Last posted
Total of 131 posts
นี่คือผลของการเป็นนีทที่อ่านแต่นิยายต่างโลกพระเอกเทพมีฮาเรมมากเกินไป น้อง ๆ ดูไว้นะครับ
"I am confined to a wheelchair, but I am still capable of thinking and reasoning. I can create my own boundaries in my mind, and I am still the king of my own universe."
ฮอคิง เคยกล่าวไว้ว่า เป็น ราชาไร้ขอบเขต
กุว่ามันก็ไม่เบียวนะ หลายคนคิดว่า ฮอคิง ควรตายไปนานแล้ว แต่กลับไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
และพ่ายแพ้ต่อความรัก
และฮอคิงไม่เคยเชื่อพระเจ้า จักรวาลดำรงไปด้วยตัวมันเอง
ส่วน เจน แม่ของลูกฮอคิง 3คน กลับเชื่อในพระเจ้า
>>51 อา ท่านจอมบงการได้เสด็จมาโปรดเราเหล่าโม่งแล้ว ตลอดสามวันที่ท่านไม่ปรากฎ ข้าคิดว่าท่านได้ทอดทิ้งเหล่าโม่งที่น่าสงสารไปแล้ว แต่นึกถึงคำสอนของท่านจึงรู้ว่าคนเราจะเป็นยอดคนได้ต้องเดินในเส้นทางของตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ ต่อให้ทั้งโลกนี้ทอดทิ้งเรา แบบนี้ถึงจะเป็นความโมเอะ
คำสอนจากท่านดาบชั้นเยี่ยวผู้บงการในเงามืด
บันทึกไว้ในคำภีร์แห่งชีวิต วิธีใช้ชีวิตให้สุขภาพดีมีความสุข
>>>/lifestyle/16375/877
ท่านยามากุจิได้กล่าวไว้ว่า
พี่น้องทั้งหลาย, อย่าหลงมัวเมากับสิ่งที่ล่อใจในโลกนี้เหมือนกับการกินพิซซ่าจนหมดถาด แม้จะอิ่มแปล้และรู้สึกดีในตอนแรก แต่ผลสุดท้ายอาจไม่เป็นเช่นนั้น การตะเกียกตะกายหามหามานาน อาจทำให้เราไม่สามารถบรรลุผลที่แท้จริงของการดำเนินชีวิตเหมือนการชัก ว่าวํที่ยังไม่ออกหมด ตามคำสั่งแห่งธรรม: อย่าฝืนความรู้สึกและอย่ากลับไปทำสิ่งเดิมๆ ที่ทำให้เราเสียเวลาและพลังงานไปเปล่าๆ
อย่าได้หลงไหลในพิซซ่าหรือสิ่งที่มอบความพึงพอใจชั่วขณะ จนทำให้เราลืมที่จะเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับสิ่งที่ยั่งยืนในชีวิต อย่าให้ความกระหายของร่างกายมาครอบงำจิตใจ เมื่อรู้สึกไม่ดีจากการกระทำใดๆ จงหลีกเลี่ยง และหันไปเลือกทางที่ดีในชีวิต
ขณะเดียวกัน, การลองแฮมเบอร์เกอร์ใหม่ๆ เช่นการทดลองน้ำ ว่าวํนั้น, เป็นสิ่งที่อาจดูน่าสนใจ แต่ต้องใช้ปัญญาและวิจารณญาณในการเลือกสิ่งที่ดีให้กับตัวเอง เราควรเลือกทางที่เหมาะสมและหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ร่างกายและจิตใจเสื่อมทรามไปในที่สุด
ที่สุดแล้ว, ท่านจะต้องจำไว้เสมอว่าอย่ากินของทอดแม้มันจะร้อนและหอม แต่สิ่งที่ทอดในน้ำมันนั้น อาจเป็นพิษที่ค่อยๆ ทำลายสุขภาพของเราได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องคือการหันไปสู่สิ่งที่สดใหม่และดีต่อร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง.
จงดำรงชีวิตด้วยสติ และหลีกห่างจากการหลงทางไปในวังวนแห่งความอยากที่ไม่รู้จบ
รอยยิ้ม
ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ เป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น
>>>/lifestyle/18969/26
ทรงตรัสเรื่องไอดอล
ไอดอลคนนั้นอาจจะหลอกโอตะ ทำให้โอตะมาแก้แค้น
คนที่บอกรักไอดอลทุก 40 วินาที
>>>/animanga/19052/937-945
ท่านยามากุจิแสดงความสามารถการใช้บั๊กขึ้นเป็นท็อปโลก
>>>/game/19067/93-94
>>>/animanga/18868/341-345
>>>/game/19067/107-132
ถ้าโลกนี้เป็นเกมไม่มีทางที่ท่านยามากุจิจะพ่ายแพ้
อันนี้ดีมากเอามาแปลอ่านให้ฟังกัน
>>>/animanga/18868/359
คำนี้ของท่านยามากูนิที่พูดถึง "homo homini lupus" คือมันลึกจริงๆ ว่ะ มันพูดถึงความเป็นมนุษย์ที่แฝงด้วยความเห็นแก่ตัวและความรุนแรงภายใต้สภาวะที่ไร้กฎหมาย ฮอบส์ว่าไว้ชัดๆ ว่าถ้าหากไม่มีกฎระเบียบอะไรเลย เราก็จะกลายเป็นเหมือนหมาป่าที่ต้องแย่งชิงกันเพื่อความอยู่รอด ทั้งในแง่ของอาหารหรืออำนาจ แต่ตอนที่ท่านยามากูนิบอกว่า "เมิงจะเป็นปีศาจ กินเนื้อคนไง" มันก็เหมือนกับการเตือนว่ามนุษย์ในสภาวะที่ไม่มีกรอบมารองรับ มันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรม ยิ่งถ้าไม่มีใครคุมดูแลเลย เราก็อาจจะพัฒนาไปสู่การเป็น "ปีศาจ" ที่ไม่ได้มีความเมตตาอะไรเลย เหมือนที่ท่านยามากูนิบอกว่า "เคยเกือบก้าวเข้าไปแล้ว แต่ยังแค่ครึ่งขา" ซึ่งมันบ่งบอกว่าท่านเองก็เคยมีช่วงเวลาที่ท่านอาจจะหลงไหลในอำนาจหรือความโหดร้าย แต่ก็ยังไม่ได้ตกไปในจุดนั้น จะเห็นว่าท่านยามากูนิพูดถึงสภาวะที่มนุษย์นั้นไม่ต่างจากสัตว์ป่าในเวลาที่อยู่ภายใต้การควบคุมที่หายไป และมันก็สะท้อนถึงการที่เราจะต้องระมัดระวังว่ามนุษย์เองก็มีศักยภาพในการทำลายล้าง หากไม่มีอะไรหยุดยั้งมันไว้ จริงๆ เป็นการเตือนให้เราอย่าลืมว่ากฎหมายและระเบียบสังคมมันมีความสำคัญมากแค่ไหนในการที่เราจะยังคงรักษาความเป็นมนุษย์ไว้
>>>/webnovel/18245/459-461
คำพูดของท่านมันลึกซึ้งเกินคำบรรยายเลย การที่ท่านพูดถึงการรอ LC (ลิขสิทธิ์) นี่มันสะท้อนให้เห็นถึงโลกที่ล่าช้าและความไม่สมบูรณ์แบบของมัน ช่างเป็นการเปรียบเทียบที่ลึกซึ้งจริงๆ ท่านยามากูจิแสดงให้เห็นถึงความอึดอัดในระบบปัจจุบันที่ช้าเกินไปในการผลิตและเผยแพร่สิ่งที่ท่านรัก ในขณะที่โลกภายนอกต้องการการเข้าถึงที่เร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งแน่นอน ตามที่ท่านกล่าวไว้ "มันน่าจะทำขาย แปลต่อตอน ไทย ชน จีน ชน ENG เลย" นั่นคือโลกในอุดมคติที่ท่านต้องการให้เป็น สู่การที่ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและไม่ต้องรอคอยในความไม่สมบูรณ์ และในการเลือกอ่านนิยายของท่านมันยิ่งสะท้อนความเป็นท่านยามากูจิ "นิยายที่ดีอย่างน้อย 950 ตอน" คำนี้มันคือการแสดงถึงความพยายามในการมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ ท่านยามากูจิไม่เคยยอมรับสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้น "นิยายที่ไม่ถึง 1000 ตอน" ก็เหมือนกับขยะที่ไม่คู่ควรแก่การอ่านหรือไม่คู่ควรแก่การเป็นส่วนหนึ่งในจักรวาลของท่าน นี่คือเกณฑ์การตัดสินที่สูงส่งที่มีแค่ผู้มีอำนาจอย่างท่านเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจได้
ยิ่งไปกว่านั้น "ฉากต่อสู้สุดเดือด" ที่ท่านพูดถึง คือการแสดงถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่และการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของตัวเอกในโลกที่ท่านสร้างขึ้น ทุกการต่อสู้คือการต่อสู้เพื่อความเป็นเลิศและการพิสูจน์ความเหนือกว่าผู้อื่น เป็นการแสดงถึงเส้นทางสู่จุดสูงสุดที่ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางได้
ท่านยามากูจิยังเน้นถึง "การรักเดียวใจเดียว" และ "ไม่ชอบเรื่องผิดศีลธรรม" ด้วยการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น
สุดท้ายแล้วคำพูด "I have no enemy" คือการสะท้อนถึงความสมบูรณ์แบบของท่านยามากูจิ ท่านไม่ต้องการศัตรู เพราะท่านเหนือกว่าทุกสิ่งในจักรวาลนี้ ท่านอยู่ในจุดที่ไม่มีสิ่งใดมาทำให้ท่านสะทกสะท้านได้ และในโลกที่ท่านสร้างขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาตัวเองเพื่อสู่จุดสูงสุด
การจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านยามากูจิ จำเป็นต้องเข้าใจและยอมรับในอุดมคติที่ท่านได้กำหนดไว้และมุ่งไปสู่การบรรลุจุดสูงสุดที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทัดทานได้จริงๆ
บทวิเคราะห์คำสอนของท่านยามากุจิ เรื่อง นวนิยายแนวแก้แค้น
>>>/webnovel/18245/463
การที่ท่านกล่าวถึงผู้หญิงที่ชอบใช้การ "กลั่นแกล้ง วางแผนแก้แค้น ชำระแค้น" นั่นมันคือการสะท้อนถึงโลกที่เต็มไปด้วยการเสแสร้งและการหลอกลวง ท่านยามากูจิกำลังพูดถึงความไม่บริสุทธิ์ในความสัมพันธ์ที่บางคนมักจะมีจุดมุ่งหมายที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขา โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาทำดีต่อเรา การที่ท่านยามากูจิเลือก "ไม่ชอบผญ.ที่ทำดีกับกูเลย เพราะเหมือนมันมีเป้าหมายอยู่" มันคือการแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คนที่ไม่สามารถเชื่อถือได้ในโลกที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ท่านยามากูจิเห็นล่วงหน้าในสิ่งที่คนอื่นอาจมองข้าม ความจริงในโลกนี้ก็คือไม่มีใครทำอะไรแบบไม่มีเหตุผล และเมื่อผู้หญิงทำดีให้กับท่าน มันอาจจะเป็นแค่เครื่องมือหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายบางอย่างของพวกเธอ และในแง่ของ "ผญ.ที่จริงใจ ไม่มีลับลมคมใน" ท่านยามากูจิกำลังมองหาความบริสุทธิ์ในความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกครอบงำด้วยความคาดหวังหรือวัตถุประสงค์ที่แอบแฝงอยู่ มันเป็นการค้นหาความจริงใจที่บริสุทธิ์จากผู้อื่น ซึ่งเหมือนกับการหาสิ่งที่หายากในโลกที่เต็มไปด้วยการหลอกลวงและการฉ้อฉล ความจริงใจที่ท่านยามากูจิต้องการคือการที่ทุกการกระทำสะท้อนถึงความบริสุทธิ์ในจิตใจ ไม่มีการวางแผนหรือคิดจะใช้ใครเป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายของตัวเอง ท่านยามากูจิเห็นชัดเจนว่าผู้หญิงบางคนในโลกนี้อาจจะใช้ความดีเพื่อเข้าหาเรา แต่สุดท้ายแล้วมันก็แอบแฝงไปด้วย "เป้าหมาย" และท่านยามากูจิเลือกที่จะไม่หลงไปกับสิ่งเหล่านั้น เพราะท่านไม่ได้มองหาความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไขหรือการแลกเปลี่ยน ท่านยามากูจิมองหาความจริงใจที่ไม่มีการซ่อนเร้น สิ่งนี้คือลักษณะของความสัมพันธ์ที่แท้จริงที่ท่านต้องการจะรักษาไว้ การที่ท่านยามากูจิแสดงความไม่ชอบในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการหลอกลวงจากผู้หญิง นั่นก็เป็นการสะท้อนถึงมุมมองของท่านที่มองโลกในแง่ของการพัฒนาตัวเองและการแสวงหาความจริงที่สูงสุดซึ่งก็เหมือนกับการที่ท่านจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นเครื่องมือหรือเป้าหมายของใครในจักรวาลที่ท่านสร้างขึ้น
วิเคราะห์คำสอนท่านจอมบงการ ตอน เมดคาเฟ่
>>>/subculture/19142/22-24
คำพูดในกระทู้นี้ล้วนสะท้อนถึงการมองโลกผ่านสายตาของท่านที่มองเห็นความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ในสังคมชายและหญิงอย่างชัดเจน คำถามเกี่ยวกับ "ทำไมสังคมผญ. ชอบมีปัญหากันหมด" มันทำให้กูคิดถึงปรัชญาของ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ในแง่ของธรรมชาติของมนุษย์ที่ในสถานการณ์ไร้กฎระเบียบและอำนาจควบคุม, มนุษย์จะมักมีความขัดแย้งและทะเลาะกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แม้กระทั่งในเรื่องของสังคมผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งในการทำงานร่วมกัน ก่อนอื่น, คอนเซ็ปต์ของ BNK48 ที่มีการ "ขายน้ำ ยืนคุย เลือกเมมได้" ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างแฟนคลับและศิลปินในยุคนี้ ที่เต็มไปด้วยการแลกเปลี่ยนทั้งในเชิงของสินค้าและการใช้เวลาร่วมกัน การที่ "มีแผ่นรองแก้ว, แม่เหล็กหน้าเมม" นี่มันแสดงถึงการใช้ของสะสมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแฟนคลับและเมมเบอร์ เป็นการแสดงถึงการสร้าง “สถานะ” และ “มูลค่า” ผ่านการสะสมและแลกเปลี่ยน ซึ่งก็สะท้อนถึงปรัชญาของ มาร์กซ์ (Marx) ที่พูดถึงการที่มนุษย์ใช้วัตถุเพื่อสร้างคุณค่าและสถานะทางสังคม การเก็บสะสมสิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือในการยืนยันตัวตนและความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างแฟนคลับและไอดอล การที่ท่านยามากูจิพูดว่า "ทำไมสังคมผญ. ชอบมีปัญหากันหมด" เป็นการตั้งคำถามที่มีรากฐานจากการมองเห็นโลกในแง่ของการแสวงหาความได้เปรียบหรือการใช้ "กลยุทธ์" ในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและมีการแข่งขันในตัวมันเอง สังคมผู้หญิงนั้นมักจะถูกมองว่าเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการแข่งขันภายใน แม้กระทั่งในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งทำให้เกิดปัญหาหรือความไม่เข้าใจในบางครั้ง นี่คือสิ่งที่ฮอบส์มองว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ใน "สภาพธรรมชาติ" หรือ "สงครามทุกคนกับทุกคน" ที่มนุษย์จะต่อสู้กันเพื่อผลประโยชน์หรือสถานะในสังคมที่มีข้อจำกัด ในทางกลับกัน, การที่ท่านยามากูจิกล่าวว่า "สังคมผช. ไม่เห็นขี้นินทา ว่าร้าย แบบ ผญเลย" มันยิ่งสะท้อนถึงแนวคิดที่ว่าในสังคมผู้ชาย มักจะไม่แสดงอารมณ์หรือไม่สร้างปัญหาภายในกลุ่มกันเองเหมือนผู้หญิง เนื่องจาก การแสดงออกทางอำนาจ หรือ การยืนยันความเป็นผู้นำ ในสังคมผู้ชาย มักจะทำผ่านการกระทำที่ชัดเจนและไม่ต้องใช้การพูดถึงหลังหลัง การพูดถึงกันเองในสังคมผู้ชายอาจน้อยกว่าผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายจะไม่มีความขัดแย้ง เพียงแต่การแสดงออกนั้นอาจไม่เด่นชัดเหมือนในสังคมผู้หญิงเท่านั้น ในแง่ของ นิทเช่ (Nietzsche) ที่มองว่า "ความขัดแย้ง" และ "การต่อสู้" คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์เติบโตและพัฒนา จึงอาจมองได้ว่า การที่ผู้หญิงในสังคมมีปัญหาหรือขัดแย้งกันในบางครั้ง มันอาจเป็นกระบวนการของการ "ทดลองและพัฒนา" ความสามารถในการต่อสู้หรือสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยอำนาจและการแข่งขัน ในขณะที่ผู้ชายอาจมองโลกในแง่ของการกระทำที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา
บทวิเคราะห์ คำสอนท่านยามากุจิ เรื่อง การเสพสื่อ
>>>/subculture/18946/483/
อันนี้ดีพมาก เมื่อท่านกล่าวว่า "คนดูเรื่องเล่าเรื่องผี ก็มีนิสัยไม่ดี ชอบฟังเรื่องโกหก และหลอกคนอื่นโดยไม่รู้สึกผิด" นี่มันไม่ใช่แค่การวิพากษ์วิจารณ์การบริโภคสื่อเพียงแค่ผิวเผิน แต่เป็นการพูดถึง จิตใต้สำนึก และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเสพสื่อที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและความเชื่อของคนในสังคม ท่านยามากูจิได้สะท้อนแนวคิดของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่กล่าวถึงความสำคัญของจิตใต้สำนึกและวิธีที่มันสามารถหล่อหลอมพฤติกรรมและความคิดของเราได้ โดยที่บางครั้งเราก็ไม่รู้ตัว การเสพสื่อที่มีเนื้อหาลวงโลกหรือเรื่องเล่าที่เป็นเท็จ อาจทำให้จิตใต้สำนึกของเราซึมซับสิ่งเหล่านี้และเริ่มมีพฤติกรรมหรือทัศนคติที่ไม่ได้อยู่ในกรอบของความเป็นจริง ในแง่นี้ท่านยามากูจิอาจต้องการเตือนให้เราตระหนักถึงผลกระทบที่การเสพสื่ออาจมีต่อจิตใจและการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน
การที่ท่านพูดถึงว่า "สื่อมันหล่อหลอม" และว่า "การดูละครตบตีมากๆ อาจจะจำไปใช้" อาจเป็นการเชื่อมโยงกับแนวคิดของ ฟรานซิส ฟุคูยามะ ที่พูดถึงผลกระทบของสื่อมวลชนต่อค่านิยมและพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม การที่สื่อสามารถหล่อหลอม "ความเป็นมนุษย์" และ "ค่านิยม" ในสังคมเป็นสิ่งที่ฟุคูยามะเตือนว่า การเสพสื่อมากเกินไปอาจทำให้เรามองโลกในมุมที่บิดเบือนจากความเป็นจริงและนำไปสู่ความเข้าใจผิดในเรื่องของศีลธรรมและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การที่คนเริ่มมองว่า "การฆ่ากันเลือดสาด" หรือ "การใช้ความรุนแรง" เป็นสิ่งปกติ เพราะถูกซึมซับจากภาพยนตร์หรือสื่อที่บิดเบือน ในอีกแง่หนึ่งนิทเช่ (Nietzsche) ก็เคยพูดถึงการที่มนุษย์ต้องสร้างคุณค่าใหม่และปรับเปลี่ยนการมองโลกให้แตกต่างจากการยอมรับสิ่งที่สังคมกำหนดมาให้ การที่ท่านยามากูจิพูดถึงการเสพสื่อที่บิดเบือนและการที่มันอาจหล่อหลอมให้เราคิดว่ามันเป็น "ปกติ" ก็เป็นการสะท้อนถึงคำสอนของนิทเช่ที่ว่า เราต้องระมัดระวังไม่ให้สังคมบังคับให้เรายอมรับค่าความจริงที่ไม่ใช่ของตัวเอง และเราควรพัฒนาความสามารถในการแยกแยะสิ่งที่เป็น "คุณค่าที่แท้จริง" ออกจากสิ่งที่สังคมบิดเบือนผ่านสื่อ ท่านยามากูจิยังได้กล่าวถึง "คนขาดความยั้งยับชั่งใจ ปล่อยตัวปล่อยใจ คิดว่าจะแยกแยะได้ไหมละ" ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของ การฝึกฝนตัวเอง และการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมในโลกที่เต็มไปด้วยการกระตุ้นจากสื่อมวลชนและบรรยากาศภายนอก การที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันอาจขาดการยับยั้งชั่งใจและคิดว่า "แยกแยะได้" อาจนำไปสู่การทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมโดยไม่รู้ตัว นี่คือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน ศีลธรรม และ ความรับผิดชอบ ของแต่ละบุคคลที่ไม่เพียงแค่ "แยกแยะ" แต่ต้องมีการกระทำที่รับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง
บทวิเคราะห์คำสอน ตอน ท่านยามากูจิพูดถึงท่าประจำของไอดอล
>>>/animanga/19052/948
คำพูดของท่านสะท้อนถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "การจำลองพฤติกรรม" หรือ "Social Contagion" ที่มีอิทธิพลจากสื่อและวัฒนธรรมที่แพร่กระจายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว! สิ่งที่ท่านพูดถึงนั้นสามารถอธิบายได้จากมุมมองของ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ของ อัลเบิร์ต แบนด์ูรา (Albert Bandura) ที่กล่าวว่าคนจะเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมจากสังคมและสื่อที่พวกเขาเสพ เช่นเดียวกับกรณีนี้ที่ท่าทางโพสต์สองนิ้วหรือท่าทางบางอย่างที่มาจากอนิเมะเริ่มถูกเลียนแบบในหมู่อ idol จนกลายเป็น "มาตรฐานใหม่" ของวงการไอดอล
ท่านยามากูจิพูดถึงการที่ท่าทางโพสต์สองนิ้วระหว่างคิ้วกลายเป็น "โรคระบาด" หรือสิ่งที่ต้องทำตามหากอยากเป็นไอดอลที่แท้จริง นี่คือปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า การแพร่กระจายทางสังคม หรือ "Social Contagion" ที่มาจากการที่สื่อและภาพลักษณ์ที่ได้รับความนิยมสามารถส่งผลต่อพฤติกรรมและทัศนคติของคนในสังคมได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็น "เทรนด์" หรือ "มาตรฐาน" ใหม่ การทำท่าทางนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่เพียงแต่ไอดอลต้องทำตามเพื่อให้เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง อัตลักษณ์ ในวงการไอดอล
ฟรานซิส ฟุกูยามะ (Francis Fukuyama) นักปรัชญาสังคมศาสตร์ก็เคยพูดถึง "สัญญาณ" หรือ สัญลักษณ์ทางสังคม ที่มีความสำคัญในกระบวนการสร้าง อัตลักษณ์ ของบุคคลในสังคม ท่าทางที่ไอดอลทำจึงไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความน่ารักหรือมีเสน่ห์ หรือความโมเอะ แต่ยังเป็นการสื่อสารและ ยืนยันสถานะ ในกลุ่มสังคมของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในวงการที่มีการแข่งขันสูงเช่นวงการไอดอล
ท่านยามากูจิยังพูดถึงการใส่ชุดเปิดแร้เพื่อให้ดูดีขึ้น ซึ่งเป็นการเสริมสร้าง "ภาพลักษณ์" หรือ "social identity" (อัตลักษณ์ทางสังคม) ของตัวไอดอลผ่านการเลือกสวมใส่สิ่งที่สื่อสารถึงความเป็นตัวตนและเป็นการตอบสนองต่อความคาดหวังของแฟนๆ หรือสังคมวงการไอดอล การที่ "ใครไม่ทำท่านี้ไม่ใช่ไอดอลที่แท้จริง" จึงสะท้อนถึงแรงกดดันทางสังคมที่ทำให้บุคคลต้อง conform หรือทำตามเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่ม ซึ่งเป็นประเด็นที่ปรัชญาของ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) ชี้ให้เห็นในเรื่องของ อำนาจและการควบคุมทางสังคม ผ่านการกำหนดมาตรฐานต่างๆ เช่นการกระทำที่ดู "ปกติ" หรือ "สมบูรณ์แบบ" ของกลุ่มชนชั้นหรือวงการใดวงการหนึ่ง ในที่นี้คือวงการไอดอล
ในมุมมองของ นิทเช่ (Nietzsche) ปรากฏการณ์นี้อาจสะท้อนถึงสิ่งที่เขาพูดถึงในเรื่องของ "การสร้างคุณค่า" และ "การยอมรับของกลุ่ม" การที่ไอดอลต้องทำท่าทางเดียวกันหมด เพื่อจะได้กลายเป็น "ไอดอลที่แท้จริง" ก็คล้ายกับการยอมรับใน "คุณค่าที่สร้างขึ้นโดยสังคม" หรือ "มูลค่า" ที่ถูกกำหนดโดยกลุ่มแฟนคลับและวงการไอดอล ในโลกที่ทุกอย่างถูกควบคุมด้วยมาตรฐานที่สังคมสร้างขึ้น บางครั้งการแสดงออกหรือการทำตามความคาดหวังของสังคมอาจทำให้บุคคลสูญเสียตัวตนที่แท้จริงไปเพื่อให้เข้ากับ "สัญลักษณ์" ที่สังคมยอมรับและยกย่อง
ท่านยามากุจิกล่าวเรื่องความเป็นผู้นำ
>>>/animanga/18962/762-767
การที่ท่านยามากูจิกล่าวถึงว่า "ไม่มีใครเป็นได้ดีเท่ากู" และ "ต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ" เป็นการพูดถึง การยอมรับในตัวตน และ การรับผิดชอบที่มาพร้อมกับการเป็นผู้นำ แม้ว่าจะรู้ว่าผู้นำไม่สามารถเป็นที่รักของทุกคนได้ ท่านยามากูจิยังคงยืนยันที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าจะต้องแบกรับความเกลียดชังหรือการต่อต้านจากคนในทีมก็ตาม สิ่งนี้สะท้อนถึงแนวคิดของ นิทเช่ ที่พูดถึง "การสร้างคุณค่า" และ การตัดสินใจ ที่มาจากความรู้สึกที่ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจหรือคำวิจารณ์จากภายนอก แต่เลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูกต้อง ทั้งท่านยามากูจิและไคต้องรับภาระหน้าที่ในการเป็นผู้นำในช่วงเวลาที่จำเป็น แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความไม่พอใจจากคนอื่น การที่ท่านยามากูจิยอมรับว่า "ต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ" และ "จะโดนคนเกลียดมากกว่า" นั้นสะท้อนถึงแนวคิดของ มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) ที่พูดถึงการยอมรับใน "ความจริงของการเป็น" หรือ Being ว่า เราจะต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเราเป็น และในบางครั้ง การที่เราเลือกที่จะเป็นผู้นำก็ต้องยอมรับภาระที่มาพร้อมกับมัน รวมถึงความเกลียดชังและความยากลำบาก ท่านยามากูจิกำลังสะท้อนถึง การเป็นผู้นำ ที่ต้องแบกรับทั้งความรับผิดชอบและความไม่พอใจจากคนรอบข้าง ซึ่งเป็นการยืนยันว่าผู้นำไม่สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและความเกลียดชังได้ แต่ต้องทำหน้าที่ตามภาระที่ได้รับมอบหมาย เพื่อสร้างสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับส่วนรวมและพวกเขาเอง แม้จะต้องรับมือกับการโดนวิจารณ์หรือถูกเกลียดชังก็ตาม
บทวิเคราะห์คำสอน ตอน ท่านยามากุจิ ปะทะ สตอร์กเกอร์ (Stalker)
>>>/lifestyle/19104/1-36/
๑. การกลับตัวกลับใจ
ท่านยามากูจิที่กล่าวถึงการเชื่อว่า "คนเรากลับตัวกลับใจได้" อาจสะท้อนถึงแนวคิดของ องค์คุลิมาน (จากพุทธศาสนา) หรือ การกลับใจ ในทางศาสนา ที่การปฏิบัติธรรมสามารถทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น แม้จะมีการกระทำที่ไม่ดีในอดีต การมีศรัทธาหรือแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงก็สามารถชำระล้างความเลวร้ายในตัวเองได้ นี่คือกระบวนการของ การล้างบาป (Redemption) ที่สามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการปฏิบัติและการพัฒนาตนเอง ในแง่นี้ ท่านยามากูจิกำลังพูดถึง การเปลี่ยนแปลงภายในตัวตน ซึ่งอาจมีผลมาจาก ความดี หรือ คุณค่าใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง ผ่านความรู้สึกของ การควบคุม และการมุ่งมั่นที่จะทำให้สังคมหรือทีมงานดีขึ้น ซึ่งคล้ายกับแนวคิดของ นิทเช่ ในเรื่องของ การเปลี่ยนแปลงผ่าน "will to power" (เจตจำนงแห่งอำนาจ) ที่กล่าวว่า พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงภายในตัวของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนสามารถสร้าง "โลกใหม่" ของตัวเองได้โดยไม่ยอมรับสภาพที่ต่ำต้อย
๒. OBEY
คำว่า "OBEY" (เชื่อฟัง) ที่ท่านยามากูจิใช้สะท้อนถึง การควบคุม และ อำนาจ ในลักษณะที่คล้ายกับการที่ผู้นำจะมีพลังในการทำให้คนอื่นเชื่อฟังหรือทำตามคำสั่ง นี่คล้ายกับแนวคิดของ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ที่พูดถึง "สัญญาทางสังคม" หรือ "Social Contract" ซึ่งอำนาจในการปกครองและควบคุมมีความสำคัญเพื่อให้เกิดระเบียบและความสงบในสังคม โดยเฉพาะในการปกครองและควบคุมประชาชน หากปราศจากการควบคุมนี้ สังคมอาจกลับไปสู่สภาพของ "สงครามทุกคนกับทุกคน" ในแง่ของท่านยามากูจิ การทำให้คนอื่น "OBEY" เป็นการสะท้อนถึง อำนาจ และ การมีอิทธิพล ที่จะทำให้ทุกคนในองค์กรหรือสังคมยอมรับและทำตามการตัดสินใจของท่าน โดยเฉพาะเมื่อมีความมั่นใจในตัวเองและมองเห็นถึง ประโยชน์ส่วนรวม ที่ทุกคนจะได้รับจากการยอมรับอำนาจนี้
๓. ความโมเอะ
การพูดถึง "ความโมเอะ" (moe) ที่ท่านยามากูจิพูดถึงในการช่วยชำระล้างความเลวร้ายและเปลี่ยนแปลงคนอื่นนั้นอาจสะท้อนถึง "ความรัก" หรือ "ความปรารถนา" ที่มีต่อสิ่งที่ดี ซึ่งในทางปรัชญาอาจเชื่อมโยงกับ แนวคิดของการ "ยกระดับ" และ การค้นหาความงามในโลก ที่ นิทเช่ พูดถึงในการสร้างสรรค์ ความดี หรือ คุณค่า ใหม่ในโลก ซึ่งเป็นแนวคิดที่เน้นไปที่การสร้างแรงบันดาลใจและพลังในการกระทำ ในกรณีนี้ ท่านยามากูจิกำลังใช้ ความโมเอะ เป็นเครื่องมือในการ ยกระดับจิตใจ และ สร้างพลังทางบวก ที่จะช่วยให้คนที่ดูเหมือนจะมีพฤติกรรมไม่ดีสามารถกลับตัวได้ ซึ่งเป็นกระบวนการของ การเสริมสร้างคุณค่า และ การส่งเสริมให้ผู้อื่นพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ท่านยามากุจิ กล่าวถึง ศิลปินและ Taylor Swift
>>>/subculture/18946/878/
การที่ท่านยามากูจิพูดถึงเรื่อง "ศิลปิน" และ "แฟนคลับ" พร้อมกับการเปรียบเทียบตัวเองกับ ซาแซงแฟน (แฟนคลับที่มีพฤติกรรมบุกลุกหรือก่อกวนดารา) นั้นสะท้อนถึงความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องของ อำนาจ, การควบคุม, และ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีชื่อเสียงกับผู้ติดตาม ซึ่งเราสามารถนำไปเชื่อมโยงกับปรัชญาและมุมมองของ มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) ที่พูดถึง การเป็นตัวตน และการ "อยู่ร่วมกัน" ในสังคม
ท่านยามากูจิยกตัวอย่าง เทเลอร์ สวิฟ ซึ่งเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก และการที่เธอมีผลงานที่รองรับความสำเร็จของเธอนั้น คือ "อำนาจ" ที่เธอมีในโลกของดนตรีและแฟนคลับ ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาของ นิทเช่ ในเรื่อง "will to power" หรือ "เจตจำนงแห่งอำนาจ" ที่กล่าวถึงความสามารถของมนุษย์ในการสร้างความสำเร็จในโลกโดยการแสดงออกถึงพลังอำนาจที่มีอยู่ในตัวเอง
ท่านยามากูจิพูดถึงว่า "มันสำคัญที่มีผลงานมาแบคอัพ" ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการ สร้างคุณค่า ในโลกใบนี้ผ่านการแสดงออกและการมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งท่านยามากูจิชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าโลกจะร้อนแค่ไหน สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือตัวตนที่ถูกยอมรับจากสังคม ซึ่งหมายถึงการมี "อิทธิพล" และ การควบคุม ด้วยผลงานและความสามารถ
การพูดถึง ซาแซงแฟน และการที่ แฟนคลับ ต้องการเข้าถึง ดาราหรือไอดอล ผ่านพฤติกรรมที่นอกกรอบ (เช่น การสะกิดไหล่ หรือเดินอยู่ข้างหลัง) สะท้อนถึงความปรารถนาในการ "ควบคุม" และ "ครอบครอง" ตัวตนของบุคคลที่มีชื่อเสียง โดยที่ไม่คำนึงถึงขอบเขตหรือความเป็นส่วนตัว สิ่งนี้สะท้อนถึง การขาดขอบเขต และการมองเห็นตัวตนของดาราเป็น "วัตถุ" ที่สามารถสัมผัสหรือเข้าถึงได้ตามความต้องการ
ปรัชญาของ ฟรานซ์ ฟาน ออตโต (Franz von Otto) จะกล่าวถึง "การเป็นตัวตนในสังคม" ว่ามนุษย์มักต้องการ "อยู่ในสายตาของคนอื่น" และการกระทำในลักษณะนี้อาจถูกมองว่าเป็น การสูญเสียตัวตน ในแง่ของการพึ่งพาความรับรู้จากภายนอก เช่นเดียวกับ พฤติกรรมของซาแซงแฟน ที่พยายามจะเข้าใกล้ดาราหรือไอดอลเพื่อทำให้ตัวตนของตัวเองได้รับการยอมรับจาก คนที่มีชื่อเสียง
เมื่อท่านยามากูจิกล่าวว่า "กุเคยกอดแล้ว กุเหนือกว่าพวกเมิง" นั้นสะท้อนถึงความเชื่อในเรื่อง "อำนาจ" และ การมีสิทธิ์เหนือคนอื่น ซึ่งคล้ายคลึงกับปรัชญาของ ทอมมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ที่พูดถึง "การครอบงำ" และ "สัญญาทางสังคม" ว่าในสังคมใดก็ตาม คนที่มีอำนาจ (ในที่นี้คือการเข้าถึงตัวตนของไอดอลหรือดารา) จะสามารถสร้าง "สถานะ" และ "ความเหนือกว่า" โดยการมีสิ่งที่คนอื่นไม่ได้มี
ท่านยามากูจิถือเป็น ผู้ที่มีอำนาจ ในการ "ควบคุม" หรือ "เข้าใกล้" สิ่งที่เป็นที่ต้องการในสังคม (ในกรณีนี้คือตัวไอดอลหรือดารา) และการที่ท่านมองตัวเองว่าเหนือกว่าคนอื่นก็คือการ "ยกระดับ" ตัวเองให้เหนือกว่าผู้อื่นในเรื่องของ การเข้าถึง หรือ การได้รับการยอมรับ จากการที่ทำสิ่งที่ คนอื่นไม่สามารถทำได้ หรือไม่กล้าทำ
แนวคิดของท่านยามากูจิในตอนนี้คือการ เข้าใจพฤติกรรม ของคนในสังคมและ ควบคุม อย่างมีกลยุทธ์เพื่อ สร้างอำนาจ โดยการใช้การแสดงออกภายนอกและการแสวงหา การยอมรับจากคนอื่น ในแง่นี้ ท่านยามากูจิใช้ปรัชญาของ การควบคุมสังคม ผ่านการรู้ถึง ความต้องการของสังคม และ การปรับตัวให้เข้ากับมัน เพื่อให้สามารถก้าวหน้าและประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
ท่านยามากุจิพูดถึง การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และไอดอล
>>>/music/19131/472
การที่ท่านยามากูจิพูดถึงเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงของสังคม" และ การเปลี่ยนแปลงในวงการไอดอล อย่าง BNK48 รวมถึงความรู้สึกของท่านเองที่ยึดติดกับ อดีต และ "ความโมเอะ" ที่ไม่สามารถหามาใหม่ได้ในอนาคต ถือเป็นการสะท้อนถึงความคิดเชิงปรัชญาของการ ยึดมั่นในอดีต และ การเปลี่ยนแปลงของสังคมในแต่ละยุคสมัย ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ผ่านเลนส์ของ ปรัชญาของนิทเช่ และ แนวคิดของการเสื่อมถอยในสังคม
ท่านยามากูจิได้กล่าวถึงการที่เขา ยึดติดกับอดีต เช่นการชื่นชอบ ดิจิมอน และ โคนัน ซึ่งเป็นตัวแทนของยุค 90s และอาจจะดูเหมือนเป็นการยึดติดกับ "ยุคทอง" ที่เป็นช่วงเวลาที่ท่านรู้สึกถึงความ "แท้จริง" ของตัวตนและอัตลักษณ์ของเขา การที่ท่านกล่าวว่า "อนาคตที่ไม่โมเอะ กุไม่ต้องการมันหรอก" สะท้อนถึงความไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และการยึดมั่นใน "อดีต" เป็นสิ่งที่มีค่ากว่า สิ่งที่เป็นปัจจุบันและอนาคต
ท่านยามากูจิพูดถึงการที่ วัยรุ่นไม่เป็นกลุ่มขับเคลื่อนสังคม อีกต่อไป และการที่วงการ BNK48 ไม่สามารถพึ่งพากลุ่มวัยรุ่นเป็นฐานแฟนคลับเหมือนในอดีตได้เนื่องจาก อัตราการเกิดลดลง และ กลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลง ท่านยามากูจิสะท้อนให้เห็นถึงการ เสื่อมถอยของพลังขับเคลื่อนในสังคม ที่เคยมีบทบาทสำคัญในยุคก่อน
ท่านยามากูจิจะเห็นว่า "วัยรุ่น" เคยเป็นกลุ่มที่ มีพลังขับเคลื่อน และ สร้างการเปลี่ยนแปลง ในสังคม แต่เมื่อกลุ่มนี้เริ่มมีอิทธิพลน้อยลง มันก็หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในโลกทัศน์ ของสังคม โดยเฉพาะในเรื่องของ อุตสาหกรรมบันเทิง ที่ต้องหันไปพึ่งพาคนในกลุ่มอายุอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งในแง่นี้ ท่านยามากูจิจะ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ยาก เพราะมันไม่ได้สะท้อนถึง โลกทัศน์ หรือ อุดมการณ์ ที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนในอดีต
การที่ท่านยามากูจิกล่าวว่า "สิ่งเหล่านี้มีผลในอนาคตของกู เพราะกุคือตัวตนในอดีต" โดยการที่ ดิจิมอน, โคนัน หรือ สื่อที่เขาชื่นชอบในอดีต ได้หล่อหลอมให้เขากลายเป็น โอตะ BNK ในปัจจุบัน ก็สะท้อนถึงปรัชญาของ การหล่อหลอมอัตลักษณ์ ผ่านการบริโภคสื่อและสิ่งที่เป็น "อิทธิพลภายนอก"
มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) ได้กล่าวถึง "การหล่อหลอมตัวตน" หรือ "การเป็น" ว่ามนุษย์เป็น "ผู้ถูกหล่อหลอมจากสิ่งรอบข้าง" และการเลือก สิ่งที่อยู่ในอดีต และ สิ่งที่เชื่อมโยงกับตัวตน เป็นสิ่งที่หล่อหลอมอัตลักษณ์ของท่านในปัจจุบัน การยึดติดกับ อนิเมะ และ สื่อในอดีต จึงไม่ใช่เพียงแค่การ ยึดมั่น ในสิ่งที่เคยเป็น แต่เป็นการสร้าง ตัวตนในปัจจุบัน จากสิ่งเหล่านั้น
ท่านยามากูจิกล่าวว่า "อนาคตที่ไม่โมเอะ กุไม่ต้องการมันหรอก!" ซึ่งนี่สะท้อนถึง การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และความไม่ยอมรับของท่านต่อสิ่งที่ไม่สามารถสะท้อนหรือ เชื่อมโยงกับอุดมคติ ของท่านได้ ท่านยังชี้ให้เห็นถึง การเสื่อมถอยของกลุ่มวัยรุ่น และ ความท้าทายในการปรับตัวของวงการบันเทิง ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงของสังคมทำให้ อุดมคติ ที่เคยมีไม่สามารถยึดมั่นได้เหมือนเดิม
บทสรุปประจำวัน
จากทั้งหมดนี้จะเห็นว่า ท่านยามากูจิ เป็นบุคคลที่มีความคิดและแนวทางที่ล้ำลึกในเชิงปรัชญา เขาเป็นคนที่มักจะมองโลกในมุมที่แตกต่างจากคนทั่วไป โดยเฉพาะในเรื่องของการวิเคราะห์สังคมและพฤติกรรมมนุษย์ ท่านยามากูจิมักจะใช้การสะท้อนตัวตนของคนในอดีตและปัจจุบันเพื่ออธิบายถึงความจริงและการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในแง่ของ อำนาจ และ การควบคุม ในสังคม นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงเรื่องของ การเสื่อมสลาย และ การยึดมั่นในอดีต ที่จะเป็นหลักสำคัญในการเข้าใจตัวตนของท่าน ท่านยามากูจิไม่ใช่แค่ผู้นำที่แสดงออกมาในแง่ของอำนาจ แต่เป็นผู้ที่มองเห็น ความจริงอันลึกซึ้ง ที่หลายคนไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยความคิดปกติ เพียงแค่การมองเห็นโลกในมุมมองใหม่ เท่านั้นก็สามารถพลิกเปลี่ยนวิธีคิดและโลกทัศน์ของผู้อื่นได้
อยากให้มีบทวิเคราะห์ โม่งแดกเยี่ยว โม่งกางเกงโยคะ หมาไซ แอดแคนเดิ้ลบ้างครับ
วิเคราะห์คำพูดท่านยามากุจิจากมู้ tof
>>>/game/18455/212
1. “อยากรู้จักกุ ?? ไม่ถามกุเลยว่ากุอยากรู้จัก พวกเมิงหรือเปล่า ?”
คำพูดนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิเสธความสนใจจากผู้อื่นในระดับพื้นฐาน แต่ยังเป็นการตั้งคำถามถึงความเป็นจริงและการดำรงอยู่ในสังคมที่ไม่คำนึงถึงตัวตนของผู้พูดเองเหมือนกับคำกล่าวของมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) ที่ได้พูดถึงการมีชีวิตอยู่ในโลกที่ "ถูกหลงลืม" (Being-for-itself) ซึ่งท่านยามากุจิแสดงถึงความตั้งใจที่จะหลีกหนีจากการเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชน และปฏิเสธความสนใจจากโลกภายนอกในแบบที่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวกลายเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญไปโดยสิ้นเชิง
2. "ถ้าเมิงน่ารักแบบ ชินจิ อาสึกะ มิซาโตะ อายานางิ ก็ว่าไปอย่าง"
นี่คือการแสดงออกถึงการยอมรับในโลกแฟนตาซีแห่งอะนิเมะและมังงะที่ท่านยามากุจิเข้าถึงได้อย่างลึกซึ้ ชื่อของตัวละครที่กล่าวถึงเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวละครในเรื่อง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ที่ต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งภายในตัวเองอย่างรุนแรง (เช่นเดียวกับชินจิที่ต้องต่อสู้กับความลึกลับในตัวเอง) ซึ่งท่านยามากุจิกลับมองพวกเขาเหมือนเครื่องมือที่ใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น
3. "กุก็ไม่สนใจพวกเมิงหรอก เหมือนหนังสือที่กุอ่าน พออ่านหมดเล่มก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว"
ในที่นี้ท่านยามากุจิได้สื่อถึงความไม่ยึดติดกับสิ่งใดในโลกนี้ เหมือนกับการมองโลกและผู้คนเป็นแค่ "หนังสือ" ที่อ่านจบแล้วก็ไร้ค่า นี่คือแนวคิดที่สะท้อนถึง "โลกทัศน์แบบปรัชญาความไม่ยึดมั่น" (Nietzschean Nihilism) ที่ซึ่งทุกสิ่งมีค่าเพียงชั่วคราวและทุกการผจญภัยในชีวิตนั้นไร้ซึ่งความหมายในที่สุด
4. “สาวๆ มักจะสนใจกุ เพราะกุเป็นคนซ่อนประกาย ลึกลับสุดหยั่งคาด”
นี่ไม่ใช่แค่การกล่าวถึงเสน่ห์ของท่านยามากุจิ แต่คือการพิสูจน์ถึงอำนาจแห่งความลึกลับที่เหมือนกับคำสอนของฟรอยด์ (Sigmund Freud) ในเรื่องของจิตใต้สำนึก ท่านยามากุจิไม่ได้แสดงออกอย่างเปิดเผย แต่กลับปล่อยให้ผู้อื่นต้องการเข้าหาเขาเพียงแค่เพราะความไม่สามารถเข้าใจได้ของตัวตนสิ่งนี้คือการควบคุมที่เหนือชั้นเป็นอำนาจในการสร้างภาพลักษณ์ที่ยากจะคาดเดา
5. “กุไม่มีทางบอกหรอกว่ากุคิดยังไงกับคนอื่น ไม่มีใครรู้ใจกุไม่ว่าใครก็ตาม”
คำพูดนี้เป็นการยืนยันถึงความเป็นอัจฉริยะทางจิตวิทยาและความรอบคอบในตัวท่านยามากุจิข้อความนี้สะท้อนถึงแนวคิดของ "ความหลากหลายของอัตตา" ที่ท่านยามากุจิเชื่อมั่นว่าไม่ว่าคุณจะใกล้ชิดเขาแค่ไหน, เขาก็ยังสามารถเก็บซ่อนความคิดและอารมณ์ภายในตัวเองได้อย่างสมบูรณ์เหมือนกับแนวคิดของปรัชญาแบบ "Existentialism" ที่มนุษย์มีอิสรภาพในการเลือกและแสดงออกเพียงเท่าที่ตนเองต้องการเท่านั้น
6. "มันก็ยังมีความหวังถึงที่สุดว่ากุต้องช่วยมัน เพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน เพื่อนตาย"
คำนี้คือการแสดงถึงความเข้าใจในธรรมชาติของความสัมพันธ์และการทำลายภาพลักษณ์ของคำว่า "เพื่อน" ท่านยามากุจิแสดงออกถึงความเหินห่างจากการเชื่อมโยงอารมณ์มนุษย์แบบดั้งเดิมโดยที่ยังคงรักษาอำนาจในการควบคุมปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้าง ซึ่งการช่วยเหลือไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ท่านยามากุจิจะยอมทำเสมอไปมันคือการตัดสินใจที่มีมิติทางจิตวิทยาในระดับสูง
7. “กุชอบเกมมีแชทโลก เพราะกุเนี่ยละจอมบงการ”
และนี่คือสุดยอดของการแสดงออกถึงการควบคุมอย่างไม่เปิดเผย ท่านยามากุจิไม่ได้แค่เล่นเกมเขาคือผู้ควบคุมโลกเสมือนที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและความไม่แน่นอนเขาคือจักรพรรดิที่ควบคุมทุกสิ่งในโลกนี้โดยไม่ต้องแสดงออกอย่างเปิดเผย แม้กระทั่งในโลกแห่งเกม ท่านยามากุจิก็ยังคงเป็น "จอมบงการ" เป็นดาบชั้นเยี่ยวที่เหนือกว่าใครๆ
ความเป็นนักยุทธศาสตร์ของท่านยามากุจิ
>>>/game/18455/349
"จะว่าไป กูก็เหมือนพวกนักยุทธศาสตร์ กลยุทธ์เหมือนกันนะเนี่ย แต่กุไม่ได้เอามาจากในมังงะนะ กุคิดเองหมด"
การกล่าวนี้ของท่านยามากุจิคือการแสดงออกถึงความเป็นอัจฉริยะที่ไม่เพียงแค่ใช้ "แบบแผน" จากภายนอก แต่สร้างกลยุทธ์ขึ้นจากการวิเคราะห์ลึกซึ้ง ท่านมองโลกไม่ใช่แค่ตามตัวอักษร แต่เป็นการออกแบบเกมที่ซับซ้อนมากขึ้นเหมือนนักยุทธศาสตร์ในยุคสมัยใหม่ที่ใช้ "การคิดเชิงกลยุทธ์" (Strategic Thinking) และการ "มองการณ์ไกล" (Long-term Vision) ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดของ Nicholas Taleb ในหนังสือ Antifragile ที่กล่าวว่า "สิ่งที่ดีจะเติบโตจากความไม่แน่นอนและความท้าทาย" ท่านยามากุจิสร้างกลยุทธ์จากความท้าทายเหล่านั้นด้วยตัวเอง ดังที่ท่านได้แสดงให้เห็นในสู้ tof โดยการวางกับดักโม่งที่มาติเตียนท่าน
>>>/game/18455/1-863/ เนื้อหาฉบับเต็ม
>>>/game/18455/224 ทรงอธิบายด้วยรูปภาพถึงกับดักอันยิ่งใหญ่
>>>/game/18455/231-256/ ทรงวางกับดักโดยแกล้งสลับไอดีพลาด เพื่อจัดการโม่ง ผ่านทฤษฎีเกมโกะ
>>70 ต่อจากอันนี้นะ
"กองทัพที่มาถึงสนามรบทีหลังและเข้าต่อสู้เป็นฝ่ายที่ลําบากและทรมาน"
คำพูดนี้เป็นการสะท้อนถึงแนวคิดในด้าน Cognitive Psychology ที่กล่าวถึง "decision fatigue" หรือการตัดสินใจที่ส่งผลให้บุคคลเกิดความล้าในกระบวนการคิด ท่านยามากุจิทราบดีว่า "การตอบสนอง" ต่อสถานการณ์ที่มาไม่ทันนั้นจะทำให้เสียพลังงานทางจิตใจ และสุดท้ายจะทำให้เกิดความผิดพลาดในการตัดสินใจเหมือนทฤษฎี The Law of Least Effort ที่กล่าวว่า มนุษย์มักจะเลือกทำสิ่งที่ง่ายที่สุดโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป
>>>>>> ท่านจึงเลือกที่จะ "ควบคุมสถานการณ์" ก่อนที่มันจะควบคุมท่าน <<<<<<<
เพราะท่านยามากุจิเป็นผู้ควบคุมเสมอ ไม่มีอะไรมาควบคุมท่านได้
"ยอดนักรบนั้นฝ่ายตนจะต้องเป็นฝ่ายควบคุมการรบ หมายถึง ทําให้ข้าศึกเป็นดั่งเช่นตนคิด และไม่เป็นอย่างที่ข้าศึกคิด"
ท่านยามากุจิสะท้อนแนวคิด Psychological Manipulation และ "Cognitive Bias" ที่มนุษย์มักจะมีความโน้มเอียงในการทำสิ่งที่ท่านคิดท่านคือผู้ที่ "อ่านใจ" ของศัตรูและสามารถบิดเบือนความคิดของพวกมันได้เหมือนนักจิตวิทยาที่ศึกษาลึกในจิตใต้สำนึก คำพูดนี้ยังสะท้อนถึง Karl Popper ในทฤษฎีของ "The Open Society" ซึ่งพูดถึงการควบคุมสังคมและผลกระทบของการเลือกที่จะไม่ให้ใครมีโอกาสควบคุมตัวท่านท่านยามากุจิคือผู้ที่ทำให้ทุกสิ่งในสนามรบเป็นไปตามที่ท่านต้องการ เพราะท่านเป็นจอมบงการผู้ควบคุมเสมอ และหากว่าเป็นเกมแล้วท่านยามากุจิต้องชนะเท่านั้น
"การที่ฝ่ายเราจะทําให้ข้าศึกออกมาได้นั้น ชี้ผลประโยชน์เข้าล่อ การที่ฝ่ายเราจะทําให้ข้าศึกไม่เข้ามาได้นั้น ชี้ถึงผลเสียนั่นเอง"
คำนี้คือการแสดงถึงความเข้าใจในกลยุทธ์ทางจิตวิทยาและ "Operant Conditioning" ของ B.F. Skinner, ที่การทำให้ข้าศึก "เข้ามา" หรือ "หลีกหนี" นั้นสามารถกำหนดได้จากการให้ผลตอบแทนหรือการลงโทษ ท่านยามากุจิเป็นผู้ที่ใช้หลักการนี้ในชีวิตประจำวันเพื่อทำให้ทุกคนในสภาพแวดล้อมของท่านทำตามที่ท่านต้องการ ท่านไม่เคยทำอะไรที่เป็นการเสียผลประโยชน์ของตนเอง
ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ของท่านยามากุจิ
>>>/game/18455/231-256/ ทรงวางกับดักโดยแกล้งสลับไอดีพลาด เพื่อจัดการโม่ง ล่อให้ข้าศึกออกมาแล้วทำการล้อมด้วยไอดีที่รีมาใหม่ โดยใช้การรีไอดีพลาด เป็นผลประโยชน์เอาเข้าล่อ
>>>/game/18455/224 ทรงอธิบายด้วยรูปภาพ วิธีวางกับดักอันแยบยลของท่าน
จบ
https://www.youtube.com/watch?v=86ZOOBVQ9Cc
ดื่มเปปทีนกัน จะได้เป็น หม๋อววววววววว
https://www.youtube.com/watch?v=Pls8X06H45c
คนวัยเลข 3 ฟังไว้!!! “ความเป็นผู้ใหญ่” เริ่มต้นตอนนี้
https://www.youtube.com/watch?v=i9dULBMbRPQ
นิสัยอะไรที่ควรเลิกเมื่อเข้าสู่วัย 30?
https://www.youtube.com/watch?v=gp7ZMQRQ3e0
ไม่เข้าใจ!!! โดนด่าว่า “ไม่โตเป็นผู้ใหญ่” แล้วต้องทำไงวะ??
https://www.youtube.com/watch?v=xSwWZSkVkSA
หนุ่มๆระวังให้ดี!!! 4 ข้อนี้ “สาวหนี” แน่นอน...
มันหนังสือตรงไหนวะ มีแต่พอดแคส สมกับเป็นคนไทยจริงๆ
อ่อ ไมโม่งตอนนี้มันมีตัวแสปมไรเยอะจังวะ กูไม่ได้เข้ามาครึ่งปี งงเลยสัส
https://fanboi.ch/animanga/19052/recent/
เมิงเรียบเรียงเองได้นะ กุไปตบพวกหน้ากาก2Dมา ที่เอาแต่จมปลักกับโลกจอมปลอม
บทวิเคราะห์ ตอน ท่านยามากุจิตบพวกหน้ากาก 2D
[บทนำ โลกความจริงอันแสนเจ็บปวด]
>>>/animanga/19052/964
"กุขออยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงที่เจ็บปวด
ดีกว่าอยู่ในโลกจอมปลอม ที่แสนหวาน"
- ท่านยามากุจิ Nov 19, 2024 at 07:30:00
ในความเห็นแรกนี้ ท่านยามากุจิทรงได้ถ่ายทอดแนวคิดที่ลึกซึ้งเหลือกำหนด โดยโลกแห่งความเป็นจริงที่ท่านกล่าวถึงนั้น คือโลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็เป็นโลกเดียวที่สามารถพัฒนาและเติบโตได้จริง ท่านได้สะท้อนถึงวิธีการคิดของนักปรัชญาเช่น เฟรเดอริค นิทเช่ ที่ยอมรับความเจ็บปวดและทุกข์ทนเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง (Nietzsche, F., Thus Spoke Zarathustra, 1883) ท่านยามากุจิทราบดีว่า การอยู่ในโลกแห่งความฝันและความสุขที่ปลอมแปลงจะทำให้จิตใจเสื่อมโทรม การปฏิญาณของท่านคือการเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความจริงอย่างกล้าหาญ ในขณะที่คนทั่วไปอาจจะยอมหลีกหนีจากโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ ท่านยามากุจิกลับเลือกที่จะจับมือกับความเจ็บปวด นี่คือวิถีของผู้ที่ยิ่งใหญ่และมีวิสัยทัศน์ ท่านเข้าใจในสิ่งที่หลายคนไม่สามารถมองเห็นได้ และไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในกับดักของการหลงไหลในสิ่งที่ไม่เป็นจริง เหมือนกับที่นักปรัชญาไฮเดกเกอร์กล่าวไว้ว่า
"การใช้ชีวิตอย่างแท้จริงคือการเผชิญหน้ากับความจริงที่ท้าทาย" (Heidegger, M., Being and Time, 1927)
ท่านยามากุจิรู้ว่า “การพัฒนา” เป็นกระบวนการที่ต้องมีการท้าทายและการต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ เหมือนที่อาร์ริสโตเติลกล่าวไว้ว่า “ความเป็นมนุษย์ที่ดีนั้นเกิดจากการพัฒนาคุณธรรมผ่านการปฏิบัติที่ยากลำบาก” (Aristotle, Nicomachean Ethics, c. 350 BCE)
ในเมื่อคนอื่นอาจจะยึดติดกับโลกแห่งการหลีกหนี ท่านยามากุจิกลับมองเห็นการพัฒนาตัวเองผ่านการเผชิญหน้ากับโลกที่ดิบและแท้จริง เหมือนกับการเดินในเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม แต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่นำไปสู่การเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์
การที่ท่านเลือกที่จะ “พามันไปรักษาจับมือไอดอล” นั้นสะท้อนถึงวิธีการที่ท่านมีมุมมองเฉียบคมในการเลือกทางที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูและการพัฒนา นี่ไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางสังคม แต่ยังสะท้อนถึงความรู้ที่ลึกซึ้งในด้านจิตวิทยาและการบำบัด การที่ท่านพูดถึงการรักษาด้วยไอดอลนั้นเป็นการสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการเยียวยาจิตใจจากความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นจากการหลงไหลในวัตถุนิยมและความบันเทิงชั่วคราวอย่างเช่น กาตูน 2D ด้วยความโมเอะอันเป็นนิรันดร์ เหมือนที่นักจิตวิทยาอย่าง คาร์ล ยุง ได้กล่าวไว้ว่า “จิตใต้สำนึกมีบทบาทสำคัญในการกำหนดชีวิตของเรา และการเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเราคือกุญแจสู่การรักษา” (Jung, C., Man and His Symbols, 1964) ท่านยามากุจิทราบดีว่า โลกที่เต็มไปด้วยการหลงไหลในวัฒนธรรมที่ไม่เป็นจริงนั้น อาจจะทำให้บุคคลหลงลืมตัวตนที่แท้จริงและต้องการการเยียวยาเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูจากจิตใจที่ถูกบิดเบือน การพา “มัน” ไปจับมือไอดอลเป็นการกระทำที่สะท้อนถึงความพยายามที่จะเรียกคืนความสมดุลทางจิตใจจากโลกที่เต็มไปด้วยภาพลวงตาและการหลอกลวง ทั้งนี้ ท่านยามากุจิได้แสดงให้เห็นถึงความรู้ที่เหนือชั้นในด้านการฟื้นฟูจิตใจและการปรับสมดุลให้กลับมาสู่ความจริง
แหล่งอ้างอิง
Nietzsche, F. (1883). Thus Spoke Zarathustra.
Heidegger, M. (1927). Being and Time.
Aristotle. (c. 350 BCE). Nicomachean Ethics.
Jung, C. (1964). Man and His Symbols.
กูโม่งลำปาง11 มาเยือน
แหล่งอ้างอิง
Nichakhun H. (2013). Thus Spoke Zabzab.
Moo Deng, D. (20247). Hippo Anchor Being .
Adam. ( 6 days BCG). Ni suan Eden mee apples aroi aroi.
Jeng, K. (1964). Mongols and His Symbols.
ต่อจาก >>82
[บทที่ 1 ไอดอลคือทาสของโอตะ]
>>>/animanga/19052/
“ไอดอลคือทาสของโอตะ” ที่เป็นการเน้นย้ำถึงการพึ่งพาและความสัมพันธ์ที่มีพลังเชิงอำนาจอย่างแยบยลในแวดวงนี้
ท่านยามากุจิได้เน้นย้ำว่า "โอตะต้องเข้าใจว่าไอดอลคือทาสของโอตะ" นั่นแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในโครงสร้างของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ ท่านยามากุจิเห็นว่าในทุกความสัมพันธ์ที่แท้จริง จะต้องมีการให้และรับ และสิ่งที่สำคัญคือการให้ความเคารพและการเข้าใจในบทบาทที่แต่ละฝ่ายมี โดยไม่หลงใหลไปกับภาพลวงตา แต่มองความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความบันเทิง ท่านยามากุจิเห็นว่าโลกไอดอลนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการไล่ตามภาพลักษณ์ หรือการหลงใหลในสิ่งที่ไม่จริง แต่เป็นการที่ผู้คนมีความเชื่อมโยงและการสนับสนุนกันอย่างจริงใจ
การที่ท่านยามากุจิพูดถึง "โอตะที่กุเจอหล่อเนี๊ยบดูดีเยอะ" ก็เป็นการยกย่องในวิธีที่ผู้คนสามารถพัฒนาตัวเองและปรับปรุงในโลกแห่งความเป็นจริง ท่านยามากุจิไม่ได้แค่ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องในบางส่วนของวงการ แต่ยังเห็นคุณค่าในการพัฒนาตนเองและการออกจากโลกที่แคบแค่ 2D เพื่อเปิดประตูสู่โลกที่กว้างขึ้น
ในแง่ของ "ดุ้นผู้ชายเป็นเบส ส่วนของผู้หญิงคือกรด" นี่คือการอ้างถึงลักษณะทางชีวเคมีของร่างกายมนุษย์ที่สำคัญในการเข้าใจสุขภาพทางเพศ การที่ร่างกายของผู้ชายและผู้หญิงมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในการควบคุมสมดุลกรด-เบส (pH balance) เป็นสิ่งที่สำคัญในระบบทางเดินปัสสาวะและช่องคลอด การที่ช่องคลอดของผู้หญิงมีสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด (pH ประมาณ 3.8–4.5) ช่วยในการป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่ไม่พึงประสงค์ (Sobel, J. D., 2000). การรักษาสมดุลนี้ให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพช่องคลอดและป้องกันการติดเชื้อต่างๆ
ท่านยามากุจิยังได้แสดงถึงความสำคัญของการรักษาความสะอาดในการป้องกันปัญหาทางสุขภาพในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะในวงการไอดอลและโอตะที่ท่านกล่าวถึง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะต้องใช้เวลาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีกิจกรรมมากมาย การออกจากบ้านและการดูแลตัวเองเป็นสิ่งที่ท่านยามากุจิเห็นว่าจำเป็น เพราะเมื่อมีการดูแลสุขภาพที่ดี จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความเป็นตัวของตัวเองให้สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาทางจิตใจและร่างกายที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการพัฒนาตัวตนของ อีริค เอริกสัน (Erikson, E. H., 1963)
อ้างอิง
Carr P.L., Felsenstein D., Friedman R.H. Evaluation and management of vaginitis. J. Gen. Intern. Med. 1998;13:335–346. doi: 10.1046/j.1525-1497.1998.00101.x.
Sobel, J. D. (2000). “Vaginal infections and their treatment.” The New England Journal of Medicine, 342(5), 348-352.
Erikson, E. H. (1963). Childhood and Society.
Erikson, E., Identity and the Life Cycle, 1959
ต่อจาก >>81 >>82 >>84
[บทที่ 2 การพัฒนาตนเอง]
>>>/animanga/19052/978/
"วิ่ง 5 โลมันไม่ได้ยาก คนอื่นทำไม่ได้ แต่กุทำได้"
ท่านได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความตั้งใจที่ไม่ย่อท้อ การที่ท่านย้ำว่า "ทุกวัน" ก็เป็นการเน้นย้ำถึงความต่อเนื่องและความอดทนที่สำคัญในกระบวนการฝึกฝน ซึ่งแสดงถึงทัศนคติที่มีต่อการพัฒนาตนเองในระยะยาวและความมุ่งมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนที่นักจิตวิทยาอย่าง แวนเดอ คล็อป (Van de Kamp, C. H., 2013) กล่าวว่า การพัฒนาความสามารถในตนเองนั้นเกิดจากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
เช่นที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่าเป็นคนจริงจัง ในการฝึกฝน
>>>/animanga/18962/678/
ส่วนที่ท่านพูดถึง "ถ้าวิ่งแล้วไม่กินเวย์โปรตีนก็เปล่าประโยชน์" นั่นคือความเข้าใจที่ลึกซึ้งในหลักการทางโภชนาการและการฟื้นฟูร่างกาย การรับประทานโปรตีนหลังการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญในการฟื้นฟูและซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกฝน (Phillips, S. M., 2014) เวย์โปรตีนมีกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ซึ่งทำให้ท่านยามากุจิทราบถึงวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการดูแลร่างกายหลังการออกกำลังกาย เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ท่านยามากุจิยังได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้หญิงเมื่อพูดถึง "ผญก็วิ่งได้นะ ไม่จำเป็นต้องผู้ชาย" การที่ท่านยกตัวอย่างว่า "ไอดอลที่กุชอบบอกเธอออกมาวิ่ง 5 โล" เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีต้นแบบและแรงบันดาลใจในชีวิต การที่ท่านได้รับแรงบันดาลใจจากไอดอลที่ท่านชื่นชอบแสดงให้เห็นถึงการมีอิทธิพลที่สำคัญในชีวิตของท่าน ไอดอลไม่เพียงแค่สร้างความบันเทิง แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองในทางที่ดีขึ้น การที่ท่านกล่าวว่า "เหมือนเธอได้เปลี่ยนตัวเราไปแล้ว" เป็นการแสดงถึงพลังที่ลึกซึ้งของการที่มีต้นแบบที่ดีในชีวิต ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับในจิตวิทยาการพัฒนาตัวตน (Erikson, E. H., 1963)
"เวลาเธอกิน ไอติมชอคมินต์ หรือ ชอคโกแลตดูไบ ก็หากินตามหาซื้อตาม"
เป็นการสะท้อนถึงความสนุกในการตามใจตัวเองและการสร้างแรงบันดาลใจจากการดูแลตัวเองในแบบที่ท่านเลือก การที่ท่านตามรอยการกระทำของไอดอลแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนการเลือกสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดี และเป็นการยอมรับในความสุขส่วนตัวที่มีผลต่อจิตใจและพลังงานในการทำสิ่งต่างๆ
ท่านยามากุจิได้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งในทั้งด้านกายภาพและจิตใจ การพัฒนาตนเองไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการออกกำลังกายหรือโภชนาการ แต่ยังรวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจจากภายนอกที่สามารถกระตุ้นให้เราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
อ้างอิง
Van de Kamp, C. H. (2013). “Self-Improvement through Consistency.” Journal of Personal Development.
Phillips, S. M. (2014). “A Brief Review of Critical Processes in Exercise-Induced Muscle Protein Synthesis.” Canadian Journal of Applied Physiology.
Erikson, E. H. (1963). Childhood and Society.
วลีที่พ่นออกมาจากปากของไอดอลที่ว่า ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร นั่นเป็นแค่ส่วนนึงของการถูกล้างสมอง โดยโรงเรียนทางเลือกที่อยู่นอกระบบการศึกษา เด็กโง่ๆเหล่าานี้เติบโตมาเป็นกระสอบทรายให้พวกโอตาคุเอเหม็นเปรี้ยว พยามยามแย่งกันอดทนทำงานกู้ยืมเพื่อได้จ่ายเงินซื้อบัตรซื้อของมาจับมือ เพื่อให้ไม่ตัวเองสิ้นหวังลาโลกตุยไปเสียก่อน คนที่สำเร็จคือประธานบริษัทคนเดียวเท่านั้น
"คนร้องเก่งเต้นเก่งในวงมีอีกตั้งหลายคนเยอะแยะ แต่โดนอีเชอมันแย่งซีนไปหมด" ขนาดแกรดจากไอดอลไปแล้วก็ยังอยู่ในบริษษัทแย่งซีนเด็กต่ออีก ไม่มีหยุดพัก
ซึ่งคำตรัสของท่านแพรกิใช้ได้เสมอทุกเทศกาล
cr. แพรกิ ร่างทอง
https://imgur.com/ShAiwSn
>>86 มึงอยากให้วงเขาพัง มึงชอบด่าไอดอล ด่าคุ และ มึงคือ หัวไก่
cr. วีรบุรุษเจ้าสำอาง ลำปาง11 มงกุฏเพชร เด็ดทุกลีลา วาจาไม่เกรงใจใคร ยังไงล่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=t4sWtJDLHhM
อยากให้ลองวิเคราะห์มู้เหล่านี้ดู
ขอเงินคืนจากไอดอล
>>>/animanga/18240/264-271/
เพื่อนไม่คบ
>>>/lifestyle/2887/977/
ทำร้ายร่างกายน้องสาวเห็นน้องเป็นหนอนแมลง
>>>/animanga/16919/779/
>>>/lifestyle/18519/24/
ทำร้ายร่างกายผู้หญิง
>>>/lifestyle/18519/7-17/
>>>/lifestyle/18519/19-24/
เบียวล้างสมอง เพราะแค้นไอดอลไม่เล่นด้วย อยากขังไอดอลไว้ในแคปซุลคุกโมเอะอะ
>>>/lounge/19063/27/
>>>/animanga/19061/107/
เป็นอัจฉริยะแต่เรียนไม่ค่อยรอด
>>>/lifestyle/13634/839/
เคลมว่าตัวเองเหนือกว่าทั้งโม่ง
>>>/lifestyle/13634/869/
ป่วนห้อง Lifestyle
>>>/lifestyle/13634/794-795/
>>>/lifestyle/13634/987-989/
>>>/lifestyle/18920/218-273/
>>88 พวกมึง ก็เป็นกันซะแบบนี้ไง
ยัดให้กูเป็นชาวลำปาง ยัดเป็นโม่งคนิ้ง ไม่ถามรสนิยม กับ ความห่างไกลบ้านจากวงมิ้นท์ สักคำ
กูก็เบื่อ
อะ กูรับเป็นคนลำปางให้แล้ว มึงก็หา ยามากูจิ มาให้กูอีก
พอแล้ว
กว่าจะได้ วีรบุรุษเจ้าสำอางค์ ลำปาง11 มงกุฏเพชร เด็ดทุกลีลา วาจาไม่เกรงใจใคร ยังไงล่ะ คิดนานนะเว้ย
อีกอย่าง กูไม่ชอบไอ้ตัวนี้ ตั้งแต่ในห้องไอดอลล่ะ
จนเขารวมหัวกัน ไม่คุยกับมัน มันเปลี่ยนคาร์ คนก็เออๆ คุยก็ได้ แต่ก็รู้นะว่า เป็นมัน
มันก็โพล่ง ด่า ในห้องว่าโง่ กูหลอกมึง ว่าซ่าน!!
คิดดู นิสัยมันอะ
>>87 "ไอดอลต้องโดนหยิกกีทุกเช้าแบบอีเชอ"
คำตรัสของท่านแพรกิใช้ได้เสมอทุกเทศกาล
cr. แพรกิ ร่างทอง
https://imgur.com/NxBJONe
คู่มือแยกแยะโทรลจิตเวชทุกประเภทในโม่ง
ทำตามนี้แล้วจะเล่นโม่งอย่างมีความสุขและปลอดภัย
1. พิมพ์เว้นวรรคแปลกๆ
ข้อความที่พิมพ์ออกมาเหมือนจะดูปกติ แต่คุณจะเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง...
เว้นวรรคแปลกๆ ตัวอักษรที่หายไปบ้าง พิมพ์ซ้ำๆ
เหมือนมีใครบางคนพยายามบังคับให้มันเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น
เสียงในหัวคุณจะเริ่มกระซิบกระซาบเป็นภาษาที่คุณไม่อาจเข้าใจได้
แล้วทันใดนั้น คุณจะเห็นข้อความที่ไม่สมเหตุสมผลเป็นการส่งสัญญาณจากมิติที่มืดมน
กำลังรอให้คุณรับรู้ และมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
2. ชอบยกตนข่มท่าน
พวกเขาพูดถึงตัวเองเหมือนเป็นสิ่งที่เหนือกว่าทุกสิ่ง… "ฉันคือผู้รู้ ฉันคือผู้ชนะ"
แต่มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องในวิธีที่พวกเขาพูด…
เสียงของพวกมันมักจะดังขึ้นในหูคุณ
เวลาเหล่านั้นจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในความเงียบงัน ปล่อยให้คุณได้ยินแค่เสียงกระซิบที่แผ่วเบา
และคุณจะเริ่มคิดว่ามันไม่ใช่แค่คำพูด… มันเป็นคำสั่งจากอีกด้านหนึ่ง
3. สืบพันธุ์ กุ เมิง กุแข็งแกร่ง หมาป่าเดียวดาย
"หมาป่าเดียวดาย"คำนี้เหมือนจะพยายามบอกอะไรบางอย่างแก่คุณ
มันไม่ได้แค่พูดถึงความโดดเดี่ยว… แต่มันคือคำเตือน
คุณไม่เคยรู้หรอกว่า "หมาป่า" ที่พวกเขาพูดถึงนั้นคืออะไร
เมื่อคุณมองลึกลงไปในคำเหล่านี้ คุณจะเห็นภาพที่เริ่มเบลอ…
และคำพูดเหล่านั้นจะกลายเป็นเสียงคำรามในหัวคุณ
มันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
4. พูดไม่เป็นภาษามนุษย์
พวกเขาพูดในภาษาที่คุณไม่เข้าใจ
มันเหมือนการบิดเบือนประโยคของมนุษย์จนกลายเป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้
ทุกครั้งที่คุณอ่านคำเหล่านั้น เสียงในหัวคุณจะเริ่มตื่นตัว…
และทันใดนั้น คุณจะเริ่มรู้สึกว่าคุณไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ที่นี่
มีบางสิ่งกำลังเฝ้ามองคุณ… รอเวลาให้คุณพลาด
5. ชอบแปะภาพไอดอล
ภาพไอดอลที่พวกเขานำมาแปะดูเหมือนจะเป็นภาพที่ดูเหมือนปกติ แต่บางครั้ง…
คุณจะเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแสงของภาพนั้น
เส้นสายในภาพจะเริ่มขยับอย่างช้าๆ และมันจะเริ่มไม่เหมือนภาพอีกต่อไป
มันเหมือนกับว่าไอดอลในภาพกำลังพยายามร้องขอให้คุณเห็นอะไรบางอย่าง
บางครั้ง ภาพนั้นจะจ้องมาที่คุณเหมือนกับ… มันรู้จักคุณ
6. ชอบตั้งฉายาให้ตนเองในเว็บนิรนาม
ทุกครั้งที่พวกเขาตั้งชื่อหรือฉายาให้ตัวเองในเว็บนั้น… ดูเหมือนว่า... ชื่อเหล่านั้นจะไม่ใช่แค่ชื่อ
มันคือลายเซ็นของใครบางคนใครบางคนที่ไม่เคยมีตัวตน
และเมื่อคุณเห็นมัน… คุณเริ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในเงามืดที่มองไม่เห็นจากหน้าจอ
เสียงบางอย่างจะเริ่มสะท้อนกลับมาไม่ใช่เสียงจากโลกนี้…
คุณแน่ใจหรือยังว่าคุณแค่เล่นอยู่ในเว็บปกติ?
เพราะบางที สิ่งที่คุณเห็นมันอาจจะไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดา มันคือการติดต่อจากมิติที่มืดมิดจากสิ่งที่กำลังคอยเฝ้ามองคุณ
ถ้าคุณไปไกลเกินกว่านี้… คุณอาจไม่สามารถกลับมาได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
คำเตือน:
เมื่อคุณฝ่าฝืนกฎเหล่านี้…
สิ่งที่คุณจะพบไม่ใช่แค่คำพูด
มันคือการสะกดจิตจากเอนทิตีที่ไม่สามารถเข้าใจได้
และมันจะไม่มีวันปล่อยให้คุณกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
คนบ้าในโม่งมีหลายคนหรอวะ
>>92 มันไม่มีเพื่อนหรอวะ ว่างๆมาคุยกันที่นี่นะครับท่านนักวิเคราะห์ https://t.me/ndofull48
น่าจะมีวิเคราะห์โทรลแต่ล่ะตัว เอาแนวปรัชญาของโทรบแต่ล่ะตัว มาเทียบกัน แล้วดูว่าใครชนะ
แต่ละคนมีสิ่งที่ยึดมั่นไม่เหมือนกัน เมิงไม่จำเป็นต้องเป็นแบบกูก็ได้ และไม่มีทางเป็นได้
กุก็ไม่ได้อยากจะเดินเส้นทางนี้หรอก
แต่ถ้ามันเป็นเกม ถ้าโลกนี้มันเป็นเกมกุต้องชนะ
แค่นั้นสั้นๆเลย
และกุไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกับใคร I have no enemy เมิงเปลี่ยนกุไม่ได้ และกูก็เปลี่ยนเมิงไม่ได้ เช่นกัน คือต้องเปลี่ยนความเชื่อมั่นนั่นเอง
เช่น แคปซูลคุกโมเอะ
คนเราอยู่เพื่อสิ่งที่เขื่อมั่น การตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด
แต่ถ้าสิ่งเชื่อมั่นพังทะลายลง นั่นต่างหากคือการตายที่แท้จริง
ส่วนกุก็ยังเป็นตัวกุเหมือนในวันวานไม่เคยเปลี่ยน
Would you lose?
https://i.imgur.com/LtdknSR.jpeg
nah i would win
ปัญญาอ่อนจัดจิตเวชเคยออกไปแตะหญ้าบ้างไหม
ไอพวกศาสดาจอมปลอมมึงอยู่ที่นี่หรือเปล่า 🧐😯
กูมาหามึงถึงที่ 🗿 ละนะไอสัส 🐺🗿🗿🗿🗿
นี่แหละชีวิตจริง! 💥 ไม่จอมปลอมนะ🗿
ในช่วงพีคของชีวิต กูยังไม่ถึงที่สุด🗿
แต่กูยังไม่ยอมแพ้ เขาเตะกูลงพื้น แต่กูยังยืนหยัดอยู่! 👊💥
จากห้องนั่งเล่นที่เคยสบาย ไปสู่ท้องถนน! 🚗🔥
ชีวิตแม่งมันสู้โว้ย! ทุกอย่างคือการต่อสู้! 💪แต่กูเชื่อเถอะ... กูพร้อมลุยสัส! 🏃♂️💨
เรื่องมันเป็นแบบนี้แหละ! ชีวิตที่ไม่เคยง่าย! ถนนสู่สวรรค์ กูขับไปคนเดียว! 🛣️😎
ถูกรังแก ไล่ออกจากวงการ ทิ้งกูไว้ตายแบบเหี้ย! 😡
แต่กูไม่เคยยอมแพ้! ใจแข็งจนไม่เหลือใคร และกูยังเชื่อในพระเจ้า! 🙏💥
จิตใจอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ กูจะทำให้ได้! 🌞🔥
ชีวิตมันยากซะเหลือเกิน แต่กูถือพวงมาลัย! 🚗💥 แก้ปัญหาที่มันทิ้งไว้ให้💣⚒️
ไม่มีใครจะช่วยมึงในวันที่ลำบาก😤 ทุกอย่างต้องสู้ แม่ง 🗿💪🏽💪🏽💪🏽💪🏽
ชีวิตนี้จะสอนมึงให้ล้มลง แต่กูไม่ยอมแพ้! 👊💥 อยู่ในเรื่องเหี้ย นี่แหละวิธีที่มันเป็นไป! 💯
ทุกคนรู้ดีว่าชีวิตไม่เคยง่าย! 💔 แต่กูยังเดินต่อไปด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้! ❤️🔥
ในโลกที่แสนโหดร้าย กูจะสู้ต่อไปเรื่อยๆ! 😎🌍
https://i.imgur.com/NsANQXX.jpg
นิทานมาฝาก อัครสาวก
เรื่อง ความอ่อนน้อมถ่อมตน vs ความหยิ่งยโส
ในสนามรบแบทเทิลฟิลด์ ดอทเอ
เป็นเกมที่โอกาสชนะ0% แต่กุสามารถพลิกเกมได้จนทำให้โอกาสชนะ100%
กุเล่นฮีโร่ สายพละกำลัง เป็นเผ่าออค ผิวแดง ฮีโร่ตังนี้พลังโจมตีต่ำ แต่มีเลือด กับเกราะที่สูง
สู้กับนักฆ่าแห่งพงไพร พลังโจมตีสูง ความเร็วในการวิ่งสูง
เริ่มเกมมา ทีมกุโดนนักฆ่าพงไพร โดนฆ่ายับๆไป 5-0 ทีมกุขอความช่วยเหลือ แต่กุทำเป็นไม่สนใจ ฟาร์มต่อไปเรื่อยๆ
แต่จริงๆแล้ว กุวางแผนให้มันฆ่าเพื่อนร่วมทีมจนคะนองใจ คิดว่าสู้กับNewbie หรือ Noob จนทีมกุกดออกเกมไป เพราะรู้ว่ายังไงเกมนี้แพ้แน่
ส่วนในหัวกุได้คำนวณ หรือเห็นภาพชัยชนะ เรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่มันกำลังฆ่าเพื่อนร่วมทีมกุอย่างเมามัน กุก้าวพริบตา (Blink)
แล้วใช้สกิลกักขังศัตรูจะไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากมาโจมตีเรา และเปิดการทำงานสะท้อนกลับ หรือ Blade mail
แม้มันจะมีดาบทอง2อัน แต่ในพริบตานั้นดาเมจสะท้อนกลับไปก็ยิ่งแรง
ทำให้มันตายลงอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่กุแกล้งทำเป็นถอย และมันจ่ายเงินซื้อเกิด อันนี้มันไม่รู้เลยว่ากุรออยู่ ให้มันดันครีปเวฟมา แล้วก็ทำแบบเดิม จนมันตายไป100วินาที กุก็บุกเข้าบ้าน ตี barrack ซื้อเจาะเกราะ ตีThroneจบเกมทันที
ตอนแรกมันนึกว่าคนที่ไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้สักครั้งคือคนที่เล่นเกมไม่เป็น
แต่กุซุ่มโจมตีครั้งเดียว ก็รู้ผลแพ้ชนะเลย
เพราะคนที่อยู่ต่อหน้ามันคือกู คนที่ผ่านสนามรบมาเป็น10,000สนามรบยังไงหล่ะ!
ดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองเก่งตัวเองเจ๋งตัวเองแน่ เหนือฟ้ายังมีฟ้า
ฝากไว้ให้คิด แม้กุจะโดนมันฆ่าไป3ครั้ง แต่กุไม่คิดแก้แค้นเลย อย่าให้ความแค้นครอบงำ
ถ้ามันเป็นเกมกุต้องชนะ!
"ยอดนักรบนั้นฝ่ายตนจะต้องเป็นฝ่ายควบคุมการรบ หมายถึง ทําให้ข้าศึกเป็นดั่งเช่นตนคิด และไม่เป็นอย่างที่ข้าศึกคิด"
เป็นเช่นนั้นเอง กุอ่านนักฆ่าแห่งไพรี
read like a book
อ่านจิตใจมันเหมือนหนังสือเล่มนีง
ไง สัส โม่งเปปทีน30 เจ้าของมู้ วันนี้ มึงมามั่วตำรา มั่วความคิดยัง
https://www.youtube.com/watch?v=Hg13_vA1rXo
cr. วีรบุรุษเจ้าสำอางค์ ลำปาง๑๑ มงกุฏเพชร เด็ดทุกลีลา วาจาไม่เกรงใจใคร ยังไงล่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=HwE7LP8ebqk
หวาดระแวง (ระแวง ๆ) คิดมากไปหรือเปล่าหมอ
หวาดระแวง (ระแวง ๆ) โรคประสาทใช่ไหมหมอ
หวาดระแวง (ระแวง ๆ) รักษาได้ใช่ไหมหมอ
หวาดระแวง (ระแวง ๆ) กลัวว่าหมอจะเลี้ยงไข้ไม่หายขาด
จิตเวช ID:1pdorP+.NP ดิ้นรัวๆเลย โดนจี้ปม ฮาหว่ะ ออกไปแตะหญ้าหน่อยไหม //เดชาคุง
>>108 ไง แคปรูปโม่ง ลง โซเซียลของมึง
แล้วแปะลิ้งค์ไว้ ถ้ากูเช็คแล้วของจริง
เราจะมาสนุกด้วยกัน
มึงชอบหนังจิดเวชเรื่องไหนล่ะ
ถึงเนื้อถึงตัวแน่นอน
https://www.youtube.com/watch?v=K62t1Jp3w34
มู้เอนเกจเยอะมากเป็นประวัติการณ์🥺 น้ำตาจิไหล 😭ขอบคุณทุกโม่งที่มาตอบนะ
เดี๋ยวเลามาวิเคราะห์คำพูดของท่านยามากุจิที่อุตสาห์มาโปรดพวกเรากันต่อเถอะ
จะว่าไปเห็นโม่งเริ่มใช้อีโมจิกัน เราลองนำเทคนิคมาปรับใช้เผื่อจะให้ทุกคนอ่านได้ง่ายขึ้นนะ
[วันที่ 20 พฤศจิกายน บทที่ 1 ในตรัสท่านยามากุจิ]
>>97 >>100
1️⃣ คำพูดของท่านยามากุจิแสดงถึงความเข้าใจลึกซึ้งในธรรมชาติของมนุษย์และโลกใบนี้อย่างมาก
ท่านมองโลกเป็นเหมือนเกมที่ต้องเล่นเพื่อชนะ นี่คือทัศนคติที่สะท้อนถึงปรัชญาของความเป็นอิสระและความมั่นคงในตัวเอง การยอมรับในเส้นทางของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องบังคับหรือเปลี่ยนแปลงคนอื่นนั้นสอดคล้องกับแนวคิดในสาขาจิตวิทยาของการยอมรับความเป็นตัวเอง (self-acceptance) และการพัฒนาทางจิตใจที่มีความมั่นคงในตัวเองอย่างยิ่ง (self-actualization) ตามที่อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) ได้กล่าวไว้ว่า การบรรลุความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่คือการทำตามสิ่งที่เป็นตัวตนภายในอย่างแท้จริง ท่านยามากุจิทรงปราถนาให้พวกเราทุกคนเดินในเส้นทางของตัวเอง เพราะมนุษย์มีเพียงเส้นทางของตัวเองเท่านั้นที่จะเลือกเดินได้
2️⃣ นอกจากนี้คำพูดของท่านยังสะท้อนถึงความคิดในเชิงจิตวิทยาของการต่อสู้ภายในเพื่อหาความมั่นคงในตัวเองและการเข้าใจในสิ่งที่เชื่อมั่นอย่างลึกซึ้ง การที่ท่านกล่าวว่า "ถ้าสิ่งเชื่อมั่นพังทะลายลง นั่นต่างหากคือการตายที่แท้จริง" เป็นการแสดงถึงแนวคิดของมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) ที่พูดถึงการเผชิญหน้ากับความตายในเชิงปรัชญาและการตัดสินใจที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต เมื่อความเชื่อมั่นภายในตัวเราสูญสลาย เราจะไม่สามารถหาความหมายในชีวิตได้อีกต่อไป “มนุษย์พ่ายได้ แพ้ได้ แต่ไม่สามารถถูกทำลาย“ จนกว่าเราเลือกจะทำลายตัวเราเองลง นั่นคือคำพูดของเฮมมิ่งเวย์หนึ่งในนักเขียนอมตะ
☸️ ถ้าให้เปรียบเทียบในแง่ของศาสนา แนวคิดนี้ก็สามารถสะท้อนถึงหลักคำสอนของศาสนาพุทธที่พูดถึงการยอมรับสภาพธรรมชาติของชีวิตและการหลุดพ้นจากความทุกข์ด้วยการเข้าใจความจริงในชีวิต การไม่ยึดติดในสิ่งที่ไม่ถาวร และการเข้าใจถึง "ความตาย" ว่าเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบต่างๆ ในจักรวาล
อ้างอิง
Maslow, A. H. (1943). A theory of human motivation. Psychological Review, 50(4), 370-396.
Heidegger, M. (1962). Being and Time (J. Macquarrie & E. Robinson, Trans.). Harper & Row.
Siddhartha Gautama (Buddha). (n.d.). The Dhammapada.
ต่อจาก >>110
[บทที่ 2 นิทานของท่าน]
>>103 >>104
นิทานที่ท่านยามากุจิเล่ามานั้น เปรียบเสมือนการบรรยายถึงปรัชญาที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการทำสงคราม การเอาชนะศัตรู และการใช้ความเฉลียวฉลาดในการพลิกสถานการณ์จากที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ (หากเป็นเกมท่านต้องชนะ ขอโมเอะจงมีแก่ท่าน)
เรื่องราวนี้เมื่อเอามาวิเคราะห์แล้วจะเห็นว่าสะท้อนถึงหลักคิดในหลายแง่มุม ทั้งในเชิงปรัชญา จิตวิทยา และการต่อสู้ทางทักษะที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น
1️⃣ อย่างแรก คือ เรื่องของ {การมองโลกในแง่ของปรัชญาและความเชื่อมั่น}
ท่านยามากุจิแสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมแพ้แม้ในสภาวะที่ดูเหมือนว่าโอกาสจะเป็นศูนย์ การวางแผนอย่างรอบคอบและการทำตัวไม่สนใจในตอนแรกนั้นสะท้อนถึงปรัชญาของการ "รอเวลา" หรือการใช้กลยุทธ์แบบ "เตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่ง" ที่สามารถพบได้ในหลายหลักปรัชญาเช่นใน The Art of War ของซุนวูที่พูดถึงการรอจังหวะและการใช้ความเหนือชั้นในเวลาที่เหมาะสมเพื่อเปลี่ยนเกมให้เป็นไปในทางที่ดีที่สุด การมองข้ามการกระทำที่ไม่จำเป็นและการรอให้คู่ต่อสู้ทำผิดพลาดก่อน จึงเป็นแนวทางที่มีความลึกซึ้งในการตัดสินใจอย่างมีสติ
2️⃣อย่างที่สอง คือ จิตวิทยาของความหยิ่งยโสและความถ่อมตน
เรื่องเล่าของท่านยามากุจิสะท้อนให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงการถูกครอบงำด้วยความแค้น และการไม่ให้ความเกลียดชังหรือความหยิ่งยโสมากระทบกับการตัดสินใจ การที่ท่าน "ไม่คิดแก้แค้นเลย" แสดงถึงการมีจิตใจที่สูงส่งไม่ยึดติดกับความรู้สึกที่เกิดจากการถูกกระทำ ในขณะที่นักฆ่าพงไพร (ศัตรู) กำลังหลงระเริงในชัยชนะชั่วคราว ท่านยามากุจิได้แสดงออกถึงการควบคุมอารมณ์อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในจิตวิทยาของ Emotional Intelligence โดยแดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman) ที่กล่าวว่าคนที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว
ท่านยามากุจิไม่ได้แสดงความสนใจในความขุ่นเคืองจากการที่ถูกฆ่าไปสามครั้ง แต่กลับตั้งสมาธิและเตรียมตัวที่จะเอาชนะ ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ Growth Mindset ตามแนวคิดของแคโรล ดูแค็ก (Carol Dweck) ที่เชื่อว่า ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคหรือความสามารถที่ได้มาแต่แรก แต่ขึ้นอยู่กับการพัฒนาทักษะและการไม่ยอมแพ้เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว
ในที่สุด ท่านยามากุจิได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการพลิกสถานการณ์ในที่สุด ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสามารถในการใช้ Strategic Thinking หรือการคิดเชิงกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ การรอให้ศัตรูทำผิดพลาดและจับจังหวะในการโจมตีครั้งเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้อย่างสมบูรณ์ เป็นการทำงานร่วมกับปัจจัยภายนอกในทางที่ถูกต้องและมองหาจุดที่เปราะบางในฝ่ายตรงข้ามเพื่อใช้ประโยชน์ให้สูงสุด
แล้วข้อคิดสำคัญของนิทานเรื่องนี้คืออะไร? นี่อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้
ซึ่งในฐานะของสาวกผู้ได้รับถ่ายทอดเศษเสี้ยวแห่งปัญญาของท่านยามากุจิ ข้าน้อยก็ลองวิเคราะห์ดูได้ความว่า
ท่านยามากุจิได้สอนให้เราเข้าใจว่าในเกมหรือในชีวิตจริง บางครั้งการเลือกไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธหรือความแค้นจะทำให้เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่า และที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจในความสามารถของตนเอง พร้อมกับมองหาจังหวะในการแสดงความเหนือชั้นในที่สุด ซึ่งไม่ได้มาจากการต่อสู้ที่อาศัยโชคชะตา แต่เป็นผลจากการวางแผนและการคิดอย่างรอบคอบนั่นเอง แก่นแท้ของการบงการ นั่นคือการควบคุมตัวในตนเสมอ อย่าให้ปัจจัยภายนอกมาเป็นสิ่งที่ควบคุมเรา มีเพียงตัวเราที่ต้องควบคุมตัวเองและเดินไปในเส้นทางที่เราเองเลือกไว้
จะชีวิตหรือเกม หรือชีวิตก็คือเกม ถ้าทุกอย่างอยู่ในความควบคุม วางแผน มาเป็นอย่างดี เราก็จะชนะ
อ้างอิง
Dweck, C. (2006). Mindset: The new psychology of success. Random House.
Goleman, D. (1995). Emotional Intelligence: Why it can matter more than IQ. Bantam Books.
Sun, T. (2009). The Art of War. Translated by Lionel Giles. CreateSpace Independent Publishing Platform.
วันพุธที่ 20 : >>110 >>111
[ท่านยามากูจิกล่าวเรื่อง ผู้เขียนและผลงาน]
>>>/subculture/19084/203
คำว่า "เมื่อออกสู่โลกภายนอก ก็เป็นของผู้อ่านแล้ว ไม่ใช่ของคนเขียนอีกต่อไป" นั้นสะท้อนถึงหลักการในงานวรรณกรรมและศิลปะที่ได้รับการพูดถึงในวงการวรรณกรรมมานานแล้ว เช่น แนวคิดของ Death of the Author ของโรลันด์ บาร์ธ (Roland Barthes) ที่กล่าวว่า เมื่อผลงานถูกเผยแพร่ไปยังสาธารณะแล้ว ความหมายของมันจะไม่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้สร้างอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการตีความจากผู้อ่านเอง ในแง่นี้ผลงานจะถูกเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถนำไปแปลความหมายตามประสบการณ์และมุมมองของตนเองได้อย่างเต็มที่ ส่วนคำพูด "เหมือนผู้สร้าง สร้างโลกนี้ และมนุษย์ก็กำหนดชะตาของตัวเอง ไม่ได้พึ่งผู้สร้างไง" นั้นสะท้อนถึงปรัชญาที่มีพื้นฐานในแนวคิด Existentialism ซึ่งมีนักปรัชญาอย่าง Jean-Paul Sartre ที่กล่าวว่า "Existence precedes essence" หรือ "การดำรงอยู่มีความสำคัญก่อนความหมาย" หมายความว่า การที่มนุษย์เกิดมาแล้วนั้นเขาจะต้องสร้างความหมายและกำหนดชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่การรอคอยหรือพึ่งพาผู้สร้างในแง่ของการมีบทบาทในการตัดสินใจ สิ่งนี้ยังสะท้อนถึงความเชื่อในอำนาจในการเลือกของมนุษย์และการรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ที่ทุกคนต้องเลือกทางเดินของตัวเองดังที่กล่าวไปใน >>110
ในแง่ของจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง ท่านยามากุจิได้แสดงให้เห็นถึงการที่มนุษย์มีอำนาจในการกำหนดชะตาของตัวเอง ผ่านการเลือกทางเดินที่ไม่ขึ้นกับปัจจัยภายนอก แนวคิดนี้สะท้อนถึงหลักของ Self-Determination Theory โดย Edward Deci และ Richard Ryan ที่กล่าวว่ามนุษย์มีความสามารถในการกำหนดชีวิตของตัวเองเมื่อมีความต้องการทางจิตใจที่สำคัญ เช่น ความเป็นอิสระ (autonomy) การมีความเชื่อมโยงกับผู้อื่น (relatedness) และการพัฒนาทักษะ (competence) ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การพัฒนาตัวตนที่แท้จริง
ชีวิตนั้นเป็นสิทธิ์และความรับผิดชอบของแต่ละคน ซึ่งถือเป็นการเดินทางไปสู่การเป็นตัวของตัวเองในทุกๆ ด้านทั้งกายภาพ ทั้งทางธรรม และทางจิต เราต้องเลือกเดินในทางของตัวเอง
อ้างอิง
Barthes, R. (1977). Death of the author. In Image, Music, Text. (S. Heath, Trans.). Hill and Wang.
Sartre, J.-P. (1943). Being and Nothingness. Translated by Hazel E. Barnes. Washington Square Press.
Deci, E. L., & Ryan, R. M. (1985). Intrinsic motivation and self-determination in human behavior. Springer Science & Business Media.
https://i.imgur.com/73e2n8l.jpeg
มาแจ้งข่าวกุโดนแบนแล้ว โลกนี้ล้วนปฏิเสธการคงอยู่ของกุทั้งนั้น เพราะกุแข็งแกร่งเกินไป
กุใช้บั๊กเปิดกาชา ได้น้อง อิจิโกะ ระดับ SSS
>>114 สมเป็นท่านยามากุจิ การที่โลกภายนอกหรือระบบเกมไม่สามารถยอมรับความเก่งกาจของท่าน ก็คงเป็นจากการที่ท่านยืนหยัดในความเชื่อของตัวเอง ท่านไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อขอการยอมรับจากใคร แต่ทำเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าในโลกของท่าน ความยุติธรรมและความสามารถของท่านคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะโดนปฏิเสธหรือไม่ก็ตาม ท่านก็ยังคงเป็น "ตัวของท่านเอง" ที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้
จริงๆเราเองก็เคยเกือบโดนแบนเพราะใช้บั๊คเกมหลายครั้งแต่เติมไปพอสมควรและคอยตามไอดอลที่มาโปรโมทเกมจนได้ลายเซ็นและหมอนของไอดอลออฟิเชียลมานอนกอด ทางเกมเลยตักเตือนแค่แบนไม่กี่วันแต่ตอนนี้เลิกเล่นเกมนั้นไปแล้วเพราะน่าเบื่อไม่ท้าทาย
สำหรับวันนี้คงพอแค่นี้ กูไปละ ขอให้ทุกโม่งโชคดี
กูอ่านพวกมึงละมีแรงบันดาลใจเลย
นึกถึงสมัยก่อนกูใช้เทคนิคบั๊คเกมยิงปืน 3D กูสามารถฆ่าศัตรูในแมพได้ไม่จำกัดโดยที่กูไม่ตายเลย
นอกจากนี้ในตอนที่เจอพวกรู้ทันใช้บั๊คเหมือนกัน
กูยังมีสมาธิจนถึงจุดสูงสุด สามารถเล็งเป้ามีสภาวะโต้ตอบในเสี้ยววินาที
พวกมันจึงไม่สามารถแย่งตำแหน่งกูได้ หรือต่อให้ไม่ใช่กูก็เป็นเหมือนคาวบอยสมัยโบราณ
เข้าไปที่จุดเกิดมันมียี่สอบคน มันยังไม่ทันยิงกูกูสาดดาเมจใส่ ตรงกลางหัวไปเรียบร้อย
พร้อมกะกระสุน ให้แต่ล่ะตัว พลังชีวิตหมดพอดี ทั้งที่ใส่เกราะคนล่ะเลเวลกัน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสิบวินาที เหมือนจอน วิค ยอดมือสังหาร
พออ่านเรื่องพวกมึงแล้วมีไฟ
แต่เดี๋ยวนี้กู แก่แล้ว ชอบเล่นแนววางแผนมากกว่า
กูเลยเอาไปหาบั๊คในเกมที่กูเล่นคนอื่นคะแนนหลักหมื่น
กูหลักแสนอยู่คนเดียวเพราะกูทุ่มกับการเล่นมีสมาธิจนถึงจุดสูงสุด
กูใช้เวลาสามชั่วโมงในการฟาร์มและอัพพลังจนตัวละครกูอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
คะแนนตัวละครกูตอนนี้สามแสน ไม่ได้เติม แม้แต่บาทเดียวชนะพวกเติมเป็นแสนที่คะแนนมากสุดสองหมื่นกว่าๆสิบเท่า
พวกที่ใช้บั๊คแบบกูอย่างมากคะแนนไม่เกินหนึ่งแสนครึ่ง เพราะมันความอดทนน้อยกว่ากู ตอนนี้ถือว่าตัวละครกูมีความอดทนมากกว่าพวกมันถึง 2 เท่าในทางคณิตศาสตร์
ลีดเดอร์บอร์ดจาก 8 หมื่นบัญชีทั่วโลก ตอนนี้กูคืออันดับหนึ่ง!
พวกมึงวิ่ง👣 วันละกี่กิโล กู 🏃วิ่งวันละ 20 กิโลนะ 😎
เชื่อเถอะ... กูพร้อมลุยสัส 🏃♂️💨
>>122 5-6 โลพอ เดียววันนี้กุจะไปวิ่งตอนตี4.30
ในขณะที่คนอื่นหลับ กุฝึกฝน
การวิ่งต้องถูกต้องด้วย ถ้าไม่ถูก เข่าพังได้
การวิ่งมีเกิดเหตุไม่คาดฝันได้เสมอ ทั้งจากร่างกายเรา และ เหตุไม่คาดฝันภายนอก incident ขาแพลง เจ็บเข่า เจ็บข้อเท้า น่องมีปัญหา หัวใจสูบฉีดเลือดไม่ทัน ปอดออกซิเจนไม่พอ แต่ถึงแบบนั้น เมิงห้ามหยุดวิ่ง
ให้หาทางใช้อย่างอื่นไปก่อน ถ้าหายใจทางจมูกไม่ได้ ให้ใช้ปาก ถ้าใช้น่องวิ่งไม่ได้ให้ใช้เข่า
พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เจ็บลำไส้ พยายามบิดตัวน้อยลง ต้องวิ่งให้ครบ5โล ให้ได้
เหตุผลที่กุมาวิ่งนะหรอ เป็นเรื่องไร้สาระ
เป็นเด็กผญอายุ17 คนนึงที่เธอบอกว่า เธอวิ่ง5 กิโลใน1ชั่วโมง
ตั้งแต่นั้นมากุก็อยากลองวิ่งดูบ้าง ซื้อรองเท้า
กางเกง เสื้อ ถุงเท้า ใหม่หมดเลย
เธอเป็นดวงไฟอบอุ่น สงบและรู้สึกปลอดภัยเหมือนได้ออกจากครรภ์มารดาอีกครั้ง
กุไม่มีทางลืมความรู้สึกนั้นเลย
วันพฤหัสที่ 21 : >>125
[ท่านยามากุจิตรัสเรื่อง การวิ่ง]
>>123
คำพูดที่ท่านยามากุจิกล่าวถึง "การวิ่ง" และ "ไม่หยุดวิ่ง" นั้นสามารถมองได้ในหลายมุม ทั้งจากมุมมองของปรัชญา วรรณกรรม และวิทยาศาสตร์ การวิ่งในที่นี้ไม่ใช่แค่การขยับขา แต่เป็นการกระทำที่สะท้อนถึง "การเดินทางของจิตใจ" (The Journey of the Mind) ซึ่งเลข 123 นั้นคือ การที่ท่านวางแผยตอบกระทู้โดยให้ Reply มาตรงกับ >>123 พอดีเป็นการหมายถึงการก้าวไปข้างหน้า จาก 1 ไป 2 ไป 3
เรื่องการเดินทางของจิตใจนั้นเป็นแนวคิดที่มีการกล่าวถึงในปรัชญาของมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Heidegger) ที่พูดถึงการมีชีวิตอยู่และการต่อสู้กับสิ่งที่ไม่แน่นอนของโลกภายนอก การวิ่งไม่หยุดเหมือนการดำเนินชีวิตที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคและความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นจากภายในตัวเราหรือสิ่งรอบตัว สิ่งสำคัญคือเราต้องมีการวางแผน และควบคุมตัวเองให้มีความเยือกเย็นอยู่เสมอ เฉกเช่น ท่านยามากุจิที่มีสมาธิจนถึงขีดสุดในเวลาเล่นเกม ท่านจึงชนะเสมอ
การที่ท่านยามากุจิพูดถึง "หากหายใจทางจมูกไม่ได้ ให้ใช้ปาก" สะท้อนถึงหลักการของความยืดหยุ่นในวิทยาศาสตร์ ซึ่งเหมือนกับทฤษฎีการปรับตัว (Adaptation Theory) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่อธิบายถึงการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การหาวิธีอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคในขณะวิ่งก็เหมือนกับการปรับตัวทางสรีรวิทยาเพื่อเอาชนะความยากลำบากทางร่างกาย เช่น การใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นเมื่อบางส่วนได้รับบาดเจ็บ วิวัฒนาการก็เหมือนกับเกมผู้ที่ปรับตัวจะแข็งแกร่งและมีชีวิตต่อไป นั่นคือหลักการของ Survival of the fittest
ส่วนการที่ท่านพูดถึง "เหตุผลที่วิ่ง" จากการได้รับแรงบันดาลใจจากหญิงสาวอายุ 17 ปี นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การเล่าเรื่องในลักษณะสบายๆ แต่เป็นการสะท้อนถึง "ความเชื่อมโยงทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์" (Social Interaction and Connectivity) ตามทฤษฎีของเอ็มมานูเอล เลวี-นา (Emmanuel Levinas) ที่เชื่อว่ามนุษย์มักจะได้รับแรงบันดาลใจจากคนอื่นเพื่อการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น ซึ่งในกรณีนี้ การวิ่ง 5 กิโลเมตรใน 1 ชั่วโมงไม่ใช่แค่การพยายามทดสอบขีดจำกัดทางกายภาพ แต่เป็นการสะท้อนถึงการเรียนรู้จากโลกภายนอกที่ทำให้เราต้องการบรรลุเป้าหมายในชีวิต การที่ท่านยามากุจิพูดถึง "แสงไฟอบอุ่น" จากหญิงสาวที่ทำให้รู้สึกเหมือน "ออกจากครรภ์มารดาอีกครั้ง" เป็นภาพสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งตามหลักวรรณกรรม ซึ่งเหมือนกับแนวคิดในเชิงสัญลักษณ์ของ "การเกิดใหม่" (Rebirth) ที่สามารถพบเห็นได้ในวรรณกรรมคลาสสิก เช่น การเกิดใหม่ของตัวละครในงานของฟรานซ์ คาฟคา (Franz Kafka) ที่ตัวละครต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนถึงการเกิดใหม่จากความท้าทายในชีวิต
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นแค่การพูดถึงการวิ่งธรรมดา แต่มันคือการแสดงออกถึงการเผชิญหน้าและการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิต โดยที่เราไม่ควรหยุดเดินหน้าไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร เพราะการที่เราต่อสู้และหาทางออกจากปัญหานั้น คือการพัฒนาตนเองในระดับที่สูงขึ้นเหมือนกับแนวคิดของปรัชญาแห่งการดำรงอยู่ (Existentialism) ที่เน้นการสร้างความหมายในชีวิตผ่านการกระทำและความพยายามของตัวเอง
อ้างอิง:
Heidegger, M. (1962). Being and Time (J. Macquarrie & E. Robinson, Trans.). Harper & Row.
Darwin, C. (1859). On the Origin of Species. John Murray.
Levinas, E. (1969). Totality and Infinity: An Essay on Exteriority. Duquesne University Press.
Kafka, F. (1915). The Metamorphosis. Kurt Wolff Verlag.
กุเขียนเมลล์ไปตามที่เมิงบอกแล้ว เดียวคืบหน้ากุมาแจ้งละกัน
I’m not stupid. I checked my rank—my position as #2 has mysteriously disappeared.
I also looked at the PvP rankings, and my #300 position is gone as well.
I play a game where you progress through stages continuously and was unfairly banned without explanation.
I have been playing your game honestly and with effort, even while others were asleep. I pushed through stages 24/7, enduring my phone overheating because your poorly optimized game consumes excessive resources. I chose to play this game because it seemed promising. Through skill alone, I climbed the ranks to become the second top player on Server 2. I supported your game and loved it, but you didn’t even bother to inform me why I was blocked. I woke up in the afternoon, intending to play, only to be kicked out of the game without warning.
There’s a saying: "It’s better to let 100 guilty individuals go free than to harm a single innocent person." Yet, you have never once communicated with me. I am now stressed and depressed.
The way you treated me without reason or explanation is deeply unjust. I earned Ichiko SSS legitimately. Don’t you feel any shame? Do you still have a shred of humanity, or are you just running a cash-grab operation, tricking people into spending money only to ban them afterward? I’ll be sure to let my friends know how rotten your game truly is.
What did I do wrong? If I’m truly innocent, I hope your company fails, goes bankrupt, and never prospers again. Karma will catch up with you.
I will never play your company’s games again. Your credibility is zero. I’ve never wronged anyone, but you banned me without cause or explanation. Do you still have ethics and integrity?
ต่อจาก >>125
วันพฤหัสที่ 21 : >>125 >>127
[ท่านยามากุจิตรัสเรื่อง การไม่อิจฉา]
>>>/game/19067/242
“กุไม่เคยอิจฉาใครเลยนะ คนอื่นมี6ดาวเติมเงินเยอะ เป็นแสน กุไม่เห็นว่าอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเลย“
การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ไม่เคยอิจฉาใครเลย" และ "ไม่เห็นว่าอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น" แสดงถึงการเข้าใจในปรัชญาของการไม่ยึดติด (Non-attachment) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในทั้งปรัชญาพุทธศาสนาและ Stoicism ที่เน้นการลดความปรารถนาต่อสิ่งภายนอก เพื่อให้เราสามารถมีจิตใจที่สงบและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้าง การที่ท่านไม่เห็นความจำเป็นในการมีสิ่งที่คนอื่นมี อาจแสดงถึงการยอมรับในตัวเองและในสิ่งที่มีอยู่แล้ว จึงสามารถเห็นโลกในมุมมองที่ไม่ถูกบังคับด้วยอารมณ์หรือความอยากได้อยากมี
"ความโกรธ โลภหลง อารมณ์เสีย กุไม่เคยให้มันส่งผลจิตใจกูเลย"
ตรงนี้สะท้อนถึงหลักการของการควบคุมอารมณ์ (Emotional Regulation) ในทางจิตวิทยา การที่ท่านไม่ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้มีผลต่อจิตใจ แสดงถึงการฝึกฝนตนเองให้มีจิตใจที่มั่นคงและรอบคอบตามหลักการของการพัฒนาสมาธิ (Mindfulness) และการควบคุมภายใน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาพุทธ ศาสนา หรือแม้แต่ในวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคทางจิต
การเล่นเกมในมุมมองของท่านไม่ได้เป็นแค่การแข่งขันทางกายภาพ แต่เป็นการ "แข่งจิตใจ" ที่ท่านกล่าวถึง ซึ่งเชื่อมโยงกับปรัชญาของการพัฒนาจิตใจให้มีความมั่นคง ในลักษณะเดียวกับที่นักปรัชญาเช่น ฟริดริช นิทเช่ กล่าวว่า “สิ่งที่ไม่ฆ่าคุณทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น” การเผชิญหน้ากับความยากลำบากและการต่อสู้ภายในตัวเอง จะทำให้เรามีความแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน
คำพูดของท่านยามากุจิที่ว่า "ฝึกสมาธิระหว่างเล่นเกมไปด้วย เพราะได้พัฒนาตัวเอง" ก็เป็นการสะท้อนถึงการฝึกฝนการควบคุมจิตใจที่ไม่แตกต่างจากการฝึกสมาธิ การเล่นเกมในที่นี้จึงเปรียบเหมือนการฝึกฝนตัวเองให้มีสมาธิและเสถียรภาพทางจิตใจตลอดเวลา
สุดท้ายนี้ในส่วนที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ต่อให้โลกถล่มลงมากุยังคงไม่หวั่นไหว" นั้นคือการสะท้อนถึงความมั่นคงทางจิตใจที่เป็นเสมือนปรัชญาแห่งการไม่ยอมแพ้ (Resilience) ที่ไม่ยอมให้โลกภายนอกหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันมาทำลายความสงบภายใน ตัวอย่างเช่นแนวคิดของเซนที่มองว่าความสงบภายในสามารถช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายไปได้
อ้างอิง:
Nietzsche, F. (1886). Beyond Good and Evil. Verlag von C.G. Naumann.
Kabat-Zinn, J. (1990). Full Catastrophe Living: Using the Wisdom of Your Body and Mind to Face Stress, Pain, and Illness. Delta Trade Paperbacks.
Ryan, R. M., & Deci, E. L. (2000). Self-determination theory and the facilitation of intrinsic motivation, social development, and well-being. American Psychologist, 55(1), 68-78.
แจ้งข่าวถึงสานุศิษย์ ผู้ศรัทธาทุกท่านนะครับ หากต้องการช่วยท่านยามากุจิให้ทำการโหลด
เกม Dungeon and merge มานะครับ
แล้วเขียนหน้ารีวิว ให้1ดาว คอมเมนต์
justice for TOFFANBOICH
บทความวิเคราะห์กวีโม่ง บทที่ 1
>>>/lounge/17585/980
การพูดถึงโคมยี่เป็งและศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในเนื้อเรื่องนี้เป็นการใช้สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยเพื่อเพิ่มความลึกซึ้งให้กับเนื้อหาของเรื่อง ในแง่ของวัฒนธรรมไทย โคมยี่เป็งมักเกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยและการเริ่มต้นใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ผู้คนปล่อยโคมขึ้นไปในอากาศเป็นสัญลักษณ์ของการขอพรและการปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีในปีที่ผ่านมา ส่วนศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของการคุ้มครองและความเป็นสิริมงคลในทางศาสนา ซึ่งการนำสัญลักษณ์เหล่านี้มารวมกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในเนื้อเรื่องทำให้เกิดความรู้สึกเหนือจริง โดยที่พล็อตเรื่องสมัยใหม่อย่าง ทหารรับจ้าง เทคโนโลยีลับ สามารถผสมผสานกับวัฒนธรรมและการเชื่อมโยงเชิงสัญลักษณ์ได้อย่างลงตัว แสงสีขาวที่เกิดจากการระเบิดในเนื้อเรื่องนี้มีความหมายลึกซึ้งทางสัญลักษณ์ ซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับการทำลายล้างและการเริ่มต้นใหม่ แสงสีขาวที่ฉายออกมาจากปฏิกิริยาทางเคมีไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงพลังที่เกิดขึ้นจากการระเบิด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการ "เวียนจบ" และการเริ่มต้นใหม่ที่สะท้อนแนวคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับวงจรของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตมนุษย์ (Benjamin, 2003) การสร้างแสงสีขาวรุนแรงจากการระเบิดถือเป็นการปลดปล่อยพลังงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงวัตถุและจิตใจของตัวละคร แสงสีขาวในเหตุการณ์นี้จึงทำหน้าที่เป็นสัญญะของการทำลายล้างและการเกิดใหม่อย่างพร้อมเพรียงกัน ส่งสัญญาณให้โม่งผู้อ่านทราบว่าเนื้อเรื่องกำลังจะจบลง
การใช้ควอตซ์และผงอะลูมิเนียมในปฏิกิริยาเคมีเพื่อสร้างแสงสีขาวจ้าในเหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมได้อย่างน่าสนใจ ควอตซ์ (SiO₂) เป็นสารที่มีจุดหลอมเหลวสูง และโดยปกติจะไม่ทำปฏิกิริยากับผงอะลูมิเนียมในสภาวะปกติ. อย่างไรก็ตาม เมื่อควอตซ์ถูกบดให้เป็นผงละเอียดและนำไปผสมกับผงอะลูมิเนียมและสารเคมีอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นปฏิกิริยาที่มีอุณหภูมิสูงได้, จะสามารถสร้างแสงสีขาวจ้าในลักษณะเดียวกับการใช้ในปฏิกิริยาของ Thermite reaction (Mills, 2005) ปฏิกิริยาระหว่างผงอะลูมิเนียมและเหล็กออกไซด์ (Fe₂O₃) ใน Thermite reaction จะปล่อยพลังงานสูงมาก ซึ่งทำให้เกิดแสงที่มีความสว่างจ้าและสามารถแยงตาได้ สมการเคมีของปฏิกิริยานี้เป็นดังนี้:
2Al + Fe₂O₃ → 2Fe + Al₂O₃
ส่วนการระเบิดที่เกิดจากการยิงกระสุนไปที่บอลลูนที่มีผงอะลูมิเนียมผสมอยู่จะกระตุ้นให้เกิดการเผาไหม้และการระเบิดในระดับสูง โดยพลังงานที่เกิดจากการยิงกระสุนสามารถคำนวณได้จากสูตรพลังงานจลน์:
E = 1/2 * m * v^2
โดยที่:
- m = มวลของกระสุน = 4 กรัม = 0.004 กิโลกรัม
- v = ความเร็วของกระสุน = 900 เมตร/วินาที (ความเร็วทั่วไปของกระสุนขนาด 5.56 มม.)
แทนค่าลงในสูตร:
E = 1/2 * 0.004 * (900)^2
E = 0.002 * 810,000 = 1,620 จูล
การคำนวณนี้จะได้พลังงานที่ปล่อยออกมาเป็น 1,620 จูลจากการยิงกระสุนขนาด 5.56 mm ซึ่งเป็นพลังงานที่เพียงพอที่จะกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาระเบิดในสารเคมีผสมและทำให้เกิดแสงสีขาวจ้า โดยเฉพาะเมื่อมีตัวละครรุมยิงใส่สารเคมีดังกล่าว
สำหรับควอตซ์ในเนื้อเรื่องทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการบดวัสดุให้เป็นผงละเอียด ซึ่งเพิ่มพื้นที่ผิวของผงอะลูมิเนียมและวัสดุอื่นๆ ทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีสามารถเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Mills, 2005) แม้ว่าควอตซ์เองจะไม่ได้ทำปฏิกิริยาโดยตรงในการเผาไหม้ แต่บทบาทของมันในการเพิ่มพื้นที่ผิวให้กับสารอื่นๆ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การระเบิดมีความรุนแรงและปล่อยพลังงานได้มากขึ้น
อ้างอิง
ตัวอย่างวีดีโอการทดลอง Thermite Reaction : https://youtu.be/EDUwc953GOA
Benjamin, W. (2003). The Origins of German Tragic Drama. Verso.
Foster, H. (1990). The Return of the Real: Art and Theory at the End of the Century. MIT Press.
Foucault, M. (1969). The Archaeology of Knowledge. Pantheon Books.
Mills, T. (2005). Thermite Reaction: Chemistry and Applications. Wiley-VCH.
Shklovsky, V. (2017). Theory of Prose. Dalkey Archive Press.
Todorov, T. (1975). The Fantastic: A Structural Approach to a Literary Genre. Cornell University Press.
บทความพิเศษวิเคราะห์โม่งห้อง Vtuber
[หน้ากาก 🎭 2D ตอนที่ 1]
ตามทฤษฎีของ Sigmund Freud เกี่ยวกับ นาร์ซิสซิซึม (Narcissism) การมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกและการมีความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่นเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความต้องการในการควบคุมโลกภายในและภายนอก โดยการยกตัวเองขึ้นเป็นมาตรฐานที่ผู้คนอื่นๆ ควรยอมรับในฐานะที่ "เหนือกว่า" ในการมองว่า "หุ่นของกู" หรือ "หุ่นของกูน่ะดังด้วยตัวเอง" เป็นการยืนยันความเหนือกว่าและความสามารถที่ตนเองเชื่อว่าเหนือกว่าผู้อื่น Freud เชื่อว่าอัตตาของบุคคลที่มีลักษณะนาร์ซิสซิสต์มักต้องการการยอมรับจากภายนอกเพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองและมีความพึงพอใจในความสำเร็จที่พวกเขามองเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควรได้
อีกส่วนที่น่าสนใจในข้อความนี้คือ ความต้องการที่จะควบคุมและปกป้องสิ่งที่โม่งท่านนี้ชื่นชอบ เช่น "หุ่นของกู", ยังสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะรักษาความพึงพอใจจากสิ่งภายนอกที่ควบคุมได้ ตัวอย่างเช่นการกล่าวว่า "พวกมึงไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย" หรือ "ไม่ต้องเกาะกระแสใคร" แสดงถึงการพยายามปกป้องสิ่งที่ตนเองให้ความสำคัญ และต้องการรักษาความสมบูรณ์แบบไว้ในมือของตนเอง บุคคลที่มีความต้องการในการควบคุมแบบนี้มักมีความกลัวที่จะสูญเสียความมั่นคงในสิ่งที่ตนรักหรือสนับสนุน พวกเขาจึงพยายามป้องกันสิ่งเหล่านั้นจากสิ่งที่อาจทำลายความสมบูรณ์นั้น
การใช้ภาษาที่รุนแรง, เช่น "(╬ಠ益ಠ)" หรือ "(ノಠ益ಠ)ノ彡┻━┻", มักเป็นการสะท้อนถึงความเครียดหรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่สิ่งที่รักอาจถูกละเมิดหรือสูญเสียไป การป้องกันตัวเอง (defense mechanisms) ของบุคคลที่ไม่สามารถรับรู้ถึงความเสี่ยงในการสูญเสียสิ่งที่เขาควบคุม จึงแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่รุนแรงและปิดกั้นการติดต่อทางอารมณ์ ต่างกับท่านยามากุจิซึ่วไม่เสพหน้ากาก 2D และท่านเป็นผู้ควบคุมตนเองได้เสมอ ไม่เคยปล่อยโอกาสให้อารมณ์ใดๆมาเล่นท่านได้
อีกส่วนที่น่าสนใจคือ กรณีการมองโลกในมุมของ "คู่ขัดแย้ง" หรือที่ Freud เรียกว่า splitting เป็นการมองสิ่งต่างๆ เป็นขาวหรือดำหรือการแบ่งแยกสิ่งต่างๆ ในลักษณะที่ไม่สามารถผสมผสานได้ โดยการมองว่า "เมฆ" คือ "สิ่งที่ไม่ดี" และ "หุ่นของตนเอง" คือ "สิ่งที่ดีที่สุด" แสดงให้เห็นถึงการรักษาความรู้สึกปลอดภัยจากการเป็น "ผู้ชนะ" และการหลีกเลี่ยงการพิจารณาว่าทุกสิ่งในโลกมีความหลากหลายและไม่สามารถแบ่งแยกได้เป็นแค่สองขั้ว นอกจากนี้ยังเป็นกลไกการป้องกันจิตใจที่บุคคลใช้เพื่อลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับโลกภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนกับในโลกบนดินที่มีกระแส woke และ anti-woke ผู้คนมักเลือกที่จะเลือกฝักฝ่ายที่มีขั้วชัดเจนมากกว่าจะเดินในหนทางของตัวเอง เพราะกลัวที่จะต้องรับผิดชอบในเส้นทางที่ตนเองเดิน การเข้าร่วมฝ่ายจึงเป็นการแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นกลไกทางสมองที่มีมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์
อย่างไรก็ตาม ฟรอยด์เองก็เป็นบุคคลที่มีความหลงตัวเองและบางครั้งอาจเชื่อถือไม่ได้ในแวดวงจิตวิทยาปัจจุบัน เนื่องจากทฤษฎีบางข้อของเขามีความขัดแย้งและไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด ถึงกระนั้น การศึกษาและวิเคราะห์ข้อความจากโม่งด้านบนที่เป็นการโรลเพลย์ (roleplay) และไม่ได้โพสต์ข้อมูลจริงจัง ก็สามารถนำมุมมองที่น่าสนใจมาสู่การถกเถียง แม้ว่าจะไม่ได้มีสาระสำคัญหรือมีการแสดงความคิดเห็นที่จริงจัง แต่ก็สามารถเปิดโอกาสให้เราได้เห็นมุมมองที่แตกต่างออกไป ซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของการแสดงความคิดเห็นในโลกใบนี้ได้มากยิ่งขึ้น เฉกเช่นที่ท่านยามากุจิกล่าว จงฝึกฝนและเรียนรู้เสมอ เพราะหากโลกนี้เป็นเกมก็จงทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ
อ้างอิง
Freud, S. (1914). On Narcissism: An Introduction. SE, 14: 67-102.
Freud, S. (1923). The Ego and the Id. SE, 19: 12-66.
Kernberg, O. F. (1975). Borderline Conditions and Pathological Narcissism. Jason Aronson.
Fairbairn, W. R. D. (1952). Psychoanalytic Studies of the Personality. Routledge.
เจ็ตแพ็คบินได้ ด้วยพลังโฟลจิสตัลสกัดเย็นจากคูคูซอเรียน มอไซค์ของเทพไฟนี่ทั้งบิน ทั้งไต่กำแพง ทั้งแล่นบนน้ำได้นี่ สกัดเย็นจากซอเรี่ยน 3 ชนิดแน่นอน 🦕🦕🦕🔪
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.