มู้เก่า
https://fanboi.ch/lounge/1161 โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง
Last posted
Total of 1000 posts
มู้เก่า
https://fanboi.ch/lounge/1161 โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง
"ปัญหาของคนจำนวนมากคือมันจะคิดว่า Fact เดียวกันจะนำไปสู่ Conclusion เดียวกันเสมอ และคิดว่าคนที่ไม่ได้ Conclusion เดียวกันเป็นคนไม่มีเหตุผลโดยไม่ได้ฟังคำอธิบายของเขาเลย
การคิดว่าระบบเหตุผลของตัวเองนี่ถูกและดีเสมอนี่เป็นภัยต่อพัฒนาการทางความคิดเหี้ยๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มึง กูสงสัยว่าเราจะมีวิธีไหนในการควบคุมคุณภาพของคนไทยให้มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมและมีวิจารณญาณในการเสพสื่อต่างๆได้บ้างไหมวะ
https://youtu.be/gKVtpCByEy4
ภาษาไทยยากสึด
"มึงอยากอยู่ยุค 90s ก่อนอื่นมึงปิดเราเตอร์มึงก่อน
ไอ้เหี้ย เกิดไม่ทันละมโนซะโรแมนติก
อินเตอร์เน็ตที่ลุ้นโหลดภาพหีทีละเส้นๆ เหมือนมีคนมานั่งทอผ้าอยู่หน้าจอ โหลดเสร็จข้างล่างเป็นควยเฉย เป็นการดักควายที่เจ็บใจค่าเน็ตสัสๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทุกวันนี้ผมเงียบมาตลอด ตั้งใจที่จะไม่ออกความคิดเห็นในเรื่องใดๆ และอยากให้ทุกฝ่ายตั้งใจแก้ไขปัญหาให้ประชาชน แต่อยู่ดีๆ ผมกลับถูกพาดพิงอย่างรุนแรง จนต้องเสียความตั้งใจ เลยต้องขอพูดสักครั้ง
การแก้ปัญหาของประเทศ ภายใต้รัฐบาลทหารของไทยในขณะนี้ มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็โทษคนอื่น โดยตนเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ไม่เคยทำอะไรผิด ตัวเองดีทุกอย่าง เช่นน้ำแล้งก็บอกว่า เป็นเพราะรัฐบาลก่อน ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ขายไม่ออกอย่างยางพารา ก็บอกให้ไปขายดาวอังคาร บริหารประเทศแบบนี้ใครๆ ก็เป็นได้ครับ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
รัฐบาลนี้ได้อำนาจมาจากการรัฐประหาร ได้เข้ามาปกครองประเทศแล้วร่วม 2 ปี ได้ทำประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ให้ชาวโลกเขาได้เห็นบ้าง ภาพลักษณ์ที่เผยแพร่ออกไป มีแต่การใช้อำนาจในการละเมิดสิทธิประชาชน และกฎหมายสากลอย่างไม่เคยเกิดในประเทศไทยมาก่อน เมื่อนานาอารยประเทศ และองค์กรสากลต่างๆ เขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเขาก็ออกมาเตือน เป็นเรื่องปกติทั่วไป ที่เกิดขึ้นในประเทศที่ผู้นำฯ ใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้อง
เมื่อผู้นำของประเทศเราไม่สนใจคำเตือน ประเทศอื่นเขาย่อมใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นการระงับการค้าการลงทุน มาตรการปิดกั้นและกีดกันต่างๆ รวมถึงการย้ายถิ่นฐานการผลิตไปยังประเทศที่ 3 กระบวนการเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง และโมเมนตัมนี้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปอีกนานหลายปี..
แต่..แทนที่ผู้นำเราจะยอมรับความผิด แก้ไขปัญหาเหล่านั้น และทำให้มันถูกต้องเสีย กลับออกมาโทษว่า เป็นเพราะผมไปจ้างล็อบบี้ยิสต์ เพื่อล็อบบี้ประเทศต่างๆ ให้แอนตี้ บอยคอตประเทศไทย โถ..ช่างคิดไปได้
อยากจะบอกว่า ผมไม่จำเป็นต้องไปจ้างใคร ให้เสียเงินเสียทอง เพื่อประจานนายกฯ ไทย ให้เสียภาพลักษณ์ประเทศหรอกครับ ประวัติศาสตร์มีให้เห็นอยู่เสมอว่า เผด็จการฯที่ลุแก่อำนาจ ด่ากราดคนที่พูดจาไม่ถูกใจ ดูถูกคนยากจนว่าโง่ ใช้อำนาจเกินขอบเขต และปกครองประเทศโดยไม่เห็นหัวประชาชนนั้น ล้วนแล้วแต่แพ้ภัยตัวเองทั้งนั้น
อยากจะเป็นผู้นำประเทศ ถ้าอารมณ์ของตัวเองยังควบคุมไม่ได้ ใช้อารมณ์ด่ากราดผู้คนเพื่อเอาชนะ ตะคอกใส่นักข่าวให้เขาสงบปากสงบคำ และเขียนข่าวให้ถูกใจตน ทำแบบนี้บอกเลย อย่าหวังว่าจะทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศคล้อยตาม
ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองแย่แค่ไหน ลองเอาเทปที่คุณพูดทุกวันมาฟังย้อนหลังดูซิครับ แล้วคุณจะรู้ว่า
"ไม่มีล็อบบี้ยิสต์ในโลกคนไหนที่จะมีความสามารถทำลายคุณได้ เท่ากับคุณทำลายตัวคุณเอง"
เพราะฉะนั้น เมื่อคุณมั่นใจว่าเป็นคนดี ก็จงก้มหน้าก้มตาเป็นคนชอบแก้ไขไปเถอะ อย่าทำตัวเหมือนที่ผ่านมาเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ที่สิงคโปร์มีการรณรงค์เตือนสติให้ผู้คนหันมายั้งคิดก่อนที่จะถ่ายรูปหรือคลิปไปประจานคนอื่นในโซเชียลเน็ตเวิร์ก และแทนที่จะรีบถ่ายคลิปทำตัวเป็นตำรวจศีลธรรม เขาแนะให้เราถามใจตัวเองก่อนว่าควรจะทำสิ่งที่เหมาะกว่าหรือไม่
ตอนนี้เท่าที่เห็นมีการแชร์ภาพโปสเตอร์แคมเปญของ Singapore Kindness Movement (ขบวนการสิงคโปร์เอื้อเฟื้อ) ภาพแรกเป็นผู้ชายกำลังงีบบนเก้าอี้สำรองโดยมีผู้หญิงที่กำลังท้องป่องกำลังยืนประจันหน้าอยู่ พร้อมกับคำโปรยว่า "จะแชะภาพ หรือแตะไหล่ปลุก - อยู่ที่ตัวคุณว่าจะเอื้อเฟื้ออย่างไร" หมายความว่า แทนที่จะรีบถ่ายรูปประจานชายคนนี้ เราควรปลุกเขาจะดีกว่าไหม? เพราะอาจมีเหตุผลอื่นนอกจากจะแย่งที่นั่งคนท้องก็เป็นได้
อีกโปสเตอร์เป็นรูปพนักงานเสิร์ฟกับลูกค้ากำลังแสดงอาการฉุนเฉียวที่อีกฝ่ายทำน้ำหกใส่ พร้อมคำถามว่า "คุณจะทำอย่างไร" ระหว่าง 1. ไม่ทำอะไร 2. เข้าไปยุ่ง 3. โหลดภาพโชว์ชาวเน็ต - สำหรับผมประเด็นของภาพไม่ได้อยู่ที่เราควรทำอะไร แต่อยู่ที่เราไม่ควรทำอะไรมากกว่า นั่นคือ การถ่ายภาพไปโชว์คนอื่นในสถานการณ์ที่ไม่ควรทำ
แน่นอนว่า การถ่ายรูปถ่ายคลิปมีส่วนช่วยให้เราทันกับสถานการณ์มากขึ้น และช่วยเก็บหลักฐานในกรณีที่มีการทำร้ายกัน แต่หลายกรณีคลิปเหล่านี้ละเมิดความเป็นส่วนตัว เป็นการสร้างความอับอายต่อธารกำนัล (Public Shaming) และเป็นการประจานกันในโลกออนไลน์อย่างซึ่งๆ หน้า (Online shaming) เช่นเดียวกับกรณีตามหาคนผิดในฟอรั่มหรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก หลายครั้งที่ชาวเน็ตช่วยกันเป็นนักสืบจนพบเบาะแส แต่หลายครั้งก็มันมือจนกลายเป็นการละเมิดอย่างรุนแรงเช่นกัน
บทความในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ส ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงคือ Don't shame online, right the wrong instead บอกว่าตอนนี้มีเหตุเกิดขึ้นในสังคมโซเชียลของสิงคโปร์ เมื่อเจ้าสาวคนหนึ่งไม่พอใจผลงานช่างภาพที่รับหน้าที่ในวันวิวาห์เพราะผลงานออกมาห่วยแตก เลยโพสต์ภาพแล้วบ่นในเฟซบุ๊คปรากฎว่ามีคนแชร์กันเป็นหมื่น ตอนแรกเจ้าสาวไม่ได้เอ่ยชื่อช่างภาพกับสตูดิโอ แต่ชาวเน็ตรู้สึกอยากมีส่วนร่วม (และคงจะเห็นใจนิดๆ ด้วย) เลยไปสืบกันเองจนรู้ตัว ต่อมาช่างภาพออกมาขอโทษทำให้กระแสต่อว่าเขาเบาลง แต่แล้วแทนที่เรื่องจะจบตัวเจ้าสาวกลับถูกชาวเน็ตสับแหลกด้วยว่าจัดการเรื่องนี้ได้แย่ทำให้เรื่องบานปลาย
จะเห็นได้ว่าชาวเน็ตเป็นสิ่งมีชีวิตที่อารมณ์วูบไหวรุนแรงเอาใจได้ยากมา ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเราไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบกับความเห็นที่เราแสดงไป ตัวตนเราคนอื่นก็ไม่รู้ ที่อยู่ก็ไม่ทราบ ดังนั้นเราจึงรู้สึกลำพองที่จะพูดจาต่อว่าหรือประจานคนอื่นโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว เมื่อวิจารณ์หรือแชร์เรื่องเสียหายกันหลายๆ คนเข้าก็กลายเป็น Mob rule โดยไม่รู้ตัว ผมเห็นด้วยกับผู้เขียนบทความคือ Daryl Chin ที่บอกว่าบางทีเรื่องนี้ (และอีกหลายๆ เรื่อง) จะไม่วุ่นวายกันไปใหญ่ถ้าทุกฝ่ายมีใจเอื้อเฟื้อกันสักนิด
ส่วนตัวผมชอบชื่อบทความนี้มากเพราะบอกทุกอย่างที่เราควรทำในฐานะสมาชิกโลกโซเชียลนั่นคือ "อย่าประจานออกสื่อออนไลน์ ควรทำในสิ่งที่ถูกต้องจะดีกว่า"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กุไม่ให้ค่า คนที่เคยพูดว่า"โจรกระจอก"หรอกว่ะ
แต่ยอมรับหัวคิดก้าวหน้า แต่นิสัยไม่ได้ต่างจากผู้นำครปัจจุบันเลย
แม้วก็เคยโทษคนอื่นนะ ถถถถ+
>>16 ตามสภาพแวดล้อมปัจจัยภายนอก ยุคแม้วได้เปรียบกว่ายุคปชป.ในหลายๆทาง ทั้งปัจจัยการเมือง+ศก.ประเทศอื่นๆกำลังมีปัญหา
เงินที่ปชป.ชวน2หามาตอนช่วง ดอลลาห์ละ50-60บาท(คนด่ายุคชวนกันชิบหายทำให้ซื้อของนอกแพง ทั้งที่ไทยส่งออกได้ประโยชน์เยอะ)
พอมายุคแม้วก็บาทแข็งแถวๆ38(ประมาณนะ กูไม่ได้ตามทุกสเตป)คนชมแม้วแทน(แต่พ่อค้าส่งออกแอบบ่น) เลยได้ประโยชน์บาทแข็งมาใช้หนี้ได้เร็ว ม็อบที่เคยเย้วๆด่าปชป.ก็ไม่กล้ามา?
ด้านการศึกษา แม่งเปลี่ยนให้เด็กเป็นศูนย์กลาง(child center)ซะกูยกให้เหี้ยกว่ายุค ชวน1+บรรหาร+จิ๋ว ทุกวันนี้ทำโทษตีเด็กไม่ได้ ซ้ำชั้นไม่ได้ เป็นลูกเทวดาไปแล้ว 555555+
นโยบายส่งเสริมคนเป็นหนี้อีกสารพัด อะไรอีกหลายๆอย่างกูก็ไม่เห็นว่ามันจะดีขึ้นนอกจากเอาเงินในอนาคตมาถลุงใช้ก่อนวะ แบงค์ชาติก็เคยออกมาบ่นๆแม่งจะถังแตกแล้วนะโว้ย
พอถึงเวลาจ่ายเงินในยุคถัดมามันถึงขัดสนกันไปหมด
ตอนใครอยากเข้าสังกัดพรรคมีเรียกขั้นต่ำ10ล้านอันนี้รู้สึกจะระดับตำบล,กำนัน
ตอนสึนามิถล่มไทย(น่าจะช่วง10-11โมง กูเห็นคนโพสขอความช่วยเหลือในpantipช่วงเวลานั้น) หาตัวนายกไม่เจอเห็นลือว่ายังไปตีกอล์ฟอยู่เลย มาโผล่อีกทีตอนเย็น แถมมีทำหน้าใหญ่บอกต่างชาติไม่ต้องมาช่วยพวกกู กูสตรองคุมเองได้ แม่งถามคนในพื้นที่ ที่เดือนร้อนกันหรือยัง
ตอนลงสามจังหวัดก็สร้างภาพไม่ลงพื้นที่จริงไม่ไปอยู่นานๆ ไหนจะมานั่งสั่งข้าราชการไปพับนกกระดาษมาโปรยเป็นขยะ 3จังหวัดชายแดนใต้เงี้ยะ
ตอนไข้หวัดนกบอกไม่มี ไม่ติด พอติดแม่งมานั่งกินไก่โชว์
จริงๆมีอีกสารพัดกูขี้เกียจจะพิมพ์เพราะใช้เวลาเยอะ
สรุป สั้นๆดีกว่า ผลงานแม้วดีเพราะมันมีทีมบริหารครม.ในยุคแรกดีจริง ทั้งเนวิน สุวัตน์ บรรหาร สมคิด ฯลฯ (ดูเนวินบริหารทีมฟุตบอลไทยทำอะไรๆให้บุรีรัมย์ดู ตอนสมัยแกอยู่กับบรรหาร บรรหารยังชมฝีมือเนวินเลย)
ตัวแม้วไม่ได้ทำอะไรวันๆจ้อ ออกสื่อไปเที่ยวนอกไปตีกอล์ฟ เคยลือกันว่ามีกิ๊กด้วย แถมดังแล้วทำตัวเหลิง
***พอถึงเวลาจ่ายเงินในยุคถัดมามันถึงขัดสนกันไปหมด
กูยกตัวอย่างแถมให้เห็นภาพหน่อยๆก็มอง
สมาคมฟุตบอลไทย
ยุคบังยี(กรรมการพรรค คุณก็รู้ว่าใคร) บอลไทยจะไปบอลโลกล่ะกัน งบประมาณได้มาเพียบแต่บัญชีอะไรกูไม่แจงนะจ้ะ
พอมายุคสมยศ มาตรวจบัญชีเงินแม่งหายไปไหนหมด ภาษีก็ไม่จ่าย หนี้แม่งโผล่มาแทน 5555
กูมีญาติเสื้อเหลืองที่เคยทำงานกะแม้ว ยังบอกว่าทำงานกะแม้วดีกว่า ให้ความเคารพ หัวไว เสนออะไรอนุมัติได้ทันใจ อยู่กะปชป.แม่งยืดยาดไปเรื่อย
แม้วโกงทนไม่ได้ แต่ทหารโกงข้าราชการโกงกลับรับได้ แถมบอกว่าสงบดี เออตลก
**แพทย์
>>29
มึงและควายอ่านไม่แตก การเมืองขึ้นสมองไม่คิดวิเคราะแยกแยะ กุพูดถึง30บาทในแง่ราคาที่จะซื้อได้เพียงยาพารา ไม่ได้หมายถึงการรักษา เพราะที่กุอธิบายไปแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาโปะ ค่ารักษาที่มันมากกว่า30บาท ขนาดร.พศิริราชยังมาบ่นเลยรับภาระไม่ไหว แสดงว่ารัฐไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือเลย จะบอกว่าเป็นรัฐสวัสดิการอย่างหนึ่งไม่ได้ว่ะ เพราะฐานรายได้เราห่างชั้นมากจนโครงการนี้มันยังเร็วไปที่จะทำ ไม่ใช่ไม่เีแต่เร็วเกินไป
30บาทก็เหมือนอะไรสักอย่างที่ทำให้กูนึกถึงสหภาพการรถไฟไทย ถูกแต่บริหารยังไงก็ขาดทุนต้องเอางบมาโปะไปเรื่อยๆ
ว่างๆกูยังอยากถามไอ้จ่าเลย รับคนไข้30บาทมากี่ราย รพ.มันได้ซัพเพียงพอไหม ขนาดไอ้จ่ามันยังด่ารพ.มันบริหารห่วย? จนมันต้องลาออกเพราะงานหนักเกิน
เอาจริงๆนะ พวกชาวบ้านจนๆน่ะรักษายังไงก็ไม่คุ้ม จะปล่อยให้ตายก็ผิดจรรยาบรรณ จ่ายร่วมน่ะดีแล้ว
การเอาเงินมารักษาคนจนมันไม่คุ้มว่ะ เพราะคนพวกนี้ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอะไรให้สังคมเลย
แล้วก็พวกที่เรียกร้องให้เรียนฟรี 12 ปี
พอตอนรัฐจ่ายก็บอกว่าใช้งบเยอะ การเรียนการสอนไม่ดีอีก
เมืองนอกเขาจัดระบบสวัสดิการดีๆได้ เพราะประชาชนเขามีคุณภาพและ productive รัฐเก็บภาษีได้เยอะ
คนไทยมีแต่จะเอาอย่างเดียว
เรียนฟรีแล้วไง คนส่วนใหญ่แม่งไม่สนใจเรียนกัน ขนาดมหาลัยที่เสียเงินเรียน ยังแค่ไปหาผัวหาเมีย เด็กจบมาด้อยคุณภาพสุดๆ
คนไทยอยากได้แบบประเทศเจริญแล้ว แต่พฤติกรรมตัวเองยังดักดารอยู่แต่ชนชั้น3
แล้วมันจะเจริญได้เยี่ยงไร
เพราะคนไทยคิดแค่ว่าเจริญคือมีของดีราคาแพง แต่ไม่เคยคิดว่าคำว่าเจริญคือการทำตัวเจริญแล้วไงละ
>>38 +1 สำหรับวงการแพทย์ พวกหอคอยงาช้างที่วันๆเอาแต่นั่งประชุมไม่รู้ห่าเหวอะไรเสือกจะให้ระบบสาธารณสุขไทยเป็นแบบต่างประเทศ แต่มึงดูนิสัยคนไทยก่อนนนนน ความรู้สุขภาพเบื้องต้นก็ไม่มี คนที่เดือนร้อนจริงๆกูบอกเลยว่าไม่ไช่หมอ ถ้าทำจริงๆแพทย์จะสบายไปสิบเท่าแต่คนไข้ละสิมึงเอ้ยยย บันเทิงเลยทีนี้ เดี๋ยวหมอผียาลูกกลอนก็จะกลับมาบูมใหม่เพราะเร็วกว่าไปรพ.
>>32 รพ.เป็นหนี้ แพทย์บางทีต้องเอาเงินมาโปะเอง ยิ่งจบปุ๊บเป็นผอ.ปั๊บนี่โคตรซวย
“ผมจะบอกทุกวงที่เข้ามาเล่นที่ร้านว่า เพลงตลาดไม่ต้องเล่น แต่ถ้าลูกค้าขอ… ค่อยเล่น”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Pure genius! Must Read!
One of the richest and most powerful men in Brazil, Thane Chiquinho Scarpa, made waves when he announced plans to bury his million-dollar Bentley, so he could drive around his afterlife in style. He received lots of media attention, mostly negative and was severely criticized for the extravagant gesture and wasting of a precious commodity. Why wouldn’t he donate the car to charity? How out of touch with reality is this guy? He still went ahead with the ceremony.
But, there’s a twist. (Of course there is. Why else would this story be covered ?)
Moments before lowering the car in the ground prepared for the burial of his Bentley,he declared that he wouldn't bury his car and then revealed his genuine motive for the drama: Just to create awareness for organ donation.
“People condemn me because I wanted to bury a million dollar Bentley, in fact most people bury something a lot more valuable than my car,” Scarpa said during a speech at the ceremony. “They bury hearts, livers, lungs, eyes, kidneys. This is absurd. So many people waiting for a transplant and you bury your healthy organs that could save so many lives!”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก็เหี้ยยิ่งกว่ากูอีก ถถถ
"โรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิต"
ความเข้าใจผิดอย่างนึงของโรคซึมเศร้าคือมีคนจำนวนมากคิดว่าซึมเศร้าเป็นโรคจิต ซึ่งภาพพจน์ของโรคจิตคือพวกขโมยกางเกงใน ฆ่าหั่นศพ ฯลฯ ทำให้คนไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองเป็นกัน กลัวตัวเอง กลัวคนรอบข้างรู้สึกไม่ดีหรือจะอะไรก็ตาม ซึ่งความเข้าใจตรงนี้ต้องบอกว่า "ผิดถนัด" ไม่ใช่เลย "ซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิต(เฟร้ย)"
ความจริงแล้วเป็นความยากในการใช้คำในภาษาไทยหละจนทำให้คนเข้าใจผิดกันหมด ความจริงแล้วกลุ่มอาการผู้มีปัญหาทางจิตใจเราเรียกว่า "จิตเวช (Psychiatry)"
ซึ่งจิตเวชนี้มีอาการอยู่หลากหลายมาก ที่รู้จักกันเยอะพอสมควรแล้วทุกวันนี้คือ "ซึมเศร้า (Depression)" และ "โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder)" อย่างแรกที่ควรรู้คือสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน แต่ไม่ลงรายละเอียดละกัน
และกลุ่มอาการจิตเวชก็มีอีกหลายโรค อันนึงมีชื่อว่า จิตเภท (Schizophrenia) อันนี้แหละที่เรียกว่า "โรคจิต" ดมกางเกงใน ประสาทหลอน ฯลฯ มีประชากรโลกเป็นอาการนี้อยู่ประมาณ 1% เป็นมากเป็นน้อยก็แล้วแต่คนไป
ซึ่งคำมันก็ช่างคล้ายกันเหลือเกิน จิตเวช จิตเภทและก็โรคจิต ไม่แปลกใจที่สับสนกัน แต่ถึงเวลาที่ควรต้องทำความเข้าใจแล้น
ดังนั้น "ซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิตนะ" แต่เป็น "โรคจิตเวช" มันอยู่ในคนละวงกลมกัน จากนี้เรียกให้ถูก คนจะได้ไม่กลัวมัน ทุกคนมีโอกาสเป็นได้หมดและก็หายได้ดั๊วะ ป่วยก็ไปหาหมออออ :)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ตะกี้เจอความจังไรของช่องไบรท์ทีวีด้วยการทดสอบแรงลมบนสะพานขณะรถวิ่ง ด้วยการถือกระดาษออกไปนอกตัวรถขณะรถวิ่ง พลันลมก็พัดกระดาษไป
"ขณะรถวิ่งแรงลมจะเพิ่มเท่าทวีคูณ" คนทำสกู๊ปกล่าวทำนองนี้
ไอ้สัส ไม่มีการวัดค่าอะไรทั้งสิ้น แถมมึงทิ้งขยะบนถนนแบบนี้ด้วย ควยจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
1
ผมอ่าน ลับลวงพราง เป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 25 เพราะผมได้ยินลุงคนนึงพูดว่า "เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา จะรู้เรื่องประชาธิปไตยได้ยังไง"
หยิ่งผยอง ผมเสียหน้า
ผมอยากคุยกับแกสักสองสามประโยค แต่ลูกน้องแกกันออกมา ผมหันไปถามเพื่อน "ลุงคนนั้นใครว่ะ ดุฉิบหาย" ดนตรีขอเวลาอีกไม่นานกระหึ่มเป็นฉากหลัง
เพื่อนบอกไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูท่าจะเป็นคนใหญ่คนโต ลุงสวมเสื้ออย่าให้คนโกงมีที่ยืนในสังคม ส่วนลูกน้องแกที่มีข่าวโกงเงินทำสวนแล้วเอาไปบริจาค นั่งอยู่ข้างๆ ย้อนแย้งสิ้นดี ผมมองหน้า เสี้ยววินาทีนั้นเหมือนลุงสังเกตได้ว่าผมกำลังมองแก แกชี้นิ้วมาทางผมด้วยท่าทีฉุนเฉียวตามสไตล์ อุทานเสียงดังลั่นห้อง ปัดโธ่!!
2
ผมพบลุงแกอีกครั้งในรายการทีวี คืนวันสุขหรืออะไรสุขๆสักอย่างประมาณนั้น ผมจำไม่ได้เพราะไม่ได้ใส่ใจ ลุงแกบ่นด้วยอาการน้อยใจว่าคนสนใจแกน้อยกว่าเด็กแวนซ์ ผมคิดในใจว่าเป็นความผิดของพวกเรารึเปล่าน่ะที่ไม่ได้สนใจแก หรือความผิดของแกที่ทำให้เราสนใจไม่ได้ทั้งที่ใช้งบประชาสัมพันธ์อย่างมหาศาล
3
ผมเจอลุงแกอีกครั้งนึงที่งานอะไรสักอย่าง ทั้งที่ไม่รู้ว่าไปทำไม ผมยอมรับว่าลืมลุงแกไปแล้ว แต่แกดันยืนอยู่ที่นั่น
ผมเริ่มประโยคแรก "ผมอ่านหนังสือการปกครองประเทศจีนตามที่ลุงเคยแนะนำให้อ่านแล้ว"
ลุงบอก "ผมเคยแนะนำไปตอนไหนเหรอ"
เหมือนโดนทุ่มด้วยโพเดี้ยม ผมหลบไม่ทัน อะไรว่ะ ลุงคนนี้
"ลุงทำงานอะไร" ผมอยากรู้จริงๆ "เป็นยาม เป็นกุ๊ย หรือ เป็นนักเลงหัวไม้"
ลุงตอบ "ผมไม่ได้เป็นสักอย่าง"
ผมควรจะตัดบทแล้วไปคุยกับคนอื่นใช่ไหม แต่ไม่ว่ะ ไม่ใช่กับครั้งนี้ ผมคิดหัวข้อสนทนาใหม่ในทันที "ตอนนี้หน้าร้อนแล้ว มะนาวแพงมาก ผมควรปลูกมะนาวกินเองใช่ไหม"
ได้ผล ตาลุงแกเป็นประกาย "ฉันชอบวิธีแก้ปัญหาของคุณ"
4
ผมได้เป็นเพื่อนลุงในที่สุด อันที่จริงลุงแกมาขอเป็นเพื่อนผมเอง เพราะอยากเชิญเข้ากลุ่ม คณะปะติดรูป อะไรสักอย่าง ชื่อมันดูเหมือนเป็นงานศิลปะ ผมเลยเข้ากลุ่มไปเพราะนึกว่าทำงานศิลปะ จากนั้นทุกอย่างก็ดูไม่ปกติ
อาจเป็นเพราะผมควบคุมลุงแกไม่ได้ และลุงแกก็ไม่คิดที่จะควบคุมตัวเอง
เหมือนเราทำให้ทุกอย่างอยู่ในภาวะสุญญากาศร่วมกัน
มีบางครั้งที่เราเหมือนจะทำให้ทุกอย่างคืบหน้า แต่ผ่านมาสองปีแล้ว ก็พบว่าไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักอย่างเดียว
5
ผมเริ่มถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องทนลุงคนนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่ เรามากันถูกทางไหม ผมเริ่มเฟดตัวเองออกห่าง มีเพียงสายสัมพันธ์บางๆที่เชื่อมเราไว้
6
กลางดึกคืนหนึ่ง ลุงแกโทรมาหาผมเล่าให้ฟังว่าพึ่งฝากหลานเข้าโรงเรียนประถมไป
ผมถาม "ฝากโดยไม่ต้องสอบ ทำแบบนั้นได้ไง"
ลุงเงียบสักพักก่อนตอบ "นี่อำนาจผม ใครๆก็ทำกัน" แล้ววางหูไป
7
คิดดูแล้ว
นักบินอวกาศเป็นแบบนี้ใช่ไหม
หลังจากกลับจากภารกิจในอวกาศ
เค้าก็มักไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกะเราอีกต่อไป
จาก สหายคิม ณ เปียงยาง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องที่คนไม่มีการศึกษาไม่สมควรให้โหวตมีมาตั้งกะกรีกโบราณ ต้นกำเนิดประชาธิปไตยเลยนะเว้ย คนที่พูดไว้คนเเรกก็อริสโตเติล
ป่านนี้ก็ยังเถียงกันไม่จบ ปัญหาใหญ่จริงๆ
ในวันที่เกิดเรื่องเพี้ยนๆ ขึ้นมาในประเทศ อย่างการจับคนก่อน ตั้งข้อหาทีหลัง หรือการที่ประเทศอยู่ในมือของผู้ใหญ่โบราณเพียงไม่กี่คน ที่จะพูดอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ โดยไม่สนใจว่ามันจะดูเห่ยขนาดไหน
เมื่อผมหันมองย้อนกลับไปที่คนกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่ง ที่เมื่อ 2-3 ปีก่อน พวกเขาดูกระตือรือร้นกับการลุกขึ้นมาต่อต้าน "คนโกง", ต่อต้าน "การใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม" กันอย่างเอิกเกริก
...ผมแทบไม่เห็นความกระตือรือร้นแบบนั้นอีกแล้ว
พวกเขาใช้เวลากับการหาความสุขในชีวิต ข่าวสารบ้านเมืองที่เคยเป็นลมหายใจของพวกเขาถูกเก็บลงลิ้นชักเสียหมดสิ้น
(เอาจริงๆ มันไม่แปลกเลยนะที่จะหาความสุขใส่ตัว เราก็หาอยู่ เพลงก็ยังฟัง หนังก็ยังดู ฟุตบอลก็ยังเชียร์...แต่ "จิตสำนึกทางการเมือง" ที่มีอยู่ในตอนนั้นมันหายไปไหนหมดวะ)
เอาล่ะ หากเธอจะมองว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญแล้ว เราคงจะว่าพวกเธอไม่ได้
แต่เราจะจำในใจว่า "เราจะใส่ใจสังคมนี้ ในส่วนที่พวกเธอละทิ้งมันเอง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ในอนาคตถ้าเด็กคนนั้นโตมาจนอายุถึงเกณฑ์ก็มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดแบบไหนจะเกิดที่หมู่บ้านจนๆของภาคอีสานหรือเกิดที่แมตซาชูเซตก็เป็นคนเหมือนๆกัน
คนโง่ควรมีสิทธิเลือกตั้งมั้ยครับ
"I think you're confusing 'peace' with 'quiet'."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Much of the social history of the Western world, over the past three decades, has been a history of replacing what worked with what sounded good."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันนี้ภรรยาพามาทำงานด้วย ระหว่างนั่งแถวหลังรอเธอคุยกับลูกค้า เจ้าของห้าง ย่าน Orchard ที่อยากทำ virtual store ให้คนเข้ามาเลือกแล้วกลับบ้านไปรอของส่งไปที่บ้าน จะได้ไม่หิ้วให้เหนื่อย เจ้าของห้างมองว่าจะช่วยสร้างยอดขายและทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายช็อปเพลินและไม่เหนื่อยถือของ
คุณภรรยาบอกผู้บริหารห้างว่า คุณอาจจะคิดผิดก็ได้ เพราะผู้หญิงจะมีความสุขมากเวลาได้หิ้วถุงออกจากร้าน ยิ่งถ้าถุงเป็นแบรนด์เนม คุณต้องลองคิดดูว่าจะแก้เรื่องนี้ได้ยังไง ก่อนที่คิดจะลงทุนทำ brand virtual store แต่ในส่วน groceries/fresh food นี่รันได้เลย ตัวนี้เกิดแน่นอน
...
ช่วงนี้นางฮอต หลังจากปิดโปรเจค Tesco, BigC, Makro, Paragon, EmQuartier, มีไปพรีเซ็นท์ Tops จบอาทิตย์ก่อน แล้วมาปิดดีลลูกค้า NTUC ที่สิงค์โปร์วันนี้นอกรอบ เจอผู้ใหญ่ที่เคยทำงานกันตอนอยู่ Groupe Casino ลาออกจาก Giant มาอยู่ NUTC เกือบ 3 คน
ส่วนตัวรู้สึกโชคดีมาก ไม่ใช่เพราะได้ภรรยาสวย แต่ได้ภรรยาหาเงินเก่งและฉลาดมาก ส่วนตัวได้แต่เทคโนโลยี กลเม็ดและแนวคิด จุดที่เป็นการตั้งคำถามแทนลูกค้าได้ เพราะภรรยาสอนวิธีคิดให้หมดเลย
เวลาอธิบายเทคโนโลยีใหม่ๆให้ฟัง ยังไม่ทันจบ เธอคิดวิธีขาย และเดโมไปหาเงินกับลูกค้าได้แล้ว แค่ สัปดาห์เดียวให้น้องที่บริษัททำขึ้นมาอย่างไว จนบางทีเราก็รู้สึกว่านางน่าจะเขียนตำรา Omni/eCommerce ขึ้นมาน่าจะดีกว่า อย่าง Redmart นี่เขียนมาก็มีคนซื้อ
เดี๋ยวๆ ไปเหยียดเขาแล้วยังมาเล่าให้คนอื่นฟังอีกเนี่ยนะ!
ลองนึกดู มีหมาบ้ากัดเรา แล้วเราไปกัดตอบ ก็เท่ากับโลกมีหมาบ้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว แล้วเราก็มาโพสต์บอกคนอื่นว่าเราเพิ่งไปกัดหมาบ้าตัวนึงมาเนี่ยนะ! #แล้วชาวเน็ตก็เฮ
ถ้าไปเหยียดเขา แล้วเราจะตำหนิเขาได้ยังไงที่มาเหยียดเรา ในเมื่อเราก็ทำสิ่งเดียวกัน? #คิดซิคิด
เราคนไทย นอกจากเรื่อง "หน้าสำคัญกว่าชีวิต(คนอื่น)" แล้ว ยังชอบทำอะไรเพื่อความสะใจ โดยไม่สนว่าจะต้องเสียอะไรไปด้วย
กรณีตัวอย่างนี้เสียหน้าเลยยอมไม่ได้ ก็เลยเหยียดกลับไป (กรณีอื่นๆบางทีถึงขั้นใช้กำลัง) ทั้งที่ทำให้เราเสียศักดิ์ศรีไปอีกอย่างนึง แต่ไม่เป็นไร ขอให้สะใจก็เป็นพอ
แต่คุ้มจริงๆเหรอ
>>59 คนโง่มีหลายแบบ คนโง่หัวทึบจริงๆ คนโง่เรียนไม่เก่งแต่มีสติปัญญา คนโง่เพราะมีคนบอกว่าเขาโง่ คนโง่เพราะความคิดไม่ถูกใจเรา ถ้าห้ามคนโง่เลือกตั้ง อยู่มาวันนึงเราอาจโดนจัดให้อยู่กลุ่มคนโง่ขึ้นมาก็ได้ เกณฑ์อะไรที่ใช้วัดคนว่าโง่ก็เปลี่ยนไปได้ทั้งงั้น คนจบปริญญาบางคนยังโง่เชื่อว่าGT200ใช้งานได้ก็เคยเจอมาแล้ว
ภาพที่เห็นข้างบน คือ นายถิ่น จอ (ซ้ายมือ )เข้ารับตราตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 ถือเป็นผู้นำคนแรกของประเทศที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงเวลากว่า 50 ปี
ภาพนี้ถือเป็นงานพระราชพิธีสำคัญของประเทศ บุคคลระดับประเทศแต่งชุดประจำชาติของเมียนมาร์หรือพม่า นุ่งโสร่งที่เรียกว่า “ลองยี” (Longeje) เป็นลายตาราง หรือเป็นลายทางยาวบ้าง
สวมเสื้อคล้ายเสื้อจีนแขนยาว ถึงข้อมือ และติดกระดุมตั้งแต่คอตรงมาจดชายเสื้อ ใช้สีสุภาพ เช่น ขาวดำ หรือ นวล
แต่ที่สะดุดตาคือทั้งคู่ใส่รองเท้าแตะ
รองเท้าแตะเป็นส่วนหนึ่งของชุดประจำชาติพม่ามาช้านาน และไม่ได้ดัดแปลงเป็นรองเท้าหุ้มส้น เพื่อให้ดูเป็นประเทศพัฒนาตามแบบวัฒนธรรมตะวันตกแต่อย่างใด ด้วยความรู้สึกว่า รองเท้าแตะไม่ทันสมัย เชย หรือเป็นรองเท้าไม่สุภาพ เห็นนิ้วเท้าโผล่ออกมา
พม่าเคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษมาหลายร้อยปี แต่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์เครื่องแต่งกายตัวเองได้อย่างไม่เสื่อมคลาย
รองเท้าแตะในภาพนี้จึงท้าทายคนทั้งโลกว่า ความสุภาพของรองเท้านั้นวัดกันที่อะไร
อันที่จริงรองเท้าแตะน่าจะเป็นรองเท้าที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของพม่าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า พม่ามีวัดและศาสนสถานจำนวนมาก คนพม่านิยมเข้าวัด
และทุกคนรู้ดีว่า เมื่อใดที่ก้าวเข้าไปสู่ในลานวัด ต้องถอดรองเท้าไม่ว่าจะเป็นชนชั้นระดับใด ตั้งแต่กษัตริย์ไปจนถึงสามัญชน
การถอดรองเท้าเป็นสิ่งที่ทุกคนปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะแดดร้อนเพียงใดเมื่อย่ำไปบนลานวัด
รองเท้าแตะใส่ง่าย ถอดง่าย สวมสบาย ระบายอากาศ ไม่เหม็นอับ จึงเหมาะกับวิถีชีวิตของคนพม่า และสภาพภูมิอากาศ ร้อน ชื้ ความสวยความงาม ความสุภาพก็ไม่ได้วัดกันว่า ต้องปิดมิดชิดไม่ให้เห็นนิ้วเท้า
ขณะที่คนยุโรป ใช้รองเท้าแสดงถึงฐานะของคนในสังคมมาช้านาน รองเท้าที่สุภาพต้องเป็นรองเท้าหนังหุ้มส้นซึ่งก็เหมาะกับอากาศหนาวของคนทางเหนือ ที่ต้องมีสิ่งห่อหุ้มเท้าด้วย
หากย้อนไปในอดีต รองเท้าแตะ อาจจะเป็นรองเท้าโบราณรุ่นแรก ๆ ที่มนุษย์ใช้ในการเดินทาง เพื่อทำหน้าที่รองเท้าจากพื้นดิน และมีสายวางอยู่ระหว่างนิ้วเท้าทั้งสองเพื่อหนีบรองเท้าไม่ให้หลุด
รองเท้าแตะเก่าแก่ที่สุดในโลกค้นพบในสมัยอิยิปต์เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน ซึ่งทำด้วยใบปาปิรุส ใบปาล์ม ฟางข้าว แผ่นไม้ หนังสัตว์ และเป็นยาง หรือพลาสติกในปัจจุบัน
เมื่อเจ็ดสิบปีก่อน รองเท้าแตะได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนกลายเป็นแฟชั่นของเด็กวัยรุ่น เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อทหารสหรัฐอเมริกาได้นำเอารองเท้าแตะญี่ปุ่น ที่เรียกว่า ซริ และนักออกแบบได้ออกแบบรองเท้าแตะให้มีสีสันฉูดฉาดและใส่สบายจนกลายเป็นรองเท้าแฟชั่น หรือรองเท้าลำลองที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
ในเมืองไทย รองเท้าแตะที่ได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีหลายยี่ห้อ อาทิ นันยางรุ่นช้างดาว ดาวเทียม ฯลฯ
แต่แม้จะเป็นรองเท้าลำลอง ใส่เดินเล่น หากเดินเข้าไปในสถานที่ราชการหรืออาคารสำนักงานหลายแห่งก็อาจจะถูกพนักงานรักษาความปลอดภัย ปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในตัวอาคาร ด้วยสาเหตุคือไม่เคารพสถานที่
ผู้เขียนเคยรู้จักอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังท่านหนึ่ง มีนิสัยชอบสวมรองเท้าแตะเป็นประจำไม่ว่าจะไปไหน ท่านเคยโดนยามปฏิเสธไม่ให้ขึ้นไปบนอาคารเพื่อประชุมเพราะเป็นระเบียบของอาคารนั้นว่า ต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย รองเท้าแตะคือความไม่สุภาพ สุดท้ายท่านก็ถอดเกือกแตะเดินเท้าเปล่าขึ้นไปบนตัวอาคารแทน
จ่าง แซ่ตั้ง ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ครั้งหนึ่งเคยถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในงานแสดงแห่งหนึ่ง เพราะท่านใส่รองเท้าแตะ ถึงกับเอ่ยว่า
“เดี๋ยวนี้อารยธรรมวัดกันที่เกือก”
ทุกวันนี้เด็กวัยรุ่นทั่วโลกหันมาใส่รองเท้าแตะกันมาก คนรุ่นใหม่เริ่มรู้สึกว่า รองเท้าแตะไม่ใช้เพียงรองเท้าลำลองใส่สบายแต่สามารถสวมใส่ในงานพิธีอื่นได้ด้วย ขณะที่คนรุ่นเก่ายังมองว่าหากใส่รองเท้าแตะในงานพิธีสำคัญถือเป็นความมักง่าย ไม่รู้จักกาละเทศะ
ส่วนที่เมืองไทย ภาพรองเท้าแตะในงานพิธีสำคัญของรัฐไทย เชื่อว่าคงไม่ได้เกิดแน่นอน
- See more at: http://www.sarakadee.com/blog/oneton/?p=1863#sthash.OBbADFGw.xlBcRiH6.dpuf
เรื่อง บ.ล๊อบบี้ละว่าไง
"คนเรานี่มันมองแรงงานค่าแรงขั้นต่ำแบบตัดขาดออกจากตัวเองมากๆ เลยแฮะ เพราะการศึกษาเหรอ คือคิดว่ามีใบปริญญาเลยเหนือกว่ากัน เป็นคนละลีก
พูดกันแบบไม่ใช้หลักวิชานี่ ผมสะอิดสะเอียนทุกครั้งที่คนพวกนี้ด่าแรงงานขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่พวกมันก็เรียกร้องให้สังคมไทยมีน้ำใจ พวกมึงน่ะใจหยาบและเห็นแก่ตัวจนคำใดๆ ก็ไม่พอจำกัดความ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สเปอร์ : ฟ้าส่งข้ามา ใยต้องส่งเลสเตอร์มาด้วย
"เอาจริงๆ ไม่ปฏิเสธเลยว่า ถ้าคนเราไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เป็นประจำ ก็จะประหยัดเงินไปได้เยอะทีเดียว
แต่ก็จะไม่มีวันยอมรับไอ้แคมเปญใดๆ โดยเฉพาะ สสส. อย่างที่มักออกมาในทางว่าเลิกพวกนี้ก็เลิกจน เพราะแม่งชอบพุ่งเป้าไปที่คนชั้นล่าง ซึ่งไอ้คนพวกนี้เนี่ยนะ ด้วยค่าแรงแม่งน่ะ ประหยัดห่าไรไปชีวิตก็ไม่มีวันดีขึ้นหรอก ปัญหาจริงๆ แม่งไม่ใช่ใช้เงินโง่ๆ แต่คือได้รับเงินไม่พอจะเข้าถึงความประหยัด
อีสัส ใช้แดกใช้อาศัยก็หมดแล้ว
แคมเปญพวกนั้นแม่งเหมือนออกมาย้ำว่า "มึงมันจนเพราะโง่" ซึ่งแม่งเป็นการออกมาอย่างไม่เข้าใจห่าไรมนุษย์ทั้งนั้น มองโลกแต่ในมุมตัวเองแล้วชี้หน้าด่าทุกความเป็นอื่นว่าเหี้ย
ดังที่เคยกล่าวไปว่า การจะอธิบายให้คนเข้าใจว่าทำไมคนไร้บ้านแม่งตังค์น้อยยังเสือกแดกเหล้าดูดยานี่มันเป็นอะไรที่ยากเย็นมากๆ เพราะหลักคิดของคนมันมีแค่ง่ายๆ ว่าประหยัดและขยันเดี๋ยวมันก็รวยขึ้นมาเอง
แต่โลกจริงๆ มันไม่ใช่ไง มันมีดินแดนชีวิตที่แบบ สัส อย่างที่บอก เงินแม่งประหยัดแค่ไหนก็ไม่มีทางจะขยับชีวิตไปไกลกว่านั้นได้ไง ชีวิตแม่งติดหล่ม มึงประหยัดวันนี้ แต่พรุ่งนี้มึงก็ถังแตก เพราะมึงหาเงินเพิ่มไม่ได้ หรือที่มีอยู่แม่งก็พอแดกพออยู่แค่วันต่อวัน มันไม่ใช่คนที่รายได้พอจะเข้าถึงปริมณฑลของการประหยัดแล้วเหลือ
การประหยัดมันมีต้นทุนในการเข้าถึงนะเว้ย ที่กูชอบพูดเรื่องซ่อมพัดลมน่ะ ซ่อมทีแม่งสองร้อย ซื้อทีมึงห้าร้อย บางคนซ่อมห้าครั้งยังสะดวกกว่าซื้อใหม่ครั้งเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น มึงคิดว่าถ้าเงินเหลือแล้วคนเราจะเอาไปทำไรให้ชีวิตก้าวหน้าแต่ในทางที่มึงคิดเหรอ สัส ชีวิตดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มึงไปอ่าน Poor Economics ของอภิจิต บาเนอร์จี กับเอสเทอร์ ดูโฟลร์ โน่น บทแรกมันมีวิจัยเรื่อง Nutrition-Based Poverty Trap ว่าคนเราน่ะ (ในเล่มคือพวกจนมากๆ) เงินเหลือแม่งก็ไม่เอาไปพัฒนาชีวิตหรอกโว้ย มันเอาไปหาความบันเทิง จะทางแดกหรือทางห่าไรก็เหอะ
สัส นี่กูแถมให้ว่า recreation เป็นสิทธิมนุษยชน มึงรู้มั้ย ซัสสสสสส
แล้วหนังสือแม่งยังบอกอีกว่า การเข้าถึง saving ของคนจนมันไม่ใช่ง่ายๆ
อีเหี้ย มึงเงินเหลือก็ไปซื้ออ่านสิ อีเมกะเคลฟเวอร์
แล้วมึงลองกลับมานึกดู ไอ้ชีวิตคนจนอย่างที่กูพูดไปข้างต้น คนที่ไม่ว่าจะทำอะไร (รวมทั้งประหยัด) ก็ไม่เห็นทางที่จะขยับชีวิตได้ คนแบบนั้นคนไหนมันจะคิดอะไรไปมากกว่าการอยู่รอดไปวันๆ วะ อะไรช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดได้แม่งเอาทั้งนั้นแหละ
ควย
ป.ล. หนังสือห่านั่นมันไม่ได้มาด่าคนจนนะ มันคือดูว่ามีมายาคติไรบ้างที่เข้าใจคนจนผิด ทั้งด้านดีด้านไม่ดี เพื่อหาคำตอบที่แท้จริง ได้แก้ปัญหาถูก (อ้อ กูยังอ่านไม่จบ)"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรื่องนี้มันมาจากคติเสื่อผืนหมอนใบของคนจีนวะ คนรุ่นนั้นมาแต่ตัวแถมส่งเงินกลับบ้านยังเจริญได้ คนรุ่นถัดมาถึงเชื่อว่าการประหยัดอดออมทำให้คนรวยด้จริง ทุกวันนี้เศรษฐีหลายคนก็รวยมาได้ด้วยวิธีนี้ ประหยัดอดออมแล้วลงทุนทำในสิ่งที่ตัวเองเป็น ไปลิสรายชื่อเจ้าสัวได้เลยว่าปากกัดตีนถีบขนาดไหนกว่าจะรวย
กูรู้จักคนงานรายวันค่าแรง300 แต่เขาเก็บเงินปีเดียวได้เป็นแสน มากกว่ารายเดือน17,000อย่างกูอีก มันก็ใช่ว่าจะทำได้ทุกคน แต่ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ ในบางเคส คนที่รวยที่สุดทุกวันนี้บางคนก็จนที่สุดมาเหมือนกัน ดังนั้นจะว่าสสส.ผิดก็ไม่ถูกหรอก เพราะวิธีนี้มันเป็นทางที่ง่ายที่สุดที่ทำได้ด้วยตัวเองแล้ว
โมเดลการตลาดยุคปัจจุบัน
1. สร้างเพจการตลาดขึ้นมา
2. เลือกเอา success stories
แบบไม่ซับซ้อน ของแบรนด์ดัง
(เพื่อสร้าง Like/Share/View)
3. เล่าเรื่องนู่นนี่นั่น แปลของฝรั่งมา
หรือเอาเคสฝรั่งมาเล่า
4. เอาทฤษฎีการตลาดแบบผิวๆมาเล่า
(ห้ามเล่าเคสแบบจ้างที่ปรึกษาเป็นล้านๆ
หรือซับซ้อนๆเด็ดขาด เด๋วคนรู้สึกว่ายาก
เขาจะหมดแรงบรรดาลใจ คิดว่าทำเอง
ไม่ได้ เรียนจากมึงก็คงไม่ได้แน่
แล้วจะไม่ซื้อคอร์ส)
5. ขายคอร์สสัมนา เอาความสำเร็จจากเพจ
ที่แม่งอัดโฆษณาเรื่องตลาดนี่ละ เป็นเรื่อง
เล่าความสำเร็จ (เพจผมมีคนห้าแสนไลค์)
(จะไม่ถึงได้ไงก็มึงอัดโฆษณาเป็นแสน สัส)
6. พอเริ่มเวลโนน ก็ไปเป็นที่ปรึกษา วิทยากรบรรยา แล้วเอา profile ตรงนั้นกลับมาขายคอร์สรอบใหม่
7. ออกหนังสือสักหน่อย ไม่ก็ขายไฟล์วิดีโอสอนการตลาด
8. ทำกำไรจากสัมนาให้ได้รอบละห้าแสน-ล้าน
(ทำได้จริงๆ ลองคูณๆดูสิครับ)
9. เรียกแทนตัวเองว่าครู อาจารย์
ถ้าให้ชิ้กๆหน่อย เรียกว่า "โค้ช"
10. ตั้งเป็นบอสัดที่ปรึกษา/จัดอบรม
แล้วขยับไปขายคอร์สให้ภาคธุรกิจ
(พวกนี้มีเงินแน่นอนครับ)
อันนี้เขียนจากที่สังเกตหลายๆเจ้ามาน่ะครับ
-มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>84 มึงไม่เคยทำงานสินะ ถึงไม่รู้จักคำว่าOT บอกให้ก็ได้ว่ากูอยู่อิตาเลี่ยนไทย 1วันทำงาน10-12ช.ม. ได้วันละประมาณ500X6=3000 วันอาทิตย์ได้2แรง8ช.ม.=600 อาทิตย์นึงได้3600X51=183600 บางคนได้มากกว่านี้อีกถ้าหน้างานมีโบนัสงานด่วนให้ บางคนได้เงินเดือนพอๆกับนายช่างด้วยซ้ำ
เลิกใส่กางเกงขาสั้นแล้วค่อยมาพูดใหม่นะ อายเขาปล่าวๆ
300=8ช.ม. มากกว่านั้นคือOT แต่ห้ามเกิน12ชม. บางวันทำได้14ชม.แต่รวมทั้งอาทิตย์ห้ามเกินที่กฎหมายกำหนด
มันพูดเองว่ายามค่าแรงวันละ 300
มึงสิ่ไม่เข้าใจ มันคิดOT,หรือค่าควงกะเวลาวันหยุดก็มี แต่คนมันไม่กินไม่ดื่มในช่วง12ชม.เหรอวะ แล้วที่กูคูณให้ดู 365วันเลยแล้วความเป็นจริงเป็นไปได้ไหม? กูจะไม่เถียงหรอกว่าจะมีซักคนที่มันเก็บ100,000/ปีได้ไหม แต่กูขอบอกเข้าขั้นหายากแรร์ทีเดียว
.....แล้วใครบอกทำตลอด คนงานก็มีพักเที่ยง ทำ6.00-17.00=10ชม. รายเดือน8.00-17.00=8ชม. รายวันส่วนใหญ่รวยเพราะทำOTนี่ละ ถ้าขยันก็ได้เดือนละ13000ทั้งนั้นละ
แล้วมึงนั่นละมึนเอง เพราะเอา300X360ตรงๆ เวลางานของรายวันมันไม่ได้คิดแบบนี้หรอก เด็กน้อยจริงๆ ตอนแรกบอกว่าอยู่ได้ไงนปีละ9500 ทีนี้ดันบอกเก็บได้แต่น้อย
จะบอกให้ว่าคนในอิตาเลี่ยนถ้าประหยัดทุกคนเก็บได้มากกว่านี้อีก คนที่เก็บได้ปีละกว่า50000มีตั้งเป็นสิบ เกินแสนก็หลายคน ขึ้นอยู่กับปีด้วย
คนเขาทำงานนะเมิง ไม่ใช่ วันๆนั่งชิว สตาร์บัคแล้วมโน
ไอ้พวกที่ไม่เชื่อว่าเก็บได้มี 2 อย่าง 1 คือเด็กยังไม่เคยทำงาน 2คือไอ้พวกบริหารเงินไม่เป็นใช้เงินฟุ่มเฟือยแล้วคิดว่าคนอื่นต้องเหมือนมัน
Startup ไทย"ตอนนี้"อยู่ในช่วงฟองสบู่หรือยัง?
จากมุมมองของผมคำตอบสั้นๆ - ตอนนี้ยังไม่ใช่แน่ๆแต่อีก 6 เดือนไม่แน่ด้วยปัจจัยต่างๆที่จะอธิบายข้างล่าง
1. ปัจจุบันมูลค่าบริษัท startup ไทยเมื่อเทียบกับ startup ที่ 500 Startups ลงทุนมาทั่วโลก กว่า 1,500 บริษัท และ 500 Durians ลงทุนมากว่า 100 บริษัท ใน SEA เมื่อเทียบกับ traction และ business fundamentals i.e. revenue, growth, recurring paying customers, active users/usage/retention, gross merchandising value, etc. นั้นยังห่างกับคำว่าฟองสบู่พอสมควร และอยู่ในระดับที่ healthy มากๆ แนวโน้มของ valuation ค่อยๆสูงขึ้นแต่ไม่ได้เพิ่มแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับ traction แน่นอนว่ามีบางตัวที่เป็น outliers แต่จำนวนนั้นค่อนข้างน้อยมาก
2. คุณภาพของ startups ที่ มา pitch กับเราและเรา keep an eyes on แต่ยังไม่ได้ลงทุนมีคุณภาพที่ดีมากๆและ look really promising เมื่อดูจาก traction ของเขา
3. อันนี้ subjective measurement - ผมยังไม่เห็น startup ที่ไม่ควรได้รับเงินลงทุนแต่ดันได้รับเงินลงทุน หรือถ้ามีก็น่าจะน้อยมากๆ
4. แต่สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไปทันทีถ้าภายใน 6 เดือนข้างหน้าเมื่อแนวโน้มข้างล่างนี้เริ่มเปลี่ยนไป
- การทะลักเข้ามาของ dumb / speculative capital ไม่ว่าจะมาจากแหล่งไหนก็ตาม dumb capital จะทำให้เกิดการลงทุนใน startups ที่ไม่ควรได้รับเงินลงทุนหรือยังไม่พร้อมแล้วจะทำให้เกิดฟองสบู่อย่างแน่นอน ส่วน speculative capital คือการลงทุนแล้ว push ให้ startup ปั่น valuation สร้าง paper wealth ในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้เกิดฟองสบู่และการ spoil ตลาดอย่างรวดเร็ว startups ควรจะเลือกระดมทุนจาก smart, connected, committed, value-added capital ที่ เข้าใจว่า startup เป็นเรื่อง long term กว่า startup จะสำเร็จก็ใช้เวลามากกว่า 5 ปี บางครั้งเกือบ 10 ปี และ smart capital เหล่านี้ยังช่วยเปิดประตู และ add value แก่ startup มหาศาลที่ทำให้ เงิน $1 ที่ลงทุนไป เทียบเท่ากับ $10
- การผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ของ startup events และ ฟองสบู่ของ low quality incubators / accelerators สิ่งสำคัญของ high quality incubator/accelerator คือ commitment ทำแบบจริงจังไม่ใช่ทำเพื่อ PR และ คุณภาพ/commitment ของ mentors ใน program และความเข้าใจใน startup อย่างแท้จริง ในสถาณการณ์ที่ mentors ดีๆที่ committed ยังขาดแคลน และความเข้าใจในเรื่องของ startup อย่างแท้จริง ก็จะทำให้ incubator/accelerator หลายๆอันผลิต startups ที่ไม่ได้คุณภาพ เหมือน คนตาบอดจูงคนตาบอดอีกที
- การโหม promote กระแส startup โดยที่ไม่ได้มีการ educate ในภาพอีกด้านของ startups ที่ไม่ได้สวยหรู ไม่ได้รวยเร็ว แต่ทำงานหนัก และ รายได้น้อยแถมเสี่ยงมหาศาล เหมือนที่ผมบอกเสมอว่า startup งานควาย รายได้ไม่ดี แต่ มีอนาคต ทำให้ เราได้แต่ปริมาณ startups แต่ไม่ได้คุณภาพ เพราะเราดึงดูดคนมาทำ startups ด้วยเหตุผลที่ผิดและทำตามกระแสมากกว่าจะทำด้วย passion ที่อยาก solve problems ที่ drive ออกมาจากภายในจริงๆ
- ช่องโหว่ในกลไกและนโบายการสนับสนุน startup ที่ทำให้ คนที่ไม่ควรได้รับการสนับสนุน เช่น บริษัทใหญ่ๆ หรือ startup ที่มี connection มาใช้ประโยชน์ จากช่องโหว่ตรงนี้
ถ้ามีฟองสบู่จริงๆในปีนี้หรือปีหน้ามันจะเป็นเรื่องน่าเศร้ามากๆเพราะ มันเป็นฟองสบู่ที่เล็กมากๆ แทนที่เราจะสร้าง fundamental ที่แข็งแกร่ง แต่กลับได้ฟองสบู่ๆเล็กๆที่แตกดังโพล๊ะ แล้วทำลาย ecosystem ที่เราช่วยกันสร้างอย่างยากลำบากมาตั้งแต่ 2012 และเต็มไปด้วยศักยภาพถ้าเรา focus ในสิ่งที่ถูกต้อง
ถ้ามีฟองสบู่จริงๆ startup ควรจะทำยังไง? ผมว่าสุดท้าย งานหลักๆของ startup คือ focus ในการสร้าง business fundamental ที่ แข็งแกร่งและ defensible และ ทำงานให้หนักมากขึ้น startups ที่แข็งแกร่งจะอยู่รอด และยิ่งเข้มแข็งขึ้นด้วยซ้ำ ส่วนปัญหาการ raise fund นั้น ผมมองว่าที่ seed/series A อย่างน้อยในปีนี้ ถึง ปีหน้ายังไม่มีปัญหาแน่ๆ ยิ่งมี exit ใหญ่ๆอย่าง Lazada ยิ่งทำให้ capital flow หนีจาก Silicon Valley ที่ฟองสบู่ startup ไกล้แตก และ จีนกับอินเดียที่ร้อนแรงเกินไป มาที่ SEA ที่เป็น the next frontier มากขึ้น 500TukTuks เองก็ยังมี capital เหลือกว่า 300 ล้านบาท และสำหรับเรามันคือการ สร้าง ecosystem ในระยะยาวไม่ใช่เล่น เกมในระยะสั้น กองทุนนี้ เราสร้างมาไม่ใช่ เพื่อสร้าง สีสันฉูดฉาดและผักชีในระยะสั้น แต่มัน คือ mission ในการเปลี่ยนประเทศในระยะยาว และ การที่มันยาก มันท้าทาย มันใช้เวลา แต่มี impact มหาศาลมันถึงจะเป็นสิ่งที่มีความหมายเพียงพอที่เราจะ ทุ่มทั้งชีวิตเพื่อสร้างมันขึ้นมาครับ
cc:\ Natavudh Moo Pungcharoenpong Pahrada Mameaw Sapprasert
"เห็นใครครั้งแรกกูก็บอกได้แค่สูงต่ำดำขาวเท่านั้นอะ ใครทะลึ่งเห็นครั้งแรกแล้วบอกได้มากว่านี้ ไม่น่ากลัวมากๆ ก็น่ารังเกียจมากๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมืองไทย start up มันแค่ของเล่นของคนมีเงิน
"วันนี้เกือบโดนทอมต่อยครับ เเต่สาเหตุผมไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นจะโดนทอมต่อยเพราะมองเมียทอม ผมจะโดนต่อยเพราะมองก้นทอม
เวลาทอมใส่กางเกงผู้ชายนี่ก้นเเม่งจะรัดสัสๆ บางคนนี่ก้นน่าเด้ากว่าผู้หญิงอีก เกือบโดนต่อยเลยกู"
-มิตรสหายท่านนึงบนเฟสบุค
Spend your money on the things money can buy.
Spend your time on the things money can't buy.
วันนี้ start up Thai ต้องการอะไร..??
ในความคิดของผม ที่เน้นการเติบโตที่ยั่งยืน มากกว่าผลตอบแทนระยะสั้น
มองว่า สิ่งแรกที่Start up ต้องการมากกว่าทุน คือ product concept หรือ business model...หลังจากที่ผมได้คุยกับ start up มาสัก 7-80ราย มีเข้าตาจริงๆ 2-3บริษัทเท่านั้น...ที่ผมอยากลงทุนด้วย..แต่deal จนจบจริงๆแค่1บริษัทครับ..!!
แต่1บริษัทที่ว่า คือ บ.MEB เมื่อมาอยู่กับผมแล้ว มียอดขายที่เติบโตเกือบ500% ในช่วงเวลา2ปีเท่านั้น...และสำคัญกว่านั้น ทำกำไรได้ทุกปีครับ และมีแนวโน้มที่อัตราทำกำไรจะสูงขึ้นเรื่อยๆ.....ที่ผมพูดเสมอว่าธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายเราวัดกันที่ยอดขายและกำไร..!!
ในช่วงเร่งโต เรายอมรับการขาดทุนได้ แต่ต้องดูว่าอัตราการโตมันคู่ควรกับการขาดทุนขนาดนั้นหรือไม่..?? ถ้าโตมากก็จริง แต่ขาดทุนหนัก สุดท้ายก็ไปไม่รอดอยู่ดี เมื่อเงินทุนที่อัดฉีดเข้าไป เลิกสนับสนุน ก็ต้องขายกิจการกันในราคาถูกๆ เพราะบางครั้งค่าใช้จ่ายในการปิดธุรกิจสูงกว่าการขายธุรกิจออกไปในราคาซาก..!!
ที่พูดเรื่องproduct หรือ service concept สำคัญมากๆ เพราะเป็นด่านแรกเลย ที่invester ที่มีประสพการณ์ มองว่าเป็นไปได้หรือไม่...และส่วนใหญ่ มันไม่มีทางสมบูรณ์แบบแต่ต้นหรอกครับ...แต่ invester เก่งๆจะมองลึกไปกว่านั้นคือ founder หรือทีม มีcharacter ที่เปิดกว้างทางความคิด ที่จะฟังความเห็นอื่นในการพัฒนาหรือไม่..??
เพราะไม่มีทางที่สินค้านั้น เมื่อออกสู่ตลาดแล้วจะไม่มีการปรับจูนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมตลาด เมื่อกลุ่มลูกค้าmass ทดลองใช้
ดังนั้น start up รายไหนที่ ego สูงๆ หรือ over confidence ถ้าคุณไม่เก่งจริงๆ ระดับอัจฉริยะแบบ Steve Jobs...การเปิดใจรับฟังความเห็นอื่น เป็นสิ่งที่ทำให้คุณได้เงินทุนสนับสนุนหรือไม่ได้รับการสนับสนุนกันเลยทีเดียว
และว่าไปแล้ว start up ในไทยประสพการณ์ทางธุรกิจ ไม่มากนักครับ
รายที่มีประสพการณ์สูงๆ และเก่งมากๆ อย่าง Jitta เป็นต้น พอลงมาทำ start up ผมมองว่าไปได้ไกลมากๆแน่นอน..พวกเก่งจริงๆพวกนี้ไม่ค่อยเดือดร้อนกับการหาเงินทุน เพราะนักลงทุนมีแต่แย่งกันเอาเงินไปให้
ผมมีโอกาสได้สัมผัสกลุ่ม start up ที่ฝรั่งเศษเกือบ200ราย พูดได้เลยว่าแตกต่างกับ start upไทยมากมายนัก...start up ที่โน่นอายุค่อนข้างมากครับ 30-40 เป็นส่วนใหญ่ ทุกคนเคยผ่านชีวิตการทำงานมาแล้วจนตกผลึก และทำสินค้า product concept หรือ business model ที่ใกล้เคียงความจริง และมีความเป็นไปได้สูงมากเป็นส่วนใหญ่เลย
เหมือนกับ start up ไทยที่เพิ่มประสพการณ์ไปอีก10ปี และทุกคนเปิดกว้างในการรับฟังความเห็นต่างกันดีมาก...egoน้อยแต่ยอดขายเยอะครับ..!!
เราทุกคนมีความฝัน เราทุกคนมุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศ แต่ใจอย่างเดียวไม่พอครับ..!!
โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้น ต้องรับฟังความเห็นต่างให้มากๆ
เพราะคุณจะโตด้วยจุดแข็ง แต่คุณจะพังเพราะจุดอ่อนเสมอ..!!
คุณต้องหาให้เจอครับ ว่าจุดอ่อนคุณอยู่ตรงไหน..??
ถ้าหาไม่เจอ ตอนคุณล้มเผลอๆยังไม่รู้เลยว่าเราล้มเพราะอะไร..??
สู้ๆนะครับ start up ไทย...ที่เขียนมากก็หวังว่าจะเป็นการ ติเพื่อก่อ และอยากเห็น start up ไทยมีบทบาทเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจไทย ให้เป็นธุรกิจช่วย Added value ให้ประเทศได้อย่างแท้จริง...
มีสส.มาชมทีมเลสเตอร์ที่สนามคิงพาวเวอร์ พอเจอเจ้าของคิงพาวเวอร์(คนลูก) ก็พูดคุยกันแล้ว สส. ก็เอ่ย คุณอย่าลงเลือกตั้งเป็นสส.เชียวนา
: ทำไมล่ะ?
: คุณก็ชนะแน่นอนนะสิ ผมกลัว(หัวเราะ) ผู้คนในเมืองเขาต่างก็รักคุณทั้งนั้น
#มิตร a day 188
"คนที่เขาคิดเรื่องสินสอดนี่ เขาประเมินราคาลูกสาวจากอะไรกัน บางทีเขาเรียกกันว่าค่าน้ำนม แล้วลูกผู้ชายนี่ไม่ได้กินนมแม่รึ? เราตั้ง start up ดีไหม เอานักเศรษฐศาสตร์มาช่วยประเมินราคาลูกอย่างสมเหตุสมผล"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พ่อแม่แฟนกูไม่เอาอะไรสักอย่างเลย รวมทั้งลูกเขยแบบกูแกก็ไม่เอา"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"จ้า"
จ้า
เราเคยมาแล้ว เจอกันไม่กี่วันคุยกันถูกคอ แบบว่าใช่อะ แล้วก็มีกิจกรรมกันก็เข้าม่านรูดเลยละ พอเข้าโรงแรมเสร็จออกมาเขาพาไปหาแม่ที่บ้านเขาเลย ไม่บอกเราด้วย แล้วเขาก็บอกว่าคิดจะจริงจังด้วยแล้วก็เลยพาไปหาแม่คืนนั้นเลย พออีกวันเราก็พาไปหาพ่อแม่เรา หลังจากนั้นก็ไม่ต้องเข้าโรงแรมอีกเลย ไปที่บ้านเขา บ้านเราบ้างเพราะพ่อแม่ก็รับรู้ทั้งสองฝ่ายแล้ว หลังจากนั้นไม่ถึงปีก็แต่งเลย ปัจจุบันอยู่กันมา 7 ปี มีลูก 1 คนแล้วคะ
There have been no known cases of a man getting HIV by giving a woman oral sex or if a man receives oral sex. The only time it is risky is if you are giving a man oral sex. It is more risky if he ejaculates in your mouth.
"ความขำของงาน startup คือ เกินครึ่งของพื้นที่จัดงานตกเป็นของ k-bank, แบ้งกรุงเทพ sme bank มาขายเงินกู้กันอย่างสนุกสนาน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ความขำของงาน startup คือ เกินครึ่งของคนจัดงาน ไม่ได้เข้าใจความหมายของ startup"
#มิตรสหายท่านที่สอง
"ขำกว่า ... คือไอ่ตัวให้โอวาทแม่งไม่เคยทำมาหากินห่ารัยเลย
เสือกเลคเชอร์ฉอดๆๆๆๆๆ ได้ว่า STARTUP ต้องทำยังไง"
#มิตรสหายท่านที่สาม
The smell. Moms were not always moms, they dated and fucked too. Most have had their faces painted at one point or another. For fuck sakes guys, THEY CAN SMELL YOUR CUM. Even if its old juice, they can usually smell the dank/musk of your pole milk.
ร้อยละ 90 ชายชอบเล่นว่าว แม้จะแอบยังไง มันต้องมีใครบังเอิญมาเจอสักครั้งต้องกำลังทำ
ร้อยละ 50 คนที่เจอ เสือกเป็นคุณแม่
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง
''คิดนอกกรอบ≠ ทำนอกกฏ''
#มิตรสหายโม่งท่านหนึ่ง
เห็นหนุ่มน้อยรายหนึ่งกระแนะกระแหนสาวๆที่ชอบโพสต์รูปแฟนหนุ่มว่า "อวดผัว"
ดิฉันขำ พลางคิดในใจว่า เจ้าหนุ่มนั่นช่างอ่อนโลกนัก ใสซื่อจริงๆ
ผู้หญิงไม่ได้โพสต์รูปแฟนเพราะอยากอวด ไม่ได้โพสต์เพราะโลกสวยมีความสุข แต่การโพสต์มาจากเหตุผลที่สายวิชารัฐศาสตร์และยุทธศาสตร์เรียกว่า "Deterrence" ซึ่งภาษาไทยในวงการทหารเรียกว่า "การป้องปราม"
เนื้อหาดั้งเดิมของ "Deterrence" ในทางรัฐศาสตร์ หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐใดรัฐหนึ่งหรือกลุ่มรัฐใดรัฐหนึ่งนำมาปฏิบัติเพื่อส่งสัญญาณไปยังรัฐอื่นมิให้ดำเนินนโยบายที่ไม่พึงประสงค์ การป้องปรามนี้เป็นยุทธศาสตร์การข่มขู่ เพื่อชักจูงให้อีกฝ่ายเกิดความเชื่อว่า การกระทำใดๆที่ไม่พึงประสงค์จะมีผลเสียมากกว่าผลดี เช่น การพัฒนาระบบขีปนาวุธอย่างเปิดเผย เป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐอื่นว่าอย่ามาคุกคาม เป็นต้น
ในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง.. "Deterrence" มักปรากฎในลักษณะของการโพสต์รูปคู่หวานๆในโซเชี่ยลมีเดีย โดยเปิด public และ tag ฝ่ายชาย เป็นผลให้รูปนั้นปรากฏในพื้นที่ของฝ่ายชายด้วย เพื่อให้มนุษย์ในโลกและสังคมของฝ่ายชายเห็น แล้วตระหนักว่า ฝ่ายชายมีแฟนแล้ว มีเมียแล้ว หรือ แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว เป็นการส่งสัญญาณไปยังบรรดาสาวอื่นๆอย่างไม่เจาะจงว่า "เขามีเจ้าของแล้ว ห้ามยุ่งนะจ๊ะ" หรือ อาจมีเป้าหมายเจาะจงเพื่อส่งสัญญาณไปยังสตรีบางนาง ที่เรียกในวงเม้าท์เพื่อนสาวว่า "อีนั่น" หรือ "นังนั่น" เพื่อส่งสัญญาณว่า "ไสหัวไปซะ"
ด้วยเหตุนั้น รูปคู่ยิ่งเยอะ ยิ่งหวาน ยิ่งสะท้อนว่าคุกรุ่นมาก อย่าสะเหร่อเสี่ยงเข้าไปอยู่ใน theater of war หรือ ยุทธบริเวณ อันตรายมาก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Imawa no kuni no alice เรื่องนี้สนุก แนวจิตวิทยาและสืบสวน
แรกๆเหมือนจะสายมิตรภาพ ดูเป็นการ์ตูนสายโชเน็นทั่วไป
สักพักจะเริ่มคดีพลิกเรื่อยๆ
ตอนยี่สิบขึ้นไปจะเริ่มเข้มข้น
บางตอนให้อารมณ์อิคิงามิมาก โดยเฉพาะ 26.2
เมาคลีล่าเห็ด เมาคลีล่าเห็ด
เด็ดผักหวาน เด็ดผักหวาน
จุดไฟเผาเอามันให้เหี้ยน จุดไฟเผาเอามันให้เหี้ยน
ผักไม่กี่กำ ทำวอดวาย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีแต่คนบ่นศก.ไม่ดีๆ
เลยไปเดินห้างฯดัง คนเต็มห้าง
ไปเดินผ่านร้านอาหารแพงสัสๆ แต่มี่ชื่อติดตลาด คนเต็มร้านแถมมีต่อคิวยาวโครตๆ
ตกลงศก.ไทยเราติดหล่มตอแหลกันอยู่ ฤ
คนไทยยังมือเติบกันอยู่แต่เลือกแดกเลือกใช้กันแต่ไอ้ที่ดังๆมากขึ้นโดยเฉพาะของนอกของนำเข้า ทำให้เม็ดเงินกระจายหมุนเวียนในประเทศไม่ทั่วถึง
#มิตรสหารโม่งท่านหนึ่ง
"โกงข้อสอบ
อันนี้พูดถึงเรื่องโกงข้อสอบทั่วๆไปนะ ไม่ได้พูดถึงเฉพาะกรณีการโกงสอบเข้าหมอรังสิตเคสเดียว เดี๋ยวอ่านแล้วจะว่า เอ๋ อาจารย์xxทำไมมาแก้ต่างให้พวกคนไม่ดี บ้ารึเปล่า พอดีเห็นปฎิกริยากับข่าวนี้แล้วมีประเด็นบางอย่างที่น่าสนใจแต่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึง
ขึ้นชื่อว่า “โกง” ได้ยินก็โมโหแล้วใช่มะสำหรับคนไทยทั่วๆไปเนี่ย ราวๆสิบปีกว่าๆมานี้เป็นประเด็นสำคัญของประเทศเลย เรื่องโกง เรื่องคอรัปชั่น ประเทศชาติเราไม่เจริญก็เพราะคนโกงเนี่ยแหละ เป็นอะไรที่เลวร้ายมาก อันนี้ไม่เถียง แต่เราๆจบกันแค่ที่ด่าคนโกง อยากจับคนโกงไปประหารไง และวิธีแก้ปัญหาก็คือการสร้างจิตสำนึก สั่งสอนลูกหลานว่ามันไม่ดีนะ อย่าโกง จบอยู่แค่นี้ ซึ่งก็ถูก แต่ไม่ถูกทั้งหมด
ก็เหมือนกับทุกๆเรื่อง การลดทอนประเด็นปัญหาให้เหลือแค่ระดับ “บุคคล” โยนว่าเป็นเรื่องจิตสำนึก สันดาน ความละอายต่อบาปของแต่ละคน มันทำให้เราไม่เข้าใจกลไกของปัญหาอย่างแท้จริง แล้ววิธีแก้ปัญหาเราก็กลับไปที่ระดับบุคคล ไปสร้างจิตสำนึกอะไรเนี่ยไปเรื่อย คือทำแบบนี้ไปยี่สิบสามสิบปีมันก็ไม่ได้ผลหรอก ถ้าเราไม่ไปแตะตัว “โครงสร้าง” ที่ทำให้เกิดปัญหาด้วย
กลับมาที่เรื่องการโกงข้อสอบเนี่ยเราพูดกันแต่ประเด็นคุณธรรม จริยธรรม หมอผู้ใหญ่ก็ได้ทีออกมาเทศนากันใหญ่ว่าวิชาชีพแพทย์ต้องมีคุณธรรมสูง โกงเข้ามาอย่างนี้เป็นหมอไม่ได้หรอก ซึ่งไม่ถูกทั้งหมด ผมเป็นอาจารย์มาหลายปีแล้ว จะบอกว่าเจอทุกปีนะเรื่องนักเรียนลอกข้อสอบ ลอกงานมาส่ง โกงรีไควเมนท์ ให้คนอื่นทำแลปให้ ฯลฯ มีหมดแหละ ขึ้นอยู่กับว่าจะจับได้หรือเปล่า ถ้าเราคิดง่ายๆแบบข้างต้นนี่เราก็ชี้หน้าด่าไปเลยว่าเด็กพวกนี้เลวไม่มีคุณธรรม อย่าให้จบมาเป็นหมอเลย ไล่ออกให้หมดเถอะ
แต่เอาเข้าจริงเด็กเหล่านี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก หลายคนก็เป็นเด็กดี ใส่ใจคนไข้ มีน้ำใจกับเพื่อนฝูง เพียงแต่ ณ จังหวะนั้นๆมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ตรงไปตรงมากับการเรียน เช่น อ่านหนังสือไม่ทัน ตกสเตปแล้วตกสเตปอีก คนไข้จะมาไม่ได้แล้วแต่ดีไซน์ยังไม่ผ่านอาจารย์แม่งก็ไม่ค่อยเข้ามาตรวจ ไปจนถึงเหตุผลงี่เง่าๆแบบไม่ชอบเรียนวิชานี้เลย ลอกๆให้มันผ่านไปแล้วกัน เหตุผลมันมีหลากหลาย แล้วไอ้ระบบการเรียนการสอนในคณะก็มีส่วนเยอะที่ทำให้นักศึกษาต้องดิ้นรน เพราะถ้าไม่ผ่าน ไม่ได้รีไคว์เมนท์ สอบไม่ได้ เค้าจะโดนทิ้งไว้ข้างหลัง ใครที่จิตใจไม่แข็งแกร่งพอก็อาจจะเลือกการเอาตัวรอดโดยไม่เลือกวิธีการทั้งๆที่พื้นฐานก็ไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายอะไร
ลองมาคิดๆดูแล้ว สิ่งที่ทำให้เด็กนักเรียนมี “แนวโน้ม” ที่จะ “โกง” ข้อสอบ นอกจากการเป็นเด็กนิสัยไม่ดีแล้ว อันหนึ่งที่สำคัญมากๆก็คือระบบการศึกษาบ้านเรามันเน้น “academic achievement” หรือผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามาตั้งแต่ชั้นก่อนอนุบาลเลย คือถ้าคุณจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเนี่ย คุณต้องเรียนเก่งๆ สอบได้เกรดดีๆ พิสิกส์ เคมี ชีวะต้องแน่น แล้วไอ้นิยามการ “ประสบความสำเร็จในชีวิต” เนี่ยมันก็แคบมาก คือคุณก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้ อยู่ในคณะดีๆ เป็นหมอ เป็นวิศวกร ถ้าสายศิลป์ก็ต้องเข้าอักษรจุฬาหรืออะไรก็ว่าไป อย่างน้อยก็ต้องจบปริญญาตรีนั่นแหละถึงจะประกันว่าคุณจะมีชีวิตที่ดี ซึ่งการจะไปถึงตรงนี้คุณก็ต้อง “เก่งเรียน” เก่งในที่นี้คือเก่งเลข เก่งภาษา เก่งอะไรที่มันเป็น academic แม้แต่ถ้าอยากเป็นพ่อครัวก็ต้องเก่งเคมี จะได้เข้าฟู้ดไซน์ หรือเก่งอังกฤษจะได้เข้าการโรงแรม คือทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการเก่งหนังสือหมด มันถึงมีพ่อแม่ที่กำหนดตารางชีวิตให้ลูกแบบที่แชร์กันอยู่น่ะ นั่นคือโอนลี่เวย์ของการประสบความสำเร็จของเด็กไทยเลย
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>127 )
น่าจะเคยดูการ์ตูนอันนึงที่เป็น ลิง กระต่าย ปลา งู มาเข้าโรงเรียนด้วยกัน แล้วครูก็สั่งว่า เอ้า นักเรียนวันนี้เราจะสอบปีนต้นไม้กัน ใครปีนได้ดีจะได้เกรดดี การศึกษาไทยมันเป็นงั้นแหละ ใครเกิดมาฉลาดหน่อยก็เป็นลิง ปีนต้นไม้ฉลุย ใครโง่หน่อยเกิดมาเป็นกระต่ายแต่บ้านรวยก็จ้างครูมาสอนปีนต้นไม้ อาจจะปีนไม่เก่งเท่าแต่ก็ได้คะแนนดีได้ แต่กลับกันถ้าไม่ได้เกิดมาเป็นลิงแล้วดันจนด้วยก็เป็นปลาในโถ ออกจากน้ำก็ยากละ ยังต้องปีนต้นไม้อีก ต้องพยามกันขนาดไหนถึงจะสอบผ่าน แล้วถ้าสอบไม่ผ่านทางเลือกอื่นมันก็มีจำกัดเอามากๆ โลกนี้มีปลาเป็นล้านๆ ก็แย่งโอกาสที่เหลือกันเอาเอง สังคมบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ เน้นวัดกันที่การปีนต้นไม้ ทางรอดของคุณคือเกิดเป็นลิงไม่ก็บ้านรวย ถ้าเกิดมาเป็นปลาก็ต้องดิ้นรนเอาหนักๆ
บ้านเรามันไม่ค่อยมีนะ เด็กที่จะมีความฝันเป็นเชฟซูชิ เป็นช่างซ่อมรถเก่งๆ เป็นช่างไม้ฝีมือดี คือถ้าเป็นที่อื่นที่ “ความฝัน” ของคนมันหลากหลายและสังคมไม่ได้บ้าใบปริญญาเนี่ย ถ้าชอบทำกับข้าวมาก จบม.ปลายก็ไปทำงานร้านอาหาร ผ่านไปห้าหกปีก็เป็นเชฟ ก็ประสบความสำเร็จได้ แต่บ้านเราคนที่สู้ไม่ไหวในระบบการเรียนหนังสือมันจะถูกย้ำซ้ำๆว่าแกมันโง่ ไม่เก่งอะไรสักอย่าง จะลาออกมาฝึกอาชีพก็ไม่ได้พ่อแม่อยากให้เรียน ก็ทนๆเรียนอะไรที่ไม่ได้ชอบไป เกรดก็ห่วย จบมาได้ปริญญามาใบก็ไปทำอะไรที่ไม่ได้เรียนมาอยู่ดี วงจรมันก็แค่นี้
ที่ร้ายยิ่งไปอีกก็ระบบการเรียนบ้านเรามันเน้นกันที่ผลการเรียนแล้วมันก็เน้นผลกันจริงๆนะ คือถ้าคุณสอบได้ดีมันก็แปลว่าคุณสำเร็จ ไอ้กระบวนการเรียนรู้ระหว่างทางอะไรนี่ไม่ค่อยถูกเอามาวัดผล คือวัดศักยภาพกันในห้องสอบ การเรียนพิเศษมันถึงบูมนักในเมืองไทย แล้วระบบมันเป็นระบบแพ้คัดออกด้วย ครูเอย โรงเรียนเอยก็เอาใจ ประคบประหงมแต่เด็กเรียนเก่ง เด็กที่เรียนไม่ดีนี่ไม่ถูกมองเลย ปีนต้นไม้ไม่ได้ก็ดูแลตัวเองไปละกัน หลายคนที่ล้มเหลวในการเรียนมันก็ไปเอาดีด้านอื่น ดีหน่อยก็เล่นกีฬา แย่หน่อยก็ไปเป็นเนวัดดาวให้สาวกรี๊ด
ซึ่งเอาเข้าจริงมันไม่ใช่เรื่อง “รักดี” หรือไม่รักดีทั้งหมดด้วย บางคนอาจจะรักดีนะ แต่เกิดมาเรียนหลังสือไม่เก่งไง อ่านแทบตายก็ได้ดีได้ซี ถามว่าระบบการศึกษาเรามีพื่นที่ให้เด็กกลุ่มนี้ไหม ไม่มีหรอก ถ้าไม่มีตังค์เข้าเอแบค ก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยชั้นรองๆไป ครูแนะแนวไม่สนใจด้วยซ้ำเด็กพวกนี้
ไอ้ช่องว่างตรงนี้มันเลยถ่างออกเรื่อยๆ ถ้าเทียบกับประเทศอย่างฟินแลนด์ที่ระบบการศึกษาเค้าเน้นทุ่มงบดูแลเด็กที่เรียนอ่อนนะ เค้าคิดว่าพวกนี้แหละที่ต้องดูแลพิเศษ จะได้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แนวคิดมันต่างกันเลย
สรุปคือมันอยู่ใจจิตสำนึกของเด็กไทยทั่วๆไปเลยล่ะ ว่าคะแนน ว่าการสอบมันคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผลลัพธ์คือตัวกำหนดชะตาชีวิต มันอยู่แบบไม่รู้ตัวด้วยว่าลึกๆเราคิดแบบนี้ แต่คนที่เรียนมาในระบบนี้ก็มีสัญชาตญานการเอาตัวรอดแบบนี้มาไม่มากก็น้อยแหละ ซึ่งมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ต้องการความสำเร็จตรงนี้มากๆโดยที่ไม่เลือกวิธีการ
To be clear นะ การโกงยังไงก็ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะแก้ปัญหานี้จริงๆ มันต้องสร้างระบบการศึกษาที่มีพื้นที่ให้เด็กประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องโกงขึ้นมาด้วยน่ะ"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
กำ ยังพิมพ์ไม่เสร็จ มือลั่น
พอเรียนไม่เก่งเท่าคนอื่น แม่งก็เลือกที่จะโกง ทั้งๆที่ระบบมันก็เป็นงี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ปัญหามันอยู่ที่สันดานของเด็กชัดๆ
เพราะฉะนั้น การแก้ไขโดยการปลูกจิตสำนึกไม่ให้โกงกูว่ามาถูกทางแล้ว แต่วิธีการแม่งกากไปหน่อยเลยไม่เห็นผล
ถ้าเรียนแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ต่อไปจะไปอยู่ในสังคมได้ยังไง
สมัยก่อนเขาลำบากกว่านี้เยอะ เด็กสมัยนี้ถูกเลี้ยงดูมาสบายเกินไป จนกลายเป็นเจเนอเรชันไม่เอาถ่าน
เดี๋ยวนี้เข้าถึงข้อมูลได้มหาศาล แต่เสือกโง่กันเอง ค้นคว้าหาข้อมูลมาพัฒนาสติปัญญาไม่เป็น มัวแต่เล่นเกมกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค
>>127-128 จับแพะชนแกะ เออใช่ ระบบมันมีปัญหา แต่มันไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ข้อสอบเข้าแพทย์ต้องยาก ข้อสอบแพทย์/และ/หรือสายอาชีพอื่นๆที่ต้องใช้ฝีมือมันต้องยากอยู่แล้ว จะบอกว่าฮาวาร์ตเข้ายากเพราะระบบมีปัญหาด้วยมั้ย และยิ่งไม่ใช่สาเหตุทำให้คนต้องโกง คนโกงคือเหี้ย คือไร้จริยธรรม ในกรณีนี้คือพ่อแม่ที่ provide เงินค่าโกงก็เหี้ยด้วยเลยสอนมาแบบเหี้ยๆ
"เฮ้ย เด็กแม่งโกงว่ะ แต่แก้ปัญหาที่ตัวบุคคลมันไม่โอเค เราต้องแก้ที่ระบบ ต้องสร้างระบบการศึกษาที่มีพื้นที่ให้เด็กประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องโกงขึ้นมาด้วย"
เอิ่ม เอาไงดีวะ ให้ทุกคนที่เข้าสอบได้เรียนหมอหมดเลยดีมั้ย จะได้ไม่มีความจำเป็นต้องโกงตอนสอบ
ไม่สิ แค่นั้นไม่พอหรอก ถ้าเรียนไม่ไหวทำไง เดี๋ยวแม่งโกงตอนเรียนอีก ให้ทุกคนเรียนจบโดยไม่มีเงื่อนไขด้วยเลยสิ!
เฮ้ยเดี๋ยว! ถ้าแม่งโกงตอนหางานทำไงวะ? ก็ให้ทุกคนได้ทำงานเลยสิ! แค่นี้ก็ไม่มีเหตุผลต้องโกงแล้ว แฮปปี้ๆ เย้
...เราต้องเอาใจเด็กขนาดนี้เลยเหรอวะ กูว่ามันแปลกๆนะ
ไอ้เรื่องโกงมันมีมาตลอดแค่พัฒนาไปตามเทคโนโลยีวะ อย่างของกูเด็กโรงเรียนสวนฯ พวกโกงสอบก็มีให้เห็นาตลอด6ปี ทั้งแม่งไม่ตั้งใจอ่านก่อนสอบเลยโกง เด็กระบบบ้านใกล้(แต่มาสายรัวๆ)เลยไม่เห็นคุณค่าการเรียน เด็กโดดเรียนไปเล่นเกม เด็กหน้าหม้อไปเหล่แถวสตรีวิทย์-สยาม ฉลาดเรื่องเหี้ยๆบางตัวเอายาแดงมาทาตีนแล้วผ้าก๊อชพันเพื่อหลอกครูก็มี บ้างก็ขยันเข้าหาครูช่วยโน่นช่วยนี่ถึงบ้านก็มีพอครูเผลอก็แอบเหล่ข้อสอบที่ครูทำค้าง พวกนี้ถึงตอนสอบก็โพยรัวๆ ฯลฯ จะอ้างว่าเรียนไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่เพราะแม่งอยู่ในตำรากับที่ครูเอามาเขียนบนกระดาน(ไม่ตั้งใจดู,จด คือพลาดเอง) ข้อสอบบางข้อมีรียูทนี้ตัวเดียวกับในการบ้านที่ใช้ทำส่งเลยเพื่อดูว่าทำจริงก็จำได้หรือลอกจนลืมเอง
ส่วนไอ้เรื่องสอนปลาปีนต้นไม้เอากระต่ายไปว่ายน้ำฯลฯ กูว่ามันมีพวกสถาบันวิชาชีพเฉพาะให้นะเว้ยแต่คนมันไม่เอามากกว่าเพราะมันดูต่ำไร้ชื่อเสียง (ตกลงผิดที่ระบบหรือผิดที่คนเลือก)
สุดท้าย พวกเทคนิคเทคโน-เด็กช่าง-เด็กศิลป์เลยมีแต่ตัวเหี้ยๆ เช่น นิยมยกพวกตีกันหรือเรียนไม่รอด มารวมกันแทน
กูเลยมองว่าสังคมแม่งเป็นแต่โทษโน่นโทษนี่นะ ส่วนไอ้วิธีแก้ไข ก็มีแต่เงี่ยนต้องเลียนแบบตามประเทศเจริญแล้วอย่างเดียวแต่ไม่มองบริบทสังคมไทยว่ามันใช้กันได้ไหม
การโทษระบบและหลีกเลี่ยงการโทษตัวบุคคลมันเป็นความคิดแบบริเบอร่าน
เกิดอะไรเหี้ยๆขึ้นมาก็เพราะระบบทั้งนั้น
อีกซักหน่อย ก็คงมีคนออกมาแก้ต่างให้อีดาราแฮรี่พอตเตอร์ที่เลี่ยงภาษีว่าทำไปเพราะระบบไม่เป็นธรรม
โอเค เรื่องเดินพรมแดงเมืองคานส์:
สาระมันคือความเข้าใจของคนและการให้ข้อมูลของสื่อ คือดาราไทยอย่างคุณชมพู่ได้มาเดินเพราะสปอนเซอร์จัดมาให้ถึงจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหนังเลย ก็เป็นเรื่องปกติ คือเดินรอบออฟฟิเชียล มีรถมาส่งหน้าพรม มีการจัดการ ก็สวยดีน่าชื่นชม เดินเข้าแล้ววนออกเลยหัวบันได คงไม่เข้านั่งดูหนังโรมาเนียสามชม. แต่ที่คนอ่านคนดูควรรู้จากสื่อด้วยคือ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น วันนึงคนเดินเป็นพัน ดารานางแบบมาจากทุกที่ (เดินกัน 10 วันติด นี่เพิ่งสาม) มันเป็นการตีข่าวของพีอาร์/สปอนเซอร์ ให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ให้ดูเว่อร์ ควีนเควินอะไรนั่น... ซึ่งอย่างที่ว่า มันทำได้ เป็นปกติ แค่พอเว่อร์มากคนก็อาจรำคาญบ้าง ประเด็นคืองานเทศกาลคานส์ใหญ่ มีอิทธิพล และแต่ละคนสามารถจินตนาการให้มันเป็นไรก็ได้ โดยเนื้อแท้นี่คือการเฉลิมฉลองภาพยนตร์ ศิลปะภาพยนตร์ (โอเค หนังเลวก็มีอ่ะนะ) ดังนันคนที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์จะได้รับเกียรติสูงสุด แต่ถ้าใครจะฉกฉวยโอกาส เปลี่ยนงานภาพยนตร์เป็นงานแฟชั่น งานขายของ เครื่องเพชรเครื่องสำอางค์ ก็ทำไป ขอให้มีความเข้าใจสาระบ้าง เหมือนฟุตบอลโลก ถ้าได้ไปเตะคือประเทศดูมีศักดิ์ศรีมาก แต่ถ้าแค่ได้เชิญไปนั่งโชว์ตัวในงานเปิด มันก็เท่านั้น สื่อไทยบางทีไปเล่นเรื่องเล็กเพราะพลังพีอาร์มันเยอะ แต่เรื่องใหญ่กลับไม่สนใจ เช่นตอนมีหนังไทยเข้าสายประกวด หรือปีนี้มีหน้งเก่าสันติวีณา ฉายสายคลาสสิค
Queen of Cannes ถ้าจะเอาจริง ก็คือดาราที่มีหนังแล้วโดดเด่น เดินพรมก็สวยอีกต่างหาก ถ้าคนอื่นอยากได้ตำแหน่งนี่ก็หลอนกันไปได้ ไม่มีปัญหา ภาพยนตร์คือการหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นอยู่แล้วนี่นา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
โกงก็คือโกงเป็นการเอาเปรียบคนที่ทำอะไรตรงไปตรงมา ถ้ากูเห็นใครเอาเปรียบกู กูอาจจะไม่โวยเดี๋ยวนั้นแต่มึงอย่าเผลอให้กูเอาคืนก็แล้วกัน เพราะกูไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบกูแล้วจะลอยหน้าลอยตาผ่านกูไปได้นานหรอก กูจะวางยามึงทุกเมื่อที่มีโอกาสเลย
จะวานใคร...อย่าใช่คำว่า...ไม่มีเวลา
...เขาใช้คำว่า..."ไม่มีปัญญา"
หัวค่ำที่ผ่านมาวันนี้
ได้มีโอกาส Drink n Chat กับ Group CEO
(หมายถึงหัวหน้า CEO แต่ละประเทศอีกที)
ที่บินมาเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพ
มาวันนึง พรุ่งนี้จะไปต่อว่างั้นเถอะ
.
.
.
Agent ของเขาบอกว่าผมเป็น Must Meet
ต้องมาเจอให้ได้
ถ้าจะขยายธุรกิจมาไทย
ก็เลยได้เจอกัน
.
.
ผิดคาดที่ 1
เพราะดูจากตำแหน่ง
คิดว่าจะเป็นผู้ใหญ่กว่า
ดันเป็นคนรุ่นเดียวกัน
แต่เป็น Group CEO เลยนะ
งานสูทมา
(แล้วอะไรดลใจ...ให้กูใส่ขาสั้นวะเนี่ย)
.
.
.
ผิดคาดที่ 2
ปกติเจอพวก Young Success อายุน้อยๆ เนี่ย
ต้องมีไหวพริบมาประดาบกันบ้าง
แต่กับคนนี้ไม่ใช่...น้อบน้อมมาก...
ไหว้เยอะกว่าคนไทยกันเองอีก
.
.
...ชั้นไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับภูมิภาคนี้เลย....
...ถึงจะมีข้อมูลเยอะ...ชั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจ
...ชั้นมีเวลาทั้งคืนเลย...ถ้าจะไม่รบกวนคุณเกินไป
(ได้ข่าวว่าต้องขึ้นเครื่องตีสามนี่)
.
.
พูดขนาดนี้...ขอมาเหอะ...ช่วยหมดแหละ
.
.
อย่าคิดว่าผมโง่...ที่ดูพวกเชลียร์ไม่ออกสิครับ
แต่คนนี้ไม่ใช่
และเป็นวัตถุดิบ...ที่ทำให้บทความนี้สมบูรณ์
_______________________________
หลายสัปดาห์ก่อน
ผมโดนตัวแทนของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ทาบทามให้ไปเป็น MD ของ eCommerce แห่งหนึ่ง
"ผมไม่น่าไหวหรอกครับพี่”
เราก็ปฏิเสธไม่ให้น้ำขุ่น
.
.
.
มาช่วยหน่อยสิ...ผรินทร์...คือพี่ “ไม่ค่อยมีเวลา”
วลีสุดท้าย...ทำให้ผม “ฟิวส์ขาด”
ความรู้สึกพุ่งวูบขึ้นมาเลย
.
.
เมิง “ไม่มีเวลา” แปลว่า “กูว่าง” ใช่ไหม
แปลว่า “เวลาพี่” มีราคามากกว่า “เวลาผม” สินะ
.
.
ผมตัดบทวางสาย
และโทรไปหาผู้ใหญ่ท่านนั้นตรงๆ
“...ด้วยความเคารพครับพี่"
"...ผมว่าพี่ทบทวนบทบาท ของตัวแทนพี่ดีกว่าครับ”
“...พี่อย่าใช้คนนี้ทำงานเลยครับ...จะเสียชื่อพี่เปล่าๆ”
_______________________________
คำว่า “ไม่มีเวลา”
มันตีได้หลายความ
ถ้าอยู่กับประโยคบอกเล่า เช่น
“น่าสนใจนะ...แต่คงไม่มีเวลา”
จะแปลว่า “ตัดบท”
.
.
.
ถ้าอยู่กับประโยคขอร้อง เช่น
"มาช่วยหน่อยสิ...ผรินทร์...คือพี่ “ไม่ค่อยมีเวลา”
หรือประโยคคำถาม เช่น
“พี่ไม่ค่อยมีเวลา...นายทำได้ไหม”
ก็แปลว่า “เวลาผมแพงนะ ให้เกียรติด้วย”
จะอวด “รวย” อ้อมๆ นั่นแหละ
.
.
ถ้า “ไม่ได้” คิดจะอวด
แต่พูดดันคำพวกนี้
ก็แปลว่าคุณนี่ไม่ระวังปากพอตัว
.
.
.
ลองถามตัวเองดู
ถ้าได้ยินคนพูดว่า..
...คุณทำได้ไหม...ผมไม่มี “ปัญญา”
กับ
...คุณทำได้ไหม...ผมไม่มี “เวลา”"
ใครน่าช่วยกว่ากัน
จะวานใคร...อย่าใช่คำว่า...ไม่มีเวลา
เห็นด้วยเรื่องการลดทอนปัญหาการโกงให้อยู่ในระดับบุคคล ลืมมองโครงสร้าง
ผมชอบบทความที่ [มิตรสหายท่านหนึ่ง] เขียนเมื่อเร็วๆ นี้ เธอยกตัวอย่างที่โคตรง่ายและใกล้ตัว แต่ [มิตรสหายบางท่าน] ไม่เข้าใจ นั่นคือ "ธนาคาร" ว่าวันหนึ่งเงินสดผ่านมือเจ้าหน้าที่มากเท่าไหร่ ทำไมมันไม่หายไปดื้อๆหรือธนาคารเจ๊ง
เหตุผลเพราะ เจ้าหน้าที่ธนาคารมีบุคลิกหน้าตาดี ผิวพรรณดี หล่อสวย หรือ นามสกุลมีชื่อเสียง หรือ พูดภาษาอังกฤษคล่อง จบมหาลัยมีชื่อเสียง หรือ เป็นคนธรรมมะธรรมโม ชอบทำบุญ ดูแล้วน่าเชื่อถือ ไม่น่าเป็นคนโกง ใช่หรือไม่?
มันเกิดจากระบบที่แข็งแรงของธนาคารครับ มีการใช้กลไกทางบัญชีและเทคโนโลยีต่างๆ ตรวจสอบ เงินผ่านมือใครเป็นจำนวนเท่าไหร่ต้องตรวจสอบได้ บางขั้นตอนต้องมีลายเซ็น มีกล้องวงจรปิด การเปิดตู้เซฟทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีอีกคนไปด้วยเป็นพยาน มีการลงชื่อ ฯลฯ
ผมเคยทำงานขาย วันๆ หนึ่งถือเงินสดอยู่ในมือไม่ต่ำกว่า 5 หมื่น สุดท้ายก่อนปิดยอด ผมก็ต้องเอาเงินสดไปส่งทางการเงิน recheck ว่าตรงกับยอดขายที่เราขายไปไหม ในใบเสร็จก็มีสำเนาที่ลงลายเซ็นเราว่าเป็นคนขายเคสนี้ มีปัญหาเก็บเงินผิดขาดเกินอย่างไรเขาตามตัวเราได้เพราะมีหลักฐาน
ถ้าไม่มีระบบแบบนี้ ผมอาจจะจิ๊กไปวันละพันก็ได้ ใครจะไปรู้
ปรัชญาเรื่องความโปร่งใสเนี่ย ของตะวันตกเริ่มจากแนวคิดว่ามนุษย์เรามีโอกาสทำชั่วได้พอๆ กัน เขาจึงออกแบบระบบให้แข็งแรงมีผลเชิงสาธารณะ แต่ของไทยมันมีมายาคติเรื่องบุญบารมีวาสนา บาปบุญ ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคลแถมประเมินไม่ได้อีก พอไปยึดติดจริยธรรมศีลธรรมส่วนบุคคล มันก็เลยยิ่งเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่ จิตใจคนนี่มันซับซ้อนเอาแน่เอานอนไม่ได้นะ ระบบหรือกฎจึงสำคัญกว่าเพราะมันไม่ขึ้นอยู่กับตัวแปรส่วนบุคคล
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ต้มยำกุ้ง In one concise essay
สมัยนั้นดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศต่ำกว่าของในไทยมาก
แบงค์ + financial institutions ต่างๆในไทยหัวใส ก็เลยไปกู้เงิน dollar จากต่างประเทศมาปล่อยในไทย แล้ว profit จากส่วนต่าง
แบงค์อยากได้เงินมากๆก็เลยปล่อยกู้ง่ายๆ เจ้าของธุรกิจ/คนธรรมดาได้ใจเลยกู้กันใหญ่ทั้งที่อาจจะไม่สามารถทำให้เงินที่กู้ที่มา turn profitable ได้
ตลาดเลย heat up ขึ้น bubble เลยเกิดขึ้น NPL (non-performing loans) ก็เกิดขึ้นเพราะคนที่กู้ไปใช้เงินไม่เป็น
พอค่าเงินบาทถูกลอยตัวเพราะ over reliance on US dollars แบงค์ก็ฉิบหายเพราะเงินที่กู้มาหนี้ทวีคูณจ่ายคืนไม่ได้ ประกอบกับ NPL ที่ accumulate คนานับ ก็เลยซวย 2 ชั้น
แบงค์ถึงเจ๊ง เจ้าของธุรกิจก็เจ้ง เจ้งกันทั้งประเทศ
ก็เพราะ fundamentals ที่ไม่ดีพอ กล่าวคือ "ความโลภ" กับ "ความเง่า" นั่นเอง
"หลังจากเรียกพ่อไม่ตื่น พวกเราประสาน 1669 ให้มารับตัวพ่อส่งโรงพยาบาล บ้านผมอยู่ห่างจากโรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคมของพ่อ 15 กิโลเมตร แต่โดยหลักการแพทย์ฉุกเฉินและผู้ป่วยวิกฤติ ต้องนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อน พ่อจึงถูกนำส่งโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ใกล้บ้านขึ้นมาอีกหน่อย ห่างบ้านประมาณ 11 กิโลเมตร
.
หลังจากยุติการปั้มหัวใจเพราะไม่มีสัญญาณชีพขึ้น เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมาบอกให้ไปปิดบิล ผมแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่า พ่อมีสิทธิ์ประกันสังคม และเราขอใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน (มีอาการวิกฤติ) ที่สามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่ไหนก็ได้ โดยโรงพยาบาลนั้นจะเบิกคืนเอาจากกองทุนที่สังกัดอยู่ (พ่อใช้ประกันสังคม) เจ้าหน้าที่ทำหน้าไม่พอใจนิดหน่อย สุดท้ายคืนนั้นเราไม่ต้องจ่ายเงิน เซ็นเอกสารใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน จ่ายเพียงค่าน้ำยาอาบศพและค่าเก็บศพไว้ 1 คืน (1700 บาท)
.
รุ่งเช้า มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแจ้งว่า ยังเอาศพออกไม่ได้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเมื่อคืนนี้ เกือบสามพันบาท อ้างว่าเบิกจากการใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉินไม่ได้ ผมถามเหตุผลว่าทำไมไม่ได้ ก็ตอบไม่ชัดเจน พูดซ้ำแต่ว่าเบิกไม่ได้ พอผมอ้างสิทธิ์และอธิบายให้เขาฟัง ก็บอกผมว่า เบิกได้เพียง หนึ่งพันบาท ต้องจ่ายเพิ่มอีกเกือบสองพัน
.
ผมจึงขอพบผู้ตรวจการโรงพยาบาล ชี้แจงสิทธิ์ที่ผมขอใช้ ผมอ้างถึงคำประกาศของรัฐในเรื่องนี้ ในการใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน และไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินใดๆทั้งสิ้น เพราะเราส่งประกันสังคมทุกเดือน สุดท้ายผู้ตรวจการโรงพยาบาล ขอเวลาประมาณ 5 นาที กลับมาเอาเอกสารให้ผมเซ็น บอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินใดๆ แล้วให้ใช้สิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉินได้จากกองทุนประกันสังคม"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ความสำเร็จคือมายา
ขายคอร์สสัมมนาสิของจริง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อย่าทึกทักว่าผู้อื่นเจตนาร้าย เขาอาจจะแค่รู้น้อยก็ได้"
คติข้อนี้น่าสนใจ และเป็นข้อเตือนใจที่สำคัญของผมเองในการปฏิบัติตนกับผู้อื่น โดยเฉพาะนิสิต/นักศึกษา
บางครั้งที่ได้รับอีเมลจากนิสิตผมจะรู้สึกขัดใจเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับโกรธ ที่อีเมลไม่มีคำขึ้นต้น คำลงท้าย ไม่มีการลงชื่อ ไม่มีการแนะนำตัว มีเพียงแต่ข้อมูลที่ส่งมาให้อย่างห้วนๆ ไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย และในบางครั้ง ไม่มีแม้แต่ข้อมูลที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ชื่อของผู้เขียน มีแต่ email address ที่ไม่สื่อให้ทราบว่าเป็นใคร (เช่น cute-bunny-xoxo@gmail.com) ทำให้เราไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้โดยง่าย
ทุกครั้งที่พบเหตุการณ์เช่นนี้ผมจะพยายามตอบโดยให้ความช่วยเหลือตามปกติ โดยไม่นำเรื่องมารยาทมาเป็นเหตุให้เกิดอคติหรือลงโทษ แล้วจึงแถมข้อความว่า "ขออนุญาตตักเตือนว่าเวลาเขียนอีเมล ควรมีคำขึ้นต้น ลงท้าย และลงชื่อทุกครั้งนะครับ ฝึกทักษะการสื่อสารอย่างมืออาชีพไว้นะครับ" นิสิตบางท่านก็จะกรุณาตอบกลับมาว่าจะน้อมรับไปปฏิบัติ บางท่านก็อาจจะได้เรียนรู้อย่างเงียบๆ
จนเมื่อวานนี้ ผมจึงได้รับการเปิดหูเปิดตาจากนิสิตท่านหนึ่งที่ตอบมาอย่างจริงใจว่า "อาจารย์ครับ คำขึ้นต้น คำลงท้าย มันคืออะไรเหรอครับ?"
ผมจึงได้ทราบว่านิสิตท่านนี้ไม่เคยมีเจตนาที่จะเสียมารยาท ตรงกันข้าม เขากลับมีความเคารพและเชื่อใจในตัวเราอย่างมากจึงได้กล้าถามคำถาม และกล้าแสดงความไม่รู้ให้เราได้เห็น และพร้อมที่จะรับฟังคำแนะนำไปพัฒนาตนเองต่อไป แต่สาเหตุที่เขาไม่สามารถสื่อสารทางอีเมลได้อย่างมืออาชีพ อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยได้เรียนรู้ในเรื่องนี้มาจากที่ใดเลยต่างหาก
เขาไม่ทราบว่าทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า "เสียมารยาท"
เขาไม่ทราบว่าทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า "มีมารยาท"
เขาทราบแต่ว่า เขาต้องการจะสื่อสารกับอาจารย์ และเขามีเจตนาดี มีความเคารพอย่างจริงใจอยู่ในใจตลอดเวลา
เขาอยากจะทำทุกอย่างให้ดี แต่เขาไม่ทราบจริงๆ ว่าทำอย่างไร
ความรู้สึก "ขัดใจเล็กน้อย" ที่เกิดขึ้นกับผมตอนแรก ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเจตนาร้ายของใครเลย แต่เกิดขึ้นเพราะผมไม่ทราบว่าเขาไม่ทราบ
ส่วนหนึ่งเราอาจมองเป็นความผิดของเขาที่ไม่รู้จักฝึกฝนตนเอง แต่อีกส่วนหนึ่งเราอาจมองว่าเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษา ไม่ว่าในระดับประถม มัธยม หรืออุดมศึกษา ที่ไม่สามารถสอนทักษะพื้นฐานเช่นนี้ให้กับเขาได้ ซึ่งในโลกจริงของการทำงาน ทักษะเหล่านี้อาจสำคัญยิ่งกว่าทักษะทางเทคนิคด้วยซ้ำไป
หรือเราอาจจะมองอีกแง่หนึ่ง มันจะเป็นความผิดของอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้สถานการณ์นี้ตกอยู่ในมือของเรา และเป็นหน้าที่ของเราในฐานะของอาจารย์ที่ต้องช่วยแก้ไข จะแก้ได้หรือไม่ได้เราก็ควรพยายามหาหนทาง
ทางที่ผมเลือกก็คือการตอบอีเมลในลักษณะที่ให้ความรู้และความปรารถนาดี ผมบันทึกร่างอีเมลฉบับนี้ไว้เผื่อว่าอาจจะนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีกในอนาคต
------------------------------------------------
สวัสดีครับ_____
ผมไม่ถือสาเรื่องคำขึ้นต้น-ลงท้ายครับ แต่นิสิตควรทราบมารยาทพื้นฐานในการสื่อสารนี้ไว้ ในโลกจริงของการทำงานการสื่อสารอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ ขอแนะนำให้ศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ของคุณเองครับ
การเขียนอีเมลอย่างมืออาชีพนั้นไม่ต่างกันเท่าไรนักกับมารยาทในการเขียนจดหมายกระดาษ (ที่คุณอาจเคยเรียนมาในวิชาภาษาไทยระดับมัธยม หรือประถม) คือต้องมีคำขึ้นต้น คำลงท้าย และการลงชื่อที่เหมาะสม
ตัวอย่างคำขึ้นต้น:
- เรียนคุณสมศักดิ์,
- สวัสดีครับอาจารย์สมศรี,
- กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี,
- Dear Professor Johnson,
- Hello Mr Jeff Bezos,
ตัวอย่างคำลงท้าย
- ด้วยความเคารพอย่างสูง (ใช้กับผู้ใหญ่ ผู้ที่อาวุโสสูงกว่าเรามาก ที่ต้องแสดงความเคารพเป็นพิเศษ)
- ขอแสดงความนับถือ (ใช้กับเพื่อนร่วมงาน หรือผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางการงาน)
- ขอบคุณครับ/ค่ะ (กรณีที่สนิทกัน)
- smile emoticon (กรณีที่สนิทกันมาก หรือกำลังพูดกับผู้มีอาวุน้อยกว่าและต้องการแสดงความเป็นกันเอง)
- Sincerely,
- Best regards,
จากนั้นจะต้องลงชื่อ โดยอาจลงชื่อเล่นก็ได้ (กรณีที่รู้จักชื่อเล่นกันอยู่แล้ว) แต่ควรต้องเขียนชื่อจริงกำกับด้วย (ยกเว้นกรณีที่ทราบแน่ชัดแล้วว่าชื่อจริงคืออะไร) เพื่อให้การสื่อสารมีความชัดเจน และเพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้รับสาร ในการปฏิบิติตามคำร้องขอในอีเมล (เช่น การแก้ไขคะแนน หรือการตรวจสอบข้อมูล) ในกรณีที่ส่งคำร้องในนามของกลุ่มก็ควรจะลงชื่อคนทั้งกลุ่ม
สำหรับงานที่คุณส่งมา____________________________
ขอให้โชคดีในการ_____________ครับ
smile emoticon
- mock
-----------------------------------------------
>>144 >>145
เมื่อก่อนกูเป็นคนติดวิธีพูดไทยคำอังกฤษคำ อิทธิผลจากที่ทำงาน
จนวันหนึ่งกูคิดขึ้นมาได้ ถ้าสื่อสารแล้วคนฟังไม่รู้เรื่อง ถือว่าเป็นการสื่อสารที่ล้มเหลว
ตั้งแต่นั้นมา คำไหนใช้คำไทยตรงๆได้ หรือสามารถอธิบายได้ตรงความหมายจริงของคำนั้น กูจะใช้ภาษาไทยก่อน
คำไหนไม่ไหวจริงๆ เป็นศัพท์เฉพาะทางสายงาน หรือใช้ภาษาไทยมันยืดยาดเกิน หรือใช้ภาษาไทยแล้วรู้สึกความหมายเพี้ยน
กูถึงใช้ภาษาอังกฤษ เช่น ธรรมาภิบาล Good Governance เป็นต้น
การหัดเขียน-คัดลายมือ-เขียนด้วยมือ มีทั้งดีและเสีย
ข้อเสีย คือ น่าเบื่อและขี้เกียจ(พิมพ์คอมฯ copy&pasteจบ) แถมนิ้วเป็นตาปลาอีก
ข้อดี คือ มันทำให้มึงอ่านตัวหนังสือออก
ปัจจุบันเด็กไทยอ่านผิดเขียนไม่เป็นมีจำนวนที่เยอะแบบรู้สึกได้ อย่างเลวถึงขั้นไม่รู้จัก ms office ช่างน่าใจหาย. นั่นแสดงว่าเด็กไทยกลายเป็นพวกขี้เบื่อขี้เกียจกันมากขึ้น และจะมีแนวโน้มว่าเด็กไทยสายไอทีจะมีทักษะบางอย่างที่โง่ลงแบบมีนัยยะแฝง
#มิตร รับจ้างพิมพ์รายงาน ท่านหนึ่ง
= ชมพู่ ไปคานส์ แต่มึงน่ะควรแขวนคอตายบนคาน =
.
ชมพู่ ไปเดินพรมแดงที่คานส์ ใครก็บอกว่าสวย คนไทยยินดีปรีดา ภูมิใจประหนึ่งชมพู่ได้รับคัดเลือกให้เล่นหนัง TITANIC ฉบับรีบูท ที่จะกำกับโดย คริสโตเฟอร์ โนแลน ยังไงยังงั้น ฝรั่งบางคนถาม แม่นี่ใคร? แต่โอเค ในเมื่อมาแล้วก็กดชัตเตอร์สองสามแชะ กันพลาด เผื่ออาจเป็นอนาคตดารานางแบบชื่อดัง ต้องถ่ายเก็บไว้ก่อน แล้วหันกล้องไปหาดาราคนอื่นๆต่อไป ชมพู่ ในความหมายของคนไทยคือ ควีน ออฟ เรด คาร์เป็ท แต่ชมพู่ในความหมายของเทศกาลหนังเมืองคานส์ คือ หุ่นโชว์เสื้อผ้าหน้าสวยที่เดินได้ (แรงไปหน่อยแต่มันน่าจะเป็นงั้น)
.
โอเคมันเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ อันนี้ไม่เถียง ชมพู่ สวยมาก สวยจนอยากกลับไปหักแผ่นหนัง คุณนายโฮ ทิ้งเลย แต่..... ไอ้พวกที่ชื่นชมชมพู่ แล้วเสือกลากเอาพรมแดงไทย ดาราไทยคนอื่นๆที่ไม่รู้หีรู้แตดอะไรด้วยออกมาด่าแล้วเปรียบเทียบอย่างนั้นอย่างนี้ มึงบ้ารึเปล่า อีสัส แค่ระดับงานมันก็ต่างกันแล้ว คานส์ กับ สุพรรณหงส์ คานส์ กับ โทรทัศน์ทองคำ คานส์ กับ ยันม่าคูโบต้ายามาฮ่าอวอร์ดส์ มันก็ไม่น่าจะเทียบกันได้เลยแม้แต่ปลายหมอย แต่ทุกๆงานมันมีเกียรติของมัน การเดินพรมแดงของดาราไทย เดินอยู่ดีๆ พอมีดาราไทยอีกคนได้ไปเดินเมืองนอก ดาราที่เดินดุ่มๆโชว์นมโชว์เต้าอยู่เมืองไทยโดนลากมาด่าเฉยเลย ไอ้สัสกูงง มีใครงงบ้างวะ แล้วเขาเดินพรมแดงในไทย ไม่มีปัญญาไปเดินที่เมืองนอกนี่สมควรต้องไปกราบส้นตีนชมพู่เลยเหรอวะ การได้ไปคานส์นี่ต้องเป็นเทพให้คนมากราบตีนเลยเหรอ กูงงจริงๆนะสัส
.
เหมือนมึงเป็นโรคจิต เป็นพวกประสาทเสียที่ชื่นชมใครแล้วชอบเอาสิ่งที่ห่วยกว่ามาเปรียบเทียบ ชอบลากคนอื่นมาด่าเพื่อดันให้คำชื่นชมของมึงใหสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น คือมึงจะชื่นชมคนสักคนแบบไม่ต้องไปด่าใครได้ป่ะวะ มีปมเหรอ พ่อแม่มึงรักพี่รักน้องมึงมากกว่าเหรอ โดนครูประจำชั้นเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมห้องที่วาดรูปสวยกว่ามาตั้งแต่เด็กเหรอ ถึงได้ชมใครเฉยๆไม่ได้ต้องลากใครมาด่าให้เสียหมาไปด้วย
.
โอเค ชมพู่ สวยจริง แต่กูเฉยๆ ใหม่ ดาวิกา กูก็เฉยๆ แต่ เต๋อ นวพล ไปนี่กูเข้าใจได้ แกเป็นเคสที่น่าภูมิใจที่สุดแล้วสำหรับคนไทยในปีนี้ อย่างพี่เจ้ย พี่ศักดา แก้วบัวดี ที่ไปบ่อยๆนี่ก็เป็นคนไทยที่ฝรั่งบอกว่าเป็น จีเนียส โดนถ่ายรูปจนแสบตาไปหมด ส่วน ชมพู่ นี่ไปในฐานะแบรนด์ แอมบาสเดอร์ ซึ่งถ้าหากเจ้าของแบรนด์จ้าง ตุ๊กกี้ หรือ อ่างเถิดเทิง เป็นพรีเซ็นต์เตอร์ กุก็คิดว่า สองคนนี่ก็น่าจะได้ไปเดินเหมือนกัน มันก็เข้าใจได้ว่าเป็นความภูมิใจที่คนไทยได้ไปยืนที่นั่น แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนมึงชื่นชมคนสักคนว่าสวย แล้วทำไมต้องไปลากอีเงือกที่ไหนก็ไม่รู้มาด่าเสริมคำชมมึงด้วย กูไม่เข้าใจ อธิบายกูที
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อุตส่าห์เสียเงินสมัครเป็นสมาชิก Internet TV Channel แล้วต่อเข้า Roku เพื่อจะได้ดูทีวีไทยชัด ๆ แบบ HD ออกทีวีจอใหญ่ ๆ กับเขาบ้าง
เมื่อสักครู่ลองเปิดทีวีช่อง 3 ก็พบกับละครย้อนยุคในฉากบ่าวไพร่กำลังทะเลาะกันอยู่ในครัว ส่งเสียงแว๊ด ๆ ทำหน้าตาปากเผยอเกินกว่ามนุษย์ปรกติจะทำกัน
รู้สึกเสียดายเงินทันที
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เออ งงเหมือนกัน ใหม่กะชมพู่มีดราม่าไรกัน เห็นมีแต่คนอวยชมพู่ แต่กูว่าใหม่เลือกงานดีกว่าชมพู่เยอะอะ แต่ดูจากบุคลิกก็โอเคทั้งคู่นะ
เคยอ่านเจอนักวิชาการท่านหนึ่งเค้าอธิบายไว้ (แต่จำชื่อไม่ได้) ท่านบอกว่า เมื่อ 60 - 100 ปีก่อน สามีหาเงินคนเดียว ส่วนภรรยาไม่มีรายได้ ภรรยามีหน้าที่ทำงานบ้านทุกอย่าง และไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับใคร สามีจึงต้องให้เงินทุกบาทแก่ภรรยา เพื่อเป็นการตอบแทน
แต่ปัจจุบัน ภรรยาก็ทำงานมีรายได้เหมือนกัน แถมได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง งานบ้านก็ช่วยๆกันทำ แล้วทำไมสามียังต้องให้เงินทุกบาทแก่ภรรยา เหมือนเมื่อ 100 ปีก่อนด้วย (รวมทั้งสินสอด)
I keep hearing people unfairly call Islamic culture restrictive or oppressive when the opposite is true. In fact, it's actually quite similar to the wild and free American counter-culture of the 60s. Just that, instead of acid leading to sex, Muslim women having sex leads to acid.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตลกดี เพิ่งเอา Grab ขึ้นเวที Startup อวยกันอยู่แหม็บๆ.. ตอนนี้รัฐบาลฟันฉับแล้ว.. ย้อนแย้งดีนะประเทศนี้
เมื่อกี้เลื่อน feedไปเจอเพื่อนคนนึงเม้นแซวเพื่อนอีกคนนึงอยู่ ซึ่งเป็นคำแซวแบบซ้ำๆเดิมๆที่คงจะโดนแบบนี้มานาน
เลยทำให้คิดถึงเรื่องวันนี้
วันนี้ที่ทำงานส่งไปอบรมเรื่องการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วงนึงของการอบรมอาจารย์พูดเรื่องการล้อเลียนคนอื่นด้วยความสนุกปากและมองว่าแค่นี้ทำไมต้องโกรธ
(อ้างอิงเคสชายพิการโดยรุมทำร้ายจนตาย และรุ่นน้องอาจารย์ที่โดนวิพากษ์วิจารณ์จมูกที่ศัลยกรรมมา จนตัดสินใจฆ่าตัวตาย)
ประโยคนึงที่อาจารย์พูดแล้วเราอินมากคือ เราไม่มีทางรู้เลยว่าคำล้อเลียนที่คนๆนี้โดนมันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วในชีวิตเค้า คุณอาจจะล้อเค้าครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้เขาอาจจะโดนมาแล้ว 99 ครั้ง ซึ่งฟางเส้นสุดท้ายมันอาจจะจบที่ครั้งที่ 100 ที่คุณพูดพอดี
กลับมาที่เรื่องเพื่อนเรา เราเชื่อว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครชินหรอก เค้าแค่กำลังรักษามารยาทและสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเพื่อน และคงไม่อยากถูกมองว่า "แค่นี้ก็ต้องโกรธด้วยหรอ"
ทำไมคนที่แซวถึงไม่เคยคิดแบบเดียวกับเพื่อนเราบ้างนะ
เพราะเมืองไทยใครจะทำะไรก็ได้ แม่งไม่เคยคิดอะไรหรอก
ก็ GRAB มันไม่จ่ายภาษี ถถถ
Grab มันนอกระบบนี่ ปกติจะเปิดเนื้อหาด้านการบริการแทกซี่ หรือว่ามอไซค์มันต้องจดทะเบียนเข้ากับที่กรมขนส่งก่อนนี่ตามกฎหมาย เข้าใจว่าพวก Grab พวก Uber พวกนี้ไม่ได้จดทะเบียนนี่ ปัญหานี่มันก็เกิดกับหลายประเทศนะ
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง กฎหมายกำหนดให้ต้องจดทะเบียน ก่อน Grab, Uber จะมาอีก ถูกกฎหมายต้องป้ายเหลือง
จะจัดตั้งวินใหม่ก็ต้องยื่นเรื่องขอ อยู่ดีๆมาตั้งเองไม่ได้นะ ถึงเราจะเป็นเจ้าของซอยก็เหอะ
แม้แต่กรณีเพิ่มมอไซในวินก็ต้องขออนุญาตก่อนด้วย
สถานะ Grab , Uber ตอนนี้ = วินเถื่อน เถื่อนแบบไปได้ทุกโซน
Common sense is uncommon
จากใครซักคนที่กุเห็นด้วย
สรุป สั้นๆ —
กรณี Grab และ Uber = ฟันธงได้เลย รัฐไทยไม่เข้าใจระบบเศษฐกิจใหม่ ขาดวิสัยทัศน์ที่จะเข้าใจเรื่อง Start Up (ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปถกเถียงว่า Start Up มันจริงหรือไม่จริง) ปัญหาคือแต่ดันอยากมีอยากได้ และมันก็เข้าอีหรอบเดิมในแบบเกาะวาทกรรม ระนาบเดียวกับ Global Warming, Fintech, Globalization, Re-Engineering, Sustainability หรือคำหรูๆอื่นๆที่สังคมไทยชอบเฮโลเป็นในระดับปรากฎการณ์แต่ไม่ใช่สำนึก ไม่มีการปฏิบัติจริง
เบบี้บูมเมอร์นี่เตรียมวางแผนอนาคตให้ใช้กันอีกยี่สิบปี? อยากจะหัวเราะออกมาให้เหมือนคนเสียสติ แค่นิยามคำว่าอนาคตของคุณแม่งยังโคตรเก่าเลย
หรือว่า... ส่วยพวกนี้ท่าจะเยอะมากหรืออย่างไร Grab และ Uber มาทำลายเนตเวิร์คอู่ข้าวอู่น้ำ? ตลกดีระบบเก่าที่พึ่งพิงไม่ได้แต่ดันกลับได้รับการปกป้อง ในขณะที่ระบบที่ตรวจสอบได้ไม่ได้รับการสนับสนุน ตรรกะนี้มันใช้กับทุกเรื่องในบ้านเราเลยจริงๆ
ขอแสดงความนับถือให้กับนักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
ที่คุณพิสูจน์ฝีมือให้เห็นแล้วจนญี่ปุ่นยังต้อง ขี้โกง เพื่อเอาชนะเรา
#โม่งพิมพ์
ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ขี้โกง ตอแหลมานานแล้วครับ
ไม่เชื่อมึงดูปกAV กับเนื้อในดูสิหน้าก็อปเกรตกากเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ภรรยาบังคับเขียนหนังสือแล้ว ผมบอกให้เธอเขียนก่อน ผมอยากรู้ว่าเธอทำยังไงให้ Joysfulness เปลี่ยนจาก Startup ที่ใช้เงินหมุนกันเดือนละแค่แสนกว่าบาท มาเป็น SME ที่ปีนี้ยอดแตะ ร้อยล้านในปีที่ 3 ถือว่า break even เร็วพอสมควร และเตรียมแผนคืนเงินลงทุนและดอกเบี้ยให้ผู้ลงทุนแล้ว ในขณะที่กระแส Startup เต็มประเทศแต่การโตแบบเงียบๆของเธอมันคืออะไรที่ผมแม้จะนอนข้างๆด้วยทุกคืน ก็ยังไม่รู้ว่าวันนึงๆเธอต้องทำอะไรบ้าง ผมว่าเธอน่าสนใจกว่าเยอะ
กลางเดือนหน้าเราจะมีโอกาสไปพักผ่อนที่ภูเก็ตสั้นๆเสาร์ อาทิตย์ และจะได้เจอกับผู้บริหาร eCommerce จากเกาหลีใต้คนนึง ผมมีปัญหาปฏิเสธคนไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่เคยช่วยเหลือกันเวลาลำบาก เธอเลยเสนอไอเดียว่าเราไปเจอผู้ใหญ่คนนั้น และไปพักผ่อนด้วย ส่วนเรื่องปฏิเสธให้เป็นหน้าที่เธอเอง...
นี่แหละครับ เลือกเมียดี สบายร้อยแปด
ชมเยอะนิดนึงครับ พรุ่งนี้พาน้องๆทีมงานไปกินเลี้ยง จะได้ของบก่อนออกจากบ้านตอนเช้าได้เยอะนิดนึง #ขอบคุณครับ
คนไทยกลุ่มนึงชอบทำอะไรสุดโต่ง แต่ข้อเสียคือทำในเวลาที่สั้นมาก
เกลียดก็เกลียดสุดโต่งในระยะเวลาสั้นสั้น
รักก็รักสุดโต่งในระยะเวลาที่สั้นพอๆกัน
hero และ villain ในประเทศนี้เลยอายุสั้น ผลัดกันเกิดแก่เจ็บตายวนเวียนกันมาให้เห็นไม่ซ้ำหน้าตลอดเวลา
เมื่อเดือนก่อนเราเพิ่งเห็นข้อความ "ganbattene, kumamoto" ให้กำลังใจภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่นอยู่แหม่บๆ
มาวันนี้เราได้เห็นข้อความ "สมควรแล้วที่พวกขี้โกงต้องเจอแผ่นดินไหว" หรือ "ขอให้สินะมิถล่มประเทศมันทุกปี"
และก็คงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นคนกลุ่มเดิมๆ เช็กอินที่ญี่ปุ่น พร้อมโพสภาพ Instagram ชิคชิค ในช่วงวันหยุดปลายปีที่จะถึงนี้
"มากกว่า 90% ของคนที่ห้อยฟิกเกอร์สิทธัตถะ ไม่เคยอ่านคำภีร์ของเขา!"
-มิตรสหายท่านหนึ่ง
จอมขวัญ : ก่อนออกหมายจับ ทำไมถึงไม่มีทีมแพทย์หรือบุคคลที่3 ไปพิสูจน์ว่าท่านป่วยมาไม่ได้จริงๆตามที่เขาอ้างไว้
DSI : เอ่อ.......อันนี้ผมขออนุญาตไม่ตอบ อย่างที่ว่ามันเลยขั้นตอนมาแล้ว
จอมขวัญ : ???
***********
รายการถามตรงๆกับจอมขวัญ ช่องไทยรัฐทีวี ในช่วงที่จอมขวัญโฟนอินกับรอง DSI
? ทำไมถึงเลยขั้นตอน ทั้งที่ยังไม่ได้ทำ
? ทำตามขั้นตอนทุกอย่างอะลุ่มอ่ะหล่วยตามที่พูดจริงหรือ
? เลยขั้นตอนอะไร ลัดขั้นตอนหรือไม่
? ทำไมถึงเร่งรัดออกหมายจับ
? หากไม่เชื่อว่าท่านป่วยจริงทำไมไม่ส่งแพทย์มาตรวจ ทำไมถึงไปขอหมายจับเลย ...ขั้นตอนตรงนี้หายไปไหน
? ถ้าไปแล้ว หลวงพ่อเป็นอันตรายต่อชีวิตใครจะรับผิดชอบ
วางแผงแล้ว "นักไม่วาดการ์ตูน เล่ม7 เล่มอวสาน"
เป็นการ์ตูนที่ชอบมากๆ ยืนยันว่าเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจในการทำงานยิ่งกว่าเรื่อง Bakuman ร้อยเท่า (แต่ไม่ดังเท่า Bakuman เพราะเรื่องนี้คนเขียนไม่ดังเท่าไหร่) เรื่องนี้สามารถนำมาใช้เป็นหลักในการทำงานได้ทุกๆวงการ โดยเฉพาะ "วงการหนังไทย"
อ่านแล้วนึกถึงคนในวงการหนังไทยเลย คือ มีคนแบบตัวละครในการ์ตูนเรื่องนี้จริงๆ (เยอะด้วย) โดยแบ่งออกเป็น 2 พวก
พวกแรก "เพื่อนๆพระเอก" แต่ละคนเคยทำผิดทำพลาดกันทั้งนั้น ทั้งทำการ์ตูนเจ๊ง เรทติ้งตก โดนคนด่า โดนทำร้ายจิตใจสารพัด ร้องไห้เสียใจ แต่ก็ไม่ล้มเลิก ยังคงพยายามฮึดสู้ จนทำความฝันสำเร็จ (แม้แต่ตัวละครที่ไร้พรสวรรค์ ก็ยังหาหนทางในการทำความฝันจนสำเร็จ) ประมาณว่า ยิ่งด่า กูยิ่งทำ มีไรป่ะ
พวกที่สอง "พระเอก" เป็นคนที่ไม่ยอมลงมือทำ อ้างนั่นอ้างนี่สารพัด กลัวทำพลาดแล้วโดนด่า ก็เลยไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง แล้วเอาเวลาไปนั่งวิจารณ์ (ด่า) ผลงานของคนอื่นๆ ทำตัวแบบเพจอวยไส้แตก แล้วก็คุยโวว่า "แหม ถ้ากูทำบ้างนะ ผลงานกูเจ๋งกว่าไอ้พวกนั้นแน่นอน" (จริงๆคือ มึงด่าเค้าไว้เยอะ เลยไม่กล้าทำผลงานของตัวเอง เพราะกลัวทำสู้เขาไม่ได้ แล้วจะโดนด่ากลับ)
ซึ่งวงการหนังไทยก็มีคนแบบนี้เยอะ คือ ไม่ยอมลงมือทำผลงานของตัวเอง (ทั้งๆที่ไม่มีใครห้ามทำ และมีช่องทางให้ทำมากมาย นอกเหนือจากการเอาบทไปเสนอค่ายหนัง) แต่กลับทำตัวเป็นนักวิจารณ์ปากหมา เขียนด่าหนังชาวบ้านไปวันๆ ถึงขนาดนั้นมีการ "ตั้งกลุ่ม" ใน facebook จับกลุ่มคุยโวว่า ไอเดียหนังของตัวองดีกว่าหนังเรื่องอื่นๆที่ออกฉายซะอีก (ประมาณว่า อวยกันเอง ชมกันเอง ครื้นเครงในกะลา)
สุดท้ายการ์ตูนเรื่องนี้จะลงเอยยังไง ลองไปหาเรื่องนี้มาอ่านดู 7 เล่มจบ แนะนำเลย
ไม่ว่าจะวงการธุรกิจ ลงทุน การสงคราม หรืองานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าวัดมองในแง่ของความสำเร็จ...
"ผู้ที่ล้มและตาย จะเป็นฐานหรือพื้นให้ผู้ชนะได้เหยียบย่ำขึ้นไปเสมอ"
บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า อย่าทำอะไรครึ่งๆกลาง ลุยให้สุดทาง เพราะแทบทุกงานในโลกนี้มันเป็นแบบ win-lost กันทั้งนั้น คุณได้เขาไม่ได้ เขาได้คุณไม่ได้ รางวัลที่ยิ่งใหญ่มีให้สำหรับหลับคนที่ไป"สุด"เท่านั้น...ไปได้บนสุด ลึกสุด เก่งสุด เจ๋งสุด เฮงสุด ...สุดๆ ไม่มีสำหรับคนที่ทำอะไรครึ่งๆกกลางๆ กกล้าๆกลัวหรอก ส่วนคนที่สุดจะเอื้อเฟื้อคนข้างล่างอย่างไรก็เท่านั้นเอง
เรามาถึงยุคที่โรงพยาบาลต้องออกมาเรี่ยไรเงินเพื่อสร้างตึกผู้ป่วย (โรงพยาบาลอื่นก็ควรทำนะ) ดูแล้วเหมือนรัฐไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพประชาชน? ปัญหาโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ป่วยแทบจะ 100% ของโรงพยาบาลรัฐ!! มันเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดดราม่าระหว่างผู้ป่วย/ญาติ กับหมอและพยาบาล และมีทีท่าว่าจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ งบบางงบดูเหมือนรัฐจะใช้อย่างไม่ลังเลคงไม่ต้องเอ่ยนะ
ทีนี่มามองในส่วนของประชาชนบ้าง ในความเห็นส่วนตัวผมว่าเราควรเปลี่ยนค่านิยมบางอย่างเช่น การทำบุญด้วยการสร้างโบสถ์ใหญ่ๆ แพงๆ สร้างพระใหญ่ๆ และรวมไปถึงศาสนสถานอื่นๆ มี่เน้นความใหญ่และหรูหรา แล้วหันมาช่วยกันสนับสนุนโรงพยายาลกันดีกว่า เรายังขาดแคลนตึกผู้ป่วยและเครื่องมือในการรักษาอีกมากมาย ส่วนวัดก็ทำนุบำรุงให้เป็นสถานที่สะอาดและสงบมีป่าต้นไม้เยอะๆ เรียบง่ายแค่นั้นก็พอนะ
"เราไม่รู้ว่าทำไมคนในแวดวงการศึกษาถึงได้ obsessed กับการสอนให้เด็กรู้จัก ความลำบากและความเจ็บปวดกันนัก คือเข้าใจว่า ความทรมานมันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตแต่ทำไมจะต้องเพิ่มความทรมานที่ไม่จำเป็นให้เด็กในโรงเรียนเข้าไปอีก ทั้งๆที่ช่วงเวลาสิบกว่าปีแรกในรั้วการศึกษามันควรเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เด็กมีความสุขและ productive เพื่อให้เด็กมีฝัน มีหวังว่าจะทำให้บ้านเมืองที่แย่ๆนี่มันดีขึ้นได้
เข้าแถวเคารพธงชาติเงี้ย มันไม่ได้สะท้อนความเป็นระเบียบอะไรเลยนะเอาจริง มันไม่ได้สอนว่า เวลาคุณมาก่อน คุณจะได้ของก่อน มันแค่เป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่างที่บังคับให้คุณต้องทำ แต่สุดท้ายแล้วพอคนไม่บังคับคุณ คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำตามพิธีกรรมดังกล่าวอีกต่อไปแล้วอ่ะ
ทรงผมก็เหมือนกัน พวกที่อ้างว่า การตัดผมสั้นเป็นการให้เด็กสนใจแต่การเรียนแนะนำตัดติ่งหู ขาวสามด้านไปทำงานด้วยนะคะ จะได้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น เผลอๆคนพูดเวลาทำงานก็นั่งเล่นเฟส ทำตัว worthless แบบพวกขี้แพ้ไปวันๆด้วยซ้ำ
เครื่องแบบเคยพูดไปแล้วว่ามันไม่ใช่เครื่องมือสร้างความเท่าเทียมอะไรหรอก ตราบเท่าที่ทัศนคติการเหยียดยังมีอยู่ คนจะใส่อะไรก็เหยียดกันได้อยู่ดี
หลายคนลืมไปว่าเราก็เคยเป็นเด็ก เด็กที่เกลียดการเข้าแถว ก่นด่าครูที่พูดหน้าเสาธงเหมือนกับไม่ได้พูดกับใครมานานนับสิบปี อากาศเมืองไทยก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นมิตรต่อมนุษย์เท่าไหร่ด้วย แต่ก็ชอบมีการหาเหตุผลเพื่อมา romanticize การกระทำไร้แก่นสารนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าแถวย่างสดนักเรียนด้วยระดับแสงแดดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การ public shaming ที่เข้าข่ายการกระทำความรุนแรงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดผมให้แหว่ง การตัดขากางเกง หรือการใช้ไม้เรียวฟาดเด็กก็ตาม มันเหมือนเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ชาตินี้วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการใช้ความรุนแรงโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ
หรืออย่างกฎระเบียบก็เหมือนกัน การที่จะทำให้คนเข้าใจคอนเซบว่าคนเราต้องเคารพกฎหมายในสังคมเนี่ย พื้นฐานง่ายๆเลยคือเราไม่ไปละเมิดชาวบ้าน เราเคารพสิทธิของชาวบ้านเขาเหมือนๆกับที่เราอยากให้เขาเคารพสิทธิของเรา แต่ไอกฎที่โรงเรียนพยายามพร่ำสอนมันตรงข้ามอ่ะ มันคือการเร่ง process จนผลลัพธ์มันบิดเบี้ยวไป มันเป็นการบังคับเด็กให้ทำตามระเบียบโดยตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไม"
-มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>186 กูว่ากฎพวกนี้มันก็ย่อหย่อนลงขึ้นเรื่อยๆนะ เทียบกับสมัยกูเรียน20+ปีก่อน
แต่ทำไมมันถึงมีแต่ข่าวคุณภาพเด็กมันเหี้ยลงมากขึ้นแทนวะ? ทั้งเย็ดวัยเรียนกันมากขึ้น ตีกันชนิดเอาถึงตายเพราะแย่งควย แว้นท์สก้อย(ยุคกูยังปั่นแค่bmxอยู่ช่วงเลย) เด็กเรียกร้องมากขึ้นขอตังค์คนไม่รู้จักไปเที่ยวนอก(เสี่ยตัน)ยังด้านทำมาได้แถมไม่ใช้คืนด้วย โกงข้อสอบกันแบบมีวิวัฒนาการ สอบตกไม่ซ้ำชั้น นักเรียนทำผิดห้ามครูทำโทษเด็ก ฯลฯ
>>190 กูไม่กล้าเทียบหรอกแต่กูรู้อยูุ่อย่างว่าเดี๋ยวนี้หลักฐานมุนเยอะเพราะมือถือมันอัดวีดีโอได้ง่ายแถมจะลากประวัติเหี้ยๆกันก็ง่ายเพราะเจ้าของประวัติดันพิมพ์ลงไปเองในเฟซบุ้คอย่างไม่ละอาย อย่างดีเจเก่งอ่ะโดนถ่ายคลิปตั้งแต่ตอนถอยชน, แล้วออกมาตอแหล, สุดท้ายคนไปดูประวัติที่มันเก็บแต้มชนนิดชนหน่อยกับหลายๆคนหลายๆที่ ก็เลยโดนสังคมกระหน่ำขนาดนั้น
ล่าสุดกลุ่มกระหรี่ที่เอาลูกไปป่วนร้านอาหารก็อัดคลิปฆ่าตัวตายลงเฟซตัวเองตอนนี้ดังสมใจเลยมึง
วันนี้ได้ข้อมูลจากบริษัทของคนสนิทใกล้ตัว ที่เป็นบริษัท online platform ยอดขาย 100 ล้าน
ใช้ข้อสอบ Recruit ตำแหน่ง Programmer ทั้งหมด 5 ข้อ โดยข้อ 1 คือจง เขียนโปรแกรมเพื่อแสดงผล "Hello world"
และข้อยากสุด คือ เรียง String
ผลลัพท์ผู้สมัครงาน 95% ทำข้อแรกไม่ได้ โดยการมาสมัครตำแหน่งโปรแกรมเมอร์
และตลอด 4 ปีที่ผ่านมามีคนทำได้ 5 ข้อครบทั้งหมด 2 คนถ้วน... #โลกนี้ช่างโหดร้าย
มีใครเจอบ้าง ผมไม่เจอขนาดนี้นะ...
>>186-191 ยุคกู(พ.ศ. 252X-253X )ไม่มี bully รังแกคนพิการแฮะ มันเริ่มเหี้ยระดับนี้มาตั้งแต่ปีไหนวะ ?
ยุคกูคือโดนแกล้งมาต้องต่อยกลับวะ จะแพ้ชนะช่างแม่งแต่ต้องสู้กลับเอา ถ้าโดนรุมก็เล็งเอาไอ้ตัวหัวโจกไปก่อน
ยิ่งโดนขึ้นห้องปกครองก็ดีคุยกับครูผู้ชาย บอกมันทำกูก่อน ไม่ได้เล่นๆด้วย
ลากพ่อแม่แม่งมาเคลียร์ยิ่งดี เพื่อบอกว่ากูไม่สนุก เล่นๆกับมึงด้วย ถ้าพ่อแม่มันไม่ใช่พวกสปอยลูกก็จบเร็ว
อย่ากลัวอายแต่มันจะอายแทน อีกฝ่ายแม่งจะพาลหงอกลัวไปเอง แถมดัดนิสัยได้ดีด้วย
มายุคนี้เจอข่าว เด็กนรก6ตัว นี้ก็แสดงว่ากู่ไปไกลเกินวะ
พิมพ์ไม่หมด คือมีการแกล้งกันแต่ของโรงเรียนกูคือไม่มีรังแกคนพิการนะ หรือเพราะโรงเรียนกูเป็นโรงเรียนคริสต์เอกชนด้วยมั้ง(ประมาณคุณภาพ/ค่าเรียนสถาบันมีผลต่อประเภทเด็กที่เข้ามา)
แบบกูเห็นหลายๆคนมาตั้งแต่ประถมเป็นพวกแกล้งคนพอขึ้นมัธยมก็เลิกไอ้นิสัยนี้กัน คงเริ่มรู้ตัวว่ามันไม่ดีก็เลิกทำ
กูเด็กยุค 90 เกิดมาตัวเล็กแต่สมัยเรียนประถมกูเข้าตั้งแต่อนุบาล1สนิทกับเพื่อนในห้องเลยไม่โดนแกล้ง มีบางประปรายจากเด็กห้องอื่นที่ไม่สนิท
ตอนป.1เรียนกับเพื่อนที่เป็นดาว ไม่มีใครแกล้งหรือดูถูกเด็กคนนั้น(โรงเรียนบ้านนอกสังคมต่างจังหวัดด้วยแหละ)
เรียนมัธยมมีโดนแกล้งนิดหน่อยแต่ไม่หนักมากออกแนวแกล้งขำๆ
พอทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กพิเศษจากประสบการณ์ เด็กประถมต้นไม่ค่อยมีปัญหาว่ะ อาจจะมีหงุดหงิดบางถ้าทำกิจกรรมแล้วทีมตัวเองได้คะแนนน้อย สรุปคือถ้าเด็กอยู่ด้วยกันตั้งแต่เล็กปัญหาไม่ค่อยเกิด ส่วนระดับม.ปลายเคยเจอเคสเหี้ยมาก เด็กเป็นMRโดนเพื่อนแกล้งรุมตบตัวหนักพอๆกับในคลิปนี่แหละ ทำลับหลังอาจารย์ด้วย(เหมือนจะหมั้นไส้เด็กMRแต่ต่อหน้าไม่ทำ) โชคดีที่รรติดกล้อง
มึงเอาการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนมาปนกับคดีกระทืบคนตายเนี่ยนะ มันคนละอย่างกันเลย
แล้วกูถามหน่อยว่าไอ้พวกคดีวัยรุ่นฆ่าคนตายนี่สมัยก่อนมันนี่ไม่มีหรอ?
"สินค้าตัวโชว์ยังไม่มาเลยพี่ทำไงดี"
"เอาตัวอย่างมาสแกน แล้วยิงโฮโลแกรมสามมิติล้ำๆไปเลย"
#มิตรสหายเจนยูท่านหนึ่ง
เด็กยุคนี้ถึงขั้นขี้กันหน้าห้องน้ำ เยี่ยวใส่กระถาง อ้วกข้างๆโต๊ะแขกคนอื่น พอเขาเชิญออกก็ขู่จะถ่ายคลิปประจาน
ทำไมพ่อแม่เด็กยุคนี้มันหน้าด้านไปไกลขนาดนี้แล้วครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพิ่งได้ดูคลิปเด็กผู้หญิงอายุ 15 มีเพศสัมพันธ์กับนักเรียนชายผิวดำ 25 คน ในห้องน้ำของโรงเรียน
สังคมยุคนี้ช่างเสื่อมทรามจริงๆ
สังคมเสื่อมทรามเพราะคนไม่มีน้ำใจอย่างมึงไม่ลงssนี่ละ
"วันนี้แปลงานบางอย่างแล้วคิดว่าถ้าเป็นศัพท์เทคนิคหรือกึ่งเทคนิค ควรเขียนภาษาอังกฤษลงไปเลย เพราะคนอ่านจะได้ไปค้นต่อได้ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมาคิดศัพท์เป็นภาษากึ่งดิบกึ่งดีกึ่งน่านิยมกึ่งไม่น่านิยมกึ่งไทยกึ่งบาลีกึ่งสันสกฤตให้ชวนงงกันอีกต่อไป เนื่องจากเราอยู่ในยุคสมัยที่ภาษาอังกฤษเป็นที่เข้าใจง่าย และต้องใช้มันเป็น 'ฐาน' ในการค้นคว้าต่ออยู่แล้ว ดังนั้น การไม่คิดคำภาษาไทย (ย้ำว่า-ในบางกรณีนะครับ) จึงไม่ใช่ความขี้เกียจ แต่เป็นเรื่อง 'ไม่จำเป็น' ต้องทำให้เสียเวลา เพราะทำแล้วเป็นโทษมากกว่าคุณ อย่างมากก็แค่ได้อวดภูมิการคิดคำเท่านั้น
ทำให้นึกถึงกรรมการตัดสินงานเขียนคนหนึ่งที่เล่าว่า กรรมการอาวุโสคนหนึ่งไม่ชอบให้มีภาษาอังกฤษปรากฏอยู่ในงานเขียนเลยแม้แต่ตัวเดียว ดังนั้นในงานตัดสินที่มีกรรมการท่านนั้นอยู่ด้วย จะไม่มีงานเรื่องไหนที่ชื่อ (หรือเนื้อในบางส่วน) เป็นภาษาอังกฤษผ่านเลย ไม่ว่าจะเขียนดีสักเพียงใดก็ตาม แม้กระทั่งบางเรื่องที่เนื้อในไม่มีภาษาอื่นเลย แต่ชื่อเรื่องตั้งมาสองภาษา (คือทั้งไทยและอังกฤษ) ก็ยังไม่ให้ด้วยซ้ำไป แม้กรรมการจะถกเถียงกันอยู่เป็นเวลานาน (เพราะงานชิ้นนั้นดี) แต่ที่สุดก็พ่ายพลังแห่งความอาวุโสที่ให้เหตุผลว่าเราเป็นคนไทย ฉะนั้นต้องคิด 'คำไทย' ออกมาให้ได้
คิดว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการปะทะกันของยุคสมัย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ย่อหน้าบนนี่อยากถามจังเลยว่าไม่รู้จักเชิงอรรถเหรอ
>>211 บางอย่างทับศัพท์ไปเหอะ จริงๆนะแบบไอ้พวกหนังสือเชิงคณิตศาสตร์งี้แบบ เอกภพภินทนะแบบไมเปนอันดับ ภาษาอังกฤษคือ Discrete Non-ordered Universe ภาษาอังกฤษเข้าใจง่ายกว่าเยอะ อ่านแล้วก็พอเข้าใจว่าไอ้นี้มันหมายถึงอะไรไม่ต้องมานั่งแปลไทยเป็นไทย หรือเจอศัพท์นี้ก็ต้องมานั่งพลิกเทียบหาคำต้นฉบับมัน
>>212 กูไม่เข้าใจทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษเลยวะ เข้าใจว่าบางคำมันแปลยากและไม่แปลก็ค่าเท่ากัน แต่พวกศัพท์เทคนิคมันมีศัพท์ทางการที่ราชบัณฑิตแปลให้แล้วก็พอใช้ได้ อีกอย่าง ศัพท์เทคนิคมันต้องมีการอธิบายประกอบเพื่อความเข้าใจร่วมกันอยู่ดี ยิ่งในหนังสือวิชาการระดับสูงที่มีการสร้างศัพท์เฉพาะมาอธิบายความหมายเชิงเทคนิคของตัวเอง
กูเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่คนแปลขยันทำการบ้านมากจนทำเชิงอรรถแย้งว่าสิ่งที่หนังสือบอกมันไม่ตรงกับความจริงส่วนไหนบ้าง มีการเขียนภาษาฝรั่งเศสต้นฉบับพร้อมเสียงอ่านมาด้วย คุณภาพงานแปลมันวัดที่การทำให้ผู้อ่านเข้าใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับระดับของคนอ่านด้วยละ
ส่วนใหญ่กูอ่านสายสังคมไม่ค่อยเจอแปลแปลกๆ ไม่เข้าใจความหมายวะ ของพวกนี้เอาจริงๆ มันก็ต่องแปลเพื่อให้คนต่างชาติเข้าใจละ ทุกประเทศก็เป็นแบบนี้หมด แม้แต่ภาษาอังกฤษยังต้องมีเชิงอรรถเวลาตั้งชื่อละตินเลย
ทำธุรกิจ..ก็เหมือนกับปลูกต้นไม้..
คำถามแรก...คุณจะปลูกต้นอะไร..??
ก็ต้องกลับมาถามว่า คุณปลูกต้นไม้เป็นมั้ย เป็นมือใหม่หรือมือเก่า..??
ถ้าเป็นมือใหม่..ก็ปลูกทีละต้น ทีละพันธ์เถอะครับ..
เพราะกว่าคุณจะรู้จักพันธ์ต้นไม้หนึ่งๆดีพอ บางทีมันใช้เวลาหลายปีทีเดียวกว่าจะเข้าใจ..ว่าจะปลูกแบบไหน อย่างไร สภาพแวดล้อมแบบไหนรอด แบบไหนไม่รอด..
ผมเห็นคนทำธุรกิจใหม่ๆหลายคน ทำธุรกิจหลากหลายไปหมด..ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย อย่างทำสิ่งพิมพ์ ก็ไปเปิดผับ แล้วก็ไปทำคาร์แคร์ แถมไปหุ้นกับเพื่อนทำไรเยอะแยะไปหมด
สุดท้าย...เจ๊งหมด..!!
เจ๊งเพราะพื้นฐาน...คุณยังปลูกต้นไม้ไม่เก่งพอ(management skills)
เจ๊งเพราะ...คุณไม่เข้าใจต้นไม้แต่ละพันธ์ดีพอ...(product or industrial knowledge)
เจ๊งเพราะ...คุณไม่มีเวลาใส่ใจดูแลพันธ์ไม้แต่ละพันธ์มากพอ(lack of time to control&monitoring...and solve each problems)
เจ๊งเพราะ...คุณประเมินตัวเองสูงไป และประเมินธุรกิจต่ำไป...!!
สรุปง่ายๆ ล้มเหลวเพราะความประมาทนั่นเอง...!!
วันนี้แค่นี้ก่อน...เด๋วต้องไปOpp day 9โมงเช้า..และขึ้นเวทีที่นิด้า 10.30....
ไม่ลงคลิปนะครับ (เพราะคิดว่าทุกคนคงหาดูได้) ผมมีห้วงคำนึงถึงเรื่องนี้คือ...
1. ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่อง ก็คือคนที่เติบโตมาจากเด็กที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีพอ คำด่าที่ว่า 'ไอ้..พ่อแม่ไม่สั่งสอน' มันเรื่องจริงครับ สังคมนี้ปล่อยลูกโตตามอากาศ โตตามสิ่งแวดล้อมเยอะมากๆ ปล่อยปละละเลย คิดว่าไม่ใช่ปัญหา แต่มันเป็นปัญหาสังคมครับ คนโตมาแบบมั่วๆซั่วๆเยอะมาก ปล่อยความกากกันออกมาเต็มที่ตอนเป็นผู้ใหญ่เพราะคิดว่าทำอะไรก็ได้ 'มีตังค์จ่ายแล้วทำไมหึ?'
2. คนกากๆก็เลี้ยงลูกแบบกากๆ วนลูปกันเป็นวงจรอุบาทว์ ..จริงๆความกากก็มีมานานแล้วแต่เดี๋ยวนี้เริ่มเห็นมาก เหตุหนึ่งก็การที่เทคโนโลยีเข้าถึงผู้คนได้ง่าย แต่อีกเหตุสำคัญก็เพราะการมีบุตรเร็ว บางราย 18-19 ก็คลอดแล้ว และนิยมมีบุตรมาก จึง Multiply ตัวเองออกมาได้เป็นเข่งๆ ...ในขณะที่ครอบครัวคุณภาพก็ดั๊นเลือกมีลูกน้อยๆน้อยถึงไม่มีเลย และกว่าจะมีลูกคนนึงก็ต้องรอ...รอเรียนจบ รอต่อโท รอทำงาน รอซื้อรถได้ รอผ่อนบ้านไหว รอแต่งงาน รอฮันนีมูน รอลงคอร์สเรียนโปรแกรมพิเศษ บลาๆๆ กว่าจะมีลูกออกมาซักคน
3. อันนี้ไม่เกี่ยวกับสองข้อแรก แต่เราคิดวิเคราะห์ไว้นานแล้ว ...สมัยนี้เรามักเห็นคนสวยๆทำอะไรห่ามๆ ทั้งในโลกจริงและโลกโซเชียลผิดจริตคนสวยๆในสมัยก่อนที่มักเก็บตัวและรักษาอากัปกริยา
เหตุผลคือ : คนไม่สวยพอโมฯหน้าจนสวยแล้วก็เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์อยากจะแสดงออกจนเกินงาม ... คนงามแท้ๆเค้าจะงามจากข้างใน พ่อแม่จะสั่งสอนมาให้ไว้ตัว อากัปกริยาจึงมีมารยาท ไม่กระโตกกระตากทำตัวหลุดโลกหลุดนิสัยไม่ดีออกสู่สาธารณะ ... ต่อไปเวลาเราเห็นคนสวยๆแล้วทำตัวเกินงาม โชว์ง่ามขา โชว์ร่องนม ฟรีๆบนโลกโซเชียลก็ให้อนุมานได้เลยว่า 'เธอเคยอุบาทว์มาก่อน' พอหายจึงตะเกียกตะกายมากเป็นพิเศษ ลืมความผิดถูก ลืมศีลธรรมจรรยาหมดสิ้น
เขียนเยอะหน่อยนะครับเช้านี้ เห็นคลิปแล้วไม่สบายใจเลย (ใช้คำแบบพวกเธอก็ได้นะครับว่า ฮึ่ย! 'รมย์เสียยย!!)
"เมื่อก่อนที่ตรงนี้คือสลัมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเดลี ศาลตัดสินไล่สลัมออกด้วยเหตุผลว่า สลัมอยู่อย่างผิดกฏหมาย และที่ตรงนี้เป็นที่ที่ไม่ควรปลูกสร้างอะไรทั้งสิ้น เพราะเป็น floodplain ของแม่น้ำ Yamuna มีคนถามแล้วคนหลักแสนจากสลัมจะไปอยู่ไหน ศาลบอก 'ถ้าไม่มีปัญญาหาที่อยู่ในเดลี ก็ออกไปซะ!'
หลังจากศาลใช้กำลังขับไล่สลัมได้ ที่ดินริมแม่น้ำ floodplain ก็ถูกเปลี่ยนเป็น วัดฮินดู Akshardham หรูหรา และ Commonwealth Games Village หมู่บ้านนักกีฬาสมัย Commonwealth Games 2010 ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังวัด ทั้งคู่ใช้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเมือง และเรื่อง floodplain ก็ถูกลืมเลือนหายไป แบบเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น
สลัมสร้างอาศัยอย่างผิดกฏหมาย แต่ห้างหรูจำนวนมากในนิวเดลี ก็ก่อสร้างในที่ดินอย่างผิดกฏหมายเช่นกัน แต่คงไม่ต้องบอกว่าใครต้องย้าย ใครอยู่ได้ถาวร
นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนจนในอินเดีย จึงไม่เคยพึ่งและไม่คิดจะพึ่งกฏหมาย เพราะผู้ดูแลกฏหมายและรัฐไม่เคยให้ความเป็นธรรมกับพวกเขา จริงแล้วต้องการกำจัดพวกเขาออกไปเสียด้วยซ้ำ (ทั้งๆ ที่เมืองนี้โตได้เพราะการใช้แรงงานราคาถูกของคนเหล่านี้)
พวกเขาต่อรองสิทธิและการเอาชีวิตรอด ผ่านการสร้างสายสัมพันธ์และต่อรองกับนักการเมืองท้องถิ่น ผ่านคะแนนเสียงและเงิน การเมืองจึงเป็นเรื่องผลประโยชน์และปากท้องในการมีชีวิต การคอรัปชั่นในมุมนี้ เอาเข้าจริงมันคือการประกันการได้รับการดูแล ซึ่งอันที่จริงกฏหมายและรัฐควรทำหน้าที่นั่น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ขนาดน้ำส้มยังปลอม
นับประสาอะไรกับหัวใจ
"LGBT used to be GLBT. Yeah, feminists got mad and wanted lesbians to be first. "
อยากรู้ว่าใครแสดงหนังแสดงละครเก่ง ให้ดูตอนคนนั้นถูกสื่อสัมภาษณ์ คนแสดงไม่เก่ง เวลาพิธีกรหรือนักข่าวถามอะไร จะตอบได้แค่สั้นๆ "ก็ดีครับ" "ไม่ครับ" "ใช่ครับ" "ไม่ชอบครับ"
ส่วนคนที่แสดงเก่ง จะตอบได้ยาวมาก "อ้อ ผมว่าก็ดีนะ อย่างเวลาผมทำแบบนั้น ผมรู้สึกว่ามันสุดยอดเลย ชิวสุดๆ ไม่เหมือนตอนที่ผมไปทำแบบโน้น ตอนนั้นนะ โอ้ย แบบว่า ผมอ่ะนะ...."
อธิบายอีกอย่างคือ คนเล่นหนังเล่นละครเก่ง คือคนที่มีจินตนาการ ผู้กำกับแค่อธิบายเหตุการณ์ในฉากนั้นคร่าวๆ ก็สามารถจินตนาการได้เองว่า ตัวละครที่ตัวเองกำลังแสดง กำลังมีความรู้สึกและอารมณ์ยังไงในเวลานั้นๆ เวลาแสดงเลยเป็นธรรมชาติ
ส่วนคนที่เล่นหนังเล่นละครไม่เก่ง คือคนที่ไม่มีจินตนาการ จะคอยให้ผู้กำกับบอกทุกๆอย่าง เช่น ฉากนี้ผมต้องทำเสียงแบบไหน ผมต้องทำหน้าแบบไหน ผมต้องขมวดคิ้วไหม ผมถอนหายใจไหม ผมต้องกระพริบตาไหม เหมือนป้อนโปรแกรมหุ่นยนต์ เวลาคนๆนั้นแสดง "ก็เลยแสดงแข็งเหมือนหุ่นยนต์" ถ้าไม่บอกโดยละเอียดสุดๆ จะไม่สามารถคิดเองได้เลย
สังเกตมานานแล้วว่าพวกสลิ่มจำนวนมากติดนิสัยยกหางตัวเองได้อย่างหน้าไม่อาย
แบบเบาะๆคือ ผมเป็นคนดี ผมเป็นกลาง ผมมีสติ ผมไม่มีอคติ ผมรักชาติ
ไม่รู้สึกกระดากอะไรบ้างเหรอกับการยกหางตัวเอง
มันน่าสงสัยมากว่าสังคมของสลิ่มเป็นแบบไหน นิสัยแบบนี้มันถึงแพร่มาได้
เรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนิสัยประเภทว่า ชาติของตัวเองต้องชมเท่านั้น ใครที่ด่าชาติตัวเองก็จะโดนเรียกว่าเป็นพวกชังชาติ
คือพวกนี้เคยชินกับการชมตัวเองตลอดเวลาเหรอ
พวกนี้ไม่รู้จักการด่าตัวเองบ้างเหรอ
กะอีแค่การรู้สึกตัวว่า กูนี่มันโง่จริงๆ ทำไมกูเคยโง่แบบนั้น พวกนี้มันไม่เคยทำไม่เคยเป็นกันเหรอ
คือดักดานยังไงมันก็ดักดานอย่างนั้น ทั้งชีวิตมันไม่เคยฉลาดขึ้น และจะไม่ฉลาดขึ้นไปกว่านี้อีกแล้วเหรอ
>>225 กูว่าส่วนใหญ่ก็รู้เรื่องไม่ดีของตัวเองว่ะแต่จะออกอาการบ้างเพราะสำนวนด่ามากกว่า ถ้าสำนวนการติชมดีมีเหตุผลก็น่าจะรับกันได้เยอะว่ะ
แบบสังคมผู้ใหญ่ที่มึงไม่สนิทกันมากมึงต้องมีท่าทีสงวนตัวพอสมควรว่ะแบบพูดจุดด้อยของคนอื่นให้เจ้าตัวเขาฟังทีเดียว ฝั่งนู้นเขาไม่รับปุ๊บก็ได้ศตรูมาแล้วคนนึง ต้องยอมรับเลยว่ามึงจะเอาความคิดของตัวเองมาพูดตรงๆเหมือนวัยเด็กไม่ได้เพราะทุกวันนี้กฟุเองยังมีปัญหาเลยคือพฟุดด้วยความหวังดี100% แต่ถ้าฝั่งที่รับฟังเขาไม่รับปุ๊บงานงอกทุกครั้ง
ไอ้กลุ่มที่มึบว่าเป็นสลิ่มเนี้ยแหล่ะส่วนใหญ่ก็คิดซะว่าเป็นวัยกลางคนที่ มักจะชอบพูดแต่เรื่องดีดีส่วนเรื่องไม่ดีจะเก็บไว้ในใจมากกว่า สมมุติเป็นกลุ่มคนอายุ40-50คุยกันอยู่แล้วมึงไปKY ติคนนู้นทีคนนี้ทีในวงนั้น ผู้ใหญ่เขาก็ไม่ฟังมึงหรอก เพราะสถานะทางสังคมของคนวัยนั้นมันอาจจะเป็นคนใหญ่คนโตไปแล้วไง. แล้วมึงจะซวยหนักกว่าถ้าไอ้คน40-50นี้เป็นทหารตำรวจที่ระบบสังคมมันถือเรื่องชนชั้นมาก เด็กเห่อหมอยต่อให้พูดมีเหตุผลแค่ไหนไอ้เหี้ยพวกนี้ก็ไม่ฟังหรอก คนที่มันจะฟังคือคนยศใหญ่กว่ามันแค่นั้นแหล่ะ
ที่กูบ่นยาวนี่ก็เพราะกูอยากให้คนที่มีเหตุผลอ่านแล้วเข้าใจบ้าง. จะได้ไม่ต้องไปยัดให้คนนู้นคนนี้เป็นสลิ่มหรอก มีเหตุผลกันทุกคนแหล่ะ แต่ลีลาการกล่อมเกลาสำนวนมันไม่ถูกจริต เชาก็ไม่สนใจแล้ว
จริงๆ กูคิดว่าที่ลิเบอรอลไทยบอกว่าตัวเองเป็นคนมีเหตุผลอยู่เหนืออคติ ตาสว่างก็เป็นอะไรที่ตลกพอกันนะ แต่กูไม่ค่อยอยากพูดอะไรเท่าไหร่กับพวกที่คิดว่าลิเบอรอลต่างจากคอนเซอแค่ชอบคนละอย่าง จริงๆ คำว่าตาสว่างนี่ก็เป็นอะไรที่ตลกในตัวเองอยู่แล้ว บาโฟยังเคยเอามาล้อบ่อยๆ เลย
คนไทยมีปมด้อยต้องใช้วิธีล้อคนอื่นนะครับ
ทั้งควายแดงงี้ ทั้งสลิ่มงี้
บางก็ฆ่ากันตายเพราะเรื่องล้อคนอื่น
เซเลปบางคนก็บอกเฮ้ยอย่าล้อคนอื่นมันไม่ดี แต่พอเป็นคนที่ไม่ชอบก็ล้อแม่งรัวๆ. อนิจจา
ประเทศเจริญแล้ว พวกกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จเขาถึงไม่ล้อใครง่ายๆกัน
ส่วนพวกด้อยพัฒนาก็เชิญทำต่อไปครับ
แต่น่าเศร้าที่ดันเสือกเยอะเป็นส่วนใหญ่ของประเทศไทย
#มิตรสหายท่านหนึ่งมองเมืองไทย
ไม่อ่ะคนขาวบางทียังต้องสงวนท่าทีเลยวิจารณ์คนดำบ่อยๆมันยัดข้อหา เหยียดผิวเฉยเลย เคยมีคนวิจารณ์เพลงชีวิตพังเพราะ อีรีฮานน่ามาแล้ว
ตาสว่างนี่กูว่าเป็นเพราะสังคมไทยมันคอนเซอ พอคนที่เคยคอนเซอตามกระแสสังคมเปลี่ยนใจก็ใช้คำเรียกให้มันดูดี
คนที่ไม่ได้คอนเซอมากบางคนเปลี่ยนเป็นคอนเซอแรงๆเองกูก็เห็นใช้คำนี้นะ
In the 1960's the president was trying to put a man on the moon.
In the 2010's the president was trying to put a man in the womens bathroom.
Where did we go so wrong?
"คนในครอบครัวผมเป็นมะเร็งสามคน ยาย ป้า หลวงตา
ทั้งสามคนมารักษาที่ศิริราช
บ้านผมอยู่ราชบุรีซึ่งมีโรงพยาบาลศูนย์ ซึ่งคือโรงพยาบาลตติยภูมิ ซึ่งหมายถึงโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ ที่มีแพทย์เฉพาะทางและเครื่องไม้เครื่องมือที่มีความพร้อมในระดับสูง ทั้งประเทศมี 26 แห่ง
แต่โรงพยาบาลศูนย์ก็สู้โรงเรียนแพทย์ไม่ได้ ทั้งในเรื่องความรู้สึก (คำว่า "อาจารย์หมอ" มันขลัง) และทั้งในเรื่องกายภาพ โรงเรียนแพทย์มันต้องพร้อมมากๆถึงจะสอนแพทย์ได้ดี เครื่องมือที่ทันสมัย หมอที่เก่ง รวมกันอยู่นี่หมด
พอมีคนป่วยหนักๆ บ้านผมเลยเลือกมารักษาที่ศิริราช จริงๆ ตอนยายป่วยซึ่งเป็นคนแรกก็ไปที่โรงพยาบาลราชบุรีแหละ แต่คนไข้ล้นมาก หมอตรวจไม่เจออะไรด้วย (ไม่ได้โทษหมอนะ ระบบตอนนั้นมันแย่จริงๆ เรื่องมันเกือบยี่สิบปีมาแล้วมั้ง) ก็เลยกระเตงกันมาที่ศิริราช
ซึ่งก็ไม่ได้มาสบายๆ นะ บ้านผมไม่มีรถ ก็นั่งรถทัวร์กันมา ออกจากราชบุรีตีห้า หกโมงถึงปิ่นเกล้า นั่งรถเมล์ต่อไปศิริราช ไปเข้าคิวแล้วจะได้ตรวจตอนบ่ายๆ พอตรวจเจอมะเร็ง ต้องรักษาด้วยการฉายรังสี ก็มาบ่อยเลย บางช่วงมากันทุกวัน ยายผมป้าผมก็อึดเนอะ ตื่นตีสี่ ออกจากบ้านตีสี่ครึ่งนั่งรถเมล์มาท่ารถทัวร์ กลับถึงบ้านอีกทีก็หัวค่ำ เป็นอย่างนี้เป็นหลายเดือน
ถ้าไม่นับเรื่องคิวที่ยาวนรกแตก การได้รักษาที่ศิริราชนี่ดีเลย หมอดี เครื่องไม้เครื่องมือพร้อม หมอเฉพาะทางครบ ที่สำคัญค่าใช้จ่ายน้อยมาก ตอนนั้นยังไม่มีสามสิบบาท แต่บ้านผมจ่ายค่ารักษาน้อยมาก จำไม่ค่อยได้ว่าเค้าคิดยังไง เหมือนว่าจะแล้วแต่จะให้ด้วยมั้ง ด้วยความที่ที่บ้านโอเคกับตรงนี้มากๆ คนต่อไปที่เป็นมะเร็งก็ใช้ระบบนี้แหละ มาฝากผีฝากไข้ที่นี่
นี่คือถือว่าโชคดีนะ ครอบครัวผมไม่ได้รวย แต่ก็พอไหวกับการต้องหยุดงาน การจ่ายค่าเดินทาง การเสียเวลาอะไรต่างๆ ซึ่งต้นทุนไม่ใช่น้อยเลย ลองคิดถึงคนที่ไม่มีสิ การเข้าถึงโรงพยาบาลระดับนี้นี่เป็นไปไม่ได้เลย
ที่เล่ามานี่คือจะสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของระบบสาธารณสุขไทย (ไม่อยากใช้คำว่าล้มเหลว มันก็ไม่แย่ขนาดนั้น) สิ่งที่ทำให้คนไข้มากองอยู่ที่ศิริราชก็เพราะโรงพยาบาลใหญ่ๆ ในต่างจังหวัดมันรับปริมาณ ความคาดหวัง อะไรทั้งหลายได้ไม่พอ คนที่พอมีทรัพยากรหน่อยเลยมากองกันตรงนี้
จริงๆ ตอนนี้ถ้าเทียบกับเมื่อสิบยี่สิบปีก่อนก็ดีขึ้นมากแล้วนะ โรงพยาบาลราชบุรีตอนนี้ก็พัฒาขึ้นมากๆๆๆ เป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย อะไรๆ ก็ดีขึ้น แต่ถ้าเทียบกับความคาดหวังที่ควรจะเป็นผมก็ว่ามันยังโตเร็วไม่พอ หลักๆ เลยก็คือรัฐจัดสรรงบประมาณสาธารณสุขไทยน้อยเกินไปแหละในมุมของผมนะ คืองบลงทุนที่จะเอาไปสร้าง ไปขยาย ไปจ้างคนเพิ่มมันน้อย งบประจำที่ให้ทุกปีก็ใช้กันจำกัดจำเขี่ยแทบไม่พอ
แล้วโรงพยาบาลท้องถิ่นพวกนี้ก็ไม่มีศักยภาพในการระดมทุนได้ขนาดโรงเรียนแพทย์ทั้งหลายด้วย อย่างมากก็จัดผ้าป่าสร้างตึกกันไป ถ้าแถวไหนมีพระดังๆหน่อยก็โชคดี ให้หลวงพ่อท่านช่วยได้ แต่ถ้าเทียบกับโรงเรียนแพทย์ที่จัดรายการร้องเพลงออกทีวีคืนนึงก็ระดมทุนได้ร้อยล้านนี่ยังห่างไกล
อันนี้ไม่ได้จะว่าหรือกระแนะกระแหนโรงเรียนแพทย์นะ ผมรู้สึกสำนึกบุณคุณอ.หมอที่รักษาญาติๆ ผมด้วยซ้ำ แต่ต้องคำถามกันเหมือนกันว่า เราต้องกระจายทรัพยากรไปต่างจังหวัดให้มากกว่านี้หรือเปล่า แน่นอนอันนี้หน้าที่ของรัฐที่ต้องดูแล มีเงินซื้อรถถังได้มันก็ต้องมีเงินซื้อเอ็มอาร์ไอไปไว้ที่ราชบุรีได้
แต่อย่างเรื่องเงินบริจาคเนี่ย คือไม่อยากให้ทั่วประเทศระดมมาลงที่ศิริราช รามา จุฬา หมด มันควรจะกระจายๆ ไปบ้าง อย่างไอ้กดโทรศัพท์แล้วบริจาคได้เนี่ยชอบมากแต่ถ้ามีให้เลือกส่งเงินไปที่อื่นบ้างน่าจะดี พอกระจุกตรงนี้ สร้างตึกเพิ่ม คนไข้ก็เพิ่ม เดี๋ยวก็ไม่พออีก ก็สร้างตึกเพิ่มอีก ระดมทุนอีก คนไข้เพิ่มอีก ไม่จบไม่สิ้นน่ะ
ปัจจุบันยาย ป้า หลวงตา เสียชีวิตหมดแล้ว ทุกคนเสียชีวิตที่บ้านโดยไม่เคยได้นอนเตียงที่ศิริราชเลยเพราะเต็มตลอด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ผมคิดว่าน่าจะเกิดในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ภายในไม่เกินทศวรรษหน้านี้
1. ประเทศที่ประชากรน้อยลงจะได้เปรียบเพราะแรงงานไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกต่อไป (ญี่ปุ่น, เยอรมัน)
2. การผลิตเพื่อคนจำนวนมาก จะลดความสำคัญลงในประเทศพัฒนาแล้ว (แต่ยังสำคัญในกลุ่มประเทศที่มี growth ของประชากรเช่นทวีปแอฟริกา)
3. เกิดการเปลี่ยนแปลงในราคาอสังหาริมทรัพย์อย่างรุนแรง เพราะเมื่อประชาชนน้อยลง ราคาอสังหาจะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากอดีตมาก (ไว้จะมาเล่าสมมติฐานของผมให้ฟังกัน)
4. แอฟริกาคือคำตอบสำหรับธุรกิจดั้งเดิมที่ต้องการแสวงหาหนทางการเติบโตต่อไป
5. การลงทุน FDI เพื่อผลประโยชน์ด้านต้นทุนแรงงานจะหมดไปจากโลกนี้ ประเทศไหนที่เคยได้ประโยชน์จากแรงงานถูก เตรียมใจไว้ (อาเซียน?)
6. มนุษย์จะต้องถูกบีบให้มีวิวัฒนาการ คนที่ใช้แรงงานอย่างเดียว แม้จะไม่อดตาย (มี UBI ช่วยให้ดำรงชีพได้) แต่น่าจะถูกจำกัดสิทธิต่างๆ ในสังคมเป็นอย่างมาก
7. รัฐบาลจะกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจโลก ภาคเอกชนจะลดความสำคัญลงเป็นอย่างมากหลังการรุ่งเรืองของหุ่นยนต์ อันนี้ผมคิดคล้ายๆ กับสมมติฐานของ Martin Armstrong ที่มองว่า หลังปี 2032 รัฐจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกแทนเอกชน (คล้ายกับยุคหลัง The Great Depression ที่มีการใช้ Keynesian Model ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นครั้งแรก)
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว ซึ่งมันอาจจะเปลี่ยนไปได้ในอนาคต ถ้าผมมีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
"While the Thai women have been gaining recognition in sports abroad the Thai men have been making a name for themselves in...the Miss Tiffany contest."
"อ่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
ถ้าเป็นสเตตัสที่ไม่ได้เปิดพลับบลิค การเขียนว่า "ห้ามโควท ห้ามแชร์" นี่มันควรมีผลแค่ไหน ในทางมารยาท ในทางกฎหมาย ทั้งการโควทแบบออกชื่อ และการโควทไปแบบมิตรสหายท่านหนึ่ง แล้วถ้าโดนทั้งๆทีทบอกไว้แล้ว การตอบโต้ในระดับไหนถึงจะยอมรับได้และไม่ได้
ถามแทนแอดมินวิวาทะและมิตรสหายท่านหนึ่ง ซึ่องเอาจริงๆแม่งไม่น่าจะสนใจมารยาทห่าไรพวกนี้เท่าไหร่
อันนี้ห้ามโควท ห้ามแชร์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อเมริกากำลังโดนกับดักที่ชื่อว่า "ประชาธิปไตย เสียงข้างมาก" เสียเอง เหตุการณ์นี้ อเมริกาคงรู้แล้วว่า ประชากรยุคนี้คุณภาพลดลง มีพวกที่เลือกเอามันส์ เอาฮา เอาสนุก เอาสะใจ เยอะมาก เสียงข้างมากเลยออกมาเป็นแบบนี้ เออ ถ้าทรัมป์เป็นคนแบบว่า ดีครึ่ง เลวครึ่ง ยังพอว่า แต่ทรัมป์แม่งหาดีไม่เจอเลยนะ (นอกจากพูดเก่ง) ออกแนวดาร์ธ เวเดอร์ , ลอร์ดโวลเดอมอร์ เลยนะมึง ก็ยังแห่เลือกกัน กูงง
ทรัมป์จะทำให้โลกวุ่นวาย แผ่นดินลุกเป็นไฟหรืิอไม่ ไม่สน กูเลือกเพราะสะใจอย่างเดียว? (ไม่กล้าใช้คำตรงๆว่า คนอเมริกายุคใหม่ มีพวกไม่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นมาก เต็มไปด้วยพวกไม่ทำงานทำการ ไม่เรียน โง่ลง วันๆนอนแดกพิซซ่าดูทีวีรายการขยะ ดูดกัญชา ไล่เย็ดกัน อยู่ไปวันๆ Yo! What's up man? แต่สุขสบายเพราะคนยุคก่อนสร้างความสะดวกให้มากมาย)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อีพวกสนับสนุนทรัมป์นี่ หลายคนน่าจะเป็นติ่งช่อง Fox นะ ถถถถ อวยว่าละเอียดอย่างโน้น เจาะลึกอย่างนี้ แมร่งก็ไทยรัฐหรือช่องหลากสี style USA นั่นแหละ 5555
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ที่ศิริราชขาดทุนเยอะแบบนี้ก็เพราะ 30 บาทนี่แหละ
โรงพยาบาลใหญ่ๆแบบนี้ ควรจะเก็บตามจริง
ไม่ควรทำตามนโยบายประชานิยมโง่ๆ
เอาทรัพยากรรัฐมหาศาล มารักษาคนที่ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่สังคมเลยนี่ มันสมเหตุสมผลไหม
ศิริราชไม่จ่ายก็ได้นะ เขาไม่แจ้งความ แต่คงด่าในใจหนักพอดู
เจ้าพนักงานน่าจะไปซ้อมกับเกม Yuri นะ
ต่อสู้กับจานบินยังไงให้ชนะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Trump ดูอ่อนโยนต่อ Bernie มากเลยนะ 555
รับท้าตีแบทแล้วด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=vzO-JYjEcHE
แวะมากราบมหาธรรมกายเจดีย์ ที่ผมเชื่อว่าหลายคนมองว่าเหมือนจานบิน แต่ก็ไม่น่าเชื่อนะ เจดีย์ทรงโดมลักษณะนี้เกิดขึ้นมาเป็นพันปีแล้ว ว่าแล้วก็ถือโอกาสเล่าเลยแล้วกันครับ
จากภาพ คือ สาญจีเจดีย์ หรือเรียกอีกชื่อว่าสถูปสาญจี ตั้งอยู่ในรัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย สร้างโดยคำสั่งของพระเจ้าอโศกมหาราช ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 3 เรียกได้ว่าเป็นโครงสร้างหินที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย
แกนกลางของสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขนาดความสูงของพระสถูป ๑๖ เมตร กว้าง ๓๗ เมตร มีประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศ มียอดฉัตรสามชั้น พร้อมกำแพงหินสลักภาพพุทธประวัติที่งดงามยิ่งนัก รวมถึงภาพพระพุทธเจ้าในอดีตและภาพสัตว์ต่าง ๆ ที่สื่อความสำคัญทางพระพุทธศาสนาถูก
สาญจีเจดีย์ ถูกจดทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นมา
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างสถูปที่สาญจี ด้วยพระประสงค์สำคัญ ๔ อย่างคือ
๑. เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. เพื่อบรรจุพระธาตุของพระอัครสาวก พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ รวมทั้งพระธาตุของพระสมณทูตอีก ๑๐ รูป ที่ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาภายหลังการสังคายนาครั้งที่ ๓
๓. เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระโอรสมหินทระเถระและพระธิดาพระสังฆมิตตาเถรี
๔. เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระมเหสีพระนามว่า พระนางเวทิสา ผู้มีถิ่นกำเนิดที่ สาญจี แห่งนี้
เพราะฉะนั้นก่อนจะปรามาส ลบหลู่สิ่งใด ควรเสาะหาข้อมูลไว้เป็นความรู้ก่อนนะครับ
แจ็คหม่าถูกทักษิณซื้อไปแล้ว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พระธัมมชโยคือผู้ทรงศีล
#พานทองแท้ได้กล่าวไว้
พวกเสรีนิยมที่บอกว่า บุคคลสาธารณะต้องทนคำวิจารณ์ได้ นี่คือเสรีนิยมที่ยังงงๆกับหลักการตัวเองนะ หลักการเสรีนิยมจริงๆมันต้องบอกว่า ใครจะทนได้หรือไม่ได้มันก็เรื่องของเค้า ตราบเท่าที่เค้าดำเนินการด้วยวิธีที่ไม่ละเมิดเสรีภาพของคนอื่น
เสรีนิยม : บุคคลสาธารณะต้องทนการถูกวิจารณืได้
บุคคลสาธารณะ : การต่อยปากพวกวิจารณ์ ถือเป็นวิถีแห่งเสรีนิยม
มันเสรีนิยมแบบริเบอร่านไทย
เสรีนิยมที่อื่นในโลกเขาให้ความสำคัญกับการไม่ offend คนอื่นก่อนทั้งนั้น
ถ้าโดนล้อแล้วทนไม่ได้ก็ฟ้องสิวะ กฎหมายก็มี เอ๊ะ หรือจริง ๆ แล้วตอนนี้มันไม่มีกฎหมายวะ
offend ≠ วิจารณ์
เสรีภาพมันมาพร้อมกับความเสี่ยงนะ
ถ้ายอมรับฟรีสปีชกันจริงๆ ควรจะยอมรับด้วยว่ามันมีคนที่ offend และ อ่อนแอ อยู่ ซึ่งถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ต้องรับผิดชอบตรงนั้น เพราะ การยอมรับเสรีภาพแสดงว่าต้องยอมรับความเสี่ยงนั้นได้เช่นกัน ถ้าไม่มีความเสี่ยง แบบนั้นมันใช่เสรีภาพที่ไหน?
เราว่าคนไทยเข้าใจคำว่า เสรีภาพแบบผิดๆ
ความทรงจำเกี่ยวกับธรรมกาย!!!
เพื่อน...ป่วยหนักติดเชื่อ HIV เขามีเพื่อนกลุ่มนึงชวนไปวัดธรรมกายเพื่อปฎิบัติธรรมและทำบุญ เพื่อให้หายโดยที่เพื่อนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าเพื่อน...ป่วยเป็นอะไร การไปวัดทำให้อาการเขาแย่มากขึ้น เพราะไม่ได้พักผ่อน แต่เขาไม่กล้าปฎิเสธเพื่อนกลุ่มนั้นเพราะกังวลว่าเขาจะถามว่าป่วยเป็นอะไร จนเมื่อเขาอาการหนักเพื่อในกลุ่มธรรมกายบอกว่าต้องเช่าพระราคาหมื่นกว่าเพื่อจะทำให้ดีขึ้น เพื่อนก็ยอมควักเงินที่มีน้อยๆอยู่แล้วออกไป ...เตือนตลอดแต่ว่าสังคมรอบตัวทำให้เขาไม่กล้าที่จะขัดใจเพื่อนกลุ่มนั้น
สุดท้ายเขาเสียชีวิต มีเงินจากประกันสังคม มีเงินหลายๆอย่างที่เหลือจากงานศพโดยมี...กับเพื่อนกลุ่มธรรมกายช่วยจัดการ ...อยากให้เงินเหลือทั้งหมดกับพ่อแก่ๆของเพื่อน แต่เพื่อนกลุ่มธรรมกายบอกว่าต้องไปทำบุญเพราะว่าชีวิตหลังความตายของเพื่อนจะดีขึ้น พวกเราถกเถียงกันนิดหน่อย สุดท้ายเงินทั้งหมดก็ไปทำบุญให้หลังความตายของเพื่อน... พ่อแก่ๆของเพื่อน...ส่งค่ารถกลับสกลนคร
ความจริงของธรรมกายเป็นเช่นไรไม่รู้ แต่...รู้จักผ่านคนอื่นอีกที แต่เป็นการรู้จักที่เลวร้ายและเรียกว่าเป็นความทรงจำที่ไม่ดี
"They talk like they're resisting something, but all they do is agree with each other."
ใครเรียนวิชาจิตวิทยา พอจะสรุปคร่าวๆได้ไหมว่า ธรรมกายมันใช้วิธีอะไรถึงสามารถเข้าถึงจิตใจคน แถมหลอกให้คนจ่ายเงินบริจาคได้ง่ายๆ กูว่าคนรู้ควรแฉให้หน่อยจะได้มีภูมิคุ้มกัน
"Programming is not a religion. Too bad many (particularly younger or academically inclined programmers) tend to act as if it is..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เห็นข่าวUber ปรับราคาเดินทางไป(หรือกลับ)จากสนามบินจาก 500บาททุกกรณี มาเป็น 300บาททุกกรณี แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ และอยากเล่าเรื่องที่อยากเล่ามานาน
ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ผมว่างๆอยากหาไรทำ(เงินก็หมด) เลยไปลองสมัคร UBER มาขับดู รถของผมเป็นรถ 1.5 ธรรมดา เลยได้เป็น Uber X สำหรับคนที่ไม่ทราบ Uber มีแบบ X กับ Black แบล็คคือรถประมาณแคมรี่ แอ็คคอร์ด บีเอ็ม เบ็นซ์ อะไรพวกนี้ ซึ่งราคาจะแพงว่าX 2เท่า ซึ่งก็แล้วแต่ทาง Uber กำหนดด้วย
ผมเป็นคนชอบขับรถอยู่แล้ว ขับแรกๆก็สนุกดี ได้เจอคนใหม่ๆ ไปเส้นทางใหม่ๆเยอะ รายได้แรกๆก็ถือว่าน่าพอใจ สัปดาห์นึงขับประมาณ 30 เที่ยว ได้ประมาณ 5-6000 บาท เห้ยก็ดีนี่หว่า แต่ก็เพราะมันมีอัดฉีดให้สำหรับคนขับใหม่ๆ แต่พอขับไปสักพักนึง ถ้าสัปดาห์นึงขับได้แค่นี้จะเหลือแค่ประมาณ 3000 บาทเท่านั้น และได้เข้าไปในกลุ่มคนขับที่เขาตั้งกรุ๊ปไว้คุยกัน ก็ได้รับรู้ถึงปัญหามากมาย
1. คนขับที่ทำพาร์ทไทม์ ถูกกดขี่มากๆ คือขับยังไงก็ไม่คุ้ม เพราะเรต UberX มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ คนขับโดนหักจาก Uber ถึง 20% เรตราคาก็ต่ำกว่าแทกซี่ บางวันขับสิบรอบได้มาแค่ไม่ถึง 600บาท
.
2. คนขับไม่มีทางรู้ว่าคนเรียกจะเรียกไปไหน คือพอคนขับได้รับงานแจ้งเข้ามาในแอพฯ คนขับเลือกได้แค่ว่าจะไปหรือไม่ไปแค่นั้น ไม่มีบอกปลายทาง(ต่างจากgrabซึ่งเลือกได้) ทำให้บางครั้งต้องไปในที่ที่ไกลมากๆ ถึงใกล้มากๆ ซึ่งต้องมารู้หลังจากโทรคุย หรือถึงผู้โดยสารแล้ว
.
3. ไกลมากๆหรือใกล้มากๆก็มีข้อดีข้อเสีย ไกลมากๆบางครั้งก็ดีเพราะคนขับได้เงินเยอะ แต่ปัญหาคือขากลับถ้าไม่มีคนเรียกจะซวยมากเพราะต้องตีรถเปล่ากลับ เคยครั้งหนึ่งต้องไปส่งคนถึงท่าอิฐ(สุดขอบแผนที่ที่Uberให้ไป)ตอนสี่ทุ่ม(เรียกจากทองหล่อ) ขากลับกูจะไปหาผู้โดยสารที่ไหนมากลับ T-T ส่วนถ้าใกล้มากๆ ก็อาจจะสบายๆได้เงินเร็วๆ แต่เงินก็น้อยมากๆตามไปด้วย และเราอาจจะต้องขับฝ่ารถติดในเมืองไปรับผู้โดยสารเพื่อแลกกับเงินเพียง 50-70 บาท นี่เป็นปัญหาของการคิดเงินของ Uber ที่ไม่มีค่าเสียเวลาให้คนขับเลยตั้งแต่เรียก คือต้องกดเริ่มคิดเงินตอนที่ผดส ขึ้นมาในรถเท่านั้น
.
4. ตัวคูณที่เห็นๆกันในโซนในเมืองช่วงชั่วโมงเร่งด่วน คือตัวคูณเพื่อ"ล่อ" ให้คนขับเข้ามา เนื่องจากโซนนั้นช่วงนั้น ผดส ต้องการเรียกเยอะ แต่รถน้อย ระบบก็เลยขึ้นเลขคูณค่าโดยสาร ทีนี้พอคนขับเห็น ก็จะรีบบึ่งเข้าไปในโซน พอคนขับเข้าไปพร้อมๆกันปุ๊ป ระบบแม่งก็จะเปลี่ยนกลับเป็นราคาเท่าเดิมหรือลดตัวคูณลง ซึ่งคนขับน้อยคนมากๆที่จะมีโอกาสรับผดส ที่ยอมเรียกตอนตัวคูณสูงๆ
.
5. คนขับจะมีการันตีรายได้ให้เช่นถ้าขับช่วงเวลานี้ๆจะได้การันตี 230 บาทต่อชั่วโมงแน่นอน ซึ่งเหมาะกับคนที่ขับเป็นประจำไม่เหมากับพาร์ทไทม์แน่ๆ เพราะช่วงการันตีสูงๆคือช่วงเช้าตั้งแต่ 6-10 โมง และช่วงเย็นค่ำๆซึ่งไม่ค่อยมีใครอยากขับกันเพราะรถติดมากๆ
.
6. คนขับBlack เมื่อก่อนสามารถเลือกเปิดระบบได้สองแบบคือ Black ก็ได้ หรือถ้าไม่มีผดส อยากจะไปขับในระบบ X ก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับในเรตราคาที่ต่ำกว่า แต่รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้Uber บังคับให้ Black ต้องเปิดทั้งสองระบบพร้อมๆกัน ทำให้คนที่ขับ Black ต้องจำใจรับลูกค้าในเรตของ x ที่ต่ำกว่ามากๆ และไม่คุ้มเลย
.
7. มาที่เรื่องสนามบิน เรื่องสนามบินนี่เป็นปัญหามาก เนื่องจากจะมีเจ้าหน้าที่การท่าฯมาคอยควบคุม หากจับได้ว่าเป็นคนขับ Uber ก็จะถูกปรับและตักเตือน ถ้าตักเตือนแล้วยังมาอยู่ก็อาจถูกดำเนินคดี ริบใบขับขี่ ซึ่งเจ้าหน้าที่บางคนก็จะแฝงตัวเป็น ผดส สมัครแอพมาเรียกเลย พอคนขับรับปุ๊ปก็เชิญไปปรับ ได้ยินมาว่าที่เป็นแบบนี้เพราะ เจ้าหน้าที่บางคนก็คุมรถลิโม่เองด้วย ซึ่งในส่วนนี้ Uber ไม่รับผิดชอบอะไรนะครับ โดนปรับก็โดนปรับ
.
8. แต่เดิมรายได้จากสนามบิน ไม่ว่าเรียกไป หรือเรียกกลับ จะคิดราคาเหมาคือ 500 บาท Uber หักไป 20% คนขับได้400 ราคานี้ผู้โดยสารอาจมองว่าแพงไป แต่สำหรับคนขับที่ได้แค่400 ถือว่าพอสมน้ำสมเนื้อเพราะบางทีต้องเสี่ยงกับการตีรถเปล่ากลับ แต่ตอนนี้Uber ลดลงมาเหลือแค่ 300 คนขับจะได้แค่ 240 เท่านั้น ซึ่งโหดมากๆ สมมุติคนเรียกจากปิ่นเกล้าไปสนามบิน นี่คนขับได้แค่ 240 นะครับ ทุเรศมากๆ
.
สรุป คนที่คุ้มค่าและได้ประโยชน์ คือ
1. ผู้โดยสาร นะครับ เพราะราคาถูกถึงถูกมาก ดีกว่าแทกซี่ไม่ต้องวุ่นวาย
และ 2. คือUber ที่นอนกิน%กันไปสบายๆ
แต่คนที่โดนเอาเปรียบสุดๆคือคนขับครับ ตอนนี้ในกลุ่มคนขับจึงพยายามรณรงค์ออฟไลน์กันเพื่อเป็นการประท้วง แต่ก็นั่นแหละครับ Uber มันก็จะใช้วิธีทำตัวคูณเยอะๆออกมาเพื่อล่อให้คนขับออกมาขับ หลังจากการปรับราคาสนามบิน มาดูกันว่าคนขับUberที่รวมตัวกันจะมีท่าทีอย่างไรกันต่อ
(โดยส่วนตัวตอนนี้ผมเลิกขับมาพักนึงแล้วเพราะมีเปเปอร์งานปอโทต้องทำมากมาย ไม่มีเวลาออกมาขับ)
#ทุนนิยมนี่มันเหี้ยจริงๆ"
>>275 ไอ้เหี้ย สัมผัสได้ถึงความสโลว์ไลฟ์ของมิตรสหายท่านนี้เลย งานสบายรายได้โอเคก็บ่นลำบาก ใครบังคับให้มันทำล่ะวะ ข้อ2-3นี่มันก็ปัญหาเดียวกับแทกซี่ปกตินี่หว่า แค่นี้มึงบ่นไม่คุ้มแล้วแทกซี่ที่วิ่งไร้จุดหมายเปลืองน้ำมันทั้งวันรอดวงดีมีคนโบกคืออะไร แล้วคือถ้าเค้าให้สิทธิ์คนขับปฎิเสธผู้โดยสารรัวๆเอาแต่ได้ถ่ายเดียวแล้วความน่าเชื่อถือมันจะต่างอะไรกับแทกซี่วะ คิดสิคิด แล้วอะไรคือคิดว่า Uber นอนกินสบายๆ ระบบไม่ใช่เสกขึ้นมาจากอากาศนะโว้ย และที่สุดแล้วมันคือ sharing economy คือการแบ่งปันทรัพยากรจากคนที่มีเหลือ ถ้าคิดว่าแชร์แล้วลำบากเลิกซะก็จบ อย่าเยอะ
uber จึงไม่ควรเกิดฟะ เพราะ เมิงคิดเหรอว่าจะำไม่มี Uber หื่นกาม ฉุดสาวๆ เหรอฟะ ตอนนี้คนมันน้อย เลยคุมได้ พูดยังกะคนไทยเป้ฯสังคมพุทธมีแต่คนดี มีศีลธรรมล่ะฟะ
แต่แท็กซี่ กฏหมายคุมนะเมิง เมิงทำผิดที เมิงขับแท็กซี่ไม่ได้เลยนะ เพราะข้อมูลมี
>>277
1. รัฐวิสาหกิจ > ราชการ
2. http://news.sanook.com/2000162/
Uberทำผิดก็ขับอีกไม่ได้นะกฎหมายก็คุมเหมือนกัน
เอ๊ะหรือว่าปกติบ้านเราไม่มีกฎหมายอยู่แล้ว
>>275 ถ้ามันไม่คุ้มมึงเลิกขับก็น่าจะจบนะ กูว่าวินๆว่ะ ไม่มีงานไหนไม่เจอปัญหาว่ะ งานสบาย มีอิสระ ได้เงินเยอะ จะมีได้ไงถ้าไม่ใช่ลูกเศรษฐี
รายได้จาก Uber แม้มันต่ำกว่าแทกซี่ธรรมดาแต่กูว่ามันก็ได้เปรียบกว่าตรงเขามีสถิติให้มึงดูว่าเวลาไหนควรวิ่งตรงไหน ถ้ามึงไปตามนั้นมึงจะไม่ต้องตีรถเปล่านานแน่นอน ตรงนี้ดีกว่ารถแทกซี่ธรรมดามาก ส่วนมึงจะซวยเจอคนพาเข้าไปหาโซนรถติดไหมนี่อีกเรื่อง แต่ถ้ายิ่งไปโซนรถติดคนเรียกก็ยิ่งเยอะว่ะ ได้ลูกค้าต่อสูงเหมือนกัน ไม่เหมือนแทกซี่ปกติถ้าอยู่โซนรถติดแล้วขับรถเปล่าโอกาสที่มึงจะโดนเรียกนี่ต่ำสัสเลย เพราะรถไม่ขยับเขาไม่เรียกมึงไปเสียตังนั่งตากแอร์บนรถหรอก นาทีละ2บาทเป็นกูกูก็ไม่เอา
ส่วนเรื่องไม่อยากไปที่ไกล หรืออยากเลือก ผดส. หน่อยนี่มึงก็เอาแทบเล็ตหรือมือถือกากๆอีกเครื่องมาเปิดกราบก็ได้ แก้ได้เหมือนกันกูเห็นคนขับเล่น2อันหลายคนอยู่ บางทีมี3อันด้วย อีกอันเอาไว้เปิด Uber โหมด ผดส. ไว้ส่องว่าโซนไหนคู่แข่งมากรึเปล่าด้วย
นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดนคนไทยรุมทำร้าย "แม่งเลวว่ะ แย่ กระทบนู้นนี้นั่น "
คนไทยถูกกระทืบในต่างแดน
"ปกติจ้ะ มีทุกที่นะจ้ะ ทุกคนต้องระมัดระวังตัวเองนะเด็กๆ"
555 กากกลวง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วิธีการเขียนหนังสือให้ดูฉลาด เริ่มต้นที่การใส่ถ้อยคำดังต่อไปนี้ลงไป
"วิพากษ์ วาทกรรม กระบวนทัศน์ การล่มสลาย ทุนนิยม ภาพสะท้อน ย้อนแย้ง ลักลั่น มายาคติ ทับซ้อน พร่าเลือน ปัจจุบัน เคลื่อนไป บ่งบอก ความจริง ความเชื่อ ประกอบสร้าง ส่งผล"
ตัวอย่าง : แม่ใช้เป้ไปให้ซื้อซีอิ๊วจากร้านเจ๊กิม แต่ซีอิ้วหมด
ปัจจุบันการที่แม่ใช้เป้ให้เคลื่อนไปซื้อซีอิ๊วจากร้านเจ๊กิม เป็นภาพสะท้อนที่ย้อนแย้งถึงการล่มสลายของระบอบทุนนิยมที่พร่าเลือน เกิดจากกระบวนทัศน์อันลักลั่น เนื่องด้วยความเชื่อที่ถูกประกอบสร้างจากมายาคติทับซ้อนกระบวนทัศน์ของวาทกรรม "ซีอิ๊วมีอยู่จริง" ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์ความจริงว่า "แม่ๆ เจ๊กิมบอกว่าซีอิ๊วหมดมีแต่ซอสหอยนางรม"
เอาไปใช้กัน" (มิตรของมิตรท่านหนึ่ง)
The zookeeper is racist. Harambe dindu nuffin. He a good boy.
พุทธแท้ต้องธรรมกาย ใครด่าธรรมกายระวังเจไดจะไปเคาะประตูบ้าน
พุทธแท้ต้องพุทธทาสครับ
//แอดมินb ฟัคโกส
"เคยมีประเด็นเรื่องการมีความรู้สึกร่วมที่ไม่เท่ากันของคนในสังคมตอนเหตุระเบิดที่ปารีสที่คนรู้สึก "อิน" มากกว่าเหตุการณ์ในซีเรีย ตุรกี ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าคนเราจะ "อิน" กับอะไรที่เรารู้จักมากกว่า คุ้นเคยมากกว่าเป็นปกติ แต่ก็ต้องมีคนคอยท้วงแหละว่าไอ้การที่เราอินกับอะไรมากกว่า อย่าให้มันแปลว่าเราไม่สนใจเหตุการณ์หรือความเดือดร้อนอื่นๆที่เกิดขึ้น คือมันโอเคถ้าสัดส่วนมันจะไม่เท่ากันแต่ต้องไม่อิกนอร์อันอื่นไปเลย
แต่บางครั้งก็หงุดหงิดกับสังคมไทยมากๆในการให้ความสำคัญหรือให้พื้นที่กับประเด็นต่างๆอย่างงี่เง่าๆ สิ่งที่ยังติดใจตัวเองมากๆคือ "ความเงียบ" ของเคสหอพักนักเรียนไฟไหม้ที่เวียงป่าเป้า เงียบมากๆ เงียบจนน่ากลัว และคิดว่าสังคมคงไม่ได้เรียนรู้อะไรจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น และผู้ปกครองคงไม่ได้รับการชดเชยที่เหมาะสมนัก เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีที่ทางอะไรที่สื่อหรือคนทั่วๆไปจะให้ความสนใจ
ตัดภาพมาเฟซบุ้คแทบระเบิดกับการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับกอลิล่าที่แสนเป็นมิตรและใจดี ...
กรณีแบบนี้แม่งอยากฟันธงเหลือเกินว่าการอินกับข่าวสัตว์ต่างชาติตายมากกว่าเด็กในประเทศตัวเองตายเนี่ย มันไม่น่าจะโอเคว่ะ คือเราไม่โอเค"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ เคยตัดสินใจลดน้ำหนักอยู่ 3 หน
หนแรก ตอนอายุ 20 เพราะอยากเอากับรุ่นพี่ที่มหาลัย ซึ่งรุ่นพี่เล่นฟิตเนส หุ่นดีมาก แต่สุดท้ายไม่ได้เอา เพราะรุ่นพี่ไปเอากับอาจารย์ในมหาลัยแทน เลยกลับมาอ้วนอีก
หนที่สอง ตอนอายุ 25 เพราะนัดเอากับคนในเน็ต แล้วโดนอีกฝ่ายทักว่า ทำไมอ้วนจัง แถมทำหน้าเหยียดสุดๆ เลยตัดสินใจลดน้ำหนักจนผอม แต่ผ่านไปไม่กี่ปี ก็กลับมาอ้วนอีก
หนที่สาม ตอนอายุ 33 เพราะถ่ายคลิปตอนเอากับเพื่อนไว้ดูเล่น พอถ่ายเสร็จ เอามาเปิดดู อีสัส หุ่นกูน่าเกลียดมาก เหมือนดูคลิปฮิปโปเอากัน เลยตัดสินใจลดน้ำหนักอีกรอบ
ผอมได้ 3 ปี ตอนนี้กลับมาอ้วนอีกแล้ว กำลังพยายามลดน้ำหนักอีกรอบ เป็นหนที่สี่ หนนี้ไม่เกี่ยวกับเซ็กส์ แต่อยากผอมเพื่อให้แต่ง Cosplay แล้วดูดี ไม่เป็นการทำลายตัวละครจนเกินไป
เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่รูปซีดและก็ชอบไอเดียนี้...
เลยขอร่วมเล่นเกมนี้ด้วยคน เราขอท้าทายชาวท่าแซะและชาวท่าฮิปด้วยการทดสอบเล็กๆ เพื่อดูว่าใครบ้างที่จะอ่านโพสต์ข้อความที่ไม่มีรูปภาพ
ดังนั้นหากคุณได้อ่านข้อความนี้แล้ว ขั้นต่อไปโปรดพิมพ์คอมเม้นต์ด้วยคำๆ เดียวที่อธิบายความเป็นฮิปสเตอร์? ขอแค่คำเดียวพอนะ แล้วกดไลค์ หลังจากนั้น Copy ข้อความนี้ไปโพสต์บนกระดานของคุณบ้าง เพื่อฉันจะไปคอมเม้นต์และกดไลค์บ้าง เพื่อให้ชัวร์ว่าคุณฮิปจริงๆ
...
การทดลองนี้ช่างน่าสนใจ
หลังจากเรื่อง Grabbike ดังขึ้นมา ผมก็เริ่มสังเกตุ วินมอไซค์ ก็รู้สึกว่ามันมีเยอะจริงๆครับ ทุกๆคอนโดที่เกิดใหม่จะเกิดวินมอไซค์ใหม่หน้าคอนโดทันที แล้วตอนนี้คนขี่วินก็ปาเข้าไปเป็นแสนคน คือ...ประเทศไทยกำลังจะเอาทรัพยากรมนุษย์ 1 แสนคนมาขับมอไซค์ตลอดชีวิต? คุณคิดว่ามีวินมอไซค์กี่คนจะพัฒนาความสามารถตัวเองตลอดเวลา ด้วยทรัพยากรที่เค้ามี+สังคม..เค้าทำได้แค่หาเช้ากินค่ำ ถ้าอยู่วินทำเลดีหน่อยก็อาจพอมีเงินเหลือ แต่...ที่น่าตกใจคือ
วินแสนคนนี่ยังไม่พอนะ เพราะมันจะมีคอนโดเกิดใหม่ทุกเดือน มีถนนตัดใหม่ มีอพาร์ทเม้นท์ใหม่ แปลว่า วินมอไซค์อาจเพิมจำนวนเป็น 2-3 แสนคน ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า อืม..นี่คือทรัพยากรมนุษย์ที่กำลังจะเสียไป แม้ว่าตอนนี้กรมการขนส่ง จะยังไม่เปิดรับวินใหม่ แต่ก็คงปิดอีกได้ไม่นาน สุดท้ายวินก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อยู่ดี
หลายวันก่อน ผมผ่านหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง เห็นวินนั่งรอลูกค้าซึ่งมันเป็นช่วงเวลากลางวัน คนส่วนใหญ่ในคอนโดมักออกเช้ากลับเย็น กลางวันจึงไม่มีงานหรอก ...ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า ทำไมวินต้องมีเขต ทำไมวินมอไซค์คนนี้ขี่มอไซค์ของเค้าไปในเมือง ไปที่สยาม สีลม ที่มีลูกค้ามากๆ ไม่ได้..ก็เพราะคำว่าเขต คำว่าพื้นที่ และคำว่าเขตนี้เองที่เค้าต้องสังกัด เป็นที่มาของการขายเสื้อ ดังนั้นถ้าวินไม่มีเขต เหมือนรถแท็์กซี่ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าเสื้อให้เจ้าของวินอีกต่อไป อีกทั้งเค้าสามารถขยายพื้นที่ในการหารายได้ ได้อีกด้วย การยกเลิกเขตจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับวินมอไซค์
---
สำหรับ Grabbike ยังติดกฎหมาย 3 ข้อหลัก คือ ป้ายเหลือง ใบขับขี่สาธารณะ และขี่ข้ามเขต การแก้ไขปัญหา 2 ข้อแรกง่ายมาก เพราะวัตถุประสงค์ของกรมการขนส่งคือ จัดระเบียบและความปลอดภัย ซึ่งจริงๆ Grabbike มีการติดตามคนขับด้วย GPS ซึ่งดีกว่าวินมอไซค์อย่างมากมาย ดังนั้นในแง่ความปลอดภัยจึงตอบโจทย์ภาครัฐได้ เพียงแต่อาจต้องให้กรมการขนส่งสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ....และเรื่องขี่ข้ามเขต นี่แหละที่คุยตอนนี้ จะคุยยังไงก็ไม่ได้มันผิดกฎหมาย ก็ข้อนี้แหละ (ยังไม่พูดถึง การไปหากินข้ามเขตชาวบ้าน) แต่ถ้ายกเลิก เขตวินมอไซค์ได้ ทุกอย่างจบ การให้มอไซค์รับจ้างผ่านแอพ สามารถเกิดขึ้นได้ทันที
มองไปไกลๆ ในอินโดนีเซีย นอกจาก Grabbike UberMoto แล้วยังมีมอไซค์รับจ้างผ่านแอพอีก 5-6 เจ้าใหญ่ เจ้าของแอพก็เหมือนเจ้าของอู่แท็กซี่ ที่มีแท็กซี่สังกัด ดังนั้นหากสามารถเปิดเสรีให้มีมอไซค์รับจ้างผ่านแอพได้ ยกเลิกเขตวินมอไซค์ เราอาจเห็นผู้ให้บริการอีกหลายรายเข้ามา หรือแม้แต่ของคนไทยเอง นี่แหละคือการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของมอไซค์รับจ้าง ซึ่งจะใช้คนคุ้มค่าที่ปัจจุบันนั่งเฝ้าวิน เค้าสามารถไปหารายได้ไกลกว่าเดิม และมีแอพช่วยหาลูกค้า เมื่อเป็นแบบนี้วินมอไซค์ 1 แสนคนที่มีอยู่ก็อาจเพียงพอ รองรับคนกรุงเทพไปได้อีกนาน ไม่ต้องเพิ่มวินใหม่ทุกคอนโดใหม่อีกต่อไป เป็นการใช้ทรัพยากรมนุษย์ที่คุ้มค่าขึ้นอย่างมาก
คนชอบพูดว่า Apple ขโมยไอเดีย "เมาส์และ GUI" มาจาก Xerox
ผมพูดมาหลายทีแล้วว่าที่ PARC ที่แม่งเป็นหัวใจของงาน R&D ของ Xerox เนี่ยมันคงแค่แลกบัตรแล้วเดินเข้าไปดูโน่นดูนี่ได้ง่าย ๆ สินะ ... ความเป็นจริงที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันก็คือ Xerox ขอหุ้น Apple มูลค่าหนึ่งล้านเหรียญ (ตอนนั้นเป็นช่วงที่ Apple เป็นบริษัทใหม่เพิ่งเติบโตและยังไม่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์) เพื่อแลกกับการที่ปล่อยให้ Apple เข้าไปเยี่ยมชม PARC เป็นเวลาสามวันเพื่อเรียนรู้สิ่งประดิษฐ์เก่า ๆ ที่ทีมวิจัยของ Xerox ทำเสร็จมาหลายปีแต่ไม่สามารถผลักดันเข้าสู่การใช้งานจริงในระดับตลาดได้
สามวันที่มาทัวร์นี้เองที่เปลี่ยนวิธีคิดในการออกแบบทั้งหมดของ Apple ในทันที
ที่แสบก็คือ Xerox รู้อยู่แล้วว่าการที่ Apple เข้าชม Research Centre ของตัวเองนั้นคงจะต้องเอาอะไรไปทำซักอย่าง เลยเรียกเงิน (เป็นหุ้นก่อน IPO) สูงถึงล้านเหรียญ
แต่พอ Apple ทำสำเร็จและเอาไปใช้ได้จริง แถมวงการ GUI เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทุกคนเห็น Apple ทำก็ทำตามกันบ้าง Xerox ก็ตัดสินใจฟ้อง Apple เป็นมูลค่า 150 ล้านเหรียญในปี 89 หลายปีหลังจากที่ Apple เริ่มใช้ GUI ที่พัฒนาจากการเห็นไอเดียของ Xerox โดยในคำฟ้องอ้างว่า "ให้ดูแต่ไม่ได้ให้ไลเซนส์ไปใช้"
แต่ในที่สุดศาลทรัพย์สินทางปัญญาพิพากษาให้ Apple ชนะ ด้วยเหตุผลที่ว่า Xerox นั้นได้สิ่งที่ควรจะได้ไปแล้วจากการเรียกร้องเงินถึงล้านเหรียญ (ซึ่งรู้ว่าจะมีมูลค่าสูงกว่านั้นอีกหลายสิบเท่าหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์) ... เท่ากับ Xerox มีเจตนาทำเงินจากการเปิดให้ดู และได้เงินไปแล้ว จะเรียกร้องอย่างอื่นอีกไม่ได้
ถ้าไม่อยากเสียเพื่อน ก็อย่าทำธุรกิจกับเพื่อน
#กูพิมพ์เอง จากประสปการณ์ของมิตรสหายหลายท่าน
ตั้งเเต่กระเเสหนังจากคอมิคมาเเรง ทำให้มีพวกน่ารำคาญเกิดใหม่อีกพวก พวกนี้คือพวกที่ไม่ได้เป็นเเฟนคอมมิคจริงๆ(ไม่เคยเเตะคอมิคมาก่อนในชีวิต) เเต่อ่านเเฟคนู่นนี่ตามเพจฮีโร่เอา เเล้วมายืดว่าข้านี่คือเเฟนพันธ์เเท้(ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จริง) เหยียดคนไม่รู้เรื่องทั้งๆที่เเฟนคอมิคเเท้ๆไม่ได้อะไรเลยกับคนดูmainstream
-มิตรสหายท่านนึง
"สูบบุหรี่ท้องถิ่นกันครับ วันนี้วันงดสูบบุหรี่โลก"
มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวไว้เมื่อวันที่ 31 เดือนที่แล้ว
"สามก๊กฉบับนิยายทำให้เราลืมมองประวัติศาสตร์แบบที่ปกติเราจะมองประวัติศาสตร์ กลายเป็นเรื่องราวของวีรชนไป เวลาคุยกันเลยต้องถามก่อน จะเอาเวอร์ชั่นนิยาย หรือจะเอาแบบประวัติศาสตร์ ไม่งั้นเถียงกันยาก สมัยก่อนนนนเคยอ่านเว็บคนนิยมสามก๊กของไทย คนนึงอ้างพงศาวดาร คนนึงอ้างนิยาย เถียงกันแบบนี้ตายห่า ซูเปอร์ฮีโร่ในนิยายมันไม่ต้องแคร์นี่หว่าว่าเก็บภาษีได้เท่าไร ดินแดนที่มันยึดครองมีศักยภาพในการผลิตพืชผลมากแค่ไหน ระบบกฎหมายของมันเอื้อต่อการเกณฑ์ประชากรหรือเปล่า ไม่มีใครพูดถึง เพราะมีกวนอูคนเดียวก็ขี่ม้าไปตัดคอแม่ทัพศัตรูได้แล้ว
ป.ล. คนหาค่าไพได้ยาวที่สุดสมัยนั้นทำงานอยู่แคว้น Wei ของโจโฉนะ ซิบอกไห่"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ชาวบ้านเขาไม่สนว่าใครจะเป็นฮ่องเต้หรอก อย่างแรกที่คิดคือต้องพอแดกก่อน จ่อมาคือผู้ปกครองที่ยุติธรรม และความสงบสุขถึงจะตามมา
ชาวบ้านแม่งไม่รักประชาธิปไตยเบย ทำงี้ได้ไงวะ
ห่า เมียขงเบ้งคิด ขงเบ้งเอาไปเป็นชื่อตัวเอง
จริงเหรอ อ้างอิงจากไหน
"ขอ สาม คำ" โดย vonvon
ทำไมถึงทำแอปให้เล่นฮาๆ ได้อะไรจากเราไปบ้าง....
- ข้อมูลส่วนตัวพื้นฐานทั้งหมดที่ตั้งสาธารณะ
- รูปโปรไฟล์ (เอาไว้ไปขายทำโฆษณาชวนเชื่อในเน็ตได้)
- รายชื่อเพื่อนทั้งหมด (เอาไปทำ Social CRM ได้)
- โพสต์บน timeline ของเรา (อันนี้ต่อยอดได้เยอะ)
- สถานะโสดหรือไม่+ข้อมูลครอบครัว (ทำโฆษณาสบาย)
- รูปภาพทั้งหมดทั้งอัพเองและที่โดนแท็ก (โหดนรกสุดๆ)
- ข้อมูลการไลก์ (นักการตลาดยิ้มเลย)
และก็ขอ token สิทธิ์การโพสต์ไปด้วย
- จบ -
#ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ #ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คดีมีอัตราโทษสูง เกรงหลบหนี เลยลงโทษขังทั้งที่เขายังไม่ถูกพิพากษา ทั้งที่เขายังไม่ถือวามีความผิด ขังผู้บริสุทธิ์นั่นล่ะ
วิธีการทรมานแบบนี้ มันย่อมบีบให้หลายๆ คน เขาเลือกสารภาพ ไม่สู้คดี เพราะต่อให้สู้ไปก็ติดคุกอยู่ดี เลือกสารภาพเพื่อลดโทษครึ่งหนึ่งดีกว่า สู้ไปแล้วติดคุกเต็มแถมระหว่างสู้ก็ยังติดคุกอยู่ แม้ท้ายที่สุดเป็นผู้บริสุทธิจริงๆ ก็อาจเลือกทางนี้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มื่อวานใน #UXTalk3 มีเรื่องนึงที่มาคุยกันล่างเวที ที่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ...... แต่ผมไม่ได้พูดบนเวที (เพราะมันหลุดธีมที่อยากพูด และคำถามไม่ค่อยเอื้อให้ตอบแบบนี้ตรงๆ -- แต่ก็ตอบแบบอ้อมๆ จากเรื่องตำแหน่งที่ทำงาน ว่าผมทำงานตำแหน่งอะไร)
ผมขอสรุปเพิ่มเติมดังนี้เลยละกัน อันนี้จากที่ผมตอบคำถามข้างบนและล่างเวทีกับหลายๆ คน เอามารวมๆ กัน สรุปๆ กัน
"UX เป็นเรื่องของทุกคน"
"UX ไม่ใช่แค่ End-Users แต่ต้องมองทุกอย่างเป็น User และต้องทำให้มันดีทั้ง Stack และ Across the board"
"UX เป็นเรื่องของ Culture"
อย่าสนใจเพียงแค่ผู้ใช้ product สุดท้ายของเราเท่านั้น เพราะว่าอันที่จริงแล้ว คนอื่นนอกจากเราในทีม ก็คือ user ของเรานั่นแหละ ..... Designer ต้องเข้าใจ Developer กลับกัน Developer ก็ต้องเข้าใจ Designer ... เช่นเดียวกับ Business, Marketing และอื่นๆ รวมถึง Customer ด้วย
Developer หลายทีม (Web, Frontend, Backend) ก็ต้องมอง "โปรแกรม" ของอีกคนหนึ่ง เป็น User ของสิ่งที่เราทำ (Client-app น่ะแหละ) ทำอย่างไรโปรแกรมของอีกคนหนึ่งจะใช้งานสิ่งที่เราทำอยู่ได้ดีที่สุด โปรแกรมนั้นอยากจะเรียกใช้อย่างไร ใน context อะไร ฯลฯ
ซึ่งก็จะนำมาซึ่งการทำ Test-Driven Development แบบโฟกัสที่ "Test" จริงๆ นั่นก็คือ "Usage" (ไม่ใช่โฟกัสที่การมี Unit Test)
และก็จะนำมาซึ่งการออกแบบโครงสร้างที่ optimal กับการใช้งานจริง จะเรียก API อะไรตรงไหน จะเก็บ cache อะไรไว้ใช้งานตรงไหน เพื่อให้ server เราทำงานได้น้อยที่สุด ประสิทธิภาพสูงสุด และตัวแอพรันได้สมูธที่สุด ฯลฯ
เป็นต้น
หวังว่าคงเป็นประโยชน์มากขึ้น
UX เป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องของทีม ทั้งทีม ทั้งในทีม และนอกทีม
คนที่มีตำแหน่งเป็น "UX" ควรจะเป็นคน lead ให้เกิด UX culture across the board และทั้ง stack อย่างที่ผมบอก มากกว่า "เป็นคนทำ UX แต่เพียงผู้เดียว"
อีกครั้ง UX เป็นเรื่องของทีม และนั่นแหละ มันจึงเป็นเรื่องของ Culture ... (เช่นเดียวกับ Test และ Agile)
UX Culture มันคือ Culture ที่โฟกัสที่ "คนที่ใช้สิ่งที่เราทำ เพื่อตัวเขา" มากกว่า "การทำงานของเรา" ... นั่นแล วิทยากรหลายคน จึงพูดตรงกันเรื่อง "Ego" ว่าต้องสลาย Ego
ผมเห็นว่าถ้าจะมี Ego มีเลยครับ ไม่เป็นไร แต่ต้อง "มีให้ถูกที่ถูกทาง" Ego ที่ควรมี มันอยู่ที่การใช้งาน ไม่ใช่อยู่ที่ตัวเราครับ (นั่นคือ สลาย Ego ที่ตัวเรานั่นแหละ) ... อย่าใหั "ตัวตน" (อัตตา) ของเรา ไปทำลายสิ่งที่เราทำ ด้วยการยัดเยียดมันลงไปในการใช้งาน .... ตรงกันข้าม ให้ใช้อัตตาของผู้ใช้ ที่เราเห็นได้จากการใช้งาน กำหนดตัวตนของเราผ่านสิ่งที่เราทำ นั่นแหละ
ดังนั้น ภายในทีม Ego ของแต่ละฝ่าย จึงควรจะเป็น "คนนั้นจะทำงานดีขึ้น ถ้าเราทำงานแบบนี้ให้เขา" ไม่ใช่ "งานเราดี งานเราเจ๋ง คนอื่นต้องทำอย่างที่เราบอกให้ทำ"
ไม่ใช่ว่า "เราได้สร้างของที่ดีที่สุด ของที่เราทำออกมาเจ๋งที่สุด" (Ego อยู่ที่ตัวเรา) แต่เป็น "งานคนอื่นดีขึ้น ชีวิตคนอื่นดีขึ้น จากการใช้สิ่งที่เราทำ เพราะมีสิ่งที่เราทำ อยู่ในชีวิตเขา" (Ego อยู่ที่อีกด้านหนึ่ง) นี่แหละ "หัวใจของ UX"
นั่นแหละครับ ที่ผมหมายถึงใน Slide ว่า "มองอีกข้างของสมการ" ;-)
#แชร์ได้ตามสะดวก
"A: ข้างหน้าอารีนี่อะไรนะ สนามเป้าป่ะ
B: โมฮัมหมัด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำยังไงดีกับคนเอาแต่ได้ ขอให้เราช่วยทุกอย่าง พอเราขอให้ช่วยบ้างบอกไม่ได้
คุณบุนนี่ย้ายมาอยู่ปารีสได้เกือบห้าปีแล้ว เธอบอกว่าเป็นการย้ายมาแบบ “Un Tapis, Un Oreiller” ด้วยความรักเต็มเปี่ยมที่มีให้กับมหานครแห่งแฟชั่น ปัจจุบันเธอสมรสกับคุณ ฟิลิป ดูบัวส์ เจ้าของบริษัทจัดทัวร์ดูแฟชั่นโชว์ให้คนจากประเทศแถบอัฟริกาและจีน
เส้นทางชีวิตของคุณบุนนี่กว่าจะมาเป็นมัดมัวแซลล์บงบง ยากลำบากพอๆ กับก่อนโคโค่จะมาเป็นชาแนล กว่าจะเป็นกูรูแฟชั่นวีคแบบนี้ ย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อน คุณบุนนี่ยังเป็นแค่ไกด์บริษัททัวร์จากเมืองไทย ที่ได้มาปารีสครั้งแรกกับลูกทัวร์ 38 คน
“ทันทีที่บุนนี่ได้เห็นหอไอเฟลจากบนรถทัวร์ บุนนี่ก็พูดกับตัวเองเบาๆ ว่า “Paris, je t’aime” มันบอกไม่ถูกค่ะ ความเป็นการตกหลุมรักที่รุนแรงมาก คือ…มัน…พูดไงดีล่ะ le trafic ferroviaire sera encore perturbé lundi, en raison notamment de la grève à l'appel de la” (ยิ้ม)
ด้วยความรักอันรุนแรง วันรุ่งขึ้นเธอจึงตัดสินใจลอยแพลูกทัวร์ทั้ง 38 คนจากเมืองไทย เพื่อเดินตามเสียงเรียกของหัวใจ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Grandpa: "Girl, your generation relies too much on technology."
Girl: "No, YOUR generation relies too much on technology."
*unplugs life support*
The kid with the sterner parents learns about the class divide, thinks he is better than the poor and hates them. And the kid with the unorthodox parents also learns about the class divide , does not hate the poor but still thinks he is better than them for he believes he is supporting them.
Moral: They both look down upon at the poor. Teach kids that no work is beyond or above you to do. A sweeper is just as entitled, and may be, happy as you are, even with half your money.
"...มาร่วมเป็น 1 ในทหารของสมเด็จพระนเรศวร เพื่อศักดิ์ศรีของเราลูกนเรศ... "
ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้ เราควรที่จะตระหนักได้แล้วว่า เรานั้นค่อนข้างที่จะมีปัญหาอยู่พอสมควรเกี่ยวกับการเข้าใจประวัติศาสตร์ และนำประวัติศาสตร์มากำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้น โดยเฉพาะประวัติศาสตร์กระแสหลักซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลแนวคิดของลัทธิชาตินิยม ดังนั้น มหาวิทยาลัยที่ควรจะเป็นที่รองรับความคิดใหม่ๆ และควรจะมีเสรีภาพทางความคิดและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จึงกลับกลายเป็นว่า ต้องถูกกดภายใต้กฎระเบียบ ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์ชาตินิยม โดยทุกคนเลือกที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ และเดินไปตามที่สังคมได้กำหนดไว้ ซึ่งเป็นการบังคับให้เดินไปโดยความสัมพันธ์เชิงอำนาจจากรุ่นพี่และคณะผู้บริหาร รวมทั้งบรรดาคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยด้วย
แม้กระทั่งเครื่องหมายหรือตึกเรียนต่างๆ ซึ่งก็ได้ถูกตั้งชื่อหรือออกแบบให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์กระแสหลักแบบชาตินิยม อันเป็นการผลิตซ้ำที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการเรียนและชีวิตประจำวันของนิสิต ดังเช่น เครื่องหมายองค์สมเด็จฯ ที่นิสิตต้องประดับไปเรียนอยู่ทุกครั้ง ชื่ออาคารธรรมราชา อาคารเอกาทศรถ อาคารปราบไตรจักร เป็นต้น เป็นการผลิตซ้ำและปลูกฝังแนวความคิดดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อีกประการหนึ่งของการผลิตซ้ำที่ค่อนข้างอันตรายอยู่พอสมควรคือ การเกิดแนวคิดที่ยกสถานะสมเด็จพระนเรศวรให้มีสถานะเป็น "พ่อ" และแทนนิสิตทุกคนหรือบุคลากรต่างๆ ที่ได้เข้ามาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ว่าเป็น "ลูก" ซึ่งตามค่านิยมของวัฒนธรรมไทยแล้ว ผู้น้อยย่อมเป็นการยากที่จะโต้แย้งผู้ใหญ่ การยกสถานะดังกล่าวนี้ยิ่งทำให้นิสิตยากที่จะตั้งข้อสงสัยหรือโต้แย้งอะไรได้เลย ถึงแม้ว่าสมเด็จพระนเรศวรจะไม่ได้เป็นผู้ใช้วาทกรรมดังกล่าวนี้ แต่การที่ใครก็ได้ที่มีอำนาจจะมาใช้วาทกรรมดังกล่าวนี้ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายมาก
ดังนั้น เราควรพิจารณาด้วยว่า การที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในสถาบันการศึกษานั้นเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ และถามผู้ที่รักและเคารพสมเด็จพระนเรศวร ว่าท่านทนได้หรือไม่ที่ยอมให้มีคนมาแอบอ้างพระนเรศวรเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เพราะท่านมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 400 กว่าปีที่แล้ว ไม่มีใครเคยพบเห็นท่านจริงๆ หรือได้ยินสิ่งที่ท่านพูด แล้วท่านจะเอาอะไรเป็นตัววัดความประสงค์ของพระองค์ท่าน สิ่งที่มีคนกล่าวอ้างว่าท่านประสงค์อย่างนู้นอย่างนี้ ความประสงค์นั้นแท้จริงแล้วท่านคิดว่ามันเป็นของใคร
เป็นที่แน่นอนว่ากิจกรรมดังกล่าวนี้ได้รับความเห็นดีเห็นชอบจากผู้หลักผู้ใหญ่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ผ่านไปปีแล้วปีเล่า การผลิตซ้ำของประวัติศาสตร์บาดแผลเช่นนี้ ได้ทำให้แหล่งผลิตปัญญาชนแห่งนี้กลับกลายเป็นเบ้าหลอมของลัทธิชาตินิยมและความคลั่ง สิ่งที่นิสิตเหล่านี้จะได้รับคือความภาคภูมิใจในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่ามกลางความเกลียดชังและอคติ เพราะถึงแม้ว่าเราจะตระหนักดีแล้วว่าเรื่องราวเหล่านี้มันได้ผ่านมาแล้วหลายร้อยปี แต่การผลิตซ้ำก็เปรียบเสมือนเป็นการกรีดแผลซ้ำไปซ้ำมา และการลงมีดครั้งแล้วครั้งเล่าภายใต้แนวคิดของลัทธิชาตินิยมอาจจะหนักและบอบช้ำมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เราควรที่จะตระหนักได้แล้วว่าประวัติศาสตร์บาดแผลนี้มันสร้างอันตรายได้อย่างมากมาย มันสามารถที่จะใช้สร้างความชอบธรรมให้กับสถานะของผู้มีอำนาจ และสามารถใช้ล้มล้างฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่เป็นธรรม ดังที่เห็นได้จากอดีตที่ผ่านมาแล้วหลายกรณี
อย่างไรก็ตาม มันเป็นความย้อนแย้ง (Paradox) ในตัวของมหาวิทยาลัยเอง ที่มุ่งมั่นปรารถนาที่จะนำสถาบันการศึกษานี้เข้าไปอยู่ใน AEC อย่างภาคภูมิ ถึงกับลงทุนปิดภาคเรียนนำร่องเพื่อปรับเวลาให้ตรงกับประเทศในอาเซียน มีการแลกเปลี่ยนต่างๆ อย่างมากมายในเรื่องของวัฒนธรรม มีนิสิตต่างชาติและอาจารย์ชาวต่างชาติที่เป็นชาวอาเซียนอยู่พอสมควร การหยิบยกประวัติศาสตร์บาดแผลมาเป็นสิ่งหลอมรวมจิตใจนิสิตใหม่นี้ มันไม่เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกันไปหน่อยหรือ เพราะอย่างไรก็ตามเมื่อเปิด AEC เมื่อไหร่ นิสิตที่เป็นชาวต่างชาติก็จะยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้น คำถามจึงเกิดขึ้นว่า มหาวิทยาลัยจะยังใช้กลยุทธ์ชาตินิยมแบบเดิมที่หยิบยกประวัติศาสตร์บาดแผลมาหลอมรวมนิสิตได้อีกหรือไม่ อีกทั้งมหาวิทยาลัยจะจัดการอย่างไรกับอคติที่มีผลมาจากประวัติศาสตร์ชาตินิยมเหล่านี้ ที่ทางมหาวิทยาลัยได้มีส่วนเสริมสร้างมันขึ้นมา และผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่องและหลากหลาย เห็นได้จากกิจกรรมที่จัดติดต่อกันทุกปีในช่วง 4 ปีหลังมานี้
>>331 ไม่เชิงเกี่ยวกับบทความโดยตรง
แต่อ่านแล้วนึกถึงเด็กมหาลัยแห่งนึงที่สร้างกระแสแชร์รูปบอกกว่าที่ตัวเองได้เข้ามหาลัยนี้ไม่ใช่เพราะเก่ง แต่เป็นเพราะผู้ก่อตั้งมหาลัยเลือกให้ได้เข้าไป
คือกูรู้สึกว่ามันดูหลอกตัวเองมากๆ เพื่อนกูที่แชร์ๆกันก็มีแต่พวกแอดไม่ติดแล้วสอบตรงที่นี่ได้เลยเอาไว้ก่อนทั้งนั้น
กูมองว่าเป็นเหมือนวิธีสร้างความภูมิใจให้เด็กที่มาเรียนที่นี่เพราะตัวเองสอบไม่ติดมหาลัยอันดับต้นๆน่ะแหละ
กรณี มน. กูว่าก็คงคล้ายๆกันมั้ง
ประเด็นเพลงรณรงค์ประชามติของ กกต. ที่มีเนื้อหาว่าคนใต้รักประชาธิปไตย ส่วนคนเหนือและคนอีสานก็อย่าให้ใครชี้นำ ในที่สุดแล้ว subtlety ของมันก็ทำให้ผู้ฟังตีความได้หลายแบบ คนที่ไม่เห็นด้วยก็สามารถลื่นหลุดไปได้ว่ามันแค่ความบังเอิญ-คนที่วิจารณ์คิดมากไป ไปจนกระทั่งว่าคนที่วิจารณ์เนี่ยประสาทแดก
แต่สำหรับเรา เราเห็นว่าเนื้อหามันดูถูกชัดเจน ไม่ใช่เพราะเราแค่อ่านเนื้อเพลงแล้วก็ตีความตามตัวอักษร แต่เพราะเราได้เป็นประจักษ์พยานต่อการกดขี่ของรัฐไทยต่อประชาชนในภาคเหนือและภาคอีสานผ่านขบวนการเสื้อแดง เราได้ยินโวหารจากคนในเมืองที่ฉายภาพชาวบ้านเป็นคนโง่ถูกนักการเมืองชี้นำ แล้วเราก็ได้เห็นชุดความคิดเหล่านี้ถูกบรรจุลงในเนื้อเพลง เวลาที่เราได้ฟังเนื้อเพลงเราไม่ได้ยินแค่เนื้อเพลง แต่เรามองเห็นภาพของการกดขี่เชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นจริงถูกฉายออกมาผ่านเนื้อเพลงนั้น
ประเด็นที่จะพูดถึงก็คือว่า เราสามารถวิจารณ์ความเห็นของคนอื่นว่า "คิดมากไป" "ประสาทแดก" ได้แทบกับทุกเรื่อง แต่มันก็ไม่ได้แสดงความเหนือกว่าของเราเสมอ บางครั้งมันแสดงถึงความไม่รู้-ไม่สามารถมองเห็นถึงประสบการณ์และมุมมองของคนอื่นที่ต่างจากเรา ไปจนถึงการที่ไม่สามารถมองเห็นโครงสร้างที่ใหญ่กว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเอง พูดง่ายๆคือ มันแสดงให้เห็นว่าเราเองอยู่ในกะลา
ซึ่งเรื่องนี้มันสามารถโยงไปถึงการที่เสรีนิยมไทยชอบวิจารณ์ซ้ายตะวันตกว่า "ประสาทแดกกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง" แต่หลายคนก็ขลุกอยู่กับคนไทยในการศึกษาไทย/การเมืองไทย/วัฒนธรรมไทย/ประเทศไทยมาทั้งชีวิต แล้วก็เอาประสบการณ์ของตัวเองไปครอบคำวิจารณ์ของคนอื่น ซึ่งมันไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความฉลาดแต่อย่างใด มันแสดงให้เห็นถึงอาการของคนอยู่ในกะลา ที่ไม่สามารถมองเห็นโครงสร้างแบบที่ตัวเองไม่คุ้นเคยในการเมืองของประเทศตัวเองได้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ในชีวิต Hillary Clinton ต้องเจอแต่ Hard Choices เหมือนชื่อหนังสือของเธอ เพราะตัวเองไม่เคยเป็น Good Choices ของใครครับ เป็นแค่ Political Machine ที่แสวงหาอำนาจให้ตัวเองเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศสภาพ ชาติพันธุ์ เศรษฐกิจและนโยบายต่างประเทศ ผมซื้อไม่ลงทั้งนั้นครับ ตอนสมัยยุค 1980 เธอไม่สนับสนุนสิทธิของ LGBTs บอกว่าการแต่งงานควรเป็นเรื่องของผู้ชายและผู้หญิงเท่านั้น พอเรื่อง same-sex marriage มาเป็นกระแสหลักถึงเพิ่งจะมาบอกว่าตัวเองสู้เพื่อสิทธิผู้หญิงและ LGBTs ไม่รู้ว่าคนที่เป็น LGBT ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนหักหลังอยู่หรือไง ที่ต่อสู้มาตั้งนานแล้วโดนนักการเมืองขโมย scene ไปเฉย ๆ แบบนั้น
พอ rebrand ตัวเองแล้วก็เอาประเด็นเรื่องเพศสภาพมาหากินจนเกินเลยครับ กลายเป็น sexist อีกรูปแบบนึงไป เช่น คนรณรงค์ของคลินตันเคยให้สัมภาษณ์ว่าผู้หญิงวัยรุ่นลงคะแนนเสียงให้ Bernie Sanders เพราะเลือกตามผัวตัวเอง ล่าสุดนักข่าวที่เป็นผู้หญิงก็มาถาม Bernie Sanders ว่าที่ยังรณรงค์แข่งกับ Hillary อยู่เพราะเป็น Sexist ใช่ไหม เกลียดผู้หญิงใช่ไหม ถ้ายังมีสามัญสำนึกอยู่คงจะพอเห็นได้มังครับว่ามันไร้สาระแค่ไหน ฉะนั้น เวลาที่สาวก Hillary ออกมาโจมตีสาวก Sanders ต่อกรณีที่วิจารณ์ Elizabeth Warren ว่าหักหลังพวก Progressives ผมถือว่าคำวิจารณ์แบบนี้ของผู้สนับสนุน Sanders ยังมีรสนิยมกว่าเยอะ
กรณีเวลาที่คนทำงานให้ Bernie Sanders แอบไปเห็นฐานข้อมูลผู้ลงคะแนนของ Hillary Clinton เข้าโดยไม่ตั้งใจ Bernie Sanders ไล่ออกทันทีนะครับ เวลาที่ผู้สนับสนุน Bernie ใช้คำว่า Vagina โจมตี Hillary เขาก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตลอดว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องและไม่ควรค่าที่จะเป็นผู้สนับสนุนของเขา แต่กรณีของ Hillary ที่ผมบ่น ๆ ไปข้างบนเหรอครับ ไม่เห็นว่าเธอจะออกมาพูดอะไรซักแอะ เงียบเป็นเป่าสาก อย่างเก่งก็แค่บอกในทีวีว่าไม่ได้เรียกร้องให้ใครเลือกเธอเพราะเธอเป็นผู้หญิง โถ คุณลองดูคนที่ทำงานให้คุณและนักข่าวผู้สนับสนุนของคุณสิครับ จะไม่ออกมาพูดวิจารณ์คนพวกนี้หรือไล่พนักงานตัวเองออกหน่อยเลยเหรอ ผมคิดว่าคนที่เป็นเฟมินิสต์ไม่ควรภูมิใจที่ได้ประธานาธิบดีหญิงคนแรกเป็น Clinton ทำนองเดียวกับที่คนอังกฤษไม่ควรภูมิใจที่มี Thatcher เป็นนายกแหละครับ
ประเด็นเรื่องการเหยียดชาติพันธ์ ตอนสมัยที่เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของ Bill Clinton ในยุค 1990s เธอก็บอกว่าคนผิวสีเป็น Predator ซึ่งความหมายของคำนี้ก็ประมาณเดียวกับคำว่า "พวกขี้คุก" หนะครับ สนับสนุนโทษประหารด้วยครับ ปัจจุบันก็ยังสนับสนุน ทั้งที่คนผิวสีตกเป็นเหยื่อของคดีนี้ตายไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เรื่อง Marijuana เธอก็ไม่สนับสนุน ปล่อยให้ประเด็นนี้กลายเป็นเครื่องมือในการเล่นงานคนผิวสีต่อไป ยังไม่รวมนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่สนับสนุน Universal Health Care ไม่สนับสนุน Free Tuition Education แถมยังบอกว่าจะ Break Big Banks ทั้งที่ตัวเองก็ยังรับเงินจาก Big Banks อยู่ เรื่องการรับเงินจาก Big Banks นี่ชัดเจนมากครับ ถาม Elizabeth Warren ดูได้ครับ จากที่ตอนแรก Hillary เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งและสนับสนุนกฏหมายล้มละลายเพื่อให้บุคคลล้มละลายได้รับการคุ้มครองตามกฏหมายจากอุตสาหกรรมบัตรเครดิต พอเป็น สว. และได้รับเงินจากอุตสาหกรรมเครดิตปุ๊บก็ผ่านกฏหมายที่สนับสนุนการหากินกับบุคคลล้มละลายของอุตสาหกรรมบัตรเครดิตทันที
ประเด็นเรื่องนโยบายต่างประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึงครับ Hillary Clinton นี่เป็น Hawkish ตัวยงเลยครับ โหวตสนับสนุนสงครามในอิรัก และอัฟกานิสถาน ถ้า Hillary ได้เป็นประธานาธิบดี และประโยชน์ลงตัว เธอก็พร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาล คสช. อันแสนเป็นที่รักของเหล่า Hillary Supporters ในไทยแน่นอนครับ เผลอ ๆ แล้วพวกคลั่งชาติทั้งหลายจะรักชาวอเมริกันขึ้นเป็นกองเลยแหละครับ นโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมยิ่งแล้วใหญ่ครับ ปากก็ขโมยโวหารของ Bernie Sanders มาด้วยการบอกว่า "Climate change is real. It is caused by human activity" แต่อีกด้านก็สนับสนุนธุรกิจ Fracking ที่กระทบกับสิ่งแวดล้อมมาก ๆ เพราะมีนายทุนอุตสาหกรรมพลังงานหนุนหลังอยู่
(ต่อเรปล่าง)
(ต่อจาก >>334 )
จากที่ผมพูดมาทั้งหมด มันเลยทำให้ผมสงสัยไงครับว่า คุณกล้าบอกได้ยังไงว่าตัวเองต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศสภาพ ถ้าไม่พูดถึงความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ไม่แก้ไขกฏหมายอาชญากรรมที่ผลิตซ้ำความรุนแรงต่อกลุ่มคนผิวสี ทำร้ายทั้งผู้ชาย ผู้หญิง กลุ่ม LGBT และเด็กตาดำ ๆ ในต่างประเทศโดยใช้นโยบายสนับสนุนสงคราม แถมยังทำลาย Mother Earth ด้วยนโยบายทำลายสิ่งแวดล้อมอีก ?
ล่าสุดตอนที่เล่นการเมืองแข่งเป็นผู้ชิงประธานาธิบดีในพรรค Democrat ก็เล่นสกปรกครับ พยายามล็อบบี้ Superdelegates ของพรรคที่ไม่ต้องลงคะแนนตามมติของประชาชน ให้สนับสนุนตัวเองตั้งแต่ไก่โห่ ไม่นานมานี้ ที่รัฐ Massachusetts เธอก็พยายามส่ง Bill Clinton ไปเดินรณรงค์ขวางทางให้จราจรติดขัดในวันเลือกตั้งครับ คนที่สนับสนุน Bernie Sanders จะได้เดินทางไปเลือกตั้งไม่ได้ กฏหมายเล่นงานเอาผิดอะไรไม่ได้เพราะเป็นนักการเมืองอิทธิพลตัวเป้ง
ในรัฐอื่น ๆ เหรอครับ Hillary Clinton ใช้อิทธิพลของเธอในพรรค Democrat สั่งให้ลดจำนวนคูหาเลือกตั้งในรัฐต่าง ๆ ที่ตัวเองจะแพ้ลงครับ แถมใช้ประโยชน์จากระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยทำให้ได้ชัยชนะที่รัฐ Wyoming ที่ Bernie Sanders ได้คะแนนดิบเยอะกว่า แต่ Hillary กลับได้ Delegates เยอะกว่า ล่าสุด ก็ออกมาหลอกประชาชนด้วยการใช้เงินซื้อสื่อให้ออกประกาศครับว่าตัวเองชนะแล้วจนเป็นข่าวใหญ่โต ทั้งที่รัฐ California ซึ่งเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของพรรค Democrats ยังไม่ได้ออกมาลงคะแนนเสียง ทุกวันนี้เวลาไปดูเฟสบุ๊คข่าวของ Hillary Clinton ลองสังเกตุดูเถอะครับ ไม่มีใครดีใจด้วยหรอก มีแต่คนกดปุ่ม sad และ angry
ถามว่า Hillary เก่งไหมที่ก่อข้อผิดพลาดทางการเมืองเยอะขนาดนี้ แต่ยังอยู่ในอำนาจได้และรวยเอารวยเอาจากการเรี่ยไรเงินสนับสนุนจากนายทุน ยอมรับกว่าเก่งมากครับ และเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจว่าการที่ Hillary ขึ้นมาได้มันสะท้อนปัญหาเชิงสถาบันของการเมืองในอเมริกายังไง ถามว่า Trump ดีกว่า Hillary ไหม มาถึงตอนนี้พูดยากแล้วครับ เพราะฝั่งนึงก็เป็น Grassroots' Bigot Demagogue อีกฝั่งก็เป็น Reverse Sexist Establishment Political Machine ใครเห็นว่า Hillary Clinton เป็นประเด็นที่น่าศึกษาเพราะทำ political marketing เก่ง แสวงหาอำนาจเก่ง รักษาภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นฝ่ายก้าวหน้าอยู่ได้ ทั้งที่เล่นการเมืองสกปรกและเหยียดกลุ่มทางสังคมต่าง ๆ ขนาดนี้ ก็ศึกษาไปเถอะครับ น่าสนใจดี
แต่ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ I'm not with her."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>334 >>335 https://fanboi.ch/lounge/2646/384/
กูฮาอีพวกผญที่โหวตให้อีนี่เเค่เพราะอยากได้ ปธน หญิง
ที่พีคคือไอ้หัวหยอยมาร์คซัคไปกดไลค์ตัสที่อีฮิลลารี่ประกาศฉลองชัย(ทั้งๆที่ยังไม่สิ้นสุดการเลือกตั้ง)ด้วยนะ เพิ่งรู้ว่ามาร์คมันเป็นcuck
Trump นี่กูว่าปลาไหลยิ่งกว่า Hillary อีก โดนด่าเป็น Conservative ปลอม
ชื่อนั้นสำคัญไฉน
เจ๊ฮิลลารี่ คลินตันกำลังมีปัญหากับเอฟบีไอ เพราะว่าสมัยเป็นเจ้ากระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐในรัฐบาลโอบามา เจ๊ฮิลลารี่ใช้อีเมล์ส่วนตัว แทนที่จะใช้อีเมล์ หรือเซิร์ฟเวอร์ของกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบการรักษาความลับของทางการ เพราะว่าอีเมล์ส่วนตัวของเจ๊อาจจะถูกแฮ๊คก็ได้
และอีิมล์ของเจ๊ก็ถูกแฮ๊คจริงๆ ทำให้ข้อความที่เจ๊เขียนติดต่อในระหว่างเป็นเจ้ากระทรวงโดนเอาไปแฉในWikiLeaks
ถ้าเจ๊ฮิลลารี่ถูกดำเนินคดีเอฟบีไอ การลงเลือกตั้งเพื่อชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีของเจ๊จะจบลง แต่เส้นเธอใหญ่เท่าหัวแม่เท้า มีเพียงอัยการสูงสุด และประธานาธิบดีโอบามาเท่านั้นที่จะเอาผิดเจ๊ได้ แต่ประเด็นคืออัยการสูงสุดและโอบามาเป็นพวกเดียวกับเจ๊
ต้องคอยดูซิว่ากฎหมายที่ศักสิทธิ์ของอเมริกาจะเอาผิดเธอได้หรือไม่
ที่น่าสนใจคือชื่ออีเมล์ที่เจ๊ฮิลลารี่ใช้ : hrod17@clintonemail.com
ฮืมมมมม......
hrod มาจากHillary Rodham ชื่อแรก และชื่อกลางของเธอ
แต่hrodอาจจะเป็นชื่อเลียนแบบกษัตริย์เฮโรด (Herod) ของยิวโบราณสมัยพระเยซู Herodที่ชั่วร้ายก็ได้ เฮโรดสั่งฆ่าเด็กฮิบรูทุกคนในเบธเลเฮม เมืองที่พระเยซูเกิด เพราะกลัวว่าพระเยซูจะเป็นภัยตอ่พระองค์ แต่พระเยซูรอดมาได้
ในมัทธิวของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบทที่2.16 เขียนเอาไว้่ว่า:
"ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กทั้งหมดในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ถามพวกนักปราชญ์อย่างถ้วนถี่นั้น"
กษัตริย์เฮโรด ผู้ยิ่งใหญ่เป็นนักกลยุทธที่รู้จักเอาตัวรอด และสร้างฐานอำนาจในเยรูซาเลมในขณะที่โรมกำลังมีปัญหาการเมืองภายในช่วงก่อนต้นคริสตกลาง เฮโรดได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากอ๊อกตาเวียน หลานของจูเลียส ซีซ่าร์ที่ถูกลอบสังหาร อ๊อกตาเวียนต้องการล้างแค้นให้ซีซ่าร์ และยึดอำนาจในโรมเพราะว่าเป็นทายาทของซีซ่าร์ ในที่สุด อ๊อกตาเวียนสามารถเอาชนะในสงครามการเมืองในโรมได้ และต่อมากลายเป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโรม และได้เปลี่ยนชื่อเป็นจักรพรรดิออกัสตัส ซีซ่าร์
หลังจากขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว เฮโรดปกครองเยรูซาเลมด้วยกฎเหล็ก สั่งฆ่าผู้ที่ขัดขืนอำนาจของพระองค์โดยไม่เลือกหน้า แต่พระองค์เป็นนักสร้าง นครเยรูซาเลมมีสิ่งปลูกสร้างที่อลังการ์ พร้อมทั้งเมืองท่าCaesarea ที่ตั้งชื่อตามจักรพรรดิโรมัน
ที่สำคัญที่สุดคือกษัตริย์เฮโรดให้มีการปฏิสังขรณ์วิหารโซโลมอนแห่งที่2 เพื่อฟื้นฟูความยิงใหญ่ของยิวโบราณ แต่วิหารโซโลมอนถูกพวกทหารโรมันทำลายในปีคศ. 70
วิหารโซโลมอนแห่งที่1 ถูกกษัตริย์Nebuchadnezzar II แห่งบาบิโลนทำลายหลังจากการโจมตีเยรูซาเลมในปี587ก่อนคริสตกาล
ความฝันของพวกยิวสมัยใหม่ที่มองตัวเองว่าสืบสายเลือดจากยิวโบราณ คือการสร้างวิหารโวโลมอนแห่งที่3 แต่ปัญหาคือที่ตั้งของวิหารโซโลมอนในเยรูซาเลมตอนนี้เป็นที่ตั้งของDome on the Rock ซึ่งเป็นสุเหร่าของศาสนามุสลิม เพราะว่ามุสลิมยึดครองเยรูซาเลมได้ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของสงครามครูเสด ชาวมุสลิมสามารถยืนหยัดและรักษาเยรูซาเลมได้ โดยต่อมาได้กลายเป็นดินแดนปาเลสไตน์
http://interactive.aljazeera.com/…/al-aqsa-mosqu…/index.html
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดลัทธิไซออนนิสน์ขึ้นมาเพื่อสร้างรัฐยิวใหม่ในดินแดนปาเลสไตน์ในปัจจุบัน โดยจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดคือการฟื้นฟูอาณาจักรยิวโบราณ และการรื้อฟื่้นสร้างวิหารโซโลมอนแห่งที่3 เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของโลกใหม่
หัวใจของความขัดแย้งในตะวันออกกลางทั้งหมดอยู่ที่การเกิดใหม่ของวิหารโวโลมอนแห่งที่3 ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ประเทศในตะวันออกกลางต้องล่มสลาย
เหตุการ์911เป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับอีแร้งที่จะทำสงครามกับ7 ประเทศคืออัฟกานิสถาน อิรัก ซีเรีย ลิเบีย เลบานอน ซูดาน โซมาเลียเพื่อที่จะฟื้นฟูอิสราเอล
เจ๊ฮิลลารี่ล้มลิเบียกับมือ เธอเป็นคนฆ่ากัดดาฟี่ ผู้นำของลิเบียที่ไม่ได้มีแผนคิดร้ายทำอะไรอเมริกาเลย
เจ๊ฮิลล่ารี่ให้สัมภาษณ์สือทีวีว่ากัดดาฟี่ตายอย่างไร โดยเลียนแบบคำพูดของจูเลียส ซีซ่าร์ "We came. We saw. And he died hahahahaha."
มันเป็นคำพูดของคนบ้าสงคราม และการฆ่ากัดดาฟี่ถือว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม แต่ใครจะกล้าเอาผิดเจ๊
กลับมาดูชื่ออีเมล์ของเจ๊อีกครั้ง hrod17@clintonemail.com
อาจจะถอดรหัสได้ว่า Herod 2017 หมายความว่าเจ๊ฮิลล่าร์ต้องการขึ้นมามีอำนาจเทียบเท่ากษัตริย์เฮโรดโบราณ เพื่อที่จะฟืนฟูสร้างวิหารโซโลมอนแห่งที่3 และอำนาจที่เธอจะได้จะอยู่ในช่วงปี2017 หลังจากชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ
ฝันไปไกลเลยนะจ๊ะเจ๊ฮิลลารี่ เทพีแห่งของครามของวาระโลกใหม่
#มิตรสหายสมคบคิดท่านหนึ่ง
ดูนิสัยฮิลลารี่แล้วถ้าได้ขึ้นอำนาจ
ใครไม่เลียตีนหล่อนน่าจะไม่รอด
ถ้ามีมารยาทต้องปลดลงจากหลัง แล้วถือเข้าไป เพราะว่าช่วงขาจะมีที่เยอะ
พวกเรียกร้องน้ำใจ
คือคนแบกเป้ข้างหลังน่ะต้องมีน้ำใจกะผู้ร่วมทาง
อย่าเห็นแก่ตัว
เป้คุณทำให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน
เพลียกะพวกตรรกะเพี้ยนเป็นที่สุด
ชอบเรียกร้องน้ำใจกะคนส่วนใหญ่
เฮ้ยยยยย คนส่วนน้อยมันต้องระวังคนส่วนใหญ่รึเปล่าวะ
คนแบกเป้มันแค่เศษเสี้ยวของสังคม
#มิตรสหายพันทิปท่านหนึ่ง
the two candidates for president of the most powerful country in the world are shit-flinging on an internet site that allows 140 letters max, which is also used by international terrorists.
If you had told anyone this 16 years ago they would have institutionalized you.
Stop the planet, I want off.
ใครจะมีเมียน้อย จงอ่าน
http://pantip.com/topic/35245149
When ISIS said they are Islam.
No, they are not Islam, said the Liberal.
When boy said they are girl.
Yes, they are girl, said the Liberal.
Where is the consistency?
"เศรษฐศาสตร์ไม่มีหัวใจ # 1
ไม่มีใครทำเพื่อสังคม มีแต่คนทำเพื่อตัวเอง
สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ เราคงคุ้นเคยกันดีกับฟังก์ชันอรรถประโยชน์ (Utility Function)
อ่านถึงย่อหน้านี้ อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะครับ เพราะไอ้อรรถประโยชน์ที่ว่ามันก็คือปริมาณความสุขที่นักเศรษฐศาสตร์พยายามวัดให้เป็นตัวเลข
ผมสมมติง่ายๆ ว่ามันเป็นหน่วย 'สุข' เช่น ผมกินหมูปิ้ง 1 ไม้ ได้ 5 สุข เป็นต้น
ทีนี้ย้อนกลับมาเรื่องฟังก์ชัน เราก็คงเดาได้แล้วว่าฟังก์ชันความสุขของแต่ละคนบนโลกย่อมแตกต่างกัน คนชอบกินหมูปิ้ง เวลากินไปก็ย่อมได้ความสุขมากกว่าพวกมังสวิรัติก็โดนบังคับกินหมูปิ้ง อะไรประมาณนั้น
ย้อนกลับมาเรื่องทำงานเพื่อสังคม ทำไมผมถึงตั้งข้อสังเกตได้รุนแรงบาดใจเหล่าคนดีผู้เสียสละขนาดนี้ ?
ภายใต้แนวคิดของหลักเศรษฐศาสตร์โบร่ำโบราณ เราทุกคนต่าง 'เลือก' ทำงานเพื่อให้เกิดความสุขให้มากที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีใครเสียสละอะไร เขาเลือกที่จะทำเพราะมันสร้างความสุขสูงสุดให้เขาเท่านั้น
ตัวอย่าง
บอมบุง (นามสมมติ) ทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่งที่ให้รายได้ 10,000 บาท วันหยุดไม่แน่นอน ไม่มีโอที ต้องไปต่างจังหวัด แต่ฟังก์ชันความสุขของบอมบุงคือ
= 0.5*เงินรายได้ + 20,000 (จากความสุขที่ได้ทำงานที่ชอบ) = 25,000 สุข
บอมบุง ระยะที่สอง (นามสมมติ) ขายวิญญาณให้บริษัทวิจัยอำมหิต ใช้งานเยี่ยงทาส ทำให้เขาไม่มีเวลาว่างไปทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่เขาตัดสินใจย้ายมาทำ เพราะเขาได้เงินเดือน 50,000 บาท ดังนั้นความสุขของบอมบุง = 0.5*50,500 + 0 (เพราะไม่ได้ทำงานที่รัก) = 25,000 สุข
จะเห็นว่าทั้งสองงานให้ความสุขในปริมาณที่เท่ากัน การทำงานมูลนิธิของบอมบุง (นามสมมติ) ในระยะแรกจึงไม่ใช่การเสียสละ 'ใดๆ ทั้งสิ้น'
ดังนั้นเหล่าคนที่ทำงานเพื่อสังคมในรูปแบบใดก็ตาม จึงไม่ควรและไม่แนะนำอย่างยิ่งที่จะใช้การทำงานเพื่อสังคมเป็น 'เกราะป้องกัน' เวลาโดนคนวิพากษ์วิจารณ์
ถ้าใครยังใช้เกราะคนดี + เสียสละในการป้องกันตัวเอง ผมแนะนำให้เปลี่ยนงานเถอะครับ ไปทำงานที่ได้เงินเยอะๆ พักผ่อนเป็นเวลา ไม่ต้องมาหนักมาเหนื่อยทำเพื่อสังคมหรอก
แต่เขาก็คงตอบว่าเขาจะยืนหยัดทำงานนี้ต่อไป เพราะนี่คือความสุขของเขา
. . .
( ผมเดินหนี เพราะขี้เกียจคุยกับคนเมา)
หลายคนมักมาบอกผมว่าเสียสละตอนที่ผมทำงานที่มูลนิธิฯ ผมเองก็ได้แต่ยิ้มรับ เพราะจริงๆ ผมไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนดีหรือเสียสละบ้าบอใดๆ ผมแค่สำเร็จความใคร่ทางความสุขของผมเท่านั้น
เราเคยวิจารณ์บริษัทเลวร้ายอย่างไร ทำผิดพลาดอย่างไร เราก็ควรใช้มาตรฐานนี้กับกลุ่มคนที่ทำงานเพื่อสังคมได้ไม่ใช่หรือ ?
หรือเพราะเป็นคนเสียสละเลยได้รับข้อยกเว้น ได้รับโอกาส ได้รับมาตรฐานการวิพากษ์วิจารณ์ที่ต่ำกว่า ?
คุยกันได้ครับ อยากได้รับความคิดเห็น ในฐานะหนึ่งคนที่ไม่เชื่อว่ามีอะไรดีที่สุด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูสงสัยว่าไอ้เพจมิตรสหายนี่มันสูปบทความมาจากไหนนักวะอัพได้เรื่อยๆ
Totally lose a faith on true love. I don't believe it no more ...
"เรียน ป.ตรี ก็สู้ ป.โทไม่ได้
เรียน ป.โท ก็สู้ ป.เอกไม่ได้
แต่จะ ป.ตรี ป.โท หรือ ป.เอก
ก็สู้ปอเนาะไม่ได้ เพราะปอเนาะ
#สอนให้เรารู้จักอัลลอฮ์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
This whole scenario sounds like a bad joke.
>A Muslim walks into a gay bar.
>The bartender asks, "What'll you have?"
>The Muslim replies, "Let me get some shots for everybody!"
ผู้โดยสารพูดเล่นว่ามีระเบิด = ตำรวจจับ พาตัวมาแถลงข่าว ขอโทษออกทีวี
นักบินบอกว่าจะโหม่งโลก = ??? ทำไม 2 มาตรฐานแบบน่ารังเกียจขนาดนี้ ทุเรศว่ะบ้านเมืองนี้
อ่านบทลงโทษนักบินที่ให้นักบินจัดการกันเอง พร้อมย้ำว่านักบินลงโทษกันเองกลัวที่สุดสำหรับนักบินด้วยกัน
ทำเอาผมนึกถึงพราหมณ์สมัยก่อน เวลามีคดีด้วยกันกับคนชนชั้นอื่น หากตัดสินว่าผิดทั้งคู่ ให้ประหารคนชนชั้นอื่นเสีย ส่วนพราหมณ์ให้ตัดมวยผมทิ้ง เพราะการตัดมวยผมนั้นน่าอายเสียยิ่งกว่าตายสำหรับพราหมณ์เสียอีก แน่นอนว่าคนที่ออกกฎนี้มาก็คือคนชั้นพราหมณ์เอง
"วันนี้นั่งอ่านข่าว ...นอกจากเหตุยิงกันที่ออลันโด ...ยังมีข่าวปัญญาอ่อนอีกข่าวนึง....เป็นข่าวของชาวไร่ในแคนซัส...ที่แม่งเกิดสงสัยในทฤษฎีที่ว่า ..."เมื่อตกจากที่สูง แมวจะจัดท่าตัวเองให้ลงพื้นอย่างปลอดภัยเสมอ"
ไอ้เหี้ยนี่ก็ไม่เชิงไม่เชื่อ...แต่อยากพิสูจน์ว่าทฤษฎีมันจะจริงขนาดไหน....เลยไปไล่จับแมวข้างถนนมาทั้งหมด4ตัว แล้วเอายัดไว้ในปลอกหมอน.....พร้อมกับวานเพื่อนให้เอาเครื่องบินพ่นยาฆ่าแมลงไต่ระดับขึ้นไปที่ความสูงระดับที่จะกระโดดร่มให้หน่อย....ทีแรกเพื่อนแม่งก็ท้วงว่า..... อย่าเลย แม่งไม่รอดหรอก ทำร้ายสัตว์เปล่าๆ
ไอ้ห่านี่ก็บอก ถ้าแมวตกลงมาตายก็ไม่ใช่ความผิดกู....โน่นมึงไปโทษคนคิดทฤษฎีโน่น...เสือกมาเผยแพร่อะไรควายๆให้คนอื่นเชื่อ...สุดท้ายเพื่อนแม่งคงทนรบเร้าไม่ไหว ก็เลยเอาไอ่ห่านี่ขึ้นเครื่องไต่ความสูงขึ้นไปที่ 7000ฟุต
พอถึงระยะโดด.....มันก็โดดออกจากเครื่องพร้อมกับพยายามล้วงแมวออกจากปลอกหมอน.....
ทีนี้แมวแม่งจิก จิกปลอกหมอน จิกแขน แล้วไต่.....ไต่แขนไต่หลังไต่หน้า ไต่คอ ไต่ขา......ยุบยับๆ....โอ๊ยะ ไอ่สัส เจ็บ....แมว 4 ตัว ตัวละ4ตีน ตีนละ4เล็บ.....64 เล็บแม่งจิกทั่วตัว แกะตีนนีง อีก 3 ตีนจิก...ดึงหลังจิกหน้า แกะตัวที่1 ...3ตัวที่เหลือแม่งเกาะแน่น....อย่าว่าแต่4ตัว....แค่ตัวเดียวให้หลุดพร้อมกันสองตีนยังไม่มีปัญญา
ความสูงตอนนี้เหลือ. 3000ฟุตแล้ว....ชิบหายละ... แม่งต้องกระตุกร่มแล้ว ....แมว4ตัวแม่งทุกตัวอยู่ครบ...เกาะแม่งอย่างแน่น
ทีนี้เวลามึงกระตุกร่ม....แรงที่กระทำกับตัวมึงคือ 3G....คือวินาทีที่ร่มกระชาก ....แมวน้ำหนัก 1กิโลกรัม จะกลายเป็น 3กิโลกรัม.....คูณกับอีก10Gของแรงดึงดูดโลก....กระชากผ่านร่างกายของแม่ง 64จุด....
เลือดแม่งซิบมั่ง นองมั่ง ไหลย้อยลงง่ามตีนเป็นสาย ....ยังดีที่ว่าลงพื้นปลอดภัย(ระดับนึง)ไม่มีขาแข้งหัก
ส่วนแมวทั้ง4ตัวพอเห็นว่าปลอดภัย ....ก็แยกย้ายกันวิ่งหายเข้าไปในดงข้าวโพด....ทิ้งให้ไอ้เชี่ยนี่นอนโอยอยู่กลางทุ่งข้าวโพด พร้อมโทรให้เพื่อนมารับไปส่งโรงพยาบาล.....
สรุป....ที่ความสูง7000ฟุต....แมวแม่งก็ยังโอเค"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
”แมวเลือกท่าลงพื้นที่ปลอดภัยที่สุด". จิกเนื้อเกาะกับคนมีร่มชูชีพเนี้ยแหล่ะปลอดภัยสุด
"สั้นๆ ถึงดราม่า LGBTIQAs ตอนนี้
(เขียนในฐานะที่ไม่ได้ทำงานสิทธิแล้ว, เป็นคนวงนอก, แต่ยังสนใจเรื่องสิทธิอยู่)
1. เราต้องแยกระหว่างมุกเหี้ยและโฟเบีย
2. เราซื้อ sogie (sexual orientation, identity and expression) มากกว่า LGBTIQAs เพราะเราว่าคำมันครอบคลุมกว่า (ครอบคลุมกระทั่งผู้หญิงรักต่างเพศที่มีลักษณะกริยาท่าทางแบบ butch)
3. เราคิดว่าคำโดยตัวมันไม่สามารถ represent ปัญหาที่บุคคลต้องเผชิญได้ ดังนั้นในความเห็นเราสถานะของคำว่า sogie กับ LGBTIQAs มันเหมือนกัน
4. ในแง่งานรณรงค์ควรจะยึดที่คำใดคำหนึ่งแล้วทำงานกับมันให้หนักเพื่อในสธารณะเข้าใจ แน่นอนว่าสาธารณะไม่มานั่งอัปเดต technical term บ่อยๆแน่ๆ ยกเว้นมันจะเปลี่ยนแบบ major change (คนทั่วไปไม่จำหรอกว่าแอนดรอยด์ 4.2.1 กับ 4.2.2 ต่างกันยังไง แต่แยกได้ว่า 4.3 กับ 5 ต่างกันยังไง)
5. เราไม่สามารถต่อคำออกไปเรื่อยๆเพื่อ include ทุกลักษณะทางเพศเข้ามาอยู่ใต้ร่มเดียวกัน (และคาดหวังให้คำจะสามารถขับเน้นประเด็นปัญหาที่แต่ละกลุ่มพบเจอให้ชัดขึ้นมาได้) เพราะความหลากหลายมันมีมากกว่าที่คิด และเราไม่ควรทำให้คำที่ต้องใช้รณรงค์กลายเป็นศัพท์ยากในการแข่ง spelling bee
6. แมสเสจหลักที่คนทำงานต้องการจะสื่อคืออะไร? ในความเห็นของคนนอกอย่างเรา แมสเสจใหญ่ที่แต่ละชุมชนควรขับเคลื่อนร่วมกันคือการบอกสังคมว่าไม่ว่าเราจะเป็น 'อะไร' เราก็ควรได้รับการเคารพสิทธิอย่างเท่าเทียมกัน แล้วแต่ละชุมชนจะไปขับเน้นปัญหาที่ประสบยังไงก็แล้วแต่ชุมชนนั้น (บางชุมชนอาจจะไม่มีชื่อเรียกก็ได้) ซึ่งเราคิดว่าการใช้ LGBTIQAs (และอาจมีเพิ่มเติมในอนาคต) มัน distract คนจากแมสเสจหลักนั้นอยู่เหมือนกัน (คือไปเน้นที่ชุมชนมากกว่า)
7. (จริงๆ ควรเขียนอันนี้เป็นอันแรกแต่ลืม 555) เราเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ประเด็นขัดแย้งเรื่องจะเลือกใช้ sogie หรือ LGBTIQAs เราแค่เล่าความเห็นที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงจาก lgbt สู่ lgbtiqas ว่าในจริงๆ แล้วมันไม่ช่วยเรื่องการขับเน้นประเด็น, ไม่สื่อสาร, และจำยากยังไง เมื่อมองจากมุมมองของคนนอก
8. btw เราเข้าใจคนทำงานที่เห็นความสำคัญของคำว่า lgbtiqas นะ ความรู้สึกว่าอยากจะรวมทุกประเด็นขึ้นมาไม่ให้มันตกหล่น แต่จากมุมของสังคมภายนอกการชูทุกอย่างมันอาจจะไม่เวิร์กก็ได้
9. เราคิดว่าคำในการรณรงค์กับสังคมมันต้องง่ายไว้ก่อน ทำให้มันง่ายแล้วเราไปเข้มตรงการอธิบาย ดีกว่ายากมาตั้งแต่คำที่ใช้สื่อสาร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมไม่ชอบคำว่า "เจ้าเก่า" ว่ะ
ผมว่ามันหมายความว่า คุณหยุดพัฒนากระบวนการทั้งหมดแล้ว คุณแค่รอวันเสื่อมถอย
ธุรกิจในประเทศเรา มักใช้คำว่า เจ้าเก่า เพื่อยกให้ตัวเองดูมีจุดขาย
แล้วไงวะ เจ้าใหม่ มันไม่มีสิทธิ์ลืมตาอ้าปากหรือไง
ถ้ามองตื้นๆเราอาจมองว่า เฮ้ย เราขายขาหมูว่ะ ข้างๆแม่งเปิดแข่งแม่งเลียนแบบ มันจะทำให้มันแย่งลูกค้าเรา เปิดอีกร้าน แย่งลูกค้ากูอีก ห่า
อืม…..ก็ใช่
แล้วทำไมเราไม่มองเป็นแง่ดี ว่าเราไม่ทำให้มันเป็น ดงขาหมู ล่ะ
แบบถ้า ใครอยากกินขาหมูหลายแบบ ต้องมากินแถวนี้
ผมยกตัวอย่างสีลม ก็ได้ มีไม่ต่ำกว่า5เจ้า แล้วไง ร้านไหนขายได้ก็มีลูกค้าประจำ
เพราะอะไรวะ?
"เพราะเขาพัฒนาตัวเองยังล่ะ"
ขาหมูแถวนั้น กินดีๆ รสไม่เหมือนกันเลยสักเจ้า เวลาเปิดบางเจ้าก็เหลื่อมกัน
สิ่งที่เขาทำคือ สร้างแบรนด์ สร้างรสชาติ สร้างเอกลักษณ์ให้ร้านตัวเอง
ลูกค้าอาจมาทีหลายๆคน ชิมมันทีละเจ้า มันก็ขายได้นี่หว่า ทำลายตลาดตัวเองเหรอ
เปิดติดๆกัน ไม่พัฒนาตัวเอง แต่ติดเจ้าเก่า กับร้านข้างๆถ้าเขาทำอร่อยกว่าเขาก็มีสิทธิ์ขาย
อาหารไม่ใช่ของที่มีทรัพย์สินทางปัญญาคุ้มครองขนาดนั้น เพราะมันไม่ได้ ปั๊มขาย โหลดบิทไปแชร์ แบบหนัง เพลง
แต่ทุกร้านมันก็ลงมือทำด้วยตัวเองเหมือนกัน ถึงมันจะพยามเลียนแบบ ร้านมันก็มีรสมือของแต่ละร้านเอง
ถ้าร้านข้างๆขายโรตีสายไหมเหมือนกัน เราควรทำไงครับ
-พัฒนาไส้ แป้ง แพคเกจ วิธีขาย จนเป็นเอกลักษณ์
-ด่าแม่ง นินทาแม่ง ประจานแม่ง
คนแบบไหนที่ทำลายวงการ หรือมีปัญญาทำได้เท่านี้
เลิกวนเวียนอยู่กับคำว่า เจ้าเก่า ย่ำอยู่กับที่
โลกแม่งพัฒนาไป เจ้าใหม่หมดแล้ว
ส่วนเจ้าเก่าจริงๆ ถ้ายังใช้คำนี้อยู่ ก็จงดูแลขั้นตอนการผลิตบ้าง ไม่ใช่เอาลูกน้องมาทำสั่วๆเพราะติดตลาดแล้ว
ภูมิใจในงานตัวเองกันบ้างครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ถัดจาก นามาสุ(ปลาดุก) ก็ อิซุมิได izumi dai イズミダイ(ปลานิล) สินะ
แหม ร้านซุชิ ก็เริ่มเอามาใช้กันละ (เห็นในเมนูบุฟเฟ่ท์ร้านนึงที่คนแชร์กัน)
ก็กินได้หละมั้งถ้าเกรดแพคแช่แข็ง แต่จะกินไหม ก็ตามสบายครับ แค่มาบอกไว้ ว่ามันเข้ามาแล้วนะ แบบแพคแช่แข็งมันก็คงรับได้หละน่าจะไม่มีพยาธิเหลือ
แต่สักพักคงมีคนแบบ เอ้าทำได้เหรอ แล้วเอาปลานิลน้ำจืดบ้่านเรามาแล่ขายกัน ช่วงนั้นหละบันเทิง ยิ่งบ้านเราสันดานมักง่ายกันแล้วด้วย เตรียมเจอพยาธิน้ำจืดของจริงกันหละทีนี้
#เล่นแร่แปรชื่อ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คือเอาจริงๆ ไม่ได้อวย 7-11
แต่ถ้ามองในหลักการที่ว่า ไอ้ข้าว 7-11 ก็เป็นอีก Factor นึง ในการตรึงราคา หรือ "คาน" ราคาร้านข้าวแกง หรืออาหารตามสั่งไม่ให้เตลิดไปไกลกว่านี้
ถามจริงๆ คิดเหรอว่า 7-11 ทำข้าวกล่อง กระเพราหมูไข่ดาวในราคา 20 บาทไม่ได้? ในเมื่อ หมูมันเอง ข้าวมันเอง ร้านของมันเอง
ถ้าจะผูกขาดตลาดจริงๆ ผมว่า 7-11 แมร่งฆ่าเหี้ยนน
(อย่างกาแฟนี่ชัดเจน ถ้าคนกินกาแฟสด แต่ไม่ดื่มด่ำรสชาติอะไรมาก กาแฟสด 7-11 ราคา 30 บาทนี่แมร่งโหดสัดๆ ฆ่าร้านกาแฟข้างๆร้านพินาศทันที)
แต่ถ้าจะมองว่า "ระบบทุน" รังแกโชว์ห่วย หรือ ตามสั่ง
มันก็ต้องด่าโชว์ห่วย หรือตามสั่งว่า พวกเอ็งก็ไม่ปรับตัวเหมือนกันวะ
อีกอย่าง ตอนแก๊สขึ้น แมร่งรีบขึ้นค่าอาหารเลย
พอแก๊สลง พวกพ่อค้าจะเพิ่มปริมาณขึ้นให้สักนิดยังไม่ทำเลย
อีกอย่าง อาหารตามสั่ง "กระเพรา" เนี่ย มึงใส่ถั่วฝักยาวมาซะจนกูนี่คิดว่า "ถั่วฝักยาวผัดกระเพราะอยู่แล้ว"
ปล: กับข้าวใต้ถุนคอนโด LPN อย่างละ 50 บาท
สั่ง 2 อย่าง ร้อยนึง บางที พี่ๆก็ให้โอกาสพวกผมได้เลือกบ้างก็ได้นะ
During a lecture in class
Professor asked "what is difference between complete and finish"
Everyone answered ,there is no difference
But then a student's answer impressed everyone
"When you marry a right woman you are complete. When you marry a wrong woman you are finished. When the right woman sees you with the wrong woman, you are completely finished"
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.