ข้อมูลน่าสนใจ จากศูนย์วิจัยกสิกรไทย คือตัวเลขเฉลี่ย กำไร ของ ธุรกิจร้าน อาหารแบบที่จดทะเบียนเสียภาษีนั้น ในไทยนั้นติดลบกันมา 8 ปี และ ปีนี้ก็น่าจะติดลบต่อเป็นปีที่ 9 ด้วย
แล้วเมื่อวานนี้ หลายๆสำนักข่าว ก็ลงข่าว
“สุดต้าน! 6 เดือน ธุรกิจร้านอาหารระส่ำหนัก คนเลือกกินเพื่อยังชีพพุ่ง ฉุดยอดขายร้านอาหารตก 30% แม่ค้า-พ่อขายแห่ขึ้นป้ายเซ้ง” โดยอ้างอิงข้อมูลจาก นายกสมาคมภัตตาคารไทย
นั้นหมายความว่า เปิดร้านอาหาร ในประเทศไทย โอกาสที่จะทำกำไรนั้นน้อยมาก ยิ่งเป็น SME ร้านเล็ก ชายอาหารตามสั่ง ร้านกาแฟเล็กๆ โอกาสรอดในสามปีแรกนั้น น่าจะมีผู้รอดไม่ถึง 30%
แล้วทำไม คนยังอยากเปิดร้านอาหารกัน ?
เพราะ การได้เป็นนายตัวเอง ไม่ต้องทนรับแรงกดดันจากใคร ในประเทศที่มนุษย์เงินเดือนแทบจะไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปาก มันก็เป็นความฝันในชีวิตของคนอีกหลายๆคน ดังนั้นตลาดร้านอาหารก็ จะมีคนใหม่ที่พร้อมจะเสี่ยงดวงมาเปิดร้านใหม่อยู่เสมอ
ซึ่งสอดคล้องกับ ข้อมูลอีกด้านของ ไทย บีบีเอส บอกว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีร้านอาหารต่อจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก คือ ในประเทศเรา มีร้านอาหารถึง 9.6 ร้านตต่อ ประชากร 1000 คน หรือ จะมองแบบกลมๆ ว่า ร้านอาหาร 1 ร้านต่อ ลูกค้า 100 คน ก็ได้ และ จำนวนร้านอาหารเปิดใหม่ ยังเพิ่มขึ้น ระดับ 13% ต่อปีอีกด้วย
จะกลัวอะไร ปิดเยอะ ก็เปิดใหม่เยอะ
ใช่ครับ ไม่ต้องกลัวว่า ประเทศไทยจะขาดแคลนร้านอาหาร ปัญหาของวงการร้านอาหารในวันนี้คือความยั่งยืนในธุรกิจ ที่ วงจรชีวิตมันสั่นลงเรื่อยๆ
แล้วที่เปิดใหม่ก็มีแนวโน้มว่า อีก 50% จะไปไม่รอด ภายในระยะเวลา 1 ปี แล้วก็จะมีจำนวนตัวเลขคนปล่อยเช้งร้านเยอะขึ้นอีกในอนาคต
วนลูปกันเป็นหลุมดำแบบนี้ ร้านอาหารไม่ใช่ธุรกิจที่ยั่งยืน แต่เป็นธุรกิจที่ต้องเข้าให้เร็ว โกยให้เร็วแล้วรีบหนีออกจากตลาด
แนวคิดแบบนี้ มันเป็นระบบทุนนิยมที่บ้าบอ และกำลังทำลาย วงจรธุรกิจร้านอาหารไทย ทั้งระบบ
คือมันเป็นนิสัยหนึ่งของคนประเทศเราด้วย คือเวลา มีสินค้าตัวไหนขายดีเป็นกระแส ฉันก็พร้อมที่จะลองเสี่ยงดวงขายบ้าง ทั้งๆที่คุณไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานของสนค้านั้นๆเลย พอคนขายเยอะและกระแสหมด ก็เกิดปัญหา oversupply แล้วก็เริ่มเปิดเกมส์ทุบตลาดตัดราคาขายเอาตัวรอดกันทันที สุดท้ายจบลงที่ตลาดแตกตลาดวาย คนเลิกกินเพราะเน้นแต่ขายถูกแต่คุณภาพไม่มี แล้วก็จบลงด้วยการขาดทุน ไม่ว่าจะเป็น สามปีก่อนที่ครัวซองต์ดังระเบิด เคยยมีคนกล้าซื้อเตาอบครัวซองต์หลักล้านมาขิงใส่กัน หรือปีที่แล้วกับชาบูสายพานที่มีคนนำเข้าเครื่องสายพานกันมาหลักแสนตอนนี้มือสองขายกันที่สองหมื่น หรือ ชานมไข่มุกพ่นไฟ ที่เคยมีร้านกันครบทุกสิงสาราสัตว์ หมีพ่นไฟ หมาพ่นไฟ อะไรพ่นไฟได้ก็เอามาขายหมด มีกันทุกหน้าหมู่บ้าน ในวันนี้เหลือรอดกันกี่เจ้า? ทุกกระแสมันจบลงที่การเจ็บตัวของรายเล็กรายย่อยที่โดนภาพลวงตาหลอกมาเข้าตลาดเสมอ ส่วนคนที่ เป็นคนปั่นกระแสนั้นโกยได้แล้วปิดเกมส์หนีออกจากตลาดกันไปนานแล้ว
วิธีการทำธุรกิจแบบนี้ มันคือการเป่าฟองสบู่ลูกใหญ่ๆ ที่รอวันระเปิด
แล้วในวันนี้ ในวันที่ กำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนตัว กระแสเงินสดขาดมือ ต้นทุนมีราคาสูงขึ้น ร้านอาหาร SME ที่มีหนี้ หมุนเงินไม่ทัน ทุนจม กำลังล้มกันแบบโดมิโน่
กำไรไม่มี ทุนก็หมด จะขยับอะไรมันก็ยากไปหมด จะทำกระแสอะไร คนก็ไม่มีเงินมาซื้อ ในเวลานี้
ถ้าร้านคุณไม่มีฐานลูกค้าประจำ บอกเลยครับ ปีนี้ รอดยาก