Last posted
Total of 1000 posts
ดูก๊อดซิล่าจบ เดินกินเฟนฟายแม๊คออกมาจากเซนปิ่นจะกลับบ้าน มีป้าสะกิดหลัง หนูๆศิริราชไปทางไหนลูกพอดีป้าตกรถอะลูก กูก็บอกข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามอะคับ ต่อรถเมล์ไป57,146,149,177 คันไหนมาก่อนก็ไปเลย อีป้าก็บอกอ่อขอบคุณมากลูกๆ แล้วกูหันกลับจะเดินต่อ เขาสะกิดหลังใหม่ หนูๆ ช่วยคนแก่สัก20ได้ไหมลูก ป้าตกรถเงินไม่พอ เอ้า??กูก็ปฏิเสธคนไม่เป็นก็เลยบอก อ๋อๆคับๆ แล้วฟักกระเป๋าตังมา อีป้าชะเง้อดูกระเป๋าตังกู(เฉยเลย) แม่งไม่มีแบงค์20 !! มนุษย์ป้าพูดขึ้นมาว่า ร้อยนึงก็ได้ลูกๆ ไม่เป็นไร (กูนี่ห๊ะ?เออวะคงไม่เป็นไรควย) กูก็เลยเอาตังให้แล้วจะพาป้าแกข้ามสะพานลอยไปส่ง(อาสาเอง) พอถึงฝั่งเมเจอร์ยืนตรงป้ายรถเมล์ กูก็ยืนกินเฟนฟายดูรถเมล์ให้ป้าแก สักพักป้าก็เรียก หนูๆป้าหิวอะเอาเฟนฟายให้คนแก่กินได้มั้ย (กูนี่คิดในใจไอเหี้ยแม่งไม่ใช่แระ) แต่ด้วยเรื่องของกินทำให้กูปฏิเสธคนเป็น5555 กูเลยบอกไป"อ๋ออันนี้น้องฝากซื้ออะคับ ผมแอบกินนิดหน่อย" ป้าแกก็อืมๆ เออๆ หลังจากนั้น10วิไอสัส(ไม่รู้แม่งวางแผนไว้อยู่แล้ว หรือของขึ้นที่ไม่ให้กินเฟนฟายเชี่ยไร) เขายื่นกระเป๋าเขาฝากให้ถือให้ (จังหวะเขายื่นให้เห็นแบงค์500ในกระเป๋ามนุษย์ป้าใบนึง) กูคิดละเอ้าเห้ย ไรวะ หลังจากนั้นแหละสัส "ช่วยด้วย ช่วยด้วย เด็กนี้จะฉุดกระเป๋าตังป้า" อ้าวเหี้ยย กูนี่ฉุนละวินาทีนั้น เท่านั้นแหละไอสัสไม่ต้อง งง ในรูปคือไร หลังกูรู้ตัวว่ามนุษย์ป้าจะเล่นงานกู วินาทีที่คนแม่งจ้องกูเยอะๆแหละ มึงไม่เคยดูนาวยูซีมีอะดีป้า ว้ากก 5555ไอสัส ว้ายๆๆ อูยๆๆ 5555 ควย5555 (ที่โด้นี่แค้นส่วนตัว) สักพักพอป้าเค้าตะโกนเสร็จเท่านั้นแหละ แหมพลเมืองดีไอเหี้ย แม่งอยุแถวๆป้ายรถเมล์วิ่งมากระชากแขนกูคนละข้างเลย(โคตรแรง) คือไอชิบหาย ถ้ากูจะเอากูวิ่งไปนานแล้วปะ มือยังถือถุงเฟนฟายอยุเลยไอสัส กระชากแขนสะ ไม่ดูสังขารกูเลยควยไอเหี้ยพลเมืองดี นั่นแหละคับ ของขึ้น ต่อยพี่ที่แม่งมาล๊อคกูไปคิ้วแตก แล้วแม่งก็มาล๊อคกูอีก5-6คนมั้ง คนแม่งก็ยืนดูกันไป (เห็นพี่ผู้หญิงคนนึงอัดคลิป ถ้าพี่ลงพี่ช่วยลงให้ครบนะคับ) ตอนชุลมุนเสียงดังกันยามเลยวิ่งมาดูมาถามว่าเกิดไรขึ้น อีป้าแม่งย้ำ "ไอเด็กนี่สิจะวิ่งโขมยกระเป๋าป้า" ยามแกเห็นตอนกูลงสะพานลอยมากับป้า(เห็นมาด้วยกัน) ยามแกก็เลยบอกอ้าวนึกว่าเป็นป้าเป็นหลานกัน กูก็อธิบายให้ฟัง(ตอนอธิบายพลเมืองดียังล๊อคแขนอยู่เลยควย) เออแล้วก็จบไอสัส ป้าแม่งก็เดินหงอยไปเลย เสร็จไอเหี้ยพลเมืองดีที่คิ้วแตกนี่ถาม"ขอโทดพี่ยัง" (ขอโทดพ่อมึงดิ) แม่งเข้ามาล๊อคแขนสะไม่เหลือความเป็นคนเลยสัส เป็นไงละไอเหี้ย หวังดี สงสารคนแก่ แม่งไอห่าเสียเวลาชิบหาย
