"วันก่อนในงานเสวนาวิชาการที่ม.พะเยา หลวงแม่ธํมมนันทาเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่ภิกษุณีจากวัดทรงธรรมฯ เดินทางไปเข้าเฝ้าถวายบังคมพระบรมศพ แล้วถูกเจ้าหน้าที่ห้ามไม่ให้เข้า โดยกล่าวหาว่าแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ หากจะเข้าถวายบังคมต้องไปเปลี่ยนจีวรเป็นสวมชุดดำแทน...
ฟังแล้วสะเทือนใจมากๆ ครับ
ส่วนตัวผมคิดว่า คำถามเรื่องบวชภิกษุณีได้หรือไม่ได้ ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามพระวินัยนั้น เป็นคำถามที่ปัญญาอ่อนมากๆ และไม่น่าเชื่อว่าชาวพุทธยังต้องมาถกเถียงเรื่องนี้ในศตวรรษที่ ๒๑
ทว่าในความปัญญาอ่อนนั้น เมื่อมาถึงสถานการณ์ที่กฏเกณฑ์อันคับแคบถูกนำมาปฏิบัติต่อคนจริงๆ ก็เป็นอย่างที่เห็น ภิกษุณีถูกปฏิบัติอย่างดูถูกดูแคลน...ซึ่งมันน่าเศร้ามาก ที่เห็นการปฏิบัติต่อนักบวชหญิงในระดับรัฐเช่นนี้
ในเรื่องการตีความพระธรรมวินัย หลวงแม่บอกว่า คณะสงฆ์ชายเป็นใหญ่ของไทยสนใจแต่ "วินัย" แต่ไม่สนใจ "ธรรม" การตีความธรรมวินัยแบบนี้จึงไม่สอดคล้องกับธรรมและไม่เป็นธรรมต่อภิกษุณีบริษัท ด้วยข้ออ้างของการรักษาวินัยให้บริสุทธิ์?ถูกต้อง?
และผมชอบที่อ.นิธิ เคยกล่าวว่า การตีความธรรมวินัยนั้น สามารถตีความได้หลายทาง หากเจตนาคือเพื่อการมีอยู่ของพุทธบริษัท4 และเพื่อการเปิดโอกาสทางสังคมให้แก่นักบวชหญิง การตีความธรรมวินัยในทิศทางของการสนับสนุนภิกษุณีย่อมสามารถทำได้ และทำได้อย่างถูกต้องด้วย ...แต่สิ่งที่คณะสงฆ์ไทยเลือกที่จะทำมาโดยตลอด คือ ใช้การตีความทุกวิถีทางเพื่อทำให้การรื้อฟื้นภิกษุณีสงฆ์นั้นเป็นไปไม่ได้ และปิดทุกช่องทางที่เป็นไปได้
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าคือ... นักบวชหญิงเหล่านี้ แสดงตนชัดเจนว่าเป็นผู้ปรารถนาจะปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทว่าตลอดมา คณะสงฆ์ไทยกลับไม่เคยมีท่าทีของความเป็น "กัลยาณมิตร" ต่อพวกเธอเลย กลับมีแต่ท่าทีดูแคลนราวกับพวกเธอเป็น "ศัตรู" ต่อพระศาสนา
พุทธศาสนาแบบไหนกันครับ ที่มีแต่การ discriminate และ exclude ผู้คนเช่นนี้ ...อุดมคติอันเปิดกว้างของคำสอนและวิถีปฏิบัติอันเปี่ยมกรุณาที่พร้อมจะ include เพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ สูญหายไปไหน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง