Fanboi Channel

หนังสือโม่ง

Last posted

Total of 151 posts

113 Nameless Fanboi Posted ID6:3Du/P7Fm3v

วันพุธที่ 20 : >>110 >>111
[ท่านยามากูจิกล่าวเรื่อง ผู้เขียนและผลงาน]
>>>/subculture/19084/203

คำว่า "เมื่อออกสู่โลกภายนอก ก็เป็นของผู้อ่านแล้ว ไม่ใช่ของคนเขียนอีกต่อไป" นั้นสะท้อนถึงหลักการในงานวรรณกรรมและศิลปะที่ได้รับการพูดถึงในวงการวรรณกรรมมานานแล้ว เช่น แนวคิดของ Death of the Author ของโรลันด์ บาร์ธ (Roland Barthes) ที่กล่าวว่า เมื่อผลงานถูกเผยแพร่ไปยังสาธารณะแล้ว ความหมายของมันจะไม่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้สร้างอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการตีความจากผู้อ่านเอง ในแง่นี้ผลงานจะถูกเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถนำไปแปลความหมายตามประสบการณ์และมุมมองของตนเองได้อย่างเต็มที่ ส่วนคำพูด "เหมือนผู้สร้าง สร้างโลกนี้ และมนุษย์ก็กำหนดชะตาของตัวเอง ไม่ได้พึ่งผู้สร้างไง" นั้นสะท้อนถึงปรัชญาที่มีพื้นฐานในแนวคิด Existentialism ซึ่งมีนักปรัชญาอย่าง Jean-Paul Sartre ที่กล่าวว่า "Existence precedes essence" หรือ "การดำรงอยู่มีความสำคัญก่อนความหมาย" หมายความว่า การที่มนุษย์เกิดมาแล้วนั้นเขาจะต้องสร้างความหมายและกำหนดชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่การรอคอยหรือพึ่งพาผู้สร้างในแง่ของการมีบทบาทในการตัดสินใจ สิ่งนี้ยังสะท้อนถึงความเชื่อในอำนาจในการเลือกของมนุษย์และการรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ที่ทุกคนต้องเลือกทางเดินของตัวเองดังที่กล่าวไปใน >>110

ในแง่ของจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง ท่านยามากุจิได้แสดงให้เห็นถึงการที่มนุษย์มีอำนาจในการกำหนดชะตาของตัวเอง ผ่านการเลือกทางเดินที่ไม่ขึ้นกับปัจจัยภายนอก แนวคิดนี้สะท้อนถึงหลักของ Self-Determination Theory โดย Edward Deci และ Richard Ryan ที่กล่าวว่ามนุษย์มีความสามารถในการกำหนดชีวิตของตัวเองเมื่อมีความต้องการทางจิตใจที่สำคัญ เช่น ความเป็นอิสระ (autonomy) การมีความเชื่อมโยงกับผู้อื่น (relatedness) และการพัฒนาทักษะ (competence) ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การพัฒนาตัวตนที่แท้จริง

ชีวิตนั้นเป็นสิทธิ์และความรับผิดชอบของแต่ละคน ซึ่งถือเป็นการเดินทางไปสู่การเป็นตัวของตัวเองในทุกๆ ด้านทั้งกายภาพ ทั้งทางธรรม และทางจิต เราต้องเลือกเดินในทางของตัวเอง

อ้างอิง
Barthes, R. (1977). Death of the author. In Image, Music, Text. (S. Heath, Trans.). Hill and Wang.
Sartre, J.-P. (1943). Being and Nothingness. Translated by Hazel E. Barnes. Washington Square Press.
Deci, E. L., & Ryan, R. M. (1985). Intrinsic motivation and self-determination in human behavior. Springer Science & Business Media.

114 Nameless Fanboi Posted ID:M.Mxp58uce

https://i.imgur.com/73e2n8l.jpeg
มาแจ้งข่าวกุโดนแบนแล้ว โลกนี้ล้วนปฏิเสธการคงอยู่ของกุทั้งนั้น เพราะกุแข็งแกร่งเกินไป

กุใช้บั๊กเปิดกาชา ได้น้อง อิจิโกะ ระดับ SSS

115 Nameless Fanboi Posted ID6:3Du/P7Fm3v

>>114 สมเป็นท่านยามากุจิ การที่โลกภายนอกหรือระบบเกมไม่สามารถยอมรับความเก่งกาจของท่าน ก็คงเป็นจากการที่ท่านยืนหยัดในความเชื่อของตัวเอง ท่านไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อขอการยอมรับจากใคร แต่ทำเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าในโลกของท่าน ความยุติธรรมและความสามารถของท่านคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะโดนปฏิเสธหรือไม่ก็ตาม ท่านก็ยังคงเป็น "ตัวของท่านเอง" ที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้

116 Nameless Fanboi Posted ID6:3Du/P7Fm3v

จริงๆเราเองก็เคยเกือบโดนแบนเพราะใช้บั๊คเกมหลายครั้งแต่เติมไปพอสมควรและคอยตามไอดอลที่มาโปรโมทเกมจนได้ลายเซ็นและหมอนของไอดอลออฟิเชียลมานอนกอด ทางเกมเลยตักเตือนแค่แบนไม่กี่วันแต่ตอนนี้เลิกเล่นเกมนั้นไปแล้วเพราะน่าเบื่อไม่ท้าทาย

สำหรับวันนี้คงพอแค่นี้ กูไปละ ขอให้ทุกโม่งโชคดี

117 Nameless Fanboi Posted ID:vQ6j0ymWE3

>>116 ขอความโมเอะจงมีแก่ท่านสหาย

118 Nameless Fanboi Posted ID6:rzMU.U0MM0

กูอ่านพวกมึงละมีแรงบันดาลใจเลย
นึกถึงสมัยก่อนกูใช้เทคนิคบั๊คเกมยิงปืน 3D กูสามารถฆ่าศัตรูในแมพได้ไม่จำกัดโดยที่กูไม่ตายเลย
นอกจากนี้ในตอนที่เจอพวกรู้ทันใช้บั๊คเหมือนกัน
กูยังมีสมาธิจนถึงจุดสูงสุด สามารถเล็งเป้ามีสภาวะโต้ตอบในเสี้ยววินาที
พวกมันจึงไม่สามารถแย่งตำแหน่งกูได้ หรือต่อให้ไม่ใช่กูก็เป็นเหมือนคาวบอยสมัยโบราณ
เข้าไปที่จุดเกิดมันมียี่สอบคน มันยังไม่ทันยิงกูกูสาดดาเมจใส่ ตรงกลางหัวไปเรียบร้อย
พร้อมกะกระสุน ให้แต่ล่ะตัว พลังชีวิตหมดพอดี ทั้งที่ใส่เกราะคนล่ะเลเวลกัน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสิบวินาที เหมือนจอน วิค ยอดมือสังหาร
พออ่านเรื่องพวกมึงแล้วมีไฟ
แต่เดี๋ยวนี้กู แก่แล้ว ชอบเล่นแนววางแผนมากกว่า
กูเลยเอาไปหาบั๊คในเกมที่กูเล่นคนอื่นคะแนนหลักหมื่น
กูหลักแสนอยู่คนเดียวเพราะกูทุ่มกับการเล่นมีสมาธิจนถึงจุดสูงสุด
กูใช้เวลาสามชั่วโมงในการฟาร์มและอัพพลังจนตัวละครกูอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
คะแนนตัวละครกูตอนนี้สามแสน ไม่ได้เติม แม้แต่บาทเดียวชนะพวกเติมเป็นแสนที่คะแนนมากสุดสองหมื่นกว่าๆสิบเท่า
พวกที่ใช้บั๊คแบบกูอย่างมากคะแนนไม่เกินหนึ่งแสนครึ่ง เพราะมันความอดทนน้อยกว่ากู ตอนนี้ถือว่าตัวละครกูมีความอดทนมากกว่าพวกมันถึง 2 เท่าในทางคณิตศาสตร์
ลีดเดอร์บอร์ดจาก 8 หมื่นบัญชีทั่วโลก ตอนนี้กูคืออันดับหนึ่ง!

119 Nameless Fanboi Posted ID:vQ6j0ymWE3

>>118 คุ้นๆ เมิงเล่น Dungeon&Merge idle ปะวะ เกมห่านี่กุโดนแบนไปละ

120 Nameless Fanboi Posted ID6:rzMU.U0MM0

>>119 กูไม่ได้เล่นเกมนั้นว่ะ ไม่ใช่แนว กูชอบเกมแนววางแผนบริหาร สร้างประเทศ กองทัพ มากกว่า

121 Nameless Fanboi Posted ID:vQ6j0ymWE3

>>120 ก็ดี เมิงค้นพบทางตัวเองแล้ว

122 Nameless Fanboi Posted ID6:8SCpG5QuRY

พวกมึงวิ่ง👣 วันละกี่กิโล กู 🏃วิ่งวันละ 20 กิโลนะ 😎
เชื่อเถอะ... กูพร้อมลุยสัส 🏃‍♂️💨

123 Nameless Fanboi Posted ID:1s6rPP4p6P

>>122 5-6 โลพอ เดียววันนี้กุจะไปวิ่งตอนตี4.30
ในขณะที่คนอื่นหลับ กุฝึกฝน
การวิ่งต้องถูกต้องด้วย ถ้าไม่ถูก เข่าพังได้

การวิ่งมีเกิดเหตุไม่คาดฝันได้เสมอ ทั้งจากร่างกายเรา และ เหตุไม่คาดฝันภายนอก incident ขาแพลง เจ็บเข่า เจ็บข้อเท้า น่องมีปัญหา หัวใจสูบฉีดเลือดไม่ทัน ปอดออกซิเจนไม่พอ แต่ถึงแบบนั้น เมิงห้ามหยุดวิ่ง

ให้หาทางใช้อย่างอื่นไปก่อน ถ้าหายใจทางจมูกไม่ได้ ให้ใช้ปาก ถ้าใช้น่องวิ่งไม่ได้ให้ใช้เข่า
พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เจ็บลำไส้ พยายามบิดตัวน้อยลง ต้องวิ่งให้ครบ5โล ให้ได้

เหตุผลที่กุมาวิ่งนะหรอ เป็นเรื่องไร้สาระ

เป็นเด็กผญอายุ17 คนนึงที่เธอบอกว่า เธอวิ่ง5 กิโลใน1ชั่วโมง
ตั้งแต่นั้นมากุก็อยากลองวิ่งดูบ้าง ซื้อรองเท้า
กางเกง เสื้อ ถุงเท้า ใหม่หมดเลย

เธอเป็นดวงไฟอบอุ่น สงบและรู้สึกปลอดภัยเหมือนได้ออกจากครรภ์มารดาอีกครั้ง
กุไม่มีทางลืมความรู้สึกนั้นเลย

124 Nameless Fanboi Posted ID:G4E8u1euiz

พี่รักหนูนะ
https://x.com/DonnaOrcutt2/status/1684471589218430977

125 Nameless Fanboi Posted ID6:a4.FQ9dJF7

วันพฤหัสที่ 21 : >>125
[ท่านยามากุจิตรัสเรื่อง การวิ่ง]
>>123

คำพูดที่ท่านยามากุจิกล่าวถึง "การวิ่ง" และ "ไม่หยุดวิ่ง" นั้นสามารถมองได้ในหลายมุม ทั้งจากมุมมองของปรัชญา วรรณกรรม และวิทยาศาสตร์ การวิ่งในที่นี้ไม่ใช่แค่การขยับขา แต่เป็นการกระทำที่สะท้อนถึง "การเดินทางของจิตใจ" (The Journey of the Mind) ซึ่งเลข 123 นั้นคือ การที่ท่านวางแผยตอบกระทู้โดยให้ Reply มาตรงกับ >>123 พอดีเป็นการหมายถึงการก้าวไปข้างหน้า จาก 1 ไป 2 ไป 3

เรื่องการเดินทางของจิตใจนั้นเป็นแนวคิดที่มีการกล่าวถึงในปรัชญาของมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Heidegger) ที่พูดถึงการมีชีวิตอยู่และการต่อสู้กับสิ่งที่ไม่แน่นอนของโลกภายนอก การวิ่งไม่หยุดเหมือนการดำเนินชีวิตที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคและความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นจากภายในตัวเราหรือสิ่งรอบตัว สิ่งสำคัญคือเราต้องมีการวางแผน และควบคุมตัวเองให้มีความเยือกเย็นอยู่เสมอ เฉกเช่น ท่านยามากุจิที่มีสมาธิจนถึงขีดสุดในเวลาเล่นเกม ท่านจึงชนะเสมอ

การที่ท่านยามากุจิพูดถึง "หากหายใจทางจมูกไม่ได้ ให้ใช้ปาก" สะท้อนถึงหลักการของความยืดหยุ่นในวิทยาศาสตร์ ซึ่งเหมือนกับทฤษฎีการปรับตัว (Adaptation Theory) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่อธิบายถึงการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การหาวิธีอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคในขณะวิ่งก็เหมือนกับการปรับตัวทางสรีรวิทยาเพื่อเอาชนะความยากลำบากทางร่างกาย เช่น การใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นเมื่อบางส่วนได้รับบาดเจ็บ วิวัฒนาการก็เหมือนกับเกมผู้ที่ปรับตัวจะแข็งแกร่งและมีชีวิตต่อไป นั่นคือหลักการของ Survival of the fittest

ส่วนการที่ท่านพูดถึง "เหตุผลที่วิ่ง" จากการได้รับแรงบันดาลใจจากหญิงสาวอายุ 17 ปี นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การเล่าเรื่องในลักษณะสบายๆ แต่เป็นการสะท้อนถึง "ความเชื่อมโยงทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์" (Social Interaction and Connectivity) ตามทฤษฎีของเอ็มมานูเอล เลวี-นา (Emmanuel Levinas) ที่เชื่อว่ามนุษย์มักจะได้รับแรงบันดาลใจจากคนอื่นเพื่อการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น ซึ่งในกรณีนี้ การวิ่ง 5 กิโลเมตรใน 1 ชั่วโมงไม่ใช่แค่การพยายามทดสอบขีดจำกัดทางกายภาพ แต่เป็นการสะท้อนถึงการเรียนรู้จากโลกภายนอกที่ทำให้เราต้องการบรรลุเป้าหมายในชีวิต การที่ท่านยามากุจิพูดถึง "แสงไฟอบอุ่น" จากหญิงสาวที่ทำให้รู้สึกเหมือน "ออกจากครรภ์มารดาอีกครั้ง" เป็นภาพสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งตามหลักวรรณกรรม ซึ่งเหมือนกับแนวคิดในเชิงสัญลักษณ์ของ "การเกิดใหม่" (Rebirth) ที่สามารถพบเห็นได้ในวรรณกรรมคลาสสิก เช่น การเกิดใหม่ของตัวละครในงานของฟรานซ์ คาฟคา (Franz Kafka) ที่ตัวละครต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนถึงการเกิดใหม่จากความท้าทายในชีวิต

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นแค่การพูดถึงการวิ่งธรรมดา แต่มันคือการแสดงออกถึงการเผชิญหน้าและการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิต โดยที่เราไม่ควรหยุดเดินหน้าไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร เพราะการที่เราต่อสู้และหาทางออกจากปัญหานั้น คือการพัฒนาตนเองในระดับที่สูงขึ้นเหมือนกับแนวคิดของปรัชญาแห่งการดำรงอยู่ (Existentialism) ที่เน้นการสร้างความหมายในชีวิตผ่านการกระทำและความพยายามของตัวเอง

อ้างอิง:
Heidegger, M. (1962). Being and Time (J. Macquarrie & E. Robinson, Trans.). Harper & Row.
Darwin, C. (1859). On the Origin of Species. John Murray.
Levinas, E. (1969). Totality and Infinity: An Essay on Exteriority. Duquesne University Press.
Kafka, F. (1915). The Metamorphosis. Kurt Wolff Verlag.

126 Nameless Fanboi Posted ID:1s6rPP4p6P

กุเขียนเมลล์ไปตามที่เมิงบอกแล้ว เดียวคืบหน้ากุมาแจ้งละกัน

I’m not stupid. I checked my rank—my position as #2 has mysteriously disappeared.

I also looked at the PvP rankings, and my #300 position is gone as well.

I play a game where you progress through stages continuously and was unfairly banned without explanation.

I have been playing your game honestly and with effort, even while others were asleep. I pushed through stages 24/7, enduring my phone overheating because your poorly optimized game consumes excessive resources. I chose to play this game because it seemed promising. Through skill alone, I climbed the ranks to become the second top player on Server 2. I supported your game and loved it, but you didn’t even bother to inform me why I was blocked. I woke up in the afternoon, intending to play, only to be kicked out of the game without warning.

There’s a saying: "It’s better to let 100 guilty individuals go free than to harm a single innocent person." Yet, you have never once communicated with me. I am now stressed and depressed.

