>>71 ยากแล้วละ จีนทำในสิ่งที่เผด็จการรุ่นก่อนๆ ทั่วโลกได้แต่ฝันได้สำเร็จ คือระบบที่ควบคุมคนทั้งประเทศแบบเบ็ดเสร็จ ไม่น่ามีประเทศไหนที่มีและใช้ big data ของคนแบบเจาะลึกได้เท่าจีนแล้ว เรื่องเทคโนโลยีมันพัฒนาแข่งกันได้หมด แต่สิ่งที่ตะวันตกทำไม่ได้แบบจีนเพราะสิทธิมนุษยชนมันค้ำคอ ไหนจะกล้องจับภาพใบหน้าแล้วประมวลผลชนืดว่าใครขี้เกียจ AI มันเดาจากสีหน้าได้ ไหนจะระบบคะแนนความประพฤติที่แม้จะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายแต่ถ้าทำตัวเกียจคร้านหย่อนยานก็จะถูกตัดสิทธิต่างๆ ไหนจะ single gateway ที่คุมอินเตอร์เน็ตได้สมบูรณ์ คำที่รัฐบาลไม่ต้องการให้เห็นให้รู้อยู่เมืองจีนก็จะไม่มีโผล่ขึ้นมา ไหนจะสังคมไร้เงินสดที่รัฐบาลรู้หมดว่าใครใช้จ่ายอะไร
หันมาดูตะวันตกที่พวกซ้ายมีปากเสียงขึ้นเรื่อยๆ ให้ยอมรับพวกเหลาะแหละ ทำนองว่าแค่เกิดมาเป็นคนไม่ต้องทำอะไรก็ควรได้รับความคุ้มครองเต็มที่แบบรัฐสวัสดิการ หรือพวกเฟม พวก gender equity ที่คุยกันเรื่องนิยามเพศ หัวข้อพวกนี้คนจีนมีสำนวน "เจี้ยะป้าบ่อสื่อ" คือเป็นเรื่องคนถกเถียงกันเพราะว่างมาก สบายมาก แต่เป็นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการทำให้รัฐเข้มแข็งเป็นมหาอำนาจน่ะ
จริงๆ ทั้งตะวันตกและจีนมี ปวศ. อะไรแบบนี้คล้ายๆ กันนะ ตะวันตกมีกรีกที่ 2 แคว้นใหญ่คือเอเธนส์กับสปาร์ต้า พวกเอเธนส์ที่ร่ำรวยสุขสบายกว่า วันๆ ว่างนั่งถกปรัชญา แต่เวลาทำสงครามนี่สปาร์ต้าโดดเด่นกว่าเพราะเป็นรัฐที่ฝึกผู้ชายทุกคนให้เป็นทหารตั้งแต่เริ่มรู้ความ ส่วนจีนในยุคปลายๆ เลียดก๊ก ตอนนั้นทุกแคว้นแม้จะรบกัน แต่คนในเมืองก็ชอบถกปรัชญา และมีหลายสำนักด้วย (ขงจื้อ เม่งจื้อ เต๋า ฯลฯ) หานเฟยที่เป็นนักคิดในยุคนั้นคิดต่างออกไป บอกว่าวันๆ คนเอาแต่ถกปรัชญา ไม่มีประโยชน์ในการสร้างชาติ ถ้าเทียบกับการทหารและการเกษตร แนวคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากแคว้นอื่นๆ เว้นก็แต่แคว้นฉินที่อยู่ทางตะวันตกสุด แล้วก็อย่างที่เห็นๆ กัน สุดท้ายแคว้นฉินก็ชนะทุกแคว้นรวมแผ่นดินได้สำเร็จน่ะ