อันที่จริง นอกจากคำนิยามที่ผันผวนแล้ว การเขียนประวัติศาสตร์
ประชาธิปไตยก็ซับซ้อนยอกย้อนเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีการวางพล็อต
พระเอก/ผู้ร้ายกลับหัวกลับหางกันไปหมด กลุ่มคนที่ต่อสู้เรียกร้องประชา-
ธิปไตยและความเสมอภาคทางการเมืองกลายเป็นพวกชิงสุกก่อนห่าม
ส่วนคณะบุคคลที่ต้องการเหนี่ยวรั้งยับยั้งประชาธิปไตยและรักษาโครงสร้าง
อำนาจแบบเดิมที่อำนาจกระจุกตัวอยู่กับชนชั้นสูง กลับกลายเป็นผู้นำ
ประชาธิปไตยมาให้สังคมไทย น่าเศร้าตรงที่ว่า การถกเถียงในวงวิชาการ
นั้นปิดฉากและได้ข้อสรุปไปเป็นทศวรรษแล้วว่าไม่มีการชิงสุกก่อนห่าม
(ดูงานคลาสสิกของ นครินทร์, 2535) แต่ความรับรู้สาธารณะก็ไม่ได้เปลี่ยน
ตาม ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยเวอร์ชันทางการที่ครอบงำเราอยู่
ยังอธิบายว่าประชาธิปไตยไม่ได้มาจากการต่อสู้ของสามัญชน แต่ร่วงหล่น
ลงมาจากฟ้าอย่างช้าๆ อย่างสง่างาม และเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา