หลังฟังเพลง ประเทศกูมี แล้วมือไม้มันสั่นไปหมด คิดอยู่สองวันเต็มๆว่าจะเล่าเรื่องนี้ดีไหม มันอยู่ในอาการสงสัยกับตัวเองว่านี่ความหวาดกลัวของเราแม่งดำเนินมาถึงขั้นที่เราต้องเซนเซอร์ตัวเอง ด้วยการ #เงียบ เพื่อจะได้รู้สึกปลอดภัยแล้วเหรอวะ ทั้งที่เราแม่งคับแค้นใจมากกับสิ่งที่ครอบครัวเราโดนกระทำ ในหัวก็แวบขึ้นมาว่าถ้าไม่ออกมาพูดตอนนี้แล้วจะไปพูดตอนไหน
...
เมื่อกลางปีนี้เวลาประมาณ 4 โมงเย็นเรานั่งทำงานอยู่รีบปั่นต้นฉบับเหมือนทุกๆ ที จู่ๆ แม่โทรศัพท์เข้ามาบอกว่า พ่อเราโดนเรียกตัวไปโรงพักเพราะทำผิดกฏหมาย เราตกใจมากรีบถามข้อมูลว่าเกิดไรขึ้น แม่เล่าคร่าวๆ ว่าเจ้าหน้าที่รัฐนอกเครื่องแบบเข้ามาขอตรวจค้นร้านค้าว่ามีสิ่งผิดกฏหมายไหม จากนั้นก็หยิบของไปสี่ห้าชิ้นพร้อมพาตัวพ่อเราไป
...
พ่อเราไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลยแม้แต่มือถือเพราะพ่อไม่ใช้มือถือ พ่อเป็นคนทำมาค้าขายที่ไม่ได้สนใจเทคโนโลยีและแทบไม่ออกไปไหน
...
พอได้ยินแบบนั้นเรารีบวางงานแล้วนั่งรถเมล์ตามไปหาพ่อเรา (ที่ไม่นั่งแท็กซี่เพราะแถวนั้นก่อสร้างถนนอยู่จะวกรถทีนานมาก สู้นั่งรถเมล์แล้วเดินเอายังไวกว่า) พอไปถึงที่นั่นเจ้าหน้าที่ด้านล่างก็บอกให้เราขึ้นไปชั้นสอบสวน บนชั้นนั้นมีประตูถูกแบ่งเป็นห้องๆ หลายประตู เราไม่เจอใครเลยแต่เห็นมีห้องหนึ่งมีแสงลอดประตูเลยลองเดินเข้าไป
...
ก็เจอคนนั่งอยู่ในนั้นราวเจ็ดแปดคน เป็นชายซะส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบสักคนเดียวนั่งกินข้าวอยู่ ส่วนคนที่โดนจับมามีอีกสามรายนั่งอยู่ข้างๆ พ่อเรา ภาพที่เห็นคือพ่อเราชายแก่วัย 65 ใบหน้าหยาบกร้านจากอายุและการทำงาน ผมสีขาว ตัวผอมบาง ใส่เสื้อเชิ้ตที่เก่าจนไม่รู้จะเก่ายังไงกับกางเกงสีดำที่ใส่จนจะกลายเป็นสีเทาอยู่แล้ว พ่อนั่งอยู่กับถุงก๊อบแก๊บที่เป็นของขายจากบ้านเราใส่อยู่
...
ความรู้สึกตอนนั้นมันแบบ...นี่คือผลของการเป็นคนทำมาหากินโดยสุจริตตลอดการทำงาน?
...
จากนั้นผู้ชายพวกนั้นก็เรียกพ่อกับเราแยกไปอีกห้องเพื่อพูดคุยว่าทำไมพ่อถึงโดนจับ เรานั่งประจันหน้ากับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งบอกว่าเขาคือเจ้าหน้าที่ (ขอเรียกว่าชาย A) และมีอีกสามสี่คนทั้งยืนและนั่งคุมเชิงอยู่ในนั้น ไม่มีใครสักคนที่ใส่เครื่องแบบ
...
เป็นห้องที่มีแต่โต๊ะกับเก้าอี้ไม่มีหน้าต่าง
...
สิ่งแรกที่เราถามคือ พี่ชื่ออะไรคะ
ชาย A ตอบกลับว่า แล้วคุณจะรู้ไปทำไม จะรู้ไปเพื่ออะไร
...
เรานั่งโต้เถียงกับเขาไปมาเรื่องชื่ออยู่สักพักเพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่บอกชื่อ ส่วนตัวเรายังคลางแคลงใจว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจริงตามที่กล่าวอ้างหรือทำไมไม่กล้าบอกชื่อ
...
ชาย A พูดว่า นี่ขนาดอยู่ในโรงพักแล้วยังไม่เชื่ออีกหรือว่านี่ของจริง
...
เสียงข่มขู่ก็ทวีความดังและโกรธเกรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ เขาบอกว่าพ่อเราทำผิดกฏหมายพร้อมเอามาตราให้ดู
...
สรุปง่ายๆ คือ พ่อเราขายสินค้าที่ไม่ได้รับการรับรองทางกฏหมายไม่มีบาร์โค้ด ไม่มีชื่อบริษัทผลิตชัดเจน
...
ซึ่งจะบอกว่าถ้าคุณจับพ่อเราด้วยข้อหานี้นะ ทั้งประเทศก็ไม่มีใครขายของค้าปลีกได้อะ คุณสามารถใช้กฏหมายข้อนี้เดินไปจับแม่ค้าขายตะกร้าสานที่วางขายของอยู่เฉยๆ ได้เลยเพราะว่าไม่มีหลักฐานรับรองว่าสินค้าผลิตอย่างถูกต้องจากโรงงานที่ไหนและไม่มีบาร์โค้ด
...
ตอนนั้นรู้เลยว่าโดนยัดข้อหาแล้วล่ะ แต่จะหนีให้รอดยังไงเพราะตอนนี้ก็อยู่ในถิ่นเขาแล้วจะเดินออกไปเฉยๆ ก็ไม่ได้
...
เราเลยบอกว่าขอโทร. ปรึกษาเพื่อนที่รู้เรื่องกฏหมายก่อนและเราก็กดโทร. ตอนนั้นบรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นทันที (จำไม่ได้จริงๆ ว่าคุยอะไรกับเพื่อนบ้างแต่ที่แน่ๆ คืออยากให้เพื่อนช่วยดูให้หน่อยว่ามีกฏหมายแบบนี้ใช้จริงหรือ แล้วมันจับเราได้จริงหรือ)
...
หลังวางสายจากเพื่อนไปเราก็ประจันหน้ากับตำรวจต่อ ชาย A ถามทันทีว่า เพื่อนคุณเป็นใครอยู่กรมกระทรวงไหน ชื่ออะไร ยศอะไร
เราก็ถามเขากลับว่า แล้วคุณล่ะชื่ออะไร
ชาย A บอก แล้วคุณมายุ่งอะไรกับผม
เสียงเขาเกรี้ยวกราดดุดันขึ้นเรื่อยๆ
บทสนทนาก็ยังวนซ้ำอยู่เรื่องเดิม
...
เราเลยนั่งอ่านข้อกฏหมายอีกรอบและถามเขาว่า ถ้าต้องเสียค่าปรับพ่อต้องเสียเท่าไรเพราะในนั้นระบุไม่ชัดเจนแค่บอกว่าเป็นตัวเลขเท่าไรถึงเท่าไร
(มีต่อ)