โจรใต้แม่งบอกไม่รู้กูจะระเบิดกรุงเทพไปหาเหี้ยไร ระเบิดไปกลายเป็นผลงานทักษิณหมด เหยดแหม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Last posted
Total of 1000 posts
โจรใต้แม่งบอกไม่รู้กูจะระเบิดกรุงเทพไปหาเหี้ยไร ระเบิดไปกลายเป็นผลงานทักษิณหมด เหยดแหม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ศาสนาแห่งปัญญา สอนให้โง่
ศาสนาแห่งความรัก สอนให้เกลียด
ศาสนาแห่งสันติ สอนให้ฆ่า
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
MLM=Marxist Leninist Maoist
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
การทำงานแบบที่ทำอยู่ เป็นการทำงานแบบที่ตกผลึกเอา Water Fall ด้านดี + Agile ด้านดี ผสมกับ Lean ในงานวางแผน และ Kaizen ในงาน Production มายำรวมกัน โดยวางวิธีการแบบหมากล้อม เพื่อปั้นให้เกิดคนเก่งขึ้นรอบตัว ที่ผมใช้เรียกกับภรรยาว่าการสั่งงานแบบ D.A.R.E
- Direction หนักแน่น: (สั่งแล้วไม่แก้ ไม่เปลี่ยน จนกว่าจะได้รับ user feedback) ทำในสิ่งที่ user มองหา เพราะ user ไม่สามารถบอกว่าตัวเองอยากได้อะไร user บอกได้แค่ ตัวเองไม่ชอบอะไร
- Agenda ต้องชัดเจน: จะทำอะไร ต้องบอกทุกคน ทุกฝ่าย ไม่มีเม้ม จะได้ถามชัดตอบตรง เดินไปทางเดียวกัน ไม่มีการบอกให้ใครทำอะไรโดยข้ามหัวกัน หรือ เดินไปบอกลูกทีมคนอื่นบางคน
- Realistic ต้องอยู่บนพื้นฐานความจริง: จะมานั่ง ออกแบบ วางแผน ส่งทีมไปสำรวจก่อนเสมอ ก่อนจะสั่งงาน ไม่มีการสั่งงานโดยความรู้สึก แม้จะมีประสบการณ์สูงแค่ไหนก็ตาม
- Enlighten ต้องตอกย้ำ: ทุกคนไม่ได้เกิดมามีสมองเท่ากัน ต้องใช้ความอดทนในการสื่อสาร และต้องส่งมอบสารที่ต้องการให้ผู้รับสาร รับสารนั้นให้มีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด เมื่อเค้าเข้าใจเราเมื่อไหร่ คุณแทบไม่ต้องสั่งอะไรอีกเลย เค้าจะสามารถตัดสินใจแทนเราได้อย่างมากก็แค่ส่งข้อความมาคอนเฟิร์มเราว่าเค้าตัดสินใจจะทำแบบไหน เท่าที่ใช้มา 5-6 ปี มีไม่ถึง 1% ที่เราเห็นแย้งไป
ไม่รู้ว่า ใช่มั้ย แต่บริษัทที่ทำอยู่กับภรรยาเราเริ่มด้วยทุน 1 ล้านบาท ใน 3 ปี กับพนักงานหลักๆ 5 ชีวิต เราทำรายได้ไปทะลุ 60 ล้านบาทแล้ว
งานประจำหลายๆที่ก็ใช้แบบเนียนๆ ทุกคนไม่รู้หรอกว่าเราใช้ทฤษฎีอะไร แต่ทุกคนเค้าจะมีกลไกทางสังคมวิทยาที่จะปรับเข้าหากันอยู่แล้ว เราแค่ต้องทำซ้ำแบบเดิมไปเรื่อยๆจนกว่าทุกคนจะรู้ว่าเราต้องการอะไร แล้วไอ้ตัว D.A.R.E ของเราก็จะทำงานได้ด้วยตัวมันเอง
ข้อเสียคือ เวลาเราไม่อยู่ ระบบจะรวน แม้จะทิ้งคนเก่งและมีฝีมือไว้ก็ตาม
จิงๆก็ไม่ได้สนใจหน้าตาคนหรือสถานที่ๆศึกษาเท่าไหร่นะ แต่แม่งฮาที่เห็นเด็กราดพัดบ้านนอกมากๆ ตัวดำๆหน้ายังกะกบด่าอิแฟ้งว่า โง่และหน้าเหี้ย
มิตรฯ
"โลกนี้มีสิ่งที่เราสนใจอยากรู้อยากทำอยู่มากมายก่ายกอง การตระหนักรู้ครั้งสำคัญที่สุดน่าจะอยู่ที่การรู้ตัวว่าเรามีเวลาจำกัด-ทำทุกอย่างไม่ได้ ต้องเลือกแค่บางอย่างเท่านั้น เราจึงต้องตั้งใจเลือกอย่างละเอียดละออ แล้วก็พบว่าแค่การตั้งใจเลือกก็ทำให้เวลาหมดไปแล้วครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"You simply cannot fix your student not doing their homework with more homework."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ระบบแฟน คือระบบดูถูกและกดขี่สิทธิสตรี"
- #มิตรสหายมุซซี่ท่านหนึ่ง
ไม่อยากจะขัดจรวดตัวเอง เมื่อเห็นภาพเธอ
ไม่ให้ว่าวเลย ก็คงเป็นไปไม่ได้
เพราะใจมันคิดไปไกล ยากที่จะดึงกลับแล้ว
จำเป็นต้องขัดจรวดตัวเอง ข่มตาลงแล้วชักหลังกลับ
ปลอบใจว่าไม่เป็นไร คิดว่าเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆไป
#มิตรสหายวงเหล้าโต๊ะข้างๆเมื่อคืน
"คนเชื่อไสยศาสตร์มาทำงานวิทยาศาสตร์นี่มันจะเอาไปเทียบกับพวกนักปรัชญาธรรมชาติยุคนิวตัน กาลิเลโอ ไม่ได้นะ พวกนี้ส่วนใหญ่มันไม่ได้มองว่าพระเจ้าแทรกแซงธรรมชาติ แต่มันมองว่าพระเจ้า govern จักรวาลด้วยกฎธรรมชาติ ซึ่งมันเชื่อว่าถ้าเราอยากเข้าใจพระเจ้ามากขึ้นเราก็ค้นหากฎธรรมชาตินั้น อธิบายมันด้วยคณิตศาสตร์ นิวตันเคยเขียนจดหมายถึงเพื่อนก็บอกว่ากฎธรรมชาติที่สวยงามขนาดนี้ต้องเป็นฝีมือของพระเจ้าแน่นอน
แต่อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ที่เชื่อไสยศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านพญาไท (ที่ผมเคยเจอ) คือแกเชื่อว่าผีเปิดตู้ laminar flow ได้ เชื่อว่ามายุ่งเกี่ยวกับการทดลองได้น่ะ แล้วตอนแกอภิปรายผลการทดลองแกจะรู้ได้ยังไงว่าผลการทดลองแกเป็นอย่างงั้นจริงๆ ไม่ใช่ผีแกล้ง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>894 จริงๆเเล้วที่จารย์พูดถึงนั่นไม่ใช่ผี เเต่ความจริงคืออาจารย์มีสเเตนด์ คนธรรมดาอย่างมิตรสหายไม่มีสเเตนด์เลยมองไม่เห็น จารย์ก็เลยอธิบายง่ายๆว่าคือผี
ถ้ามิตรสหายอยากเข้าใจว่าอาจารย์หมายถึงอะไร ให้มิตรสหายลองหาลูกธนูมาเเทงตัวเองดู ถ้าจิตเเข็งเเกร่งพอจะได้รับสเเตนด์มาเอง
เรียนรู้จากประสบการณ์ ... Depression กลับมาได้เสมอตราบใดที่ยังมี Trigger อยู่ในชีวิต
ยาต้านเศร้าช่วยให้มีความสุขขึ้นได้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะสุขตลอดไป หาก Trigger ยังกระตุ้นความเจ็บปวดที่ฝังใจอยู่ก็จะกลับไป Depress ได้ทุกเมื่อ
วิธีที่ดีคือรักษาให้ดีขึ้นควบคู่ไปกับการหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เศร้าซึม กำจัดมันออกไปจากชีวิตยิ่งดี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Depression เป็นแค่โรคมโน
ถ้ามึงคิดว่าตัวเองป่วยมึงก็จะป่วย แต่ถ้ามึงคิดว่าตัวเองไม่ได้ป่วยมึงก็จะไม่ป่วย
"เรื่องประวัติศาสตร์ไทย ความจริงแล้วต้องเปลี่ยนทั้งหมด เพราะทุกวันนี้ที่เรียนกันอยู่นั้นเป็นประเทศไทยโดดๆ ไม่มีเครือญาติ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่สามารถแยกออกจาก South East Asia ได้ เราเป็นส่วนหนึ่งของ South East Asia และอาเซียน ทั้งคนและดินแดน ต้องศึกษาถึงดินแดนและผู้คนที่มีผู้คนอยู่หลากหลายชาติพันธุ์"
"รัฐชาติเพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 แล้วมาสำเร็จเมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นจริงเป็นจังเมื่อสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เปลี่ยนชื่อประเทศสยามมาเป็นประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2482 แก่กว่าผมไม่กี่ปีหรอก ขอให้เข้าใจซะใหม่เท่านั้นเอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นข่าวสำลี สงสัยว่าลิซ่าหายไปไหน เลยลองเสิร์ชดู
สรุปคือ คุณลิซ่าแต่งงานกับคุณฟิลลิป
จบรายงาน
หนูเพิ่งรู้นี่แหละ
.
แต่ประวัติคุณฟิลลิปนี่น่าสนใจมากเลย แบบเป็นคนทัศนคติดีจริงๆ
-มีคนสอนลีลาศฟรี เลยรับเรียนแล้วตอบแทนโดยเป็นครูสอนลีลาศในโรงเรียน
-ต่อมารู้ตัวว่าชอบมายากลมาก เลยไปฝึกวันละหกชั่วโมง ออกจากลีลาศหน้าตาเฉยเพราะปลื้มมายากล
-ไปแข่งแพ้ แต่คนญี่ปุ่นประทับใจ เลยสอนให้ฟรีหกเดือน
กลับมาไทย ทำงานจนดัง ชวนครูญี่ปุ่นมาเที่ยวไทยเพื่อตอบแทนเขา
-เก็บเงินไปทำโรงเรียนแทนที่จะใช้ฟุ่มเฟือย แล้วก็เปิดสอนมายากลเรื่อยๆ
ปู่สุจิตต์บอกว่า เรานับถือศาสนาไทย....คือนับถือผีที่หุ้มด้วยพราหมณ์แล้วเคลือบด้วยพุทธอีกรอบ ...ชิคจะตายเหมือนเฟอร์เรโร่ลอชเชอร์ มีหลายชั้น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"สำนักข่าวในไทย แม่งรับน้องคนเกือบตายเซ็นเซอร์ชื่อมหาลัยชื่อคณะ แต่บางคนเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยวางเพลิงแม่งเอาทั้งชื่อจริงนามสกุลจริงที่อยู่มาเปิดเผย กูล่ะงงจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สูตรหมูมะนาว 10 นาทีได้แดก
1.นำหมูไปแช่เย็น ให้พอเป็นก้อน หั่นบาง ๆ สุด
2.ต้มน้ำให้เดือด กะปริมาณน้ำกับหมูให้พอท่วม
3.นำหมูใส่ลงไป ปิดไฟ แกว่ง จนหมูสุก ยกขึ้นสะเด็ดน้ำตักใส่จาน
4.นำน้ำลวก มาปรุงรสใส่น้ำปลา มะนาว ชูรส ถ้าชอบ ให้รสเปรี้ยวนำ เหยาเกลือป่นเล็กน้อย
5.ซอย. พริก กระเทียมลงไปผสม ในน้ำยำ
6.ซอย ต้นหอม โรยไปบนจาน ตักน้ำยำราด กินกับก้านคะน้าแช่เย็น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รุ่นพี่ที่มีส่วนให้เด็กโดดน้ำจนเข้าICU อ้างว่าเป็นโรคซึมเศร้า เลยคุยกะญาติเด็กไม่ได้
ไอ้จ่าน้ำลายติดคอเลยสัส 55555555555555
สเตตัสอื่นเพิ่งโม้ว่าตัวเองเป็นกูรูเรื่องซึมเศร้าไป พอมีคนถามว่า "ถ้ามีคนอ้างว่าเป็นซึมเศร้าทำยังไง" จ่าเเม่งตอบ "อย่าไปว่าว่าเขาอ้าง ต้องให้การดูเเล"
555555555555555555555
ญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลาม! อย่างไร ???
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เด็ดเดี่ยวที่ปกป้องประเทศให้ห่างไกลและพ้นไปจากการเกี่ยวข้องกับมุสลิมและศาสนาอิสลามโดยเด็ดขาด...
ชาวญี่ปุ่น มุ่งรักษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของญี่ปุ่น !
จึงไม่มีผู้นำจากประเทศอิสลาม อายาตุลเลาะห์ ของอิหร่าน และนายก รมต. ของประเทศอิสลามไปเยื่อนญี่ปุ่น แม้แต่พระราชาแห่งซาอุดิฯ หรือเจ้าชายแห่งซาอุดิฯก็ไม่ไปเยือนญี่ปุ่น!!
เนื่องจากญี่ปุ่นออกกฎเข้มงวดต่อชาวมุสลิม และต่อศาสนาอิสลาม โดย
1.ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่ให้สัญชาติตนแก่ชาวมุสลิม
2.ไม่ให้ การพำนักอย่างถาวร แก่มุสลิม
3.ห้ามการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม ในประเทศญี่ปุ่นอย่างเด็ดขาด
4.ไม่ให้มีการสอนภาษาอิสลาม และภาษาอาราบิค ทุกมหาวิทยาลัยในJapan
5.ไม่อนุญาตให้นำคัมภีร์อัลกุรอานเข้ามาในประเทศ
6.อนุญาตให้ชาวมุสลิมที่ปฏิบัติตามกฎหมายของญี่ปุ่นอาศัยอยู่ได้
ชั่วคราวเพียง2แสนคนเท่านั้นซึ่งควรต้องพูดภาษาญี่ปุ่นและทำพิธีทางศาสนาภายในบ้านของตนเองเท่านั้น
7.ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีสถานทูตในประเทศอิสลามน้อยมาก..
8.ชาวมุสลิมในญี่ปุ่นเป็นได้เพียงลูกจ้างของบริษัทต่างชาติ
9.ไม่อนุญาตให้วีซ่าแก่มุสลิมที่เป็นแพทย์,วิศวกร หรือผู้จัดการ ที่บริษัทต่างชาติส่งมา
10.บริษัทส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมีกฎข้อบังคับไม่รับชาวมุสลิมเข้าทำงาน...
11.รัฐบาลญี่ปุ่นมีความเห็นว่าชาวมุสลิมเป็นพวกอนุรักษ์นิยมแม้โลกจะก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์แล้วแต่พวกเขาก็ยังยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงกฎหมายศาสนาอิสลามให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
12.ชาวมุสลิมไม่สามารถเช่าบ้านในญี่ปุ่นได้
13.ถ้าชาวญี่ปุ่นรู้ว่ามีเพื่อนบ้านเป็นชาวมุสลิมแค่คนหนึ่งคนญี่ปุ่นในย่านนั้นจะตื่นตัวกันเป็นอย่างมาก
14.ไม่อนุญาตให้มีสถานศึกษาของชาวมุสลิมในประเทศญี่ปุ่น
15.ไม่มีการใช้กฏหมายชารีอะห์ของศาสนาอิสลามในญี่ปุ่น
16.ถ้าหญิงชาวญี่ปุ่นไปแต่งงานกับคนมุสลิมจะเป็นคนที่สังคมรังเกียจและไม่ยอมรับไปตลอดชีวิต
17. ตามที่ศาสตราจารย์คุมิโกะ ยากิ ผู้ศึกษาเรื่องมุสลิมอาหรับ มหาวิทยาลัยโตเกียวกล่าวว่า"ในญี่ปุ่นมีความคิดว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มีจิตใจที่คับแคบและเราควรอยู่ให้ห่างไกลไว้"
....ญี่ปุ่นอาจจะแพ้สงครามแต่พวกเขายังรักษาและเป็นเจ้าของประเทศเอาไว้ได้...
ในประเทศญี่ปุนไม่มีการวางระเบิดฆ่าผู้คนในย่านธุรกิจ,....ไม่มีการฆ่าเพียงเพื่อรักษาเกียรติของครอบครัวรวมทั้งเด็กผู้ ไร้เดียงสาหรือใครๆก็ตาม ในญี่ปุ่นมีเหตุการณ์ความไม่สงบที่ น้อยมาก...ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่น่าคิดนะ..ว่าไหมครับ!!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>909
โดน debunk ไปหลายรอบแล้วนะครับ แต่ก็ยังไม่คนไทยแปลมาเผยแพร่ต่ออยู่
http://www.politifact.com/truth-o-meter/statements/2015/nov/17/viral-image/viral-graphic-says-japan-keeps-out-radical-islam-t/
ล่าสุด เกิดคดี คนปลอมตัวเป็น "ไฮโซ" เข้าไปปะปนในงานเลี้ยงหรู แล้วลักขโมยของแพงๆในงาน
จำได้มั้ย เดือนก่อน ตอนคดีหญิงไก่ กูเคยพูดประเด็นว่า "อย่าคบหากับคนที่ชอบโกหกว่าตัวเองเป็นรวย" เพราะคนที่ชอบโกหกผ่านเน็ต ว่าตัวเองรวย เป็นนักธุรกิจเงินล้านบ้าง โกหกว่านามสกุลดังบ้าง โกหกว่ามีเชื้อเจ้าบ้าง โกหกว่าเป็นไฮโซบ้าง พวกนี้ไม่ได้โกหกเอาสนุก แต่มีเป้าหมายในการ "ก่อการร้าย" ทั้งนั้นแหละ
ดังนั้น เวลากูบอกใครว่า คนไหนไม่ได้รวยจริงอย่างที่ตอแหลในเน็ต ก็โปรดเข้าใจด้วยว่า กูไม่ได้อิจฉา แต่กูต้องการเตือนภัย (กูจะอิจฉาทำไม ในเมื่อมันไม่ได้รวยจริงๆ)
น BTS เจอเด็กนักเรียนชาย อายุราว 5-6 ขวบ หน้าบูดบึ้ง ถูกจูงมือมาโดยคุณแม่ท่าทางใจดี
คุณแม่ : แคปหมูที่แม่ให้เอาไปกินกับเพื่อนวันนี้อร่อยมั้ยลูก แล้วเพื่อนชอบมั้ย
เด็ก : ไม่รู้คับ! ผมไม่ได้กินเลย!
คุณแม่ : อ้าว ทำไมล่ะคับ
เด็ก : ก็เพื่อนมาหยิบไปกินทีละห่อ ตอนแรกก็ 1 ห่อ สักพักก็ 2 แล้วก็ 3 แล้วก็ 4 แล้วก็ 5 แล้วถุงที่ 6 เป็นถุงสุดท้าย ผมกำลังเอามาแกะ มันก็มาเอาไป แล้วก็กินทีเดียวหมดเลยคับ
คุณแม่ : แล้วลูกไม่บอกเพื่อนหรอคับ ว่าเอามาแบ่งกัน กินคนเดียวหมดไม่ได้
เด็ก : ผมก็บอกแล้วคับ ว่าผมยังไม่ได้กินเลย แต่มันบอกว่า เกิดมาไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้เลย ขอได้มั้ย
คุณแม่ : ฟังผิดรึเปล่า เกิดมาไม่เคยกินเลยหรอ เพื่อนลูกคนไหน ชื่ออะไรคะ
เด็ก : ชื่ออาเหม็ดน่ะแม่ คนที่แม่เค้ามีผ้าพันคอใหญ่ๆทุกวันน่ะ
แม่ : ...........
"พระสังข์ไปชุบบ่อทอง รับน้องไปชุบบ่อเคมี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เสรีนิยมไทยบางพวก เห็นมหาวิทยาลัยไทยใช้ระบบโซตัสก็ด่าว่าสอนนักศึกษาให้ยอมรับการกดขี่ แต่พอเห็นมหาวิทยาลัยตะวันตกใช้แนวใช้แนวคิดพีซีที่ต่อต้านการกดขี่ก็หาว่าโอ๋นักศึกษา
แบบนี้แหละถึงเป็นได้แค่เสรีนิยมโลกที่สาม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีประเด็นหนึ่งที่ก้าวหน้ามากๆในการเมืองซ้ายตะวันตก ก้าวหน้าจนฝ่าย ปชต. ไทยตามไม่ทันเลย ก็คือเรื่องสิทธิพลเมืองของคนพิการ สิทธิพลเมืองที่ว่านี้ไม่ได้พูดถึงสิทธิตามกฏหมายอย่างเดียว แต่พูดถึงในเชิงวัฒนธรรม การเข้าถึง และการมีส่วนร่วมด้วย
ตัวอย่างเช่น บทสนทนาเรื่อง ableism ในสังคมตะวันตก ที่นำไปสู่การคำถึงในคนพิการในวัฒนธรรมหลายๆมิติ เช่น การ call out ถึงคำพูดที่ ableist โดยที่คนพูดไม่รู้ตัว (เช่นการใช้คำว่า walk, see, ฯลฯ ในอุปมาอุปมัยเปรียบเปรย) การที่เพจซ้ายๆในเฟซบุ๊คใส่ caption อธิบายรูปภาพ เพื่อให้คนตาบอดสามารถเข้าใจโพสต์ต่างๆได้ (ตัวอย่าง https://www.facebook.com/wokemon/photos/a.1726445804292412.1073741827.1726441404292852/1733972243539768/?type=3) เรื่องพวกนี้อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆสำหรับคนที่มีอภิสิทธิ์อยู่แล้วในสังคม แต่มันสำคัญมากๆหากเราให้ความสำคัญกับ ปชต. ในแง่ที่ว่า ปชต. คือการมีส่วนร่วม
แต่ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า ฝ่าย ปชต. ไทยจะบอกว่าเรื่องนี้ประสาทแดก อย่างก่อนหน้านี้ที่มีกรณีนี้มีคนท้วงอ.ชาญวิทย์เรื่อยโควตของแกที่ว่า "ถ้าคุณไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็ตาบอดข้างหนึ่ง แต่ถ้าคุณเชื่อประวัติศาสตร์ไม่มีข้อกังขาคุณตาบอดสองข้าง" แล้วฝ่าย ปชต. ก็ออกมาหัวเราะเยาะกัน (ดู https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1365276070153483&set=pb.100000133091429.-2207520000.1470560089.&type=3&theater)
เรื่องแบบนี้มันง่ายมากที่จะทำให้ดูเป็นเรื่องตลก แต่มันก็มีประเด็นที่ควรต้องมาคิดต่อ อย่างลองสมมติว่าคนพิการเป็น marginalized group กลุ่มอื่นที่มีสิทธิมากกว่า เช่น คนอีสาน LGBT ฯลฯ แล้วคิดดูว่าถ้ามีคนใช้คำในลักษณะเดียวกันต่อคนพิการจะเป็นยังไง ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนพูดว่า "ถ้าคุณไม่รู้ประวัติศาสตร์คุณก็ลาว แต่ถ้าคุณเชื่อประวัติศาสตร์ไม่มีข้อกังขาคุณก็โคตรลาว" ฝ่าย ปชต. ไทยก็จะมองว่าเป็นคำพูดที่ไร้รสนิยม ทั้งๆที่ผลลัพท์ของมันออกมาคล้ายๆกัน คือการทำให้คนกลุ่มหนึ่งในสังคมไม่สามารถมีส่วนร่วมในบทสนทนาได้
ปัญหาก็คือ ฝ่าย ปชต. ไทยยังไม่ได้มองว่าคนพิการเป็นพลเมืองเท่าเทียมกับ marginalized group กลุ่มอื่น--อย่างน้อยก็ยังไม่ได้รวมคนกลุ่มนี้ไว้ในบทสนทนาทางการเมือง--ทำให้คิดว่าปัญหาของคนกลุ่มนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือ"ประสาทแดก" แต่เรื่องนี้มันไม่ได้สะท้อนอะไรมากกว่าความ ignorance เลย ไม่ต่างอะไรกับตอนที่ฝ่าย ปชต. ไทยมองว่าเมนิสต์ประสาทแดก ทั้งๆที่ตัวเองก็มีความเข้าใจในปัญหาที่เค้าพูดถึงน้อยเหลือเกิน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
https://www.youtube.com/watch?v=FUEFiNXsHeE
มาฟังท่านอาจารย์ อามีน ลอนา เกี่ยวกับเกมโปเกมอนกันครับ
สรุปให้
- เกมโปเกมอนมีการพนัน(ตรงไหนวะบอกหน่อย)
- นาทีที 1:40 เนื้อเรื่องของเกมโปเกมอน ตัวละครโปเกมอน วางอยู่บนรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการ (ดาวินมาได้ยินคงอกแตกตาย)
- 2:10 ทฤษฎีวิวัฒนาการบอกว่านบีอาดัม(มนุษย์คนแรก)มาจากลิง ซึ่งขัดกับอัลกุรอาน
- 2:22 สัญลักษณ์ในเกมโปเกมอน มีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการปฏิเสธอิสลาม
- 7:45 ใครมาล้อเลียนฮิญาบ(การคลุมหัวในศาสนาอิสลาม) ล้อเลียนการไว้เคราตามหลักอิสลาม หรือล้อเลียนทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม(ละหมาด , การอาซาน) ถือว่าตกมุรตัด(ตกศาสนาอิสลาม)
- 8:36 การให้เกียรติสัญลักษณ์อื่นที่ไม่ใช่อิสลาม ถือว่าตกมุรตัดอีกเช่นกัน(เช่นเด็กวัยรุ่นเอาเสื้อลายไม้กางเขนมาใส่)
- 10:25 เกมตัวนี้(โปเกมอน)มีเป้าหมายที่จะโปรโมตสัญลักษณ์ของ"ผู้ปฏิเสธ"
- 11:00 สัญลักษณ์ที่ว่าคือ มีดาวหกแฉกในตัวละคร มีไม้กางเขน มีเรื่องของเทพ(โปเกมอนในตำนาน) มีสัญลักษณฺ์ของศาสนาชินโต
- 12:30 ท่านอาจารย์อามีน กลัววาเด็กที่เล่นเกมนี้ จะมีความเชื่อไปตามเนื้อหาของเกม
- 13:00 ท่านอาจารย์อามีน ได้กล่าวว่ามีเกมอีกหลายเกม ที่สร้างเงื่อนไขที่ทำให้บาป เช่น ถ้าคุณจะผ่านด่านต่อไป คุณต้องกดยอมรับบาโฟเมตเป็นพระเจ้า(ตามเนื้อหาเกม) ซึ่งถือว่าร่างกายคุณได้กดตกลงแล้ว ซึ่งผิดหลักศาสนาเต็ม ๆ ซึ่งถือว่าน่ากลัวมาก
-15:48 ท่านอาจารย์อามีน ได้กล่าวว่า เล่นเกมโปเกมอน อันตรายยิ่งกว่าคนที่ดูดยาบ้า
- 21:40 ท่านอาจารย์อามีน บอกว่า เพลงกรุงเทพมหานคร มีชีริก(สิ่งที่ทำให้ตกศาสนา)ทั้งเพลง เช่นเดียวกันกับเพลง จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอเข้าขอแกง อันนี้ก็ตกศาสนา เพราะถือว่าขอริสกี(ผลบุญ)จากดวงจันทร์
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หยินและยาง ชัชชาติและฉันชาย แข็งแกร่งและดุร้าย อันตรายและเลือดเย็น
พวกเขาคือ สองพี่น้องตระกูลปฐพี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"แข็งแกร่งมาก จนร่างกายคนๆเดียวรับไม่ไหว
จึงแบ่งออกมาเป็น2ร่าง"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เราควรจะหยุดเล่นมุกเหยียดเชื้อชาติกันได้แล้ว มันไม่ตลกเลย
มีคนบริสุทธิ์เป็นล้านที่ต้องตายเพราะ Islamophobia นะ
there's two things i hate
1. Racism
2. Nigger
ps. serious note : Racism in real life suck but racist joke is a-ok as long as nobody is harmed. (and no, feeling offended does not count toward "harm". just close your eyes or get the fuck away from the screen you nig-nogs)
มุสลิมที่อยู่ร่วมและเป็นมิตรกับศาสนาได้คือมุสลิมที่ไม่เคร่ง
"มันบินมาเอง ไม่ได้เอาโปเกบอลไปจับซะหน่อย"
มิตรสหายเทรนเนอร์ท่านหนึ่งว่าไว้
หากคุณโดนวีแกนท้าให้ไปกินเนื้อดิบ
คุณก็แค่ท้าให้เค้ากินมันสำปะหลังดิบทั้งเปลือกกลับไปก็พอครับ
@มิตรสหายท่อนหนึ่ง
มันมีนะ vegan ที่แดกแต่ของสดเท่านั้น
ฝรั่งคนหนึ่ง อยู่เมืองไทย แดกแต่มะม่วง มะละกอ มะพร้าว
"ผมอยากจะแนะว่า วิธีประเมินคุณภาพของมหาวิทยาลัยไทยนั้นไม่ยากอะไร ดูพิธีรับน้องว่าโหดมากน้อยกี่องศา การประชุมเชียร์เคร่งครัดและมากสักกี่ชั่วโมง พฤติกรรมรุ่นพี่ในการประชุมเชียร์ว่ากร่างและเหี้ยมแค่ไหน ฯลฯ ก็ประเมินได้เองว่า ยิ่งมีสิ่งเหล่านี้มากเท่าไร มหาวิทยาลัยนั้นก็มีกึ๋นน้อยเท่านั้น"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
ฉันเซ็นสัญญาเพื่อมาเป็นศิลปินและสร้างผลงานเพลง ไม่ได้เซ็นสัญญาเพื่อมาเป็นตัวอย่างดีให้กับชีวิตของใคร
#มิตรสหายนักร้องต่างประเทศผู้หนึ่ง
"อาย ตั้งแต่หนึ่งในทีมงานเจ้าพระยามาเย้ยบอกว่า "นายสั่งมาให้กูรับงานนี้ว่ะ..." กูอายแทนมึงนะเพื่อน
อาย ตั้งแต่รู้ว่างานนี้ สจล. ตะแบงรับงานทั้งที่จะมีผลต่อวงวิชาการและวิชาชีพอย่างมาก ในเรื่องความไม่เหมาะสมในหลักการและเหตุผลรวมถึงระยะเวลาของงาน
อาย ตั้งแต่มีคนเหล่านี้มาบริหารสถาบัน มีบริวารพวกพ้อง นำพาสถาบันไปสู่หายนะทางวิชาการและวิชาชีพ
อาย ที่คณะฯไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดออกมา วันนี้ทุกคนเห็นแล้ว ที่ผ่านมาไม่เคยมีวงแลกเปลี่ยนปรึกษาอย่างที่รับปากไว้ แล้วดูผลของมันสิครับ เสียดายความตั้งใจดีของคนที่โดนลากเข้าไปร่วมนะครับ แนวคิดของเขาปรากฏอยู่ในแบบน้อยมากนะครับ
อาย ที่สมาคมวิชาชีพ ออกมาสนับสนุน ว่าเป็นโครงการที่ยกระดับพัฒนาวิชาชีพ Urban Design คุณจะยกระดับวิชาชีพด้วยงานแบบนี้หรือครับ ดูผลของมันแล้วบอกสังคมอีกทีได้ไหมครับ
อาย (แทน) ที่พวกพี่เก่าบางกลุ่ม เอาปมในอดีตมาอ้าง ต้องการเป็นที่ 1 ในสังคมมาฉาบหน้ารับงานระยำ พาสถาบันลงเหว และไม่สนคำเตือนของเพื่อนพ้องรุ่นน้อง
อาย (แทน) ที่พวกเขาหน้าไม่อาย ที่ไม่สนคำเตือน และเอาความเป็นพี่มาข่มด่า ความเป็นมืออาชีพปลอมๆ โชว์เก๋าทำงานทัน เย้วๆโชว์ผู้บริหารและพวกพ้องที่รับงาน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วันนี้เรียนเรื่อง child abuse อาจารย์หมอเล่าให้ฟังว่าได้ไปพูดให้ครูฟังที่โรงเรียนซักที่
หมอ: การมีกฎอะไรจุกจิกมากมายไปนี่มันฝืนนะคะ แทนที่จะทำให้เด็กจะอยู่ในระเบียบแต่มันจะให้ผลตรงข้ามแทน อย่างตัดผมให้สั้นเซ็นนึงอย่างนี้ทำไปเพื่ออะไรกัน ทรงผมไม่เกี่ยวอะไรกับสมอง ครูไม่เข้าใจธรรมชาติของเด็ก บลาๆๆ
ครู: ถ้าตัดผมแค่นี้ยังทำไม่ได้จะไปทำอะไรได้
หมอ: (สะดุ้ง มองผมตัวเอง) การจะพูดแบบนี้ได้นี่นอกจากจะรู้สึกว่าตัวเองไร้อำนาจจนต้องมาลงกับเด็กแล้ว ยังต้องมีสมองส่วนหน้าที่เล็กด้วยนะคะ
ไม่รู้ว่าอาจารย์ได้พูดออกไปจริงต่อหน้าครูจริงรึเปล่า แต่บอกว่าเกือบโดนตะเพิดออกจากโรงเรียนเลย 5555555"
มิตรสหายท่านหนุ่ง
"ไม่ใช่แค่ AIS นะ ทุกค่ายมีหมด
ตำรวจ สายสืบ ผู้มีอิทธิพล ใช้บริการพวกนี้กันหมด
อย่างของตำรวจเนี่ย มันซื้อข้อมูลเพื่อจับคนที่ต้องการ โดยใช้วิธีจับก่อน ออกหมายศาลทีหลัง
คือมันซื้อข้อมูลเอาไปจับตัวคนได้ก่อน แล้วก็เอาตัวคนไปขังไว้ในเซฟเฮ้าท์ แล้วก็รอออกหมายศาลแล้วเอาหมายศาลไปให้ จนท.ค่ายโทรศัพท์ เพื่อออกเอกสารข้อมูลที่อยู่ของคนที่ออกหมายจับ โดยมีการแก้ไขวันที่และเวลาให้เป็นเวลาที่หลังออกหมายศาล แล้วค่อยเอาตัวคนที่ขังไว้ในเซฟเฮ้าท์ออกมาดำเนินคดี
บองตรงๆ ประเทศนี้แม่งเถื่อน กฎหมายมีไว้งั้นๆ ล่ะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กฏหมายมีไว้ประดับงั้นแหละ เก๋ๆ ดูดีๆ
ของจริงคือเส้นสายและตำแหน่งที่ใหญ่โต
นี่กูไม่ได้พูดถึงประเทศไทยเลย จริงจริ๊งงงงงงงงงงงงงง
"ส่วนรับน้องนี้ข้าพเจ้าไม่มีปัญหาอะไรนะ เพราะกูไม่ได้เข้า มันมีเข้าค่ายนอนค้างคืนที่มหาลัยอยู่ครั้งหนึ่ง กูนึกว่าเกณฑ์ทหาร อาบน้ำให้ทันเสียงนกหวีดเพื่อฝึกความเป็นระเบียบ ควย แม่งไม่เข้าใจสุขลักษณะอนามัยที่ถูกต้อง อีดอก แล้วร้องรำทำเพลงเหี้ยห่าอะไรนี่แหล่ะ ตามสไตล์
แต่ที่กูเกลียดมาก คือก่อนจะเลิกค่ายปล่อยกลับบ้าน แม่งมีพิธีวัดใจควยอะไรไม่รู้ ให้รุ่นน้องทุกคนแดกปีโป้คนละอันแล้วบ้วนลงใส่เหยือกแล้วคนๆ ละก็ให้รุ่นน้องออกมาตักแดกเพื่อวัดความสามัคคี เป็นพิธีที่ทำกันมาทุกรุ่น กูก็โง่ออกไปแดก เพราะคิดว่าทุกคนออกไปแดก แล้วกูไม่แดกแล้วแม่งเสี่ยงตีนสัสๆ คนที่ไม่แดกก็มี เพราะห่วงเรื่องอนามัยของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ภาพตัดกลับไปที่รุ่นพี่ยืนร้องไห้อยู่ข้างหลัง ถามว่าทำไม แกก็ตอบว่า วางแผนทำค่ายมาตั้งนานให้รุ่นน้องรักกัน สามัคคีกัน เห็นแบบนี้แล้วดีใจ กูนี่แบบ เหี้ยอะไรเนี่ย? ตอนสุดท้ายพี่ก็มาเฉลยว่า ไอ้ที่กินไปเปลี่ยนสลับกับอันใหม่แล้ว ใครจะให้กินรวมกัน
โอ้โห ที่นี้ไอ้พวกที่ไม่ออกโดนล่าแม่มดเลย กลายเป็น Loser ในสายตาคนในรุ่นด้วยกัน ซวยชิบหาย ไอ้สัส พูดถึงแล้วโครตโมโห
ปีโป้นี่นอกจากแกะยากแล้ว แม่งวัดความสามัคคีได้ด้วยเรอะ?"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ช่วงนี้ขัดใจหลายสิ่ง แบบกวนใจ แต่ไม่ได้อะไรมาก พอเข้าใจที่มาที่ไป....
1. ได้ยินโฆษณาพยายามจะสอนเด็กประมาณว่าให้มีสำนึกดี มีน้ำใจกับผู้พิการ แบบพาข้ามถนนไรงี้...... คือจริงๆสภาพแวดล้อม สิ่งต่างๆ มันควรเอื้อให้ผู้พิการใช้ชีวิตเองได้แบบไม่ต้องรอพึ่งพาใครไหม
2. ทำไมตอนเด็กๆถูกสอนให้ข้ามสะพานลอย แบบถนนไม่ใช่ที่ของคนเดินเท้า...... ทำไมไม่สอนให้เป็นคนขับรถที่ดี แบ่งถนนกันใช้ ให้คนเดิน priority แล้วแบบทำไมต้องรอข้ามถนนหน้าสุขุมวิท 26 นานโคตร ขนาดคนรอจะ 20 คนละ ข้ามไม่ได้ซักที
3. อื่นๆ เวลาได้ยินคำว่าเสียสละเพื่อส่วนรวม well หลายเคสที่คนได้ประโยชน์กับคนเสียประโยชน์มันคนละกลุ่ม บอกว่าคุณต้องเสียสละเพื่อนส่วนรวมไม่น่าจะพอนะ คงต้องทบทวนการชดเชย การจัดสรรผลประโยชน์ มันไม่ควรต้องมีใครประสบความยากลำบากจากการเสียสละ ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง คือแบบชดเชยให้เหมาะแบบที่เค้าไม่ต้องมารู้สึกว่าเป็นผู้เสียสละไหม"
#มิตรสหายทนหนึ่ง
"ถ้ามีปัญญาทำธุรกิจมีกำไรได้แค่เพราะไปกดค่าแรงลูกจ้างก็เจ๊งไปเถอะครับ ทุกวันนี้ค่าแรงขั้นต่ำไทยคิดตามอัตราค่าครองชีพนี่ถือว่าต่ำเหี้ยๆ นะครับ จีนยังค่าแรงสูงกว่าเลย ทำไมเขามีปัญญาทำธุรกิจได้
แค่ 360 นี่ไม่ได้สูงเลยนะ ทุกวันนี้ค่าแรงช่างก่อสร้างขั้นต่ำวันละ 700 นะครับ กรรมกรยกของ ผสมปูนธรรมดายังได้วันละ 500 เลย ทำกลางคืนคิดคูณสอง ต่ำกว่านี้ไม่มีใครเขามาทำให้หรอก (ไม่เชื่อลองไปถามกรรมกรแถวกีบหมูดูได้ครับ นั่นเรตแรงงานอิสระที่ไม่มีอะไรการันตีผลงานแล้วนะ)
ไอ้พวกบอกค่าแรง 360 แพงนี่แหละจะทำให้ SMEs ภาคก่อสร้างตายมากกว่า เพราะทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าต้นทุนค่าแรงน้อย ได้กำไรมาก ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนมีการศึกษาเค้าไม่ทำตัวแบบขอทานหรอกครับ
"ค่อนข้างไม่เห็นด้วยนะครับ กับการที่บาริสต้าหรือครูหลายท่านรังเกียจ espresso เย็น
ด้วยเหตุผลที่ว่าที่เมืองนอกไม่มี
มีครับ ที่อิตาลีเรียก espresso freddo แปลตรงตัวเลย cold espresso จะ cold หรือ iced ก็ว่ากันไป หรือเอานมข้นใส่ใน espresso ก็มี cafe bon bon
ที่อิตาลีหรือที่ไหนๆ ถ้ามีจิตใจที่อยากจะทำเครื่องดื่มที่ผู้อื่นต้องการ การไปสั่ง iced espresso ใส่นมข้นแบบไทย ที่นั่นผมเชื่อว่าเขาต้องทำให้ด้วยความยินดีถ้ามีวัตถุดิบที่พร้อม
อย่าให้ขอบเขตความรู้ที่ไม่มากพอ ไปจำกัดจิตใจของ"คนที่คอยดูแลบาร์" เลยครับ เพราะนั่นคือความหมายของคำว่า บาริสต้า
มันไม่ใช่การดูแลสูตรกาแฟอย่างเคร่งครัด แต่หมายถึงการดูแลผู้คนที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันแตกต่างหลากหลายด้วย
ถ้าอยากให้เขาได้ดื่มสิ่งที่อร่อยกว่านั้น คิดว่าเราคุยกันได้ เรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ เพราะทั้งเราและเขาต่างไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมมา ใช่ไหมครับ"
มิตรสหายท่
ถ้าคนไทยเห็นคนใส่ชุดนาซีเเล้วTriggered ทำไมไม่คิดว่าถ้าใส่ชุดทหารไทยโบราณเเล้วมันจะTriggerประเทศใกล้เคียงที่เคยโดนเรายึดบ้าง ทำไมไม่คิดว่าชุดทหารยุ่นของโกโบริจะTriggerจีนกับเกาหลีบ้าง
ประเด็นคือ ใส่ชุดทางประวัติศาสตร์ชุดไหนมันก็มีโอกาสTriggerคนอื่นทั้งนั้น เเต่ชุดนาซีมันโดนด่ามากเพราะมีคนโดนTriggeredมาก เเค่นั้นเเหละ
เเค่กูคิดว่ายูนิฟอร์มนาซีมันเท่ หรือคิดว่าเครื่องหมายสวัสดิกะมันดูดีทางเรขาคณิต ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะลากยิวมายัดใส่เตาอบที่บ้านกูป่ะวะ 5555
-มิตรสหอยท่านนึง
หนังเรื่องพริกแกงกูสงสัยอย่าง คือคนทำเป็นคนหนุ่ม แต่ทำไมหนังออกมาได้ดักดานขนาดนั้น ดักดานขนาดที่กูสงสัยว่าทำประชดนายทุนหรือเปล่า
https://fanboi.ch/movie/2399/272/
เรื่องเเรมเซย์เฟล พอเเกไปเรียนทำอาหารต่างชาติจากเจ้าของ พี่เเกก็struggleตลอดนะ อย่างทำKebabกับNaan,ทำซูชิ,ทำติ่มซำ etc. เเต่กูชอบที่เเกไม่กลัวเฟลออกกล้อง เเละอยากเรียนจริงๆ นับถือ
น้าไทโรน ฮารัมเบ้ เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี 1987 กัญชาถูกผู้ใหญ่ในสังคมตั้งคำถามว่า 'นี่คือยาเสพย์ติดมอมเมาเยาวชนใช่ไหม' และน้าไทโรน ในฐานะตัวแทนของ Black Panthers and Black Lives Matter. โดนตั้งคำถามว่า "เด็กที่สูบกัญชามอมเมาอยู่กับสิ่งเสพย์ติดไร้สาระ โตขึ้นมาจะไปเป็นอะไร?"
...
...
น้าไทโรนยิ้มตาเยิ้มแล้วตอบว่า "เป็นคนดำ..."
กลับมาที่ปัจจุบัน น้าไทโรนเล่าว่าตอนกำลังจะเข้าห้องพิพากษา เมื่อสองปีที่แล้ว เขาโดนคดีหนักจนคิดว่าตัวเองไม่รอดโทษประหาร พอเข้าห้องขัง ผู้พิพากษาได้แอบเรียกน้าไทโรนไปคุยแล้วบอกว่าผมรับของมาจากน้าไทโรนตั้งแต่เด็กๆ และผมจะช่วยคดีนี้ให้เป็นพิเศษ...
"คำถามที่ถามผมว่าเด็กที่สูบกัญชาโตขึ้นจะไปเป็นอะไร คำตอบคือเขาโตขึ้นมาเพื่อช่วยชีวิตผม..." น้าไทโรน ทิ้งท้าย
- เค็นเน็ท แจ็คสัน -
(น้าไทโรน ฮารัมเบ้)
.
เพราะว่า Background ส่วนตัวที่มีใน Complex System Theory ทำให้เข้าใจและเชื่อใน small units ที่ interact แบบ non-linear กับ unit รอบๆ ตลอดเวลา ว่าจะทำให้ global patterns ที่ไม่มีใครออกแบบไว้ก่อน หรือออกแบบได้ก่อน โผล่ออกมาได้เอง
รูปแบบที่ปรากฏออกมานี้ เรียกว่า "Emergent Property" ของระบบในลักษณะนี้ และระบบแบบนี้มักจะปรากฏว่ามี "Self-organizing property" อีกด้วย
ระบบแบบนี้ไม่มีทางออกแบบล่วงหน้าได้เลย แต่ให้เรารู้กฏทุกอย่างที่ unit เล็กๆ เหล่านั้นมัน interact กัน เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าสุดท้ายแล้วมันจะออกมาแบบไหน global patterns มันจะเป็นอย่างไร
สมัยเรียนบ้าเรื่องพวกนี้มากกกก (ลากต่อมาจาก Chaos Theory และ Fractals) ..... มีหลายคนสงสัยว่าบ้าไปทำไม รู้ไปแล้วทำอะไรได้ ไม่เห็นมีคนต้องการหรือประกาศรับสมัครงานอะไรเลย เป็นแค่ความรู้แบบไร้ประโยชน์ ฯลฯ
นั่นสิ วันนั้นก็ไม่รู้หรอก ... แค่รู้สึกดีที่มันทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น :-)
แต่ทุกวันนี้ ... ไอ้พวกนี้แหละ ทำให้เข้าใจ modern software development ไม่ยาก ว่าจริงๆ แล้ว software ที่ซับซ้อนถึงจุดหนึ่ง และต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา มันควรจะออกแบบอย่างไร ... ไอ้พวกนี้แหละ ทำให้ทุกวันนี้ทำงานอย่างที่ทำอยู่ ... ก่อนที่จะมีคนพูดถึงมัน ก่อนที่จะมีคนเขียนถึงมัน
จริงๆ ไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะว่าพวกที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับ complex system theory ดีๆ นี่ไปอยู่บริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ พวก Microsoft, Google เพียบเลยนะ รวมถึงคนที่เขียนหนังสือเล่มที่ผมชอบมากเล่มหนึ่งด้วย
ป.ล. Complex System Theory เป็นคนละอย่างกับ Computational Complexity นะ :-)
#พูดถึงตัวเองกับEmergentDesign
ดูก๊อดซิล่าจบ เดินกินเฟนฟายแม๊คออกมาจากเซนปิ่นจะกลับบ้าน มีป้าสะกิดหลัง หนูๆศิริราชไปทางไหนลูกพอดีป้าตกรถอะลูก กูก็บอกข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามอะคับ ต่อรถเมล์ไป57,146,149,177 คันไหนมาก่อนก็ไปเลย อีป้าก็บอกอ่อขอบคุณมากลูกๆ แล้วกูหันกลับจะเดินต่อ เขาสะกิดหลังใหม่ หนูๆ ช่วยคนแก่สัก20ได้ไหมลูก ป้าตกรถเงินไม่พอ เอ้า??กูก็ปฏิเสธคนไม่เป็นก็เลยบอก อ๋อๆคับๆ แล้วฟักกระเป๋าตังมา อีป้าชะเง้อดูกระเป๋าตังกู(เฉยเลย) แม่งไม่มีแบงค์20 !! มนุษย์ป้าพูดขึ้นมาว่า ร้อยนึงก็ได้ลูกๆ ไม่เป็นไร (กูนี่ห๊ะ?เออวะคงไม่เป็นไรควย) กูก็เลยเอาตังให้แล้วจะพาป้าแกข้ามสะพานลอยไปส่ง(อาสาเอง) พอถึงฝั่งเมเจอร์ยืนตรงป้ายรถเมล์ กูก็ยืนกินเฟนฟายดูรถเมล์ให้ป้าแก สักพักป้าก็เรียก หนูๆป้าหิวอะเอาเฟนฟายให้คนแก่กินได้มั้ย (กูนี่คิดในใจไอเหี้ยแม่งไม่ใช่แระ) แต่ด้วยเรื่องของกินทำให้กูปฏิเสธคนเป็น5555 กูเลยบอกไป"อ๋ออันนี้น้องฝากซื้ออะคับ ผมแอบกินนิดหน่อย" ป้าแกก็อืมๆ เออๆ หลังจากนั้น10วิไอสัส(ไม่รู้แม่งวางแผนไว้อยู่แล้ว หรือของขึ้นที่ไม่ให้กินเฟนฟายเชี่ยไร) เขายื่นกระเป๋าเขาฝากให้ถือให้ (จังหวะเขายื่นให้เห็นแบงค์500ในกระเป๋ามนุษย์ป้าใบนึง) กูคิดละเอ้าเห้ย ไรวะ หลังจากนั้นแหละสัส "ช่วยด้วย ช่วยด้วย เด็กนี้จะฉุดกระเป๋าตังป้า" อ้าวเหี้ยย กูนี่ฉุนละวินาทีนั้น เท่านั้นแหละไอสัสไม่ต้อง งง ในรูปคือไร หลังกูรู้ตัวว่ามนุษย์ป้าจะเล่นงานกู วินาทีที่คนแม่งจ้องกูเยอะๆแหละ มึงไม่เคยดูนาวยูซีมีอะดีป้า ว้ากก 5555ไอสัส ว้ายๆๆ อูยๆๆ 5555 ควย5555 (ที่โด้นี่แค้นส่วนตัว) สักพักพอป้าเค้าตะโกนเสร็จเท่านั้นแหละ แหมพลเมืองดีไอเหี้ย แม่งอยุแถวๆป้ายรถเมล์วิ่งมากระชากแขนกูคนละข้างเลย(โคตรแรง) คือไอชิบหาย ถ้ากูจะเอากูวิ่งไปนานแล้วปะ มือยังถือถุงเฟนฟายอยุเลยไอสัส กระชากแขนสะ ไม่ดูสังขารกูเลยควยไอเหี้ยพลเมืองดี นั่นแหละคับ ของขึ้น ต่อยพี่ที่แม่งมาล๊อคกูไปคิ้วแตก แล้วแม่งก็มาล๊อคกูอีก5-6คนมั้ง คนแม่งก็ยืนดูกันไป (เห็นพี่ผู้หญิงคนนึงอัดคลิป ถ้าพี่ลงพี่ช่วยลงให้ครบนะคับ) ตอนชุลมุนเสียงดังกันยามเลยวิ่งมาดูมาถามว่าเกิดไรขึ้น อีป้าแม่งย้ำ "ไอเด็กนี่สิจะวิ่งโขมยกระเป๋าป้า" ยามแกเห็นตอนกูลงสะพานลอยมากับป้า(เห็นมาด้วยกัน) ยามแกก็เลยบอกอ้าวนึกว่าเป็นป้าเป็นหลานกัน กูก็อธิบายให้ฟัง(ตอนอธิบายพลเมืองดียังล๊อคแขนอยู่เลยควย) เออแล้วก็จบไอสัส ป้าแม่งก็เดินหงอยไปเลย เสร็จไอเหี้ยพลเมืองดีที่คิ้วแตกนี่ถาม"ขอโทดพี่ยัง" (ขอโทดพ่อมึงดิ) แม่งเข้ามาล๊อคแขนสะไม่เหลือความเป็นคนเลยสัส เป็นไงละไอเหี้ย หวังดี สงสารคนแก่ แม่งไอห่าเสียเวลาชิบหาย
(ขอโทดด้วยครับ ปกติไม่หยาบงี้ ไม่เรียกอีป้า ไม่ด่าตอนแกจะเอาร้อยนึงเลย ไม่คิดไรๆเหี้ยๆเลย แต่พอเจอ"ช่วยด้วยเด็กนี่จะโขมยกระเป๋าป้าเท่านั้นแหละสัส" ควย! อยู่ยากสัสหัวร้อนไปหมดเลย)
#500นี่ค่าหัวร้อนผมละกันครับ
#เที่ยงคืนลบเดะคนที่คิ้วแตกมาตามกูไอสัส
....งานวิจัยที่นานที่สุดในโลก.....
" Harvard Study of Adult Development "
โดยผู้ริเริ่มโครงการวิจัยได้ติดตามศึกษา
ชีวิตของผู้ชายวัยรุ่น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก; เป็นนักศึกษาชายปีที่ 2
ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดจำนวน 268 คน
ซึ่งมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการศึกษา
จากสถาบันที่มีชื่อเสียง
กลุ่มที่สอง; เป็นชายวัยรุ่นอายุ 12 – 16 ปี
ในตัวเมืองบอสตันจำนวน 456 คน
ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโต
บนความลำบากและยากจน
ทุกๆ 2 ปี ทีมวิจัยจะให้ทั้ง 724 คนนี้
ทำแบบสอบถาม
เกี่ยวกับความพอใจในชีวิตพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในชีวิตการแต่งงาน
ความพอใจในหน้าที่การงาน
หรือความพอใจทางสังคม
และหลายครั้งที่ทีมวิจัย
ขอไปสัมภาษณ์พวกเขาถึงที่ห้องรับแขก
เพื่อถือโอกาสพูดคุยกับภรรยา
หรือลูกๆ หลานๆ ของพวกเขาด้วย
นอกจากนี้ทุกๆ 5 ปี
จะมีการตรวจสอบสุขภาพพวกเขา
ทั้งรายงานทางการแพทย์
ผลการตรวจเลือด ผลการตรวจปัสสาวะ
หรือแม้แต่ผลการ X-ray หรือ สแกนสมอง
โดยตลอดเวลาที่ทำการติดตาม
ทีมวิจัยได้เห็นพวกเขาเติบโตไป
ประกอบอาชีพต่างๆ
บ้างเป็นคนงานในโรงงาน
บ้างเป็นทนาย
บ้างเป็นช่างปูน
บ้างเป็นหมอ
และมีคนหนึ่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
บางคนติดเหล้า
บางคนมีอาการทางประสาท
จำนวนไม่น้อยที่สร้างเนื้อสร้างตัว
จนสามารถไต่ระดับทางสังคมขึ้นมาได้
ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ที่เลือกทางเดินที่ตรงข้าม
ความมหัศจรรย์ของการวิจัยนี้คือ
เป็นงานวิจัยที่ยาวมากซึ่งมีไม่บ่อยนัก
ส่วนใหญ่มักจะเลิกไปภายใน 10-20 ปี
เพราะผู้ถูกวิจัยไม่ยอมให้วิจัยต่อบ้าง
เงินทุนวิจัยหมดบ้าง
คนทำวิจัยหันไปทำเรื่องอื่น หรือเสียชีวิตไป
แต่ Harvard Study of Adult Development
กลับดำเนินมากว่า 75 ปีแล้ว
โดยผู้ถูกวิจัยท724 คนนั้น
เหลือชีวิตรอดแค่ 60 กว่าคนเท่านั้น
ซึ่งผู้เหลือรอดเกือบทั้งหมด
อยู่ในวัย 90 ปีขึ้นไป
แล้วอะไรบ้างหล่ะ ที่บรรดานักวิจัยเรียนรู้
จากเรื่องราวกว่า 70 ปีของ 700 กว่าชีวิต
ผ่านทางเอกสาร และข้อมูลเป็นหมื่นๆหน้า
พวกเขาเรียนรู้ว่า...
“ความร่ำรวย”
“ความโด่งดัง”
หรือ "การทำงานอย่างหนักหน่วง"
ไม่ใช่คำตอบของ
" การมีชีวิตที่ดี "
หรือ "สุขภาพที่ดี" เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เป็น “ความสัมพันธ์ที่ดี” ต่างหาก
ที่นำมาซึ่ง "การมีชีวิตที่ดี"
“Good relationships keep us happier and healthier.”
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด (Key Message)
โรเบิร์ต บอกต่อว่า
พวกเขาได้เรียนรู้อีก 3 บทเรียนล้ำค่า
ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ (Relationship) คือ...
1. Connection is really good for us,
loneliness kills.
คุณจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี
กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคู่ครอง
เพื่อน ครอบครัว หรือสังคม ก็ตาม
ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้จะทำให้คุณ
มีความสุขกว่า
แข็งแรงกว่า
และมีอายุที่ยืนยาวกว่า
ในทางกลับกันความเหงาและโดดเดี่ยวนั้น
เป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่ง
เพราะมันจะทำให้คุณมีความสุขน้อยลง
ทำให้ร่างกายคุณเริ่มแย่ลงตั้งแต่วัยกลางคน
สมองเสื่อมเร็วขึ้น
และมีชีวิตสั้นกว่า
2. Quality is not Quantity.
มันไม่สำคัญที่ปริมาณ
หรือรูปแบบของความสัมพันธ์
เช่น "จะต้องแต่งงานเท่านั้น"
แต่เป็น “คุณภาพของความสัมพันธ์” ต่างหาก
ที่จะเป็นตัวบ่งชี้
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่า
ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีของสามีภรรยา
จะส่งผลลบมากกว่า
การหย่าร้างที่เข้าใจกันเสียอีก
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>973 )
3. "Good relationships don’t just protect
our bodies they protect our brains."
ความสัมพันธ์ที่อบอุ่น มั่นคง ไว้ใจได้ พึ่งพาได้
ไม่เพียงแต่ช่วยให้มีสุขภาพกายที่ดีเท่านั้น
ยังดีต่อสมองด้วย
ความสัมพันธ์ที่ดี
จะทำให้มีความทรงจำที่ดี
และสมองยังคงใช้งานได้ดีอยู่
ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีในที่นี้
ไม่ได้หมายถึง
ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นสุดๆ ไม่ทะเลาะกันเลย
แต่เป็นความสัมพันธ์ที่รู้ว่า
เมื่อถึงเวลาที่ต้องการจริงๆ
เราจะมีคนที่พึ่งพาได้
นั่นคือสิ่งที่ "โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์ "
และทีมงานวิจัยของ ฮาวาร์ด ค้นพบ
ซึ่ง โรเบิร์ต บอกว่า
จริงๆแล้ว ผู้ถูกวิจัยเหล่านี้ในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น
หรือเริ่มเป็นผู้ใหญ่ใหม่ๆนั้น
ก็เชื่อเหมือนกับที่คนในยุคนี้ว่า
"ชื่อเสียง เงินทอง"
จะทำให้พวกเขา
"ประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ดี"
แต่ความจริงจากการศึกษากว่า 75 ปี
กลับกลายเป็นว่า
คนที่ให้ความสำคัญกับ
"ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง" ต่างหาก
คือ คนที่มีชีวิตที่ดีที่สุด
โรเบิร์ต ชวนคิดว่า...
สิ่งที่ทำให้คนเรามองข้าม “ความสัมพันธ์ที่ดี”แล้วหันไปใส่ใจกับ
"ชื่อเสียง เงินทอง" หรือ "หน้าที่การงาน"
อาจเป็นเพราะ...
การมีความสัมพันธ์ที่ดีนั้น
เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยากและไม่รู้จบ
แถมยังต้องได้รับการใส่ใจตลอดเวลา
จนหลายคนเลือกจะ "ทำงานหาเงิน" อย่างเดียว
แต่...
การเอาใจใส่ และการทำความสัมพันธ์ให้ดี
ไม่ได้ยากขนาดนั้น
แค่เงยหน้าจากจอมือถือ
แล้วสบตาคนรอบตัวให้มากขึ้น
หาอะไรใหม่ๆทำร่วมกัน
เพื่อให้ความสัมพันธ์ที่จืดจาง
กลับมามีสีสันอีกครั้ง
ทำอะไรง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียเงิน
เช่น ชวนคนรักไปเดินเล่น
หรือติดต่อญาติที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว
เพราะชีวิตเรานั้น
"มาร์ก เทวน" บอกว่า...
มันช่างสั้น แล้วก็สั้นเหลือเกิน
สั้นเกินกว่าที่จะมาโกรธกัน ทะเลาะกัน
หรืออิจฉาริษยากัน
ควรมีแต่เวลารักกันเท่านั้น
ซึ่งแค่นี้มันก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว
นั่นคือสิ่งที่ "โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์ "
พูดใน speech ของเขา
สำหรับผู้ที่ภาษาอังกฤษ แข็งแรง
ควรจะเปิดดู clip นี้ มีประโยชน์มาก
https://www.ted.com/…/robert_waldinger_what_makes_a_good_li…
อ่านให้จบนะ
ถ้าทำได้
จะมีความสุขในการใช้ชีวิต.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นายแต่งแต่เร้ดการ์ดก็ไม่ดราม่าแล้ว นายดันไปเอานาซีมาด้วยเลยเป็นเรื่อง
โลกนี้มันแคร์แต่ยิวน่ะนาย
บอลเชวิกที่ฆ่าคนเยอะๆในรัสเซียนี่ก็ยิวอยู่เบื้องหลังนะครับ นายทุนที่หนุนหลังเป็นยิวทั้งนั้น
Trotsky ชื่อเหมือนรัสเซียแท้ แต่ชื่อจริงคือ Lev Davidovich Bronstein นะครับ
"ปุนปุน...นายคิดว่าสิ่งสำคัญของชีวิตคืออะไร"
"เงิน,ความฝัน,ความเห็นใจให้กันและกัน..."
"ใช่ พวกนั้นก็สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ การรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง"
"ตอนที่น้าได้ยินว่า นายต้องการที่จะอาศัยอยู่คนเดียวนั้นเล่นเอาน้าตะลึงเหมือนกัน"
"แต่เมื่อนั้นเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเจ้าเอง น้าก็ไม่ต่อว่าอะไร"
"หลานจะไปเป็นฆาตกรหรือเป็นพวกเก็บตัวอยู่ในห้อง น้าก็จะไม่เข้าไปขัดขวาง"
"แต่"
"ถ้าเมื่อไหรหลานโทษคนอื่น ทำให้หลานเป็นแบบนี้"
"น้าจะเอาดาบไปฟาดมึงเอง"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก็แค่ละคร ยักษ์ ตัวนึง คือต้องกลัวเสื่อมเสียไรวะ ยักษ์มันเคยมาช่วยรบในสมัยกรุงศรีหรือไง
ที่ตอนเอาช้างมาทาแพนดา ไม่เห็นออกมาดิ้น
มิตรสหายท่านหนึ่ง
#กูเดือดเลยครับ
"ไปธนาคารมา ก็แต่งตัวธรรมดา แต่รองเท้าแตะมันขาดหน่อยไง
เจ้าหน้าที่ก็มองหัวจรดเท้า แบบดูถูกอ่ะ กูหมั่นไส้
เลยเขียนใบเบิกเงินไป 2 ล้าน แล้วเดินไปที่เค้าเตอร์
กูพูดแม่งดังๆ เลย ขอถอนเงิน 2 ล้าน ย้ำ 2 ล้าน ด่วน!!!
พนักงานพูดขึ้นมาเบาๆ แบบเกรงใจว่า คุณลูกค้าใจเย็นๆนะคะ
คือเงินในบัญชีของคุณมีสองร้อยบาทค่ะ"
(มิตรท่านหนึ่ง)
>978 ขอโทษที ลืมไปว่าตอนก๊อปลิ้งมันโดนตัดไป
link ใน >>>974 ขอแก้เป็น https://www.ted.com/talks/robert_waldinger_what_makes_a_good_life_lessons_from_the_longest_study_on_happiness?language=enm
มารักษาโรคตามแนวทางของอัลลอฮ์ซุบฮานาฮูวาตาอาลากันครับ
หน้าหมอง ให้ละหมาดตะฮัจญุด (ละหมาดซุนนะห์นอกเหนือจากละหมาด 5 เวลา โดยละหมาดหลังเที่ยงคืน)
.
ใจแคบ ให้อ่านอัลกุรอาน
.
มีปัญหาทางอารมณ์ ให้เอาน้ำละหมาด (ที่ชาวมุสลิมชำระร่างกายก่อนละหมาด ประกอบด้วยการล้าง มือ ปาก หน้า แขน หัว หู ขา อย่างละ 3 ครั้ง)
.
กระวนกระวาย ให้ขอดุอาอฺ (ขอพรจากอัลลอฮ์)
.
เครียด ให้กล่าวสรรเสริญอัลลอฮ์
.
ป่วย ให้ถือศิลอด (งดดื่ม กิน สูบ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก)
.
ไม่ค่อยมีริสกี(โชค/วาสนา) ให้บริจาคทาน
.
ไม่มีความสุข ให้ถึงเวลาละหมาดให้รีบละหมาด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อัพหือดาวน์เกรดวะสัส
>>972 ไม่รู้ทำไมกูเจอคนแบบนั้นบ่อยเหี้ยๆแต่กูพลาดแค่ครั้งแรกๆนะ จนมีครั้งนึงกูทนไม่ไหวกูอยากแกล้งแม่ง แม่งบอกว่ามาหาญาติที่ กทม มาจากจังหวัดอะไรซักอย่างกูลืมละ แล้วขอยืมเงินกูนั่งรถเมล์ไปท่ารถทัวร์ แล้วมีขอชื่อกับเบอร์โทรกูด้วย บอกว่าไปถึงแล้วจะโทรกลับมาคืนเงินให้
กูก็เอาวะแม่งเล่นใหญ่ขนาดนี้กูก็เล่นกลับ กูบอกว่าพ่อกูเป็นนักการเมืองใหญ่(กูโม้) เดี๋ยวกูให้พ่อกูผสานงานให้ส่งกลับเลยไม่ต้องห่วง ญาติชื่อไร คุณชื่อไร แม่งก็เริ่มเหวอๆเว้ย แล้วทำบอกกูว่าเกรงใจ กูก็เห็นว่าแม่งเริ่มกลัวกูละกูเลยใส่ใหญ่เลยว่าไม่ต้องเกรงใจๆ ผมชอบช่วยคน บลาๆ แล้วแม่งก็บอกไม่เป็นไรๆ ขอแค่ค่ารถพอ 500 กูบอกไม่ต้องหรอก เนี่ยเดี๋ยวส่งถึงบ้านเลย ให้ตำรวจลูกน้องพ่อพาไปส่งก็ได้ ซักพักแม่งเริ่มพูดไม่รู้เรื่องเว้ย แล้วก็ด่ากูว่าแล้งน้ำใจไม่ให้ค่ารถ แล้วเดินหนีไปเลย กูฮามากๆ คนทั้งป้ายรถเมล์ก็มองกูนะ แต่กูสะใจสัดๆ
ในเมื่อมีรัฐสภา ใครๆก็สามารถไปเป็นได้ ออกกฎหมายอะไรก็ได้ ออกกฎหมายคุมแพทยสภาก็ได้ แล้วจะเอาคนนอกเข้ามาในแพทยสภาทำไมอะ นี่มันสภาวิชาชีพปะ
เห็นแพทยสภาเป็นรัฐสภารึไง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมได้ปรึกษาทนาย ว่าร้านอาหารสามารถเก็บค่า service charge ลูกค้าได้ไหม
จากการระดมสมองของกลุ่มทนายมือดี 6 คน เพื่อค้นหาและวิเคราะห์ข้อกฏหมายต่างๆ
ปรากฏว่า ลูกค้ามีสิทธิ์ที่จะไม่จ่ายค่า service charge และทางร้านไม่มีสิทธิ์ในการเรียกเก็บ
ผมพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เราไปร้านอาหาร เราไปซื้ออาหาร หลังจากที่เราสั่งอาหาร ถือว่าการตกลงซื้อขายได้เกิดขึ้นแล้ว
และกระบวนการทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในการกินอาหาร ก็มีแค่ พนักงานนำอาหารมาเสริฟให้เรา
การเรียกเก็บค่า service charge 10% จึงไม่มีความเป็นธรรม เพราะไม่ได้มีบริการเสริมใดๆขึ้นมาจากการเสริฟอาหารปกติ
และต่อให้มีบริการอะไรที่เพิ่มเป็นพิเศษ ลูกค้าก็ต้องมีสิทธิ์เลือกว่าจะซื้อบริการนั้นรึไม่
และผมได้ปฏิเสธการจ่ายค่า service charge มาตลอด2เดือนที่ผ่านมา ทุกร้านจะเรียกผู้จัดการร้านมาคุยกับผม
ผมได้ตอบกลับไปทุกรายว่า คุณมีสิทธิ์อะไรมาคิดเงินผมเพิ่มอีก10% นอกเหนือจากค่าอาหาร ผมท้าให้ฟ้องร้องเป็นคดีตัวอย่างเลย
ให้ศาลตัดสินเป็นคดีแรกของประเทศไทยไปเลย เพื่อจะได้ลงหน้า1ไทยรัฐ คนไทยทั้งประเทศจะได้เลิกถูกเอาเปรียบจากนายทุน
ปรากฏว่า ไม่มีร้านไหนกล้าเก็บค่า service charge ผมแม้แต่ร้านเดียว โดยทางผู้จัดการร้านบอกว่าครั้งนี้จะอนุโลมให้เป็นพิเศษ ผมสวนกลับไปทันทีว่าพรุ่งนี้ผมก็จะมากินอีก แล้วก็จะไม่จ่ายค่า service charge เช่นเดิม ให้ทางร้านเตรียมทนายมาด้วยเลยก็ได้
ตลอด2เดือน หลังจากที่ไม่ต้องจ่ายค่า service charge 10% ทำให้ผมมีเงินในกระเป๋าเหลือมากขึ้นจนน่าตกใจ
ผมมาคิดๆดู ตลอดชีวิตผมเสียค่าโง่พวกนี้ไป น่าจะเป็นรถยนต์คันหนึ่งได้เลย หรือถ้านำไปลงทุนในกองทุนรวม เงินก้อนนี้คงกลายเป็นล้านไปแล้ว
บางร้านถึงกับคิดค่าบริการสุดโหด 15-20% ก็มีในหลายๆร้านในกรุงเทพ
หลังจากอ่านกระทู้นี้จบ ขอให้ทุกคนปฏิเสธการจ่ายค่าบริการในทุกกรณี เพราะทางร้านไม่มีสิทธิ์มาเก็บกับเรา เด็กเสริฟคือลูกจ้างของร้าน และกฏหมายกำหนดให้นายจ้างเป็นผู้จ่ายค่าจ้าง ไม่ใช่ผลักภาระมาให้ลูกค้าเป็นค่าจ่าย
ร้านค้าบางร้านหัวหมอ ใช้จุดอ่อนด้านต่อมคุณธรรมของคนไทย โดยบอกว่าค่าบริการจะทำให้พนักงานเสริฟมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เปิดคางมาแบบนี้ ผมสวนด้วยอัพเปอร์คัทกลับไปทันทีว่า ถ้าคุณอยากให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นก็ขึ้นเงินเดือนให้พวกเขาเป็นเดือนละแสนสิ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลย
ถ้าวันนี้ผมไม่เป็นคนเริ่ม สังคมไทยต่อไปลำบากแน่ เพราะร้านอาหารมันจะได้ใจ และอาจขึ้นค่าบริการไปเรื่อยๆจนวันหนึ่ง ค่า service charge อาจแพงกว่าอาหาร เช่น ข้าวผัดกุ้งจานละ 80 ค่าบริการ 100 บาท
คนไทยถูกเอาเปรียบจนคิดว่ามันคือเรื่องปกติ ถ้าใครมองว่าการจ่ายค่าบริการ10% เป็นเรื่องปกติ และชอบด้วยเหตุผลแล้ว
ผมแนะนำว่าคุณควรทบทวนตัวเองแล้วว่าคุณคงถูกเอาเปรียบจนกลายเป็นเรื่องปกติรึป่าว
เรื่องนี้ถึงอย่างไรก็ผิดกฏหมาย และเรามีสิทธิ์อย่างเต็มที่ที่จะไม่จ่าย
ผมอยากให้ร้านอาหารฟ้องผมเหลือเกิน จะได้เป็นคดีตัวอย่างไปเลย
และมั่นใจว่า ผมชนะแน่นอน หลังจากปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางกฏหมายที่จบจาก อเบอดีน (แหล่งผลิตนักกฏหมายระดับท็อปของโลก)
เขาให้เหตุผลไว้อย่างน่าฟัง ว่า...
ถ้าเรื่องนี้ศาลตัดสินให้ ผู้บริโภคแพ้คดี สิ่งที่ตามมาก็คือ ทุกๆธุรกิจจะหันมาเก็บค่าบริการบ้าง
เช่น
ร้านถ่ายเอกสาร เก็บค่าบริการเพิ่มอีก 10% เพราะเขาต้องเอามือหยิบกระดาษจากเครื่องส่งให้คุณ
ร้านขายของชำ จะเก็บค่าบริการเพิ่มอีก 10% เพราะเขาต้องให้พนักงานหยิบของใส่ถุงให้คุณ
มันมีอะไรแตกต่างจากร้านอาหาร ที่แค่ยกอาหารมาเสริฟให้ลูกค้า
ถ้าร้านอาหารสามารถเก็บได้ ธุรกิจอื่นๆก็เก็บได้เช่นกัน
ช่วยกันแชร์ออกไปเยอะๆ และเริ่มที่ตัวคุณ ต่อไปให้ปฏิเสธการจ่ายค่าบริการในทุกๆกรณี และถ้าร้านไม่ยอม ก็ท้าให้ฟ้องเลย
คุณชำระแค่ค่าอาหาร ส่วนค่าบริการไม่ต้องจ่าย
กฏหมายไม่เปิดช่องให้ร้านอาหารสามารถมาเรียกเก็บค่าบริการจากเราได้
ส่วนใครที่ประทับใจในการบริการ คุณสามารถให้เป็นทิปแก่พนักงานได้ เพราะทิปมันถึงพนักงานแน่นอน และเป็นการให้ด้วยความสมัครใจ
ไม่ใช่ถูกมัดมือชกแบบ service charge
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่เก็บชาร์จมันก็เอาไปบวกค่าอาหารแทน แต่ตูรูสึกเฟคว่ะ
กูก็ไม่ชอบการแยก SC กับ VAT นะ สมัยเพิ่งเคยเข้าร้านที่โดนบวกใหม่ๆ ไม่เคยโดนมาก่อนนี่กูรู้สึกเหมือนร้านเค้าหลอกลวงลูกค้าเลย
พอเจอบ่อยๆแล้วชินก็ยังไม่ชอบอยู่ดี รู้สึกเหมือนเป็นผลักภาระให้ผู้บริโภค จะไม่ให้มี++ แต่รวมไปในราคาอาหารแล้วแพงขึ้นกูก็โอเคนะ
มันดูแฟร์กว่าการเขียนบอกตัวเล็กๆใต้เมนูแล้วเอาราคาไม่ net มาโชว์ลูกค้า
VAT นี่ตะหงิดมากว่ากูซื้ออะไรอย่างอื่นแม่งก็รวมหมด ทำไมของแบบนี้มึงเสือกจะคิดแยก
ส่วน SC บางร้านบริการแย่ก็รู้สึกไม่ดีที่เหมือนถูกบังคับให้ต้องทิปเด็กเสริ์ฟที่บริการห่วยๆ
พอพนักงานบริการดีก็เริ่มคิดมากอีกว่าเจ้าของมันจะเอาเข้ากระเป๋าตัวเองไม่แบ่งเด็กเสริ์ฟรึเปล่า
ปล. บทความนั่นมันน่าจะเกรียนประชดนะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.