Last posted
Total of 130 posts
วันพฤหัสที่ 21 : >>125
[ท่านยามากุจิตรัสเรื่อง การวิ่ง]
>>123
คำพูดที่ท่านยามากุจิกล่าวถึง "การวิ่ง" และ "ไม่หยุดวิ่ง" นั้นสามารถมองได้ในหลายมุม ทั้งจากมุมมองของปรัชญา วรรณกรรม และวิทยาศาสตร์ การวิ่งในที่นี้ไม่ใช่แค่การขยับขา แต่เป็นการกระทำที่สะท้อนถึง "การเดินทางของจิตใจ" (The Journey of the Mind) ซึ่งเลข 123 นั้นคือ การที่ท่านวางแผยตอบกระทู้โดยให้ Reply มาตรงกับ >>123 พอดีเป็นการหมายถึงการก้าวไปข้างหน้า จาก 1 ไป 2 ไป 3
เรื่องการเดินทางของจิตใจนั้นเป็นแนวคิดที่มีการกล่าวถึงในปรัชญาของมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Heidegger) ที่พูดถึงการมีชีวิตอยู่และการต่อสู้กับสิ่งที่ไม่แน่นอนของโลกภายนอก การวิ่งไม่หยุดเหมือนการดำเนินชีวิตที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคและความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นจากภายในตัวเราหรือสิ่งรอบตัว สิ่งสำคัญคือเราต้องมีการวางแผน และควบคุมตัวเองให้มีความเยือกเย็นอยู่เสมอ เฉกเช่น ท่านยามากุจิที่มีสมาธิจนถึงขีดสุดในเวลาเล่นเกม ท่านจึงชนะเสมอ
การที่ท่านยามากุจิพูดถึง "หากหายใจทางจมูกไม่ได้ ให้ใช้ปาก" สะท้อนถึงหลักการของความยืดหยุ่นในวิทยาศาสตร์ ซึ่งเหมือนกับทฤษฎีการปรับตัว (Adaptation Theory) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่อธิบายถึงการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การหาวิธีอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคในขณะวิ่งก็เหมือนกับการปรับตัวทางสรีรวิทยาเพื่อเอาชนะความยากลำบากทางร่างกาย เช่น การใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นเมื่อบางส่วนได้รับบาดเจ็บ วิวัฒนาการก็เหมือนกับเกมผู้ที่ปรับตัวจะแข็งแกร่งและมีชีวิตต่อไป นั่นคือหลักการของ Survival of the fittest
ส่วนการที่ท่านพูดถึง "เหตุผลที่วิ่ง" จากการได้รับแรงบันดาลใจจากหญิงสาวอายุ 17 ปี นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การเล่าเรื่องในลักษณะสบายๆ แต่เป็นการสะท้อนถึง "ความเชื่อมโยงทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์" (Social Interaction and Connectivity) ตามทฤษฎีของเอ็มมานูเอล เลวี-นา (Emmanuel Levinas) ที่เชื่อว่ามนุษย์มักจะได้รับแรงบันดาลใจจากคนอื่นเพื่อการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น ซึ่งในกรณีนี้ การวิ่ง 5 กิโลเมตรใน 1 ชั่วโมงไม่ใช่แค่การพยายามทดสอบขีดจำกัดทางกายภาพ แต่เป็นการสะท้อนถึงการเรียนรู้จากโลกภายนอกที่ทำให้เราต้องการบรรลุเป้าหมายในชีวิต การที่ท่านยามากุจิพูดถึง "แสงไฟอบอุ่น" จากหญิงสาวที่ทำให้รู้สึกเหมือน "ออกจากครรภ์มารดาอีกครั้ง" เป็นภาพสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งตามหลักวรรณกรรม ซึ่งเหมือนกับแนวคิดในเชิงสัญลักษณ์ของ "การเกิดใหม่" (Rebirth) ที่สามารถพบเห็นได้ในวรรณกรรมคลาสสิก เช่น การเกิดใหม่ของตัวละครในงานของฟรานซ์ คาฟคา (Franz Kafka) ที่ตัวละครต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนถึงการเกิดใหม่จากความท้าทายในชีวิต
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นแค่การพูดถึงการวิ่งธรรมดา แต่มันคือการแสดงออกถึงการเผชิญหน้าและการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิต โดยที่เราไม่ควรหยุดเดินหน้าไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร เพราะการที่เราต่อสู้และหาทางออกจากปัญหานั้น คือการพัฒนาตนเองในระดับที่สูงขึ้นเหมือนกับแนวคิดของปรัชญาแห่งการดำรงอยู่ (Existentialism) ที่เน้นการสร้างความหมายในชีวิตผ่านการกระทำและความพยายามของตัวเอง
อ้างอิง:
Heidegger, M. (1962). Being and Time (J. Macquarrie & E. Robinson, Trans.). Harper & Row.
Darwin, C. (1859). On the Origin of Species. John Murray.
Levinas, E. (1969). Totality and Infinity: An Essay on Exteriority. Duquesne University Press.
Kafka, F. (1915). The Metamorphosis. Kurt Wolff Verlag.
กุเขียนเมลล์ไปตามที่เมิงบอกแล้ว เดียวคืบหน้ากุมาแจ้งละกัน
I’m not stupid. I checked my rank—my position as #2 has mysteriously disappeared.
I also looked at the PvP rankings, and my #300 position is gone as well.
I play a game where you progress through stages continuously and was unfairly banned without explanation.
I have been playing your game honestly and with effort, even while others were asleep. I pushed through stages 24/7, enduring my phone overheating because your poorly optimized game consumes excessive resources. I chose to play this game because it seemed promising. Through skill alone, I climbed the ranks to become the second top player on Server 2. I supported your game and loved it, but you didn’t even bother to inform me why I was blocked. I woke up in the afternoon, intending to play, only to be kicked out of the game without warning.
There’s a saying: "It’s better to let 100 guilty individuals go free than to harm a single innocent person." Yet, you have never once communicated with me. I am now stressed and depressed.
The way you treated me without reason or explanation is deeply unjust. I earned Ichiko SSS legitimately. Don’t you feel any shame? Do you still have a shred of humanity, or are you just running a cash-grab operation, tricking people into spending money only to ban them afterward? I’ll be sure to let my friends know how rotten your game truly is.
What did I do wrong? If I’m truly innocent, I hope your company fails, goes bankrupt, and never prospers again. Karma will catch up with you.
I will never play your company’s games again. Your credibility is zero. I’ve never wronged anyone, but you banned me without cause or explanation. Do you still have ethics and integrity?
ต่อจาก >>125
วันพฤหัสที่ 21 : >>125 >>127
[ท่านยามากุจิตรัสเรื่อง การไม่อิจฉา]
>>>/game/19067/242
“กุไม่เคยอิจฉาใครเลยนะ คนอื่นมี6ดาวเติมเงินเยอะ เป็นแสน กุไม่เห็นว่าอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเลย“
การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ไม่เคยอิจฉาใครเลย" และ "ไม่เห็นว่าอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น" แสดงถึงการเข้าใจในปรัชญาของการไม่ยึดติด (Non-attachment) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในทั้งปรัชญาพุทธศาสนาและ Stoicism ที่เน้นการลดความปรารถนาต่อสิ่งภายนอก เพื่อให้เราสามารถมีจิตใจที่สงบและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้าง การที่ท่านไม่เห็นความจำเป็นในการมีสิ่งที่คนอื่นมี อาจแสดงถึงการยอมรับในตัวเองและในสิ่งที่มีอยู่แล้ว จึงสามารถเห็นโลกในมุมมองที่ไม่ถูกบังคับด้วยอารมณ์หรือความอยากได้อยากมี
"ความโกรธ โลภหลง อารมณ์เสีย กุไม่เคยให้มันส่งผลจิตใจกูเลย"
ตรงนี้สะท้อนถึงหลักการของการควบคุมอารมณ์ (Emotional Regulation) ในทางจิตวิทยา การที่ท่านไม่ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้มีผลต่อจิตใจ แสดงถึงการฝึกฝนตนเองให้มีจิตใจที่มั่นคงและรอบคอบตามหลักการของการพัฒนาสมาธิ (Mindfulness) และการควบคุมภายใน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาพุทธ ศาสนา หรือแม้แต่ในวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคทางจิต
การเล่นเกมในมุมมองของท่านไม่ได้เป็นแค่การแข่งขันทางกายภาพ แต่เป็นการ "แข่งจิตใจ" ที่ท่านกล่าวถึง ซึ่งเชื่อมโยงกับปรัชญาของการพัฒนาจิตใจให้มีความมั่นคง ในลักษณะเดียวกับที่นักปรัชญาเช่น ฟริดริช นิทเช่ กล่าวว่า “สิ่งที่ไม่ฆ่าคุณทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น” การเผชิญหน้ากับความยากลำบากและการต่อสู้ภายในตัวเอง จะทำให้เรามีความแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน
คำพูดของท่านยามากุจิที่ว่า "ฝึกสมาธิระหว่างเล่นเกมไปด้วย เพราะได้พัฒนาตัวเอง" ก็เป็นการสะท้อนถึงการฝึกฝนการควบคุมจิตใจที่ไม่แตกต่างจากการฝึกสมาธิ การเล่นเกมในที่นี้จึงเปรียบเหมือนการฝึกฝนตัวเองให้มีสมาธิและเสถียรภาพทางจิตใจตลอดเวลา
สุดท้ายนี้ในส่วนที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ต่อให้โลกถล่มลงมากุยังคงไม่หวั่นไหว" นั้นคือการสะท้อนถึงความมั่นคงทางจิตใจที่เป็นเสมือนปรัชญาแห่งการไม่ยอมแพ้ (Resilience) ที่ไม่ยอมให้โลกภายนอกหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันมาทำลายความสงบภายใน ตัวอย่างเช่นแนวคิดของเซนที่มองว่าความสงบภายในสามารถช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายไปได้
อ้างอิง:
Nietzsche, F. (1886). Beyond Good and Evil. Verlag von C.G. Naumann.
Kabat-Zinn, J. (1990). Full Catastrophe Living: Using the Wisdom of Your Body and Mind to Face Stress, Pain, and Illness. Delta Trade Paperbacks.
Ryan, R. M., & Deci, E. L. (2000). Self-determination theory and the facilitation of intrinsic motivation, social development, and well-being. American Psychologist, 55(1), 68-78.
แจ้งข่าวถึงสานุศิษย์ ผู้ศรัทธาทุกท่านนะครับ หากต้องการช่วยท่านยามากุจิให้ทำการโหลด
เกม Dungeon and merge มานะครับ
แล้วเขียนหน้ารีวิว ให้1ดาว คอมเมนต์
justice for TOFFANBOICH
บทความวิเคราะห์กวีโม่ง บทที่ 1
>>>/lounge/17585/980
การพูดถึงโคมยี่เป็งและศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในเนื้อเรื่องนี้เป็นการใช้สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยเพื่อเพิ่มความลึกซึ้งให้กับเนื้อหาของเรื่อง ในแง่ของวัฒนธรรมไทย โคมยี่เป็งมักเกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยและการเริ่มต้นใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ผู้คนปล่อยโคมขึ้นไปในอากาศเป็นสัญลักษณ์ของการขอพรและการปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีในปีที่ผ่านมา ส่วนศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของการคุ้มครองและความเป็นสิริมงคลในทางศาสนา ซึ่งการนำสัญลักษณ์เหล่านี้มารวมกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในเนื้อเรื่องทำให้เกิดความรู้สึกเหนือจริง โดยที่พล็อตเรื่องสมัยใหม่อย่าง ทหารรับจ้าง เทคโนโลยีลับ สามารถผสมผสานกับวัฒนธรรมและการเชื่อมโยงเชิงสัญลักษณ์ได้อย่างลงตัว แสงสีขาวที่เกิดจากการระเบิดในเนื้อเรื่องนี้มีความหมายลึกซึ้งทางสัญลักษณ์ ซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับการทำลายล้างและการเริ่มต้นใหม่ แสงสีขาวที่ฉายออกมาจากปฏิกิริยาทางเคมีไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงพลังที่เกิดขึ้นจากการระเบิด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการ "เวียนจบ" และการเริ่มต้นใหม่ที่สะท้อนแนวคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับวงจรของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตมนุษย์ (Benjamin, 2003) การสร้างแสงสีขาวรุนแรงจากการระเบิดถือเป็นการปลดปล่อยพลังงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงวัตถุและจิตใจของตัวละคร แสงสีขาวในเหตุการณ์นี้จึงทำหน้าที่เป็นสัญญะของการทำลายล้างและการเกิดใหม่อย่างพร้อมเพรียงกัน ส่งสัญญาณให้โม่งผู้อ่านทราบว่าเนื้อเรื่องกำลังจะจบลง
การใช้ควอตซ์และผงอะลูมิเนียมในปฏิกิริยาเคมีเพื่อสร้างแสงสีขาวจ้าในเหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมได้อย่างน่าสนใจ ควอตซ์ (SiO₂) เป็นสารที่มีจุดหลอมเหลวสูง และโดยปกติจะไม่ทำปฏิกิริยากับผงอะลูมิเนียมในสภาวะปกติ. อย่างไรก็ตาม เมื่อควอตซ์ถูกบดให้เป็นผงละเอียดและนำไปผสมกับผงอะลูมิเนียมและสารเคมีอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นปฏิกิริยาที่มีอุณหภูมิสูงได้, จะสามารถสร้างแสงสีขาวจ้าในลักษณะเดียวกับการใช้ในปฏิกิริยาของ Thermite reaction (Mills, 2005) ปฏิกิริยาระหว่างผงอะลูมิเนียมและเหล็กออกไซด์ (Fe₂O₃) ใน Thermite reaction จะปล่อยพลังงานสูงมาก ซึ่งทำให้เกิดแสงที่มีความสว่างจ้าและสามารถแยงตาได้ สมการเคมีของปฏิกิริยานี้เป็นดังนี้:
2Al + Fe₂O₃ → 2Fe + Al₂O₃
ส่วนการระเบิดที่เกิดจากการยิงกระสุนไปที่บอลลูนที่มีผงอะลูมิเนียมผสมอยู่จะกระตุ้นให้เกิดการเผาไหม้และการระเบิดในระดับสูง โดยพลังงานที่เกิดจากการยิงกระสุนสามารถคำนวณได้จากสูตรพลังงานจลน์:
E = 1/2 * m * v^2
โดยที่:
- m = มวลของกระสุน = 4 กรัม = 0.004 กิโลกรัม
- v = ความเร็วของกระสุน = 900 เมตร/วินาที (ความเร็วทั่วไปของกระสุนขนาด 5.56 มม.)
