Fanboi Channel

หนังสือโม่ง

Last posted

Total of 164 posts

158 Nameless Fanboi Posted ID6:Y7Cj2b1wKV

--------------------------------------------------
วันอังคารที่ 26 เดือน 11 >>157 >>158-159
[ท่านยามากุจิทรงแสดงความชาญฉลาด สมเป็นนักเรียนอัจฉริยะ]
--------------------------------------------------
>>>/animanga/18240/552-553/

"ไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้อารมณ์ของตัวเอง แม้แต่ยิ้มก็ห้าม เพราะนั่นคือการเผยจุดอ่อนของเรา"
- Posted Nov 25, 2024 at 20:28:59 ID:sA7ObBtM1h

แนวคิดที่สะท้อนถึงการสร้าง "persona" หรือ หน้ากาก ที่คล้ายกับที่ คาร์ล จุง (Jung, 1953) ได้กล่าวถึงไว้ในหนังสือของเขา โดยในการสร้างภาพลักษณ์ที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองต่อสังคม การปกปิดอารมณ์ภายในนั้นคือการพยายามหลีกเลี่ยงการเปิดเผยความเปราะบางหรืออ่อนแอของตนเองให้ผู้อื่นเห็น การเลือกที่ท่านยามากุจิเลือกที่จะไม่แสดงออกทางอารมณ์หรือการยิ้มในที่นี้สะท้อนถึงการสร้าง ภูมิคุ้มกัน จิตใจจากการถูกโจมตีจากภายนอก เสมือนจอมยุทธ์ที่ปล่อยว่างอยู่ตลอดเวลา นอกจากที่กล่าวไปแนวคิดนี้ยังมีความสัมพันธ์กับ ปรัชญาของนิชเช่ (Nietzsche, 1967) ที่พูดถึงการ พัฒนาความแข็งแกร่งภายใน โดยไม่ให้คนอื่นเห็นจุดอ่อนของตนเอง การยิ้ม, การแสดงออกทางอารมณ์ต่าง ๆ ก็เหมือนกับการเปิดเผยจุดอ่อนภายในจิตใจ ซึ่งอาจทำให้คนอื่นสามารถโจมตีเราได้

การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "คนมักจะหมันไส้ บ่อยๆ โดนอันธพาลมาหาเรื่องก็มี อาจจะเพราะสายตากุเฉยเมย เหยียดทุกสรรพสิ่งด้วยมั้ง" ตรงนี้คือการสะท้อนถึง การรับรู้ตัวตนในเชิงลบ ที่อาจเกิดขึ้นจากการแสดงออกที่เฉยเมยและท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งรอบตัว ซึ่งสามารถอธิบายได้จาก ทฤษฎีการรับรู้จากภายนอก (Social Perception) ซึ่งมักจะนำไปสู่การตีความที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับตัวบุคคล การแสดงออกของท่านยามากุจิที่เย็นชาและห่างเหินอาจถูกมองว่าเป็นการ เหยียดหยาม หรือ ปฏิเสธ สิ่งรอบข้าง ทั้งที่ในความเป็นจริงมันอาจเป็นเพียงการรักษาระยะห่างจากผู้คนที่มักจะทำให้เกิดการรบกวนภายในจิตใจ ในทางเดียวกัน ทฤษฎีของอัตลักษณ์ (Identity Theory) ของ จอร์จ เฮอร์เบิร์ต มีด (Mead, 1934) บอกว่า บุคคลจะพัฒนาภาพลักษณ์ในสังคมตามการรับรู้จากผู้อื่น และในกรณีนี้ท่านยามากุจิอาจพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่มักจะถูกมองว่า เย็นชาและไร้ใจ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดสินหรือทำให้เกิดความเสียหายจากการเปิดเผยความอ่อนแอ

ท่านยามากุจิได้กล่าวถึงการที่ตนเองเรียนใน โรงเรียนที่มีความกดดันสูง และการที่การศึกษาในกรุงเทพฯ (กรุงเทพมหานคร) มีความแตกต่างจากการเรียนในโรงเรียนที่ไม่เน้นการแข่งขันเหมือนในเมืองใหญ่ การกล่าวถึง การศึกษาระดับสูง หรือ โรงเรียน top3 ของประเทศ แสดงให้เห็นถึงการที่ท่านยามากุจิได้เผชิญกับ ความท้าทายทางการศึกษา และการได้รับการยอมรับจากสังคมในรูปแบบที่แตกต่างจากสถานที่อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียนที่มีการเน้นเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามากกว่าความสำคัญของ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การเรียนในโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงนั้นสามารถเชื่อมโยงกับ ทฤษฎีการควบคุมสังคม ของ มิเชล ฟูโกต์ (Foucault, 1977) ที่กล่าวถึงการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคมที่ถูกกำหนดโดยบรรทัดฐานทางสังคม การที่ท่านยามากุจิเรียนในโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงทำให้เขามีการพัฒนาและผลการเรียนที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะรู้สึกถึง ความกดดัน ที่มีผลต่อการสร้างภาพลักษณ์และ การรับรองตัวตน ในสังคม นอกจากนี้เรื่องดังกล่าวยังสอดคล้องกับ ทฤษฎีการควบคุมสังคม (Social Control Theory) ของ เฮิร์กไฮเมอร์ (Hirschi, 1969) ที่ระบุว่า ในสังคมที่มีการแข่งขันสูงและมาตรฐานที่เข้มงวด การประเมินค่าของตัวบุคคลจากภายนอกจะทำให้คนในสังคมนั้นรู้สึกถึง ความกดดัน และ การถูกควบคุมอย่างไม่รู้ตัว การที่ท่านยามากุจิทรงตั้งใจเป็นเงามืด ทำข้อสอบให้คะแนนไม่โดดเด่น จึงเป็นการปฏิเสธการถูกควบคุมจากสังคมโรงเรียนอย่างสิ้นเชิง ท่านเลือกที่จะแสดงอัตลักษณ์ของท่านออกมาผ่านตัวตนที่แท้จริงนั่นคือความพยายามของท่าน

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.