(ขอโทดด้วยครับ ปกติไม่หยาบงี้ ไม่เรียกอีป้า ไม่ด่าตอนแกจะเอาร้อยนึงเลย ไม่คิดไรๆเหี้ยๆเลย แต่พอเจอ"ช่วยด้วยเด็กนี่จะโขมยกระเป๋าป้าเท่านั้นแหละสัส" ควย! อยู่ยากสัสหัวร้อนไปหมดเลย)
#500นี่ค่าหัวร้อนผมละกันครับ
#เที่ยงคืนลบเดะคนที่คิ้วแตกมาตามกูไอสัส
....งานวิจัยที่นานที่สุดในโลก.....
" Harvard Study of Adult Development "
โดยผู้ริเริ่มโครงการวิจัยได้ติดตามศึกษา
ชีวิตของผู้ชายวัยรุ่น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก; เป็นนักศึกษาชายปีที่ 2
ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดจำนวน 268 คน
ซึ่งมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการศึกษา
จากสถาบันที่มีชื่อเสียง
กลุ่มที่สอง; เป็นชายวัยรุ่นอายุ 12 – 16 ปี
ในตัวเมืองบอสตันจำนวน 456 คน
ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโต
บนความลำบากและยากจน
ทุกๆ 2 ปี ทีมวิจัยจะให้ทั้ง 724 คนนี้
ทำแบบสอบถาม
เกี่ยวกับความพอใจในชีวิตพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในชีวิตการแต่งงาน
ความพอใจในหน้าที่การงาน
หรือความพอใจทางสังคม
และหลายครั้งที่ทีมวิจัย
ขอไปสัมภาษณ์พวกเขาถึงที่ห้องรับแขก
เพื่อถือโอกาสพูดคุยกับภรรยา
หรือลูกๆ หลานๆ ของพวกเขาด้วย
นอกจากนี้ทุกๆ 5 ปี
จะมีการตรวจสอบสุขภาพพวกเขา
ทั้งรายงานทางการแพทย์
ผลการตรวจเลือด ผลการตรวจปัสสาวะ
หรือแม้แต่ผลการ X-ray หรือ สแกนสมอง
โดยตลอดเวลาที่ทำการติดตาม
ทีมวิจัยได้เห็นพวกเขาเติบโตไป
ประกอบอาชีพต่างๆ
บ้างเป็นคนงานในโรงงาน
บ้างเป็นทนาย
บ้างเป็นช่างปูน
บ้างเป็นหมอ
และมีคนหนึ่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
บางคนติดเหล้า
บางคนมีอาการทางประสาท
จำนวนไม่น้อยที่สร้างเนื้อสร้างตัว
จนสามารถไต่ระดับทางสังคมขึ้นมาได้
ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ที่เลือกทางเดินที่ตรงข้าม
ความมหัศจรรย์ของการวิจัยนี้คือ
เป็นงานวิจัยที่ยาวมากซึ่งมีไม่บ่อยนัก
ส่วนใหญ่มักจะเลิกไปภายใน 10-20 ปี
เพราะผู้ถูกวิจัยไม่ยอมให้วิจัยต่อบ้าง
เงินทุนวิจัยหมดบ้าง
คนทำวิจัยหันไปทำเรื่องอื่น หรือเสียชีวิตไป
แต่ Harvard Study of Adult Development
กลับดำเนินมากว่า 75 ปีแล้ว
โดยผู้ถูกวิจัยท724 คนนั้น
เหลือชีวิตรอดแค่ 60 กว่าคนเท่านั้น
ซึ่งผู้เหลือรอดเกือบทั้งหมด
อยู่ในวัย 90 ปีขึ้นไป
แล้วอะไรบ้างหล่ะ ที่บรรดานักวิจัยเรียนรู้
จากเรื่องราวกว่า 70 ปีของ 700 กว่าชีวิต
ผ่านทางเอกสาร และข้อมูลเป็นหมื่นๆหน้า
พวกเขาเรียนรู้ว่า...
“ความร่ำรวย”
“ความโด่งดัง”
หรือ "การทำงานอย่างหนักหน่วง"
ไม่ใช่คำตอบของ
" การมีชีวิตที่ดี "
หรือ "สุขภาพที่ดี" เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เป็น “ความสัมพันธ์ที่ดี” ต่างหาก
ที่นำมาซึ่ง "การมีชีวิตที่ดี"
“Good relationships keep us happier and healthier.”
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด (Key Message)
โรเบิร์ต บอกต่อว่า
พวกเขาได้เรียนรู้อีก 3 บทเรียนล้ำค่า
ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ (Relationship) คือ...
1. Connection is really good for us,
loneliness kills.
คุณจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี
กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคู่ครอง
เพื่อน ครอบครัว หรือสังคม ก็ตาม
ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้จะทำให้คุณ
มีความสุขกว่า
แข็งแรงกว่า
และมีอายุที่ยืนยาวกว่า
ในทางกลับกันความเหงาและโดดเดี่ยวนั้น
เป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่ง
เพราะมันจะทำให้คุณมีความสุขน้อยลง
ทำให้ร่างกายคุณเริ่มแย่ลงตั้งแต่วัยกลางคน
สมองเสื่อมเร็วขึ้น
และมีชีวิตสั้นกว่า
2. Quality is not Quantity.
มันไม่สำคัญที่ปริมาณ
หรือรูปแบบของความสัมพันธ์
เช่น "จะต้องแต่งงานเท่านั้น"
แต่เป็น “คุณภาพของความสัมพันธ์” ต่างหาก
ที่จะเป็นตัวบ่งชี้
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่า
ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีของสามีภรรยา
จะส่งผลลบมากกว่า
การหย่าร้างที่เข้าใจกันเสียอีก
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>973 )
3. "Good relationships don’t just protect
our bodies they protect our brains."
ความสัมพันธ์ที่อบอุ่น มั่นคง ไว้ใจได้ พึ่งพาได้
ไม่เพียงแต่ช่วยให้มีสุขภาพกายที่ดีเท่านั้น
ยังดีต่อสมองด้วย
ความสัมพันธ์ที่ดี
จะทำให้มีความทรงจำที่ดี
และสมองยังคงใช้งานได้ดีอยู่
ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีในที่นี้
ไม่ได้หมายถึง
ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นสุดๆ ไม่ทะเลาะกันเลย
แต่เป็นความสัมพันธ์ที่รู้ว่า
เมื่อถึงเวลาที่ต้องการจริงๆ
เราจะมีคนที่พึ่งพาได้
นั่นคือสิ่งที่ "โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์ "
และทีมงานวิจัยของ ฮาวาร์ด ค้นพบ
ซึ่ง โรเบิร์ต บอกว่า
จริงๆแล้ว ผู้ถูกวิจัยเหล่านี้ในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น
หรือเริ่มเป็นผู้ใหญ่ใหม่ๆนั้น
ก็เชื่อเหมือนกับที่คนในยุคนี้ว่า
"ชื่อเสียง เงินทอง"
จะทำให้พวกเขา
"ประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ดี"
แต่ความจริงจากการศึกษากว่า 75 ปี
กลับกลายเป็นว่า
คนที่ให้ความสำคัญกับ
"ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง" ต่างหาก
คือ คนที่มีชีวิตที่ดีที่สุด
โรเบิร์ต ชวนคิดว่า...
สิ่งที่ทำให้คนเรามองข้าม “ความสัมพันธ์ที่ดี”แล้วหันไปใส่ใจกับ
"ชื่อเสียง เงินทอง" หรือ "หน้าที่การงาน"
อาจเป็นเพราะ...
