ที่อันดับไทยตกและจะตกลงต่อไป บอกเลย มี แค่ประเด็นหลักประเด็นเดียวคือ overtourism
สมัยเรียน ที่มหาลัย Melbourne เมื่อ 18 ปี ก่อน เรื่อง TTDI อาจารย์ ที่สอน ยก พัทยา case study ถึงอนาคต ปัญหา ที่จะเกิดในรูปแบบ overtourism แล้ว พอเรา เดินไปบอกอาจารย์ ว่า ผมนี้ เด็กพัทยาเลยนะครับ อาจารย์นัดกินข้าวเที่ยงด้วยกันเลย ได้ึคุยอยู่ เกือบ ชั่วโมง แกหวังว่า เราจะเอาสิ่งที่แก่สอนไปแก้ปัญหาได้นะ แต่พอกลับมาไทย ผมบอกใครต่อใคร ใน สิ่งที่อาจารย์สอนมา ว่า เราควรลดจำนวนนักท่องเที่ยวลง จำกัดจำนวนห้องพักโรงแรม และ เปลี่ยนตลาดไปสู่ นักท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงขึ้น ยั่งยืนขึ้น ตอนนั้น มีแต่ผุ้ใหญ่บอกว่า เนี้ย พ่อแม่ ส่งไปเรียนเมืองนอกจนโดนฝรั่งล้างสมอง
ตอนนั้นใครต่อใครในเมืองพัทยาก็มองว่า นักท่องเที่ยว ยิ่งเยอะยิ่งดีสิ ที่ดินขึ้นราคา คอนโดทำในป่าในเขาแล้วขายได้ ไม่ดีหรอ
แล้วพอตอนนี้เป็นไง ทุกอย่างที่อาจารย์เคยเตือน มันเกิดขึ้นจริงหมด ตอนที่เรียน อาจารย์บอกพัทยาจะเจอมลพิษทางอากาศ ตอนนั้นมองไม่ออกเลยว่า เพราะอยู่พัทยามาตั้งแต่เด็กไม่เคยเจอ pm2.5 พอมาสิบปีที่ผ่านมา เราก็เจออากาศเป็นพิษ บ่อยขึ้นทุกปี คิดภาพ ฤดูหนาว ช่วงหน้า ไฮท์ แต่ นทท มาเจออากาศเป็นพิษ ไม่สามารถ อาบแดดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งได้
ตอนนี้ทั้งเมืองนำ้ไม่เคยพอใช้ รถติด ตัดต้นไม้ริมถนนทิ้ง เมืองขาดสมดุลในทุกมิติ ขยะล้น นำ้เสียล้น ฝนตกนิดเดียวก็นำ้ท่วม
ในวันที่เศรษฐกิจไทย กำลังแย่ภาครัฐก็หวังให้การท่องเที่ยว เป็นฮีโร่กอบกู้ประเทศ แบบที่เคยทำมาไม่รู้กี่รอบ แต่ตอนนี้ บอกเลย การท่องเที่ยวเรามีรูรั่วเยอะ และมีราคาต้นทุนที่ต้องจ่ายสูงขึ้นเรื่อยๆ พูดง่ายๆก็คือไม่ยั่งยืนนั้นแหละ มันก็ไม่ต่างจากภาคอุสหกรรมไทยที่มันเริ่มแข่งขันกับเพื่อนบ้านไม่ได้ เราจะเอาคน สี่สิบห้าสิบล้านคนเข้ามาเที่ยวไทย ตลอดไปไม่ได้ เพราะทรัพยากรเรามีจำกัด แต่ หน่วยงานรัฐก็ยังคง เอาจำนวน นักท่องเที่ยวเป็นตัวชีวัดความสำเร็จ เสมอ จนลืมไปว่า สุดท้ายแล้ว การพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยไม่ได้นำมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่