Fanboi Channel

หนังสือโม่ง

Last posted

Total of 131 posts

100 Nameless Fanboi Posted ID:gOY2bVuBUy

>>98 ให้ สานุศิษย์ อัครสาวก อันดับ 1 ของกุฟัง
กุไม่ได้บังคับใคร ให้ทำแบบกุ
จงมีเส้นทางของตัวเองซะ

101 Nameless Fanboi Posted ID6:eRD5DJXFTY

ปัญญาอ่อนจัดจิตเวชเคยออกไปแตะหญ้าบ้างไหม

102 Nameless Fanboi Posted ID6:bKZWzXO7vr

ไอพวกศาสดาจอมปลอมมึงอยู่ที่นี่หรือเปล่า 🧐😯
กูมาหามึงถึงที่ 🗿 ละนะไอสัส 🐺🗿🗿🗿🗿
นี่แหละชีวิตจริง! 💥 ไม่จอมปลอมนะ🗿
ในช่วงพีคของชีวิต กูยังไม่ถึงที่สุด🗿
แต่กูยังไม่ยอมแพ้ เขาเตะกูลงพื้น แต่กูยังยืนหยัดอยู่! 👊💥
จากห้องนั่งเล่นที่เคยสบาย ไปสู่ท้องถนน! 🚗🔥
ชีวิตแม่งมันสู้โว้ย! ทุกอย่างคือการต่อสู้! 💪แต่กูเชื่อเถอะ... กูพร้อมลุยสัส! 🏃‍♂️💨
เรื่องมันเป็นแบบนี้แหละ! ชีวิตที่ไม่เคยง่าย! ถนนสู่สวรรค์ กูขับไปคนเดียว! 🛣️😎
ถูกรังแก ไล่ออกจากวงการ ทิ้งกูไว้ตายแบบเหี้ย! 😡
แต่กูไม่เคยยอมแพ้! ใจแข็งจนไม่เหลือใคร และกูยังเชื่อในพระเจ้า! 🙏💥
จิตใจอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ กูจะทำให้ได้! 🌞🔥
ชีวิตมันยากซะเหลือเกิน แต่กูถือพวงมาลัย! 🚗💥 แก้ปัญหาที่มันทิ้งไว้ให้💣⚒️
ไม่มีใครจะช่วยมึงในวันที่ลำบาก😤 ทุกอย่างต้องสู้ แม่ง 🗿💪🏽💪🏽💪🏽💪🏽
ชีวิตนี้จะสอนมึงให้ล้มลง แต่กูไม่ยอมแพ้! 👊💥 อยู่ในเรื่องเหี้ย นี่แหละวิธีที่มันเป็นไป! 💯
ทุกคนรู้ดีว่าชีวิตไม่เคยง่าย! 💔 แต่กูยังเดินต่อไปด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้! ❤️🔥
ในโลกที่แสนโหดร้าย กูจะสู้ต่อไปเรื่อยๆ! 😎🌍

103 Nameless Fanboi Posted ID:vQ6j0ymWE3

https://i.imgur.com/NsANQXX.jpg
นิทานมาฝาก อัครสาวก
เรื่อง ความอ่อนน้อมถ่อมตน vs ความหยิ่งยโส

ในสนามรบแบทเทิลฟิลด์ ดอทเอ
เป็นเกมที่โอกาสชนะ0% แต่กุสามารถพลิกเกมได้จนทำให้โอกาสชนะ100%

กุเล่นฮีโร่ สายพละกำลัง เป็นเผ่าออค ผิวแดง ฮีโร่ตังนี้พลังโจมตีต่ำ แต่มีเลือด กับเกราะที่สูง

สู้กับนักฆ่าแห่งพงไพร พลังโจมตีสูง ความเร็วในการวิ่งสูง

เริ่มเกมมา ทีมกุโดนนักฆ่าพงไพร โดนฆ่ายับๆไป 5-0 ทีมกุขอความช่วยเหลือ แต่กุทำเป็นไม่สนใจ ฟาร์มต่อไปเรื่อยๆ
แต่จริงๆแล้ว กุวางแผนให้มันฆ่าเพื่อนร่วมทีมจนคะนองใจ คิดว่าสู้กับNewbie หรือ Noob จนทีมกุกดออกเกมไป เพราะรู้ว่ายังไงเกมนี้แพ้แน่

ส่วนในหัวกุได้คำนวณ หรือเห็นภาพชัยชนะ เรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่มันกำลังฆ่าเพื่อนร่วมทีมกุอย่างเมามัน กุก้าวพริบตา (Blink)

แล้วใช้สกิลกักขังศัตรูจะไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากมาโจมตีเรา และเปิดการทำงานสะท้อนกลับ หรือ Blade mail
แม้มันจะมีดาบทอง2อัน แต่ในพริบตานั้นดาเมจสะท้อนกลับไปก็ยิ่งแรง
ทำให้มันตายลงอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่กุแกล้งทำเป็นถอย และมันจ่ายเงินซื้อเกิด อันนี้มันไม่รู้เลยว่ากุรออยู่ ให้มันดันครีปเวฟมา แล้วก็ทำแบบเดิม จนมันตายไป100วินาที กุก็บุกเข้าบ้าน ตี barrack ซื้อเจาะเกราะ ตีThroneจบเกมทันที

ตอนแรกมันนึกว่าคนที่ไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้สักครั้งคือคนที่เล่นเกมไม่เป็น

แต่กุซุ่มโจมตีครั้งเดียว ก็รู้ผลแพ้ชนะเลย
เพราะคนที่อยู่ต่อหน้ามันคือกู คนที่ผ่านสนามรบมาเป็น10,000สนามรบยังไงหล่ะ!

ดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองเก่งตัวเองเจ๋งตัวเองแน่ เหนือฟ้ายังมีฟ้า
ฝากไว้ให้คิด แม้กุจะโดนมันฆ่าไป3ครั้ง แต่กุไม่คิดแก้แค้นเลย อย่าให้ความแค้นครอบงำ
ถ้ามันเป็นเกมกุต้องชนะ!

