ก่อนหน้านี้สักพักหนึ่ง ได้ไปเถียงกับ anti-liberal คนหนึ่ง (ที่ประมาณว่า เกลียด political correctness, เรียกนโยบายช่วยเหลือ minority ว่าเป็นการ"โอ๋" เป็นต้น) ในประเด็นเรื่องนาฬิกาของอาเหม็ด มูฮัมหมัด พอเถียงไปสักพัก มันก็แช่งผมให้โดนระเบิดมุสลิมตาย บางคนมีการไล่ให้ไปอยู่ตะวันออกกลางจะได้รู้ว่ามุสลิมเป็นยังไง
ประเด็นคือ ตอนเรียน ป. ตรี ผมสนิทกับอาจารย์ด้าน cryptography คนหนึ่งที่มาจากอิหร่าน อาจารย์แกให้คำปรึกษาเรื่องงานวิจัยตลอด แล้วก็ยังเป็นแรงบันดานใจให้ทำงานด้าน cryptography ทุกวันนี้ด้วย
และช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ผมไปฝึกงานที่ USCD ได้ทำงานกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เป็น immigrant ย้ายจากซีเรียมาอยู่ที่นิวเจอร์ซีเมื่อเจ็ดปีก่อน แล้วเป็นมุสลิมด้วย ใส่ฮิญาบมาทำงาน ถ้าจะให้พูดถึงเพื่อนร่วมงานคนนี้หนึ่งประโยค คงต้องบอกว่า "เค้าเป็นคนที่นิสัยดีและเป็นมิตรที่สุดคนหนึ่งที่เคยรู้จัก"
ที่เล่าให้ฟังไม่ได้จะบอกว่า คนที่มาจะตะวันออกกลางต้องเป็นคนดีทุกคน--กรณีเดียวกับคนดำ คนจีน และคนอินเดีย การเอาคนส่วนน้อยมาสรุปเป็นส่วนใหญ่มันเป็นปัญหาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้านดีหรือร้าย แต่การที่ได้อยู่ในสังคมที่มีความหลากหลายมันทำให้เราได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตกับคนที่มาจากเชื้อชาติที่ต่างจากเรา และได้เห็นด้านดีของคนเหล่านั้นจริงๆ ไม่ได้ฟังผ่านมุมมองของคนอื่น ซึ่งมันทำให้เราคิดซ้ำตลอดเวลาที่เราจะพูดจาเหมารวมว่า คนชาตินั้นแย่อย่างนี้ คนผิวสีนั้นเลวอย่างนี้ หรือดูถูกประสบการณ์ของคนอื่นว่า คนเชื้อชาตินี้ผิวสีนี้ไม่ได้โดนเหยียดหรอก หรือไม่ได้ประสบปัญหาจากการถูกเหยียดหรอก เพราะความจริงที่เราเห็นมันค้านคำพูดเหล่านั้น
ต่างจากหลายคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยที่ไม่ค่อยมีความหลากหลายทั้งชีวิต แต่รู้หมดเลยว่าคนดำ คนจีน คนมุสลิมเป็นยังไง ผ่านการอ่านจากอินเตอร์เน็ตหรือดูหนังดูละคร ซึ่งแนวโน้มแบบนี้มันอันตรายมากในพื้นที่ทางการเมืองสำหรับ minority ในประเทศอย่างสหรัฐฯ
เพราะเหตุนี้ การพูดถึงความหลากหลายและการให้ minority ได้ถูก represented จึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ได้สำคัญเพราะมันคือ political correctness แต่สำคัญเพราะมันช่วยเปิดหูเปิดตาให้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกะลาทั้งชีวิตได้รู้ว่าคนอื่นก็มีหลากหลายด้านเหมือนกับตัวเอง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง