มาถกเรื่องปรัชญากันครับ สามารถเอาทฤษฎีปรัชญา จิตวิทยา วิทยาศตร์ บลาๆถกกันค้าบ
Last posted
Total of 126 posts
มาถกเรื่องปรัชญากันครับ สามารถเอาทฤษฎีปรัชญา จิตวิทยา วิทยาศตร์ บลาๆถกกันค้าบ
พวกร่าลก็เหมือนนก ที่ยู่ในกรงตลอด พอออกจากกรงก็ไม่มีไรแดกเพราะล่าเหยื่อไม่เป็น
พวกหลิ่มก็เหมือนหมา ที่มีปลอกคอ บินก็บินไม่ได้ ไม่รู้จัดคำว่าอิสระ คิดเองไม่เป็น ต้องทำตามคำสั่งอย่างเดียว ช่างน่าสมเพชจริงๆ
Nietzche - ความอิจฉา (envy) {มาจากหนังสือที่พรี่นิตเช่เขียนในหลังสือ beyond good and evil}
โดยนิตเช่พยายามจะบอกว่าการ "อิจฉาไม่ใช่เป็นเรื่องที่เลว ผิดศิลธรรม"
.
-ย้อนไปดูเรื่องปวศการกําเนิด การกําหนดเรื่องศิลธรรม (Morality)
>>>สมัยอดีตประมาณก่อนศาสนาคริสต์BC การตัดสินว่าอะไรถูก (positive) หรือผิด (Negative) นั้นมาจากผู้ที่กุมอํานาจในการปกครอง การเงิน และ การทหาร ซึ่งนั้นก็คือพวก'ชนชั้นสูง' (Aristrocrat) พวกนี้ก็ได้มากําหนดเรื่องความผิดชอบช่วยดีด้วย โดยมาจากความคิดที่ว่า>การกระทําอะไรเป็นเรื่องที่น่านับถือ ซึ่งมันทําให้รสนิยมความเป็นอยู่ของพวกชนชั้นสูงกลายมาเป็นความดีความชอบ (ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันตรงกันข้ามกับความดีในสมัยปัจจุบันเลย ก็คือแม่งสามารถบัญญัติว่าเป็นความชั่วได้
ถามว่ามีอะไรบ้างไอความดีเนี่ย -การเอาชนะ -การหาเงิน -การแสดงออกเรื่องเพศอย่างเปิดเผย -การรู้มาก -การเป็นคนดัง
.
แต่ทีนี้นิตเช่ก็ยกตัวอย่างกลุ่มคนอีกกลุ่มในยุคเดียวกัน พวกชนชั้นล่าง พวกทาส ก็อยากจะได้อยากจะมีไม่ต่างจากชนชั้นสูง แม้ตัวเองอยากจะล้มล้างพวกชนชั้นสูงขนาดไหนก็ทําไม่ได้ เพราะตัวเองไม่มีอํานาจทางการเมือง ไม่มีเงิน ไม่มีกําลังทหาร
แต่คนชั้นล่างก็ได้ออกอาวุธใหม่มาที่จะทําให้ตัวเองซึ่งอ่อนแอ สู้กับผู้มีอํานาจเบื้องบนได้ นั่นก็คือ 'การตราบาป' (Guilt) ก็คือหาเรื่องมาตราบาปชนชั้นสูง แม่งเป็นอาวุธทางจิตวิทยาดีๆ ซึ่งแม่งก็เลยเอา 'คริสต์ศาสนา' มาตีคุณต่าของmoralityใหม่
[คือต้องเข้าใจด้วยว่าพรี่นิชเช่แกมองว่าศาสนาคริสต์แม่งBullshit] นิตเช่มองว่าศาสนาคริสต์เนี่ยเป็นศาสนาจากชนชั้นล่าง ที่ต้องการจะเปลี่ยนการตีความด้านศิลธรรมใหม่ คืออะไรที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นสูงจะถูกตีค่าว่าเป็นบาป และกลับกันอะไรที่เกี่ยวชนชั้นรากไพร่คือความดี
เช่น ไม่มีเงิน = noble poverty (อารมณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงแบบ9ดีๆนี่เอง Romaticiseความจน) , ไม่มีการศึกษาหรือโง่ = มีความจริงใจ , ไม่เคยมีเซ็กส์ = รักษาพรหมจรรย์ ยังบริสุทธ์ , ไม่สามารถที่จะแก้แค้นได้ = การให้อภัย ( ที่กล่าวๆมาคือไอเหี้ยศาสนานักหลวมสัส ;-; )
.
คือจากความอิจฉาของชนชั้นล่างที่อยากได้อยากมีแบบชนชั้นสูง ก็ถูกตีใหม่เช่นกันว่าเป็นบาป และคือศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มันมีการตัดสินลงโทษจากการกระทําบาปในชีวิตหลังความตาย ใครที่ทําดีก็ได้ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ไอคนดีๆเนี่ยซึ่งแม่งก็จะเป็นพวกชั้นล่าง อ่อนแอ ถ่อมตัว ซิง จน และพวกโดนกดขี่
ในแง่มุมจิตวิทยา ความอิจฉา(Envy)เกี่ยวกับการรักตัวเองมากกว่าการรักคนอื่นโดยเป็นความปราถนาที่อยากได้อยากมีในสิ่งที่คนอื่นมี หรือทำให้เขาไม่มีในสิ่งนั้น โดยมีแง่มุมแบบคร่าวๆ ตามด้านล่างซึ่งลดทอนรายละเอียดความซับซ้อนลงไปพอสมควร
.
อันแรกคือ การประเมินค่าสิ่งที่ผู้อื่นมีของมนุษย์ โดยยิ่งใส่ใจในสิ่งนั้นมากยิ่งอิจฉาได้ง่าย ยิ่งมีคุณค่ามากก็ยิ่งอยากได้มากขึ้น
.
ต่อมาคือการประเมินตนเอง ยิ่งเป็นคนที่ประเมินตนเองด้อยกว่าผู้อื่นหรือมีself esteemต่ำ หรือไม่พอใจในสถานะที่ตนเองเป็นอยู่ก็ยิ่งมีแนวโน้มอยากได้มากขึ้น
.
สุดท้ายคือยิ่งใกล้ชิดกันระยะห่างทางความสัมพันธ์ต่ำ ก็ยิ่งมี "แนวโน้ม" ที่จะอิจฉากันได้ง่าย เพราะรับรู้คุณสมบัติของอีกฝั่งได้บ่อยๆ ซึ่งถ้าเป็นสิ่งที่โดนให้คุณค่าไว้มากกกก็จะยิ่งอิจฉาได้ง่ายขึ้นไปอีก ผลก็คือทำให้บางครั้งคนเลือกที่จะช่วยคนแปลกหน้าง่ายกว่าคนสนิทนั่นเอง
ยังไงก็ตามความอิจฉาไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะคนเราควรที่จะรักตัวเองอยู่แล้ว และการให้ค่ากับสิ่งต่างๆก็เป็นสิทธิ์ของแต่ล่ะบุคคล พูดง่ายคือตามสบายตราบใดที่คุณรับผิดชอบอารมณ์ตัวเองได้ แต่หลายครั้งมนุษย์ก็ทุกข์เพราะความอิจฉา เพราะมัยย้ำเตือนในสิ่งที่เราอยากแต่ไม่มี ขาดแต่ไม่ได้ เลยมีกลไกในการลดความอิจฉาขึ้นมาเช่น เราอาจลดค่าของสิ่งที่เราอยากได้ลง ตัวอย่าง เพื่อนได้เกรดสูง เราอิจฉา แต่ต่อมาเรามาคิดว่าเกรดไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ต่อให้มีเกรดไม่เท่าก็เข้าหมาลัยที่เราอยากเข้าได้ ความอิจฉาก็ลดลง หรืออาจสร้างระยะห่างจากสิ่งที่เราอิจฉา จากคนที่เราอิจฉาโดยทิ้งระยะออกมา เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หรือพัฒนาทำตัวเองให้ดีขึ้น ฯลฯ
Present day
Heh
Present time
Hahahahahaha
https://youtu.be/KoUmj4D5fjc
>>5 เห็นเป็นมู้ถก กูก็ช่วยถกละกัน
- นิตเช่เองก็หาข้ออ้างในหลักของตนไม่ต่างจากศาสนาคริสต์หรอก ทั้งในเรื่องการไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือต่อต้านศาสนา
- ตามชีวประวัตินิตเช่คือโดนหญิงปฏิเสธขาดความมั่นใจในตัวเอง เกลียดแม่กับครอบครัวตัวเองพอสักพักก็ mental breakdownแล้วก็ตาย
- ทั้งหมดที่พูดมาไม่ใช่กูไม่เห็นด้วยกับเรื่องความอิจฉาของนิตเช่นะเอาจริงๆกูเห็นด้วยมากด้วยซ้ำเพราะตามที่นิตเช่กล่าวถึงความอิจฉาและอารมณ์ด้านลบต่างๆของมนุษย์ว่าเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้และเป็นสิ่งที่ช่วยชี้บอกว่าตัวตนข้างในตัวเราแท้จริงแล้วเป็นยังไง ดังนั้นการจัดการกับความอิจฉาต่างหากจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
- นิตเช่ไม่ชอบมหาวิทยาลัย เพราะมองว่ามันมีความเป็นวิชาการมากไป ควรจะเป็นสถานที่นำทางในชีวิตแบบสมัยกรีกมากกว่า
- นิตเช่บอกว่าจุดที่จะมาแทนที่ศาสนาคือวัฒนธรรมพวกปรัชญา ศิลปะ วรรณกรรม ซึ่งพวกนี้ก็เกี่ยวโยงลึกซึ้งกับศาสนาหากมองในบางมุม
- นิตเช่ไม่ชอบวิทยาศาสตร์นิยมแล้วก็แนวคิดก็แอบเหยียดเพศหญิงด้วยถ้าพิจารณาตามมาตรฐานปัจจุบัน
ถุยยย ก็แต่สวะ ฆตต เมิงจะยกย่องตีความแนวคิดของมันอะไรขนาดนั้น
สิ่งสำคัญคือทัศนคติ มุมมอง ของคน สังเกตุนะข่าวเดียวกัน แต่สื่อลงแต่ละประเทศจะเจือปนไปด้วยทัศนคติ นั่นละความแตกต่างของคน
https://youtube.com/c/RCWaldun
แนะนําช่อง พูดปรัชญา แนะนำหนังสือดีๆ แนะนําวิธีแสวงหาความรู้ มันพูดเก่ง+ตัดต่อวิดีโออะไรดูดีหว่ะ
กูยังไม่เห็นมีใครยกย่องนิตเช่เลยนะเว้ย แค่ยกประเด็นมาถก ไม่ได้มาอมควยเปล่าวะ
>>12 หรือแม่งโทรลมั่วป่าว
>>11 กูเสริม นิตเช่แม่งเป็นชนชั้นกรรมาชีพด้วย อย่างเรื่องความอิจฉาก็เอาปวสการต่อสู้ทางชนชั้นมาพูด ตัวเองเนี่ยแหละขี้อิจฉาชั้นดี แต่เหมือนมันสอนให้เรายอมรับความรู้สึกอิจฉาแทนที่จะIgnoreมัน
เอ่อจะว่าไป เอาตรงๆอย่างเรื่องใช้ศาสนาคริสต์มาทําให้ชนชั้นสูงรู้สึกguilty สุดท้ายแม่งศาสนาถูกชนชั้นสูงเอามาใช้ในการจัดระบบชนชั้นทางสังคมแทนในสมัยยุคกลางหว่ะ Lmao
พูดถึงตำนานเมืองของมหาลัยแล้ว
คณะผมมันมีตำนานเรื่อง "ไปยุโรป" คือทุกปี จะมีนักศึกษาหายไปเงียบๆปีละคนสองคน
แล้วพอคนถามว่าหายไปไหน เพื่อนๆคนที่หายก็จะบอกกันแค่ว่า "ไปยุโรป" แล้ว
อยู่ดีๆก็มีคนหายไปเงียบๆทุกปีมันเป็นเรื่องลึกลับจริงๆนะครับ
โชคดีที่ผมมีโอกาสอยู่ใกล้กับเหตุการณ์ไปยุโรปด้วยตัวเอง ก็เลยรู้ความจริงของเรื่อง
สมัยปี 1 มันมีเพื่อนผมคนนึง เก่งแบบน่าจะ Top10 ของรุ่น เป็นคู่ถกเถียงเรื่องสิทธิ์ ประชาธิปไตย ความจริงของโลก ระบบสภา รับน้อง มหาลัย อะไรมากมาย
ทีนี้ตอนปี 1 จริงๆ เรียน TU120 คาบนั้นเดชา มาสอนมั้ง เราก็เจอคำถามพื้นๆแหละว่า "เรารู้ได้ยังไงว่าเรารู้ในสิ่งที่เราบอกว่าเรารู้"
ขยายความของคำถามคือ
เรารู้ได้ยังไงว่าบ้านเราอยู่ที่เดิม
เรารู้ได้ยังไงว่าสิ่งนี้คือเก้าอี้
เรารู้ได้ยังไงว่าเราเป็นเรา
เรารู้ได้ยังไงว่าเรามีตัวตนอยู่
เรารู้ได้ยังไงว่าเรารู้
ทีนี้เพื่อนผมมันตั้งใจไปหน่อย ก็เลยไปอ่านหนังสือเพิ่มเติม แล้วเสือกกระโดดไปอ่านพวก ฟูโก กับ ดาลิดา เลย
ผลคือมันปฏิเสธการมีอยู่ของเก้าอี้ ปฏิเสธการมีตัวตน ทำให้เส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงกับเหตุผลมันพัง
ผลคือก็เลยต้องลาออก ไปเข้าโรงบาล แล้วหายไปเงียบๆ
จากนั้นเวลามีคนถาม จะให้ตอบว่าไง บอกว่า "บ้าไปแล้ว" เหรอ... ไม่ได้หรอก
เราก็จะบอกกันว่า "อ๋อ มันไปยุโรปแล้ว"
ผมเสียดายอยู่ จริงๆถ้ามันขุดหลุมฝังตัวเองตายเป็นมันมี่ไปเลยในตอนนั้น มันอาจจะบรรลุธรรมแบบโซคุชินบุตซึก็ได้นะ
ผ่านด่านนี้ไปได้ ก็ยังมีด่านต่อไปจนครบ 4 ปีนะ
โชคดีที่ผมขี้เกียจ ชอบการอ่านมังงะมากกว่า เลยไม่ได้อ่านพวกงานหลังโครงสร้างนิยมก่อนเวลาอันสมควร และนิยมการขังตัวเองในห้องดูเมะมากกว่าไปเสวนาวิชาการ เลยจบออกมาในความคิดสายหลังโครงสร้างนิยมได้โดยไม่บ้าไปซะก่อน
อันนี้คือ เรียงความเรื่อง "ไวฟุช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร" ครับ
ป.ล. ใครจะอ่านปรัชญานะ ไปเริ่มจากโลกของโซฟี แล้วไปไล่มาจากโสเกรติส เพลโต ก่อนเลย แล้วเอาเอนไลเทนให้แน่นๆ ก็จะไม่ไปยุโรปครับ แต่ผมไม่แนะนำให้เน้นมาร์คซ์นะ จะกลายเป็นจูนิเบียวมาร์คซ์แทน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เอ่อน่าสนใจดีเลยเอามาแปะในมู้นี้ ไม่ได้เรียนสายปรัชญาโดยตรงแต่ฟังแล้วอยากไปซิทอินเลยสัส
แถมอีกอัน ของเจ้าของ quote เดียวกับ >>16
Stoicism ลัทธิสโตอิก เป็นหนึ่งในปรัชญาที่ทรงอิทธิพลของตะวันตก ซึ่งเรารู้จักมันน้อยกว่าแนวคิดของสำนักเพลโต
อิทธิพลหลายอย่างของแนวคิดตะวันตก ไม่ได้มาจากตะวันออก แต่มาจากแนวคิดสโตอิก
ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล ที่เอเธน โดย เซโน แห่งซิเทียม
ลัทธิสโตอิกเชื่อในการฝึกฝน และการควบคุมความต้องการของร่างกาย
พวกสโตอิกเชื่อว่าโลกนี้มีสิ่งที่เป็นกฎธรรมชาติในลักษณะที่เป็นคุณธรรมตามธรรมชาติ หรือกฎหมายธรรมชาติอยู่ มันมีรูปแบบบางอย่างที่จักรวาลมีระบบระเบียบของมัน - ซึ่งเหตุผลคือความเข้าใจกฎธรรมชาตินี้ และมนุษย์เราควรมีวิธีชีวิตที่สอดคล้องกับกฎหมายธรรมชาติ
ลัทธิสโตอิก เชื่อในการฝึกตน วินัย และการพยายายามควบคุมความต้องการของร่างกายให้พอดี ไม่มากไป (แต่ก็ไม่ใช่การทรมานตัวเอง)
สโตอิก เชื่อว่าความโง่คือบาป มนุษย์เราจะดีขึ้น เมื่อมีการศึกษา ได้รับการฝึกให้เข้าใจเหตุผล และควบคุมตันหาต่างๆ
คุณธรรมในมุมมองของสโตอิกคือ
- ปัญญา
- ความกล้าหาญ
- ความยุติธรรม
- การบังคับควบคุมตนเอง รู้จักความพอดี (ไม่ตกอยู่ในอิทธิพลของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นสุรา กามา ความสบาย อำนาจ)
ฟังดูแล้วโคตรคุณธรรมโรมัน ทำให้แนวคิดนี้เป็นที่นิยมของชาวโรมันมากๆ ในขณะที่ช่วงที่โรมันเริ่มเป็นจักรวรรดิ ศีลธรรมเริ่มเสื่อมทรามลง แนวคิดแบบสโตอิกยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้น
จนจักรพรรดิมาร์คัส ออเรลิอุส ถือเป็นหนึ่งในนักปรัชญาสโตอิกที่สำคัญ มีงานเขียนชื่อ meditation ซึ่งเป็นเรื่องการพิเคราะห์ชีวิตของตน มีแปลไทยหาอ่านได้
พวกสโตอิกยังนับถือเทพเจ้าของโรมันอยู่โดยทั่วไป แต่เป็นวิถีชีวิตนอกเหนือจากความเชื่อของเรื่องเหนือธรรมชาติ
ในมุมของผม แนวคิดสโตอิก มีบางสิ่งที่ใกล้เคียงกับข่งจือ ในแง่ของการให้ความสำคัญกับการฝึกตน และมุ่งนั้นชีวิตทางโลกและวินัยบางอย่างแก่สังคมมากกว่า จะไปสนใจเรื่องสวรรค์นรก แต่เป็นเวอร์ชั่นของตะวันตก ในขณะที่ข่งจือจะเน้นไปทางความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว เพื่อน เจ้านายลูกน้อง
สโตอิกมันจะมีความตะวันตกมากๆ คือมุ่งเน้นการพิเคราะห์ชีวิตของตน เผื่อรีเฟลคชั่น ตกผลึกความคิดอะไรบางอย่าง
การฝึกฝนของสโตอิก นอกจากกระบวนการพินิจกฎระเบียบของธรรมชาติแล้ว ยังมีกระบวนการสำรวจจิตใจตนเองซึ่งเป็นลักษณะ mindfulness คล้ายกับการทำสมาธิแบบพุทธด้วย แต่เป้าหมายต่างจากกรรมฐาน หรือพวกสาย mysticism
(ทีนี้พวกที่ชอบเขียนบทความเดาว่าเทคนิค หรือแนวคิดบางอย่างของตะวันตก ต้องได้อิทธิพลมาจากอินเดียนี่ จริงๆนี่ตะวันตกก็มีของมันอยู่)
ในสายของการพัฒนาทางปรัชญา แนวคิดสโตอิกมีอิทธิพลอย่างสูงต่อคริสตจักรยุคต้น
สัญนิษฐานว่าเปาโลคุ้นเคยกับปรัชญาสายสโตอิกซึ่งเป็นกระแสหลักของโรมันในสมัยนั้นเป็นอย่างดี เนื่องจากในกิจการที่เปาโลพยายามเผยแพร่ศาสนาให้กับ "ชาวต่างชาติ" เปาโลใช้คำศัพท์ของพวกสโตอิก มีการพูดถึงคุณธรรมที่ชาวสโตอิกชื่นชอบ พวกการควบคุมตนทั้งหลาย เพื่อให้ชาวกรีก-โรมัน เข้าใจคำสอนของคริสเตียน
ดูเหมือนว่าผู้ที่มีพื้นฐานของสโตอิกจะเปิดรับคำสอนของคริสเตียนได้ง่าย เพราะเบื่อหน่ายลักษณะความเหลวแลกของศีลธรรมในสังคมโรมัน ที่ชนชั้นสูงมีลักษณะเป็น Hedonism กันซะเยอะ คือปาร์ตี้ทุกวันต้องกินกันจนอ๊วก แล้วก็ Sex ทั้งชายหญิง มีทั้งผัวทั้งเมีย เอาทั้งชายทั้งหญิงแบบไม่จำกัด จนเกิดปัญหาทางสังคมอื่นๆตามมา ทั้งปัญหาเรื่องสมบัติ ฯลฯ ในสังคมโรมันยุคนั้น
วิหารต่างๆของโรมันเดิมก็เป็นลักษณะศาลเจ้าถวายเครื่องบูชาให้เทพเจ้าเพื่อขอพรต่างๆและป้องกันความซวยจากที่เทพโกรธเฉยๆ ไม่ได้มีฟังก์ชั่นในการสั่งสอนศีลธรรม (คือศีลธรรมก็ไปเรียนในโรงเรียนปรัชญา) บางวิหารก็มีพิธีกรรมทางศาสนาที่มีพวกโสเภณีซึ่งที่สโตอิกรู้สึกว่าผิดศีลธรรม เหมือนทำเนียมการจ่ายเงินบริจาค เพื่อได้นอนกับโสเภณีมีมาตั้งแต่วิหารของอิชทา และส่งต่อมายังพวกวีนัส (แต่ไม่ใช่พวกวิหารเทพเวอร์จิ้น อย่างอาเธนา) - ในช่วงจักรวรรดิโรมัน มีโสเภณีชายในวิหารเหล่านี้ด้วย - พวกมีคุณธรรมแบบสโตอิกจึงมีแนวโน้มที่จะมองหาแนวคิดทางศาสนาทีมีระบบศีลธรรมแข็งแรงเป็นศาสนาใหม่
งานของเซนท์แอมโบรส (ซึ่งเป็นอาจารย์ของบุคคลสำคัญของคริสตปรัชญาอย่างมาคือเซนท์ออกัสติน) ก็มีหลักฐานให้เห็นว่าเซนท์แอมโบรสเรียนรู้ปรัชญาแบบสโตอิกเป็นอย่างดี - ดังนั้นวัตรปฏิบัติต่างๆ ในจารีตแบบออกัสติน และชีวิตในอาราม จึงมีลักษณะซึ่งได้รับอิทธิพลในเรื่องวินัย และการควบคุมตนจากแนวคิดแบบสโตอิกด้วย
แนวคิดเรื่องวินัยเหล่านี้ถูกถ่ายทอดให้คริสตศาสนา และมีอยู่ตลอดในชีวิตอาราม และกลายเป็น protestant ethic ในช่วงปฏิรูปศาสนาด้วย ดังนั้นในช่วงยุคแสงสว่างทางปรัชญา แนวคิดพวกสโตอิกเลยไม่ค่อยหวือหวา เอามาปัดฝุ่นใหม่เหมือนงานพวกเพลโต โสเครติส
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นิพพานคือความตาย
https://youtu.be/bounwXLkme4
6 stages of moral development
ตอนนี้พวกเราอยู่ในอดีต อนาคตของพวกเราก็อยู่ในอดีต
คิดยังไงกับลัทธิ Anti-natalism
https://www.youtube.com/watch?v=6O5S2Y4FhJ0
https://youtu.be/USKzAj1dOq4
อธิบายดี
บ่น หาของไทยเขียนฟีโลโซฟีเกี่ยวกับเรื่องนี้โครตนํ้าว่าวชินจิ ไอสัสมีแต่คําเปรยสวยๆกับชื่อหัวข้อ
https://www.youtube.com/watch?v=1n_cPIhag28
มีพูดถึงปรัชญาด้วย
ต่อประเด็น antinatalism
https://www.youtube.com/watch?v=NQfyb0aowN8
หากตัดเรื่องการสืบเชื้อตระกูลอแกไป
Incest สามารถถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกศิลธรรมได้หรือไม่?
มันมีคนสร้างกฏ ที่ห้ามเยครอบครัวอะ เมิงจะไปชนะคนตั้งกฏ ได้ยังไง
>>32
รู้จักคำว่า grooming ไหม
ถ้าเด็ก ถูกญาติหรือผู้ใหญ่ หล่อหลอมด้วยแนวคิด เพื่อวันหนึ่งจะได้เอาเปรียบทางเพศ แบบนี้มันส่งผลกระทบถึงความเชื่อมั่นทางสังคม นำไปสู่การทำลายของหน่วยยอ่ยทางสังคมที่เล็กที่สุดคือครอบครัว แบบนี้ยังโอเคไหม
>แต่นี่มันเป็นตรรกะวิบัติชนิด slippery slope นะ!
ซึ่งไม่ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นไม่ได้ เหมือนโลกตะวันตกที่บอกว่าเฟติชหลายๆอย่าง เช่น รักร่วมเพศ polygamy การ่วมเพศเพื่อความสำราญ (recreational sex, casual sex) ไม่ได้หนักหัวใคร แต่ทุกวันนี้ อย่างในอเมริกา การแต่งงานเกือบครึ่ง จบที่การหย่าร้าง ลูกที่เติบโตขึ้นมากับแต่เลี้ยงเดี่ยว(single mom ขาด father figure) สร้างปัญหาทั้งทางจิตวิทยากับตัวเด็กเอง และเด็กพวกนี้ก็ไปสร้างปัญหาให้กับสังคมต่อไป
>ความสัมพันธ์ของลัทธิลักเพศนิยม และการใคร่เด็ก
การที่ผู้ปกครองนำลูกของตัวเองเข้าสู่กระบวนการ "บำบัด" ด้วยฮอร์โมน รวมถึง puberty blocker ในเด็กที่ไม่สามารถให้คำยินยอมเองได้ เพื่อวันหนึ่งเด็กจะผ่าตัดแปลงเพศ กลายเป็นเรื่องปกติในโลกตะวันตกตอนนี้ ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจนว่า การไปรบกวนการเติบโตโดยธรรมชาติในเด็กช่วงวัยนี้ มันส่งผลกระทบทางลบต่อพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจ เรื่องนี้ถ้าพูดเมื่อ 50 ปีก่อน คงจะบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าขำมาก แต่ตอนนี้มันมีแม้กระทั่งเรียลิตี้โชว์
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.