ตอนจะนั่งเครื่องกลับไทยจากสนามบินนาริตะ จังหวะขั้นตอนที่ต้องสแกนสัมภาระก่อนขึ้นเครื่อง
กระเป๋าเป้ผมถูกสแกน 2 รอบก็ยังไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่ต้องเปิดกระเป๋าออกมาดู แล้วหยิบสิ่งของต้องสงสัยออกมา
มันคือห่อพลาสติกใสๆ ที่เป็นถุงสินค้า Tax Free แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้แกะนะ แค่ส่องๆ ดูแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
“ซื้อมาเยอะเลยนะ ดินสอเนี่ย ไม่มีกรรไกรหรือคัตเตอร์ด้วยใช่มั้ย”
ผมก็บอกไปว่า “มีแต่ดินสอกดครับ ในถุงไม่มีกรรไกรหรือคัตเตอร์ครับ”
เจ้าหน้าที่เลยหยิบถุงนั้นมาถือไว้ แล้วส่งกระเป๋าเข้าเครื่องสแกนใหม่ ก็ปรากฏว่าผ่าน
และก็นั่นแหละครับ ดินสอกดทั้งหมดที่ซื้อกลับมาจากญี่ปุ่นคราวนี้ ทั้งหมด 20 กว่าแท่ง
คือผมชอบดินสอกดของญี่ปุ่นมาก เลยซื้อมาเยอะ ถือว่ามันเป็นทั้งของสะสมและอุปกรณ์ทำมาหากินด้วย
ดินสอกดของญี่ปุ่นคือประดิษฐกรรมอันยิ่งใหญ่ ควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาธุรการและเครื่องใช้สำนักงาน
ผมเป็นคนเขียนเยอะ เขียนหนังสือขายมาก็หลายเล่ม แล้วตอนนี้ทุกงานโพสต์ ทุกการเขียนสคริปต์พูดก็ต้องใช้ดินสอเขียนร่างลงในสมุดก่อน
ตอนไปเรียนญี่ปุ่นก็ชอบคัดตัวคันจิ ที่สอบผ่าน N2 ได้ในเวลาแค่ครึ่งปี ก็ต้องคัดคันจิเป็นหมื่นๆ ตัว ต้องเขียนไม่รู้กี่เส้นต่อกี่เส้น ไม่รวมการจดโน้ตเนื้อหาไวยากรณ์ต่างๆ อีก
เรียกได้ว่าใช้ดินสอได้สิ้นเปลืองมาก
ดินสอกดคือเครื่องมือทำมาหากินที่คุ้มค่าลงทุนที่สุด ในฐานะนักเขียน
อาจจะเป็นเพราะเราคือคนโบราณ ยังชอบใช้ดินสอจดในสมุด และคงจะใช้ตลอดไป ipad และ Apple Pencil gen ไหนก็มาแทนที่ฟีลลิ่งตอนใช้ดินสอเขียนบนกระดาษไม่ได้
สมัยเรียนก็ใช้ดินสอกดที่ซื้อได้ในไทยนี่แหละ แพงสุดที่เคยใช้ก็คือยี่ห้อ Rotring Tikky แท่งละไม่ถึงร้อย
แต่พอไปญี่ปุ่นแล้วเห็นว่า เออ ดินสอกดที่นี่มันสวยดีนะ มีหลายแบบหลายยี่ห้อด้วย จำได้ว่า แท่งแรกที่ซื้อมาใช้คือ Pentel SMASH ราคาแท่งละ 1,000 เยน
แต่พอได้ลองเอามาใช้เขียนเท่านั้นแหละ เหมือนเปิดโลกจินตนาการ เปิดม่านประเพณี คือฟีลลิ่งในการเขียนมันเปลี่ยนไปเลย
ดินสอกดที่คุณภาพดีๆ มันเป็นเยี่ยงนี้นี่เอง
ทั้งความลื่นไหลตอนเขียน มันลื่นปรื๊ดๆ ลื่นไหลไปแบบไม่ติดขัด ลื่นๆ รัวๆ เหมือนนางงามที่ตอบคำถามได้ทุกเวทีแบบไม่ตายไมค์
อย่างเวลาตอนจับถือ คือดินสอมันเบา แต่กลับจับกระชับแบบมั่นคง เหมือนบ้านที่ลงเสาเอกด้วยไม้สักทองเอาไว้
พอตอนกดไส้กลไกมันก็เด้งสู้หัวแม่โป้ง ไม่ก๊อกแก๊ก มันรู้สึกแน่นๆ แต่ก็นุ่มๆ หนุบหนับ จนอยากกดเล่นทั้งวัน
แล้วยิ่งตอนเขียน เวลาที่ไส้ดินสอกดมันสัมผัสกับกระดาษนะ คือรู้สึกได้ว่า มันทั้งนุ่ม ทั้งนวล ขีดๆ เขียนๆ แล้วไม่รู้สึกสากมือหรือรู้สึกว่ากระด้างแบบที่เคยใช้มาเลย
ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง รู้แค่ว่า พอใช้ดินสอกดดีๆ เขียนแล้วมันฟินสุดๆ เขียนได้เขียนดีราวกับปีนี้จะเขียนจนได้รางวัลซีไรต์
จากนั้นก็เลยลองซื้อยี่ห้ออื่นมาลองใช้ดูอีก 2-3 แบบ เฮ้ย มันเหมือนฟังดนตรี pop jazz กับ bossanova อ่ะ คือมันเขียนดีคนละแบบ แซ่บคนละฟีล
การทึ่มันแตกต่างกันทั้งน้ำหนัก ทั้งวัสดุของดินสอ ทั้งจังหวะการลงเส้น มันเลยเพิ่มความสนุกตรงที่ว่า ถ้าจะเขียนเรื่องนี้ ควรจะต้องหยิบดินสอแท่งไหนมาเขียนถึงจะได้อารมณ์กว่ากัน
จากนั้นก็ตกเป็นทาสของดินสอกดญี่ปุ่นทันที ซื้อเพิ่มเรื่อยๆ ลองใช้ทั้งขนาด 0.5 0.7 เออ มันยิ่งได้ฟีลคนละแบบจริงๆ แบบว่าถ้าเขียนร่างแรกจะใช้ขนาด 0.5 นะ แล้วพอจะเขียนแก้จะใช้ขนาด 0.7 อะไรแบบนี้
แต่ที่เคยๆ ซื้อมา มันก็ไม่ได้ชอบหรือถูกใจไปทุกแท่งหรอกนะ มันก็มีบางอันที่ซื้อมาแล้วเขียนไม่เข้ามือบ้าง ก็เก็บไว้เฉยๆ ถือว่าเป็นของสะสมก็แล้วกัน
ไปญี่ปุ่นคราวนี้เลยตั้งใจจะไปกวาดมาลองใช้ให้มากที่สุด ยี่ห้อไหนที่ใช้แล้วชอบ ก็ซื้อสีอื่นเพิ่มมาสะสม
เพราะก่อนหน้านี้ที่ไทย เคยอยากซื้อแบบที่แพงไปเลยมาลองใช้ อย่าง Pentel Orenz Nero ซึ่งที่ไทยขายแท่งละ 1,190 บาท
แต่ที่ญี่ปุ่น ผมได้มาในราคาแค่ 2,400 เยน (570 บาท) ถูกกว่ากันตั้งครึ่งนึง
สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็น เกือบสแกนขึ้นเครื่องไม่ผ่าน
สำหรับแท่งที่แพงสุดครั้งนี้คือแท่งละ 4,000 เยน เป็นวัสดุอย่างดีพรีเมียม รุ่น Tech Draw 2 ลองแล้วก็คือเขียนฟินสุดๆ
แล้วบางยี่ห้อก็มีจำกัดอีกนะ ลูกค้า 1 คน ซื้อได้แค่แท่งเดียวสีเดียวเท่านั้น
แต่แค่ดินสอยังไม่พอ ยังกว้านซื้อไส้ดินสอมาอีก 20 กล่อง อยากลองทุกยี่ห้อ ลองความเข้มตั้งแต่ HB ถึง 2B
เดี๋ยวถ้าลองเขียนจนครบแล้ว อยากจะเอามารีวิวให้อ่านเหมือนกัน
แต่ว่า สมัยนี้จะมีใครอินกับการเขียนด้วยดินสอกดไหมก็ไม่รู้