แทนค่าลงในสูตร:
E = 1/2 * 0.004 * (900)^2
E = 0.002 * 810,000 = 1,620 จูล
การคำนวณนี้จะได้พลังงานที่ปล่อยออกมาเป็น 1,620 จูลจากการยิงกระสุนขนาด 5.56 mm ซึ่งเป็นพลังงานที่เพียงพอที่จะกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาระเบิดในสารเคมีผสมและทำให้เกิดแสงสีขาวจ้า โดยเฉพาะเมื่อมีตัวละครรุมยิงใส่สารเคมีดังกล่าว
สำหรับควอตซ์ในเนื้อเรื่องทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการบดวัสดุให้เป็นผงละเอียด ซึ่งเพิ่มพื้นที่ผิวของผงอะลูมิเนียมและวัสดุอื่นๆ ทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีสามารถเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Mills, 2005) แม้ว่าควอตซ์เองจะไม่ได้ทำปฏิกิริยาโดยตรงในการเผาไหม้ แต่บทบาทของมันในการเพิ่มพื้นที่ผิวให้กับสารอื่นๆ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การระเบิดมีความรุนแรงและปล่อยพลังงานได้มากขึ้น
อ้างอิง
ตัวอย่างวีดีโอการทดลอง Thermite Reaction : https://youtu.be/EDUwc953GOA
Benjamin, W. (2003). The Origins of German Tragic Drama. Verso.
Foster, H. (1990). The Return of the Real: Art and Theory at the End of the Century. MIT Press.
Foucault, M. (1969). The Archaeology of Knowledge. Pantheon Books.
Mills, T. (2005). Thermite Reaction: Chemistry and Applications. Wiley-VCH.
Shklovsky, V. (2017). Theory of Prose. Dalkey Archive Press.
Todorov, T. (1975). The Fantastic: A Structural Approach to a Literary Genre. Cornell University Press.