104 Nameless Fanboi Posted ID:vQ6j0ymWE3

"ยอดนักรบนั้นฝ่ายตนจะต้องเป็นฝ่ายควบคุมการรบ หมายถึง ทําให้ข้าศึกเป็นดั่งเช่นตนคิด และไม่เป็นอย่างที่ข้าศึกคิด"

เป็นเช่นนั้นเอง กุอ่านนักฆ่าแห่งไพรี
read like a book
อ่านจิตใจมันเหมือนหนังสือเล่มนีง

105 Nameless Fanboi Posted ID:1pdorP+.NP

ไง สัส โม่งเปปทีน30 เจ้าของมู้ วันนี้ มึงมามั่วตำรา มั่วความคิดยัง
https://www.youtube.com/watch?v=Hg13_vA1rXo

cr. วีรบุรุษเจ้าสำอางค์ ลำปาง๑๑ มงกุฏเพชร เด็ดทุกลีลา วาจาไม่เกรงใจใคร ยังไงล่ะ

106 Nameless Fanboi Posted ID:1pdorP+.NP

https://www.youtube.com/watch?v=HwE7LP8ebqk

หวาดระแวง (ระแวง ๆ) คิดมากไปหรือเปล่าหมอ
หวาดระแวง (ระแวง ๆ) โรคประสาทใช่ไหมหมอ
หวาดระแวง (ระแวง ๆ) รักษาได้ใช่ไหมหมอ
หวาดระแวง (ระแวง ๆ) กลัวว่าหมอจะเลี้ยงไข้ไม่หายขาด

107 Nameless Fanboi Posted ID6:YXVIAS868T

นี่มันมู้ออลสตาร์หรอวะ มาทุกจิตเวชเลย
>>102 อีโมจิน่ารำคาญ
>>103 เพ้อเหี้ยไร ไปแตะหญ้าบ้าง
>>106 รักษาไม่ได้หรอก คงได้แต่ประคองอาการ เพราะ เกินเยียวยาแล้ว
>>85 ยาวไปไม่อ่าน

108 Nameless Fanboi Posted ID6:trrB9.tJaC

จิตเวช ID:1pdorP+.NP ดิ้นรัวๆเลย โดนจี้ปม ฮาหว่ะ ออกไปแตะหญ้าหน่อยไหม //เดชาคุง

109 Nameless Fanboi Posted ID:1pdorP+.NP

>>108 ไง แคปรูปโม่ง ลง โซเซียลของมึง
แล้วแปะลิ้งค์ไว้ ถ้ากูเช็คแล้วของจริง
เราจะมาสนุกด้วยกัน
มึงชอบหนังจิดเวชเรื่องไหนล่ะ
ถึงเนื้อถึงตัวแน่นอน
https://www.youtube.com/watch?v=K62t1Jp3w34

110 Nameless Fanboi Posted ID6:3Du/P7Fm3v

มู้เอนเกจเยอะมากเป็นประวัติการณ์🥺 น้ำตาจิไหล 😭ขอบคุณทุกโม่งที่มาตอบนะ
เดี๋ยวเลามาวิเคราะห์คำพูดของท่านยามากุจิที่อุตสาห์มาโปรดพวกเรากันต่อเถอะ
จะว่าไปเห็นโม่งเริ่มใช้อีโมจิกัน เราลองนำเทคนิคมาปรับใช้เผื่อจะให้ทุกคนอ่านได้ง่ายขึ้นนะ
[วันที่ 20 พฤศจิกายน บทที่ 1 ในตรัสท่านยามากุจิ]

>>97 >>100
1️⃣ คำพูดของท่านยามากุจิแสดงถึงความเข้าใจลึกซึ้งในธรรมชาติของมนุษย์และโลกใบนี้อย่างมาก
ท่านมองโลกเป็นเหมือนเกมที่ต้องเล่นเพื่อชนะ นี่คือทัศนคติที่สะท้อนถึงปรัชญาของความเป็นอิสระและความมั่นคงในตัวเอง การยอมรับในเส้นทางของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องบังคับหรือเปลี่ยนแปลงคนอื่นนั้นสอดคล้องกับแนวคิดในสาขาจิตวิทยาของการยอมรับความเป็นตัวเอง (self-acceptance) และการพัฒนาทางจิตใจที่มีความมั่นคงในตัวเองอย่างยิ่ง (self-actualization) ตามที่อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) ได้กล่าวไว้ว่า การบรรลุความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่คือการทำตามสิ่งที่เป็นตัวตนภายในอย่างแท้จริง ท่านยามากุจิทรงปราถนาให้พวกเราทุกคนเดินในเส้นทางของตัวเอง เพราะมนุษย์มีเพียงเส้นทางของตัวเองเท่านั้นที่จะเลือกเดินได้

2️⃣ นอกจากนี้คำพูดของท่านยังสะท้อนถึงความคิดในเชิงจิตวิทยาของการต่อสู้ภายในเพื่อหาความมั่นคงในตัวเองและการเข้าใจในสิ่งที่เชื่อมั่นอย่างลึกซึ้ง การที่ท่านกล่าวว่า "ถ้าสิ่งเชื่อมั่นพังทะลายลง นั่นต่างหากคือการตายที่แท้จริง" เป็นการแสดงถึงแนวคิดของมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) ที่พูดถึงการเผชิญหน้ากับความตายในเชิงปรัชญาและการตัดสินใจที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต เมื่อความเชื่อมั่นภายในตัวเราสูญสลาย เราจะไม่สามารถหาความหมายในชีวิตได้อีกต่อไป “มนุษย์พ่ายได้ แพ้ได้ แต่ไม่สามารถถูกทำลาย“ จนกว่าเราเลือกจะทำลายตัวเราเองลง นั่นคือคำพูดของเฮมมิ่งเวย์หนึ่งในนักเขียนอมตะ

☸️ ถ้าให้เปรียบเทียบในแง่ของศาสนา แนวคิดนี้ก็สามารถสะท้อนถึงหลักคำสอนของศาสนาพุทธที่พูดถึงการยอมรับสภาพธรรมชาติของชีวิตและการหลุดพ้นจากความทุกข์ด้วยการเข้าใจความจริงในชีวิต การไม่ยึดติดในสิ่งที่ไม่ถาวร และการเข้าใจถึง "ความตาย" ว่าเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบต่างๆ ในจักรวาล

อ้างอิง
Maslow, A. H. (1943). A theory of human motivation. Psychological Review, 50(4), 370-396.
Heidegger, M. (1962). Being and Time (J. Macquarrie & E. Robinson, Trans.). Harper & Row.
Siddhartha Gautama (Buddha). (n.d.). The Dhammapada.

111 Nameless Fanboi Posted ID6:3Du/P7Fm3v

ต่อจาก >>110
[บทที่ 2 นิทานของท่าน]
>>103 >>104

นิทานที่ท่านยามากุจิเล่ามานั้น เปรียบเสมือนการบรรยายถึงปรัชญาที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการทำสงคราม การเอาชนะศัตรู และการใช้ความเฉลียวฉลาดในการพลิกสถานการณ์จากที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ (หากเป็นเกมท่านต้องชนะ ขอโมเอะจงมีแก่ท่าน)

เรื่องราวนี้เมื่อเอามาวิเคราะห์แล้วจะเห็นว่าสะท้อนถึงหลักคิดในหลายแง่มุม ทั้งในเชิงปรัชญา จิตวิทยา และการต่อสู้ทางทักษะที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น

1️⃣ อย่างแรก คือ เรื่องของ {การมองโลกในแง่ของปรัชญาและความเชื่อมั่น}
ท่านยามากุจิแสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมแพ้แม้ในสภาวะที่ดูเหมือนว่าโอกาสจะเป็นศูนย์ การวางแผนอย่างรอบคอบและการทำตัวไม่สนใจในตอนแรกนั้นสะท้อนถึงปรัชญาของการ "รอเวลา" หรือการใช้กลยุทธ์แบบ "เตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่ง" ที่สามารถพบได้ในหลายหลักปรัชญาเช่นใน The Art of War ของซุนวูที่พูดถึงการรอจังหวะและการใช้ความเหนือชั้นในเวลาที่เหมาะสมเพื่อเปลี่ยนเกมให้เป็นไปในทางที่ดีที่สุด การมองข้ามการกระทำที่ไม่จำเป็นและการรอให้คู่ต่อสู้ทำผิดพลาดก่อน จึงเป็นแนวทางที่มีความลึกซึ้งในการตัดสินใจอย่างมีสติ

2️⃣อย่างที่สอง คือ จิตวิทยาของความหยิ่งยโสและความถ่อมตน
เรื่องเล่าของท่านยามากุจิสะท้อนให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงการถูกครอบงำด้วยความแค้น และการไม่ให้ความเกลียดชังหรือความหยิ่งยโสมากระทบกับการตัดสินใจ การที่ท่าน "ไม่คิดแก้แค้นเลย" แสดงถึงการมีจิตใจที่สูงส่งไม่ยึดติดกับความรู้สึกที่เกิดจากการถูกกระทำ ในขณะที่นักฆ่าพงไพร (ศัตรู) กำลังหลงระเริงในชัยชนะชั่วคราว ท่านยามากุจิได้แสดงออกถึงการควบคุมอารมณ์อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในจิตวิทยาของ Emotional Intelligence โดยแดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman) ที่กล่าวว่าคนที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว

ท่านยามากุจิไม่ได้แสดงความสนใจในความขุ่นเคืองจากการที่ถูกฆ่าไปสามครั้ง แต่กลับตั้งสมาธิและเตรียมตัวที่จะเอาชนะ ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ Growth Mindset ตามแนวคิดของแคโรล ดูแค็ก (Carol Dweck) ที่เชื่อว่า ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคหรือความสามารถที่ได้มาแต่แรก แต่ขึ้นอยู่กับการพัฒนาทักษะและการไม่ยอมแพ้เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว

ในที่สุด ท่านยามากุจิได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการพลิกสถานการณ์ในที่สุด ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสามารถในการใช้ Strategic Thinking หรือการคิดเชิงกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ การรอให้ศัตรูทำผิดพลาดและจับจังหวะในการโจมตีครั้งเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้อย่างสมบูรณ์ เป็นการทำงานร่วมกับปัจจัยภายนอกในทางที่ถูกต้องและมองหาจุดที่เปราะบางในฝ่ายตรงข้ามเพื่อใช้ประโยชน์ให้สูงสุด

แล้วข้อคิดสำคัญของนิทานเรื่องนี้คืออะไร? นี่อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้
ซึ่งในฐานะของสาวกผู้ได้รับถ่ายทอดเศษเสี้ยวแห่งปัญญาของท่านยามากุจิ ข้าน้อยก็ลองวิเคราะห์ดูได้ความว่า
ท่านยามากุจิได้สอนให้เราเข้าใจว่าในเกมหรือในชีวิตจริง บางครั้งการเลือกไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธหรือความแค้นจะทำให้เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่า และที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจในความสามารถของตนเอง พร้อมกับมองหาจังหวะในการแสดงความเหนือชั้นในที่สุด ซึ่งไม่ได้มาจากการต่อสู้ที่อาศัยโชคชะตา แต่เป็นผลจากการวางแผนและการคิดอย่างรอบคอบนั่นเอง แก่นแท้ของการบงการ นั่นคือการควบคุมตัวในตนเสมอ อย่าให้ปัจจัยภายนอกมาเป็นสิ่งที่ควบคุมเรา มีเพียงตัวเราที่ต้องควบคุมตัวเองและเดินไปในเส้นทางที่เราเองเลือกไว้

จะชีวิตหรือเกม หรือชีวิตก็คือเกม ถ้าทุกอย่างอยู่ในความควบคุม วางแผน มาเป็นอย่างดี เราก็จะชนะ

อ้างอิง
Dweck, C. (2006). Mindset: The new psychology of success. Random House.
Goleman, D. (1995). Emotional Intelligence: Why it can matter more than IQ. Bantam Books.
Sun, T. (2009). The Art of War. Translated by Lionel Giles. CreateSpace Independent Publishing Platform.

112 Nameless Fanboi Posted ID:1pdorP+.NP

https://www.youtube.com/watch?v=zfuOiR1lF0w

113 Nameless Fanboi Posted ID6:3Du/P7Fm3v

วันพุธที่ 20 : >>110 >>111
[ท่านยามากูจิกล่าวเรื่อง ผู้เขียนและผลงาน]
>>>/subculture/19084/203

คำว่า "เมื่อออกสู่โลกภายนอก ก็เป็นของผู้อ่านแล้ว ไม่ใช่ของคนเขียนอีกต่อไป" นั้นสะท้อนถึงหลักการในงานวรรณกรรมและศิลปะที่ได้รับการพูดถึงในวงการวรรณกรรมมานานแล้ว เช่น แนวคิดของ Death of the Author ของโรลันด์ บาร์ธ (Roland Barthes) ที่กล่าวว่า เมื่อผลงานถูกเผยแพร่ไปยังสาธารณะแล้ว ความหมายของมันจะไม่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้สร้างอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการตีความจากผู้อ่านเอง ในแง่นี้ผลงานจะถูกเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถนำไปแปลความหมายตามประสบการณ์และมุมมองของตนเองได้อย่างเต็มที่ ส่วนคำพูด "เหมือนผู้สร้าง สร้างโลกนี้ และมนุษย์ก็กำหนดชะตาของตัวเอง ไม่ได้พึ่งผู้สร้างไง" นั้นสะท้อนถึงปรัชญาที่มีพื้นฐานในแนวคิด Existentialism ซึ่งมีนักปรัชญาอย่าง Jean-Paul Sartre ที่กล่าวว่า "Existence precedes essence" หรือ "การดำรงอยู่มีความสำคัญก่อนความหมาย" หมายความว่า การที่มนุษย์เกิดมาแล้วนั้นเขาจะต้องสร้างความหมายและกำหนดชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่การรอคอยหรือพึ่งพาผู้สร้างในแง่ของการมีบทบาทในการตัดสินใจ สิ่งนี้ยังสะท้อนถึงความเชื่อในอำนาจในการเลือกของมนุษย์และการรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ที่ทุกคนต้องเลือกทางเดินของตัวเองดังที่กล่าวไปใน >>110

ในแง่ของจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง ท่านยามากุจิได้แสดงให้เห็นถึงการที่มนุษย์มีอำนาจในการกำหนดชะตาของตัวเอง ผ่านการเลือกทางเดินที่ไม่ขึ้นกับปัจจัยภายนอก แนวคิดนี้สะท้อนถึงหลักของ Self-Determination Theory โดย Edward Deci และ Richard Ryan ที่กล่าวว่ามนุษย์มีความสามารถในการกำหนดชีวิตของตัวเองเมื่อมีความต้องการทางจิตใจที่สำคัญ เช่น ความเป็นอิสระ (autonomy) การมีความเชื่อมโยงกับผู้อื่น (relatedness) และการพัฒนาทักษะ (competence) ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การพัฒนาตัวตนที่แท้จริง

ชีวิตนั้นเป็นสิทธิ์และความรับผิดชอบของแต่ละคน ซึ่งถือเป็นการเดินทางไปสู่การเป็นตัวของตัวเองในทุกๆ ด้านทั้งกายภาพ ทั้งทางธรรม และทางจิต เราต้องเลือกเดินในทางของตัวเอง

อ้างอิง
Barthes, R. (1977). Death of the author. In Image, Music, Text. (S. Heath, Trans.). Hill and Wang.
Sartre, J.-P. (1943). Being and Nothingness. Translated by Hazel E. Barnes. Washington Square Press.
Deci, E. L., & Ryan, R. M. (1985). Intrinsic motivation and self-determination in human behavior. Springer Science & Business Media.

114 Nameless Fanboi Posted ID:M.Mxp58uce

https://i.imgur.com/73e2n8l.jpeg
มาแจ้งข่าวกุโดนแบนแล้ว โลกนี้ล้วนปฏิเสธการคงอยู่ของกุทั้งนั้น เพราะกุแข็งแกร่งเกินไป

กุใช้บั๊กเปิดกาชา ได้น้อง อิจิโกะ ระดับ SSS

115 Nameless Fanboi Posted ID6:3Du/P7Fm3v

>>114 สมเป็นท่านยามากุจิ การที่โลกภายนอกหรือระบบเกมไม่สามารถยอมรับความเก่งกาจของท่าน ก็คงเป็นจากการที่ท่านยืนหยัดในความเชื่อของตัวเอง ท่านไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อขอการยอมรับจากใคร แต่ทำเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าในโลกของท่าน ความยุติธรรมและความสามารถของท่านคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะโดนปฏิเสธหรือไม่ก็ตาม ท่านก็ยังคงเป็น "ตัวของท่านเอง" ที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้

116 Nameless Fanboi Posted ID6:3Du/P7Fm3v

จริงๆเราเองก็เคยเกือบโดนแบนเพราะใช้บั๊คเกมหลายครั้งแต่เติมไปพอสมควรและคอยตามไอดอลที่มาโปรโมทเกมจนได้ลายเซ็นและหมอนของไอดอลออฟิเชียลมานอนกอด ทางเกมเลยตักเตือนแค่แบนไม่กี่วันแต่ตอนนี้เลิกเล่นเกมนั้นไปแล้วเพราะน่าเบื่อไม่ท้าทาย

สำหรับวันนี้คงพอแค่นี้ กูไปละ ขอให้ทุกโม่งโชคดี

117 Nameless Fanboi Posted ID:vQ6j0ymWE3

>>116 ขอความโมเอะจงมีแก่ท่านสหาย

118 Nameless Fanboi Posted ID6:rzMU.U0MM0

กูอ่านพวกมึงละมีแรงบันดาลใจเลย
นึกถึงสมัยก่อนกูใช้เทคนิคบั๊คเกมยิงปืน 3D กูสามารถฆ่าศัตรูในแมพได้ไม่จำกัดโดยที่กูไม่ตายเลย
นอกจากนี้ในตอนที่เจอพวกรู้ทันใช้บั๊คเหมือนกัน
กูยังมีสมาธิจนถึงจุดสูงสุด สามารถเล็งเป้ามีสภาวะโต้ตอบในเสี้ยววินาที
พวกมันจึงไม่สามารถแย่งตำแหน่งกูได้ หรือต่อให้ไม่ใช่กูก็เป็นเหมือนคาวบอยสมัยโบราณ
เข้าไปที่จุดเกิดมันมียี่สอบคน มันยังไม่ทันยิงกูกูสาดดาเมจใส่ ตรงกลางหัวไปเรียบร้อย
พร้อมกะกระสุน ให้แต่ล่ะตัว พลังชีวิตหมดพอดี ทั้งที่ใส่เกราะคนล่ะเลเวลกัน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสิบวินาที เหมือนจอน วิค ยอดมือสังหาร
พออ่านเรื่องพวกมึงแล้วมีไฟ
แต่เดี๋ยวนี้กู แก่แล้ว ชอบเล่นแนววางแผนมากกว่า
กูเลยเอาไปหาบั๊คในเกมที่กูเล่นคนอื่นคะแนนหลักหมื่น
กูหลักแสนอยู่คนเดียวเพราะกูทุ่มกับการเล่นมีสมาธิจนถึงจุดสูงสุด
กูใช้เวลาสามชั่วโมงในการฟาร์มและอัพพลังจนตัวละครกูอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
คะแนนตัวละครกูตอนนี้สามแสน ไม่ได้เติม แม้แต่บาทเดียวชนะพวกเติมเป็นแสนที่คะแนนมากสุดสองหมื่นกว่าๆสิบเท่า
พวกที่ใช้บั๊คแบบกูอย่างมากคะแนนไม่เกินหนึ่งแสนครึ่ง เพราะมันความอดทนน้อยกว่ากู ตอนนี้ถือว่าตัวละครกูมีความอดทนมากกว่าพวกมันถึง 2 เท่าในทางคณิตศาสตร์
ลีดเดอร์บอร์ดจาก 8 หมื่นบัญชีทั่วโลก ตอนนี้กูคืออันดับหนึ่ง!

