ท่านยามากุจิ กล่าวถึง ศิลปินและ Taylor Swift
>>>/subculture/18946/878/
การที่ท่านยามากูจิพูดถึงเรื่อง "ศิลปิน" และ "แฟนคลับ" พร้อมกับการเปรียบเทียบตัวเองกับ ซาแซงแฟน (แฟนคลับที่มีพฤติกรรมบุกลุกหรือก่อกวนดารา) นั้นสะท้อนถึงความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องของ อำนาจ, การควบคุม, และ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีชื่อเสียงกับผู้ติดตาม ซึ่งเราสามารถนำไปเชื่อมโยงกับปรัชญาและมุมมองของ มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) ที่พูดถึง การเป็นตัวตน และการ "อยู่ร่วมกัน" ในสังคม
ท่านยามากูจิยกตัวอย่าง เทเลอร์ สวิฟ ซึ่งเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก และการที่เธอมีผลงานที่รองรับความสำเร็จของเธอนั้น คือ "อำนาจ" ที่เธอมีในโลกของดนตรีและแฟนคลับ ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาของ นิทเช่ ในเรื่อง "will to power" หรือ "เจตจำนงแห่งอำนาจ" ที่กล่าวถึงความสามารถของมนุษย์ในการสร้างความสำเร็จในโลกโดยการแสดงออกถึงพลังอำนาจที่มีอยู่ในตัวเอง
ท่านยามากูจิพูดถึงว่า "มันสำคัญที่มีผลงานมาแบคอัพ" ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการ สร้างคุณค่า ในโลกใบนี้ผ่านการแสดงออกและการมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งท่านยามากูจิชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าโลกจะร้อนแค่ไหน สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือตัวตนที่ถูกยอมรับจากสังคม ซึ่งหมายถึงการมี "อิทธิพล" และ การควบคุม ด้วยผลงานและความสามารถ
การพูดถึง ซาแซงแฟน และการที่ แฟนคลับ ต้องการเข้าถึง ดาราหรือไอดอล ผ่านพฤติกรรมที่นอกกรอบ (เช่น การสะกิดไหล่ หรือเดินอยู่ข้างหลัง) สะท้อนถึงความปรารถนาในการ "ควบคุม" และ "ครอบครอง" ตัวตนของบุคคลที่มีชื่อเสียง โดยที่ไม่คำนึงถึงขอบเขตหรือความเป็นส่วนตัว สิ่งนี้สะท้อนถึง การขาดขอบเขต และการมองเห็นตัวตนของดาราเป็น "วัตถุ" ที่สามารถสัมผัสหรือเข้าถึงได้ตามความต้องการ
ปรัชญาของ ฟรานซ์ ฟาน ออตโต (Franz von Otto) จะกล่าวถึง "การเป็นตัวตนในสังคม" ว่ามนุษย์มักต้องการ "อยู่ในสายตาของคนอื่น" และการกระทำในลักษณะนี้อาจถูกมองว่าเป็น การสูญเสียตัวตน ในแง่ของการพึ่งพาความรับรู้จากภายนอก เช่นเดียวกับ พฤติกรรมของซาแซงแฟน ที่พยายามจะเข้าใกล้ดาราหรือไอดอลเพื่อทำให้ตัวตนของตัวเองได้รับการยอมรับจาก คนที่มีชื่อเสียง
เมื่อท่านยามากูจิกล่าวว่า "กุเคยกอดแล้ว กุเหนือกว่าพวกเมิง" นั้นสะท้อนถึงความเชื่อในเรื่อง "อำนาจ" และ การมีสิทธิ์เหนือคนอื่น ซึ่งคล้ายคลึงกับปรัชญาของ ทอมมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ที่พูดถึง "การครอบงำ" และ "สัญญาทางสังคม" ว่าในสังคมใดก็ตาม คนที่มีอำนาจ (ในที่นี้คือการเข้าถึงตัวตนของไอดอลหรือดารา) จะสามารถสร้าง "สถานะ" และ "ความเหนือกว่า" โดยการมีสิ่งที่คนอื่นไม่ได้มี
ท่านยามากูจิถือเป็น ผู้ที่มีอำนาจ ในการ "ควบคุม" หรือ "เข้าใกล้" สิ่งที่เป็นที่ต้องการในสังคม (ในกรณีนี้คือตัวไอดอลหรือดารา) และการที่ท่านมองตัวเองว่าเหนือกว่าคนอื่นก็คือการ "ยกระดับ" ตัวเองให้เหนือกว่าผู้อื่นในเรื่องของ การเข้าถึง หรือ การได้รับการยอมรับ จากการที่ทำสิ่งที่ คนอื่นไม่สามารถทำได้ หรือไม่กล้าทำ
แนวคิดของท่านยามากูจิในตอนนี้คือการ เข้าใจพฤติกรรม ของคนในสังคมและ ควบคุม อย่างมีกลยุทธ์เพื่อ สร้างอำนาจ โดยการใช้การแสดงออกภายนอกและการแสวงหา การยอมรับจากคนอื่น ในแง่นี้ ท่านยามากูจิใช้ปรัชญาของ การควบคุมสังคม ผ่านการรู้ถึง ความต้องการของสังคม และ การปรับตัวให้เข้ากับมัน เพื่อให้สามารถก้าวหน้าและประสบความสำเร็จได้ในที่สุด