บทความพิเศษวิเคราะห์โม่งห้อง Vtuber
[หน้ากาก 🎭 2D ตอนที่ 1]
ตามทฤษฎีของ Sigmund Freud เกี่ยวกับ นาร์ซิสซิซึม (Narcissism) การมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกและการมีความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่นเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความต้องการในการควบคุมโลกภายในและภายนอก โดยการยกตัวเองขึ้นเป็นมาตรฐานที่ผู้คนอื่นๆ ควรยอมรับในฐานะที่ "เหนือกว่า" ในการมองว่า "หุ่นของกู" หรือ "หุ่นของกูน่ะดังด้วยตัวเอง" เป็นการยืนยันความเหนือกว่าและความสามารถที่ตนเองเชื่อว่าเหนือกว่าผู้อื่น Freud เชื่อว่าอัตตาของบุคคลที่มีลักษณะนาร์ซิสซิสต์มักต้องการการยอมรับจากภายนอกเพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองและมีความพึงพอใจในความสำเร็จที่พวกเขามองเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควรได้
อีกส่วนที่น่าสนใจในข้อความนี้คือ ความต้องการที่จะควบคุมและปกป้องสิ่งที่โม่งท่านนี้ชื่นชอบ เช่น "หุ่นของกู", ยังสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะรักษาความพึงพอใจจากสิ่งภายนอกที่ควบคุมได้ ตัวอย่างเช่นการกล่าวว่า "พวกมึงไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย" หรือ "ไม่ต้องเกาะกระแสใคร" แสดงถึงการพยายามปกป้องสิ่งที่ตนเองให้ความสำคัญ และต้องการรักษาความสมบูรณ์แบบไว้ในมือของตนเอง บุคคลที่มีความต้องการในการควบคุมแบบนี้มักมีความกลัวที่จะสูญเสียความมั่นคงในสิ่งที่ตนรักหรือสนับสนุน พวกเขาจึงพยายามป้องกันสิ่งเหล่านั้นจากสิ่งที่อาจทำลายความสมบูรณ์นั้น
การใช้ภาษาที่รุนแรง, เช่น "(╬ಠ益ಠ)" หรือ "(ノಠ益ಠ)ノ彡┻━┻", มักเป็นการสะท้อนถึงความเครียดหรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่สิ่งที่รักอาจถูกละเมิดหรือสูญเสียไป การป้องกันตัวเอง (defense mechanisms) ของบุคคลที่ไม่สามารถรับรู้ถึงความเสี่ยงในการสูญเสียสิ่งที่เขาควบคุม จึงแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่รุนแรงและปิดกั้นการติดต่อทางอารมณ์ ต่างกับท่านยามากุจิซึ่วไม่เสพหน้ากาก 2D และท่านเป็นผู้ควบคุมตนเองได้เสมอ ไม่เคยปล่อยโอกาสให้อารมณ์ใดๆมาเล่นท่านได้
อีกส่วนที่น่าสนใจคือ กรณีการมองโลกในมุมของ "คู่ขัดแย้ง" หรือที่ Freud เรียกว่า splitting เป็นการมองสิ่งต่างๆ เป็นขาวหรือดำหรือการแบ่งแยกสิ่งต่างๆ ในลักษณะที่ไม่สามารถผสมผสานได้ โดยการมองว่า "เมฆ" คือ "สิ่งที่ไม่ดี" และ "หุ่นของตนเอง" คือ "สิ่งที่ดีที่สุด" แสดงให้เห็นถึงการรักษาความรู้สึกปลอดภัยจากการเป็น "ผู้ชนะ" และการหลีกเลี่ยงการพิจารณาว่าทุกสิ่งในโลกมีความหลากหลายและไม่สามารถแบ่งแยกได้เป็นแค่สองขั้ว นอกจากนี้ยังเป็นกลไกการป้องกันจิตใจที่บุคคลใช้เพื่อลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับโลกภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนกับในโลกบนดินที่มีกระแส woke และ anti-woke ผู้คนมักเลือกที่จะเลือกฝักฝ่ายที่มีขั้วชัดเจนมากกว่าจะเดินในหนทางของตัวเอง เพราะกลัวที่จะต้องรับผิดชอบในเส้นทางที่ตนเองเดิน การเข้าร่วมฝ่ายจึงเป็นการแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นกลไกทางสมองที่มีมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์
อย่างไรก็ตาม ฟรอยด์เองก็เป็นบุคคลที่มีความหลงตัวเองและบางครั้งอาจเชื่อถือไม่ได้ในแวดวงจิตวิทยาปัจจุบัน เนื่องจากทฤษฎีบางข้อของเขามีความขัดแย้งและไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด ถึงกระนั้น การศึกษาและวิเคราะห์ข้อความจากโม่งด้านบนที่เป็นการโรลเพลย์ (roleplay) และไม่ได้โพสต์ข้อมูลจริงจัง ก็สามารถนำมุมมองที่น่าสนใจมาสู่การถกเถียง แม้ว่าจะไม่ได้มีสาระสำคัญหรือมีการแสดงความคิดเห็นที่จริงจัง แต่ก็สามารถเปิดโอกาสให้เราได้เห็นมุมมองที่แตกต่างออกไป ซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของการแสดงความคิดเห็นในโลกใบนี้ได้มากยิ่งขึ้น เฉกเช่นที่ท่านยามากุจิกล่าว จงฝึกฝนและเรียนรู้เสมอ เพราะหากโลกนี้เป็นเกมก็จงทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ
อ้างอิง
Freud, S. (1914). On Narcissism: An Introduction. SE, 14: 67-102.
Freud, S. (1923). The Ego and the Id. SE, 19: 12-66.
Kernberg, O. F. (1975). Borderline Conditions and Pathological Narcissism. Jason Aronson.
Fairbairn, W. R. D. (1952). Psychoanalytic Studies of the Personality. Routledge.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.