(ต่อจากเม้นบน)
ชาย A บอกว่า แล้วคุณจะจ่ายเท่าไรล่ะ
เรางงไปพักหนึ่ง...แบบปกติคนประเมินค่าเสียหายมันต้องเป็นฝ่ายคุณไม่ใช่หรือตอนนี้จากโต้ถามเรื่องชื่อเลยเปลี่ยนมาโต้ถามว่าต้องเสียค่าปรับเท่าไรคำพูดก็วกลูบอยู่เดิมๆ
...
พอเราถามว่าต้องเสียค่าปรับเท่าไร
ทางนั้นก็วนกลับมาที่แล้วคุณจะจ่ายเท่าไร
...
ระหว่างนั้นพ่อเราก็โทร. ติดต่อเซลล์แมนที่เป็นคนขายของประจำให้พ่อซึ่งพอเจ้าของร้านขายส่งพูดคุยกับชาย A ก็สรุปออกมาว่าพ่อเราต้องเสียค่าปรับอยู่ดีเพราะของที่ยึดมาเป็นของจากร้านอื่น ทำให้เราได้รู้ว่า อ้อ...มันมีวัฒนธรรมว่าถ้าร้านขายส่งร้านไหนจ่ายใต้โต๊ะคนที่สั่งของจากร้านนั้นก็จะรอด
...
แล้วชาย A ก็หันมาคุยกับเราต่อ เขายื่นคำขาดว่าถ้าคุณไม่จ่ายค่าปรับพ่อคุณต้องเข้าคุก จะให้ลงไปบันทึกประจำวันเดี๋ยวนี้เลย ก็ถามกลับไปเหมือนเดิมว่า แล้วตกลงตามกฏหมายพ่อเราต้องจ่ายเท่าไร ชาย A ก็ยังพูดเหมือนเดิมว่า ก็บอกมาสิจะจ่ายเท่าไร
...
จากนั้นชาย A ก็ร่ายยาวว่าถ้าคุณยอมเสียค่าปรับพ่อคุณจะไม่ต้องไปขึ้นศาลไม่ต้องไปติดคุก ว่าความในศาลมันนาน
...
ความหมายที่สื่อสารมาแปลออกมาก็คือ ถ้าไม่จ่ายก็ติดคุกเลือกมาสิ!
...
เราเลยโทร. หาเพื่อนที่รู้เรื่องกฏหมายอีกรอบ ตอนนั้นชาย A ขู่ขึ้นมาเลยว่าถ้ายังไม่วางสายจะจับพ่อเข้าคุกเดี๋ยวนี้ เราเลยต้องวางสายไป
...
ตอนนั้นโกรธมาก คือพอมองไปที่พ่อแล้วแบบ...ทำไมคนโดนต้องเป็นพ่อวะ ถ้าเป็นเราจะไม่โกรธขนาดนี้เลย ใครจะปล่อยพ่อตัวเองที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเข้าคุกวะ โกรธจนร้องไห้น้ำตามันไหลออกมาเองในหัวแม่งคิดแบบ...นี่คือความเป็นจริงของกฏหมายที่ประเทศนี้ไว้ใช้กับประชาชนสินะ
...
เป็นครั้งแรกที่โกรธจนร้องไห้แต่ทำอะไรไม่ได้อยากจะด่าพวกมันยังพูดไม่ได้เลย คุกแม่งอยู่ชั้นล่างนี่เองถ้าบุ่มบ่ามไปพ่อได้เข้าคุกแน่ กลัวพ่อโดนแกล้งมากๆ ถ้ามันซ้อมพ่อเราพ่อเราไม่ไหวแน่ตัวใหญ่ๆ บึกๆ ทั้งนั้น
...
จนมีผู้ชายอีกคนในห้องพูดขึ้นมาว่า ค่าปรับขั้นต่ำมันหนึ่งหมื่น แล้วเขาก็เรียกเราออกไปคุยกันสองคน
...
ชาย B : น้องยอมจ่ายให้พวกพี่เถอะ นายสั่งพวกพี่มา พวกพี่ก็ไม่อยากทำหรอก (คนนี้พูดจาสุภาพและเสียงนุ่มกว่า ชาย A มาก)
เรา: ไม่ใช่หนูไม่ยอมจ่ายตามกฏหมายนะพี่แต่พวกพี่ไม่พูดนี่ว่าพ่อต้องเสียค่าปรับเท่าไร
...
คุยไปคุยมาก็ตกลงวงเงินที่ต้องจ่ายกับคนนี้ได้ เราเลยต้องเดินจากที่นั่นไปหาตู้กดเงินเพราะตอนนั้นไม่มีเงินติดตัวมากพอ ระหว่างทางเราเดินไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้าไม่สนสายตาใครทั้งนั้น แล้วเราก็โทร. คุยกับเพื่อนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อนบอกว่าจะช่วยแต่เราบอกเพื่อนเองแหละว่าไม่ต้อง เพราะรู้ว่าถ้าเพื่อนเข้ามาช่วยเพื่อนต้องซวยโดนแกล้งในวงข้าราชการต่อแน่ ให้ความซวยจบที่เราเถอะ
...
ตอนเราเอาเงินกลับไปจ่ายซึ่งรู้ๆ กันว่าเงินก็ไม่ได้เข้ารัฐหรอก ผู้ชายพวกนั้นพูดคำหนึ่งกับเรา
"ชีวิตก็งี้แหละน้อง เดี๋ยวก็ชิน"
...
ตอนเดินออกมาจากที่นั่น เรามองแผ่นหลังพ่อแล้วมันทำให้เศร้าอย่างบอกไม่ถูก ภาพทุกอย่างยังจดจำ น้ำตายังคงซุกซ่อนอยู่ในใจไม่เลือนหาย
...
นี่คือเรื่องจริง เราไม่ได้เรียกร้องอะไรแค่รู้สึกว่าเราไม่อยากเงียบจนกระทั่งวันหนึ่งได้พบว่าเราพูดไม่ได้อีกแล้ว
...
#ไม่พูดเยอะต้องทำงาน
#ขอไม่ตอบคอมเม้นต์อะไรในสเตตัสนี้นะให้เรื่องที่เราเล่าทำงานของมัน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง