้เลยทำสัญญายกเลิกหนี้โดยเป็นเมียพระเอก พระเอกเป็นรัชทายาท เป็นโรงเรียนเจ้าชายมีแบ่งระดับชนชั้นกัน มีหลายคู่ นายเอกคู่รองๆ โดนเรียกว่าเลดี้ของท่านลอร์ด (ชื่อพระเอกของคู่รองๆ) กูขำขี้แตกตั้งแต่คำอธิบายย่อเรื่อง "จากสามัญชนลู่หานสู่การเป็นพระชายาขององค์ชายรัชทายาทโอเซฮุน..." ยิ่งอ่านยิ่งขำบทบรรยายเลยหยุดอ่านเพราะหยุดหัวเราะไม่ได้
- These Little Boy (Boy มันต้องเติม s ด้วยไม่ใช่เรอะ) เคะทั้งหก http://writer.dek-d.com/nooker-088/story/view.php?id=1058907 เนื้อหาแนวโรงเรียนตัวดำเนินเรื่องเป็นนายเอก 6 คน บ้านรวย สวย ตุ๊ดแตกกันหมด (แต่คนละแบบ คนเขียนอธิบายไว้อยู่) อ่านแล้วเหมือนอ่านนิยายแจ่มใส สงสารศิลปินเลยทนอ่านต่อไม่ได้
เหี้ย กูไปเจอมาเพิ่ม กูเจอ Blogspot ของคนเขียนเรื่องที่สอง นางแต่งให้ศิลปินได้กับคนอ่าน เขียนยังกะเรื่องเสียว http://nooker088.blogspot.com/
กูสงสัยพวกนิยายแต่งไทย เด็กดี กับเล้าเป็ดที่แม่งชอบตั้งชื่อนิยายเหี้ยๆว่ะ คือบางเรื่องแค่เห็นชื่อกูก็อ่านไม่ลงแล้วสัส
โคตรเสร่ออ่ะ กูไม่เข้าใจว่าแม่งคิดกันมาได้ไงวะ บางเรื่องแม่งเสือกดังด้วยนะ จะบ้าตายห่า
กูเฉยๆกับคำหยาบนะ แต่ถ้าเปิดเรื่องมาแล้วมี กรูววว เมิง ปิดทันทีเลย แถมเรื่องแบบนี้แม่งไม่มีอะไรนอกจากปี้ตูดขุดทองกันไปวันๆ
สัสถุงยางก็ไม่ใส่ เอดส์แดกแน่ หนอกใน ซิฟิลิส
ห้องฟุก็มีวิจารณ์นิยายวายนะมึง กูอ่านแล้วหยุดหัวเราะไม่ได้เลย มีแต่เงี่ยนๆปี้ๆควยๆทั้งนั้น แม่งมีจับมือกันแล้วใจเต้น แอบรักกันแต่ต้องวางมาดต่อหน้าลูกน้อง ลับหลังก็ไปปี้กัน โดนจับมัดแล้วเกิดอารมณ์เลยไปปี้กัน ทุกเรื่องเคะสาวแตกล้วนๆ
ประเด็นนี่ยาวจนแทบจะย้ายไปคุยห้องฟุแทนได้แล้วนะพวกมึง
มันยังอยู่ประเด็นนิยายในเน็ต ไม่ถือว่าหลุดไปมากมั้ง หาทางวกกลับมาก็พอ กูเริ่มให้
กูว่าการเอานิยายลงเน็ตมันมีข้อดีที่สนพ.ต้องการคือการวัดเรตติ้งวะ เพาะถ้ามึงไม่เคยลงมาก่อนก็บอกยากว่าคนอ่านจะชอบรึปล่าว เรื่องบางเรื่องภาษาและพล็อตดีจริง แต่อาจขายไม่ออก เหมือนที่นิยายเกย์ถ้าไม่มีฉากเย็ดก็ขายไม่ออกนั่นละ
ปัญหาคือการลงเน็ตมันทำให้ต้องเอาใจคนอ่านเพื่อเรตติ้ง ไปๆมาๆมันเลยมีmain streamขึ้นมาเป็นยุคๆ เช่น โรงเรียนเวทย์ ออนไลน์ แกรี่แม่รี่ อันนี้ญี่ปุ่นก็เป็น แต่ตลาดของที่โน่นค่อนข้างหลากหลายกว่าไทยเลยยังมีนิยายดีๆแแกมาเรือ่ยๆ แต่พื้นฐานเรื่องสนองนีดคนแต่งก็คล้ายๆกันระหว่างเด็กดวกกะนาโร่
กูเชื่อว่ายุคหลังจากออนไลน์ในไทยน่าจะเป็นต่างโลกแบบของญี่ปุ่น แต่คงต้องซักพักกว่ากระแสจะมี เพราะกระแสต่างโลกยังไม่ค่อยมีในไทยเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวกูไม่เกลียดแนวเกมออนไลน์นะ เพราะกูก็อยากอยู่ในโลกแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าไม่มีพวกตัวละครตรรกะป่วยๆพวกนั้น
ทำไมยุคนิยายเกมออนไลน์มันนานจริงๆ ขนาดเกมออนไลน์ก็ไม่บูมเหมือนสมัยก่อนแล้วนะ แล้วแต่ละเรื่องนี่MMORPGหมดเลยรึเปล่า พอดีไม่อ่านแนวนี้เลย
มันนานจริง แต่กูว่าเพราะมันดันถูกกระตุ้นเรื่อยๆมากกว่า ราชาแห่งราชัน>>>เว้นช่วงใหญ่>>>>sao แต่พวกแนวต่างโลกหรือ รร. มันถูกกระตุ้นครั้งเดียว หรือถูกกระตุ้นช่วงสั้นๆ อย่าแฮรี่ บารามอส ก็มาช่วงใกล้ๆกัน พอไม่มีอะไรกระแสก็ซา(อาจรวมถึงความฝันว่ากูอยากอยู่ฝนเกม อยากเทพ ไรแบบนี้ด้วย)
>>548 mmoนั่นละ เพราะโลกเสมือนมันให้เราเป็นตัวละครในเกมส์ จะให้เล่นturn-baseคงไม่คุ้มกับการvrเท่าไหร่
ต่างโลกที่กูพูดถึงหมายถึงพวกที่พลัดไปต่างโลกแบบผู้กล้าโล่ นีทต่างโลก arifureta ดันเจี้ยนฮาเร็มพวกนี้นะ ไม่ใช่แฟนตาซีโลกอื่น แต่เป็นคนในโลกนี้ไปอยู่ต่างโลก กูเขียนไม่เคลียร์เอง
แนวต่างโลกนี่โคตรแก่อ่ะ ย้อนมาไงวะเนี่ย การ์ตูนเก่าๆแม่งก็แนวนี้ทั้งนั้น
กูว่าแนวนิยายมันก็วนๆเป็นวัฏจักรปะ อย่างแนวชีคนี่เคยฮิตมากสมัยสิบกว่าปีก่อน แล้วอยู่ดีๆก็มีช่วงนึงกลับมาฮิตใหม่อีก
แฟนตาซีต่างโลกนี่กูว่ากลับมาเกิดในไทยยาก ญี่ปุ่นมันก็นิยมในหมู่ผู้ใหญ่เพราะเป็นนิยายเน็ต
ล่าสุดแนวผู้กล้าจากต่างโลกหระกาศอนิเมไปอีกเรื่องแล้ว เห็นในห้องอนิมังงะ
แนวออนไลน์นี่ว่าไปพอจะจัดเป็นสับเซ็ตของแนวต่างโลกได้ปะวะ มันก็คือตัวเอกจากโลกที่เราอยู่ได้เข้าไปในโลกอื่น (โลกของเกม) เพียงแต่เป็นการเข้าไปโดยสมัครใจ และกลับออกมาได้ตามใจ ไม่ต้องไปลำบากหาวิธีกลับโลกตัวเอง แต่พล็อตหลักมันก็น่าจะอยู่ที่การผจญภัยในโลกอีกโลกเหมือนกัน (หรือมีเรื่องไหนที่ดำเนินเรื่องในสองโลกควบกันไปไหม เท่าที่เคยลองอ่านมาอ่านไม่รอดเกินตอนที่ตัวเอกกลับเข้าเกมไปครั้งที่สองสักเรื่อง ยกเว้นราชาแห่งราชันที่อ่านจบ)
คือจะเขียนพวกแนวเมนสตรีมก็เขียนได้ แต่ช่วยเขียนให้มันมีความหลากหลายกว่านี้นิดนึงเหอะ
ไม่ใช่ไปยัดองค์ประกอบเห่อหมอยเหมือนกันหมด อย่างตัวเอกโรงเรียนเวทมนตร์ซึ่งเป็นเด็กที่ถูกเลือก เด็กในคำทำนาย องค์หญิงองค์ชาย
หรือตัวเอกเกมออนไลน์ที่เริ่มเล่นเกมก็ได้ของเทพ สัตว์เลี้ยงเทพ ตบเพลเยอร์ตัวประกอบเละเทะ
ไปต่างโลกนี่กูชอบหลุยส์ 0 นะ แต่กูรำคาญนางเอกซึนว่ะ เชียร์ให้พระเอกแม่งได้กับคนอื่นไปซะ
อ่านพวกไปต่างโลกที่ไรพลังจูนิเบียวของกูมันกำเริบทุกทีวะ อยากไปมากกกกกก เพราะกูเบื่อชีวิตกู แต่ถ้าต้องทิ้งเพื่อนทิ้งครอบครัวไปนี่กูอาจไม่ใหววะ กูเลยสงสัยทุกทีที่อ่านพวกไปต่างโลกสมัยใหม่ว่ามันไม่คิดถึงครอบครัวเพื่อนฝูงมั่งเหรอ สมัยก่อนนี้เป็นบทแกนหลักเลยนะ ต่อสู้เพื่อกลับมาโลกเดิมเนี่ย
เพื่อนโม่ง กูอยากชวนคุยเรื่องวิจารณ์กับรีวิวว่ะ กูคุยในมู้นี้ได้ไหมวะ?
คืองี้
การวิจารณ์เนี่ย หน้าตามันเป็นยังไงวะ? คือเท่าที่กูอ่านมา กูแบ่งเอาเองคร่าว ๆ ได้สองแบบ คือหนึ่งวิจารณ์ตามมีตามเกิดโดยนักอ่าน (พวก 'สนุกค่ะ แต่ควรเพิ่มตรงนั้นหน่อย' 'ตรงนี้ยังไม่สมจริง' อะไรแบบนี้) กับสอง วิจารณ์แบบจับเอามาเข้าหลักเกณฑ์แบบนักอักษรศาสตร์ (โครงเรื่องแบบ saga อันจะแบ่งเป็น องค์ที่หนึ่ง ว่าด้วยเรื่องการเดินทาง องค์ที่สอง ว่าด้วยเรื่องการต่อสู้กับความขัดแย้งทางจิตใจและการค้นพบตัวเอง ฯลฯ) แล้วเมื่อพิจารณาจากบทความแนะนำวิธีวิจารณ์ที่ว่า 'มึงควรจะมีความรู้เรื่องที่มึงกำลังวิจารณ์' 'ไม่เอาอคติและประสบการณ์ส่วนตัวมาใช้ในการวิจารณ์' ฯลฯ กูเลยสงสัยว่า ไอ้การวิจารณ์แบบแรก จริง ๆ แล้วมันเรียกว่าการวิจารณ์หรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่มันดูเหมือนเอาอคติตัวเองมาตัดสิน และนักอ่านทั่วไปก็ไม่ค่อยรู้ถึงหลักเกณฑ์การดำเนินเรื่องที่ดีแบบที่นักอักษรศาสตร์รู้ (อธิบายยากว่ะ มันเหมือนรูปถ่าย คนทั่วไปบอกได้แค่สวยไม่สวย น่าจะใส่อะไรเข้ามาตรงมุมนี้หน่อยนะ จะได้ไม่โล่ง แต่เซียนถ่ายภาพจะรู้แบบ ต้องจัดอัตราส่วนเท่านี้สิมันถึงจะสมดุลและเป็นรูปที่สะดุดตา ประมาณนี้) แล้วนักเขียน จริง ๆ แล้วได้ประโยชน์อะไรจากการวิจารณ์แบบแรกหรือเปล่าวะ? เมื่อมันไม่มีหลักเกณฑ์นอกจากความรู้สึก นักเขียนควรจะเชื่อมันไหม? จริง ๆ แล้วการวิจารณ์เป็นสิ่งที่ควรจะทำโดยผู้มีความรู้จริง ๆ ด้วยรูปแบบที่สองเท่านั้นหรือเปล่าวะ?
>>566 กูไม่ใช้เด็กสายภาษา เวลาอ่านกูอ่านด้วยความรู้สึกซะส่วนใหญ่ ถ้ากูจะพูดถึงนิยายเรื่องหนึ่งกูจะพูดแบบแรก
แต่พวกที่อ่านส่วนใหญ่กูว่ากูไม่ใช้เด็กสายอักษรเหมือนกัน การฟังคำพูดของผู้อ่านที่ไม่ได้อยู่กับสายภาษากูว่าก็จำเป็นนะ จะฟังแค่ของผู้เชี่ยวชาญอย่างเดียวไม่ได้หรอกเพราะคนซื้อคือคนธรรมดา แต่คือคนเขียนก็เองต้องเอาคำของคนอ่านมาวิเคราะห์อีกที ว่าอันไหนเป็นความรู้สึกเกินไป อันไหนมีประโยชน์
และอีกอย่างกูว่าเรื่องที่ดี กับเรื่องที่สนุกมันต่างกัน (แต่แน่นอนเรื่องที่สนุกต้องเป็นเรื่องที่ดีในระดับหนึ่ง ไม่งั้นมันจะเหี้ยจนหมดความสนุกหมด)
>>566 ถ้าจะวิจารณ์แบบอักษรศาสตร์ ต้องไล่นักอ่านทุกคนไปเรียนอักษรศาสตร์ให้หมดว่ะ คนอ่านทั่วไปเวลาจะติหรือวิจารณ์ก็ได้แต่เอาประสบการณ์ตัวเองตัดสิน แต่ไอ้ที่วิจารณ์ๆกันในนี้ กูว่ามันเป็นคอมมอนเซนส์ทั่วๆไปที่ควรคิดกันได้นะ ถ้าอยากได้วิจารณ์เชิงลึกต้องขอให้คนเรียนทางนี้ช่วยวิเคราะห์ว่ะ แต่จากประสบการณ์ตรง พวกนี้เรื่องมากเรื่องนิยายอ่านและไม่ค่อยว่างมาบรรยายทางวิชาการด้วยเพราะแม่งมีงานอ่านแล้วให้อภิปรายอยู่เพียบ ถ้าไม่สนิทจริงๆน่ะแทบไม่กล้าขอร้องเลย
กูเคยเขียนเรื่องคล้ายๆกันนี้ตอนมหาลัย จะลองอธิบายเท่าที่จำได้ให้ละกัน
การวิจารณ์ภาคทฤษฏี - คือการวิเคราะห์รูปแบบความสอดคล้องทางทฤษฏีกับโมเดล(ผลิตพันธ์) สิ่งนี้สัมพันธ์กับแบบ(From)และสถิติการนำโมเดลนี้มาใช้ในอดีตโดยใช้การเปรียบเทียบค่าต่างๆ เป็นการวิเคราะห์ขั้นฑุติยภูมิที่นำความรู้จากหลายๆส่วนมาอธิบาย
การวิจารณ์โดยผู้บริโภค - คือการวิเคราะห์ความรู้สึกของผู้ใช้จริง เป็นความเห็นของตลาด"ส่วนหนึ่ง" สิ่งนี้สัมพันธ์กับตัวผลิตภัณฑ์(Good) ภาพลักษณ์-วิธีการนำเสนอ(Image-Comers) กล่าวคือเป็นสิ่งที่ผู้บริโภครับรู้ในตัวเองโดยไม่นำความรู้อื่นๆมาพสม เป็นการวิเคราะห์ขั้นปฐมภูมิ
เรื่องนี้มี 2 ลักษณะ
1. การวิเคราะห์ขั้นปฐมภูมิคือการวิเคราะห์ตลาดโดยตรงจากข้อมูลจริง(Fact) ซึ่งไม่จำกัดทั้งดีและร้าย
2. การวิเคราะห์ขั้นฑุติยภูมิเป็นได้ทั้งการวิเคราะห์ก่อนหน้า(A)และหลัง(B)การนำเสนอผลิตภัณฑ์ Aคือการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางทฤษฏี(Model) Bคือการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาด(Market)ว่าสอดคล้องกับทฤษฏีแค่ใหน
คำวิจารณ์ที่ไม่ผ่านทฤษฏีใดๆนั้นสะท้อนตลาดอย่างแท้จริง(Fact) ดังนั้นมันจึงไม่สามารถลบล้างได้ด้วยทฤษฏี กล่าวคือต่อให้มันขัดทฤษฏีแค่ใหน แต่ถ้ามันขายได้คือขายได้ และทฤษฏีก็ต้องถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายมัน
คำวิจารณ์โดยทฤษฏีAแสดงถึงความสักยภาพ(Potential)ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ส่วนBคือการอธิบายว่าทำใมมันถึงเป็นเช่นนั้น เช่น ทำใมถึงขายได้หรือไม่ได้ มีประสิทธิภาพแค่ใหน และอนาคตของผลิตภัณฑ์
กล่าวโดยสรุปคือ คำวิจารณ์ต่างๆมีข้อดีของมัน และสะท้อนสิ่งต่างๆในตัวมันเอง ภาคทฤษฏีที่สมบูรณ์อาจไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ภาคการตลาดก็ไม่จำเป็นต้องอิงทฤษฏีเสมอไป ในกระบวนการทางตลาด ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน แต่สิ่งที่เป็นที่สุดคือความต้องการของตลาด(Demand)คือตัวกำหนดราคาและความสำเร็จของทฤษฏี(ผลิตภัณฑ์)นั้นๆ ถ้าทฤษฏีนั้นประสบความสำเร็จ ก็จะมีดีมานด์ต่อ"รูปแบบ"(Model)ความสำเร็จนั้น และรูปแบบนี้จะเป็นตัวขึ้นรูปทฤษฏีต่างๆที่เราใช้กันในทุกวันนี้
อธิบายให้สั้นกว่านี้ วิจารณ์โดยนักอ่านสะท้อนความต้องการของตลาด(ที่ผู้ผลิตนำเสนอผลิตภัณฑ์นั้นๆ - ตลาดมีหลายระดับ) การวิจารณ์ทางทฤษฏีสะท้อนศักยภาพยองผลิตภัณฑ์(ทั้งแบบAและB)
โดยพื้นฐานบอร์ดโม่งคือพวก2A เป็นพวกที่แสวงหาศักยภาพภายในของผลิตภัณฑ์(หนังสือ)นั้นๆ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า2Aสะท้อนความต้องการของตลาด ดังนั้น2Aจึงมักเป็น2Bที่พยายามวิเคราะห์1(ตลาด)ว่าทำใมไม่กลายเป็นหรือแตกต่างจาก2A ดังที่พวกเราทำอยู่บ่อยๆ แปลโดยสรุปคือ"ทำใมของกากๆขายได้แต่ของดีๆขายไม่ได้"
ดังนั้นถ้าจะพูดให้น่าเกลียด คำวิจารณ์ภาคทฤษฏี(2)นั้นไร้ค่า ถ้าตลาด(1)ไม่ยอมรับ แต่ข้อสรุปนี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานทางการตลาดว่า"มึงต้องการขาย(หนังสือ)ให้มากที่สุดตามความต้องการของตลาด"นะ เพราะกูเขียนเรื่องนี้ตอนIphoneแข่งกับSamsungและผลักBBออกจากตลาด(ที่ตอนนั้นไกล้ไปเต็มที) ตามทฤษฏี Iphoneมีดีกว่าทุกอย่าง แต่Samsungกลับสามารถแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมจนต้องสร้างทฤษฏีซัมซุงขึ้นมาอธิบายความสำเร็จที่หักปากกาเซียนนี้
ปล. แต่เอาจริงๆกูก็คิดว่าความเห็นผู้บริโภคค่อนข้างไร้ค่าในการเลือกซื้อมือถือ ยกเว้นเรื่องการบริการที่กูเชื่อผู้บริโภคมากกว่าผู้เชี่ยวชาญ
กูขอขัดจังหวะสาระนิดหนึ่ง
คือกูพึ่งอ่านราชบุตรเขยเจ้าสำราญมา แล้วเขาลบตอนกลางๆออกไปแล้ว กูค้างมาก กูอยากรู้ว่ามันมีเรื่องไหนออกแนวประมาณนี้มั้ยที่พระเอกสาวแตก สาวมากๆ สาวจนหญิงอายกับนางเอกที่หล่อ(หล่อแบบหล่อที่ใจ) เพื่อนโม่งช่วยแนะนำกูที
มันมีการวิเคราะห์ กับการวิจารณ์ ต่างกันอยู่นะมึง
อย่าง >>> วิจารณ์ตามมีตามเกิดโดยนักอ่าน (พวก 'สนุกค่ะ แต่ควรเพิ่มตรงนั้นหน่อย' 'ตรงนี้ยังไม่สมจริง' อะไรแบบนี้) >> อันนี้เรียกวิจารณ์
แต่ >>> วิจารณ์แบบจับเอามาเข้าหลักเกณฑ์แบบนักอักษรศาสตร์ (โครงเรื่องแบบ saga อันจะแบ่งเป็น องค์ที่หนึ่ง ว่าด้วยเรื่องการเดินทาง องค์ที่สอง ว่าด้วยเรื่องการต่อสู้กับความขัดแย้งทางจิตใจและการค้นพบตัวเอง ฯลฯ) >>> นี่วิเคราะห์ละ
ใครอยากวิเคราะห์แบบอักษรศาสตร์แนะนำให้เสิร์ชหา literary criticism แล้วอ่านๆไป จะเก็ทเอง
แม่งสาระสัสๆ กูปลื้มมู้นี้ว่ะ
>>572 ไม่แปลก เพราะกูเป็นMarxism การบรรยายความเป็นไปของโลก(History)ผ่านเศรษฐศาสตร์การแลกเปลี่ยนทางวัตถุนิยม(Materialism)เป็นความหลงใหลส่วนตัวของกู ถึงกูจะรู้ดีว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ อ.กูยังปวดหัวเลยเพราะแกเกลียดMarx และถือLaiez-faireของAdam Smithเป็นพ่อ
จริงๆอ่านตรงสรุปสั้นๆบรรทัดท้ายก็ได้นะ แต่สรุปให้อีกรอบก็ได้
กูตอบคำถามโดยยก"ประโยชน์"ของการวิจารณ์มา เพราะก่อนนั้นมันบอกว่ากาตวิจารณ์ตามมีตามเกิดไม่มีประโยชน์เท่าการวิจารณ์ของคนที่เรียนมา
กูเลยอธิบายด้วยหลักเศรษฐศาสตร์ดังนี้
1.ความคิดเห็น(วิจารณ์)แบบตรมมีตามเกิดสะท้อนกลุ่มผู้อ่านตามที่ๆเขาอ่าน เช่น ถ้ามึงเอาไปโพสในเว็ปเรื่องเสียว การไม่มีฉากเย็ดจะไม่ฮิต ไปเด็กดีไม่แกรี่จะไม่ติดอันดับ ไปพันทิปไม่18+จะไม่มีคนตามเป็นต้น
2. ความคิดเห็น(วิจารณ์/วิเคราะห์)ตามทฤษฏีแบ่งเป็น2ส่วน Aวิเคราะห์คุณภาพของเรื่องตามหลักทฤษฏี Bวิเคราะห์ว่าทำใมถึงเป็นที่นิยม/ไม่นิยม
การวิจารณ์แบบ1คือการสะท้อนความต้องการของผู้อ่าน การวิจารณ์/วิเคราะห์แบบ2คือการตีความและวัดคุณภาพของเรื่อง หลักๆคือแค่นี้ แต่มันมีประเด็นต่อเนื่องคือ
1. ความต้องการของคนอ่านไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามหลักทฤษฏี ต่อให้เรื่องนั้นคุณภาพห่วยแค่ใหนตามหลักทฤษฏี แต่ถ้าคนอ่านชอบก็ค่อผ่าน
2. เรื่องที่เขียนตามหลักทฤษฏีทุกอย่างก็ใช่ว่าจะเป็นที่ต้องการของตลาด เรื่องที่ดีแค่ใหนแต่ถ้าคนไม่อ่านก็ถือว่าไม่ได้เรื่อง และทุกอย่างต้องขึ้นกับข้อ1
สุดท้ายคือทฤษฏทุกอย่างมีไว้อธิบายความเป็นจริง ตลาด(1)จึงเหน่อกว่าทฤษฏี(2) ต่อให้มันแย่ยังไงตรบใดที่คนต้องการมันก็คือสอ่งที่ขายได้ ความเห็นของมือสมัครเล่นจึงมีประโยชน์ในการตลาดมากกว่าผู้เชี่ยวชาญ นี่คือคำตอบต่อคำถามว่า"ความดห็นของคนอ่านทั่วไปจำเป็นหรือไม่" คำตอบในมุมมองของตลาดคือ"จำเป็นอย่างยิ่ง"
*ทั้งหมดนี่เขียนด้วยมุมมองแบบตลาดเสรีที่เน้นการแข่งขัน=คุณภาพไม่สำคัญเท่ากับการขายได้
หลักๆก็ประมาณนี้ละ อันบนนั่นเอามาจากที่กูเขียนส่งอ.ตอนมหาลัย จะออกวิชาการจ๋าไปหน่อย(จริงๆก็เยอะเลยละ) อันนี่กูขอโทษด้วยที่ลืมปรับภาษา กูมันส์มือคิดถึงตอนกูเรียนมากไปหน่อย กูไม่ได้ตั้งใจเขียนให้เข้าใจยากอะไร กูชินมือแบบนี้นะ
"ก่อนตาย ผมจะทำให้คนไทยอ่านหนังสือปีละ 50 เล่ม "
กูว่ามันต้องไล่ซื้อหนังสือของมันแจกชาวโม่งหนังสือว่ะ ออกจะเป็นผู้สนับสนุนกันขนาดนี้ อีปอบนี่ขวัญใจชาวโม่งแท้ๆเลย
ถ้าแจกกูก็เอานะ กูอยากได้อะไรมารองโน้ตบุ้คที่ออฟฟิศอยู่พอดี
มีใครพอมีรีวิวหนังสือประวัติศาสตร์ของยิปซีบ้างวะ?
200 เล่ม = เดือนหนึ่งมึงต้องอ่านสัก17 เล่ม พูดง่ายๆมึงต้องอ่านสองวันต่อเล่ม มึงเอาเวลามาจากไหน!!!
เอามาจากザ・ワールド!!!
>>592 ไม่ไงมึง คือชีวิตกูแม่งงานๆสอบๆ(ชีวิตเด็กมหาลัย) แล้วกูมีหนังสืออยากอ่านเต็มไปหมดอย่างพวกคลายเครียดแบบln หรือนิยายเบาสมองของเอนเทอร์ นี้กูยังไม่มีเวลาจะไปอ่านเลย แบบแม่งไม่มีงานไม่ได้อ่านสอบกูก็นอน(เหนื่อย) คือกูทึ่งมากที่มังสามารถเจียดเวลามาอ่านสองวันต่อเล่มได้ถึงจะแค่พวกนิยายเบาสมองก็เถอะ
ถ้าว่าง กูอ่านได้วันละเล่มว่ะ ปีนึงๆก็ราวๆห้าสิบหกสิบเล่มมั้ง แต่ไม่มีหนังสืออีปอบในลิสต์กูแน่นอน
มีใครได้อ่านเกมออฟโทรนตอนที่คิงแลนดิ้งรบกับสแตนนิสมั่งอ่ะ คือกูงงมากจิตนาการไม่ออกเลย ก่อนหน้านั้นกูจำได้ว่าทีเรียนมันไปสั่งให้พวกช่างตีเหล็กในเมืองทำห่วงโซ่อันใหญ่ให้มันเป็นจำนวนมาก แบบด่วนๆด้วย แล้วพอถึงตอนที่รบกับสแตนนิสมันก็เอาโซ่นี่มาใช้แต่กูคิดไม่ออกว่ามันเอามาใช้ร่วมรบยังไง เหมือนในหนังสือจะบอกว่ามันเอาทิ้งไว้ในน้ำแล้วดึงขึ้นแต่กูอ่านแล้วไม่เข้าใจว่าทำแล้วมันได้ปนะโยชน์อะไร ดาวอสที่ลอยทะเลอยู่ก็ดูกลัวมันด้วย
จากประโยคนี้ที่ดาวอสเห็น โซ่ ทวยเทพช่วยเราด้วยเถอะ พวกนั้นยกโซ่ขึ้น
บริเวณที่แม่น้ำกว้างออกสู่อ่าวน้ำดำ ทุ่นลอยเหยียดตึง เรืองสิบสองลำพุ่งชนมันแล้ว จากที่ว่านี่แปลว่ามันเอาโซ่มาเป็นเกราะป้องกันประตูหรอ โซ่เป็นเส้นๆสามเส้นอ่ะนะหรือมันเอามาใช้ดึงอะไรไม่เห็นบอก