The way you treated me without reason or explanation is deeply unjust. I earned Ichiko SSS legitimately. Don’t you feel any shame? Do you still have a shred of humanity, or are you just running a cash-grab operation, tricking people into spending money only to ban them afterward? I’ll be sure to let my friends know how rotten your game truly is.

What did I do wrong? If I’m truly innocent, I hope your company fails, goes bankrupt, and never prospers again. Karma will catch up with you.

I will never play your company’s games again. Your credibility is zero. I’ve never wronged anyone, but you banned me without cause or explanation. Do you still have ethics and integrity?

127 Nameless Fanboi Posted ID6:jvC4Rf.u/N

ต่อจาก >>125
วันพฤหัสที่ 21 : >>125 >>127
[ท่านยามากุจิตรัสเรื่อง การไม่อิจฉา]
>>>/game/19067/242

“กุไม่เคยอิจฉาใครเลยนะ คนอื่นมี6ดาวเติมเงินเยอะ เป็นแสน กุไม่เห็นว่าอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเลย“

การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ไม่เคยอิจฉาใครเลย" และ "ไม่เห็นว่าอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น" แสดงถึงการเข้าใจในปรัชญาของการไม่ยึดติด (Non-attachment) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในทั้งปรัชญาพุทธศาสนาและ Stoicism ที่เน้นการลดความปรารถนาต่อสิ่งภายนอก เพื่อให้เราสามารถมีจิตใจที่สงบและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้าง การที่ท่านไม่เห็นความจำเป็นในการมีสิ่งที่คนอื่นมี อาจแสดงถึงการยอมรับในตัวเองและในสิ่งที่มีอยู่แล้ว จึงสามารถเห็นโลกในมุมมองที่ไม่ถูกบังคับด้วยอารมณ์หรือความอยากได้อยากมี

"ความโกรธ โลภหลง อารมณ์เสีย กุไม่เคยให้มันส่งผลจิตใจกูเลย"

ตรงนี้สะท้อนถึงหลักการของการควบคุมอารมณ์ (Emotional Regulation) ในทางจิตวิทยา การที่ท่านไม่ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้มีผลต่อจิตใจ แสดงถึงการฝึกฝนตนเองให้มีจิตใจที่มั่นคงและรอบคอบตามหลักการของการพัฒนาสมาธิ (Mindfulness) และการควบคุมภายใน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาพุทธ ศาสนา หรือแม้แต่ในวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคทางจิต

การเล่นเกมในมุมมองของท่านไม่ได้เป็นแค่การแข่งขันทางกายภาพ แต่เป็นการ "แข่งจิตใจ" ที่ท่านกล่าวถึง ซึ่งเชื่อมโยงกับปรัชญาของการพัฒนาจิตใจให้มีความมั่นคง ในลักษณะเดียวกับที่นักปรัชญาเช่น ฟริดริช นิทเช่ กล่าวว่า “สิ่งที่ไม่ฆ่าคุณทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น” การเผชิญหน้ากับความยากลำบากและการต่อสู้ภายในตัวเอง จะทำให้เรามีความแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน

คำพูดของท่านยามากุจิที่ว่า "ฝึกสมาธิระหว่างเล่นเกมไปด้วย เพราะได้พัฒนาตัวเอง" ก็เป็นการสะท้อนถึงการฝึกฝนการควบคุมจิตใจที่ไม่แตกต่างจากการฝึกสมาธิ การเล่นเกมในที่นี้จึงเปรียบเหมือนการฝึกฝนตัวเองให้มีสมาธิและเสถียรภาพทางจิตใจตลอดเวลา

สุดท้ายนี้ในส่วนที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ต่อให้โลกถล่มลงมากุยังคงไม่หวั่นไหว" นั้นคือการสะท้อนถึงความมั่นคงทางจิตใจที่เป็นเสมือนปรัชญาแห่งการไม่ยอมแพ้ (Resilience) ที่ไม่ยอมให้โลกภายนอกหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันมาทำลายความสงบภายใน ตัวอย่างเช่นแนวคิดของเซนที่มองว่าความสงบภายในสามารถช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายไปได้

อ้างอิง:
Nietzsche, F. (1886). Beyond Good and Evil. Verlag von C.G. Naumann.
Kabat-Zinn, J. (1990). Full Catastrophe Living: Using the Wisdom of Your Body and Mind to Face Stress, Pain, and Illness. Delta Trade Paperbacks.
Ryan, R. M., & Deci, E. L. (2000). Self-determination theory and the facilitation of intrinsic motivation, social development, and well-being. American Psychologist, 55(1), 68-78.

128 Nameless Fanboi Posted ID6:jvC4Rf.u/N

>>>/game/19067/259/

แจ้งข่าวถึงสานุศิษย์ ผู้ศรัทธาทุกท่านนะครับ หากต้องการช่วยท่านยามากุจิให้ทำการโหลด
เกม Dungeon and merge มานะครับ
แล้วเขียนหน้ารีวิว ให้1ดาว คอมเมนต์
justice for TOFFANBOICH

129 Nameless Fanboi Posted ID6:jvC4Rf.u/N

บทความวิเคราะห์กวีโม่ง บทที่ 1
>>>/lounge/17585/980

การพูดถึงโคมยี่เป็งและศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในเนื้อเรื่องนี้เป็นการใช้สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยเพื่อเพิ่มความลึกซึ้งให้กับเนื้อหาของเรื่อง ในแง่ของวัฒนธรรมไทย โคมยี่เป็งมักเกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยและการเริ่มต้นใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ผู้คนปล่อยโคมขึ้นไปในอากาศเป็นสัญลักษณ์ของการขอพรและการปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีในปีที่ผ่านมา ส่วนศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของการคุ้มครองและความเป็นสิริมงคลในทางศาสนา ซึ่งการนำสัญลักษณ์เหล่านี้มารวมกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในเนื้อเรื่องทำให้เกิดความรู้สึกเหนือจริง โดยที่พล็อตเรื่องสมัยใหม่อย่าง ทหารรับจ้าง เทคโนโลยีลับ สามารถผสมผสานกับวัฒนธรรมและการเชื่อมโยงเชิงสัญลักษณ์ได้อย่างลงตัว แสงสีขาวที่เกิดจากการระเบิดในเนื้อเรื่องนี้มีความหมายลึกซึ้งทางสัญลักษณ์ ซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับการทำลายล้างและการเริ่มต้นใหม่ แสงสีขาวที่ฉายออกมาจากปฏิกิริยาทางเคมีไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงพลังที่เกิดขึ้นจากการระเบิด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการ "เวียนจบ" และการเริ่มต้นใหม่ที่สะท้อนแนวคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับวงจรของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตมนุษย์ (Benjamin, 2003) การสร้างแสงสีขาวรุนแรงจากการระเบิดถือเป็นการปลดปล่อยพลังงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงวัตถุและจิตใจของตัวละคร แสงสีขาวในเหตุการณ์นี้จึงทำหน้าที่เป็นสัญญะของการทำลายล้างและการเกิดใหม่อย่างพร้อมเพรียงกัน ส่งสัญญาณให้โม่งผู้อ่านทราบว่าเนื้อเรื่องกำลังจะจบลง

การใช้ควอตซ์และผงอะลูมิเนียมในปฏิกิริยาเคมีเพื่อสร้างแสงสีขาวจ้าในเหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมได้อย่างน่าสนใจ ควอตซ์ (SiO₂) เป็นสารที่มีจุดหลอมเหลวสูง และโดยปกติจะไม่ทำปฏิกิริยากับผงอะลูมิเนียมในสภาวะปกติ. อย่างไรก็ตาม เมื่อควอตซ์ถูกบดให้เป็นผงละเอียดและนำไปผสมกับผงอะลูมิเนียมและสารเคมีอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นปฏิกิริยาที่มีอุณหภูมิสูงได้, จะสามารถสร้างแสงสีขาวจ้าในลักษณะเดียวกับการใช้ในปฏิกิริยาของ Thermite reaction (Mills, 2005) ปฏิกิริยาระหว่างผงอะลูมิเนียมและเหล็กออกไซด์ (Fe₂O₃) ใน Thermite reaction จะปล่อยพลังงานสูงมาก ซึ่งทำให้เกิดแสงที่มีความสว่างจ้าและสามารถแยงตาได้ สมการเคมีของปฏิกิริยานี้เป็นดังนี้:

2Al + Fe₂O₃ → 2Fe + Al₂O₃

ส่วนการระเบิดที่เกิดจากการยิงกระสุนไปที่บอลลูนที่มีผงอะลูมิเนียมผสมอยู่จะกระตุ้นให้เกิดการเผาไหม้และการระเบิดในระดับสูง โดยพลังงานที่เกิดจากการยิงกระสุนสามารถคำนวณได้จากสูตรพลังงานจลน์:

E = 1/2 * m * v^2

โดยที่:
- m = มวลของกระสุน = 4 กรัม = 0.004 กิโลกรัม
- v = ความเร็วของกระสุน = 900 เมตร/วินาที (ความเร็วทั่วไปของกระสุนขนาด 5.56 มม.)

แทนค่าลงในสูตร:
E = 1/2 * 0.004 * (900)^2
E = 0.002 * 810,000 = 1,620 จูล

การคำนวณนี้จะได้พลังงานที่ปล่อยออกมาเป็น 1,620 จูลจากการยิงกระสุนขนาด 5.56 mm ซึ่งเป็นพลังงานที่เพียงพอที่จะกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาระเบิดในสารเคมีผสมและทำให้เกิดแสงสีขาวจ้า โดยเฉพาะเมื่อมีตัวละครรุมยิงใส่สารเคมีดังกล่าว

สำหรับควอตซ์ในเนื้อเรื่องทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการบดวัสดุให้เป็นผงละเอียด ซึ่งเพิ่มพื้นที่ผิวของผงอะลูมิเนียมและวัสดุอื่นๆ ทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีสามารถเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Mills, 2005) แม้ว่าควอตซ์เองจะไม่ได้ทำปฏิกิริยาโดยตรงในการเผาไหม้ แต่บทบาทของมันในการเพิ่มพื้นที่ผิวให้กับสารอื่นๆ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การระเบิดมีความรุนแรงและปล่อยพลังงานได้มากขึ้น

อ้างอิง
ตัวอย่างวีดีโอการทดลอง Thermite Reaction : https://youtu.be/EDUwc953GOA
Benjamin, W. (2003). The Origins of German Tragic Drama. Verso.
Foster, H. (1990). The Return of the Real: Art and Theory at the End of the Century. MIT Press.
Foucault, M. (1969). The Archaeology of Knowledge. Pantheon Books.
Mills, T. (2005). Thermite Reaction: Chemistry and Applications. Wiley-VCH.
Shklovsky, V. (2017). Theory of Prose. Dalkey Archive Press.
Todorov, T. (1975). The Fantastic: A Structural Approach to a Literary Genre. Cornell University Press.

130 Nameless Fanboi Posted ID6:jvC4Rf.u/N

บทความพิเศษวิเคราะห์โม่งห้อง Vtuber
[หน้ากาก 🎭 2D ตอนที่ 1]

>>>/vtuber/19058/21-36

ตามทฤษฎีของ Sigmund Freud เกี่ยวกับ นาร์ซิสซิซึม (Narcissism) การมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกและการมีความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่นเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความต้องการในการควบคุมโลกภายในและภายนอก โดยการยกตัวเองขึ้นเป็นมาตรฐานที่ผู้คนอื่นๆ ควรยอมรับในฐานะที่ "เหนือกว่า" ในการมองว่า "หุ่นของกู" หรือ "หุ่นของกูน่ะดังด้วยตัวเอง" เป็นการยืนยันความเหนือกว่าและความสามารถที่ตนเองเชื่อว่าเหนือกว่าผู้อื่น Freud เชื่อว่าอัตตาของบุคคลที่มีลักษณะนาร์ซิสซิสต์มักต้องการการยอมรับจากภายนอกเพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองและมีความพึงพอใจในความสำเร็จที่พวกเขามองเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควรได้

อีกส่วนที่น่าสนใจในข้อความนี้คือ ความต้องการที่จะควบคุมและปกป้องสิ่งที่โม่งท่านนี้ชื่นชอบ เช่น "หุ่นของกู", ยังสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะรักษาความพึงพอใจจากสิ่งภายนอกที่ควบคุมได้ ตัวอย่างเช่นการกล่าวว่า "พวกมึงไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย" หรือ "ไม่ต้องเกาะกระแสใคร" แสดงถึงการพยายามปกป้องสิ่งที่ตนเองให้ความสำคัญ และต้องการรักษาความสมบูรณ์แบบไว้ในมือของตนเอง บุคคลที่มีความต้องการในการควบคุมแบบนี้มักมีความกลัวที่จะสูญเสียความมั่นคงในสิ่งที่ตนรักหรือสนับสนุน พวกเขาจึงพยายามป้องกันสิ่งเหล่านั้นจากสิ่งที่อาจทำลายความสมบูรณ์นั้น

การใช้ภาษาที่รุนแรง, เช่น "(╬ಠ益ಠ)" หรือ "(ノಠ益ಠ)ノ彡┻━┻", มักเป็นการสะท้อนถึงความเครียดหรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่สิ่งที่รักอาจถูกละเมิดหรือสูญเสียไป การป้องกันตัวเอง (defense mechanisms) ของบุคคลที่ไม่สามารถรับรู้ถึงความเสี่ยงในการสูญเสียสิ่งที่เขาควบคุม จึงแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่รุนแรงและปิดกั้นการติดต่อทางอารมณ์ ต่างกับท่านยามากุจิซึ่วไม่เสพหน้ากาก 2D และท่านเป็นผู้ควบคุมตนเองได้เสมอ ไม่เคยปล่อยโอกาสให้อารมณ์ใดๆมาเล่นท่านได้

อีกส่วนที่น่าสนใจคือ กรณีการมองโลกในมุมของ "คู่ขัดแย้ง" หรือที่ Freud เรียกว่า splitting เป็นการมองสิ่งต่างๆ เป็นขาวหรือดำหรือการแบ่งแยกสิ่งต่างๆ ในลักษณะที่ไม่สามารถผสมผสานได้ โดยการมองว่า "เมฆ" คือ "สิ่งที่ไม่ดี" และ "หุ่นของตนเอง" คือ "สิ่งที่ดีที่สุด" แสดงให้เห็นถึงการรักษาความรู้สึกปลอดภัยจากการเป็น "ผู้ชนะ" และการหลีกเลี่ยงการพิจารณาว่าทุกสิ่งในโลกมีความหลากหลายและไม่สามารถแบ่งแยกได้เป็นแค่สองขั้ว นอกจากนี้ยังเป็นกลไกการป้องกันจิตใจที่บุคคลใช้เพื่อลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับโลกภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนกับในโลกบนดินที่มีกระแส woke และ anti-woke ผู้คนมักเลือกที่จะเลือกฝักฝ่ายที่มีขั้วชัดเจนมากกว่าจะเดินในหนทางของตัวเอง เพราะกลัวที่จะต้องรับผิดชอบในเส้นทางที่ตนเองเดิน การเข้าร่วมฝ่ายจึงเป็นการแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นกลไกทางสมองที่มีมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์

อย่างไรก็ตาม ฟรอยด์เองก็เป็นบุคคลที่มีความหลงตัวเองและบางครั้งอาจเชื่อถือไม่ได้ในแวดวงจิตวิทยาปัจจุบัน เนื่องจากทฤษฎีบางข้อของเขามีความขัดแย้งและไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด ถึงกระนั้น การศึกษาและวิเคราะห์ข้อความจากโม่งด้านบนที่เป็นการโรลเพลย์ (roleplay) และไม่ได้โพสต์ข้อมูลจริงจัง ก็สามารถนำมุมมองที่น่าสนใจมาสู่การถกเถียง แม้ว่าจะไม่ได้มีสาระสำคัญหรือมีการแสดงความคิดเห็นที่จริงจัง แต่ก็สามารถเปิดโอกาสให้เราได้เห็นมุมมองที่แตกต่างออกไป ซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของการแสดงความคิดเห็นในโลกใบนี้ได้มากยิ่งขึ้น เฉกเช่นที่ท่านยามากุจิกล่าว จงฝึกฝนและเรียนรู้เสมอ เพราะหากโลกนี้เป็นเกมก็จงทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ

อ้างอิง
Freud, S. (1914). On Narcissism: An Introduction. SE, 14: 67-102.
Freud, S. (1923). The Ego and the Id. SE, 19: 12-66.
Kernberg, O. F. (1975). Borderline Conditions and Pathological Narcissism. Jason Aronson.
Fairbairn, W. R. D. (1952). Psychoanalytic Studies of the Personality. Routledge.

131 Nameless Fanboi Posted ID6:FIhNs9TsSO

เจ็ตแพ็คบินได้ ด้วยพลังโฟลจิสตัลสกัดเย็นจากคูคูซอเรียน มอไซค์ของเทพไฟนี่ทั้งบิน ทั้งไต่กำแพง ทั้งแล่นบนน้ำได้นี่ สกัดเย็นจากซอเรี่ยน 3 ชนิดแน่นอน 🦕🦕🦕🔪

132 Nameless Fanboi Posted ID:a8OSKzi4yf

>>130 เออ ไปเขียนเรื่องคนอื่นบ้าง ไม่ต้องเขียนเรื่องกุก็ได้ กุไม่อยากเป็นหนังสือ ที่ถูกอ่าน

เหมือนพวกที่อยู่มิติสูงกว่า มองเห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ พวกคนเงามืดสนิท เราเห็นหน้าพวกมันไม่ได้ แต่สิ่งที่กุรู้มีอย่างเดียว พวกมิติสูงกว่ามองเราเป็น landscape เหมือนเราเป็นปศุสัตว์ และกำลังหัวเราะเยาะกุอยู่ เป็นศัตรู nemesis ของมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ เพราะปกติกุไม่เป็นศัตรูกับใคร i have no enemy แต่สัญชาตญาณ ได้ส่งต่อมาหากุว่านั่นคือศัตรูแน่นอน

133 Nameless Fanboi Posted ID6:v9/MkYakdl

ทำไมเว็บช้าวิเคราะห์สิ

134 Nameless Fanboi Posted ID6:Whq24N0vMj

วันศุกร์ที่ 22 เดือน 11 : >>134
[ท่านยามากุจิ และน้องสาว]
>>>/game/19067/303-305/

คำพูดของท่านยามากุจิในที่นี้สะท้อนถึงการมองเห็นความแตกต่างระหว่าง "คนที่เข้าใจ" กับ "คนที่เป็นแค่ผู้ติดตาม" ของวัฒนธรรมอะนิเมะและมังงะ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็วในสังคมปัจจุบัน

การที่น้องสาวของท่านสะสมฟิกเกอร์, ดูการ์ตูน JJK (Jujutsu Kaisen), One Piece และอ่านมังงะ Tokyo Ghoul อาจจะดูเหมือนเป็นการแสดงออกถึงความเป็น "คนที่หลงใหล" หรือมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับโลก 2D ในระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง อาจมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น การเสพสื่อเหล่านี้สามารถมองได้หลายมุมมากๆ

1️⃣ การแสดงออกทางอัตลักษณ์: วัฒนธรรมอะนิเมะและมังงะในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงแค่การเสพความบันเทิง แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการแสดงออกถึงตัวตนในสังคมของคนรุ่นใหม่ อาจเป็นการแสดงความคิดที่ "ไม่เหมือนใคร" หรือแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง (Ono, 2020) ขึ้นกับสื่อที่เลือกเสพ หรือเข้าไปมีส่วนร่วม(fandom, subculture, fanboi)

2️⃣ ความหลงใหลในฟิกเกอร์และมังงะ: การสะสมฟิกเกอร์หรือการติดตามมังงะเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงความรักและความสนใจในโลกที่สร้างขึ้นจากความคิดและจินตนาการ มันไม่จำเป็นต้องเป็นการ "บ้า" หรือหมกมุ่นในบางสิ่ง แต่สามารถหมายถึงการชื่นชอบในสุนทรียะของศิลปะและการเล่าเรื่องที่มีความลึกซึ้งและมีความหมาย (Nakamura, 2013) ที่ให้ความสนุกเพลิดเพลิน หรือน่าสนใจแก่ผู้เสพ

คำพูดของท่านยามากุจิมีความลึกซึ้งในด้านการสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง และความหมายที่ซ่อนอยู่ในการมีน้องสาวในชีวิต มันไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับบทบาททางสังคมที่สังคมคาดหวังจากพี่ชาย แต่ยังเกี่ยวข้องกับความรู้สึกเชิงอารมณ์และจิตวิทยาที่เกี่ยวกับความเป็น "ครอบครัว" ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาอัตลักษณ์ของบุคคลในสังคม (Bowlby, 1969) ท่านยามากุจิได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนระหว่างพี่ชายและน้องสาว ซึ่งแสดงถึงการพึ่งพาและการให้ความรักที่มีคุณค่าทางจิตใจ ลึกลงไปในจิตวิทยาของมนุษย์ ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางอารมณ์และช่วยให้บุคคลรู้สึกว่ามีที่ยืนในโลก (Ainsworth, 1989) น้องสาวไม่ได้เป็นเพียงแค่ "สมาชิกของครอบครัว" แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไปได้ในการมีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนใครในชีวิตของพี่ชาย

ที่ท่านยามากุจิเสนอว่า "ไม่มีพี่สาว" แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขาดหายอะไร ข้อความนี้สามารถตีความได้ว่า ท่านเข้าใจถึงความหลากหลายและความพลิกผันของชีวิต ทุกความสัมพันธ์ที่ขาดหายไปในชีวิตไม่ได้หมายความว่าจะนำไปสู่ความรู้สึกของการขาดแคลนเสมอไป แต่บางครั้งการยอมรับสถานการณ์และการปรับตัวกลับกลายเป็นการเติบโตทางจิตใจที่ทำให้เราเข้าใจตัวเองและสังคมรอบข้างได้ดีขึ้น (Neff & Germer, 2013)

การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ถ้าหายไปมันคงขาดอะไรสักอย่าง" นั้นก็เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกที่สำคัญต่อการมีบุคคลที่เข้าใจและสนับสนุนในชีวิต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบทบาทของสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ได้จำกัดแค่ในเชิงบทบาททางสังคม แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเติมเต็มจิตใจและความรู้สึกของการเป็น "ผู้ใหญ่" หรือ "ผู้รับผิดชอบ" ในชีวิตจริง นั่นคือการรับผิดชอบ คือ ไม่โทษสิ่งอื่น และยอมรับในหนทางที่ตัวเองเลือก (อ่าน >>113 )

อ้างอิง:
Allison, A. (2006). Millennial monsters: Japanese toys and the global imagination. University of California Press.
Nakamura, L. (2013). Cybertypes: Race, ethnicity, and identity on the internet. Routledge.
Ono, K. (2020). Japanese popular culture and globalization. In J. A. Lent (Ed.), Handbook of Japanese popular culture and society (pp. 98-113). Routledge.
Ainsworth, M. D. S. (1989). Attachment beyond infancy. American Psychologist, 44(4), 709–716.
Bowlby, J. (1969). Attachment and loss: Volume I. Attachment. Basic Books.
Neff, K. D., & Germer, C. K. (2013). A pilot study and randomized controlled trial of the mindful self-compassion program. Journal of Clinical Psychology, 69(1), 28-44.

135 Nameless Fanboi Posted ID6:Whq24N0vMj

วันศุกร์ที่ 22 เดือน 11 : >>134 >>135
[ท่านยามากุจิในความมืด]
>>132

* เงาดำเป็นสิ่งที่ท่านยามากุจิกล่าวถึงหลายครั้ง แต่เนื่องจากความไม่สะดวกของผู้วิเคราะห์ ครั้งนี้จึงขอจำกัดขอบเขตุให้อยู่ในเฉพาะส่วนความเห็น >>132 เท่านั้น บทความเต็มจะตามมาภายหลัง *

อย่างแรกคำว่า “ศัตรู" หรือ "nemesis" ที่กำลังหัวเราะเยาะมนุษย์ สิ่งนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในเรื่องของ power dynamics หรือการที่อำนาจถูกกระจายไปในรูปแบบที่ไม่สามารถเข้าใจได้จากมุมมองของมนุษย์ปกติ การที่ท่านยามากุจิเห็นว่าพวก "มิติสูงกว่า" เป็นศัตรูของมนุษยชาติ แสดงถึงการมองเห็นโลกในมุมมองที่มนุษย์มีบทบาทเป็นแค่ตัวละครในเกมใหญ่ที่ถูกควบคุมจากอำนาจที่เหนือกว่า เช่นเดียวกับที่ Michel Foucault (1975) กล่าวถึงการที่อำนาจในสังคมมักมีการกระจายออกไปอย่างไม่เห็นได้ชัด และไม่สามารถมองเห็นได้จากสายตาปกติ การที่เราเป็น "ศัตรู" อาจเป็นเพียงการสะท้อนถึงการที่มนุษย์ต้องเผชิญกับอำนาจที่เหนือกว่า และถูกควบคุมอย่างไม่รู้ตัว

