NATO rejects Ukraine's demand for no-fly zones หมายความว่าอย่างไร?
ก็ถ้าในทางการทหาร เครื่องบินรบก็จะบินอยู่บนน่านฟ้าของประเทศที่กำลังรุกราน หรือก็คือโจมตีทางอากาศได้ เช่นรัสเซียบินไปถล่มยูเครน เป็นต้น
ยูเครนก็เลยขอให้ NATO ปกป้องน่านฟ้าด้วยการสั่งห้ามบินบนน่านฟ้ายูเครน ซึ่งนั่นหมายถึงให้ NATO มาบินป้วนเปี้ยนบนน่านฟ้ายูเครนแทน และถ้ารัสเซียบินเข้ามา ก็สามารถยิงให้ตกได้
แต่ NATO ปฏิเสธ
เหตุผลเพราะข้อแรก ยูเครนไม่ใช่ NATO แม้ว่าในทางความเป็นจริงแล้ว NATO ไม่ใช่ว่าไม่เคยไปปกป้องน่านฟ้าประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศสมาชิกของ NATO
เช่นปี 2011 NATO ก็เคยปิดน่านฟ้าของลิเบียขณะทำภารกิจทางทหารเพื่อถล่มกัดดาฟีมาแล้วเป็นต้น
มันเลยมาที่ข้อสอง แล้วทำไมถึงไม่ปิดน่านฟ้าให้ยูเครนบ้าง? ก็เพราะเหตุผลคือชาติที่กำลังโจมตียูเครนในทางตรงก็คือรัสเซีย การที่ NATO จะส่ง "อาวุธหนัก" รวมถึงเครื่องบินรบอะไรต่างๆเข้าไป จะเป็นสัญญาณการเปิดฉากสงครามใหญ่ระหว่าง NATO และรัสเซียทางตรง
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ NATO ยุโรป สหรัฐ ไม่ปรารถนาที่จะให้เกิดขึ้น
พูดแบบใจดำคือ ... ยูเครนพังประเทศเดียว ยังไม่แย่เท่ากับการเปิดฉากสงครามที่รัสเซียจะเข้ามาปะทะยุโรปและประกาศสงครามกับสหรัฐ และนั่นจะกลายเป็นอภิมหาภัยพิบัติที่ใหญ่กว่าเดิม
สิ่งที่สามารถทำได้สำหรับ NATO และสหรัฐ/ยุโรป สำหรับการสนับสนุนยูเครนก็คือการส่งเสบียง อาวุธบางประเภท การช่วยเหลือทางมนุษยชน รับผู้อพยพ เครื่องมือทางการแพทย์ อะไรต่างๆให้
และปล่อยให้ยูเครนนั้น รบไปเพียงลำพังตามเครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธ ความช่วยเหลือที่ส่งให้
ในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น สิ่งที่จะต้องระมัดระวังให้มากที่สุดคือการกระทำที่ทำให้คู่ขัดแย้งรู้สึกถึงการยั่วยุให้รู้สึกถึงภัยและสงคราม
แน่นอนว่ามันมีการ "แสดงแสนยานุภาพ" อยู่บ้าง
เช่นกรณีจีนเอาเครื่องบินรบ ไปบินวนบนน่านฟ้าไต้หวัน ยิ่งโดยเฉพาะช่วงวันชาติจีน ก็จะมีความถี่สูงมาก ทุกวันนี้ก็ยังบินอยู่ แสดงถึงการยั่วยุและข่มด้วยอำนาจว่า นี่คือแผ่นดินจีน น่านฟ้าจีน ทำไมจะบินไม่ได้ทำนองนั้น
ในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ต่อให้ไม่ชอบขี้หน้ากันแค่ไหน แต่ถ้ามันอาจทำให้เกิดการยั่วยุเกิดขึ้น ก็อาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง
กรณีที่ใกล้ที่สุดก็คือเมื่อวันที่ 2 มีนาคม กลาโหมสหรัฐก็สั่งเลื่อนการทดสอบขีปนาวุธ Minuteman III ออกไป จากเดิมที่มีกำหนดมาตั้งนานนนนแล้วว่าจะมีการทดสอบ
Minuteman III นี่คือขีปนาวุธข้ามทวีป ระยะไกลถึงกว่า 14,000 กิโลเมตร ดังนั้นแน่นอนว่าถ้ามาทดสอบในเวลานี้ ก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับรัสเซียได้ว่า สหรัฐกำลังพยายาม "โชว์พาว"
การเลื่อนออกไปเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
แม้กระทั่งเมื่อช่วงเหตุการณ์ 911 มีการก่อการร้ายจำนวนมาก ทั่วโลกสับสน สหรัฐก็สับสน ทุกคนก็สับสน ทางการสหรัฐจึงสั่งให้ทุกเที่ยวบินต้องลงจอดที่สนามบินใกล้ที่สุดในทันที เพื่อเคลียร์น่านฟ้า
พร้อมทั้งให้เครื่องบินรบต่างๆขึ้นบิน หรือประจำการ หากมีเครื่องบินลำใดไม่รีบลงจอดสนามบินที่ใกล้ที่สุด ก็นั่นแหละเครื่องบินที่อาจต้องสงสัยว่าถูกจี้ ให้ไปโจมตี
ในช่วงเวลานั้น ปธน. บุช เองก็ต้องรีบต่อสายไปยังผู้นำประเทศต่างๆ รวมถึงรัสเซียในเวลานั้นด้วย เพื่อทำให้ "เคลียร์" ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ไม่ให้เป็นการเข้าใจผิดว่าสหรัฐกำลังทำมิดีมิร้าย กับทรัพย์สิน (เครื่องบิน) , ลูกเรือ , พลเมือง , ผู้โดยสาร ของประเทศต่างๆ
อันนี้คืองานในสิ่งที่มันอยู่เบื้องหลังของการเป็นรัฐบาล ที่จะต้องสื่อสารให้เกิดความเข้าใจในระดับนานาชาติด้วย โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤต ที่ต้องพยายามทำให้ทุกฝ่ายใจเย็นลงที่สุด
ไม่ใช่ไปเพิ่มเชื้อเพลิงให้ทุกอย่างมันยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ
ส่วนกรณีของ NATO+สหรัฐ+ยุโรป+ประเทศอื่นๆในโลก ก็ทำได้แค่นี้แหละ คือการ Sanction รัสเซียในทางการเงิน ทางเศรษฐกิจ ช่วยเหลือยูเครนเท่าที่จะทำได้
แต่สิ่งที่ทำไม่ได้โดยเด็ดขาดก็คือการยั่วยุให้เกิดสงคราม เพราะเราทุกคนก็ทราบดีว่า การเกิดสงคราม มันไม่ใช่เพียงแค่ผลกระทบทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
แต่ผลกระทบที่มหาศาลมันก็จะเกิดจากความสูญเสียในชีวิตเป็นจำนวนมาก สงครามที่กินเวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ ก็อาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูทั้งคน เมือง สิ่งก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และ เศรษฐกิจนานเป็นสิบปี
อย่างที่เคยพูดไว้เสมอ เวลามีปัญหาเกิดขึ้น มันไม่ใช่เวลาในการอธิษฐานจิตอีกต่อไปแล้วว่าไม่อยากให้มันเกิด หรือถามคำถามว่าทำไมมันถึงเกิด
สิ่งที่ทำได้และต้องทำให้เร็วที่สุดคือการลด/การกระชับความเสียหาย (Minimize Damage) ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้