ที่ warren buffett กล่าวก็ถูกครับ
ที่ Bitcoin maximizer ทั้งหลายเชื่อก็ถูกครับ
คือถูกทั้งคู่นะ
เพราะ เค้าพูดกันคนละมุมมอง
warren buffett บอกว่า Bitcoin มันไม่ได้สร้าง productivity อะไรขึ้นมา มันไม่มีกิจการเป็น back ที่ทำให้เกิด return บนการใส่เงินเข้าไปใน Bitcoin มันก็จริง
เราลองคิดดู ว่าบริษัทไหน หรือกิจการใดที่นำเอา bitcoin ไปเป็นทุนเพื่อสร้าง productivity ขึ้นมาบ้าง คือตัวมันเอง ทำอะไรไม่ได้เลย มันไม่เหมือนนกับเอาเงินไปซื้อที่ดิน เพื่อสร้างธุรกิจขึ้นมาบนนั้นอันจะทำให้มูลค่าของที่ดินแพงขึ้น หรือว่า ตัวธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรได้ ถ้าจะบอกว่า DeFi ไง ก็ต้องไปดูดีๆ ว่า มันเอา Bitcoin ไปใช้ทำอะไรแน่ เพราะถ้าบอกว่า เอาไปใช้ค้ำประกันเป็นมูลค่า อันนั้น มันไม่ได้ถือว่าทำให้เกิด productivity มันไม่ใช่เรื่องนั้น มันก็แค่ถูกเอาไว้วางค้ำเป็นมูลค่าเท่านั้น ไม่ใช่ productivity อะไรจริงๆ
ทางกลับกัน Bitcoin จริงๆแล้วตอนแรก มันถูกสร้างมาเป็น Medium of exchange หรือ สื่อกลาง เพื่อใช้แลกเปลี่ยนมูลค่า หรือที่เรารู้จักกันว่า "เงิน" นั่นแหล่ะ ดังนั้น มันจะตลกมาก ถ้าเราเอาเงินไปลงทุนใน"เงิน" เพื่อหวังว่าเงินที่ลงทุนไปจะสร้างผลกำไรจากความเป็นเจ้าของ"เงิน" เพราะ เงินมันเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน หน้าที่มันคือแค่นั่น มันไม่ได้มีธุรกิจด้วยตัวมันเอง
ส่วนอีกเรื่อง ก็คือ การเก็งกำไร (เขียนอย่างนี้นะ) อันนี้แหล่ะ ที่ตรงกันข้ามกับสาย Warren เค้าเลย เค้าไม่ได้เป็นสายเก็งกำไรอะไรแบบนี้ ไม่งั้นเค้าเข้าตลาด Forex ไปเล่น money game นานแล้ว แต่ส่วนส่วนใหญ่ในตอนนี้คนทั่วไปยังมอง Bitcoin และ Cryptocurrency ในมุมการเก็งกำไรมากกว่าการเอามาใช้งานจริงอยู่ ก็ไม่แปลกว่าจะมีมุมมองที่สวนทางกัน
แต่ถ้าเรามองตาม Bitcoin maximizer มอง ก็จะเห็นว่า สื่อกลางการแลกเปลี่ยนนี้ มันคือสิ่งที่อนาคตทั่วโลกต้องยอมรับ และใช้งานมัน ดังนั้น ราคามันควรจะสูงกว่าวันนี้อย่างแน่นอน ดังนั้น ถ้าเราเอาเงิน ไปซื้อ Bitcoin มาเก็บเอาไว้ อนาคตเราเชื่อว่ามีคนพร้อมจ่ายที่แพงกว่านี้เพื่อซื้อมันไปใช้ หรือ ในอีกทางหนึ่ง มองว่ามันเป็น store of value ซึ่งหมายความว่า เราเอา เงินไปแปลงเป็น Bitcoin แล้วถือมันเอาไว้ เมื่อวันนึงที่ต้องการใช้เงิน ก็แปลง Bitcoin กลับมาเป็นเงินอีกที มันจะสมเหตุสมผล เช่น วันนี้ 40 satoshi (SAT) มีค่าเท่ากับ 53 บาท และซื้อ ก๋วยเตี๋ยวกินได้ 1 ชาม ถ้าเราถือ 40 SAT ไปอีก 3 ปี เราก็ยังใช้มันแลกก๋วยเตี๋ยวได้ 1 ชามเท่าเดิม แต่วันนั้นราคาก๋วยเตี๋ยวมันอาจจะเป็น 65 บาทแล้วก็ได้ เพราะอัตราเงินเฟ้อในตอนนี้ระดับนี้ เราจึงเห็นได้ว่า งั้นเก็บมูลค่า หรือ อำนาจการใช้จ่ายในอนาคตไว้ใน Bitcoin ดีกว่าเก็บไว้ในเงินตามปกติ เพราะเงินเฟ้อ ทำให้เงินด้อยค่าลง
ไม่ งง เนอะ คือถูกทั้งคู่แหล่ะ เราแค่ต้องเข้าใจมุมมองให้ถูกต้องเท่านั้นเอง
แต่....
Bitcoin นั้นก็เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง อันมาจากความผันผวนของราคาที่สูงมาก รวมทั้ง มันเป็นสินทรัพย์เกิดใหม่ และการกระจายตัวยังไม่ดีมากพอ (ข่าวที่เจ้าใหญ่ๆตามซื้อปริมาณเยอะๆ เอาตรงๆ ว่านั่นไม่ใช่เรื่องดีนะ) รวมทั้งปริมาณเงินหมุนเวียนยังมีน้อยมาก จึงอาจจะโดนถล่ม หรือ โดนลากไปเชือด หรืออื่นๆได้ง่าย ดังนั้น ก็ต้องระวังในมุมนี้ด้วย เค้าถึงให้เราต้องระวังในมุมนี้ เพราะ 40 SAT อีก 3 ปี อาจจะเหลือ หมูปิ้งไม้เดียวก็ได้ หากเป็นช่วงที่ราคาตกมากๆ อะไรแบบนี้
ถ้าเราเข้าใจเรื่องทั้งหมด เราก็จะรู้ ว่าเรากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับอะไรอยู่ เราอยู่ตรงไหน ยังไงของระบบ เท่านั้นเอง