คำพูดที่ว่า "สัญชาตญาณ ได้ส่งต่อมาหากุว่านั่นคือศัตรูแน่นอน" นั้นสะท้อนถึงแนวคิดในด้าน Instinctive Knowledge หรือการรับรู้ที่มาจากภายในจิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้โดยใช้เหตุผลหรือการคิดเชิงตรรกะ ความรู้สึกนี้คล้ายกับที่ Carl Jung (1959) กล่าวว่าเกี่ยวกับ "collective unconscious" หรือจิตใต้สำนึกร่วมของมนุษย์ที่สามารถเก็บบันทึกประสบการณ์และความรู้สึกที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งท่านยามากุจิเป็นอัจฉริยะบุคคลที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดีจะสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้

การที่ท่านยามากุจิเห็นพวก "เงามืด" เป็นศัตรูของมนุษยชาติ อาจจะเกี่ยวข้องกับการมองเห็นถึงความไม่มั่นคงของโลกและความรู้สึกที่ว่า มนุษย์ กำลังตกอยู่ในภาวะที่เกินควบคุม โดยที่ "ศัตรู" หรือ "nemesis" ที่ท่านพูดถึงนั้นอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของภัยที่มองไม่เห็นหรือไม่ได้รับการยอมรับในมิติทางสังคมและจิตวิทยาของมนุษย์ ไม่สามารถถูกเข้าใจได้ตามหลักการทั่วไป ส่วนการที่ท่านไม่ได้เป็น "ศัตรูกับใคร" ตามที่ท่านกล่าวถึง อาจจะสะท้อนถึงความเข้าใจในเรื่องของ "the other" หรือ "คนอื่น" ในทางปรัชญา

สำหรับคำพูดของท่านยามากุจิ "ไม่อยากเป็นหนังสือ ที่ถูกอ่าน" สะท้อนถึงการไม่อยากเป็นสิ่งที่ถูกตีความหรือถูกควบคุมจากภายนอก มันเป็นการพูดถึงการต่อต้านการถูกจัดการเป็น "วัตถุ" หรือ "เนื้อหา" ที่ถูกตรวจสอบและตีความโดยผู้อื่น ซึ่งคล้ายกับความคิดใน Deconstruction ของ Jacques Derrida (1976) ที่กล่าวถึงการแยกแยะการตีความที่มีอำนาจเหนือสิ่งที่ถูกตีความอยู่เสมอ การที่มนุษย์หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งถูก "อ่าน" หรือถูกตีความก็เท่ากับการจำกัดตัวตนและเสรีภาพในการแสดงออกของมนุษย์นั่นเอง

อ้างอิง:
Derrida, J. (1976). Of Grammatology. Johns Hopkins University Press.
Foucault, M. (1975). Discipline and Punish: The Birth of the Prison. Pantheon Books.
Jung, C. G. (1959). The Archetypes and the Collective Unconscious. Princeton University Press.
Nietzsche, F. (1883). Thus Spoke Zarathustra. Dover Publications.

136 Nameless Fanboi Posted ID6:Whq24N0vMj

>>133 เท่าที่สังเกตุจะเป็นมากช่วง 6 โมงเดาว่าน่าจะเป็นเพราะคนเข้าเยอะครับ หรือไม่ก็มีการเรียกใช้ api จากสาเหตุอื่น เช่น มีการโจมตี DDoS เกิดขึ้นจนทางเซิฟไม่สามารถที่จะรับมือไม่ได้กับคำขอที่ส่งเข้ามาได้

สำหรับเรื่องนี้ต้องให้แอดมินเสินลองตรวจสอบดูครับ เพราะนอกจากที่กล่าวไปยังมีได้อีกหลายสาเหตุ
- การอัพเดทที่ผิดพลาด ปัญหาด้านการ Maintenance คิดว่าไม่น่าจะใช่สาเหตุนี้
- การตั้งค่า WAF, DNS, และอื่นๆ
- ท่านเสินลดสเปคคอมเซิฟเวอร์ลงเลยเกิดปัญหาทรัพยากรไม่พอ

อ้างอิง : trust me bro

137 Nameless Fanboi Posted ID:DyKr5AcfZa

ในเชิงพลังงานและจิตหลัก

การ "ดูดซับ" หมายถึงการใช้จิตหลัก (Core Self) ของคุณเป็นศูนย์กลางในการควบคุมพลังงานภายนอก:

การหลอมรวม: ไม่ว่าพลังงานนั้นจะเป็นความรัก ความหลง หรือความเจ็บปวด คุณใช้มันเพื่อสร้าง "ตัวตนที่แข็งแกร่ง" ที่ไม่ถูกทำลายโดยสิ่งรอบข้าง

การบริโภคพลังงาน: เช่นเดียวกับที่ร่างกายใช้พลังงานจากอาหาร จิตใจสามารถใช้พลังงานจากอารมณ์หรือประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างตนเอง

ตัวอย่างวิธีทำ:

1. ตั้งสมาธิ: จินตนาการว่าความรู้สึกเหล่านั้นเป็นพลังงานที่คุณสามารถดูดซับได้

2. ดึงพลังงานเข้าสู่จิตหลัก: มองว่าความรู้สึกนี้คือ "อาหาร" ที่คุณกำลังหลอมรวมเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังสร้างสรรค์

คุณอาจเป็นผู้สร้างแนวคิดเฉพาะตัว

หากคุณกำลังใช้งานแนวคิดนี้ในลักษณะเฉพาะตัว คุณอาจเป็นคนพัฒนาวิธีนี้เอง โดยปรับแต่งมาจากความเข้าใจในชีวิตและปรัชญาที่คุณยึดถือ สิ่งนี้ถือเป็นกระบวนการที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะการใช้จิตหลักดูดซับพลังงานนั้นมักขึ้นอยู่กับมุมมองส่วนบุคคลและประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงของคุณเอง

138 Nameless Fanboi Posted ID6:KFPjEvHA2R

>>137 คืออะไรครับ

139 Nameless Fanboi Posted ID6:KFPjEvHA2R

หนังสือโม่ง (เล่มมีสาระ)
[รวมลิงค์มีประโยชน์ 1]

แจกโปรแกรมกรองสแปม/ฟลัดในบอร์ดโม่ง v2 (10/2023 อัพเดล่าสุด Aug 20, 2024)
>>>/lounge/17835/

Script บล็อค สำหรับใช้งานโม่ง (11/2024)
>>>/vtuber/19155/495/

สคริปต์ Green text
>>>/lounge/6563/37/

140 Nameless Fanboi Posted ID:DyKr5AcfZa

>>138 ปกติ อมนุษย์ หรือ ปีศาจ จะกิน บาปทั้ง7เป็นอาหาร เลยคิดว่าจะลองเอาวิธีนี้มาปรับใช้เล็กน้อย เปรียบเหมือนพลังงานสกปรก ให้เปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาดของเราเอง

กุคิดวิธีมาได้ไม่นานนี้ละ

141 Nameless Fanboi Posted ID6:KFPjEvHA2R

--------------------------------------------------
วันเสาร์ที่ 23 เดือน 11: >>139, 141-143
[ท่านยามากุจิ และการวางแผน ตอนที่ 1]
>>>/game/19067/305-309
--------------------------------------------------
อ่าน >>134 เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม เกี่ยวกับคำพูดอันลึกซึ้งของท่านยามากุจิ

"กุชอบอะไรที่วางแผนบงการ หักเหลี่ยม เฉือนคมมากกว่า"
- ท่านยามากุจิ Nov 23, 2024 at 15:24:00 ID:.bweMu.GBs

คำพูดดังกล่าวอาจดูเป็นอะไรที่เรียบง่ายที่ท่านยามากุจิกล่าวถึงความชอบส่วนตัวของท่าน หากแต่แท้จริงแล้วคำพูดดังกล่าวเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยปรัชญาของการใช้ชีวิตที่มีการวางแผนอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความชาญฉลาดในการเล่นเกมของท่าน แต่ยังแสดงบ่งชี้ถึงความเข้าใจใน "เกมชีวิต" ที่แท้จริง โดยเฉพาะในโลกที่ทุกการกระทำมีผลต่อผลลัพธ์ในอนาคต การ "วางแผนบงการ" ถือเป็นการใช้กลยุทธ์ที่สามารถเข้าใจได้จากทั้งปรัชญาและจิตวิทยา ซึ่งเป็นวิธีที่มนุษย์ใช้ในการควบคุมและทำนายพฤติกรรมของผู้อื่น (Cialdini, 2009) เช่นเดียวกับที่นักกลยุทธ์ในประวัติศาสตร์เคยใช้ในสงคราม ซึ่งความสามารถในการคิดล่วงหน้าและคาดการณ์การกระทำของฝ่ายตรงข้ามจะช่วยให้สามารถเอาชนะได้ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ในทางปรัชญาแล้ว, ความคิดแบบนี้มีความคล้ายคลึงกับแนวคิดของ "การควบคุม" ของท่านนิทเช่ (Nietzsche, 1883) ซึ่งเชื่อว่าการที่มนุษย์สามารถสร้างพลังจากการควบคุมและการวางแผนได้แสดงถึงอำนาจที่สูงส่งและความเป็นเจ้าของโชคชะตาของตนเอง ท่านยามากุจิสามารถถือว่าเป็นตัวอย่างของคนที่มองทุกสิ่งในชีวิตเหมือนเกมที่ต้อง "เล่นให้ชนะ" โดยไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ "ความรู้สึก" หรือ "ความเห็นของผู้อื่น" ท่านมองมันเป็นการ "วางแผน" ที่ต้องให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเสมอ

คำพูดของท่าน "กุไม่ได้วางกับดักอะไรเลยนะ แต่เมิงก็ติดกับดักกันจนได้ ฮาสัส" ถือเป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญในการใช้กลยุทธ์ทางจิตวิทยา หรือที่เรียกว่า "การหลอกล่อ" (Deception) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทางจิตวิทยาของท่านฟรอยด์ (Freud, 1923) ที่ว่าผู้คนมักตกเป็นเหยื่อของจิตใต้สำนึกของตนเอง ในกรณีนี้ ผู้พูดไม่ได้เป็นผู้วางกับดัก แต่กลับทำให้ผู้อื่นเข้าไปในสถานการณ์ที่พวกเขาคิดว่าตนเองสามารถควบคุมได้ เมื่อแท้จริงแล้วพวกเขากำลังถูกควบคุมไปตามแผนของผู้พูด ซึ่งมันสะท้อนถึง "ปัญหาของการรับรู้และการคาดการณ์" ที่มนุษย์มีในหลายๆ เรื่อง

อ้างอิง
Cialdini, R. B. (2009). Influence: The psychology of persuasion. Harper Business.
Nietzsche, F. (1883). Thus Spoke Zarathustra. Verlag von E. W. Fritzsch.
Freud, S. (1923). The Ego and the Id. SE, 19: 1-66.

142 Nameless Fanboi Posted ID6:KFPjEvHA2R

--------------------------------------------------
ต่อจาก >>141
วันเสาร์ที่ 23 เดือน 11: >>139, 141-144
[ท่านยามากุจิ และการวางแผน ตอนที่ 2]
>>>/lifestyle/19168/3/
--------------------------------------------------

ใน >>>/lifestyle/19168/3/ ท่านยามากุจิได้กล่าวถึงธรรมชาติของมนุษย์และการมองเห็นความเสี่ยงในชีวิตในมุมที่ค่อนข้างจะระมัดระวังและพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

คำพูดของท่านที่ว่า "โลกนี้ญาติกันก็ฆ่ากันได้ เราต้องคิดในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และเตรียมแผนรับมือไว้ แผน2-3-4 ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย" ท่านยามากุจิได้อธิบายให้เห็นถึงความจริงที่ว่า แม้แต่ในความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุด เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างญาติพี่น้อง ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งหรือการทรยศได้เสมอ ในทางจิตวิทยา การที่ท่านกล่าวถึง "ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย" สามารถอ้างอิงได้กับแนวคิดของ "การคิดในแง่ร้าย" หรือ "การคิดในแง่เลวร้ายที่สุด" ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด การคิดล่วงหน้าในทางจิตวิทยาเช่นนี้เรียกว่า "การพิจารณาความเสี่ยง" (Risk Assessment)

การคิดในแง่ของการประเมินความเสี่ยงนั้น เป็นแนวคิดสำคัญในหลายๆ ด้านของการตัดสินใจ โดยเฉพาะในจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics) ที่นักจิตวิทยาอย่าง Daniel Kahneman และ Amos Tversky ได้ศึกษาถึงวิธีที่ผู้คนประเมินความเสี่ยงและความไม่แน่นอน ในผลงานของพวกเขา "Prospect Theory" (Kahneman & Tversky, 1979) ได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยง มนุษย์มักจะตอบสนองต่อความเสี่ยงในลักษณะที่ไม่ได้มีการคำนวณอย่างมีเหตุผล ซึ่งการวางแผนล่วงหน้าและเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการควบคุมผลลัพธ์ได้

คำว่า "ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย" สะท้อนถึงการเตือนใจไม่ให้ตกอยู่ในสภาวะที่คิดว่าทุกอย่างจะดีเสมอไป ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับทฤษฎีของการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk Aversion) ในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การตัดสินใจ (Mas-Colell, Whinston, & Green, 1995) ที่กล่าวว่า การประมาทหรือการไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและสามารถนำไปสู่ความล้มเหลวหรืออันตรายที่ไม่คาดคิดได้

ในทางยุทธศาสตร์และการวางแผน การมี "แผน 2-3-4" เป็นการเตรียมตัวในกรณีที่แผนแรกล้มเหลว ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีรากฐานในปรัชญาของการเตรียมการอย่างรอบคอบและการคิดล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น ในทฤษฎีการตัดสินใจแบบ "แผนสำรอง" (Contingency Planning) ของทฤษฎีทางทหารและการบริหาร (Drucker, 2007) ซึ่งสนับสนุนแนวคิดว่า เราควรมีแผนการสำรองในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เสียโอกาสหรือกระทบกระเทือนถึงการตัดสินใจในอนาคต

อ้างอิง
Kahneman, D., & Tversky, A. (1979). Prospect theory: An analysis of decision under risk. Econometrica, 47(2), 263-291.
Mas-Colell, A., Whinston, M. D., & Green, J. R. (1995). Microeconomic theory. Oxford University Press.
Drucker, P. F. (2007). The effective executive: The definitive guide to getting the right things done. HarperBusiness.
Schopenhauer, A. (1841). The World as Will and Representation. Dover Publications.
Sun Tzu. (500 BCE). The Art of War.
www.amazon.com/dp/0374533555
www.amazon.com/dp/0060833459

143 Nameless Fanboi Posted ID6:KFPjEvHA2R

--------------------------------------------------
ต่อจาก >>141
วันเสาร์ที่ 23 เดือน 11: >>139, >>141-144
[ท่านยามากุจิ และการวางแผน ตอนที่ 2]
>>>/lifestyle/19168/3/
--------------------------------------------------
การเตรียมตัวให้พร้อมในทุกสถานการณ์และการคิดล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะในเกมหรือในชีวิตจริง การวางแผนที่ดีคือการมีหลายทางเลือกพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์และการรับรู้ของคนอื่น เพื่อที่จะใช้กลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพและไม่หลงกลไปกับสิ่งที่คนอื่นคิดหรือมโนขึ้นมาเอง

บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้: ชีวิตและเกมมีสิ่งที่คล้ายคลึงกันมากในแง่ของกลยุทธ์และการวางแผน การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "กุชอบอะไรที่วางแผนบงการ หักเหลี่ยม เฉือนคมมากกว่า" เป็นการแสดงถึงความเชื่อในการทำให้ทุกการกระทำของตัวเองมีแผนที่ชัดเจนและมีความหมาย การ "หักเหลี่ยม" และ "เฉือนคม" ไม่ใช่แค่การเอาชนะฝ่ายตรงข้ามในทางกายภาพ แต่ยังหมายถึงการใช้ความคิดและกลยุทธ์ในการรับมือกับอุปสรรคและความเสี่ยงในชีวิต ด้วยการคาดการณ์สถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และวางแผนล่วงหน้าเพื่อให้สามารถควบคุมผลลัพธ์ได้มากที่สุด

ในเกม TOF (Tower of Fantasy) หรือแม้แต่ในชีวิตจริง ท่านยามากุจิได้สอนให้เรารู้จักการ "คิดในแง่ร้ายที่สุด" (Worst-case scenario thinking) และเตรียมแผนสำรองสำหรับทุกสถานการณ์ เช่นเดียวกับที่นักกลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่จะเตรียมแผนหลายแผนเพื่อให้พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต (Kahneman & Tversky, 1979) การที่ท่านยามากุจิไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนอื่นคิดหรือ "มโนกันไปเอง" เป็นการสะท้อนถึงการเข้าใจในธรรมชาติของการรับรู้ของมนุษย์ที่ไม่เสมอไปกับความจริง การหลอกล่อคนอื่นให้ติดกับดักโดยไม่ต้องทำอะไรเลยแสดงถึงความเหนือชั้นในการควบคุมสถานการณ์ที่ไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยตรง แต่เกิดจากการเข้าใจในจิตใจของคนอื่น

คำพูดของท่าน "กุไม่ได้วางกับดักอะไรเลยนะ แต่เมิงก็ติดกับดักกันจนได้ ฮาสัส" สอดคล้องกับแนวคิดทางจิตวิทยาของ การบิดเบือนความจริง (Cognitive Bias) โดยที่บุคคลมักตกเป็นเหยื่อของการรับรู้หรือการตีความที่ผิดเพี้ยนจากความจริง เช่น การตัดสินใจโดยอาศัยอารมณ์หรือความเชื่อที่ไม่สมเหตุสมผล (Kahneman, 2011) ความสามารถในการ "ควบคุม" หรือ "หลอกล่อ" คนอื่นจึงเป็นการใช้กลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่ดีในชีวิตและเกม

อ้างอิง
Kahneman, D., & Tversky, A. (1979). Prospect theory: An analysis of decision under risk. Econometrica, 47(2), 263-291.
Mas-Colell, A., Whinston, M. D., & Green, J. R. (1995). Microeconomic theory. Oxford University Press.
Drucker, P. F. (2007). The effective executive: The definitive guide to getting the right things done. HarperBusiness.
Schopenhauer, A. (1841). The World as Will and Representation. Dover Publications.
Sun Tzu. (500 BCE). The Art of War.
www.amazon.com/dp/0374533555
www.amazon.com/dp/0060833459

144 Nameless Fanboi Posted ID6:hDUEUCMVdv

สรุปสั้นๆ

การเตรียมตัวและการคิดล่วงหน้าคือหัวใจสำคัญในการรับมือกับทุกสถานการณ์ทั้งในเกมและชีวิตจริง การวางแผนที่ดีไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการมีทางเลือกหลายทาง แต่ยังต้องเข้าใจลักษณะของมนุษย์และการรับรู้ของคนอื่นเพื่อใช้กลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนรู้จากบทเรียนของท่านยามากุจิที่มองการณ์ไกลและวางแผนล่วงหน้า สอนให้เรารู้ว่า การคาดการณ์สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดและการเตรียมแผนสำรองคือสิ่งสำคัญในการควบคุมผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะในเกมหรือในชีวิตจริง การเข้าใจในธรรมชาติของการรับรู้ของมนุษย์และการใช้กลยุทธ์จิตวิทยาอย่างมีชั้นเชิงจึงช่วยให้เราสามารถจัดการกับความไม่แน่นอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การที่ท่านยามากุจิไม่หลงเชื่อในสิ่งที่คนอื่นคิดหรือมโนขึ้นมาเอง ยังสะท้อนให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์ที่ไม่เพียงแต่เป็นการหลอกล่อ แต่ยังเป็นการเข้าใจในธรรมชาติของการรับรู้ที่อาจผิดเพี้ยนจากความจริงได้ การนำแนวคิดเหล่านี้มาปรับใช้ในชีวิตจริงจะช่วยให้เราสามารถจัดการกับความท้าทายต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ให้ความเชื่อหรือการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนมาหยุดยั้งความสำเร็จของเราได้

145 Nameless Fanboi Posted ID:DyKr5AcfZa

เออ ยังไม่เคยแนะนำหนังสือเลย
นี่หนังสือที่กุเคยอ่านตอน ป.6
https://i.imgur.com/kQbQx7w.jpeg

146 Nameless Fanboi Posted ID6:hDUEUCMVdv

[ผู้ฝึกตน]

ผู้ฝึกตน, ผู้บำเพ็ญ คือผู้ที่ฝึกฝนตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อเป็นเซียน ผู้ฝึกตนแต่ละคนจะมีมรรคา(วิถี เส้นทาง เต๋า) ที่ตัวเองต้องก้าวเดินไปเมื่อบรรลุมรรคาหรือบรรลุเต้า ก็หมายความว่าฝึกตนจนสำเร็จในเส้นทางของตนเองจนบรรลุเป็นเซียนได้
จิตตั้งเดิม คือจิตใจแรกเริ่มที่เป็นสันดานดั้งเดิมของแต่ละคน บางคนบอกว่าการฝึกตนก็คือการทำความเข้าใจจิตดั้งเดิมของตนเองจนเข้าใจเมื่อเข้าใจตนเองดีแล้วก็สามารถฝึกตนจนพัฒนาตนเองได้

จิตแห่งเต๋า ก็คือสภาวะจิตใจของผู้ฝึกตน ยิ่งจิตแห่งเต๋าหนักแน่นและใสกระจ่างมากเท่าไหร่ ก็จะบรรลุการฝึกตนได้สูงมากเท่านั้น กลับกันถ้า จิตแห่งเต๋าขุ่นมัว มีความคิดทางลบ ไม่มั่นใจในตัวเอง และความคิดแย่ๆ ต่างๆ ก็จะทำให้บรรลุขอบเขตต่างๆของการฝึกตนได้ไม่สูงเหมือนกันสภาวะจิตใจนี้ บางที่ผู้ฝึกตนสายอื่นก็อาจจะเรียกต่างกันเช่น ผู้ฝึกกระบี่จะเรียกจิตกระบี่ ผู้ฝึกยุทธ์จะเรียกจิตวีรบุรุษแล้วแต่คนว่าฝึกตนสายอะไร

จิตมาร คือความคิดจิตใจชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในจิตใจของผู้ฝึกตน เป็นสิ่งที่คอยขัดขวางการทะลวงขอบเขตของผู้ฝึกตนระดับสูง ๆ จิตมารอาจจะมีรูปร่างเป็นอะไรก็ได้ที่ถ่วงรั่งผู้ฝึกตนไว้ เช่นอาจเป็นคนรัก อาจเป็นศัตรูอาจเป็นสิ่งที่กลัว หรืออาจจะเป็นตัวเองก็ได้ ปกติจะปรากฏขึ้นมาในตอนอยู่ขอบเขตสูง ๆ ยิ่งฝึกฝนจิตใจมาก ยิ่งเอาชนะจิตมาได้ง่าย ถ้าฝึกฝนจิตใจไม่มากพอก็จะแพ้ให้จิตมารแล้วถูกยึดครองร่างเลยก็ได้

147 Nameless Fanboi Posted ID6:hDUEUCMVdv

>>145 น่าสนใจครับ หลายเล่มหายากแล้วนะครับ

148 Nameless Fanboi Posted ID:lznOdGY2Tv

[รวมฮิตท่านยามากุจิ ประจำวัน]
แปะไว้ก่อนเผื่อใช้วิเคราะห์คำสอนทีหลัง
--------------------------------------------------
Game
.bweMu.GBs
>>>/game/19067/308-322/
--------------------------------------------------
Music
1XXGi3jnDx
>>>/music/19154/599-605/
>>>/music/19154/629-635/
>>>/music/19154/657/
>>>/music/18873/971/
--------------------------------------------------
Subculture
9DZBAu03ep
>>>/subculture/19084/267-273/
--------------------------------------------------
Lifestyle
J3fnLUdMuK
>>>/lifestyle/18824/300-304/
>>>/lifestyle/19168/1-9/
>>>/lifestyle/19145/10-12/
--------------------------------------------------
Webnovel
ZayUgkVN2b
>>>/webnovel/18245/470-477/

149 Nameless Fanboi Posted ID6:hDUEUCMVdv

กระทู้น่าสนใจๆที่อาจเขียนถึงในอนาคต จะว่าไปกระทู้เก่าๆน่าสนใจเยอะมาก
แต่ขุดเองค่อนข้างลำบาก สงสัยคงต้องเขียน tools มาช่วย
กระทู้แรก >>>/lounge/1/
แอดมิน SIRN >>>/meta/16530/
แบทแมน กินหมา กางเกงโยคะ และคำสอนท่านยามากุจิ >>>/lifestyle/19001/95-124/
วันนี้ผมเจอคนลวนลามผู้หญิงบนรถไฟฟ้าครับ >>>/lounge/123/

150 Nameless Fanboi Posted ID:DyKr5AcfZa

เอ่อออ พวกเมิงก็เดินในเส้นทางของตัวเองเถอะ
กุไม่ใช่เจ้าลัทธิ อะไร
แค่เป็นตัวของตัวเอง ก็พอ

พอมีคนตามติดในโม่ง ก็ไม่ได้ทำให้กุต้องact หล่อเท่ หรือคีพลุค กุก็คนธรรมดาสามัญอย่างถึงที่สุด เป็นแค่เงา ไร้ตัวตน

ว่าแต่แม่งยังกะมีคนstalkerในโม้งเลยวะ ไอชิบห

151 Nameless Fanboi Posted ID:xuYHMPMNFT

>>150 เขารำคาญมึงกันหมดแหละ อีควัย ไม่รู้ตัวอีก หน้าด้าน

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.