Last posted
Total of 1000 posts
>>890 มึงโผล่ กูจัด
กังฉินแห่งซ่งใต้และปราการสุดท้ายที่เซียงหยาง
ในส่วนเหตุการณ์ทางอาณาจักรซ่งใต้นั้น หลังจอมข่านมองเกสวรรคตและกองทัพมองโกลล่าถอยไปแล้ว เสนาบดีกลาโหม เจี่ยซื่อเต้า ซึ่งจักรพรรดิซ่งหลีจงทรงให้ยกทัพมารับศึกที่เมืองเอ้อโจวแต่กลับลอบเจรจา ขอส่งบรรณาการ แลกกับการให้ทัพมองโกลของเจ้าชาย กุบไลถอยทัพ ได้ไปอ้างความดีความชอบกับราชสำนักซ่งและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาในปี ค.ศ.1260
ระหว่างที่มองโกลเกิดสงครามกลางเมือง ราชสำนักซ่ง ใต้ก็เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แบ่งพรรคแบ่งพวกของเหล่าขุนนาง ขณะที่องค์จักรพรรดิก็สนพระทัยแต่เสพสุข ซึ่งในสภาพเช่นนี้เองที่เจี่ยซื่อเต้า ได้ขึ้นมาเป็นใหญ่
เจี่ยซื่อเต้า เป็นพี่ชายของพระนางเจี่ย ซึ่งเป็นพระชายาคนโปรดของจักรพรรดิซ่งหลีจง แม้จะเป็นคนฉลาด แต่มีนิสัยละโมบ เสเพล ทั้งไม่มีความรู้ความสามารถ หากด้วยอาศัยใบบุญน้องสาวรวมกับการประจบสอพลอ จึงได้เป็นคนโปรดของจักรพรรดิ
หลังขึ้นเป็นอัครเสนาบดีขวา เจี่ยซื่อเต้าก็กำจัดฝ่ายตรงข้าม โดยวางแผนใส่ร้ายอู๋เฉียน อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายจนถูกปลดจากตำแหน่งและเนรเทศ ส่วนพวกพ้องของ อัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย ล้วนโดนเล่นงาน จนถูกปลดจากราชการ บ้างก็ถูกประหารหรือจำคุก ทั้งยังใส่ร้ายขุนศึกฝีมือเข้มแข็งที่ต่อต้านมองโกลจนต้องออกจากราชการแล้วจึงเอาคนของตนเข้าแทนที่ เพื่อสร้างอิทธิพลให้ตนเอง จนทำให้กองทัพซ่งใต้อ่อนแอลงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามหมดแล้ว เจี่ยซื่อเต้าก็กุมอำนาจบริหารแผ่นดิน แต่ก็ไม่ได้เอาใจใส่งานบ้านเมือง กลับเอาแต่เสพสุข โดยเลี้ยงนางคณิกาและภิกษุณีรูปงามจำนวนมากไว้เป็นนางบำเรอ ทั้งชื่นชอบการกัดจิ้งหรีดจนเขียนเป็นคัมภีร์จิ้งหรีด วันใดอากาศดีก็ขนเหล่านางบำเรอลงเรือล่องทะเลสาปซีหูเป็นที่สุขสำราญ(ชิลแท้) จนผู้คนกล่าวขานว่า ไปทำเนียบมิพบอัครเสนาบดี ด้วยสำราญเปรมปรีดิ์อยู่ซีหู
มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งขณะล่องเรือในทะเลสาบซีหู นางบำเรอคนหนึ่งของเจี่ยซื่อเต้าหลุดปากเอ่ยชมชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ในเรืออีกลำ ให้เพื่อนฟัง เมื่อเจี่ยซื่อเต้าได้ยินเข้าโดยบังเอิญก็เรียกมาถามยิ้มๆ ว่า ชอบหนุ่มผู้นั้นหรือไม่ หากชอบจริง ก็จะเป็นพ่อสื่อ จัดงานแต่งให้
หญิงสาวรีบปฏิเสธ ด้วยความตกใจว่าจะถูกลงโทษ แต่อีกฝ่ายก็เพียงแต่หัวเราะอย่างไม่ถือสา
พอถึงตอนค่ำวันนั้น เจี่ยซื่อเต้าก็ให้นางบำเรอทุกคนมารวมกันและกล่าวว่า เขาจะจัดงานแต่งงานให้นางบำเรอที่เอ่ยชมชายหนุ่มรูปงามที่พบเมื่อตอนกลางวัน และให้ทุกคนเป็นสักขีพยาน จากนั้นก็ให้คนยกกล่องใบใหญ่มาวางและเมื่อเปิดกล่อง เหล่านางบำเรอก็พากันกรีดร้องตกใจกลัว ที่ได้เห็นหัวของนางบำเรอผู้นั้นกับหนุ่มรูปงามเมื่อตอนกลางวันถูกตัดวางไว้คู่กัน ขณะที่อัครเสนาบดีหัวเราะชอบใจ
หลังจักรพรรดิซ่งหลีจงสวรรคตในปี ค.ศ.1264 ซ่งตู้จงคือขึ้นครองราชย์ อำนาจของเจี่ยซื่อเต้าก็สูงยิ่งกว่าผู้ใดในอาณาจักร
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นกังฉิน แต่หากจะกล่าวว่า เจี่ยซื่อเต้าไร้ผลงาน ก็ไม่ถูกนัก ด้วยเขาได้บุกเบิกนโยบายปฏิรูปที่ดินเป็นผลสำเร็จ โดยการเวนคืนที่ดินจากเจ้าที่ดินรายใหญ่ทั่วอาณาจักรมาเป็นของรัฐและไม่มีการจ่ายค่าชด เชยแม้แต่อีแปะเดียว(เรียกสั้นว่า ยึด)
ภัยคุกคามของมองโกล ทำให้มีความจำเป็นต้องเสริมสร้างกองทัพและป้อมปราการต่างๆให้แข็งแกร่งและด้วยความจำเป็นนี้เอง ทำให้เจี่ยซื่อเต้าสามารถยึดที่ดินทั่วทั้งอาณาจักรได้มากกว่าครึ่ง โดยเอกชนจะถูกจำกัดการครอบครองที่ดินขนาดใหญ่ เหลือให้เพียงที่แปลงเล็กๆ ส่วนที่ดินที่เหลือ จะกลายเป็นนารัฐ หรือ กงเถียน ซึ่งผลผลิตและรายได้ต่างๆจากกงเถียน จะถูกนำมาใช้สนับสนุน กิจการกองทัพ
นโยบายนี้ถูกใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1263 และทำให้เจ้าที่ดินทั้งหลายโกรธแค้น ซึ่งก็มีเจ้าที่ดินจำนวนมากที่เป็นขุน นางของราชสำนักด้วย
นอกจากปฏิรูปที่ดินแล้ว เจี่ยซื่อเต้ายังยกเลิกนโยบายเหอตี้ หรือการที่รัฐซื้อพืชผลของชาวนาเพื่อควบคุมราคาพืชผล โดยจะนำออกมาจำหน่ายในราคาถูกเมื่อเกิดภัยแล้ง หรือใช้เป็นเสบียงกองทัพ โดยปกติรัฐจะรับซื้อในราคาสูงกว่าราคาตลาด เพื่อให้ชาวนามีรายได้มากขึ้น เเต่เนื่องจากการซื้อพืชผลต้องใช้เงินมาก ราชสำนักจึงต้องออกตั๋วแลกเงินเพื่อใช้แทนเงินสด ยิ่งซื้อมากในราคาสูง ก็ต้องออกตั๋วแลกเงินมาก ส่งผลให้มีปริมาณเงินในตลาดมากขึ้น จนเกิดเงินเฟ้อทำให้สินค้าราคาแพง เจี่ยซื่อเต้าต้องการลดเงินเฟ้อ จึงให้ยกเลิกนโยบายนี้
แม้นโยบายปฏิรูปที่ดินและการยกเลิกการซื้อพืชผลจะ
สร้างรายได้ให้อาณาจักรทำให้มีเงินมากพอสนับสนุนกองทัพโดยไม่ต้องรีดภาษีเพิ่ม ทว่าก็มีคนที่เดือดร้อนเสียผลประโยชน์เป็นจำนวนมาก อีกทั้งเจี่ยซื่อเต้าและพรรคพวกยังหาผลประโยชน์ส่วนตัวจาก นโยบายดังกล่าวด้วย จึงทำให้มีผู้เกลียดชังเขาเป็นจำนวนมาก แต่เพราะเจี่ยซื่อเต้ากุมอำนาจสูงสุดในราชสำนัก จึงไม่มีใครกล้าขัดขวาง
ฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1265 กุบไลข่าน จอมข่านแห่งจักร วรรดิมองโกลส่งทัพใหญ่บุกเสฉวน ซึ่งแม้กองทัพมอง โกลจะสามารถทำลายกองทัพซ่งในเสฉวนได้ทั้งหมดพร้อมกับยึดเมืองได้หลายเมือง แต่ก็ไม่สามารถตีป้อมเตี้ยวอวี้เฉิงให้แตกได้และกลายเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการเคลื่อนทัพจากเสฉวนเข้าสู่ลุ่มน้ำฉางเจียง
กุบไลข่านจึงเปลี่ยนแผนโดยใช้การบุกทางน้ำผ่านทาง แม่น้ำฮั่นสุ่ยเพื่ิอบุกราชธานีหลินอันของซ่งใต้ทว่าการใช้วิธีนี้ก็ยังมีอุปสรรคสำคัญ นั่นคือ เมืองเซียงหยาง
เมืองเซียงหยางตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฮั่นสุ่ยโดยคู่กับเมืองฟานเฉิงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ มีราษฎรที่อาศัยอยู่ทั้งในและรอบเมืองทั้งสองราวสองแสน
ทั้งสองเมืองเคยถูกมองโกลเข้ายึดได้เมื่อปี ค.ศ.1236 และฝ่ายซ่งแย่งคืนมาได้ในปี ค.ศ.1239 จากนั้นก็ได้มีการเสริมสร้างเมืองทั้งสอง จนกลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งและทำหน้าที่เป็นหน้าด่านสำหรับป้องกันลุ่มน้ำฉางเจียง
ใน ปี ค.ศ.1257 ทหารม้ามองโกลหลายพันนาย ได้เข้าโจมตีเมืองเซียงหยาง แต่เพราะไม่รู้ว่า เมืองนี้มีกำแพงสองชั้น พวกมองโกลจึงถูกหลอกให้เข้าไปอยู่ระหว่างกำแพงชั้นนอกและชั้นใน ก่อนถูกกองทหารที่ป้องกันเมืองสังหารจนหมดสิ้น
นอกจาก เมืองทั้งสองจะแข็งแกร่งแล้ว ภูมิประเทศและสภาพอากาศของภาคใต้ยังเป็นปัญหากับกำลังพลชาวมองโกลและชนท้องทุ่งอื่นๆด้วย กุบไลข่านจึงตั้งกอง ทัพชาวฮั่นขึ้น เพื่อใช้เป็นกำลังหลักในการทำศึกครั้งนี้
โดยกองทัพฮั่นที่กุบไลข่านตั้งขึ้นนี้ ประกอบด้วยทหารฮั่นของกองทัพจินและทหารจีนฮั่นของอาณาจักรซ่งใต้ที่มาสวามิภักดิ์ โดยทหารซ่งใต้ที่ยอมจำนนและสวามิ ภักดิ์ จะได้รับหญิงชาวเกาหลีเป็นภรรยา พร้อมกับ วัวเสื้อผ้าและที่ดินทำกิน
ทั้งนี้ จักรวรรดิมองโกลได้รุกรานอาณาจักรโครยอบนคาบสมุทรเกาหลีหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยจอมข่านโอกาไดและได้กวาดต้อนชาวเกาหลีกลับมาเป็นจำนวนมาก จนเมื่อถึงรัชสมัยของกุบไลข่าน โครยอก็ยอมศิโรราบกลายเป็นเมืองขึ้นของมองโกล
ปี ค.ศ.1267 กุบไลข่านส่งนายพลอาจู บุตรชายของแม่ทัพอูเรียงคาไดและหลานปู่ ของสุโบไต ผู้เป็นหนึ่งในสามแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมองโกล นำทัพหนึ่งแสน ซึ่งใช้ชาวฮั่นเป็นกำลังหลัก มาตีเมืองเซียงหยาง โดยมี ขุนนางของซ่งใต้ที่มาสวามิภักดิ์ ชื่อ หลิวเจิ้ง เป็นผู้ช่วย
นายพลอาจูกับหลิวเจิ้งนำทัพมาถึงเซียงหยางและฟานเฉิงในปี ค.ศ.1268 และตั้งค่ายล้อมไว้เพื่อให้ในเมืองขาดเสบียง อีกทั้งได้นำเครื่องเหวี่ยงหิน หรือ เทรบูเชต์ แบบใช้แรงฉุด(traction trebuchet)มาอีก 100 เครื่ิองเพื่อใช้ทำลายป้อมปราการ เทรบูเชต์เหล่านี้ถูกเรียกอีกชื่อว่า แมงโกเนล(mangonel)โดยมีระยะยิงอยู่ที่ 100 เมตร และยิงหินได้หนัก 40- 50 กิโลกรัม โดยมองโกลเคยใช้เทรบูเชต์ทำลายป้อมปราการของอาณาจักรจินจนพินาศมาแล้ว
ด้านเมืองเซียงหยางนั้น มีแม่ทัพลู่เหวินหวนกับทหาร รักษาเมือง 8,000 นาย พร้อมราษฎรอีกแสนเศษ ส่วนฟานเฉิงก็มีทหารจำนวนใกล้เคียงกันทำหน้าที่รักษาเมืองพร้อมราษฎรอีกหลายหมื่นคน
แม้จะกำลังพลฝ่ายเซียงหยางจะน้อยกว่าฝ่ายมองโกลมาก แต่กำแพงเมืองนั้นมีความหนาถึง 7 เมตร ทั้งยังถูกเสริมความหนาด้วยดินเหนียวหุ้มตาข่าย พร้อมกับมีการขยายคูเมืองและสร้างเครื่องกีดขวางเป็นแนวกว้างเกือบ 150 เมตร รอบเมือง รวมทั้งติดตั้งเครื่องดีดหินและหน้าไม้ยักษ์สำหรับยิงก้อนหินและระเบิด
คูเมืองที่กว้างและกำแพงที่เสริมจนหนา ทำให้เครื่องเหวี่ยงหินของมองโกลไร้อานุภาพ โดยไม่อาจทำความเสียหายให้กับกำแพงเมืองได้เลย และเมื่อส่งทหารบุกข้ามคูเมืองและฝ่าแนวเครื่องกีดขวางเข้าปีนกำแพงเมือง ก็ถูกทหารซ่งระดมยิงด้วยระเบิดและก้อนหินกับธนูหน้าไม้ ทำให้ทหารมองโกลล้มตายเป็นอันมาก
เมื่อการบุกตีเมืองไม่ได้ผล หลิวเจิ้งจึงเสนอให้ แม่ทัพอาจู ปิดล้อมเมืองทั้งสองจนกว่าจะขาดเสบียงและหมดกำลังสู้
นายพลอาจู ใช้เรือ 5,000 ลำ พร้อมทหารฮั่น 70,000 นาย ทำการปิดล้อมเมืองทั้งสองทั้งทางบกและทางน้ำ ทั้งยังให้ตั้งค่ายทหารปิดทุกเส้นทางเข้าออก เมืองทั้งสอง โดยจัดกองทหารม้ามองโกลประจำทุกค่าย เพื่อตัดขาดทั้งสองเมืองจากอาณาจักรซ่งใต้ส่วนที่เหลือ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก ทัพมองโกลก็ยังไม่อาจตัดการติดต่อระหว่างทั้งสองเมืองได้ โดยเซียงหยางและฟานเฉิงได้ใช้เรือท้องแบนจอด ต่อกันเป็นสะพานแพข้ามแม่น้ำฮั่นสุ่ย ซึ่งสองฟากของสะพานดังกล่าว เป็นจุดที่ทหารรักษาเมืองเซียงหยางและฟานเฉิงพยายามทำลายวงล้อมของกองทัพมองโกล
แม้การปิดล้อมของมองโกลจะสามารถตัดขาดเมืองทั้งสองออกจากส่วนอื่นของซ่งใต้ได้ แต่ในเซียงหยางได้สะสมเสบียงอาหารสำหรับพอเลี้ยงทหารและชาวเมืองได้หลายปี จึงทำให้การปิดล้อมยืดเยื้อ
นับแต่ทัพมองโกลล้อมเมืองเซียงหยาง ทางราชสำนักได้ส่งทหารไปเสริมกำลังพร้อมกับนำเสบียงไปให้เมืองเซียงหยางหลายครั้งแต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง เพราะเมื่อต้องสู้กันนอกเมืองแล้ว กองทหารซ่งไม่อาจเทียบกองทหารม้าชาวมองโกลได้เลย
โดยจากบันทึกการศึกระบุว่า เดือนตุลาคม ปี ค.ศ.1270 กองหนุนของซ่งใต้ ได้ล้มตายไป 1,000 นาย หลังเข้าปะทะกับทหารม้ามองโกลเพื่อจะนำเสบียงเข้าไปในเมือง ต่อมาในการต่อสู้ เดือนสิงหาคม ปีค.ศ.1271 มีทหารซ่งถูกฆ่า 2,000 นาย และในเดือนต่อมา ทหารซ่งที่เป็นกองหนุนจำนวน 3,000 นายที่พยายามเข้าไปเสริมกำลังให้เมืองซียงหยาบ ได้ถูกทหารม้ามองโกลสังหารจนหมดสิ้น
เเม้จะไม่มีกำลังทหารและเสบียงมาเพิ่ม แต่ปราการอันแข็งแกร่งก็ช่วยให้ทหารและชาวเมืองเซียงหยางกับฟานเฉิงสามารถยืนหยัดต้านทานกองทัพมองโกลได้ เป็นเวลาถึงสี่ปี นับแต่ ค.ศ.1268 จนถึง ค.ศ.1271
ขณะที่กองทัพมองโกลที่นำโดยนายพลอาจู พยายามเข้ายึดเมืองเซียงหยางและฟานเฉิงนั้น กุบไลข่านก็ให้ส่งทัพอีกสายหนึ่งจากอาณาจักรต้าหลี่ ไปตีป้อมเตี้ยว อวี้เฉิงเพื่อเปิดเส้นทางสำหรับเคลื่อนทัพบกจากเสฉวนเข้าสู่ลุ่มน้ำฉางเจียง แต่ก็ไม่สามารถทำลายป้อมภูเขาที่มีน้ำล้อมรอบแห่งนี้ได้ จักรวรรดิมองโกลจึงทำได้เพียงตั้งทัพประจัญหน้าและรอโอกาสที่สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงเท่านั้น
สงสารเมมจิกะว่ะ เมมดี คนดูแลกระจอก
ใครไปทำอะไรโม่ง พข อีกแล้ววะ
ความปราชัยของเซียงหยาง
แม้ว่าเมืองเซียงหยางและฟานเฉิงจะตั้งรับทัพมองโกลได้อย่างเข้มแข็ง แต่ก็มีปัญหาการเมืองที่บั่นทอนประ สิทธิภาพการทำศึกของฝ่ายซ่งใต้ โดยมีที่มาจากการที่นายพลลู่เหวินเต๋อ ผู้บัญชาการทหารประจำลุ่มน้ำฉางเจียง ซึ่งรับผิดชอบแนวป้องกันทางเหนือ ได้เสียชีวิตในปี ค.ศ.1269 (ลู่เหวินเต๋อผู้นี้ ป็นคนกล่าวหาหลิวเจิ้ง อดีตผู้ว่าเมืองหลู่โจวด้วยข้อหาฉ้อราษฏร์บังหลวง จนทำให้หลิวเจิ้งต้องหนีไปเข้ากับมองโกล และหลิวเจิ้งก็เป็นคนที่กราบทูลกุบไลข่านว่า เซียงหยาง คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้บุกถึงหลินอันผ่านเส้นทางน้ำได้ จึงทำให้กุบไลข่านส่งทัพมาตีเซียงหยาง)
เนื่ิองจากตอนที่ลู่เหวินเต๋อยังอยู่นั้น ตระกูลลู่มีอิทธิพลสูงในกองทัพ จนเคยถูกสงสัยในเรื่องความภักดี ทว่ามีอัครมหาเสนาบดีเจี่ยซื่อเต้าให้การสนับสนุนอยู่ จึงไม่มีใครทำอะไรได้ ต่อมาหลังลู่เหวินเต๋อตาย ด้วยความที่ไม่ต้องการให้ตระกูลลู่มีอิทธิพลมากไป จักรพรรดิซ่งตู้จงจึงให้หลี่ติ้งจี้ ซึ่งขัดแย้งกับตระกูลลู่ มารับตำแหน่งแทน และทรงห้ามเจี่ยซื่อเต้าไม่ให้มายุ่งกับเรื่องนี้
ทว่าเจี่ยซื้อเต้าได้แอบหนุนหลังคนตระกูลลู่ ในกองทัพให้ขัดคำสั่งหลี่ติ้งจี้ ทำให้ขาดเสถียรภาพในสายบังคับบัญชา จนหลี่ติ้งจี้ไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากส่งเสบียงหนุน ซึ่งก็ถูกมองโกลแย่งไปทุกครั้ง
แม้สถานการณ์ชายแดนภาคเหนือจะคับขัน ทว่าเรื่องนี้กลับไม่ล่วงถึงจักรพรรดิซ่งตู้จง ด้วยเจี่ยซื่อเต้า ปิดบังอำพรางข้อเท็จจริง เพราะเกรงจะมีการสืบสาวจนเรื่องที่ตนแอบขัดรับสั่ง เข้าไปยุ่งกับสายการบังคับบัญชา ทำให้กองทัพชายแดนขาดเสถียรภาพถูกเปิดเผย และเนื่องด้วยจักรพรรดิซ่งตู้จงชื่นชอบแต่เสพสุราเคล้านารีจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เจี่ยซื่อเต้าจะปิดข่าวชายแดน
เมื่อถึงปี ค.ศ.1271 เสบียงอาหารในเมืองเซียงหยางก็ใกล้จะหมดลง ขณะที่มองโกลสามารถตัดการติดต่อระหว่างเซียงหยางกับฟานเฉิงได้ แต่ทั้งสองเมืองยังคงยืนหยัดที่จะสู้ต่อไป และในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1271 กุบไลข่านก็ได้สถาปนาราชวงศ์หยวนที่เมืองข่านบาลิก
ปี ค.ศ.1272 ขณะที่เสบียงในเมืองเซียงหยางกำลังจะหมดนั้นเอง กองทหารซ่งสามพันนายก็สามารถบุกฝ่าวงล้อมข้าศึกและนำเสบียงเข้าไปส่งในเมืองได้ ทำให้ขวัญกำลังใจของชาวเมืองดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีใครสามารถกลับออกจากเมืองได้ ทำให้ทางกองบัญชาการ คิดว่า การส่งเสบียงล้มเหลว และเมืองทั้งสองคงขาดเสบียงอาหาร จนยากที่จะรักษาเมืองต่อไปได้ ทำให้ไม่มีการส่งกำลังพลกับเสบียงมาเพิ่มอีก
ทางด้านมองโกล นายพลชาวฮั่น ชื่อ กั๊วขั่น ซึ่งติดตามข่านฮูลากูไปทำศึกในตะวันออกกลาง ได้กลับมายังจีน กั๊วขั่นได้กราบทูลกุบไลข่าน ถึงเครื่องเหวี่ยงหินขนาดยักษ์ ที่ข่านฮูลากูใช้ทำลายกำแพงเมืองแบกแดดและเสนอให้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวในการตีเซียงฟาน(ชื่อเรียกรวมของ เซียงหยางกับฟานเฉิง)
กุบไลข่านทรงเห็นด้วย จึงมีพระบัญชาไปยังพระนัดดา อาบาคา ซึ่งเป็นโอรสของฮูลากูและเป็นประมุขแห่งอิลข่าน ส่งผู้เชี่ยวชาญ มาช่วยสร้างอาวุธดังกล่าว จากนั้นจอมข่านจึงทรงมีพระบัญชา ให้กั๊วขั่นนำทหารราบ ชาวฮั่นสองหมื่นนายไปช่วยนายพลอาจูทำศึกที่เซียงหยาง
ทางอิลข่าน หลังข่านอาบาคาได้รับสาส์น ก็ส่งช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธหนักชาวมุสลิม ชื่อ อิสมาอิล กับ อัลอาดิน พร้อมกองทหารช่างชาวเปอร์เซียมาให้ โดยพวกทหารช่างของอิลข่านได้มาถึงจีน ช่วงปลายปี ค.ศ.1272
กุบไลข่านทรงให้อาริคกียา นายพลชาวอุยกูร์ ดูแลการสร้างอาวุธหนักของนายช่างทั้งสองโดยใช้ทหารอุยกูร์เป็นพลประจำหน่วยอาวุธหนัก
เทส ไอ้กระจอก ไอ้ขี้ฟ้อง มึงมันทุเรศ
มันแค้นที่นฟ้ ร้องเพลงเสียงสูงจนมบร้องเพี้ยนนั้นแหละ ออกงานใหญ่แต่ไม่ยอมซ้อมกันมา ไอ้พวกครูก็คิดว่าเมมเสียงเทพ
ตวกำลังมา มบ ปก ต้องรีบเข็นตัวเองแล้วว่ะ ไม่งั้นโดนแซงแน่
ตาหวาน อิสราภา ธวัชภักดี อดีตสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดัง BNK48 ที่ปัจจุบันกลายมาเป็นศิลปินภายใต้สังกัด UNEQ Entertainment เจ้าของเสียงร้องที่เคยฝากผลงานเอาไว้อย่างเพลง “ข้าง ๆ” ประกอบภาพยนตร์ “The Cheese Sisters” และ “Yokaze no Shiwaza (พระจันทร์เสี้ยว)” จากโปรเจ็กต์ “Charaline : Verb of Feeling” กับความสามารถที่หลากหลาย และยังเคยได้รับสมญานามว่าเป็น ‘เอสของวง’ ที่ครบเครื่องทั้งด้านการร้องและการเต้น การันตีคุณภาพด้วยตำแหน่งเซ็นเตอร์เพลง Namida Surprise! (ประกายน้ำตาและรอยยิ้ม) - BNK48 เสริมด้วยตำแหน่งกัปตันทีม NV ด้วยเนื้อเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้ตาหวานถูกชื่นชมถึงทักษะการร้องที่เหนือชั้นจากผู้ที่ได้รับฟังเรื่อยมา
.
