ทำไมเกาหลีเหนือจึงมีกองทัพแฮคเกอร์ที่มีพลานุภาพสูงมากประเทศหนึ่งของโลก - แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบิทคอย
(สเตตัสนี้ยาวมาก)
เป็นเรื่องน่าแปลกใจเสมอมาที่ว่า เกาหลีเหนือประเทศเล็กๆที่ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ มีสถานะยากจนแร้นแค้น ทไมจึงมีศักยภาพในการพัฒนาขีดความสามารถด้านความมั่นคงที่ไฮเทคอย่าง อาวุธนิวเคลียร์ ขีปนาวุธข้ามทวีป หรือสงครามไซเบอร์ได้
ประเทศใดจะมีขีดความสามารถด้านสงครามไซเบอร์อยู่ในระดับโลกหรือไม่ ตัวชี้ชัดหนึ่งที่สำคัญคือ ประเทศนั้นมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองหรือไม่
ความจริงแล้ว อาวุธนิวเคลียร์ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับขีดความสามารถด้านไซเบอร์ของประเทศนั้นแต่อย่างใดเลย แต่อาวุธนิวเคลียร์บ่งบอกได้ถึงระดับของทรัพยากรที่ประเทศนั้นๆจัดสรรให้แก่ภาคความมั่นคง
ฉะนั้นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านความสามารถทางไซเบอร์จึงแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือ หนึ่ง ประเทศมหาอำนาจที่มีทรัพยากรมาก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย สอง คือ ประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นยักษ์หลับ และมีข้อพิพาทกับประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ เช่น ปากีสถาน อินเดีย และกลุ่มสุดท้ายคือ ประเทศที่ภัยความมั่นคงอาจทำให้ประเทศล้มได้ เช่น อิสราเอล เกาหลีเหนือ
ในประเทศที่มีเสรีภาพนั้น ปัจเจกจะเลือกเรียนหรือเลือกเป็นอะไรก็ได้ที่ตัวเองสนใจ เป็นการปล่อยให้ตลาดจัดสรรทรัพยากรมนุษย์ด้วยตัวเอง แต่ในรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จแบบเกาหลีเหนือนั้น อาชีพที่ส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐคืออาชีพที่มีสถานะทางสังคมสูงสุด และรัฐก็ต้องการทรัพยากรบุคคลที่เป็นครีมของประเทศเพื่อตอบสนองเป้าหมายของรัฐ
เด็กที่มีความสามารถทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จึงถูกคัดเลือกโดยรัฐตั้งแต่อายุ 10-12 ปี เพื่อฟูมฟักให้เติบโตไปรับใช้รัฐตามลำดับความสำคัญของความต้องการ อาชีพของครีมเหล่านี้ คือ ทหาร นักฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ และแฮคเกอร์
การเริ่มต้นสะสมทักษะด้านไซเบอร์ของเกาหลีเหนือ เริ่มต้นขึ้นในทศวรรษที่ 1970 ภายใต้การริเริ่มของ คิมจองอิล โดยส่งหัวกะทิของประเทศไปร่ำเรียนในต่างประเทศซึ่งเป็นพันธมิตรกับเกาหลีเหนือ เช่น รัสเซีย จีน รวมถึงเยอรมันตะวันออก เพื่อนำความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมเข้ามาพัฒนาประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ
ในทศวรรษที่ 1990 คิมจองอิล ได้ก่อตั้งศูนย์สงครามไซเบอร์ และหน่วยงานด้านนี้ขึ้นมาภายใต้กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ เพื่อให้กองทัพแฮคเกอร์เหล่านี้ทำงานรวบรวมข้อมูลข่าวกรองต่างประเทศ และแม้แต่การหาเงินเข้าประเทศ
โดยเกาหลีเหนือตระหนักดีว่า ประเทศของตัวเองนั้นถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างหนักจากโลกเสรี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพัฒนา Asymmetric Weapon หรืออาวุธอสมมาตร ที่ทำให้ประเทศเล็กๆแห่งนี้ ต่อกรกับมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ได้ นั่นจึงเป็นที่มาของการทุ่มทรัพยากรของประเทศไปกับ อาวุธนิวเคลียร์ และสงครามไซเบอร์
ในอดีตเงินทุนที่จะนำมาใช้ในส่วนนี้ มาจากหลากหลายวิธีการ ตั้งแต่ การปลอมธนบัตรของรัฐชาติต่างๆ การผลิตยาเสพติดแล้วส่งขายไปยังประเทศโลกเสรี จนกระทั่งเกาหลีเหนือตระหนักว่า ไซเบอร์นี่แหล่ะคือท่อน้ำเลี้ยงใหม่ของประเทศ
กองทัพแฮคเกอร์ของเกาหลีเหนือหลักจากเสร็จสิ้นการฝึก จะถูกส่งตัวไปประจำการยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน นอกจากการทำงานให้รัฐแล้ว หน้าที่ของพวกเขายังคือการทำงานด้านคอมพิวเตอร์ในตลาดสีเทา เช่น การเขียนบอทเกมส์ออนไลน์ การ crack ซอฟต์แวร์แล้วนำมาบรรจุขายในผลิตภัณฑ์ใหม่ การขโมยข้อมูลทางการค้า โดยโปรแกรมเมอร์แต่ละคนอาจมีรายได้ถึงเดือนละ 300,000 บาท แต่แน่นอนว่า รายได้ส่วนใหญ่ก็จะถูกนำเข้ารัฐ
FBI ได้กล่าวว่า โจรที่ถือปืนเข้าไปปล้นธนาคารนั้น ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับการจารกรรมธนาคารผ่านระบบดิจิตัล ซึ่งมีเกาหลีเหนือเป็นผู้กระทำการหลัก หรือเรียกว่าคือโจรปล้นธนาคารตัวเบ้งที่สุดในโลก
ประมาณการกันว่า ด้วยการใช้มัลแวร์เพื่อเข้าถึง crypto wallet การใช้ ransomware เพื่อเรียกค่าไถ่ข้อมูล การแฮคกระดานซื้อขายสกุลเงินดิจิตัล และการแฮคบัญชีธนาคาร เกาหลีเหนือสามารถหาเงินเข้าประเทศได้ถึง 40,000 ล้านบาท
การแฮคธนาคารกลางของบังคลาเทศเกือบนำไปสู่ความเสียหายของทุนสำรองประเทศถึง 30,000 ล้านบาท การแฮคกระดานซื้อขายสกุลเงินดิจิตัล Kucoin ของประเทศสิงคโปร์ สร้างความเสียหายเกือบ 60,000 ล้านบาท ไม่รวมทรัพย์สินที่ FBI สามารถสกัดกั้นและยึดคืนได้กว่า 60,000 ล้านบาท
รวมทั้งหลังจากมีการยกเลิกการนำเข้าถ่านหินจากเกาหลีเหนือของประเทศจีน ในปี 2017 เมื่อมีถ่านหินคงค้างในประเทศจำนวนมาก เกาหลีเหนือจึงนำถ่านหินเหล่านี้ไปผลิตไฟฟ้าเพื่อหล่อเลี้ยงการทำเหมืองบิทคอยขนาดยักษ์ และแน่นอนว่า วาฬตัวหนึ่งในวงการคริปโต ที่ฝ่ายความมั่นคงสหรัฐพยายามอย่างยิ่งที่จะจับตามอง ซึ่งได้เหรียญมาทั้งจากการขุดและการแฮค ก็คือ เกาหลีเหนือนี่เอง