การมีความสัมพันธ์ที่ดีนั้น
เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยากและไม่รู้จบ
แถมยังต้องได้รับการใส่ใจตลอดเวลา
จนหลายคนเลือกจะ "ทำงานหาเงิน" อย่างเดียว
แต่...
การเอาใจใส่ และการทำความสัมพันธ์ให้ดี
ไม่ได้ยากขนาดนั้น
แค่เงยหน้าจากจอมือถือ
แล้วสบตาคนรอบตัวให้มากขึ้น
หาอะไรใหม่ๆทำร่วมกัน
เพื่อให้ความสัมพันธ์ที่จืดจาง
กลับมามีสีสันอีกครั้ง
ทำอะไรง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียเงิน
เช่น ชวนคนรักไปเดินเล่น
หรือติดต่อญาติที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว
เพราะชีวิตเรานั้น
"มาร์ก เทวน" บอกว่า...
มันช่างสั้น แล้วก็สั้นเหลือเกิน
สั้นเกินกว่าที่จะมาโกรธกัน ทะเลาะกัน
หรืออิจฉาริษยากัน
ควรมีแต่เวลารักกันเท่านั้น
ซึ่งแค่นี้มันก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว
นั่นคือสิ่งที่ "โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์ "
พูดใน speech ของเขา
สำหรับผู้ที่ภาษาอังกฤษ แข็งแรง
ควรจะเปิดดู clip นี้ มีประโยชน์มาก
https://www.ted.com/…/robert_waldinger_what_makes_a_good_li…
อ่านให้จบนะ
ถ้าทำได้
จะมีความสุขในการใช้ชีวิต.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นายแต่งแต่เร้ดการ์ดก็ไม่ดราม่าแล้ว นายดันไปเอานาซีมาด้วยเลยเป็นเรื่อง
โลกนี้มันแคร์แต่ยิวน่ะนาย
บอลเชวิกที่ฆ่าคนเยอะๆในรัสเซียนี่ก็ยิวอยู่เบื้องหลังนะครับ นายทุนที่หนุนหลังเป็นยิวทั้งนั้น
Trotsky ชื่อเหมือนรัสเซียแท้ แต่ชื่อจริงคือ Lev Davidovich Bronstein นะครับ
"ปุนปุน...นายคิดว่าสิ่งสำคัญของชีวิตคืออะไร"
"เงิน,ความฝัน,ความเห็นใจให้กันและกัน..."
"ใช่ พวกนั้นก็สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ การรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง"
"ตอนที่น้าได้ยินว่า นายต้องการที่จะอาศัยอยู่คนเดียวนั้นเล่นเอาน้าตะลึงเหมือนกัน"
"แต่เมื่อนั้นเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเจ้าเอง น้าก็ไม่ต่อว่าอะไร"
"หลานจะไปเป็นฆาตกรหรือเป็นพวกเก็บตัวอยู่ในห้อง น้าก็จะไม่เข้าไปขัดขวาง"
"แต่"
"ถ้าเมื่อไหรหลานโทษคนอื่น ทำให้หลานเป็นแบบนี้"
"น้าจะเอาดาบไปฟาดมึงเอง"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก็แค่ละคร ยักษ์ ตัวนึง คือต้องกลัวเสื่อมเสียไรวะ ยักษ์มันเคยมาช่วยรบในสมัยกรุงศรีหรือไง
ที่ตอนเอาช้างมาทาแพนดา ไม่เห็นออกมาดิ้น
มิตรสหายท่านหนึ่ง
#กูเดือดเลยครับ
"ไปธนาคารมา ก็แต่งตัวธรรมดา แต่รองเท้าแตะมันขาดหน่อยไง
เจ้าหน้าที่ก็มองหัวจรดเท้า แบบดูถูกอ่ะ กูหมั่นไส้
เลยเขียนใบเบิกเงินไป 2 ล้าน แล้วเดินไปที่เค้าเตอร์
กูพูดแม่งดังๆ เลย ขอถอนเงิน 2 ล้าน ย้ำ 2 ล้าน ด่วน!!!
