กระดุมเม็ดแรกของคุณสัตยาแห่งไมโครซอฟท์
วันนี้มีบุคคลระดับโลกมาเยือนไทย ซีอีโอของบริษัทที่ใหญ่อันดับต้นๆในโลกและเป็นบริษัทที่เราคุ้นเคย
คุณซาเทียร์ (Satya Nadella) หรือที่ผมชอบเรียกแบบไทยๆว่าคุณสัตยามารอบนี้เพื่อพบปะลูกค้าและนักธุรกิจที่งาน Microsoft Build AI Day ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนทุกสายของผู้บริหารไทยมุ่งน่าจะมุ่งสู่งานนี้กันอย่างคึกคัก
ทำไมคุณสัตยาถึงเป็นซีอีโอระดับซุปเปอร์สตาร์โลก เรื่องราวที่เขาเปลี่ยนไดโนเสาร์เป็นบริษัทสุดคูล เขาเริ่มต้นอย่างไร วางรากฐานยังไง ใครที่จะไปงานนี้ลองอ่านเรื่องนี้ดูแล้วน่าจะฟังและมองคุณสัตยาได้ลึกซึ้งขึ้นนะครับ….
………
ผมได้มีโอกาสฟังผู้จัดการกองทุนระดับโลกจากนิวยอร์คคุยเรื่องการลงทุนใน AI และเทรนด์ใหม่ๆในโลก แต่มีประโยคหนึ่งที่สะดุดหูผมมากที่เขาบอกว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Microsoft เป็นเบอร์หนึ่งด้านการเติบโตของความมั่งคั่งมากที่สุด ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะมีบริษัทขนาดเล็กและกลางที่โตเป็นหลายสิบเป็นร้อยเท่า แต่ถ้านับมูลค่าเป็นดอลล่าร์นี่ไมโครซอฟท์คือผู้ที่กอบโกยคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงได้มากสุด
ไมโครซอฟท์ในตอนนี้มี market cap เป็นอันดับสองของโลก จ่อติด apple แบบหายใจรดต้นคอ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่าไมโครซอฟท์น่าจะขึ้นอันดับหนึ่งโลกในไม่ช้า ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อสิบปีก่อนมีแต่คนบอกว่าไมโครซอฟท์เป็นไดโนเสาร์ตกยุค ไม่ทันยุคอินเตอร์เนท สมาร์ทโฟน และกำลังจะกลายเป็นอดีต
สิบปีหลังจากนั้น ไมโครซอฟท์อยู่ดีๆก็โตเอาๆ market cap ใหญ่ขึ้นสิบกว่าเท่า ไล่ซื้อกิจการต่างๆเป็นว่าเล่น กลายเป็นบริษัทเทคชั้นนำและกำลังเป็นผู้เล่นสำคัญในเมกะเทรนด์อย่าง AI ผ่านการถือหุ้น 49% ใน OpenAI มีคนบอกว่าในสิบปีที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์คือต้นแบบของการเปลี่ยนแปลงตัวเองของยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำได้
เป็นสิบปีที่คุณ Satya Nadellya รับตำแหน่งซีอีโอพอดี….
ในสำเนียงที่ฝรั่งเรียกคุณ satya จะฟังออกประมาณว่าซาเทียร์ แต่ด้วยความที่คุณ Satya เป็นชาวอินเดีย เกิดที่ไฮเดอร์ราบัด ภาษาสันสกฤตก็น่าจะอ่านว่าสัตยาที่แปลว่าผู้มีความซื่อสัตย์ ซึ่งก็ตรงกับคุณสัตยาผู้ทำงานที่ไมโครซอฟท์เป็นลูกหม้อของบริษัทมากว่าสามสิบปี ในตอนที่สตีฟ บาลเมอร์ ซีอีโอก่อนหน้าจะลงจากตำแหน่ง บอร์ดของบริษัทก็มีการสรรหาคนเก่งๆจากข้างนอกหลายคนเพื่อมาพลิกฟื้นไมโครซอฟท์แต่ในที่สุดบอร์ดและสตีฟก็เลือกคุณสัตยาที่เป็นคนใน อันนำมาซึ่งความแปลกใจให้กับวงการ
ที่ผมสนใจมากๆคือจุดเริ่มต้นหรือกระดุมเม็ดแรกที่คุณสัตยากลัดหลังจากรับตำแหน่งซีอีโอ เพราะการกลัดกระดุมเม็ดแรกถูกนั้น จะนำมาซึ่งกระดุมเม็ดต่อๆมาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงไมโครซอฟท์จากไดโนเสาร์ อุ้ยอ้าย และกำลังจะสูญพันธุ์ให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่สุดล้ำได้อย่างน่าทึ่ง ผมก็เลยไปค้นไปอ่านไปฟังและได้พบกับบทสัมภาษณ์คุณสัตยาของ Stanford Graduate School เมื่อสี่ปีก่อน ซึ่งเป็นเวลาที่น่าสนใจที่จะเข้าใจความคิดของคุณสัตยาได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นช่วงที่หลักการและวิธีคิดของคุณสัตยาเปลี่ยนไมโครซอฟท์มาไกลมากและกำลังอยู่ในช่วงกำลังจะลงทุนขนานใหญ่ใน AI พอดี
คุณสัตยาเล่าในการให้สัมภาษณ์ไว้ว่าตอนที่รับตำแหน่งใหม่ๆนั้นเขารู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้มีแต้มต่อเหมือนกับบิลเกตส์หรือ สตีฟ บาลเมอร์ สองซีอีโอก่อนหน้าที่มีบารมีและเรื่องราวของผู้ก่อตั้ง (founder) ที่เป็นเหมือนตำนานเป็นวิธีคิดของไมโครซอฟท์มาอย่างยาวนาน เขาเลยต้องสร้างความชัดเจนของภาวะผู้นำให้ทุกคนรู้ว่า sense of purpose และ culture ของไมโครซอฟท์ในยุคต่อไปว่าคืออะไร
คุณสัตยาบอกว่าตั้งแต่เริ่มต้น ไมโครซอฟท์มีเป้าประสงค์ใหญ่คือต้องทำให้ทุกบ้านมี PC ให้ได้ ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป้าประสงค์นั้นก็บรรลุไปแล้วและไม่รู้ว่าเป้าประสงค์หรือ purpose ใหม่ของบริษัทคืออะไรและกำลังหลงทางไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี
คุณสัตยาก็เลยกลับไปทบทวนว่าจุดกำเนิดที่แท้จริงของไมโครซอฟท์ที่เริ่มจากโปรแกรมพื้นฐานใน PC นั้นก็คือการที่ไมโครซอฟท์สร้างเทคโนโลยีเพื่อให้คนอื่นสามารถสร้างเทคโนโลยีได้ต่อ ( we build technology so that other can build more technology) แทนที่จะมัวแต่อิจฉาคู่แข่ง เราควรจะกลับไปหารากเดิมของเราก็คือสร้างเทคโนโลยีพื้นฐานที่ช่วยคนอื่นให้สามารถสร้างของ สร้างงาน สร้างธุรกิจจากเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ได้