จากประโยคของทีเรียนนะ บอร์นจะหวดวัวให้เดินในขณะที่เรืองของสแตนิสผ่านใต้ป้อม โซ่เส้นนั้นหนักและเทอะทะกองเรือทั้งหมดจะผ่านตอนที่แววเรือนรางแรกของโลหะปรากฎให้เห็นใต้ผืนน้ำ ห่วงพวกนั้นจะโผล่มาในสภาพชุ่มโชก เนี่ยคือคิดไม่ออกเลยว่าโซ่มันโผร่ขึ้นมาแล้วมันจะทำอะไรเหมือนโผล่ขึ้นมาให้ดูเล่นๆอ่ะ งงมาก
King's landingนั้นมีลักษณะเหมือนกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ลหลายๆอย่าง มาตราการนี้และWildfireก็เหมือนกัน มันคือ"โซ่กั้นแม่น้ำ"ที่เอาไว้อุดทางน้ำ
เรือสมัยก่อนนั้นเป็นไม้และกำลังขับมาจากลม ทำให้มีความแข็งแรงและความเร็วจำกัด ถ้าเอาโซ่มากั้นแม่น้ำ เรือจะเจ้าไปไม่ได้เพราะติดโซ่ มีเป็นมาตราการป้องกันเมืองพื้นฐาน สมัยอยุทธยาก็มีแบบนี้ตามบันทึกของฝรั่งเศสสมัยฟอลค่อน
อย่างที่บอกว่าเรือสมัยก่อนนั้นไม่แข็งแรงนัก ถ้าท้องเรือขูดกับโซ่เหล็กมากไปก็อาจรั่วได้ กูไม่แน่ใจว่าเรืดในนั้นเป็นแบบใหน แต่เรือยุโรปโบราณนั้นไม่มีการแบ่งท้องเรือเป็นหลายส่วนเพื่อกันน้ำท่วม ถ้าโดนเข้าไปมีโอกาศจมสูงมาก และต่อให้ไม่จม การเป็นเป้านิ่งกลางน้ำก็อันตรายสุดๆเช่นกัน
ไอ้พวกอ่านยุโรปมึงอ่านเรื่องอะไรบ้างวะ แนะนำหน่อย
คือกุอ่านอเมริกันหรืออังกฤษแล้วคิดว่าเป็นยุโรปมาตลอดเลยว่ะ
>>597 เกมลูกแก้วของเฮสเส สงครามและสันติภาพของตอลสตอยก็ไม่เลว ถ้าทุนหนาจริงแนะนำเหยื่ออธรรม(les miserable)ของฮูโกต์ อันนี้ขึ้นหิ้งมาก แต่ถ้าอยากให้ชั้นหนังสือดูหรูสุดๆก็ไปยกดอนกีโฆเต้เดอลามันซ่ามาซะ
พวกนี้ส่วนใหญ่ที่คิโนะมี ยกเว้นอันสุดท้ายที่กูคิดว่ามือหนึ่งน่าจะหมดแล้ว เพราเป็นลิมิเตด ถ้ามีแล้วให้หันปกออกนะ อย่าเอาสันออก ชั้นหนังสือมึงจะดูหรูสัดๆเลย
>>595 โซ่ขวางเรือไม่ใช่ข้อเล็กๆ น่ะ ลองนึกถึงโซ่ใหญ่มากแบบโซ่สมอเรือบรรทุกเครื่องบินอะไรแบบนั้น
แล้วพอยกขึ้นขวางทางน้ำ เรือมันจะฝ่าไม่ได้เลย เพราะขับเคลื่อนคนละตรรกะกับเรือสมัยนี้ที่ใช้เครื่องยนต์ เรือสมัยก่อนใช้ลมอย่างที่ >>596 ว่า
ถ้าโซ่ยึดไว้บนฝั่งดีๆ ก็ไม่มีทางขาดหรือโดนเรือลากจนหลักยึดหักแน่นอน
ส่วนวิธีจัดการคือเรือมาชนโซ่ก็จบแล้วเพราะสมัยยุคกลางไม่มีเครื่องตัดโซ่ ถ้าจะไม่ยึดเรือก็สาดธนูเพลิงลงไปเลย รับรองติดไปอย่างดี
>>604 http://en.wikipedia.org/wiki/Boom_(navigational_barrier)
อ่านคร่าวๆเอาอันนี้ก็ได้ แต่ถ้าจะเอาหนังสือเต็มๆคงหายากหน่อย เพราะมันเป็นส่วนเล็กๆในระบบป้องกันสมัยโบราณ
เสริมอีกนิดละกัน ก็เป็น>>596นะ ที่บอกว่าKing's landingนั้นมีลักษณะเหมือนกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ลหลายๆอย่าง มึงอ่านข้างล่างนี้เพิ่มด้วยก็ได้
http://en.wikipedia.org/wiki/Walls_of_Constantinople
http://en.wikipedia.org/wiki/Greek_fire
เชี่ยย กูพึ่งรู้คนแต่งชินเซไค เป็นคนเดียวกับisola งี้กูมีหวังจะได้ฉบับนิยายจากสยามมั้ยวะเนี้ย
คนแต่งชินเซไคเป็นคนเดียวกับคนแต่ง Aku no kyoten ด้วยนะเว้ย ตัวแรงๆ ทั้งนั้น ถ้ามาโปรโมทดีๆ กูว่าขายได้นะ แต่สยามเหมือนได้ของดีแต่ทำแอบๆ ไม่โปรโมท เลยขายไม่ออกมากกว่า เรื่องสืบสวนของคุณหนูกับพ่อบ้านปากร้ายนั่นสยามก็ทำนะ
ญี่ปุ่นดังชิบหาย ไทยเงียบสนิท
ปล. Aku no kyoten = Lesson of evil ใครสนใจไปหาอ่านที่เว็บแมวดุ้นก่อนได้ มีฉบับมังกะให้อ่านแก้ขัด
เพราะกูอ่านAku no kyotenในแมวดุ้นนั้นแหละเลยไปเปิดหาชื่อคนแต่ง แล้วก็ดันเจอว่าเป็นคนแต่งเดียวกับชินเซไคแล้วก็อิโซระ(อิโซระนี้กูบังเอิญไปเจอรีวิวในเด็กดี เห็นเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลายบุคคลิกเลยซื้อมา ไม่งั้นกูไม่มีทางรู้เลยว่ามันมีเรื่องนี้อยู่ไม่โปรโมตเลย) สยามตอนนี้ก็มีซายากะกับมิเกะเนโกะนะ แต่แม่งเงียบชิบหาย โปรโมทหน่อยก็ดีนะสยาม
แนะนำวรรณกรรมรักดีหน่อยดิยิ่งเป็นวรรณกรรมยุโรปด้วยจะดีมาก
Aku no Kyoten หนังสนุกสัสสสสสสสส เสียดายไม่ทำภาคต่อ
ถ้าโละเหลือห้าสิบบาท กูว่าอนาคตคงไม่มีหวังจะเอาเข้ามาต่อแหง...
เอ่อ กูมาขอคำแนะนำหนังสือนิยายแฟนตาซีที่จบไปแล้ว มีเรื่องไหนสนุกหรือน่าสนใจขนาดที่มึงอ่านแล้ววางไม่ลงอะไรแบบนี้ จะเก่าโคตรๆ หรือใหม่เอี่ยมก็ได้ ขอแบบภาษาไม่ถึงขั้นเกมออฟโตรน...
World without end ของ Ken Follett จริงๆ เป็นนิยายปวศ. แต่สนุกชิบหายวายวอดวางไม่ลง มีแปลไทยด้วย
Midnight childrenก็สนุกนะ เนื้อเรื่องแฟนตาซีประวัติศาสตร์ดี อ่านแล้วได้อะไรหลายๆอย่าง เป็นนิยายสมัยใหม่เรื่องหนึ่งที่คนอินเดียรู้สึก"ผูกพัน"มากเรื่องหนึ่งเลย
แม่มด โรอัลดาห์ (มันแฟนตาซีสำหรับกุมากก)
มอนลี่มูน
อบารัต (ที่โดนลอยแพ)
อ่อ คำสาปแม่มดราตรีสนุกนะ กับภาคต่อ (แต่ตัวหลักภาคเก่ามีเจวาลออกคนเดียว)
เรื่อง เม็ดทรายกับสายน้ำ แต่แฟนตาซีไม่มากแทบจะไม่ด้วยซ้ำมั้ง (แถมหน้าปกแม่มยังกับนิยายชีคตบจูบ)
>>628 แม่มดราตรีกูอ่านแล้วสยิวกิ้วกับพระเอกตอนพยายามเข้าหานางเอกว่ะ คนอะไรหล่อเข้มขนาดนั้น ลูกล่อลูกชนเยอะอีก เผลอใจให้ได้กับน้องชายนางเอกด้วยซ้ำ เพราะน้องนางเอกอยู่ในร่างหญิงโครตน่าเอ็นดูอะ ผู้หญิงแก่นแก้วซนๆเห็นแล้วมันเขี้ยว พระเอกแม่งไม่หน้ามืดวันละหลายสิบรอบก็ดีเท่าไหร่แล้ว
รบกวนเพื่อนโม่งหน่อย ;-; อยากได้หนังสือเกี่ยวกับสัตว์ในหิมพานต์อ่ะ แต่ไม่ต้องวิชาการจ๋าอะไรมาก ขอแบบอ่านง่ายๆเพลินๆ ใครมีเล่มไหนแนะนำมั้ย
สัตว์หิมพานต์ ของ ส. พลายน้อย
ถามเรื่องต้นอิกดราชิลหน่อย สงสัยว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีรากสามรากรากนึงยาวถึงแอสการ์ด รากนึงยาวถึงดินแดนยักษ์ รากนึงถึงนรก แต่ละรากดูดน้ำจากน้ำพุแห่งปัญญมาเลี้ยง งั้นแปลว่าน้ำพุแห่งปัญญามีสามที่อ่ะดิ เห็นภาพประกอบในเน็ตแล้วยิ่งงงตกลงมันเป็นไม้ที่ใหญ่กว่าแอสการ์ด มิดการ์ด ใช่ป่ะ ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วมันมีลักษณะเป็นยังไงมีใครพอวาดแผนผังให้ดูได้บ้างป่ะ
หรือถ้าสามารถวาดแผนผัง แผนที่ ของโลกนี้ให้ดูได้จะขอบคุณมาก
มีใครอ่าน The Kingdom in crisis แล้วมั้ง เป็นไง สนุกมั้ย
>>637 ต้นไม้ที่มีรากแตกแขนงไกลไม่จำเป็นต้องมีลำต้นใหญ่ เห็ดราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยังแตกแขนงไปได้ตั้ง 1500 เอเคอร์
http://abcnews.go.com/Technology/story?id=120049
คุยเรื่องหนังสือที่เกี่ยวกับการเมืองก็ไม่ได้เหรอวะ
งั้นถ้ากระทู้ดูหนังคุยเรื่อง hunger games จะโดนลบมั้ย
ก็คุยในประเด็นหนังอย่าลามมากีฬาสีแถวๆนี้สิวะ กูเห็นแล้วรำคาญพวกกระแดะโยงไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ เอาขอบเขตของหนังว่านางเอกมันทำอะไรๆบ้าง วิจารณ์ดีๆไม่แขวะชาวบ้านชาวช่องนี่ไม่ตายหรอก
>>647 หนังสืออันนี้มันเกี่ยวกับกีฬาสีโดยตรงอยู่แล้ว แถมเป็นหนังสือต้องห้ามอีก เบรกไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไร
ถ้าเป็นหนังสือที่วางขายทั่วไปกูจะไม่ห้ามนะ แต่เล่มนี้ก็รู้ๆกันอยู่ว่ามันยังไง ยิ่งเป็นช่วงนี้ด้วย
ถ้าอยากได้คำวิจารณ์ สมเด็จเจียมตรัสว่า"ค่อนข้างผิดหวัง" ที่เหลือตัดสินเองละกัน
>>648 ยิ่งกว่ากีฬาสีอีกมึง เป็นนิยายแนวสารคดีระดับ Game of Throne อะ
เรื่องรีวิวของ เด็จเจียมเนี่ย คือแกก็พลาดเหมือนกันว่ะ แกตกข่าวสำคัญไปเลยมองว่า AMM วิเคราะห์ผิดน่ะ (มากกว่านี้เรื่องต้องห้าม)
กูอ่านละโอเคนะ เป็นฝรั่งที่รีเซิร์ชเข้าใจดีกว่าคนไทยอีก แค่กูมองว่าอ่านเป็นนิยายจะสบายใจกว่า
เด็จพ่อตกข่าว? R U drunk?
แกขำจนหงอกร่วงแล้วมั้ง คุณคิดจริงๆเหรอว่าแกจะไม่รู้ข้อมูลที่คุณรู้ แกมีแหล่งข้อมูลเยอะจะตาย ความน่าเชื่อถือก็สูง เหนือกว่าข่าวชาวบ้านตามวิทยุเยอะครับ
แล้วหนังสือนั่นก็มีข้อเสียเหมือนที่แกบอกจริงๆนั้นละ หนาแค่200หน้าแต่ลากไปเรื่องกว่าครึ่ง มันเลยดูโดดๆไปสำรับการวิเคราะห์"สมัยใหม่" ซึ่งไม่เกี่ยวกับการรู้ห่ือไม่รู้อะไร เป็นวิธีดขียนมากกว่าที่มีปัญหา
ปล. ะอาเป็นว่าแค่นี้ดีกว่า มากกว่านี้เดี๋ยวจะผิดกฏเอา
ไอโรบ็อทถ้าดูหนังไปแล้วไปอ่านนิยายยังจะสนุกอยู่ปะ ?
กฎ 3 ข้อของหุ่นยนต์ในหนังนี่อะไรนะ กูจำไม่ได้แล้ว แต่โชบิทส์ก็เคยพูดไว้เหมือนกันว่าคนสร้างไม่ต้องการให้นางเอกผูกติดกับกฎ 3 ข้อน่ะ
มันมีกฎข้อที่ 0 ด้วยนิ หุ่นยนต์ต้องปกป้องมนุษยชาติ การฆ่ามนุษย์บางคนที่อันตรายก็ยกเว้นกฎข้อ 1.
ไอโรบอทภาคหนังมันก็ได้แรงบันดาลใจจากชุดเรื่องสั้นไอโรบอทของอาซิมอฟแล้วเอามาเขียนเรื่องใหม่
กูไม่นับภาคหนังว่ะ เสียชื่อดร.ซูซานสัสๆ แม่งทำซะแอ็คชั่นเลย อีกนิดก็จะเอาไปวางขายข้างๆ Terminator ได้ล่ะ เสียของชิบหาย
ถ้ามึงอยากอ่านไอโรบอทมึงอ่านไปเลย สนุกกว่าหนังเยอะ อ่านเสร็จมึงจะไปตามหาหนังสือของอาซิมอฟมาอ่านจนจบแน่นอน แม่งติดยิ่งกว่าเฮโรอีน
ของ hbo ก็น่าจะเจ๋งอยู่นะ ตอนนั้นกูติด band of brother งอมเลย เห็นว่าน้องโนแลนเขียนบทด้วยนี่หว่า คงไม่ถึงกับแย่นะ
กูอยากเขียนนิยายไซไฟมั่งว่ะ พอจะมีทริคแนะนำมั่งมะ คือไม่ได้หวังจะดีเลิศแบบซีคลาร์กหรืออาซิมอฟหรอก แต่กูอยากลองเขียนอะไรที่มันไม่ใช่นิยายรักบ้าง
>>670 อันนี้ยกตัวอย่างแนวคลาสสิคนะ
เริ่มจากกำหนดเทคโนโลยีที่เป็นแกนหลักของพล็อตก่อน
ถ้าจะคิดเชิงลึกหน่อย ก็คิดว่าเทคโนโลยีนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อแก้ปัญหาอะไร
แล้วคิดว่าเทคโนโลยีนั้นจะมีผลกระทบกับสังคมยังไง ทำให้เกิดความขัดแย้งหรือเปล่ายนแปลงอะไร
แล้วเขียนพล็อตออกมาเล่าถึงผลกระทบหรือความขัดแย้งกับเทคโนโลยีนั้น
ยกตัวอย่างก็หุ่นยนต์กับกฎสามข้อของอาซิมอฟ
กำหนดหุ่นยนต์ขึ้นมา กำหนดกฎ แล้วเขียนเรื่องจากการตีความกฎข้างต้น
ที่ตอนแรกๆ เป็นความขัดแย้งของหุ่นกุบกฎ ไปจนถึงตอนทัายที่หุ่นตีความกฎใหม่แลัวเขัาปกครองมนุษย์
ตัวอย่างใหม่หน่อยก็ไซโคพาส ที่คิดเทคโนโลยีมาเพื่อจัดระเบียบสังคม
แต่ก็มีปัญหาความเหลื่อมล้ำหรือจุดอ่อนในกฎ ที่ถูกเอามาใช้เป็นเนื้อเรื่องทั้งสองภาค
ย้ำว่าอันนี้คือแบบคลาสสิคเน้นเทคโนโลยี ไม่ใช่แบบสเปซโอเปร่าหรือแอคชั่นอนาคตอะไรแบบนั้น
มึงเริ่มเขียนจากไซไฟใกล้ตัวมั้ย ถ้าเป็นนักเขียนนิยายรักน้ำเน่ามาก่อนก็เขียนให้คนรักกับโรบ็อต หรือโรบ็อตรักกัน ฟังดูพล็อตมันเฝือๆ แต่ Chobits ก็ขายดีอยู่นะกูว่า
Love sci-fi ลองดูหนังเรื่องbicentennial manของริบบิ้น วิลเลี่ยมสิ สนุกนะ ซึ้งดีด้วย หนังดัดแปลงจากนิยายพอควร แต่ก็สนุกดี
ประเทศไทยสภาพอากาศเหี้ยแบบนี้งานเขียนดีดีมันจะเกิดขึ้นได้ยังไงวะ
แค่จะหยิบหนังสือมาอ่านยังขี้เกียจเลย เปิดแอร์ก็ไม่ได้ฟีล
>>683 ขอนอกเรื่องแต่กูพลาดบทความแรกไปมึงอ่านกันยังไงให้ตรงกับเฉลยบนเด็กดวก กูหาจุดเชื่อมโยงแม่งไม่เจอจริง ๆ จนกูแบบ....เชื่อมโยงของแพทย์ง่ายกว่าเยอะถึงแม่งจะให้กูมาวนหาตัวดำตัวหนากันเอาเองก็เหอะ
มึงมีคำถามการแต่งนิยายหรืออะไรที่ใส่ในนิยายจำเป็นต้องสัมพันธ์กับนิสัยหรือลักษณะส่วนตัวในชีวิตป่ะ? อย่างกูงี้เป็นคนเขียนอะไรแหวะ ๆ น่ากลัวได้ดี ครีเอทมอนสเตอร์ได้ แต่แบบ....ชีวิตจริงกูเป็นคนขี้กลัวชิบหาย ไม่เชิงว่าเลือดนิดหน่อยก็กลัวแต่มันออกแนวถ้า....อะไรแหวะ ๆ มากอย่างช่วงผิวหนังมีจุดเล็ก ๆ แล้วเนื้อแถบนั้นแม่งเหมือนราขึ้น+กำลังเน่า แถมบางรูเล็ก ๆ มีปลิงโผล่มางี้กูก็กรี๊ด
ห่า พอมึงพูดถึงแกทแพทกัน กูรู้สึกแก่ทันที โฮฮฮ (กูยุคโอเน็ตเอเน็ตว่ะ)
>>684 Walt Disneyเป็นคนกลัวหนู แต่เขาก็สร้างMickey Mouseได้ คนแต่งEnder Gameเกลียดเกย์ แต่ก็แต่งเรื่องที่แสดงถึงการยอมรับสิ่งอื่นได้ สตีเฟ่น คิงก็กลัวผี แต่เรื่องผีของแกโคตรน่ากลัว
ของแบบนี้มันแล้วแต่เรื่องแล้วแต่คน แต่โดยพื้นฐาน นักเขียนมักเอามุมมองของตัวเองมาใส่ในเรื่องราวเป็นปรกติ แต่การจะใส่ยังไงก็เป็นชั้นเชิงของผู้เขียน มันไม่มีผิดถูก สำคัญคือมึงต้องการเขียนอะไร ที่เหลือค่อยขยายแตกแยกจากสิ่งที่มึงต้องการเขียน แค่นี้ก็พอแล้ว
ปล. แต่งสิ่งที่มึงกลัวนะดีแล้ว และเอาความกลัวของมึงมาแสดงให้คนอื่นเห็นให้ได้ สิ่งสำคัญที่สุดในนิยายสยองขวัญคือสิ่งนี้ละ
พวกมึงที่ต้องสอบส่วนกลางกูสงสาร ; w ; ลำบากมากสินะพวกมึง
ปะกลับเข้าเรื่อง >>684 กูมองว่าเวลาแต่งนิยายมันจะมีเสี้ยวหนึ่ง(พวกมุมมอง การใช้ชีวิต แนวคิด)ของตัวเองอยู่ คือจะเขียนอะไรมันก็จะมีตัวเองเป็นพื้นฐานอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขียนอะไรที่ตรงข้ามกับมึงไม่ได้ อย่างสมมุติมึงกลัวผี มึงก็อาศัยพื้นฐานความกลัวตัวเองเป็นที่ตั้งแล้วก็แต่งนิยายแนวนั้นออกมา
http://pantip.com/topic/32915370
เอาจริงดิ่... ชีวิตเปลี่ยนเลยเหรอวะ...อีดอกปอบมันแอบขายตรงป่ะ
กูรู้สึกว่ากูเป็นมนุษย์ที่แย่จริงๆที่พออ่านกระทู้อีปอบแล้วกูยี้ ความจริงคนเรามันก็เปลี่ยนแปลงตัวเองกันได้นี่นะ อีปอบมันอาจจะเปลี่ยนตัวเองไปแล้วก็ได้ แต่อ่านเจอชื่อมันกูก็ยังยี้และไม่เชื่อน้ำยสขนมจีนมันอยู่ดี
เข้าเรื่องหนังสือดีกว่า http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2012/08/K12500111/K12500111.html
พวกมึงคิดยังไงกับประเด็นนี้ โดยภาพรวมแล้วก็เห็นด้วยนะ เพราะมันทำให้มีหนังสือหลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะหนังสือในกระแส
พูดตรงๆว่ากูชอบการลดราคา ถ้าไม่ลดราคาแล้วซื้อคืออยากอ่านสุดๆ แต่ประเด็นนี้ก็น่าสนใจนะว่ามันจะดีรึปล่าวกับวงการหนังสือบ้านเรา
กูชอบหนังสือลดราคานะ เห็นราคาเต็มห้าร้อย กูซื้อไม่ไหว
กูโง่เรื่องการตลาดนะ กูเลยไม่เข้าใจว่าการไม่ให้ลดนี้มันจะทำให้หนังสือหลากหลายขึ้นได้ยังไง
คือเรื่องการตรึงราคากูเข้าใจว่า มันจะได้ไม่ได้มีแค่ร้านใหญ่ๆ(ที่สามารถลดได้แล้วมีกำไร) จะมีร้านเล็กๆเกิดขึ้น คนจะไม่ได้ซื้อแค่เพราะถูกแต่จะซื้อเพราะเดินทางสบายไรแบบนี้
แต่กูไม่เข้าใจการไม่ลด แล้วทำไมการวางหนังสือหลากหลายถึงขายดีกว่า คือเวลาคนซื้อมันก็เลือกเรื่องที่อยากได้(ส่วนใหญ่ก็แนวในกระแส) ไม่ได้ชายตามองเรื่องอื่นเท่าไร กูว่าการที่มีการลดมันยังจะทำให้คนมองไปที่ตัวหนังสือนอกกระแสมากกว่านะ(แบบซื้อครบ300 ลด 10% หนังสือที่อยากได้250 ก็มีไปดูเรื่องอื่นเพื่อจะได้ส่วนลด)
เพื่อรโม่งฉลาดๆช่วยอธบายกูทีเถอะ กูโง่เรื่องพวกนี้มาก
ลดราคาน่ะไม่ดีตรงที่สนพ มันหันมาบวกราคาส่วนลดไปในราคาปกก่อนแล้ว
คนที่ปกติไม่ได้รอไปกวาดที่งานหนังสืออย่างเดียวก็ซวยไป
คนที่ซื้อหนังสือลดก็มีความสุขกับภาพลวงตาต่อไปว่ากุได้หนังสือมาถูกๆ
>>703 ผิด กูไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่มาตอบกระทู้นี้จะมีคนโง่แบบนี้ /-"- กุมขมับแป๊บ
คือเวลาจะกระจายหนังสือไปทั่วๆประเทศเนี่ยมันต้องมี logistic นะเว้ย ที่เค้าเรียกกันว่าสายส่งน่ะ ปัญหาของไทยคือไอ้สายส่งเนี่ยขอส่วนแบ่งรายได้เยอะมากๆ เท่าไรไม่รู้จำไม่ได้แล้ว ถ้าสำนักพิมพ์ไม่ใช้บริการแม่งหนังสือก็ไม่มีไปวางขายให้คนมาเห็น
งานหนังสือสำหรับสำนักพิมพ์เลยเป็นโอกาสให้สามารถได้รายรับเต็มๆ แถมเอาหนังสือที่ร้านตีกลับมาขายได้ด้วย คือคิดดูว่าลดทิ้งลดขว้างขนาดนั้น ต้องขนของมาเอง บางทีก็ต้องจ้างคนเพิ่มมาเฝ้าบูธ แล้วยังได้กำไรมากกว่าขายแบบปกติอะมึง โครงสร้างของวงการนี้มันผิดปกติเหี้ยๆ
เพราะงั้นในไทยกูมองว่าตรงข้ามเลยว่ะ กลายเป็นว่างานหนังสือที่มีจุดขายคือลดราคาเนี่ยกลับทำให้หนังสือหลากหลายมากขึ้นกว่าระบบปกติซะงั้น
>>702 กูเข้าใจว่าร้านเล็กๆจะทำด้วยใจรักมากกว่า พอคำด้วยใจรักก็แนะนำหนังสือได้ดีกว่าพนักงานร้านใหญ่ๆ ดูจากที่บอกว่าส่งเสริมให้ร้านขนาดเล็กที่มีหัวหนังสือเยอะและจัดกิจกรรมด้วย
>>702 แข่งราคาไม่ได้ก็แข่งความหลากหลายไง ถ้าเรื่องใหนมันลดได้ร้านก็จะซื้อเรื่องนั้นมาสต็อคไว้ ทำให้กอินพื้นที่ร้าน แต่ถ้ามันลดไม่ได้ ร้านค้าก็จะไม่ซื้อมาสต็อคเยอะๆ แต่จะกระจายความเสี่ยงแทน โดยไปเลือกหนังสือหลายๆประเภทเพื่อขยายกลุ่มลูกค้า ถ้าร้านหนังสือมีลูกค้าหลายประเภทมากขึ้น ก็มีโอกาศที่หนังสือบางประเภทจะขายได้ดีขึ้น
แต่เรื่องนี้โดยพื้นฐานแล้วเอื้อต่อร้านค้าขนาดเล็กมากกว่า เพราะทำให้ร้านใหญ่ๆไม่สามารถผูกขาดการลดราคาได้ ถ้ามีกฏหมายนี้ ร้านเล็กๆที่มีหนังสืออินดี้ก็จะมีโอกาศขายหนังสือที่ร้านใหญ่ๆไม่เอาเข้าได้ กูเชื่อว่าพวกมึงส่วนใหญ่ไม่รู้จักหนังสืออินดี้ประเภทพิมพ์ทีละน้อยๆและไม่ได้ลงร้านใหญ่ สนพ.บางแห่งก็ระดมทุนพิมพ์จากคนอ่านเอาเองเลย เจ๊หลินโม่วก็เข้าข่ายแบบนี้
กูแนะนำให้พวกมึงลองเข้าไปดู
วรรณกรรมไม่จำกัด
มาตรฐานวรรณกรรมพิมพ์จำกัด
bookmoby
หนังสือพวกนี้มักไม่มีขายตามร้านใหญ่ เพราะพิมพ์มาน้อย แถมเฉพาะทาง คนที่จะขายและซื้อก็อินดี้พอกัน หนังสือพวกนี้ส่วนใหญ่จะไม่ลดราคา เพราะมีต้นทุนที่สูง(เนื่องจากพิมพ์มาน้อย) หนังสืออินดี้พวกนี้เป็นหนทางทำกินของร้านเล็กๆ เพราะมีหนังสือที่ร้านใหญ่ไม่มีเนื่องจากการขายของลดราคาทำกำไรดีกว่า แต่ถ้าส่งเสริมการขายด้วยราคาไม่ได้ ก็ต้องส่งเสริมด้วยกิจกรรมและความหลากหลาย เมื่อมีการส่งเสริมความหลากหลายแปลว่าจะมีการสั่งซื้อหนังสืออินดี้มาขายในร้านใหญ่ ทำให้ยอดพิมพ์มากขึ้น ส่งผลให้ราคาถูกลง เป็นการส่งเสริมการเขียนหนังสือนอกกระแสมากขึ้น
สรุปคร่าวๆก็ประมาณนี้ รายละเอียดเชิงลึกกูไม่รู้ แต่โมเดลนี้น่าจะส่งผลแบบนี้นะเท่าที่กูคำนวนดู เพราะที่หนังสือหน้าเท่ากันแต่ราคาต่างกันหลายๆครั้งมาจากจำนวนการพิมพ์ ถ้ามีการพิมพ์เยอะขึ้นก็จะทำให้หนังสือถูกลงตามกลไกการตลาด และส่งเสริมร้านเล็กๆให้แข่งกับร้านใหญ่ๆได้อีกทาง
>>704 มึงคือตัวอย่างที่ดีมากของคนโง่ที่อวดฉลาด ทำความสะอาดเขาบนหัวบ้างนะ
ไอ้เรื่องสายส่งเค้าก็รู้กันทั้งนั้น ไม่ได้มีมึงรู้คนเดียว ไปเสิร์จพันทิปก็เจอข้อมูลแล้วง่ายๆ แต่ข้อมูลทั้งหมดแม่งก็มาจากสำนักพิมพ์ทั้งนั้น
ซึ่งสำนักพิมพ์มันคงจะบอกมึงหรอกว่ามันต้องคิดราคาเผื่อลดไว้แล้ว เพราะเหตุผลหลักคือไอ้งานสัปดาห์หนังสือ
การขายออนไลน์ที่กำลังเพิ่มส่วนแบ่งมากขึ้นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง เพราะต้องลดราคาเพื่อแข่งกับรายใหญ่อย่าง se-ed และนายอินทร์
เป้าหมายต่อไปก็คือยอดขายทางออนไลน์โดยสนพเองเอาชนะทางหน้าร้านของสองเจ้าใหญ่ได้
ต่อไปก็ไม่ต้องไปเสียค่าสายส่งอีก ไม่ต้องง้อหน้าร้าย ไม่จำเป็นต้องคิดราคาเผื่อลด แต่มันจะลดราคาหนังสือให้มึงหรือเปล่าไม่มีใครรู้
บก ผีเสื้อแม่งถึงบอกไงว่างานสัปดาห์หนังสือมันทำลายระบบหนังสือ สนพ.ทั่วไปมันก็รู้อยู่แก่ใจ
แต่ว่ามันก็คิดแบบมึงว่าเป็นโอกาสกอบโกย จรรณยาบรรณมันจะไปสำคัญเท่ากำไรได้ไงวะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.