ส่วนในเส้นทางของการเป็นนักร้องเดี่ยว ยังคงเป็นสิ่งใหม่ที่เธอพร้อมเรียนรู้ และพร้อมที่จะแสดงศักยภาพทั้งหมด ให้ผู้ที่ได้รับฟังเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงที่เธอถ่ายทอดด้วยความตั้งใจในฐานะ “ตาหวาน อิสราภา” ซึ่งล่าสุดได้ร้องเพลงชื่อ “หวังรัก (Like A Windfall)” ประกอบเว็บตูน “หวังรักในปักษา (Bird of Paradise)” จาก WEBTOON THAILAND ประเภทเว็บตูนวาย หรือ LGBTQ+/Y จากนักเขียนนามปากกา “ก่อนกรกฎ” และเป็นผลงานเรื่องแรกของนักวาด @_yy2900 โดย หวังรักในปักษา เป็นเว็บตูนเรื่องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไป
จร่ ได้เจอพอกสีสมใจแล้วว่ะ
จิเรื่มขายพ่วงเเล้วสินะ ช่วงนี้เจอกับฟอกสีอย่างบ่อย
ฌ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองร้องเพลงไม่เพราะหรอ ซิง14เอาเพลงที่มีท่อนโซโล่เปิดหมดเลย เสียงแย่สัด เปิดมาเจองี้ใครจะฟังต่อ ปิดทิ้งหมด
G เลือกเมมที่จะไปเจอฟอกสียังไงวะ
เห็นตอนอยู่ในวงนี้ปากดีจัง พอแกรดออกไปอยู่ค่ายนอก แล้วเงียบเลยนะ เขาไม่หางานให้ มีงานน้อย ทำไมเมมไม่มาไลฟ์แซะค่ายเหมือนตอนอยู่ในวงละ ส่วน ฟค เมมก็ติดแฮชแท็กด่าค่ายซิ แฮชแท็กแบนค่ายไม่ทำอะ เห็นตอนอยู่ในวงชอบทำนิ
รุ่น4 อล ออกงานอย่างเยอะ เมมอื่นไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแล้ว
แอ๋ว โมเอะจังวันนี้ คุให้อภัยยัง
>>942 ถ้าไม่ใช่เรื่องวัว คุไม่ค่อยถือหรอก
มองว่า ปสด นิดๆ ขี้งอนหน่อยๆ ก็น่ารักไปอีกแบบ
https://www.youtube.com/watch?v=osFpo23HQdE
ไปกับใครครับ
https://imgur.com/nYnsZCA
มันมีกันที่ให้สื่อ ให้ญาติเมม ทุกคอน
อ๋ ไลฟ์คนดูไม่ถึงสองร้อยเหมือนเดิม
นวด หายไปไหน ฮรือออ ทำไมไม่กล้าโชว์หน้าตรง ทำไมต้องลงรูปเก่า
https://youtu.be/hV9w2KQn26U
นางเอกMVนี่มัน ลูกสาวพคโนะป่าวว่ะ?
https://www.instagram.com/thepigwipa/?hl=th
สรุปคอน แบทเทิล 2 วง ขายดีจัด แถว 2000บาท ก็หมด กุคงไม่ได้ไปหล่ะ กุจะเอาโปสเตอร์ปญอมาเพื่อกับราคา 2800 บาท
คอนพี่หมอนPD ตอนสมัยวงแมสๆ ที่คนชมว่างานดี ตอนนั้นมันจัดกี่ทีวะ
วงมิ้น ลก 2นา คนดูเยอะ วงม่วงแพ้วงมิ้นตรงไหนวะ
มันกันที่ AL กับ BL ไว้แจกสื่อ เพื่อนจิ แล้วก็ญาติเมมจริงๆ ด้วย กันไว้อย่างเยอะเลย แต่ก็ดี จะได้ไม่โล่ง
https://pbs.twimg.com/media/F1UuhQpaIAIwJPp.png
https://pbs.twimg.com/media/F1UurPAaEAgkbsM.png
https://pbs.twimg.com/media/F1UuxSDagAUcU1F.png
>>967 จัดสยามพิฆ น่าจะประมาณพันที่
ไม่ได้ตามนานละ โนะมีวัวยัง
คอนG ต้องกั๊กที่ให้ครอบครัวไหม
ปก มาไลฟ์ นน ไปบวชชีว่ะ ปก กำลังจะรับปริญญา ส้มส้มมีเฮ โมเม้นGปก น่าจะมาก่อน Gโนะ
สิตา มาไลฟ์
ปิดให้โน๊ะ
สต วันนี้ ดูมีมากกว่าปกติ
กรูอยากได้สต เป็นเเฟนวะ
ชพ ชพ ชพแปลว่าอะไหร้
ปิดให้ พะแพง
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.