เค้าปลดกันออกเพราะ
1. ดอกเบี้ยขาขึ้น เงินทุนไม่ได้ถูกเหมือนเมื่อก่อน จะกู้มาจ้างใครทีก็คิดแล้วคิดอีก
2. หลักการภาษีเปลี่ยนไป เมื่อก่อนจะคิดว่า developers คือส่วน R&D หักภาษีได้ ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เมื่อก่อนคือจ้างเท่าไหร่กี่คนก็จ้างๆๆๆๆๆ จ้างกันเข้าไป เพราะคือการเอาไปเป็นค่ายใช้จ่าย R&D ของบริษัท (หักลบภาษีได้เกือบ 100%)
3. Venture Capital ที่เมื่อก่อนโปรยเงินกันอย่างบ้าคลั่ง ขอให้หวยออกเจอแบบ FaceBook หรือ Netflix เพราะกู้กันอยู่ที่ 0.X% แต่ว่าตอนนี้เงินราคาแพง กู้ที เจอดอกเบี้ย 5%
4. Developer หลายๆ คน overemployed แอบทำงานให้กับหลายบริษัท ตอนนี้ก็ค่อยๆ ทยอยโดนออกกัน
5. หลายๆ บริษัทใหญ่ๆ จ้างคนเก่งๆ เอาไว้เพราะกลัวคนเก่งๆ จะออกไปเปิดบริษัทเอง ตอนนี้ใครออกไปเปิดเองก็ยากหน่อย เพราะเงินมันแพง
6. บริษัทที่จ้างเอาไว้กันเยอะๆ ก็เริ่มเห็นว่า dev หลายๆ คนไม่ได้ทำอะไรมาก ทำงานต่ำกว่าราคาเงินจ้างเยอะ
7. Development department มีโครงสร้างที่มีแต่ ผู้จัดการ ผู้จัดการระดับสูง กลาง ล่าง คนทำงานจริงๆ เหลืออยู่ไม่กี่คน ไอ้พวกผู้จัดการจำนวนมากได้เป็นผู้จัดการเพียงเพราะแค่อายุงาน ตอนนี้ก็โดนออกกันระนาว
8. (อันนี้แย่สุด) บริษัทต่างๆ เห็น Meta ปลดคนแล้วผลกำไรขึ้น ผลประกอบการดีขึ้น ก็ทำบ้าง เพราะไม่งั้น หุ้นจะราคาตก
9. จากข้อแปด ทุกบริษัทก็ทำตามกันเป็นแถว ผลกำไรดีขึ้นก็ทำอีก เป็นระลอกๆ ไป
สรุปคือฟองสบู่ของการจ้างแบบจ้างไม่เลือกหน้า ขอแค่สัมภาษณ์งานดี จ้างแบบเอาเงินตีหัว จ้างแบบขอแค่ให้ได้จ้าง มันได้แตกไปแล้ว
แต่ๆๆๆๆๆๆๆ แต่ว่าการจะบอกว่าฟองสบู่แตกไปแล้ว จะทำให้เสียความเชื่อมั่น ส่งผลต่อภาคธุรกิจโดยรวม บอกสังคมไม่ได้(ว่าแตกไปแล้วนะจ๊ะ) ก็เลยต้องเบนหันความสนใจไปที่ AI ว่าการมาของ AI จะมาเปลี่ยนทุกอย่าง หุ้น AI ก็เลยทะยานขึ้นสู่ดาวพูลโตกันอย่างที่เห็นในวันนี้ หลายๆ บริษัทเห็นก็เอาบ้าง เปลี่ยนให้บริษัทตัวเองเป็นบริษัท AI ให้ได้เพื่อเกาะกระแส แถมได้ปลดคนค่าตัวแพงไม่ได้ทำผลงานอะไรมากมายทิ้งซะ
ปล. จากใจคนที่โดนปลดมาสองครั้งในช่วง 4 ปีนี้