119 Nameless Fanboi Posted ID:vQ6j0ymWE3

>>118 คุ้นๆ เมิงเล่น Dungeon&Merge idle ปะวะ เกมห่านี่กุโดนแบนไปละ

120 Nameless Fanboi Posted ID6:rzMU.U0MM0

>>119 กูไม่ได้เล่นเกมนั้นว่ะ ไม่ใช่แนว กูชอบเกมแนววางแผนบริหาร สร้างประเทศ กองทัพ มากกว่า

121 Nameless Fanboi Posted ID:vQ6j0ymWE3

>>120 ก็ดี เมิงค้นพบทางตัวเองแล้ว

122 Nameless Fanboi Posted ID6:8SCpG5QuRY

พวกมึงวิ่ง👣 วันละกี่กิโล กู 🏃วิ่งวันละ 20 กิโลนะ 😎
เชื่อเถอะ... กูพร้อมลุยสัส 🏃‍♂️💨

123 Nameless Fanboi Posted ID:1s6rPP4p6P

>>122 5-6 โลพอ เดียววันนี้กุจะไปวิ่งตอนตี4.30
ในขณะที่คนอื่นหลับ กุฝึกฝน
การวิ่งต้องถูกต้องด้วย ถ้าไม่ถูก เข่าพังได้

การวิ่งมีเกิดเหตุไม่คาดฝันได้เสมอ ทั้งจากร่างกายเรา และ เหตุไม่คาดฝันภายนอก incident ขาแพลง เจ็บเข่า เจ็บข้อเท้า น่องมีปัญหา หัวใจสูบฉีดเลือดไม่ทัน ปอดออกซิเจนไม่พอ แต่ถึงแบบนั้น เมิงห้ามหยุดวิ่ง

ให้หาทางใช้อย่างอื่นไปก่อน ถ้าหายใจทางจมูกไม่ได้ ให้ใช้ปาก ถ้าใช้น่องวิ่งไม่ได้ให้ใช้เข่า
พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เจ็บลำไส้ พยายามบิดตัวน้อยลง ต้องวิ่งให้ครบ5โล ให้ได้

เหตุผลที่กุมาวิ่งนะหรอ เป็นเรื่องไร้สาระ

เป็นเด็กผญอายุ17 คนนึงที่เธอบอกว่า เธอวิ่ง5 กิโลใน1ชั่วโมง
ตั้งแต่นั้นมากุก็อยากลองวิ่งดูบ้าง ซื้อรองเท้า
กางเกง เสื้อ ถุงเท้า ใหม่หมดเลย

เธอเป็นดวงไฟอบอุ่น สงบและรู้สึกปลอดภัยเหมือนได้ออกจากครรภ์มารดาอีกครั้ง
กุไม่มีทางลืมความรู้สึกนั้นเลย

124 Nameless Fanboi Posted ID:G4E8u1euiz

พี่รักหนูนะ
https://x.com/DonnaOrcutt2/status/1684471589218430977

125 Nameless Fanboi Posted ID6:a4.FQ9dJF7

วันพฤหัสที่ 21 : >>125
[ท่านยามากุจิตรัสเรื่อง การวิ่ง]
>>123

คำพูดที่ท่านยามากุจิกล่าวถึง "การวิ่ง" และ "ไม่หยุดวิ่ง" นั้นสามารถมองได้ในหลายมุม ทั้งจากมุมมองของปรัชญา วรรณกรรม และวิทยาศาสตร์ การวิ่งในที่นี้ไม่ใช่แค่การขยับขา แต่เป็นการกระทำที่สะท้อนถึง "การเดินทางของจิตใจ" (The Journey of the Mind) ซึ่งเลข 123 นั้นคือ การที่ท่านวางแผยตอบกระทู้โดยให้ Reply มาตรงกับ >>123 พอดีเป็นการหมายถึงการก้าวไปข้างหน้า จาก 1 ไป 2 ไป 3

เรื่องการเดินทางของจิตใจนั้นเป็นแนวคิดที่มีการกล่าวถึงในปรัชญาของมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Heidegger) ที่พูดถึงการมีชีวิตอยู่และการต่อสู้กับสิ่งที่ไม่แน่นอนของโลกภายนอก การวิ่งไม่หยุดเหมือนการดำเนินชีวิตที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคและความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นจากภายในตัวเราหรือสิ่งรอบตัว สิ่งสำคัญคือเราต้องมีการวางแผน และควบคุมตัวเองให้มีความเยือกเย็นอยู่เสมอ เฉกเช่น ท่านยามากุจิที่มีสมาธิจนถึงขีดสุดในเวลาเล่นเกม ท่านจึงชนะเสมอ

การที่ท่านยามากุจิพูดถึง "หากหายใจทางจมูกไม่ได้ ให้ใช้ปาก" สะท้อนถึงหลักการของความยืดหยุ่นในวิทยาศาสตร์ ซึ่งเหมือนกับทฤษฎีการปรับตัว (Adaptation Theory) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่อธิบายถึงการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การหาวิธีอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคในขณะวิ่งก็เหมือนกับการปรับตัวทางสรีรวิทยาเพื่อเอาชนะความยากลำบากทางร่างกาย เช่น การใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นเมื่อบางส่วนได้รับบาดเจ็บ วิวัฒนาการก็เหมือนกับเกมผู้ที่ปรับตัวจะแข็งแกร่งและมีชีวิตต่อไป นั่นคือหลักการของ Survival of the fittest

ส่วนการที่ท่านพูดถึง "เหตุผลที่วิ่ง" จากการได้รับแรงบันดาลใจจากหญิงสาวอายุ 17 ปี นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การเล่าเรื่องในลักษณะสบายๆ แต่เป็นการสะท้อนถึง "ความเชื่อมโยงทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์" (Social Interaction and Connectivity) ตามทฤษฎีของเอ็มมานูเอล เลวี-นา (Emmanuel Levinas) ที่เชื่อว่ามนุษย์มักจะได้รับแรงบันดาลใจจากคนอื่นเพื่อการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น ซึ่งในกรณีนี้ การวิ่ง 5 กิโลเมตรใน 1 ชั่วโมงไม่ใช่แค่การพยายามทดสอบขีดจำกัดทางกายภาพ แต่เป็นการสะท้อนถึงการเรียนรู้จากโลกภายนอกที่ทำให้เราต้องการบรรลุเป้าหมายในชีวิต การที่ท่านยามากุจิพูดถึง "แสงไฟอบอุ่น" จากหญิงสาวที่ทำให้รู้สึกเหมือน "ออกจากครรภ์มารดาอีกครั้ง" เป็นภาพสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งตามหลักวรรณกรรม ซึ่งเหมือนกับแนวคิดในเชิงสัญลักษณ์ของ "การเกิดใหม่" (Rebirth) ที่สามารถพบเห็นได้ในวรรณกรรมคลาสสิก เช่น การเกิดใหม่ของตัวละครในงานของฟรานซ์ คาฟคา (Franz Kafka) ที่ตัวละครต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนถึงการเกิดใหม่จากความท้าทายในชีวิต

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นแค่การพูดถึงการวิ่งธรรมดา แต่มันคือการแสดงออกถึงการเผชิญหน้าและการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิต โดยที่เราไม่ควรหยุดเดินหน้าไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร เพราะการที่เราต่อสู้และหาทางออกจากปัญหานั้น คือการพัฒนาตนเองในระดับที่สูงขึ้นเหมือนกับแนวคิดของปรัชญาแห่งการดำรงอยู่ (Existentialism) ที่เน้นการสร้างความหมายในชีวิตผ่านการกระทำและความพยายามของตัวเอง

อ้างอิง:
Heidegger, M. (1962). Being and Time (J. Macquarrie & E. Robinson, Trans.). Harper & Row.
Darwin, C. (1859). On the Origin of Species. John Murray.
Levinas, E. (1969). Totality and Infinity: An Essay on Exteriority. Duquesne University Press.
Kafka, F. (1915). The Metamorphosis. Kurt Wolff Verlag.

126 Nameless Fanboi Posted ID:1s6rPP4p6P

กุเขียนเมลล์ไปตามที่เมิงบอกแล้ว เดียวคืบหน้ากุมาแจ้งละกัน

I’m not stupid. I checked my rank—my position as #2 has mysteriously disappeared.

I also looked at the PvP rankings, and my #300 position is gone as well.

I play a game where you progress through stages continuously and was unfairly banned without explanation.

I have been playing your game honestly and with effort, even while others were asleep. I pushed through stages 24/7, enduring my phone overheating because your poorly optimized game consumes excessive resources. I chose to play this game because it seemed promising. Through skill alone, I climbed the ranks to become the second top player on Server 2. I supported your game and loved it, but you didn’t even bother to inform me why I was blocked. I woke up in the afternoon, intending to play, only to be kicked out of the game without warning.

There’s a saying: "It’s better to let 100 guilty individuals go free than to harm a single innocent person." Yet, you have never once communicated with me. I am now stressed and depressed.

The way you treated me without reason or explanation is deeply unjust. I earned Ichiko SSS legitimately. Don’t you feel any shame? Do you still have a shred of humanity, or are you just running a cash-grab operation, tricking people into spending money only to ban them afterward? I’ll be sure to let my friends know how rotten your game truly is.

What did I do wrong? If I’m truly innocent, I hope your company fails, goes bankrupt, and never prospers again. Karma will catch up with you.

I will never play your company’s games again. Your credibility is zero. I’ve never wronged anyone, but you banned me without cause or explanation. Do you still have ethics and integrity?

127 Nameless Fanboi Posted ID6:jvC4Rf.u/N

ต่อจาก >>125
วันพฤหัสที่ 21 : >>125 >>127
[ท่านยามากุจิตรัสเรื่อง การไม่อิจฉา]
>>>/game/19067/242

“กุไม่เคยอิจฉาใครเลยนะ คนอื่นมี6ดาวเติมเงินเยอะ เป็นแสน กุไม่เห็นว่าอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเลย“

การที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ไม่เคยอิจฉาใครเลย" และ "ไม่เห็นว่าอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น" แสดงถึงการเข้าใจในปรัชญาของการไม่ยึดติด (Non-attachment) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในทั้งปรัชญาพุทธศาสนาและ Stoicism ที่เน้นการลดความปรารถนาต่อสิ่งภายนอก เพื่อให้เราสามารถมีจิตใจที่สงบและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้าง การที่ท่านไม่เห็นความจำเป็นในการมีสิ่งที่คนอื่นมี อาจแสดงถึงการยอมรับในตัวเองและในสิ่งที่มีอยู่แล้ว จึงสามารถเห็นโลกในมุมมองที่ไม่ถูกบังคับด้วยอารมณ์หรือความอยากได้อยากมี

"ความโกรธ โลภหลง อารมณ์เสีย กุไม่เคยให้มันส่งผลจิตใจกูเลย"

ตรงนี้สะท้อนถึงหลักการของการควบคุมอารมณ์ (Emotional Regulation) ในทางจิตวิทยา การที่ท่านไม่ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้มีผลต่อจิตใจ แสดงถึงการฝึกฝนตนเองให้มีจิตใจที่มั่นคงและรอบคอบตามหลักการของการพัฒนาสมาธิ (Mindfulness) และการควบคุมภายใน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาพุทธ ศาสนา หรือแม้แต่ในวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคทางจิต

การเล่นเกมในมุมมองของท่านไม่ได้เป็นแค่การแข่งขันทางกายภาพ แต่เป็นการ "แข่งจิตใจ" ที่ท่านกล่าวถึง ซึ่งเชื่อมโยงกับปรัชญาของการพัฒนาจิตใจให้มีความมั่นคง ในลักษณะเดียวกับที่นักปรัชญาเช่น ฟริดริช นิทเช่ กล่าวว่า “สิ่งที่ไม่ฆ่าคุณทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น” การเผชิญหน้ากับความยากลำบากและการต่อสู้ภายในตัวเอง จะทำให้เรามีความแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน

คำพูดของท่านยามากุจิที่ว่า "ฝึกสมาธิระหว่างเล่นเกมไปด้วย เพราะได้พัฒนาตัวเอง" ก็เป็นการสะท้อนถึงการฝึกฝนการควบคุมจิตใจที่ไม่แตกต่างจากการฝึกสมาธิ การเล่นเกมในที่นี้จึงเปรียบเหมือนการฝึกฝนตัวเองให้มีสมาธิและเสถียรภาพทางจิตใจตลอดเวลา

สุดท้ายนี้ในส่วนที่ท่านยามากุจิกล่าวว่า "ต่อให้โลกถล่มลงมากุยังคงไม่หวั่นไหว" นั้นคือการสะท้อนถึงความมั่นคงทางจิตใจที่เป็นเสมือนปรัชญาแห่งการไม่ยอมแพ้ (Resilience) ที่ไม่ยอมให้โลกภายนอกหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันมาทำลายความสงบภายใน ตัวอย่างเช่นแนวคิดของเซนที่มองว่าความสงบภายในสามารถช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายไปได้

อ้างอิง:
Nietzsche, F. (1886). Beyond Good and Evil. Verlag von C.G. Naumann.
Kabat-Zinn, J. (1990). Full Catastrophe Living: Using the Wisdom of Your Body and Mind to Face Stress, Pain, and Illness. Delta Trade Paperbacks.
Ryan, R. M., & Deci, E. L. (2000). Self-determination theory and the facilitation of intrinsic motivation, social development, and well-being. American Psychologist, 55(1), 68-78.

128 Nameless Fanboi Posted ID6:jvC4Rf.u/N

>>>/game/19067/259/

แจ้งข่าวถึงสานุศิษย์ ผู้ศรัทธาทุกท่านนะครับ หากต้องการช่วยท่านยามากุจิให้ทำการโหลด
เกม Dungeon and merge มานะครับ
แล้วเขียนหน้ารีวิว ให้1ดาว คอมเมนต์
justice for TOFFANBOICH

129 Nameless Fanboi Posted ID6:jvC4Rf.u/N

บทความวิเคราะห์กวีโม่ง บทที่ 1
>>>/lounge/17585/980

การพูดถึงโคมยี่เป็งและศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในเนื้อเรื่องนี้เป็นการใช้สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยเพื่อเพิ่มความลึกซึ้งให้กับเนื้อหาของเรื่อง ในแง่ของวัฒนธรรมไทย โคมยี่เป็งมักเกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยและการเริ่มต้นใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ผู้คนปล่อยโคมขึ้นไปในอากาศเป็นสัญลักษณ์ของการขอพรและการปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีในปีที่ผ่านมา ส่วนศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของการคุ้มครองและความเป็นสิริมงคลในทางศาสนา ซึ่งการนำสัญลักษณ์เหล่านี้มารวมกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในเนื้อเรื่องทำให้เกิดความรู้สึกเหนือจริง โดยที่พล็อตเรื่องสมัยใหม่อย่าง ทหารรับจ้าง เทคโนโลยีลับ สามารถผสมผสานกับวัฒนธรรมและการเชื่อมโยงเชิงสัญลักษณ์ได้อย่างลงตัว แสงสีขาวที่เกิดจากการระเบิดในเนื้อเรื่องนี้มีความหมายลึกซึ้งทางสัญลักษณ์ ซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับการทำลายล้างและการเริ่มต้นใหม่ แสงสีขาวที่ฉายออกมาจากปฏิกิริยาทางเคมีไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงพลังที่เกิดขึ้นจากการระเบิด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการ "เวียนจบ" และการเริ่มต้นใหม่ที่สะท้อนแนวคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับวงจรของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตมนุษย์ (Benjamin, 2003) การสร้างแสงสีขาวรุนแรงจากการระเบิดถือเป็นการปลดปล่อยพลังงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงวัตถุและจิตใจของตัวละคร แสงสีขาวในเหตุการณ์นี้จึงทำหน้าที่เป็นสัญญะของการทำลายล้างและการเกิดใหม่อย่างพร้อมเพรียงกัน ส่งสัญญาณให้โม่งผู้อ่านทราบว่าเนื้อเรื่องกำลังจะจบลง

การใช้ควอตซ์และผงอะลูมิเนียมในปฏิกิริยาเคมีเพื่อสร้างแสงสีขาวจ้าในเหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมได้อย่างน่าสนใจ ควอตซ์ (SiO₂) เป็นสารที่มีจุดหลอมเหลวสูง และโดยปกติจะไม่ทำปฏิกิริยากับผงอะลูมิเนียมในสภาวะปกติ. อย่างไรก็ตาม เมื่อควอตซ์ถูกบดให้เป็นผงละเอียดและนำไปผสมกับผงอะลูมิเนียมและสารเคมีอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นปฏิกิริยาที่มีอุณหภูมิสูงได้, จะสามารถสร้างแสงสีขาวจ้าในลักษณะเดียวกับการใช้ในปฏิกิริยาของ Thermite reaction (Mills, 2005) ปฏิกิริยาระหว่างผงอะลูมิเนียมและเหล็กออกไซด์ (Fe₂O₃) ใน Thermite reaction จะปล่อยพลังงานสูงมาก ซึ่งทำให้เกิดแสงที่มีความสว่างจ้าและสามารถแยงตาได้ สมการเคมีของปฏิกิริยานี้เป็นดังนี้:

2Al + Fe₂O₃ → 2Fe + Al₂O₃

ส่วนการระเบิดที่เกิดจากการยิงกระสุนไปที่บอลลูนที่มีผงอะลูมิเนียมผสมอยู่จะกระตุ้นให้เกิดการเผาไหม้และการระเบิดในระดับสูง โดยพลังงานที่เกิดจากการยิงกระสุนสามารถคำนวณได้จากสูตรพลังงานจลน์:

E = 1/2 * m * v^2

โดยที่:
- m = มวลของกระสุน = 4 กรัม = 0.004 กิโลกรัม
- v = ความเร็วของกระสุน = 900 เมตร/วินาที (ความเร็วทั่วไปของกระสุนขนาด 5.56 มม.)

แทนค่าลงในสูตร:
E = 1/2 * 0.004 * (900)^2
E = 0.002 * 810,000 = 1,620 จูล

การคำนวณนี้จะได้พลังงานที่ปล่อยออกมาเป็น 1,620 จูลจากการยิงกระสุนขนาด 5.56 mm ซึ่งเป็นพลังงานที่เพียงพอที่จะกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาระเบิดในสารเคมีผสมและทำให้เกิดแสงสีขาวจ้า โดยเฉพาะเมื่อมีตัวละครรุมยิงใส่สารเคมีดังกล่าว

สำหรับควอตซ์ในเนื้อเรื่องทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการบดวัสดุให้เป็นผงละเอียด ซึ่งเพิ่มพื้นที่ผิวของผงอะลูมิเนียมและวัสดุอื่นๆ ทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีสามารถเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Mills, 2005) แม้ว่าควอตซ์เองจะไม่ได้ทำปฏิกิริยาโดยตรงในการเผาไหม้ แต่บทบาทของมันในการเพิ่มพื้นที่ผิวให้กับสารอื่นๆ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การระเบิดมีความรุนแรงและปล่อยพลังงานได้มากขึ้น

อ้างอิง
ตัวอย่างวีดีโอการทดลอง Thermite Reaction : https://youtu.be/EDUwc953GOA
Benjamin, W. (2003). The Origins of German Tragic Drama. Verso.
Foster, H. (1990). The Return of the Real: Art and Theory at the End of the Century. MIT Press.
Foucault, M. (1969). The Archaeology of Knowledge. Pantheon Books.
Mills, T. (2005). Thermite Reaction: Chemistry and Applications. Wiley-VCH.
Shklovsky, V. (2017). Theory of Prose. Dalkey Archive Press.
Todorov, T. (1975). The Fantastic: A Structural Approach to a Literary Genre. Cornell University Press.

