"ถ้าคิดว่ารถไฟความเร็วสูงเขาเล็งอัตราค่าโดยสารสำหรับชั้นต่ำสุดไว้ที่กิโลเมตรละสองบาท
กรณีไปจันทบุรีนี่ระยะทางประมาณ 240 กม. ค่าโดยสารก็จะประมาณ 500 บาท
(เข้าใจว่าจริงๆ แล้วอัตราค่าโดยสารต่อกิโลเมตรของแต่ละชั้นก็ไม่เท่ากัน และมีการบวกค่าโดยสารอัตราคงที่ของแต่ละชั้นด้วย ชั้นต่ำสุดนี่คือบวกไปอีก 100 บาทจากไอ้ส่วนที่เป็น 2 บาทคูณระยะทาง ชั้นสูงกว่านี้ก็บวกมากกว่านี้)
ส่วนถ้ารถทัวร์หรือรถตู้ไปจันทบุรี ค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 200 บาท
คำถามที่น่าสนใจและจะเกี่ยวข้องกับข้อสันนิษฐานที่ว่า ถ้ามีรถไฟความเร็วสูงแล้วอุบัติเหตุจะลดลงเนื่องจากการใช้บริการรถตู้ไปต่างจังหวัดลดลงจริงหรือไม่ก็คือ คนต่างจังหวัดที่มาทำงาน กทม. มีรายได้เท่าไหร่ และมีกี่คนที่สามารถขยับจากรถตู้หรือรถทัวร์ไปสู่รถไฟความเร็วสูงซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่า"
"ถ้าตอนนี้มีรถไฟความเร็วสูง มันก็คงยังมีคนไฟคลอกตายในรถตู้ใช่ไหม เพียงแต่อาจจะไม่มีนักศึกษาแพทย์หรือดอกเตอร์โดนไฟคลอกตายในรถตู้"
"ถ้าไล่กันจริงๆ นี่ ไอ้เรื่องรถตู้ชนไฟคลอกตาย มันคงไปเริ่มที่การกระจายความเจริญออกจากศูนย์กลางไม่เพียงพอนั่นแหละ"
"นี่นั่งรถเมล์ขับเหี้ยอยู่เป็นประจำ และส่วนใหญ่ก็คือรถร่วมฯ ซึ่งก็จะนั่งนึกด่าแม่คนขับไปพร้อมๆ กับรันทดใจ ว่าปัญหามันคือการที่ส่วนใหญ่แล้วรถร่วมฯ มันไม่มีเงินเดือน รายได้มันก็มาจากค่าตั๋วนี่แหละ ผลมันเลยออกมาว่า ก็ต้องขับกันแบบที่เห็น เหยียบขยี้บี้คันเร่งกันไป
เพราะงั้น ถ้าจะแก้ปัญหารถเมล์ขับเหี้ย มันก็ต้องทำให้ความจำเป็นต้องวิ่งให้ได้มากๆ เที่ยวมันลดลงนั่นแหละ ด้านหนึ่งก็เรื่องรายได้ของคนขับ อีกด้านก็การจัดการกับระบบขนส่งมวลชนให้ทั่วถึงและมีทางเลือกมากขึ้น
ทีนี้ ปัจจุบัน แม่งยังไม่จัดการเรื่องรายได้คนขับ แต่มันมีทางเลือกอื่นในการเดินทางอยู่ ซึ่งมีอะไรบ้างล่ะ แท็กซี่ รถไฟฟ้า รถตู้
แท็กซี่กับรถไฟฟ้านี่แม่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ว่าลำพังแค่มีทางเลือกเพิ่มขึ้น ไม่ได้แปลว่ามันจะย้ายคนออกไปจากความเสี่ยงอย่างรถเมล์ขับเหี้ยได้ เพราะนอกจากความไม่ทั่วถึงแล้วมันก็มีกำแพงค่าโดยสารอยู่ ซึ่งต่อให้รถไฟฟ้ามันไปทุกซอกทุกมุม นี่ก็ยังนึกไม่ออกว่ากำแพงค่าโดยสารมันจะเตี้ยลง นี่ขนาดกูพอมีแดกอยู่บ้าง นั่งรถไฟฟ้าสุดสายไปกลับทีก็สะเทือนใจเหมือนกัน ส่วนรถตู้นี่เห็นๆ กันอยู่อะนะ จะวิ่งไปไหนก็เหอะ เร็วขึ้นแต่ก็เสี่ยงขึ้น แม่งกลายเป็นตัวเลือกที่แบบเสี่ยงก็ต้องยอม เพราะราคาถูกกว่าและทั่วถึงกว่าตัวเลือกอื่น
ผมไม่เถียงอยู่แล้วล่ะว่า ถ้ามีตัวเลือก ความเสี่ยงก็จะลดลง ก็บอกอยู่ว่ากูนั่งรถเมล์ขับเหี้ยตลอดและรู้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่คำถามคือ พอมีตัวเลือกแล้วความเสี่ยงมันลดลงได้ขนาดไหน มีคนซื้อหลักประกันนั่นได้ขนาดไหน มีกี่คนที่ย้ายตัวเองออกจากความเสี่ยงเดิมๆ ไปสู่ทางเลือกใหม่ๆ ได้อย่างสบาย มีกี่คนที่ย้ายไม่ได้และยังคงต้องติดอยู่ในความเสี่ยงนั้นเพราะรายได้ไม่เพียงพอ
คือ ผมกำลังพูดถึงการขีดเส้นต่ำสุด ที่จะทำให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีไง เส้นต่ำสุดที่ทำให้ทุกคนในสังคมมีชีวิตที่ปลอดภัย เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่พอมีทางเลือกปุ๊บแล้วความเสี่ยงหายไปได้ทันที หรือต่อให้ทางเลือกนั่นช่วยลดความเสี่ยงได้ มันลดได้แค่ไหน มันมีกี่คนที่เข้าถึงการลดความเสี่ยงนั่น"
"แค่เดินออกจากบ้านไปเจอกระเบื้องน้ำปรี๊ดนี่ก็รู้ละว่าชีวิตเราแม่งราคาถูกขนาดไหน"
"ยาวไปก็ไม่อ่าน สั้นไปก็เข้าใจผิด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง