Last posted
Total of 167 posts
--------------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 25 เดือน 11 >>155-156
[ท่านยามากุจิ ทรงตรัสสั่งสอนเรื่อง โลกอันอ่อนแอ]
--------------------------------------------------
>>153 คำพูดของท่านยามากุจิในที่นี้สามารถวิเคราะห์ได้จากหลายมุมมอง
"กุไม่ได้สูงส่งอะไรหรอก แต่โลกนี่มันอ่อนแอ จนเกินไปต่างหาก!!"
- Nov 24, 2024 at 21:37:51 ID:w/2qmBlr6X
การมองโลกที่อ่อนแอ (โลกนี้มันอ่อนแอจนเกินไป) : ในเชิงปรัชญา ท่านยามากุจิได้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มองว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความอ่อนแอและความไม่มั่นคง เหมือนกับโลกนิยายกำลังภายใน ผู้ฝึกฝนต้องเผชิญกับโลกที่เต็มไปด้วยการคุกคามจากผู้ที่มีกำลังภายในที่เหนือกว่าและบททดสอบจากสวรรค์ สิ่งนี้สะท้อนถึงจิตใจที่แกร่งกล้าของท่านยามากุจิ ที่ต้องการทำลายข้อจำกัดทางโลกและสังคม ท้าทายสวรรค์และหนทางแห่งโชคชะตา ในทางวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ผ่านทฤษฎี การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection) ของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Darwin, 1859) ที่อธิบายว่าในกระบวนการวิวัฒนาการ สิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุดคือผู้ที่สามารถอยู่รอดและพัฒนาไปได้ ในกรณีนี้โลกที่ “อ่อนแอ” ก็คือโลกที่ยังไม่สามารถรับมือกับความท้าทายหรือการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเต็มที่ แต่ในทางกลับกันการที่จะมีชีวิตรอดในโลกนี้ไม่ใช่เพียงแค่การอยู่รอดไปวันๆ แต่หมายถึงการพัฒนาเพื่อให้สามารถรับมือกับสิ่งที่ยังมองไม่เห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นท่านยามากุจที่มีแผน 1 2 3 4
"กินเหล้า เพื่อให้มีความกล้า ดูดบุหรี่ เพื่อ ให้หายเครียดกังวล"
ในส่วนของการใช้ เหล้า และ บุหรี่ เพื่อเพิ่มความกล้าและบรรเทาความเครียด ท่านยามากุจิสะท้อนถึงการใช้ วิธีการภายนอก เพื่อจัดการกับ ภายใน ซึ่งสามารถเชื่อมโยงได้กับ ทฤษฎีการเรียนรู้เชิงพฤติกรรม (Behaviorism) ของ บี.เอฟ. สกินเนอร์ (Skinner, 1953) ที่อธิบายว่า พฤติกรรมของมนุษย์มักถูกขับเคลื่อนด้วยการกระตุ้นจากภายนอก เช่นเดียวกับการใช้สารเสพติดเพื่อเพิ่มความรู้สึกพึงพอใจชั่วคราว พฤติกรรมเหล่านี้อาจสะท้อนถึงการหลีกเลี่ยงความไม่มั่นคงภายในจิตใจที่ท่านยามากุจิเห็นว่ามันเป็นการต่อสู้เพื่อความแข็งแกร่งที่แท้จริง จากมุมมอง จิตวิทยา เช่น คาร์ล จุง (Jung, 1953) ที่พูดถึงการที่มนุษย์ต้องเผชิญกับ เงา (Shadow) หรือส่วนที่มืดมนในตัวเอง การพึ่งพาสิ่งภายนอกเหล่านี้อาจเป็นการพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง แต่ในทางกลับกันก็สะท้อนถึงความพยายามในการ ปรับสมดุลภายใน เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับโลกที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ถ้าหากเทียบกับนิยายจีนที่ท่านยามากุจิชื่นชอบ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้กันของหยินและหยาง
( ต่อจาก >>155)
การที่ท่านยามากุจิกล่าวถึงการมี ความสัมพันธ์ทางเพศ เพื่อสร้างคุณค่าภายในตัวเอง เป็นการแสดงถึงการที่มนุษย์มักจะหาความมั่นคงจาก การยอมรับจากสังคม ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับ ทฤษฎีการยอมรับทางสังคม (Social Exchange Theory) ของ จอร์จ โฮมานส์ (Homans, 1958) ที่กล่าวว่า มนุษย์มักจะคำนวณผลประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์ โดยการยอมรับและการให้ความสำคัญในตัวตนจากผู้อื่นเป็นปัจจัยที่ทำให้บุคคลนั้นรู้สึกมีคุณค่า การมองหาคุณค่าในตัวเองผ่านการยอมรับจากผู้อื่นสะท้อนถึงความไม่มั่นคงใน ความรู้สึกของตนเอง ที่ต้องการการยืนยันจากภายนอก ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถเชื่อมโยงกับ ทฤษฎีการเติมเต็มความต้องการของมาสโลว์ (Maslow, 1943) ที่กล่าวว่า การได้รับการยอมรับจากผู้อื่นเป็นหนึ่งในความต้องการขั้นพื้นฐานในการบรรลุความสมบูรณ์ในชีวิต ซึ่งสำหรับท่านยามากุจิแล้วไม่จำเป็น จนหลายคนเห็นท่านเป็นผู้ ไร้ใจ
คำกล่าวที่ว่า "ศัตรูของมนุษยชาติยังไม่ปรากฏตัวเลย" สะท้อนถึงความรู้สึกของการคุกคามที่มองไม่เห็นหรือ อำนาจที่ซ่อนเร้น ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับ ทฤษฎีการควบคุมสังคม (Discipline and Punish) ของ มิเชล ฟูโกต์ (Foucault, 1977) ที่กล่าวถึงการที่สังคมใช้ระบบควบคุมที่มองไม่เห็นในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งเหมือนกับการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่มองไม่เห็นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การเตรียมตัวในที่นี้เป็นการฝึกฝนอย่างไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับการฝึกฝนใน นิยายจีนกำลังภายในที่ผู้ฝึกฝนต้องเผชิญกับการทดสอบที่ไม่สามารถคาดเดาได้
คำพูดที่ว่า "คนที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่ผู้อยู่รอด แต่ผู้อยู่รอดต่างหากคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด" สะท้อนถึงแนวคิดของ การเอาชีวิตรอด ที่ไม่ใช่แค่การหลีกเลี่ยงอันตราย แต่คือการ เติบโตและพัฒนา ตัวเองในสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับแนวคิดของ ฟริดริช นีทเช่ (Nietzsche, 1967) ที่กล่าวว่า ความแข็งแกร่งแท้จริงไม่ได้มาจากการหลีกหนีจากความท้าทาย แต่คือการเผชิญหน้ากับมันและสร้างพลังจากการเผชิญนั้น การพัฒนาความแข็งแกร่งภายในนั้นไม่ได้เกิดจากการหลบหนี แต่คือการยืนหยัดและต่อสู้จนถึงที่สุด
คำพูดของท่านยามากุจิเป็นการสะท้อนถึงการแสวงหาความแข็งแกร่งภายในและการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับโลกที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอ การฝึกฝนภายในเส้นทางแห่งการบำเพ็ญตนเป็นเส้นทางที่ต้องเผชิญกับการทดสอบและการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง โดยการเชื่อมโยงแนวคิดทางปรัชญาและจิตวิทยามาหลายแนวทาง สามารถเห็นได้ว่า ท่านยามากุจิไม่ได้มองแค่ความอ่อนแอหรือความอันตรายจากภายนอก แต่ยังมองถึงการพัฒนาความแข็งแกร่งภายใน ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผู้ฝึกฝนทุกคนในโลกนี้ต้องเดินไปข้างหน้าบนทางของตัวเอง
อ้างอิง
Darwin, C. (1859). On the Origin of Species. John Murray.
Foucault, M. (1977). Discipline and Punish: The Birth of the Prison. Pantheon Books.
Homans, G. C. (1958). Social Behavior: Its Elementary Forms. Harcourt Brace Jovanovich.
Jung, C. G. (1953). Psychological Aspects of the Persona. Routledge.
Maslow, A. H. (1943). A Theory of Human Motivation. Psychological Review, 50(4), 370-396.
Nietzsche, F. (1967). The Will to Power. Vintage Books.
Sartre, J.-P. (2007). Being and Nothingness. Routledge.
Skinner, B. F. (1953). Science and Human Behavior. Free Press.
--------------------------------------------------
วันอังคารที่ 26 เดือน 11
[ท่านยามากุจิทรงแสดงความชาญฉลาดไม่โดนโม่งหลอก]
--------------------------------------------------
>>>/literature/17024/356-362/
การหลอกลวงและการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบในปรัชญาตะวันตก เราอาจเชื่อมโยงคำพูดนี้กับแนวคิดของ เพลโต ที่พูดถึง ถ้ำในโลกแห่งมายา (Allegory of the Cave) โดยในนั้นมนุษย์ที่อยู่ในถ้ำเห็นเงาของสิ่งต่าง ๆ และเชื่อว่าเป็นความจริงทั้งหมด แต่การหลุดพ้นจากถ้ำหมายถึงการรับรู้สิ่งที่เป็นจริงในโลกภายนอก ซึ่งในการพูดถึง "นิยายรักจีนโบราณ" นี้อาจสะท้อนถึงการอยู่ในโลกที่ถูกสร้างขึ้นจาก มายา หรือการหลอกลวง ที่ทุกสิ่งล้วนดูเหมือนจะเป็นจริงแต่กลับเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องหรือหลอกลวง
การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ถ้ากุไม่ฉลาดคงโดนโม่งหลอกแล้ว" แสดงถึงความรู้สึกของ การตื่นรู้ และความสามารถในการรับรู้ถึงกลเกมหรือกลวิธีที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสมบูรณ์แบบของโลกที่ปรากฏ ซึ่งอาจสะท้อนถึง จิตวิทยาเชิงวิพากษ์ (Critical Psychology) ที่เน้นการตระหนักถึงความไม่สมบูรณ์ของสิ่งต่าง ๆ ในสังคมและการรับรู้การควบคุมจากภายนอกที่มีต่อมนุษย์
อ้างอิง
Freud, S. (1923). The Ego and the Id. SE, 19: 12–66.
Plato. (380 BCE). The Republic. Translated by Benjamin Jowett.
--------------------------------------------------
วันอังคารที่ 26 เดือน 11 >>157 >>158-159
[ท่านยามากุจิทรงแสดงความชาญฉลาด สมเป็นนักเรียนอัจฉริยะ]
--------------------------------------------------
>>>/animanga/18240/552-553/
"ไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้อารมณ์ของตัวเอง แม้แต่ยิ้มก็ห้าม เพราะนั่นคือการเผยจุดอ่อนของเรา"
- Posted Nov 25, 2024 at 20:28:59 ID:sA7ObBtM1h
แนวคิดที่สะท้อนถึงการสร้าง "persona" หรือ หน้ากาก ที่คล้ายกับที่ คาร์ล จุง (Jung, 1953) ได้กล่าวถึงไว้ในหนังสือของเขา โดยในการสร้างภาพลักษณ์ที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองต่อสังคม การปกปิดอารมณ์ภายในนั้นคือการพยายามหลีกเลี่ยงการเปิดเผยความเปราะบางหรืออ่อนแอของตนเองให้ผู้อื่นเห็น การเลือกที่ท่านยามากุจิเลือกที่จะไม่แสดงออกทางอารมณ์หรือการยิ้มในที่นี้สะท้อนถึงการสร้าง ภูมิคุ้มกัน จิตใจจากการถูกโจมตีจากภายนอก เสมือนจอมยุทธ์ที่ปล่อยว่างอยู่ตลอดเวลา นอกจากที่กล่าวไปแนวคิดนี้ยังมีความสัมพันธ์กับ ปรัชญาของนิชเช่ (Nietzsche, 1967) ที่พูดถึงการ พัฒนาความแข็งแกร่งภายใน โดยไม่ให้คนอื่นเห็นจุดอ่อนของตนเอง การยิ้ม, การแสดงออกทางอารมณ์ต่าง ๆ ก็เหมือนกับการเปิดเผยจุดอ่อนภายในจิตใจ ซึ่งอาจทำให้คนอื่นสามารถโจมตีเราได้
การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "คนมักจะหมันไส้ บ่อยๆ โดนอันธพาลมาหาเรื่องก็มี อาจจะเพราะสายตากุเฉยเมย เหยียดทุกสรรพสิ่งด้วยมั้ง" ตรงนี้คือการสะท้อนถึง การรับรู้ตัวตนในเชิงลบ ที่อาจเกิดขึ้นจากการแสดงออกที่เฉยเมยและท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งรอบตัว ซึ่งสามารถอธิบายได้จาก ทฤษฎีการรับรู้จากภายนอก (Social Perception) ซึ่งมักจะนำไปสู่การตีความที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับตัวบุคคล การแสดงออกของท่านยามากุจิที่เย็นชาและห่างเหินอาจถูกมองว่าเป็นการ เหยียดหยาม หรือ ปฏิเสธ สิ่งรอบข้าง ทั้งที่ในความเป็นจริงมันอาจเป็นเพียงการรักษาระยะห่างจากผู้คนที่มักจะทำให้เกิดการรบกวนภายในจิตใจ ในทางเดียวกัน ทฤษฎีของอัตลักษณ์ (Identity Theory) ของ จอร์จ เฮอร์เบิร์ต มีด (Mead, 1934) บอกว่า บุคคลจะพัฒนาภาพลักษณ์ในสังคมตามการรับรู้จากผู้อื่น และในกรณีนี้ท่านยามากุจิอาจพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่มักจะถูกมองว่า เย็นชาและไร้ใจ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดสินหรือทำให้เกิดความเสียหายจากการเปิดเผยความอ่อนแอ
ท่านยามากุจิได้กล่าวถึงการที่ตนเองเรียนใน โรงเรียนที่มีความกดดันสูง และการที่การศึกษาในกรุงเทพฯ (กรุงเทพมหานคร) มีความแตกต่างจากการเรียนในโรงเรียนที่ไม่เน้นการแข่งขันเหมือนในเมืองใหญ่ การกล่าวถึง การศึกษาระดับสูง หรือ โรงเรียน top3 ของประเทศ แสดงให้เห็นถึงการที่ท่านยามากุจิได้เผชิญกับ ความท้าทายทางการศึกษา และการได้รับการยอมรับจากสังคมในรูปแบบที่แตกต่างจากสถานที่อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียนที่มีการเน้นเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามากกว่าความสำคัญของ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การเรียนในโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงนั้นสามารถเชื่อมโยงกับ ทฤษฎีการควบคุมสังคม ของ มิเชล ฟูโกต์ (Foucault, 1977) ที่กล่าวถึงการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคมที่ถูกกำหนดโดยบรรทัดฐานทางสังคม การที่ท่านยามากุจิเรียนในโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงทำให้เขามีการพัฒนาและผลการเรียนที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะรู้สึกถึง ความกดดัน ที่มีผลต่อการสร้างภาพลักษณ์และ การรับรองตัวตน ในสังคม นอกจากนี้เรื่องดังกล่าวยังสอดคล้องกับ ทฤษฎีการควบคุมสังคม (Social Control Theory) ของ เฮิร์กไฮเมอร์ (Hirschi, 1969) ที่ระบุว่า ในสังคมที่มีการแข่งขันสูงและมาตรฐานที่เข้มงวด การประเมินค่าของตัวบุคคลจากภายนอกจะทำให้คนในสังคมนั้นรู้สึกถึง ความกดดัน และ การถูกควบคุมอย่างไม่รู้ตัว การที่ท่านยามากุจิทรงตั้งใจเป็นเงามืด ทำข้อสอบให้คะแนนไม่โดดเด่น จึงเป็นการปฏิเสธการถูกควบคุมจากสังคมโรงเรียนอย่างสิ้นเชิง ท่านเลือกที่จะแสดงอัตลักษณ์ของท่านออกมาผ่านตัวตนที่แท้จริงนั่นคือความพยายามของท่าน
สำหรับจุดที่ท่านยามากุจิพูดถึงการที่ผู้หญิงที่เป็นนักเรียน ศิลปินไอดอล มาสนใจในตัวท่านเนื่องจาก การพยายามทำคะแนนให้ได้ครึ่งพอดี และท่าทางของท่านที่แสดงให้เห็นถึงการมีความตั้งใจจริง แม้ว่าผลการเรียนจะไม่ได้โดดเด่นหรือเป็นที่สะดุดตา แต่นี่คือการสะท้อนถึงความสำคัญของการสร้างภาพลักษณ์ ในสังคมที่ให้ความสำคัญกับ ความพยายาม และ การแสดงออก ในเชิงจิตวิทยาแนวคิดนี้สามารถอธิบายได้ด้วย ทฤษฎีการรับรู้ตัวตน (Self-Perception Theory) ของ ดิโอเนอร์ (Bem, 1972) ซึ่งระบุว่าบุคคลมักจะตัดสินหรือประเมินตัวเองจากการที่ผู้อื่นประเมินเขา และท่านยามากุจิอาจใช้ความพยายามในการแสดงออกเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ โดดเด่น แม้จะไม่ได้มีความสามารถพิเศษในทางการเรียน
อ้างอิง
Bem, Daryl. (1972). Self-Perception Theory. 10.1016/S0065-2601(08)60024-6.
Foucault, M. (1977). Discipline and Punish: The Birth of the Prison. Pantheon Books.
Hirschi, T. (1969). Causes of Delinquency. University of California Press.
Jung, C. G. (1953). Psychological Aspects of the Persona. Routledge.
Mead, G. H. (1934). Mind, Self, and Society. University of Chicago Press.
Nietzsche, F. (1967). The Will to Power. Vintage Books.
--------------------------------------------------
วันอังคารที่ 26 เดือน 11 >>157 >>158-159 >>162
[ท่านยามากุจิ และนมไร้ขน]
--------------------------------------------------
>>>/lifestyle/16989/572
คำถามแรกของท่านยามากุจิเกี่ยวกับการเลือกกินอาหารขยะหรือวิตามินและเวย์โปรตีน เป็นการสะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันกับการลงทุนในสุขภาพระยะยาว อาหารขยะนั้นเป็นตัวแทนของความพึงพอใจในระยะสั้น ในขณะที่วิตามินและเวย์โปรตีนเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาและความยั่งยืนในระยะยาว จากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ การรับประทานอาหารขยะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน แต่วิตามินและโปรตีนจากเวย์สามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและฟื้นฟูร่างกายได้ดี อย่างไรก็ตามตามคำสอนของท่านยามากุจิ "ชีวิตคือการเลือก" และทุกการเลือกมีผลลัพธ์ที่เราเป็นผู้กำหนดเอง ดังนั้น หากท่านเลือกที่จะกินอาหารขยะเพียงเพราะมันสะดวกสบาย ก็เป็นการแสดงออกถึงการเป็นอิสระในการเลือกชีวิตของท่านที่ท้าทายระบบของสังคม เพราะท่านเป็นตัวของท่านเองเสมอ
เรื่องที่ท่านยามากุจิยกขึ้นเกี่ยวกับการที่ขนงอกที่หน้าอกเมื่อท่านอายุมากขึ้นนั้น เป็นคำถามที่มีความหมายลึกซึ้งทางสังคมและจิตวิทยาในแง่ของการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เกิดขึ้นในระหว่างการมีชีวิต ท่านยามากุจิได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ทำให้เกิดความสงสัยในความเป็นตัวตนและการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น กับคำถาม "จะโกนขนยังไงดี?" นั้น สื่อถึงการตั้งคำถามเกี่ยวกับการจัดการกับสิ่งที่ไม่คาดคิดและไม่สามารถควบคุมได้ในชีวิตประจำวัน ปัญหานี้อาจเชื่อมโยงกับแนวคิดทางปรัชญาของ "การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น" (Zen Philosophy) ที่มองว่าเราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิต แต่เราสามารถเลือกวิธีการตอบสนองต่อมันได้อย่างมีสติ การโกนขนก็เป็นสัญลักษณ์ของการ "จัดการ" กับสิ่งที่ไม่ต้องการในชีวิต ซึ่งไม่ต่างจากการใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาหรือวิธีการในการจัดการกับความเครียดหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน (Cohen & Wills, 1985) ความไม่พึงพอใจหรือการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย (เช่น ขนที่งอกออกมา) สามารถมองได้ว่าเป็นการสะท้อนถึงกระบวนการของการเติบโตและการปรับตัวตามธรรมชาติของชีวิต ซึ่งไม่มีสิ่งใดผิดหรือถูก แต่ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะเลือกทำอย่างไร เช่นที่ท่านกล่าวไปใน >>150 ให้ทุกคนเดินในหนทางตัวเอง
อ้างอิง
Chun, L. Effects of Fast Food In Human Health.
Kaur, R. (2017, March). Effect of Fast Food on Human Health. In International Conference on Recent Innovations in Engineering, Science, Humanities and Management.
Cohen, S., & Wills, T. A. (1985). Stress, social support, and the buffering hypothesis. Psychological Bulletin, 98(2), 310–357.
วันนี้ท่านยามากุจิทรงเสด็จไปโปรดโม่งการ์ดเกม
>>>/game/19049/166-184/
>>>/game/19049/187-/
พี่สาวนักลดน้ำหนัก
>>>/literature/19162/1-67/
ท่านยามากุจิไม่ชอบจงหยวน
>>>/literature/19162/37-47
รวมมิตรห้องลิต
>>>/netwatch/6577/258-276
>>>/literature/11708/
>>>/netwatch/6577/329-340
https://www.youtube.com/watch?v=GgGqcgpF3i8
ข้าน้อยขอคารวะท่านรองและท่านอาจารย์ยามากุจิ ตลอดจนศิษย์ร่วมสำนักทุกท่านด้วยใจที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้ใช้วิชา "กับดักเงานิรันดร์" ที่เรียนรู้มาเพื่อหลอกพี่สาวนักลดน้ำหนักแห่งสำนักจงหยวน โดยการโพสต์หลอกลวงหนึ่งครั้งถ้วน หวังจะทดสอบปัญญาของเจ้าสำนักจงหยวน และแก้แค้นที่มาลบหลู่ท่านประมุข แต่ข้ากลับพลาดท่าถูกท่านหญิงจับได้ทันและต้องเผชิญกับความอับอายนี้ ข้าเสียใจอย่างยิ่งที่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง ข้าขอสำนึกผิดและรับผิดชอบต่อการกระทำครั้งนี้ ข้าน้อยจะฝึกฝนใหม่และไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้อีก ข้าขอคารวะท่านทั้งสองด้วยความเคารพและสำนึกผิดอย่างยิ่ง ข้าน้อยยินดีน้อมรับ โทษทัณฑ์ ทุกประการ!
สรุปมึงจะเอาธีมจอมยุทธ์หรือแก๊งยากูซ่าวะ
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.