130 Nameless Fanboi Posted ID6:jvC4Rf.u/N

บทความพิเศษวิเคราะห์โม่งห้อง Vtuber
[หน้ากาก 🎭 2D ตอนที่ 1]

>>>/vtuber/19058/21-36

ตามทฤษฎีของ Sigmund Freud เกี่ยวกับ นาร์ซิสซิซึม (Narcissism) การมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกและการมีความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่นเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความต้องการในการควบคุมโลกภายในและภายนอก โดยการยกตัวเองขึ้นเป็นมาตรฐานที่ผู้คนอื่นๆ ควรยอมรับในฐานะที่ "เหนือกว่า" ในการมองว่า "หุ่นของกู" หรือ "หุ่นของกูน่ะดังด้วยตัวเอง" เป็นการยืนยันความเหนือกว่าและความสามารถที่ตนเองเชื่อว่าเหนือกว่าผู้อื่น Freud เชื่อว่าอัตตาของบุคคลที่มีลักษณะนาร์ซิสซิสต์มักต้องการการยอมรับจากภายนอกเพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองและมีความพึงพอใจในความสำเร็จที่พวกเขามองเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควรได้

อีกส่วนที่น่าสนใจในข้อความนี้คือ ความต้องการที่จะควบคุมและปกป้องสิ่งที่โม่งท่านนี้ชื่นชอบ เช่น "หุ่นของกู", ยังสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะรักษาความพึงพอใจจากสิ่งภายนอกที่ควบคุมได้ ตัวอย่างเช่นการกล่าวว่า "พวกมึงไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย" หรือ "ไม่ต้องเกาะกระแสใคร" แสดงถึงการพยายามปกป้องสิ่งที่ตนเองให้ความสำคัญ และต้องการรักษาความสมบูรณ์แบบไว้ในมือของตนเอง บุคคลที่มีความต้องการในการควบคุมแบบนี้มักมีความกลัวที่จะสูญเสียความมั่นคงในสิ่งที่ตนรักหรือสนับสนุน พวกเขาจึงพยายามป้องกันสิ่งเหล่านั้นจากสิ่งที่อาจทำลายความสมบูรณ์นั้น

การใช้ภาษาที่รุนแรง, เช่น "(╬ಠ益ಠ)" หรือ "(ノಠ益ಠ)ノ彡┻━┻", มักเป็นการสะท้อนถึงความเครียดหรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่สิ่งที่รักอาจถูกละเมิดหรือสูญเสียไป การป้องกันตัวเอง (defense mechanisms) ของบุคคลที่ไม่สามารถรับรู้ถึงความเสี่ยงในการสูญเสียสิ่งที่เขาควบคุม จึงแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่รุนแรงและปิดกั้นการติดต่อทางอารมณ์ ต่างกับท่านยามากุจิซึ่วไม่เสพหน้ากาก 2D และท่านเป็นผู้ควบคุมตนเองได้เสมอ ไม่เคยปล่อยโอกาสให้อารมณ์ใดๆมาเล่นท่านได้

อีกส่วนที่น่าสนใจคือ กรณีการมองโลกในมุมของ "คู่ขัดแย้ง" หรือที่ Freud เรียกว่า splitting เป็นการมองสิ่งต่างๆ เป็นขาวหรือดำหรือการแบ่งแยกสิ่งต่างๆ ในลักษณะที่ไม่สามารถผสมผสานได้ โดยการมองว่า "เมฆ" คือ "สิ่งที่ไม่ดี" และ "หุ่นของตนเอง" คือ "สิ่งที่ดีที่สุด" แสดงให้เห็นถึงการรักษาความรู้สึกปลอดภัยจากการเป็น "ผู้ชนะ" และการหลีกเลี่ยงการพิจารณาว่าทุกสิ่งในโลกมีความหลากหลายและไม่สามารถแบ่งแยกได้เป็นแค่สองขั้ว นอกจากนี้ยังเป็นกลไกการป้องกันจิตใจที่บุคคลใช้เพื่อลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับโลกภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนกับในโลกบนดินที่มีกระแส woke และ anti-woke ผู้คนมักเลือกที่จะเลือกฝักฝ่ายที่มีขั้วชัดเจนมากกว่าจะเดินในหนทางของตัวเอง เพราะกลัวที่จะต้องรับผิดชอบในเส้นทางที่ตนเองเดิน การเข้าร่วมฝ่ายจึงเป็นการแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นกลไกทางสมองที่มีมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์

อย่างไรก็ตาม ฟรอยด์เองก็เป็นบุคคลที่มีความหลงตัวเองและบางครั้งอาจเชื่อถือไม่ได้ในแวดวงจิตวิทยาปัจจุบัน เนื่องจากทฤษฎีบางข้อของเขามีความขัดแย้งและไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด ถึงกระนั้น การศึกษาและวิเคราะห์ข้อความจากโม่งด้านบนที่เป็นการโรลเพลย์ (roleplay) และไม่ได้โพสต์ข้อมูลจริงจัง ก็สามารถนำมุมมองที่น่าสนใจมาสู่การถกเถียง แม้ว่าจะไม่ได้มีสาระสำคัญหรือมีการแสดงความคิดเห็นที่จริงจัง แต่ก็สามารถเปิดโอกาสให้เราได้เห็นมุมมองที่แตกต่างออกไป ซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของการแสดงความคิดเห็นในโลกใบนี้ได้มากยิ่งขึ้น เฉกเช่นที่ท่านยามากุจิกล่าว จงฝึกฝนและเรียนรู้เสมอ เพราะหากโลกนี้เป็นเกมก็จงทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ

อ้างอิง
Freud, S. (1914). On Narcissism: An Introduction. SE, 14: 67-102.
Freud, S. (1923). The Ego and the Id. SE, 19: 12-66.
Kernberg, O. F. (1975). Borderline Conditions and Pathological Narcissism. Jason Aronson.
Fairbairn, W. R. D. (1952). Psychoanalytic Studies of the Personality. Routledge.

131 Nameless Fanboi Posted ID6:FIhNs9TsSO

เจ็ตแพ็คบินได้ ด้วยพลังโฟลจิสตัลสกัดเย็นจากคูคูซอเรียน มอไซค์ของเทพไฟนี่ทั้งบิน ทั้งไต่กำแพง ทั้งแล่นบนน้ำได้นี่ สกัดเย็นจากซอเรี่ยน 3 ชนิดแน่นอน 🦕🦕🦕🔪

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.