** เทรนด์ที่เลี่ยงได้ยาก **
- ยุทธศาสตร์ของจีนประกาศชัดอยู่เเล้วครับว่าจะโตด้วยการส่งออก เพราะ Demand ในประเทศมันวิกฤต !! วัยรุ่นตกงานเยอะเเยะ สินทรัพย์คนมีเงินขึ้นมาหน่อยก็อยู่ในอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังมีปัญหาอยู่
เพราะฉะนั้นไอ้เรื่อง Over-Capacity ในประเทศมันต้องเเก้ด้วยการส่งไปนอกประเทศ เพื่อให้โลกทั้งใบช่วย Absorb สิ่งที่จีนผลิตได้ ซึ่งถ้าเอาตามตำรานะ จีนคือ Deflation Exporter ไปเเล้ว
.
.
** ชนกับทั้งโลก **
- จีนส่ง TEMU เเพลทฟอร์มอีคอมเมิช (บริษัทลูก PDD) ไปชนกับ AMAZON จีนส่ง SHEIN ไปชนกับเเพลทฟอร์มขายเสื้อผ้าออนไลน์ทั้งโลก --- เพราะฉะนั้นไม่ใช่เเค่รายย่อยครับ เเต่จีนชนหมดไม่สนลูกใคร เพราะมันคือ Low Price Strategy มันคือกลยุทธฺ์ Affordability ที่จีนถนัดอยู่เเล้ว
.
.
** Agenda ระดับประเทศ **
- สมมติมองเเค่ในอาเซียน เวียดนามปรับกลยุทธ์มาเป็นมิตรกับจีนในเเบบนึง อินโดนีเซียก็เปิดหน้าชนกับจีนในเเบบนึง บ้านเราเองก็ต้องมีกลยุทธ์เเละกฏเกณฑ์ให้มันชัดๆเเบบนึง ส่วนประเทศลาวไปทำอีท่าไหนไม่รู้ ตอนนี้หนี้สาธารณะของประเทศถึง 3 ใน 4 มีจีนเป็นเจ้าหนี้ไปเเล้วเรียบร้อย --- ไอ้การมายึดภาคธุรกิจนี่ว่าน่ากลัวเเล้วนะ เจอ Debt Slave เเบบลาวเข้าไปนี่หนักเลย !!
.
เเละถ้ามองเเบบไม่ Bias เกินไปนัก ...
ประเทศที่ขนเงินมาลงทุนในไทยสามประเทศหลักๆคือญี่ปุ่น สิงคโปร์เเละจีน ---- เเละในวันที่ Demand ในประเทศมัน Crash ไปเเล้วจากหนี้ครัวเรือนในระดับสูง มันเลยเลี่ยงไม่ได้ที่ไทยเราต้องพึ่งพาเม็ดเงินจากต่างชาติด้วยการผ่อนปรนกฏเกณฑ์อะไรบางอย่างในทั้งสัดส่วนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ จนมาถึงการผ่อนปรนกฏเกณฑ์ทางธุรกิจที่มันชัดเจน
เเละมองในมุมผู้บริโภคมันคือราคาที่คนในฐานล่างของปิรามิดที่ถูกละเลยมานานสามารถเข้าถึงได้ เเละถ้ามองเเบบภาพสวยๆมันคือการลดความเหลื่อมล้ำของชนชั้นเเรงงานที่ปัจจุบันค่าเเรงวันนึงกินข้าวในห้างได้มื้อเดียว ( ผมเห็น Articles นี้เเวบๆเมื่อวานเเละเห็นด้วยอย่างมาก )
เราอาจต้องยอมรับเเล้วครับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็น "สัญญาณ" ให้เตรียมตัวให้ปรับตัวเพราะจากนี้ไปการมีความได้เปรียบของ Economy of Scale อาจเป็น MOAT ในการทำธุรกิจที่เปราะบางที่สุด
เพราะนักธุรกิจจีน "ทำดี " เเละ " ทำถึง" ถูกใจผู้บริโภคมากๆ
.
" จง-ไท่-อี้-เจีย-ชิน "
จีน-ไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน
สิบปีจากนี้เราจะเป็นพี่น้องกันเเบบไหน
น่าสนใจในการติดตามครับ