ฝ่ายชายบอกว่า เขาไม่ได้คุยกับพ่อแม่ ไม่กล้า แต่ฝ่ายหญิงบอกว่า นี่คือทางเลือกสุดท้าย ในที่สุดเธอก็แนะนำฝ่ายชายให้บอกกับพ่อแม่ว่า หากไม่มีเงินพอ ขายบ้านปัจจุบันก็ได้แล้วไปซื้อบ้านที่เล็กกว่า หรือแฟลตที่อยู่กันสองคน หรือจะขายบ้านไปซื้อบ้านที่เมืองไทยก็ได้เพราะถูกกว่า
ดิฉันถามว่า เขารู้หรือไม่ว่า ชาวต่างชาติไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในเมืองไทยได้ ซื้อได้แต่คอนโด ฯลฯ เขาบอกไม่ทราบเลย ไม่มีความรู้ แต่เรื่องพ่อแม่จะย้ายไปเมืองไทยคงเป็นไปไม่ได้ เพราะสังคมเพื่อนฝูงของทั้งคู่อยู่ที่เมืองนี้
ดิฉันได้แต่ฟังเขาปรับทุกข์ และปลอบใจ ไม่ได้บอกให้เขาตัดใจ แต่บอกว่า เรื่องนี้คงช่วยไม่ได้จริง ๆ ไม่ใช่ไม่อยากช่วย แต่ตัวเองคงไม่สามารถเปลี่ยนค่านิยม ความคิดของคนอื่น ๆ ได้
เขาถามว่า พ่อแม่ดิฉันเรียกสินสอดหรือไม่ ดิฉันหัวเราะ ตอบว่า ดีเท่าไหร่ไม่แถมเงินให้แล้วยกลูกสาวให้ฟรี ๆ แม่ดิฉันบอก ใครมารักลูกจริง ๆ ก็พอใจแล้ว ไม่ได้เรียกร้องอะไร จะให้ก็ให้ ไม่ให้ก็ไม่ว่า ไม่ได้ขายลูกกิน (ถึงจะจนก็เถิด)
ยิ่งมามีลูกสาวด้วยนี่ จะให้ดิฉันเรียกค่าน้ำนมเท่าไหร่ ถ้าจะคิดคำนวณเป็นตัวเงิน คงไม่มีอะไรมาชดเชยได้ เพราะไม่ใช่ใช้เงินเลี้ยงลูกอย่างเดียว ดิฉันเลี้ยงลูกด้วยความรัก ความเสียสละ ความอดทน ทุ่มเททุกอย่างให้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ได้หวังอะไรเลยจากลูก นอกจากให้เขามีการศึกษา มีวิชาความรู้เลี้ยงตัวเองได้ ไม่ทำตัวเหลวไหล เป็นปัญหาสังคมหรือทำสิ่งผิดกฏหมาย ให้เป็นคนดี มีน้ำใจ แบ่งปันต่อเพื่อนร่วมโลก ดิฉันก็พอใจแล้ว เขาจะรักใคร ชอบใคร ดิฉันไม่ได้ไปเป็นเจ้าชีวิตเขา ดิฉันเป็นแม่ ถึงจะรักมาก ๆ แต่ก็ห่วงอยู่ห่าง ๆ เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เงินทองก็อยากให้เขาเก็บไว้ ไม่ต้องเอามาให้หรอก แค่ไม่ต้องมาขอก็ดีใจแล้ว 555 (เขาก็ไม่เคยขอหรอกนะ มีแต่ซื้อของขวัญโน่นนี่มาให้ตามเทศกาลตลอด บางทีก็เสียดายเงินแทนเลย)
ดิฉันคิดแบบนี้ และก็ไม่สามารถบังคับให้แม่คนไหนคิดอย่างดิฉันได้ ไม่ใช่เป็นแม่ในอุดมคตินะ คิดอย่างนี้จริง ๆ