พนักงานพูดขึ้นมาเบาๆ แบบเกรงใจว่า คุณลูกค้าใจเย็นๆนะคะ
คือเงินในบัญชีของคุณมีสองร้อยบาทค่ะ"
(มิตรท่านหนึ่ง)
>978 ขอโทษที ลืมไปว่าตอนก๊อปลิ้งมันโดนตัดไป
link ใน >>>974 ขอแก้เป็น https://www.ted.com/talks/robert_waldinger_what_makes_a_good_life_lessons_from_the_longest_study_on_happiness?language=enm
มารักษาโรคตามแนวทางของอัลลอฮ์ซุบฮานาฮูวาตาอาลากันครับ
หน้าหมอง ให้ละหมาดตะฮัจญุด (ละหมาดซุนนะห์นอกเหนือจากละหมาด 5 เวลา โดยละหมาดหลังเที่ยงคืน)
.
ใจแคบ ให้อ่านอัลกุรอาน
.
มีปัญหาทางอารมณ์ ให้เอาน้ำละหมาด (ที่ชาวมุสลิมชำระร่างกายก่อนละหมาด ประกอบด้วยการล้าง มือ ปาก หน้า แขน หัว หู ขา อย่างละ 3 ครั้ง)
.
กระวนกระวาย ให้ขอดุอาอฺ (ขอพรจากอัลลอฮ์)
.
เครียด ให้กล่าวสรรเสริญอัลลอฮ์
.
ป่วย ให้ถือศิลอด (งดดื่ม กิน สูบ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก)
.
ไม่ค่อยมีริสกี(โชค/วาสนา) ให้บริจาคทาน
.
ไม่มีความสุข ให้ถึงเวลาละหมาดให้รีบละหมาด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อัพหือดาวน์เกรดวะสัส
>>972 ไม่รู้ทำไมกูเจอคนแบบนั้นบ่อยเหี้ยๆแต่กูพลาดแค่ครั้งแรกๆนะ จนมีครั้งนึงกูทนไม่ไหวกูอยากแกล้งแม่ง แม่งบอกว่ามาหาญาติที่ กทม มาจากจังหวัดอะไรซักอย่างกูลืมละ แล้วขอยืมเงินกูนั่งรถเมล์ไปท่ารถทัวร์ แล้วมีขอชื่อกับเบอร์โทรกูด้วย บอกว่าไปถึงแล้วจะโทรกลับมาคืนเงินให้
กูก็เอาวะแม่งเล่นใหญ่ขนาดนี้กูก็เล่นกลับ กูบอกว่าพ่อกูเป็นนักการเมืองใหญ่(กูโม้) เดี๋ยวกูให้พ่อกูผสานงานให้ส่งกลับเลยไม่ต้องห่วง ญาติชื่อไร คุณชื่อไร แม่งก็เริ่มเหวอๆเว้ย แล้วทำบอกกูว่าเกรงใจ กูก็เห็นว่าแม่งเริ่มกลัวกูละกูเลยใส่ใหญ่เลยว่าไม่ต้องเกรงใจๆ ผมชอบช่วยคน บลาๆ แล้วแม่งก็บอกไม่เป็นไรๆ ขอแค่ค่ารถพอ 500 กูบอกไม่ต้องหรอก เนี่ยเดี๋ยวส่งถึงบ้านเลย ให้ตำรวจลูกน้องพ่อพาไปส่งก็ได้ ซักพักแม่งเริ่มพูดไม่รู้เรื่องเว้ย แล้วก็ด่ากูว่าแล้งน้ำใจไม่ให้ค่ารถ แล้วเดินหนีไปเลย กูฮามากๆ คนทั้งป้ายรถเมล์ก็มองกูนะ แต่กูสะใจสัดๆ
ในเมื่อมีรัฐสภา ใครๆก็สามารถไปเป็นได้ ออกกฎหมายอะไรก็ได้ ออกกฎหมายคุมแพทยสภาก็ได้ แล้วจะเอาคนนอกเข้ามาในแพทยสภาทำไมอะ นี่มันสภาวิชาชีพปะ
เห็นแพทยสภาเป็นรัฐสภารึไง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมได้ปรึกษาทนาย ว่าร้านอาหารสามารถเก็บค่า service charge ลูกค้าได้ไหม
จากการระดมสมองของกลุ่มทนายมือดี 6 คน เพื่อค้นหาและวิเคราะห์ข้อกฏหมายต่างๆ
ปรากฏว่า ลูกค้ามีสิทธิ์ที่จะไม่จ่ายค่า service charge และทางร้านไม่มีสิทธิ์ในการเรียกเก็บ
ผมพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เราไปร้านอาหาร เราไปซื้ออาหาร หลังจากที่เราสั่งอาหาร ถือว่าการตกลงซื้อขายได้เกิดขึ้นแล้ว
และกระบวนการทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในการกินอาหาร ก็มีแค่ พนักงานนำอาหารมาเสริฟให้เรา
