จะว่าไปผลงานของเจ๊ซูซานหว่องนี่เป็นระดับ must have ของวงการนักเล่น hires บ้านเราสินะ
แต่สำหรับกูๆว่าเฉยๆหว่ะ องค์ประกอบเพลงมันรีดลำโพงให้เค้นมาทุกย่านเสียงก็จริงแต่ฟังแล้วไม่รู้สึกเพราะเลย
ถ้าสรุปแบบอคติหน่อยคือบางคนมันเน้นฟังเสียงไม่ได้ฟังเพลง
Last posted
Total of 107 posts
จะว่าไปผลงานของเจ๊ซูซานหว่องนี่เป็นระดับ must have ของวงการนักเล่น hires บ้านเราสินะ
แต่สำหรับกูๆว่าเฉยๆหว่ะ องค์ประกอบเพลงมันรีดลำโพงให้เค้นมาทุกย่านเสียงก็จริงแต่ฟังแล้วไม่รู้สึกเพราะเลย
ถ้าสรุปแบบอคติหน่อยคือบางคนมันเน้นฟังเสียงไม่ได้ฟังเพลง
ใช่ไอ้พวกที่บอกว่า HDD จานหมุนกับ HDD แบบ SSD ให้เสียงต่างกันป่ะ ทุกวันนี้โลกจะไปถึงเรื่อง UFO มนุษย์ต่างดาวกันแล้วนี่มึงยังดักดานกันอยู่แค่นี้เหรอวะ 55555+ วันหลังก็จุดธูปกราบไหว้ System ก่อนใช้งานนะเผื่อเสียงมันอาจจะดีขึ้น 55555+
>>2 บางเรื่องมันก็เกินไป อย่างไม่ให้สายไฟแตะพื้นเดี๋ยวเสียงจะเพี้ยน สายแลนแพงให้เสียงดีกว่าสายแลนถูก หลายๆเรื่องมันชักจะเป็นวิทยาศาสตร์เทียมไปละ เคยเจอเว็บนึงให้คนที่ใช้คอมลงโปรแกรมจูนวินโดวส์ให้กินทรัพยากรเครื่องน้อยที่สุดจนแทบจะเป็นเซฟโหมด ซีพียูจะได้ทำงานน้อยไม่มีสัญญาณไปรบกวนชิปการ์ดเสียง
งบไม่เกินหมื่นตอนนี้เล่นลำโพงตัวไหนดีคับ ไม่ต้องมีบลูทูธก็ได้คับเน้นต่อคอม ชอบแนวเสียงใสเบสนุ่ม ฟังเพลงทุกแนวแต่เน้นป็อปร็อคเป็นหลักคับ
หลังจากสาย CAT8 ถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องมานานเกิน 100 ชั่วโมง ใกล้ๆ 200 ชั่วโมงผมก็เริ่มทดลองฟังเทียบกับสาย CAT6a เดิม พบว่า สาย CAT8 ให้เสียงที่ดีกว่าใน “ทุกด้าน” แม้ว่าในช่วงแรกที่เปลี่ยนสาย CAT6a ลงไปแทน CAT8 ผมได้ยินว่าเสียงโดยรวมมีลักษณะที่นุ่มลง แต่จริงๆ แล้ว เสียงในย่านแหลมมันถูกฟิลเตอร์หายไป ไม่เปิดกระจ่างออกมา ทำให้เสียงโดยรวมมีลักษณะที่อึมครึม และสาย CAT6a ก็ให้อัตราสวิงของไดนามิกเร้นจ์แคบกว่า ทำให้ความสดของเสียงไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่ เมื่อเปลี่ยนเอา CAT8 ลงไปแทน อาการอึมครึมที่ปกคลุมเสียงทั้งหมดหายไป ความถี่ด้านบนเปิดกระจ่างขึ้น ส่งผลให้รายละเอียดของโน๊ตในย่านสูงเผยตัวออกมาได้อย่างเต็มที่ ไดนามิกเร้นจ์และไดนามิกคอนทราสน์ดีขึ้นมาก สวิงตัวได้เต็มสเกลมากขึ้น “โดยไม่มี” อาการแสบหู
จริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่เสียงแหลมที่เปิดกระจ่างมากขึ้น เสียงกลางกับเสียงทุ้มก็เปิดกระจ่างออกมามากขึ้นเช่นกัน แต่เนื่องจากเปอร์เซ็นต์ที่เกิดกับเสียงแหลมมันเยอะกว่าและหูของเราก็ไวกับเสียงแหลมมากกว่าความถี่อื่น จึงรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่า สรุปแล้ว สาย Ethernet CAT8 ที่คุณอึ่งเอามาให้ผมทดลองฟังมันมีผลช่วยอัพเกรดเสียงของซิสเต็มที่ผมใช้ทดสอบมากเกิน 20% รับรู้ได้ชัดเจนถึงลักษณะของเสียงที่เปิดและโล่งมากขึ้น เป็นความเปิดโล่งที่เกิดจากพื้นเสียงที่ทีความโปร่งใส (transparent) มากขึ้น เมื่อเทียบกับใช้สาย Ethernet CAT6a ตัวเดิม
มีคนบอกว่าริปซีดีออกมาเป็นไฟล์ WAV เสียงดีกว่า FLAC จริงหรือครับ.? เพราะอะไร ในเมื่อ FLAC ก็เป็นไฟล์ Lossless?
----------
คำตอบคือ "จริง" ส่วนเหตุผลที่ริปซีดีออกมาเป็นไฟล์ WAV แล้วให้เสียงดีกว่า FLAC เป็นเพราะว่า เมื่อเลือกไฟล์ WAV ในการริปเพลงจากแผ่นซีดี ตัวโปรแกรมริปแผ่นจะทำการก๊อปปี้สัญญาณเพลงที่อยู่ในแผ่นซีดีออกมา "ทั้งหมด" โดยไม่มีการตัดทอนส่วนใดทิ้ง สัญญาณที่ริปออกมาจากแผ่นซีดีจะเป็นสัญญาณ PCM 16/44.1 ที่มีจำนวนบิตข้อมูลเสียงครบถ้วนตามที่ถูกบันทึกอยู่บนแผ่น และถูกแพ็คเข้าไปในแพ็คเกจของ WAV ทั้งหมดนั้น และสัญญาณเสียงเหล่านั้นจะถูกส่งผ่านไปบนคอมพิวเตอร์ด้วยอัตราความเร็วอยู่ที่ 1411kbps ตรงตามมาตรฐานของซีดี
.
ส่วนการริปเพลงจากแผ่นซีดีแล้วเลือกเอ๊าต์พุตจากโปรแกรมริปแผ่นให้ออกมาเป็นไฟล์ FLAC นั้น แม้ว่าตัวฟอร์แม็ตจะระบุชื่อว่าเป็นไฟล์แบบ Lossless (FLAC = Free Lossless Audio Coding) คือไม่มีความสูญเสียเกิดขึ้นในขั้นตอนเข้ารหัส (endcode), ขั้นตอนส่งผ่าน (transfer) ไปจนถึงขั้นตอนที่แตกไฟล์ (decode) FLAC ออกมาเป็นสัญญาณ PCM ซึ่งทีมผู้ให้กำเนิดฟอร์แม็ต FLAC ยืนยันไว้แบบนั้น
.
ทว่า หลังจากมีการทดลองริปเพลงจากซีดีแผ่นเดียวกันออกมาเป็นไฟล์ WAV และไฟล์ FLAC แล้วนำไฟล์เพลงทั้งสองรูปแบบนั้นมาฟังเปรียบเทียบกันผ่านชุดเครื่องเสียงชุดเดียวกัน ผลออกมาว่า เสียงไม่เหมือนกัน ซึ่งผลจากการทดลองฟังหลายๆ เพลงได้ข้อสรุปออกมาว่า ไฟล์ WAV ให้คุณภาพเสียงออกมา "ดีกว่า" ไฟล์ FLAC
.
เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น.?
.
