มาถกเรื่องปรัชญากันครับ สามารถเอาทฤษฎีปรัชญา จิตวิทยา วิทยาศตร์ บลาๆถกกันค้าบ
Last posted
Total of 126 posts
มาถกเรื่องปรัชญากันครับ สามารถเอาทฤษฎีปรัชญา จิตวิทยา วิทยาศตร์ บลาๆถกกันค้าบ
พวกร่าลก็เหมือนนก ที่ยู่ในกรงตลอด พอออกจากกรงก็ไม่มีไรแดกเพราะล่าเหยื่อไม่เป็น
พวกหลิ่มก็เหมือนหมา ที่มีปลอกคอ บินก็บินไม่ได้ ไม่รู้จัดคำว่าอิสระ คิดเองไม่เป็น ต้องทำตามคำสั่งอย่างเดียว ช่างน่าสมเพชจริงๆ
Nietzche - ความอิจฉา (envy) {มาจากหนังสือที่พรี่นิตเช่เขียนในหลังสือ beyond good and evil}
โดยนิตเช่พยายามจะบอกว่าการ "อิจฉาไม่ใช่เป็นเรื่องที่เลว ผิดศิลธรรม"
.
-ย้อนไปดูเรื่องปวศการกําเนิด การกําหนดเรื่องศิลธรรม (Morality)
>>>สมัยอดีตประมาณก่อนศาสนาคริสต์BC การตัดสินว่าอะไรถูก (positive) หรือผิด (Negative) นั้นมาจากผู้ที่กุมอํานาจในการปกครอง การเงิน และ การทหาร ซึ่งนั้นก็คือพวก'ชนชั้นสูง' (Aristrocrat) พวกนี้ก็ได้มากําหนดเรื่องความผิดชอบช่วยดีด้วย โดยมาจากความคิดที่ว่า>การกระทําอะไรเป็นเรื่องที่น่านับถือ ซึ่งมันทําให้รสนิยมความเป็นอยู่ของพวกชนชั้นสูงกลายมาเป็นความดีความชอบ (ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันตรงกันข้ามกับความดีในสมัยปัจจุบันเลย ก็คือแม่งสามารถบัญญัติว่าเป็นความชั่วได้
ถามว่ามีอะไรบ้างไอความดีเนี่ย -การเอาชนะ -การหาเงิน -การแสดงออกเรื่องเพศอย่างเปิดเผย -การรู้มาก -การเป็นคนดัง
.
แต่ทีนี้นิตเช่ก็ยกตัวอย่างกลุ่มคนอีกกลุ่มในยุคเดียวกัน พวกชนชั้นล่าง พวกทาส ก็อยากจะได้อยากจะมีไม่ต่างจากชนชั้นสูง แม้ตัวเองอยากจะล้มล้างพวกชนชั้นสูงขนาดไหนก็ทําไม่ได้ เพราะตัวเองไม่มีอํานาจทางการเมือง ไม่มีเงิน ไม่มีกําลังทหาร
แต่คนชั้นล่างก็ได้ออกอาวุธใหม่มาที่จะทําให้ตัวเองซึ่งอ่อนแอ สู้กับผู้มีอํานาจเบื้องบนได้ นั่นก็คือ 'การตราบาป' (Guilt) ก็คือหาเรื่องมาตราบาปชนชั้นสูง แม่งเป็นอาวุธทางจิตวิทยาดีๆ ซึ่งแม่งก็เลยเอา 'คริสต์ศาสนา' มาตีคุณต่าของmoralityใหม่
[คือต้องเข้าใจด้วยว่าพรี่นิชเช่แกมองว่าศาสนาคริสต์แม่งBullshit] นิตเช่มองว่าศาสนาคริสต์เนี่ยเป็นศาสนาจากชนชั้นล่าง ที่ต้องการจะเปลี่ยนการตีความด้านศิลธรรมใหม่ คืออะไรที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นสูงจะถูกตีค่าว่าเป็นบาป และกลับกันอะไรที่เกี่ยวชนชั้นรากไพร่คือความดี
เช่น ไม่มีเงิน = noble poverty (อารมณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงแบบ9ดีๆนี่เอง Romaticiseความจน) , ไม่มีการศึกษาหรือโง่ = มีความจริงใจ , ไม่เคยมีเซ็กส์ = รักษาพรหมจรรย์ ยังบริสุทธ์ , ไม่สามารถที่จะแก้แค้นได้ = การให้อภัย ( ที่กล่าวๆมาคือไอเหี้ยศาสนานักหลวมสัส ;-; )
.
คือจากความอิจฉาของชนชั้นล่างที่อยากได้อยากมีแบบชนชั้นสูง ก็ถูกตีใหม่เช่นกันว่าเป็นบาป และคือศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มันมีการตัดสินลงโทษจากการกระทําบาปในชีวิตหลังความตาย ใครที่ทําดีก็ได้ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ไอคนดีๆเนี่ยซึ่งแม่งก็จะเป็นพวกชั้นล่าง อ่อนแอ ถ่อมตัว ซิง จน และพวกโดนกดขี่
ในแง่มุมจิตวิทยา ความอิจฉา(Envy)เกี่ยวกับการรักตัวเองมากกว่าการรักคนอื่นโดยเป็นความปราถนาที่อยากได้อยากมีในสิ่งที่คนอื่นมี หรือทำให้เขาไม่มีในสิ่งนั้น โดยมีแง่มุมแบบคร่าวๆ ตามด้านล่างซึ่งลดทอนรายละเอียดความซับซ้อนลงไปพอสมควร
.
อันแรกคือ การประเมินค่าสิ่งที่ผู้อื่นมีของมนุษย์ โดยยิ่งใส่ใจในสิ่งนั้นมากยิ่งอิจฉาได้ง่าย ยิ่งมีคุณค่ามากก็ยิ่งอยากได้มากขึ้น
.
ต่อมาคือการประเมินตนเอง ยิ่งเป็นคนที่ประเมินตนเองด้อยกว่าผู้อื่นหรือมีself esteemต่ำ หรือไม่พอใจในสถานะที่ตนเองเป็นอยู่ก็ยิ่งมีแนวโน้มอยากได้มากขึ้น
.
สุดท้ายคือยิ่งใกล้ชิดกันระยะห่างทางความสัมพันธ์ต่ำ ก็ยิ่งมี "แนวโน้ม" ที่จะอิจฉากันได้ง่าย เพราะรับรู้คุณสมบัติของอีกฝั่งได้บ่อยๆ ซึ่งถ้าเป็นสิ่งที่โดนให้คุณค่าไว้มากกกก็จะยิ่งอิจฉาได้ง่ายขึ้นไปอีก ผลก็คือทำให้บางครั้งคนเลือกที่จะช่วยคนแปลกหน้าง่ายกว่าคนสนิทนั่นเอง
ยังไงก็ตามความอิจฉาไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะคนเราควรที่จะรักตัวเองอยู่แล้ว และการให้ค่ากับสิ่งต่างๆก็เป็นสิทธิ์ของแต่ล่ะบุคคล พูดง่ายคือตามสบายตราบใดที่คุณรับผิดชอบอารมณ์ตัวเองได้ แต่หลายครั้งมนุษย์ก็ทุกข์เพราะความอิจฉา เพราะมัยย้ำเตือนในสิ่งที่เราอยากแต่ไม่มี ขาดแต่ไม่ได้ เลยมีกลไกในการลดความอิจฉาขึ้นมาเช่น เราอาจลดค่าของสิ่งที่เราอยากได้ลง ตัวอย่าง เพื่อนได้เกรดสูง เราอิจฉา แต่ต่อมาเรามาคิดว่าเกรดไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ต่อให้มีเกรดไม่เท่าก็เข้าหมาลัยที่เราอยากเข้าได้ ความอิจฉาก็ลดลง หรืออาจสร้างระยะห่างจากสิ่งที่เราอิจฉา จากคนที่เราอิจฉาโดยทิ้งระยะออกมา เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หรือพัฒนาทำตัวเองให้ดีขึ้น ฯลฯ
Present day
Heh
Present time
Hahahahahaha
https://youtu.be/KoUmj4D5fjc
>>5 เห็นเป็นมู้ถก กูก็ช่วยถกละกัน
- นิตเช่เองก็หาข้ออ้างในหลักของตนไม่ต่างจากศาสนาคริสต์หรอก ทั้งในเรื่องการไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือต่อต้านศาสนา
- ตามชีวประวัตินิตเช่คือโดนหญิงปฏิเสธขาดความมั่นใจในตัวเอง เกลียดแม่กับครอบครัวตัวเองพอสักพักก็ mental breakdownแล้วก็ตาย
- ทั้งหมดที่พูดมาไม่ใช่กูไม่เห็นด้วยกับเรื่องความอิจฉาของนิตเช่นะเอาจริงๆกูเห็นด้วยมากด้วยซ้ำเพราะตามที่นิตเช่กล่าวถึงความอิจฉาและอารมณ์ด้านลบต่างๆของมนุษย์ว่าเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้และเป็นสิ่งที่ช่วยชี้บอกว่าตัวตนข้างในตัวเราแท้จริงแล้วเป็นยังไง ดังนั้นการจัดการกับความอิจฉาต่างหากจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
- นิตเช่ไม่ชอบมหาวิทยาลัย เพราะมองว่ามันมีความเป็นวิชาการมากไป ควรจะเป็นสถานที่นำทางในชีวิตแบบสมัยกรีกมากกว่า
- นิตเช่บอกว่าจุดที่จะมาแทนที่ศาสนาคือวัฒนธรรมพวกปรัชญา ศิลปะ วรรณกรรม ซึ่งพวกนี้ก็เกี่ยวโยงลึกซึ้งกับศาสนาหากมองในบางมุม
- นิตเช่ไม่ชอบวิทยาศาสตร์นิยมแล้วก็แนวคิดก็แอบเหยียดเพศหญิงด้วยถ้าพิจารณาตามมาตรฐานปัจจุบัน
ถุยยย ก็แต่สวะ ฆตต เมิงจะยกย่องตีความแนวคิดของมันอะไรขนาดนั้น
สิ่งสำคัญคือทัศนคติ มุมมอง ของคน สังเกตุนะข่าวเดียวกัน แต่สื่อลงแต่ละประเทศจะเจือปนไปด้วยทัศนคติ นั่นละความแตกต่างของคน
https://youtube.com/c/RCWaldun
แนะนําช่อง พูดปรัชญา แนะนำหนังสือดีๆ แนะนําวิธีแสวงหาความรู้ มันพูดเก่ง+ตัดต่อวิดีโออะไรดูดีหว่ะ
กูยังไม่เห็นมีใครยกย่องนิตเช่เลยนะเว้ย แค่ยกประเด็นมาถก ไม่ได้มาอมควยเปล่าวะ
>>12 หรือแม่งโทรลมั่วป่าว
>>11 กูเสริม นิตเช่แม่งเป็นชนชั้นกรรมาชีพด้วย อย่างเรื่องความอิจฉาก็เอาปวสการต่อสู้ทางชนชั้นมาพูด ตัวเองเนี่ยแหละขี้อิจฉาชั้นดี แต่เหมือนมันสอนให้เรายอมรับความรู้สึกอิจฉาแทนที่จะIgnoreมัน
เอ่อจะว่าไป เอาตรงๆอย่างเรื่องใช้ศาสนาคริสต์มาทําให้ชนชั้นสูงรู้สึกguilty สุดท้ายแม่งศาสนาถูกชนชั้นสูงเอามาใช้ในการจัดระบบชนชั้นทางสังคมแทนในสมัยยุคกลางหว่ะ Lmao
พูดถึงตำนานเมืองของมหาลัยแล้ว
คณะผมมันมีตำนานเรื่อง "ไปยุโรป" คือทุกปี จะมีนักศึกษาหายไปเงียบๆปีละคนสองคน
แล้วพอคนถามว่าหายไปไหน เพื่อนๆคนที่หายก็จะบอกกันแค่ว่า "ไปยุโรป" แล้ว
อยู่ดีๆก็มีคนหายไปเงียบๆทุกปีมันเป็นเรื่องลึกลับจริงๆนะครับ
โชคดีที่ผมมีโอกาสอยู่ใกล้กับเหตุการณ์ไปยุโรปด้วยตัวเอง ก็เลยรู้ความจริงของเรื่อง
สมัยปี 1 มันมีเพื่อนผมคนนึง เก่งแบบน่าจะ Top10 ของรุ่น เป็นคู่ถกเถียงเรื่องสิทธิ์ ประชาธิปไตย ความจริงของโลก ระบบสภา รับน้อง มหาลัย อะไรมากมาย
ทีนี้ตอนปี 1 จริงๆ เรียน TU120 คาบนั้นเดชา มาสอนมั้ง เราก็เจอคำถามพื้นๆแหละว่า "เรารู้ได้ยังไงว่าเรารู้ในสิ่งที่เราบอกว่าเรารู้"
ขยายความของคำถามคือ
เรารู้ได้ยังไงว่าบ้านเราอยู่ที่เดิม
เรารู้ได้ยังไงว่าสิ่งนี้คือเก้าอี้
เรารู้ได้ยังไงว่าเราเป็นเรา
เรารู้ได้ยังไงว่าเรามีตัวตนอยู่
เรารู้ได้ยังไงว่าเรารู้
ทีนี้เพื่อนผมมันตั้งใจไปหน่อย ก็เลยไปอ่านหนังสือเพิ่มเติม แล้วเสือกกระโดดไปอ่านพวก ฟูโก กับ ดาลิดา เลย
ผลคือมันปฏิเสธการมีอยู่ของเก้าอี้ ปฏิเสธการมีตัวตน ทำให้เส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงกับเหตุผลมันพัง
ผลคือก็เลยต้องลาออก ไปเข้าโรงบาล แล้วหายไปเงียบๆ
จากนั้นเวลามีคนถาม จะให้ตอบว่าไง บอกว่า "บ้าไปแล้ว" เหรอ... ไม่ได้หรอก
เราก็จะบอกกันว่า "อ๋อ มันไปยุโรปแล้ว"
ผมเสียดายอยู่ จริงๆถ้ามันขุดหลุมฝังตัวเองตายเป็นมันมี่ไปเลยในตอนนั้น มันอาจจะบรรลุธรรมแบบโซคุชินบุตซึก็ได้นะ
ผ่านด่านนี้ไปได้ ก็ยังมีด่านต่อไปจนครบ 4 ปีนะ
โชคดีที่ผมขี้เกียจ ชอบการอ่านมังงะมากกว่า เลยไม่ได้อ่านพวกงานหลังโครงสร้างนิยมก่อนเวลาอันสมควร และนิยมการขังตัวเองในห้องดูเมะมากกว่าไปเสวนาวิชาการ เลยจบออกมาในความคิดสายหลังโครงสร้างนิยมได้โดยไม่บ้าไปซะก่อน
อันนี้คือ เรียงความเรื่อง "ไวฟุช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร" ครับ
ป.ล. ใครจะอ่านปรัชญานะ ไปเริ่มจากโลกของโซฟี แล้วไปไล่มาจากโสเกรติส เพลโต ก่อนเลย แล้วเอาเอนไลเทนให้แน่นๆ ก็จะไม่ไปยุโรปครับ แต่ผมไม่แนะนำให้เน้นมาร์คซ์นะ จะกลายเป็นจูนิเบียวมาร์คซ์แทน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เอ่อน่าสนใจดีเลยเอามาแปะในมู้นี้ ไม่ได้เรียนสายปรัชญาโดยตรงแต่ฟังแล้วอยากไปซิทอินเลยสัส
แถมอีกอัน ของเจ้าของ quote เดียวกับ >>16
Stoicism ลัทธิสโตอิก เป็นหนึ่งในปรัชญาที่ทรงอิทธิพลของตะวันตก ซึ่งเรารู้จักมันน้อยกว่าแนวคิดของสำนักเพลโต
อิทธิพลหลายอย่างของแนวคิดตะวันตก ไม่ได้มาจากตะวันออก แต่มาจากแนวคิดสโตอิก
ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล ที่เอเธน โดย เซโน แห่งซิเทียม
ลัทธิสโตอิกเชื่อในการฝึกฝน และการควบคุมความต้องการของร่างกาย
พวกสโตอิกเชื่อว่าโลกนี้มีสิ่งที่เป็นกฎธรรมชาติในลักษณะที่เป็นคุณธรรมตามธรรมชาติ หรือกฎหมายธรรมชาติอยู่ มันมีรูปแบบบางอย่างที่จักรวาลมีระบบระเบียบของมัน - ซึ่งเหตุผลคือความเข้าใจกฎธรรมชาตินี้ และมนุษย์เราควรมีวิธีชีวิตที่สอดคล้องกับกฎหมายธรรมชาติ
ลัทธิสโตอิก เชื่อในการฝึกตน วินัย และการพยายายามควบคุมความต้องการของร่างกายให้พอดี ไม่มากไป (แต่ก็ไม่ใช่การทรมานตัวเอง)
สโตอิก เชื่อว่าความโง่คือบาป มนุษย์เราจะดีขึ้น เมื่อมีการศึกษา ได้รับการฝึกให้เข้าใจเหตุผล และควบคุมตันหาต่างๆ
คุณธรรมในมุมมองของสโตอิกคือ
- ปัญญา
- ความกล้าหาญ
- ความยุติธรรม
- การบังคับควบคุมตนเอง รู้จักความพอดี (ไม่ตกอยู่ในอิทธิพลของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นสุรา กามา ความสบาย อำนาจ)
ฟังดูแล้วโคตรคุณธรรมโรมัน ทำให้แนวคิดนี้เป็นที่นิยมของชาวโรมันมากๆ ในขณะที่ช่วงที่โรมันเริ่มเป็นจักรวรรดิ ศีลธรรมเริ่มเสื่อมทรามลง แนวคิดแบบสโตอิกยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้น
จนจักรพรรดิมาร์คัส ออเรลิอุส ถือเป็นหนึ่งในนักปรัชญาสโตอิกที่สำคัญ มีงานเขียนชื่อ meditation ซึ่งเป็นเรื่องการพิเคราะห์ชีวิตของตน มีแปลไทยหาอ่านได้
พวกสโตอิกยังนับถือเทพเจ้าของโรมันอยู่โดยทั่วไป แต่เป็นวิถีชีวิตนอกเหนือจากความเชื่อของเรื่องเหนือธรรมชาติ
ในมุมของผม แนวคิดสโตอิก มีบางสิ่งที่ใกล้เคียงกับข่งจือ ในแง่ของการให้ความสำคัญกับการฝึกตน และมุ่งนั้นชีวิตทางโลกและวินัยบางอย่างแก่สังคมมากกว่า จะไปสนใจเรื่องสวรรค์นรก แต่เป็นเวอร์ชั่นของตะวันตก ในขณะที่ข่งจือจะเน้นไปทางความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว เพื่อน เจ้านายลูกน้อง
สโตอิกมันจะมีความตะวันตกมากๆ คือมุ่งเน้นการพิเคราะห์ชีวิตของตน เผื่อรีเฟลคชั่น ตกผลึกความคิดอะไรบางอย่าง
การฝึกฝนของสโตอิก นอกจากกระบวนการพินิจกฎระเบียบของธรรมชาติแล้ว ยังมีกระบวนการสำรวจจิตใจตนเองซึ่งเป็นลักษณะ mindfulness คล้ายกับการทำสมาธิแบบพุทธด้วย แต่เป้าหมายต่างจากกรรมฐาน หรือพวกสาย mysticism
(ทีนี้พวกที่ชอบเขียนบทความเดาว่าเทคนิค หรือแนวคิดบางอย่างของตะวันตก ต้องได้อิทธิพลมาจากอินเดียนี่ จริงๆนี่ตะวันตกก็มีของมันอยู่)
ในสายของการพัฒนาทางปรัชญา แนวคิดสโตอิกมีอิทธิพลอย่างสูงต่อคริสตจักรยุคต้น
สัญนิษฐานว่าเปาโลคุ้นเคยกับปรัชญาสายสโตอิกซึ่งเป็นกระแสหลักของโรมันในสมัยนั้นเป็นอย่างดี เนื่องจากในกิจการที่เปาโลพยายามเผยแพร่ศาสนาให้กับ "ชาวต่างชาติ" เปาโลใช้คำศัพท์ของพวกสโตอิก มีการพูดถึงคุณธรรมที่ชาวสโตอิกชื่นชอบ พวกการควบคุมตนทั้งหลาย เพื่อให้ชาวกรีก-โรมัน เข้าใจคำสอนของคริสเตียน
ดูเหมือนว่าผู้ที่มีพื้นฐานของสโตอิกจะเปิดรับคำสอนของคริสเตียนได้ง่าย เพราะเบื่อหน่ายลักษณะความเหลวแลกของศีลธรรมในสังคมโรมัน ที่ชนชั้นสูงมีลักษณะเป็น Hedonism กันซะเยอะ คือปาร์ตี้ทุกวันต้องกินกันจนอ๊วก แล้วก็ Sex ทั้งชายหญิง มีทั้งผัวทั้งเมีย เอาทั้งชายทั้งหญิงแบบไม่จำกัด จนเกิดปัญหาทางสังคมอื่นๆตามมา ทั้งปัญหาเรื่องสมบัติ ฯลฯ ในสังคมโรมันยุคนั้น
วิหารต่างๆของโรมันเดิมก็เป็นลักษณะศาลเจ้าถวายเครื่องบูชาให้เทพเจ้าเพื่อขอพรต่างๆและป้องกันความซวยจากที่เทพโกรธเฉยๆ ไม่ได้มีฟังก์ชั่นในการสั่งสอนศีลธรรม (คือศีลธรรมก็ไปเรียนในโรงเรียนปรัชญา) บางวิหารก็มีพิธีกรรมทางศาสนาที่มีพวกโสเภณีซึ่งที่สโตอิกรู้สึกว่าผิดศีลธรรม เหมือนทำเนียมการจ่ายเงินบริจาค เพื่อได้นอนกับโสเภณีมีมาตั้งแต่วิหารของอิชทา และส่งต่อมายังพวกวีนัส (แต่ไม่ใช่พวกวิหารเทพเวอร์จิ้น อย่างอาเธนา) - ในช่วงจักรวรรดิโรมัน มีโสเภณีชายในวิหารเหล่านี้ด้วย - พวกมีคุณธรรมแบบสโตอิกจึงมีแนวโน้มที่จะมองหาแนวคิดทางศาสนาทีมีระบบศีลธรรมแข็งแรงเป็นศาสนาใหม่
งานของเซนท์แอมโบรส (ซึ่งเป็นอาจารย์ของบุคคลสำคัญของคริสตปรัชญาอย่างมาคือเซนท์ออกัสติน) ก็มีหลักฐานให้เห็นว่าเซนท์แอมโบรสเรียนรู้ปรัชญาแบบสโตอิกเป็นอย่างดี - ดังนั้นวัตรปฏิบัติต่างๆ ในจารีตแบบออกัสติน และชีวิตในอาราม จึงมีลักษณะซึ่งได้รับอิทธิพลในเรื่องวินัย และการควบคุมตนจากแนวคิดแบบสโตอิกด้วย
แนวคิดเรื่องวินัยเหล่านี้ถูกถ่ายทอดให้คริสตศาสนา และมีอยู่ตลอดในชีวิตอาราม และกลายเป็น protestant ethic ในช่วงปฏิรูปศาสนาด้วย ดังนั้นในช่วงยุคแสงสว่างทางปรัชญา แนวคิดพวกสโตอิกเลยไม่ค่อยหวือหวา เอามาปัดฝุ่นใหม่เหมือนงานพวกเพลโต โสเครติส
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นิพพานคือความตาย
https://youtu.be/bounwXLkme4
6 stages of moral development
ตอนนี้พวกเราอยู่ในอดีต อนาคตของพวกเราก็อยู่ในอดีต
คิดยังไงกับลัทธิ Anti-natalism
https://www.youtube.com/watch?v=6O5S2Y4FhJ0
https://youtu.be/USKzAj1dOq4
อธิบายดี
บ่น หาของไทยเขียนฟีโลโซฟีเกี่ยวกับเรื่องนี้โครตนํ้าว่าวชินจิ ไอสัสมีแต่คําเปรยสวยๆกับชื่อหัวข้อ
https://www.youtube.com/watch?v=1n_cPIhag28
มีพูดถึงปรัชญาด้วย
ต่อประเด็น antinatalism
https://www.youtube.com/watch?v=NQfyb0aowN8
หากตัดเรื่องการสืบเชื้อตระกูลอแกไป
Incest สามารถถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกศิลธรรมได้หรือไม่?
มันมีคนสร้างกฏ ที่ห้ามเยครอบครัวอะ เมิงจะไปชนะคนตั้งกฏ ได้ยังไง
>>32
รู้จักคำว่า grooming ไหม
ถ้าเด็ก ถูกญาติหรือผู้ใหญ่ หล่อหลอมด้วยแนวคิด เพื่อวันหนึ่งจะได้เอาเปรียบทางเพศ แบบนี้มันส่งผลกระทบถึงความเชื่อมั่นทางสังคม นำไปสู่การทำลายของหน่วยยอ่ยทางสังคมที่เล็กที่สุดคือครอบครัว แบบนี้ยังโอเคไหม
>แต่นี่มันเป็นตรรกะวิบัติชนิด slippery slope นะ!
ซึ่งไม่ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นไม่ได้ เหมือนโลกตะวันตกที่บอกว่าเฟติชหลายๆอย่าง เช่น รักร่วมเพศ polygamy การ่วมเพศเพื่อความสำราญ (recreational sex, casual sex) ไม่ได้หนักหัวใคร แต่ทุกวันนี้ อย่างในอเมริกา การแต่งงานเกือบครึ่ง จบที่การหย่าร้าง ลูกที่เติบโตขึ้นมากับแต่เลี้ยงเดี่ยว(single mom ขาด father figure) สร้างปัญหาทั้งทางจิตวิทยากับตัวเด็กเอง และเด็กพวกนี้ก็ไปสร้างปัญหาให้กับสังคมต่อไป
>ความสัมพันธ์ของลัทธิลักเพศนิยม และการใคร่เด็ก
การที่ผู้ปกครองนำลูกของตัวเองเข้าสู่กระบวนการ "บำบัด" ด้วยฮอร์โมน รวมถึง puberty blocker ในเด็กที่ไม่สามารถให้คำยินยอมเองได้ เพื่อวันหนึ่งเด็กจะผ่าตัดแปลงเพศ กลายเป็นเรื่องปกติในโลกตะวันตกตอนนี้ ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจนว่า การไปรบกวนการเติบโตโดยธรรมชาติในเด็กช่วงวัยนี้ มันส่งผลกระทบทางลบต่อพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจ เรื่องนี้ถ้าพูดเมื่อ 50 ปีก่อน คงจะบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าขำมาก แต่ตอนนี้มันมีแม้กระทั่งเรียลิตี้โชว์
ต่อจากประเด็นIncestนะ
-หากว่าตัดเงื่อนไขทางศาสนา/ความเชื่อวัฒนธรรม
-หรือเงื่อนไขทางวิทยาศาสตร์(สืบตระกูลลูกเอ๋อ)
-หากเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วทั้ง2อายุบรรลุนิติภาวะ+คอนเซ้นท์ รักกันจริงๆ
คําถาม:จะสามารถมีหลักอื่นใดมามองว่าIncestผิดได้อยู่หรือไม่???
>>34 กูสงสัยเรื่องหนึ่ง คือเผ่าพันธุ์มนุษย์เราเคยมีประวัติศาสตร์การIncestแบบมนุษย์ป่าในเผ่าเดียวกัน จนถึงสมัยไหนเราถึงเลิกเอาคนในครอบครัวเดียวกันเอง? กูว่าปัจจัยด้านจํานวนประชากรน่าจะนํามาเกี่ยวข้อง ถ้ามีประชากรเยอะมันก็มีการแบ่งแยกครอบคร้ว แยกเชื้อสกุล ถึงจุดนั้นมนุษย์ก็เริ่มอาจนําเอาความเชื่อและจารีตประเพณีที่ต้องมีคู่ครองข้ามเชื้อสายเดียวกัน ตามที่ >>29 ว่าก็ได้รึเปล่าวะ
>แต่ว่าทําไมหลักศาสนาถึงไม่มีการบัญญัติอย่างชัดเจนว่าการเอากันเองมนครอบครัวนั้นผิดศีลธรรม หรือศาสนาไหนมีมั้ยวะ
>แล้วประเด็นIncestนี่ต้องแบ่งประเด็นระหว่างการสมรส กับการมีเพศสัมพันธ์ด้วยเปล่า เผื่อบางวัฒนธรรมอย่างรัฐอลาบาม่า แอบเยกันพี่น้องลูกพี่ลูกน้องได้ แต่สมรสก็คือ ห้ า ม มีครอบครัวเดียวกัน
>>36 สงสัยอีกอย่าง คือมนุษย์ถึงจุดหนึ่งมันรู้ได้ไงว่ากูไม่ควรเอาครอบครัวเดียวกัน? สังเกตจากการให้กําเนิดบุตรเหรอ? หรือเป็นสัญชาตญาณรึเปล่า คืออย่างเรื่อง’ทําไมมนุษย์ถึงอายSex‘ ก็มีวิจัยมาแล้วว่ามันไม่เกี่ยวกับศิลธรรมศะทีเดียว แต่มันเป็นเรื่องจิตวิทยาด้วยมาแต่สมัยก่อนแล้ว เป็นเรื่องของสัญชาตญาณ ก็คงธรรมชาติคัดสรรให้เผ่าพันธุ์มันรอดต่อไป
แต่แล้วทําไมสัตว์บางชนิดอย่าง หมา ถึงเยดกันเองในฝูงครอบครัวเดียวกัน? หรือหมามันยังไม่developความนึกคิดเรื่องนี้เหรอ
>>42 https://www.quora.com/Were-Adam-and-Eve-s-kids-incestuous เจออันนี้ เขาว่ากันว่าลูกอดัมกับอีฟมันเป็นชาย2คน แล้วไอลูกชายมันก็มีเมีย แต่มันไม่ได้เขียนละเอียดว่าเมียเป็นใคร? ชื่ออะไร? อาจจะเยแม่ตัวเอง ก็ เป็น ได้
พวกมึงหรือเปล่า
https://i.imgur.com/NMFNR0Q.png
สมเป็นคอนเทนต์แห่งโม่งจริงๆ
เห้ยกูเห็นพวกเรียนปรัชญาแม่งถกประเด็นแนวๆนี้กันจริงนะ แต่ยกทฤษฎีมาด้วย กูเห็นรื่องนี้ด้วย เยกับสัตว์ผิดศิลธรรมหรือไม่? แล้วมันก็จะมองเรื่องของคุณค่าความเป็นมนุษย์บลาๆอะไรไป แล้วมันต่อยอดไปเรื่องของกฎหมายด้วยนะ ช่วงหนึ่งประมาณยุค80’sประเทศเนเธอร์แลนด์เคยอนุมัติให้การมีเซ็กส์กับสัตว์เลี้ยงถูกกฎหมาย แต่ต้องทําให้ที่ลับตาและต้องแน่ใจว่าไม่เป็นการทารุณสัตว์
>>34 อันนี้กูไม่รู้ แต่ถ้านอกเหนือเรื่องศาสนา เรื่องจารีต เรื่องหลักการวิทย์ แล้วคอนเซ้นท์กัน กูว่ามันก็เหี้ยอยู่ดี มันทําให้การให้คุณค่าของ’ความเป็นครอบครัว’มันเสื่อมอ่ะ แบบมนุษย์เราแบ่งความรักไรวี้ มีทั้งความรักแบบแฟน รักเพื่อน รักครอบครัว แล้วถ้ามันเสรีเยครอบครัวได้ อะไรจะเป็นเส้นกั้นระหว่างรักในครอบครัวกับรักแบบแฟนวะ คิดสภาพมึงเกิดมาในคอนดิชั่นที่สามารถมองพ่อแม่มึงรักแบบแฟนได้
แต่มันก็เป็นความคิดแบบคอนเซอร์เวทีฟ ที่กูมองว่ามันควรจะเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว เพราะมันจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กรึเปล่า ไรงี้
รู้มั้ยว่าฟาโรห์แทบทุกคนต้องมีพี่สาวน้องสาวและ "ลูกสาว" เป็นสนมนะ ที่นั่นถือเป็นเรื่องปกติและต้องทำเลย เพราะเชื่ออเรื่องเลือดบริสุทธิ์ หัวถึงได้ผิดรูปเป็นเอเลี่ยน แต่คนอียิปต์ถือว่าหัวแบบนั้นคือชนชั้นสูง อันนี้น่าสนใจนะ เพราะสืบทอดวัฒนธรรมมาได้เป็นพันปีทั้งที่พันธุกรรมผิดปกติขนาดนั้น หรือมันผิดปกติถึงขีดสุดจนกลายเป็นปกติแทน
>>41 ผสมกันเอง แต่ก็พยายามหาญาติห่างๆ แสดงว่าต้องมองเห็นปัญหาสุขภาพ แต่สมัยนั้นยังไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์ ก็อ้างผิดผีผิดศีลอะไรไปเรื่อย
>>47 ใช่ ข้อห้ามหลายๆ อย่างของคนโบราณที่คนสมัยนี้มองว่าแปลกๆ สมัยก่อนมันมีเหตุผลของมันอยู่ เพียงแต่เขาไม่รู้วิทยาศาสตร์เลยไม่สามารถอธิบายได้ หรือคนที่ห้ามอาจจะรู้ แต่คนส่วนใหญ่สมัยนั้นไม่รู้หนังสือ การห้ามเลยเป็นการสอนที่ง่ายที่สุดกว่าการอธิบายแบบให้เหตุผล
>>51 กูกำลังรออยู่ว่าเมื่อไรจะเกิดการ discuss ระหว่างค่านิยมคนเป็นแฟนหรือผัวเมียไม่ควรไปเยกับคนอื่น (ดั้งเดิม) กับค่านิยมแม้จะมีแฟนมีคู่ชีวิตแล้วก็ควรมีสิทธิ์ไปเยกับคนอื่นได้ (ใหม่) อยู่นะ ตามมา 10 ปีตั้งแต่ยุคโซเชียลเพิ่งก่อตัว ตอนนี้เป็นแค่กลุ่มเล็กๆ ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันจะขยายออกมาจนเสียงดังขึ้นในสังคมได้แค่ไหนเมื่อเทียบกับพวก lgbt ที่แต่ก่อนเป็นพวกชายขอบแต่ตอนนี้แทบจะยึดวัฒนธรรมหลักไปละ
>>51-52 โดยรวมๆแล้วกูก็คิดคล้ายมึง แต่กูพอจะหยวนๆได้ถ้าเป็น step
แต่จะว่าไปพอพูดถึงเรื่องเส้นกันระหว่างรักในครอบครัวกับรักแบบคนรัก กูก็เคยคิดดูเล่นๆว่า สมมติมีคนสองคนเป็นแฟนกัน ก็จะรักแบบคู่รัก หลังจากนั้นแต่งงานกันเป็นผัวเมีย มีลูก สร้าง"ครอบครัว" เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว คำถามก็คือถ้าผัวเมียคู่นั้นเยดกัน จะเข้าข่ายว่าเยดคนในครอบครัวหรือไม่ หรือถือว่าเยดคู่รักตามปกติ หรือทั้งสองอย่าง
ที่กูตั้งคำถามแบบนี้เพราะกูเคยนึกสงสัยว่าพวกคู่ผัวเมียทั่วไปที่อยู่ด้วยกันมานานจนความเงี่ยนต่อกันในฐานะคนรักค่อยๆจางไป กลายเป็นคสพ.แบบเพื่อน แบบ"ครอบครัว"ไปจริงๆ จนกลายเป็นมองคู่ของตัวเองเป็นดั่งญาติพี่น้องจนรู้สึกเยดไม่ลง(แต่ก็ยังรักกันดี)อะไรประมาณนี้ มันอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับแนวคิดที่มึงว่ามารึเปล่า (ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับเคสนอกใจ มักมากในกาม ไม่พอใจคู่ครองของตน อะไรพวกนี้นะ)
อ่านไม่ค่อยเข้าใจ แต่กูสงสัยว่าแล้วถ้ามีการคุมกำเนิดหล่ะ? พวกมึงจะว่ายังไง
ลืมเลื่อนขึ้นไป เพิ่งเห็นพวกมึงจะพูดไปกันละ
>>56 กูว่าการคุมกําเนิดนี่มันเป็นตัวช่วยในการเปลี่ยนแนวคิดทางจริยธรรมในการIncestเลยหว่ะ เราไม่ต้องไปตระหนักเรื่องของการให้กําเนิดบุตรพิการไม่สมประกอบต่อไปแล้ว
นอกจากเรื่องนี้ แบบพวกเรื่องเซ็กส์มันเลยเสรีมากขึ้นด้วย แล้วมันเปลี่ยนความคิดคนเรื่องการสร้างครอบครัวด้วย แบบในเมื่อมันมีการคุมกําเนิดได้ เราก็ไม่จําเป็นต้องมีลูกเสมอไป
การคุมกําเนิดนี่เหมือนเปลี่ยนปวศของมนุษย์ชาติเลย
สมมติคือถ้าในอนาคตมึงยังไงก็ไปดีไซน์เด็กที่แลปอยู่ละ(จริงๆอันนี้ก็มีอีกปัญหานึง) แล้วเรื่องเด็กไม่สมประกอบ หรือแนวคิด incest มันจะเปลี่ยนไปป่ะ
>>58 ประมาณนั้น คนรุ่นใหม่เลยไม่แคร์ชีวิตคู่ มีก็มี ไม่มีก็ช่าง หรือมีแล้วไม่พอใจก็เลิก ไม่ต้องประคับประคองแบบคนรุ่นก่อนด้วย
>>59 ขนาดตอนนี้ยังค่อยๆ เปลี่ยนเลย อาจจะไม่ถึงกับรับได้ แต่ก็ไม่ได้ถูกมองว่าเลวร้ายมากแบบแต่ก่อน เหมือนที่กูพิมพ์ใน >>54 แหละ ต่อไปคนแต่งงานกัน อาจจะไปเยกับคนอื่นได้ มองว่าเป็นเพียงกิจกรรมบันเทิงอ่ย่างหนึ่งก็ได้ใครจะไปรู้
สุดท้ายมุดซี่เต็มโลกเพราะพวกอื่นมัวแต่ใส่ถุง
เรื่องการเยนอกใจ อันนั้นอาจเป็นเรื่องปกติได้ แต่การ insect นี้ยังไงก็ไม่เป็นที่ยอมรับแน่ๆ
มันผิดสังคมเกินไป พวกนี้ต้องโดนล้างเผ่าพันธุ์ทิ้งด้วยซ้ำ ถ้าในอนาคตมันทำลายกฏเรื่องเด็กสมประกอบได้
นึกถึงพวกโดที่มีเฟติชแมลง เอาแมลง ยั ด ห ี
โดนแมลงเปิดซิงเป็นยังไงถามซากุระได้ครับ
>>23 ประเด็นลัทธิเยเกอร์อิสของไอ Zeke กับแนวคิด Antinatalism มีคนทําออกมาแล้วนะ
https://youtu.be/ApTV5u1t2Ek
รอช่องนี้วิเคราะห์ตอนจบของAotเลยหว่ะ
ส่วนการเมืองในกําแพง พวกสังคมที่มีศัตรูร่วมกันอะไรนี่มาจากแนวคิดของนาซีแฮะ ของCarl Schmidt
https://youtu.be/1XJhZVmORlM
กูคิดว่าจะสื่อถึงพวกชนชั้นพิรามิดเฉยๆ แบบมีความเหลื่อมลํ้าทางชนชั้น เรื่องระบบกษัตริย์ ไม่คิดว่านาซีมันมีทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างสังคมแบบนี้ด้วย เจ๋งดีหว่ะ
ซื้อ Meditations ของ Marcus Aurelius มาอ่านเพราะเป็น Romanboos
มีความรู้สึกว่าแนวคิดมันก็น่าสนใจดีนะ แต่บังคับใจตัวเองให้นิ่งได้แบบนั้นทำจริงๆแม่งยากชิบ
ปุจฉา
จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้ไป จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้มา
คืออะไร
อ๋อ Roman boos ไอเหี้ยกูก็นึกว่าแนวคิดไร โว๊ะ
>>76-77 มาเข้าร่วมแนวคิดนี้ด้วยกันมั้ยนาย https://imgur.com/LBFOqkX
ตอบแบบซีเรียสคือ Meditations มันออกกึ่งปรัชญา กึ่งหนังสือแนวพัฒนาตนเอง แต่เวลาคนจัดกลุ่มจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มหลังมากกว่า
ซึ่งกูเป็นพวกยี้หนังสือแนวพัฒนาตนเองมาก ถ้าไม่ได้สนใจ ปวศ. โรมันมาก่อนจนรู้จักที่ที่ไปมากูคงไม่สนใจหนังสือเล่มนี้แน่ๆ
อ่านแล้วมันก็มีอะไรน่าสนใจเยอะ ไม่ใช่หนังสือแนวพัฒนาตนเองเพ้อๆ หรือแนวพวกไลฟ์โค้ชที่ชีวิตไม่ได้ต้องรับผิดชอบนั่งคิดคำคมเท่ๆไปวันๆ
Meditationข้อสำคัญคือไม่ได้เขียนให้มึงอ่าน มาร์คัสแกเขียนไว้อ่านเอง
เอาจริงๆถ้าย้อนเวลาไปบอกแกว่าหนังสือส่วนตัวแกได้ตีพิมพ์เป็นล้านๆครั้ง คนอ่านทั่วโลกเป็นพันปี แกคงแหยงๆล่ะ ไม่ได้เขียนให้คนอื่นอ่าน
มึงใช่โม่งเดียวกันที่เคยมาขายลัทธิStoicกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองซักมู้ใดมู้หนึ่งเปล่าวะ?
ปุจฉา ถามหน่อยดิ้ ถ้าเราไม่มีความทุกข์และความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คิดว่าชีวิตนี้โอเคแล้ว อย่างกูเนี่ยต่อให้เป็นนักปรัชญาที่มีทฤษฎีมารองรับไม่ใช่พวกหนังสือเหลวไหลแบบคําคมพัฒนาตนเองก็ตาม แม้กูจะสนใจอะไรที่เป็นทฤษฎีแนวคิดก็ตามกูก็รู้สึกไม่อยากจะอ่านที่มึงแนะนํามาเลย เพราะกูไม่มีเหตุผลที่จะต้องอ่านนอกจากจะอยากเสือกว่ามันคืออะไรแต่ซึ่งกูก็ขกศึกษาอยู่ดีเพราะโลกนี้มันมีอะไรมากมายให้กูศึกษาและจําเป็นกับกูมากกว่านี้ แล้วแบบนี่กูยังจําเป็นต้องอ่านสิ่งที่มึงแนะนํามาหรือไม่?
ถ้ากูอ่าน Meditation แล้วกูเกิดความรู้สึกที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมา มันจะเป็นผลดีจริงหรือ เพราะกูที่พอใจในชีวิตกูตอนนี้ที่ไม่เคยอ่าน Meditation ก็เพียงพอแล้ว?
ท่านว่าอย่างไร
>>83 กูหงุดหงิดเลยไปหาคําตอบเอง นี่คลิปสรุปสินะ https://youtu.be/Hu0xDtK3g3Q แล้วก็ขกฟังต่อหว่ะ ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ แต่กูแค่ขก กูไม่เข้าใจว่าการพัฒนาตรงนี้มันจุดประสงค์ต้องการเป็นคนยังไง ตามที่กูเข้าใจคือการพัฒนาจิตใจตนเอง ดูจากแต่ละข้อแล้วดูเป็นแนวคิดของคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่อ่ะ ก็คือมาร์คัสแกเขาก็ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆเจอเรื่องอะไรก็จด บางอย่างที่แม่งตั้งเป็นข้อๆกูว่าก็มีอยู่ในตัวแต่ละคนอยู่แล้วจากการเรียนรู้ชีวิต เวลาเราโตขึ้นเราก็รับรู้เรียนรู้สังคม รู้ว่าต้องดีลตนเองกับสังคมอะไรยังไงมากขึ้น Correct me if im wrong
สรุปก็คือไม่อ่านมึงก็ไม่ตาย แต่ถ้ามึงสนใจปวศหรทอเจ้าตัวมาร์คัสงานเขียนนี้น่าจะสะท้อนอะไรหลายๆอย่างดีเลย แม่งเอ้ยกูไม่น่าไปเสียเวลาไปศึกษาเล้ย
>>81 กูว่านั่นคือหนึ่งในความพิเศษของหนังสือเล่มนี้เลยนะ มันคือความคิดของคนเขียนจริงๆที่ไม่ได้ต้องมา filter เพื่อให้ใครมาอ่านเนี่ย
แต่แกฟื้นขึ้นมาก็คงทำหน้าไม่ถูกที่คนเอางานเขียนส่วนตัวแกมาทำแบบนี้จริงๆแหละ 555
>>82-84 กู >>73 กับ >>78
ถ้าเอามาขายในแง่เปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาตัวเองนี่ไม่ใช่กูแน่ๆอ่ะ เพราะอย่างที่บอกว่ากูก็เป็นคนไม่ชอบอะไรแนวนี้อยู่แล้วด้วย
แต่จำได้ว่าเคยแปะบทความในกระทู้มิตรสหายที่เค้าพูดในแง่ว่าโลกตะวันตกเองก็มีแนวคิดแบบนี้ ไม่ได้จำกัดแค่ในตะวันออก
2 เม้นหลังนี่กูตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะกูไม่ได้สนใจหนังสือเล่มนี้ในแง่นั้น
ไอ้เรื่องพัฒนาตัวเองนี่ถ้ามึงไม่ได้รู้สนใจด้วยตัวเองก็ไม่เห็นต้องไปสนใจคำพูดคนอื่นเลย
กูสนใจในแง่ว่ามันคืองานเขียนไม่กี่ชิ้นในยุคนั้นที่เหลือรอดมาได้ ถึงเนื้อหาอาจจะตกหล่นไปกับการแปลหลายทอดบ้างก็ตาม
เทียบกับหนังสือแนวพัฒนาตนเองด้วยกัน มันคือสิ่งที่เขียนโดยคนที่ชีวิตแบกความรับผิดชอบหนักหนาไว้จริงๆ
ไม่ใช่พวกสถาปนาตัวเองเป็นไลฟ์โค้ชที่ยุคนี้มีเต็มไปหมด
กับอีกแง่นึงมันคือปรัชญาของสายตะวันตกที่จริงๆก็มีส่วนคล้ายกับแนวคิดของหลายๆศาสนาทางตะวันออก
ซึ่งจริงๆอาจจะได้รับอิทธิพลมาก็ได้ แต่มันถูกตัดส่วนที่เป็นความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆออกไปแล้ว
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=248783206611788&set=pb.100044403310217.-2207520000..&type=3
กูเจอบทความที่ว่าเคยเอามาแปะในกระทู้มิตรสหายละ ไปๆมาๆก็ไม่แน่ใจว่ากูเคยแปะจริงมั้ย หรือเบลอ เอาเป็นว่าใครสนใจก็ลองไปอ่านดู
ประเด็นที่คนเขียนมองว่าแนวคิดแบบนี้ตะวันตกก็มีของตัวเอง ไม่ได้รับจากตะวันออกเสมอไปนี่มีคนมาเถียงอยู่นะว่ามันก็มีความเป็นไปได้อยู่
เอาเป็นว่าอ่านแบบใช้วิจารณญาณละกัน
>>88 กูยังเชื่อเรื่องที่อินเดียมีอิทธิพลต่อสโตอิคอยู่นะ เพราะอินเดียก็มีค้าขายทางตรงกับโรมันหรือกรีกมาก่อนแล้ว พ่อค้าทมิฬมีหลีกฐานว่าเคยไปถึงโรมด้วย แล้วก็ไม่ใช่พึ่งมาสมัยหลัง พ่อค้าอินเดียหรือจากแถบนั้นเชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยก่อนพระเวท คือก่อนอารยันเข้ามา มีการติดต่อกับตะวันตกตั้งแต่ bronze age แล้ว ในอารยธรรมโลกโบราณมีแค่จีนที่เอกเทศหน่อย แต่แถบนั้นเชื่อโยงผ่านการค้ามาตลอด เรื่องแลกเปลี่ยนแนวคิดมันถึงเป็นไปได้ไง
เรื่องมันกึ่งจิตวิทยากึ่งปรัชญากูลงมันทั้งคู่เลยละกัน
สงสัยว่าแนวคิดว่าเราไม่ยินดียินร้ายใจนิ่งๆกับสิ่งต่างๆเนี่ย มันดีกับสภาพจิตใจคนเรามากกว่าจริงๆหรอ
เห็นแนวคิดนี้อยู่ในทั้งศาสนาในตะวันออก หรือปรัชญาตะวันตกอย่างพวก Stoic เลย
แต่กูรู้สึกอยากเป็นคนที่เวลามีความสุขก็ไปสุด เวลาทุกข์ก็ไปสุด มากกว่าจะเป็นคนที่ต้องคอยกดความรู้สึกของตัวเองตลอดเวลา
เวลาที่กูเห็นคนแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเค้าได้เต็มที่กับชีวิตดี อยากเป็นแบบนั้นได้บ้าง
รู้สึกว่าการไม่ยินดียินร้ายมันไม่ใช่การเป็นโตผู้ใหญ่เหมือนที่หลายๆคนมอง แต่มันคือไม่เข้มแข็งพอที่เผชิญหน้ากับความรู้สึกจริงๆของตัวเองมากกว่า
มู้ตายยัง โม่งแปะคลิปไปไหน หรือเสียเวลาไปโม่ยเด็กตามค่านิยมโม่งนักปรัชญาชายไทยอยู่
>>>/lounge/16640/721/ เดาว่ามึงน่าจะตั้งใจตอบกระทู้นี้ แต่ตอบผิดกระทู้
Marcus Aurelius ไม่ได้เคลมว่าคิดเองอยู่แล้ว นักปรัชญาสายนี้ก็มีคนอื่นมาก่อน
ประเด็นที่บนๆคุยกันมันคือแนวคิดนี้กำเนิดมาจากโลกตะวันตกเองเลยมั้ย หรือได้รับอิทธิพลจากอินเดียอีกที
ซึ่งแค่คุยกันเล่นๆ เพราะมันไม่เหลือหลักฐานมากพอมาพิสูจน์แบบชัวร์ๆอยู่แล้ว
https://youtu.be/b-9-PZd57Qk the Lucifer effect เป็นงานวิจัยจิตวิทยาแต่แม่งจะเอามาตีความในแง่ของปรัชญาได้เรื่องศีลธรรม คืองานวิจัยนี้มันมาproofในยุคที่มีการเชื่อว่าการเป็นคนเลวหรือคนดีนั้นเป็นผลมาจากพันธุกรรม แต่การวิจัยออกมาว่าจริงๆแล้วเป็นปัจจัยทางสถาพสังคมมากว่าที่หล่อหลอมให้คนเลวได้ แล้วงานวิจัยนี่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเริ่มมาจากการเป็นคนดีมาก่อน ซึ่งแม่งก็มีเรื่อวความความเท่าเทียมไรประมาณเนร้ แต่วิธีทดลองแม่งเถื่อนดี
>>99 https://youtu.be/f9NWI3PGkPc The third wave experiment ก็คล้ายกันในผลสรุปที่ว่ามนุษย์แม่งจะดีจะเลวมันเกิดจากการหล่อหลอมการเติบโตการอยู่ในสภาพแวดล้อมหนึ่งๆมา โดยการทดลองมีความเชื่อมโยงกับลัทธินาซี มีการจําลองโครงสร้างทางสังคมที่เป็นกลุ่มเป็นลัทธิขึ้นมา แต่กูชอบอย่างหนึ่งที่คอนทราสกับthe Lucifer effect ว่า แม่งสรุปว่ามนุษย์แม่งเลวมาแต่กําเนิดทุกคน
555
>>99 https://youtu.be/KND_bBDE8RQ อันนี้Vsauseมาอธิบายการทดลองละเอียดกว่า จริงๆมันชื่อว่า The Stanford Prison Effect นี่หว่า
ลองเขียนสรุปชีวิตตัวเองดู ตั้งแต่เรียนจบตรีมาเข้าสู่อีกสภาพสังคมหนึ่ง เวลาไม่ถึงปีนิสัยเปลี่ยนไปมาก ไม่รู้ว่าเป็นทางที่ดีขึ้นเปล่าหว่ะ เพราะมาเรียนต่างประเทศด้วยแหละมั้ง เหมือนเป็นคนละคนอยู่
-มีความกล้าเข้าสังคมมากขึ้น เข้าสังคมอย่างมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น รู้จักchitchat คุยกับคนได้หลายกลุ่มหลายช่วงอายุ แล้วรู้จักจัดการการแบ่งเวลากับสังคมกับตัวเอง เข้าใจแล้วว่าตัวเองต้องการอะไรจากการเข้าหาสังคม กูเข้าหาสังคมเพื่อที่จะรับแนวคิดอะไรใหม่ๆ ได้คอนเนคชั่น บางทีก็มีเพื่อนคอยอยู่แก้เหงา แต่priorityจริงๆคืออยากอยู่กับตัวเองมากกว่า แต่เราก็ต้องพึ่งพาสังคมดังนั้นการเข้าหาสังคมจำเป็น แต่ต้องหาเวลาเบรคมาให้ตัวเองไม่เหนื่อย
-ฟังมากกว่าพูด เมื่อก่อนเวลานําเสนองานกูชอบพูดไอเดียตัวเองอย่างเดียว ซึ่งบางทีเราพลาดและบางทีแม่งอยู่ในจุดที่พูดมากเกินไป แต่ตอนนี้กูปล่อยให้คนอื่นพูดก่อนแล้วกูคิดว่าจะพูดอะไรให้น้อยที่สุดแต่ดูฉลาดที่สุด แล้วค่อยพูดทีหลัง เลิกขี้โม้กลายมาเป็นคนพูด เอ่อๆอืมๆแทน
-รู้จักอ่อนนอกแข็งใน ยึดติดกับอะไรน้อยลงมากๆ โกรธยาก ไม่มีอุดมการณ์ตายตัว ไหลไปเรื่อย แต่ก็ไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง
-จากการเป็นคนซื่อสัตย์ พูดตรงตัว เปลี่ยนเป็นพูดในสิ่วที่คนอยากฟังเท่านั้น พูดแสดงความคิดเห็นที่แท้จริงของตัวเองน้อยลงมากๆ
-รู้จักช่างแม่ง กับปัญหาเล็กๆ ไม่เก็บมาคิดให้รกหัว
>ใช้ความเป็นstoicมากขึ้น ทําทุกอย่างให้สังคมรอบตัวสันติให้มากที่สุด ทําตัวเหมือนเป็นside character ก็ใช้ชีวิตง่ายขึ้น จากแต่ก่อนหัวร้อน แต่ที่บอกว่าไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปดีขึ้นเปล่าเพราะแม่งเห็นแก่ตัวขึ้น มีความจริงใจน้อยลงแน่กลับรู้สึกสบายใจมากขึ้นกับการดีลกับคนอื่นๆ แต่บางกรณีก็เก็บกดอยู่ แต่พอกลับมาชาร์จพลังอยู่คนเดียวแม่งก็กลับมาสดใสได้
ไม่ได้เป็นความคืบหน้าทางการงานการเรียนอะไรหรอก แต่กูตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่ขึ้นมัฐยมมาstruggling กับการบาลานซ์ระหว่างตัวเองกับสังคมมาก กูตอนนี้มองว่าวางตัวได้กําลังดี ขอให้อนาคตดียิ่งขึ้น แล้วขอให้ต่อไปมีความสามารถในการแบ่งเวลาในการทํางานกับงานอดิเรก เติบโตต่อไปตัวฉัน!
ถามว่าอยู่ได้ไงวะเฟคทั้งวัน พูดแต่สิ่งที่คนอื่นอยากฟัง ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเหรอ รือกูเอาเวลามาเป็นตัวเองก็เขียนอะไรลงอินเตอร์เน็ตแบบไร้ตัวตนเนี่ยแหละ แล้วมันช่วยได้เหมือนได้ระบายอะไรไปแล้ว แล้วไร้ตัวตนมันดีเพราะส่วนPureความคิดตัวเอง100%แม่งcringe และนิสัยเหี้ยด้วย ใช้แล้วกูชอบtrollชาวบ้านด้วย อิอิอิอิ
การใช้ชีวิตที่ซื่อตรงต่อตัวเองไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย
กุเกลียดคนจอมปลอมที่สุด
>>105 เมื่อก่อนกูก็คิดงี้เลย แต่กูเปลี่ยนไปเพราะความคิดแบบนี้ทําให้กูมีปัญหากับคนมากกว่า เป็นคนซื่อตรงพูดอะไรในสิ่งที่พูดบางครั้งมันไม่ำด้พูดสิ่งที่ถูกต้องหมด บางครั้งก็ไปพูดอะไรไม่เข้าหูชาวบ้านโดยไม่ได้คิดถึงจิตใจคนอื่น แล้วการมีความคิดแบบนี้มึงจะต่อต้านคนที่ทําตัวเสแสร้ง ทั้งๆที่แต่ละคนมันมีประสบการณ์ในชีวิตเจออะไรไม่เหมือนกันเลยอาจต้องเป็นคนเก็บตัวไม่ได้บอกทุกเรื่องแชร์ทุกเรื่องทั้งหมด กูแต่ก่อนแม่งน้อยใจกับผู้คนมากเวลาคนอื่นมีอะไรไม่บอกกูตรงๆ
มันก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์จะปลอมเปลือกอะไรขนาดนั้น ในสังคมที่อยู่ร่วมกันเราไม่มีทาวเป็นตัวเองได้100%หรอก แต่ละสังคมเราก็ทีบทบาทหน้าที่ไม่เหมือนกัน ต้องเคารพกฎสังคมและมารยาทวัฒนธรรมในแต่ละที่ นี่คือความหมายของการเป็นคนไม่ตรงตัวที่กูพูดถึง แล้วจากการคุยกับหลายคนแล้วกูลองพูดน้อยลงแบบstoic กูค้นพบว่าจริงๆแล้วน้อยคนมากๆมี่จะสนใจสิ่งที่มึงพูดจริงๆ แต่ละคนอยากมีคนรับฟังมากกว่า แล้วกูมองว่ามันไม่จำเป็นอีกต่อไปที่จะต้องพูดความคิดเห็นตัวเองจริงๆในทุกสถานการณ์ คือมันไม่ได้ไม่เสียอะไรนะ
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.