เบื้องหลังความสำเร็จ
เด็กน้อยถามเศรษฐี “คุณอา ๆ ทำไมคุณอาถึงมีเงินเยอะจัง ?”
เศรษฐีลูบหัวเด็กน้อยแล้วพูดว่า “ตอนเด็ก พ่อของอาให้แอปเปิ้ลอามา 1 ลูก อาก็ขายไป ได้กำไรก็ซื้อเพิ่มเป็น 2 ลูก แล้วอาก็ขายอีกได้กำไร ซื้อเพิ่มเป็น 4 ลูก...”
เด็กน้อย คิด ๆ “อ้อ คุณอา ผมเข้าใจแล้ว”
เศรษฐี “หนูเข้าใจลิงอะไร ต่อมาพ่อของอาตายไป อาก็เลยรับมรดกจากพ่อทั้งหมด...”
นิทานตลกเรื่องนี้ (อาจจะไม่ตลก) บอกให้เรารู้ว่า อย่าไปหลงไหลกับชีวประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จ เพื่อที่จะได้ประสบการณ์จากในหนังสือพวกนี้ หนังสือพวกนี้ได้รับการแก้ไข ปรับแต่งให้ดูดี เรื่องสำคัญหลายเรื่อง เขาไม่บอกเรา เช่น หนังสือของบิลเกต ไม่ได้บอกเราว่า แม่ของเขาเป็นกรรมการในบริษัท ไอ บี เอ็ม เป็นเพราะแม่ของเขาที่เป็นคนหางานใหญ่งานแรกให้บิลเกต ถึงค่อยๆเติบโตจนเป็นเศรษฐีอันดับโลก
หนังสือของวาเรน บับเฟท บอกแค่ว่าเขาไปเยี่ยมชมตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กตอนอายุ 8 ขวบ แต่ไม่ได้บอกเราว่า คนที่พาไปคือสมาชิกสภาคองเกสซึ่งเป็นพ่อของเขา คนที่คอยต้อนรับอยู่คือกรรมการของบริษัทโกแมนแซค (ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ)
หมายความว่า เศรษฐีอันดับโลกพวกนี้ ก่อนมาเป็นอันดับโลก พวกเค้าก็เป็นเศรษฐีอยู่แล้ว
ปล. " คุณไม่ต้องมีเงินมากมาย แต่คุณก็สามารถมีชีวิตที่ “ร่ำรวย” ได้
คำว่า “รวย” สำหรับหลายๆ คนคือการมีเงินมากมาย มีบัญชีหลายสิบล้าน ร้อยล้าน พันล้าน แต่การบอกว่าใช้ชีวิตแบบ “ร่ำรวย” อาจจะไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนั้นก็ได้ ลองคิดกลับว่าถ้าคุณไม่ได้รวยมาก การที่คุณสามารถกินอาหารดีๆ ในร้านอาหารกลางๆ แทนที่จะต้องกินอาหารข้างทาง คุณสามารถหาเสื้อผ้าดีๆใส่ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่แบรนด์เนมดัง แต่ก็ดีกว่าใส่เสื้อผ้าขาดๆ เปื่อยๆ มันก็ดีแค่ไหนแล้ว การตีความของคำว่า “ชีวิตร่ำรวย” ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณมีเงินเท่าไร แต่มันอยู่ที่คุณใช้เงินอย่างไร และคุณรู้สึกกับมันแค่ไหน แม้คุณจะไม่ได้มีเงินพันๆล้าน แต่คุณก็สามารถใช้ชีวิต “ร่ำรวย” ในแบบของคุณได้