จริงๆ แล้ว การเข้ารหัสสัญญาณเสียงด้วยไฟล์ FLAC ก็มีการ "ตัด" ข้อมูลเสียงบางส่วนทิ้งไปในขั้นตอนการเข้ารหัส เพียงแต่ว่า ข้อมูลเสียงที่ตัดทิ้งไปนั้นคือส่วนที่เป็นแค่องค์ประกอบย่อยมากๆ ที่เรียกว่า Less Significant Bit = LSB ของเสียง อย่างเช่น ปลายๆ เสียงฮาร์มอนิกที่เบามากๆ ซึ่งไม่ใช่ส่วนสำคัญ (Most Significant Bit = MSB) ที่เป็นข้อมูลเสียงที่ได้ยินชัดๆ ผู้ให้กำเนิดไฟล์ FLAC ใช้มาตรฐานการวัดผลที่อิงอยู่กับ human perception โดยทั่วไปที่ไม่สามารถรับรู้ถึงรายละเอียดลึกๆ ที่ตัดทิ้งไป คนทั่วไปจึงฟังความแตกต่างของเสียงที่ได้จากการเล่นไฟล์ทั้งสองประเภทไม่ออก แต่ถ้าผู้ฟังมีเวลามากพอในการนั่งฟังเพื่อจับความแตกต่างผ่านชุดเครื่องเสียงที่มีคุณภาพสูง จะสามารถรับรู้ได้.. /
#ยิ่งเครื่องเสียงดีบวกกับเซ็ตอัพดียิ่งฟังออกง่าย
>>9 FLAC ใช้วิธี Compression โดยการย่อ Bit ที่ซ้ำกันให้สั้นลงแล้วพอจะ Playback ก็ขยายคืนตามเดิม LSB,MSB เชี่ยอะไรแค่ชื่อเรียกบิตตัวหน้ากับตัวหลังไม่เกี่ยวห่าไรกับ Harmonic เลยคนละเรื่อง อยากรู้มั้ยว่า WAV กับ FLAC เสียงต่างกันยังไง ก็เอามากลับ Phase ไงผลออกมาคือ Phase Cancellation 100% เสียงเงียบสนิท ต่างกันตรงไหนวะ บอกแล้ววงการไสยศาสตร์อ้างศัทพ์เทคนิคมั่วซั่วใครหลงเชื่อหลงเอาตังไปเปย์ให้พวกนี้แม่งหน้าโง่ชิบหาย
ผมยอมรับเลยว่า ผมรู้สึกกังวลมากเป็นพิเศษกับการทำรีวิวของ QNET ตัวนี้ ผมไม่ได้กังวลสงสัยในประสิทธิภาพของมัน เพราะฟังออกและสัมผัสได้ แต่สิ่งที่รบกวนความรู้สึกของผมก็คือผลที่เกิดขึ้นกับบางเงื่อนไขของการเซ็ตอัพใช้งานตัว QNET ที่ทำให้มันแสดงผลลัพธ์ออกมาต่างจากที่ผมคาดคิดไว้ในใจ เหมือนกับว่า การใช้งานตัว Network Switch ในชุดเครื่องเสียงยังมี “อะไร” บางอย่างที่เรายังไม่รู้ความสัมพันธ์ของมันอย่างถ่องแท้ ทำให้การคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนการทดลองฟังจริงมีความคลาดเคลื่อนไปได้ ผลลัพธ์มันบิดไปจากแนวทางที่คาดคิดไว้ในบางแง่มุม ใครที่คิดจะซื้อหาตัว Network Switch เข้าไปใช้ในชุดเครื่องเสียง แนะนำให้ทดลองสลับรูปแบบการเชื่อมต่อแล้วฟังเสียงดูด้วยนะ
มีบางช่วงได้ทำการฟังเปรียบเทียบกับ Network Switch ระดับไอที เกรดที่ใช้ในงานคอมพิวเตอร์ทั่วไปด้วย ผลลัพธ์ก็เป็นไปในแนวทางที่คาด คือ Network Switch ระดับออดิโอ เกรดให้ผลทางเสียงที่ดีกว่าระดับไอที เกรดมาก ฟังแค่ไม่กี่นาทีก็ต้องถอดออก..
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ทดลองใช้งานตัว QNET นานนับเดือน ผลที่ได้ยินก็ถือว่าเป็นประจักษ์พยานที่ยืนยันได้ว่า Network Switch ระดับออดิโอ เกรดที่ออกแบบมาเพื่อการสตรีมไฟล์เพลงโดยเฉพาะมีส่วนทำให้เสียงของแหล่งต้นทางประเภทมิวสิค สตรีมมิ่งดีขึ้นจริง เนื่องจาก Network Switch “ทุกตัว” ที่ผมทดสอบไปมันก็ให้ผลออกมาทางเดียวกันนี้ จะต่างกันก็แค่ระดับความมาก–น้อยของผลที่เกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งเบาะแสที่ค้นพบตอนนี้ยังชี้นำไปในแนวทางที่ว่า “ยิ่งแพง–ยิ่งดี” แสดงว่าแนวคิดเบื้องต้นที่ผู้ผลิตแต่ละเจ้านำมาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบตัว Network Switch นั้นถูกต้องแล้ว สิ่งที่ทำให้ Network Switch ของแต่ละแบรนด์ให้ผลทางเสียงออกมาต่างกันก็อยู่ที่ว่า แบรนด์ไหนใครจะใส่ใจพิถีพิถันในแต่ละจุดมาก–น้อยกว่ากันแค่ไหนเท่านั้นเอง /
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.