การเรียกเก็บค่า service charge 10% จึงไม่มีความเป็นธรรม เพราะไม่ได้มีบริการเสริมใดๆขึ้นมาจากการเสริฟอาหารปกติ
และต่อให้มีบริการอะไรที่เพิ่มเป็นพิเศษ ลูกค้าก็ต้องมีสิทธิ์เลือกว่าจะซื้อบริการนั้นรึไม่
และผมได้ปฏิเสธการจ่ายค่า service charge มาตลอด2เดือนที่ผ่านมา ทุกร้านจะเรียกผู้จัดการร้านมาคุยกับผม
ผมได้ตอบกลับไปทุกรายว่า คุณมีสิทธิ์อะไรมาคิดเงินผมเพิ่มอีก10% นอกเหนือจากค่าอาหาร ผมท้าให้ฟ้องร้องเป็นคดีตัวอย่างเลย
ให้ศาลตัดสินเป็นคดีแรกของประเทศไทยไปเลย เพื่อจะได้ลงหน้า1ไทยรัฐ คนไทยทั้งประเทศจะได้เลิกถูกเอาเปรียบจากนายทุน
ปรากฏว่า ไม่มีร้านไหนกล้าเก็บค่า service charge ผมแม้แต่ร้านเดียว โดยทางผู้จัดการร้านบอกว่าครั้งนี้จะอนุโลมให้เป็นพิเศษ ผมสวนกลับไปทันทีว่าพรุ่งนี้ผมก็จะมากินอีก แล้วก็จะไม่จ่ายค่า service charge เช่นเดิม ให้ทางร้านเตรียมทนายมาด้วยเลยก็ได้
ตลอด2เดือน หลังจากที่ไม่ต้องจ่ายค่า service charge 10% ทำให้ผมมีเงินในกระเป๋าเหลือมากขึ้นจนน่าตกใจ
ผมมาคิดๆดู ตลอดชีวิตผมเสียค่าโง่พวกนี้ไป น่าจะเป็นรถยนต์คันหนึ่งได้เลย หรือถ้านำไปลงทุนในกองทุนรวม เงินก้อนนี้คงกลายเป็นล้านไปแล้ว
บางร้านถึงกับคิดค่าบริการสุดโหด 15-20% ก็มีในหลายๆร้านในกรุงเทพ
หลังจากอ่านกระทู้นี้จบ ขอให้ทุกคนปฏิเสธการจ่ายค่าบริการในทุกกรณี เพราะทางร้านไม่มีสิทธิ์มาเก็บกับเรา เด็กเสริฟคือลูกจ้างของร้าน และกฏหมายกำหนดให้นายจ้างเป็นผู้จ่ายค่าจ้าง ไม่ใช่ผลักภาระมาให้ลูกค้าเป็นค่าจ่าย
ร้านค้าบางร้านหัวหมอ ใช้จุดอ่อนด้านต่อมคุณธรรมของคนไทย โดยบอกว่าค่าบริการจะทำให้พนักงานเสริฟมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เปิดคางมาแบบนี้ ผมสวนด้วยอัพเปอร์คัทกลับไปทันทีว่า ถ้าคุณอยากให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นก็ขึ้นเงินเดือนให้พวกเขาเป็นเดือนละแสนสิ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลย
ถ้าวันนี้ผมไม่เป็นคนเริ่ม สังคมไทยต่อไปลำบากแน่ เพราะร้านอาหารมันจะได้ใจ และอาจขึ้นค่าบริการไปเรื่อยๆจนวันหนึ่ง ค่า service charge อาจแพงกว่าอาหาร เช่น ข้าวผัดกุ้งจานละ 80 ค่าบริการ 100 บาท
คนไทยถูกเอาเปรียบจนคิดว่ามันคือเรื่องปกติ ถ้าใครมองว่าการจ่ายค่าบริการ10% เป็นเรื่องปกติ และชอบด้วยเหตุผลแล้ว
ผมแนะนำว่าคุณควรทบทวนตัวเองแล้วว่าคุณคงถูกเอาเปรียบจนกลายเป็นเรื่องปกติรึป่าว
เรื่องนี้ถึงอย่างไรก็ผิดกฏหมาย และเรามีสิทธิ์อย่างเต็มที่ที่จะไม่จ่าย
ผมอยากให้ร้านอาหารฟ้องผมเหลือเกิน จะได้เป็นคดีตัวอย่างไปเลย
และมั่นใจว่า ผมชนะแน่นอน หลังจากปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางกฏหมายที่จบจาก อเบอดีน (แหล่งผลิตนักกฏหมายระดับท็อปของโลก)
เขาให้เหตุผลไว้อย่างน่าฟัง ว่า...
