เรื่องเล่า....
การที่เราทำงานเป็น headhunter ในพื้นที่ไหนนานๆ เราจะได้เห็นวงจรของธุรกิจแบบภาพรวมค่อนข้างกว้างและบางครั้งก็ค่อนข้างลึก เห็นการขึ้นลงของธุรกิจ ผ่านการเข้าออกของคน เห็นการวางกลยุทธ์เพื่อตอบรับแผนธุรกิจที่วางกลไกที่ค่อนข้างเลือดเย็นไว้... ซึ่งคนที่อยู่ในวงจรนั้นหลายคนมากๆแทบไม่เอะใจเลย จนปัญหามาถึงตัว
เช่นอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ตอนนี้ผ่านช่วงตกต่ำมาแล้วกำลังจะกลับหัวไปทิศทางบวกมากขึ้น (หรอ) ก่อนหน้านี้ยุคเฟื่องฟูของตลาดแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ โอทีกระจุย โบนัสกระจาย ย้ายงานกันเพื่อปรับฐานกันสนุกสนาน หลายคนคิดว่ารายได้ตรงนี้จะอยู่ตลอดไป กู้บ้าน กู้รถ นั้นนี้เต็มไปหมด หลายบริษัทลงทุนเพิ่ม เปิดโรงงานใหม่ ขยายการผลิตกันเพียบ มีโรงงานเปิดใหม่หลายที่ ทุ่มเงินเพื่อดึงตัวคนจากคู่แข่งโดยไม่สนราคาตลาด วิศวกร ผุ้จัดการ เหมือนเจอเหมืองทอง รีบวิ่งเข้าใส่กันอุตลุต เพราะเชื่อว่าโอกาสดีมาถึงแล้ว โดยไม่รู้เลยว่า เขาวางหมากกันไว้ยังไง
ผ่านไปปีกว่าๆระบบลงตัวหลายๆอย่างเริ่มเข้าที่ อุตสาหกรรมเริ่มนิ่งไปและค่อนข้างจะดิ่งลงเนื่องจากหลายปัจจัย ก็ถึงเวลาของการ "ปรับฐาน" หรือ "ปรับโครงสร้าง" พวกที่จ้างกันมาเกินราคตลาด เกินกระบอกก็โดนเลิกจ้างบ้าง แย่หน่อยก็โดนบีบออกโดยนโยบายใหม่ โดนตัดโอที ลดโบนัส เพื่อลดต้นทุนระยะยาว และเพิ่มกำไร ผู้สมัครหลายคนที่เราเคยพูดคุยด้วย บางครั้งเคยเตือนด้วยซ้ำ โทรกลับมาหาให้ช่วยหางานให้หน่อย... แต่ถึงตอนนั้น ตอนที่ตลาดขาลง มันไม่มีใครรับคนเพิ่มแล้วครับ นอกจากประคองตัว แล้วราคาที่คุณรับกันที่ล้นตลาด ก็ไม่มีที่อื่นเขาจ้างนอกจากคุณจะยอมลดค่าตัวตนเองลง
ตลกร้าย ตรงที่ลดค่าตัวไม่ได้ เพราะ สร้างภาระไว้กันเต็มแล้ว ผู้สมัครบางคนรับเงินเดือนเกินกว่าราคาตลาดไปหลายหมื่นไม่รวมโอที กู้บ้าน กู้รถ กู้เงินแต่งงาน โดยพึ่งพารายได้จาก "โอที" และ "โบนัส" เอาง่ายๆคือฐานเงินเดือน 70,000 นี้หมดไปกับผ่อนบ้าน รถ บัตร แล้วต้องทำโอหาตังซื้อข้าว เติมน้ำมัน จ่ายค่าไฟ.... ที่นี้ทำไงละ ดราม่าจึงบังเกิด นั่งสัมภาษณ์ไปก็เหมือนละครชีวิต T ^ T
ผู้จัดการหลายๆคน เข้าไปก็โดนการเมืองบีบออก ทำนอง "เสร็จนาฆ่าโค เสร็จศึกฆ่าขุนพล" ต้องหางานตอนแก่ บวกกับอุตสาหกรรมขาลง บางคนจนตอนนี้ยังตกงานอยู่เลย เพราะยิ่งโต ตำแหน่งสูงยิ่งหางานยาก ตกงานกันร่วมสองสามปีจนถึงตอนนี้ก็ยังมี
หลายๆคนไม่รู้ว่าที่เขาจ่ายแพงไม่ใช่เพราะคุณเก่ง เขาจ่ายเพราะเอาคุณมาทำงานระยะสั้น เขาวางแผนไว้แต่แรกแล้วว่าเขาจะเอาคุณออก เพราะมันล้นกระบอกเงินเดือนเขา...
ทั้งหมดข้างต้นบางคนอาจจะมองว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย ใครจะรู้
แต่บอกเลยครับว่า มันไม่ใช่เหตุสุดวิสัย มันเกิดจากความไม่รอบคอบในการหาข้อมูลก่อนจะตัดสินใจย้ายงาน เพราะ ประมาท จากการพูดคุยทำให้รู้ว่าหลายๆคนตอนไปสัมภาษณ์ หรือ ก่อนจะตัดสินใจย้ายงานจะสนใจแค่
"ตำแหน่งอะไร"
"เงินเดือน สวัสดิการเท่าไร"
"โบนัสเยอะไหม"
"ทำงานกี่วัน"
"งานยากไหม"
ส่วนมากแทบจะไม่มีคนสนใจเลยว่า
"บริษัทมีแผนการทำอะไรในอนาคต"
"ดีลกับที่ไหน Project ที่มาของรายได้กี่ปี"
"เงินเดือนที่จ่ายกับราคาตลาดมันสมเหตุสมผลไหม"
เหมือนจะย้ายเข้าบ้านแต่ไม่เคยทำความเข้าใจก่อนเลยว่าบ้านที่เราจะย้ายเข้าเป็นยังไง จะพังไหม โดนยึดหรือเปล่า
เปรียบกับการลงทุนก็เหมือนซื้อหุ้นตามเขา หรือ ซื้อหุ้นแบบไม่อ่านงบ ไม่ดูกราฟ....
ตอนนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มกระเตื้อง จากที่แต่ก่อนคนหนีออก บ่นกันระงมตอนนี้หลายๆก็อยากโดดเข้ามาหาความเจริญกับตรงนี้
ไม่ผิดครับ
ถ้าคุณเตรียมตัวมาดี วางแผนดี พัฒนาตัวเองตลอด และมองรอบด้านไว้แล้ว
ไม่ใช่เอาเงินเป็นที่ตั้ง เพราะ เขาจ่ายได้ เขาก็เลิกจ่ายได้ (ง่ายมากด้วย)
ย้ายงานเพื่อเพิ่มความสามารถเป็นหลัก เรื่องเงินเป็นรองครับ เพราะสุดท้าย วิ่งหาเงินมากๆ ความสามารถตามไม่ทัน คุณจะไม่โต ไม่ก็ตายเพราะเงินนี้แหละ
โอที กับ โบนัส นี้มันกับดักชีวิตชัดๆ > <