ถ้าเรื่องนี้ศาลตัดสินให้ ผู้บริโภคแพ้คดี สิ่งที่ตามมาก็คือ ทุกๆธุรกิจจะหันมาเก็บค่าบริการบ้าง
เช่น
ร้านถ่ายเอกสาร เก็บค่าบริการเพิ่มอีก 10% เพราะเขาต้องเอามือหยิบกระดาษจากเครื่องส่งให้คุณ
ร้านขายของชำ จะเก็บค่าบริการเพิ่มอีก 10% เพราะเขาต้องให้พนักงานหยิบของใส่ถุงให้คุณ
มันมีอะไรแตกต่างจากร้านอาหาร ที่แค่ยกอาหารมาเสริฟให้ลูกค้า
ถ้าร้านอาหารสามารถเก็บได้ ธุรกิจอื่นๆก็เก็บได้เช่นกัน
ช่วยกันแชร์ออกไปเยอะๆ และเริ่มที่ตัวคุณ ต่อไปให้ปฏิเสธการจ่ายค่าบริการในทุกๆกรณี และถ้าร้านไม่ยอม ก็ท้าให้ฟ้องเลย
คุณชำระแค่ค่าอาหาร ส่วนค่าบริการไม่ต้องจ่าย
กฏหมายไม่เปิดช่องให้ร้านอาหารสามารถมาเรียกเก็บค่าบริการจากเราได้
ส่วนใครที่ประทับใจในการบริการ คุณสามารถให้เป็นทิปแก่พนักงานได้ เพราะทิปมันถึงพนักงานแน่นอน และเป็นการให้ด้วยความสมัครใจ
ไม่ใช่ถูกมัดมือชกแบบ service charge
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่เก็บชาร์จมันก็เอาไปบวกค่าอาหารแทน แต่ตูรูสึกเฟคว่ะ
กูก็ไม่ชอบการแยก SC กับ VAT นะ สมัยเพิ่งเคยเข้าร้านที่โดนบวกใหม่ๆ ไม่เคยโดนมาก่อนนี่กูรู้สึกเหมือนร้านเค้าหลอกลวงลูกค้าเลย
พอเจอบ่อยๆแล้วชินก็ยังไม่ชอบอยู่ดี รู้สึกเหมือนเป็นผลักภาระให้ผู้บริโภค จะไม่ให้มี++ แต่รวมไปในราคาอาหารแล้วแพงขึ้นกูก็โอเคนะ
มันดูแฟร์กว่าการเขียนบอกตัวเล็กๆใต้เมนูแล้วเอาราคาไม่ net มาโชว์ลูกค้า
VAT นี่ตะหงิดมากว่ากูซื้ออะไรอย่างอื่นแม่งก็รวมหมด ทำไมของแบบนี้มึงเสือกจะคิดแยก
ส่วน SC บางร้านบริการแย่ก็รู้สึกไม่ดีที่เหมือนถูกบังคับให้ต้องทิปเด็กเสริ์ฟที่บริการห่วยๆ
พอพนักงานบริการดีก็เริ่มคิดมากอีกว่าเจ้าของมันจะเอาเข้ากระเป๋าตัวเองไม่แบ่งเด็กเสริ์ฟรึเปล่า
ปล. บทความนั่นมันน่าจะเกรียนประชดนะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.