ข่มขืน = เย็ด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Last posted
Total of 1000 posts
ข่มขืน = เย็ด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูไม่ค่อยชอบนะที่บอกประเทศไทยไม่พร้อมอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่เหมาะอย่างนู้นอย่างนี้ ก็จริงอยู่ที่สังคมพัฒนาได้ทีละขั้น เราจะค่อยๆพัฒนาก็ได้ ประเทศที่พัฒนาแล้วเมื่อหลายร้อยกว่าปีก่อนแม่งก็เป็นแบบเราตอนนี้ล่ะ แต่สังคมเขาก็พัฒนาไปทีละขั้นๆจนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ส่วนเรา แม่งพัฒนาถอยหลัง
Avoid social comparisons
Comparing yourself to someone else can be a poison to your positive thinking.
เดี๋ยวๆๆ ทำไมเค้าสมน้ำหน้าคู่ ป-ทท กัน งงอะ
.
เรากลับคิดว่าสองคนนี่เหมาะกันดี สมควรอยู่กันไปนานๆ(เหมาะกันในแง่ร้ายๆนะคะ) - -"
เราไม่ชอบนิสัยกับงานของทั้งคู่
ตั้งแต่ครีมอันตราย
การหักหลังกดขี่แรงงานเพื่อนทำรายการ และอื่นๆ
ไม่นับที่ไม่คืนเงินเด็กๆที่โอนไปให้ทำรายการอะไรสกัอย่าง แต่ไม่ทำ...
.
อยู่ด้วยกันก็เหมาะแล้ว ศีลเสมอกันจริงๆอะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พูดถึงเรื่องเพื่อน ... จากตอนสมัยมัธยมต้นที่ไม่ได้สนิทสนม
ถ้าเรามีน้องสาว แล้ววันนึงน้องเราจะแต่งงาน เรารู้ว่าเพื่อนเราเปิดร้านทอง เราคงไม่ไปบอกเพื่อนคนนั้นว่า เฮ้ยเพื่อน น้องสาวของเราจะแต่งงาน ขอทองมาเป็นของขวัญในงานแต่งน้องเราหน่อยสิ !!
เราคงต้องคิดไปซื้อกับเพื่อน ไปอุดหนุนเพื่อน ถ้าเพื่อนจะมีส่วนลดให้ ก็ถือเป็นน้ำใจที่มีให้กัน แต่เราคงจะไม่หน้าทนถึงขั้นต่อขอราคาทุนเพื่อน หรือขอลดราคาครึ่งนึง เพราะมันเสียมารยาทนะ
แล้วยิ่งถ้าเพื่อนมีส่วนลดให้แล้ว แต่เราเองที่ไม่ซื้อ คิดว่าลดน้อยเกินไป คิดว่าไม่คุ้มค่า ซื้อไม่ไหว หรือไม่มีปัญญาซื้อ เราก็ยิ่งควรจะต้องเกรงใจและขอบใจเพื่อนคนนั้นเขานะ เพราะอย่างน้อยเขาก็เสนอน้ำใจมาให้
เราจะไม่เที่ยวไปบอกกับใครต่อใครว่า ร้านทองของเพื่อนเราแม่งก็งั้นๆแหละ กูมีปัญญา กูจะไปซื้อที่ไหน ร้านไหนก็ได้ จะซื้อแพงกว่า ร้านดังกว่า ร้านดีกว่าที่มึงขายก็ได้ ทำไมน้ำใจให้เพื่อนแค่นี้ก็ให้กันไม่ได้ ...
สำหรับกูนะ บอกตรงๆ มันตลก มึงติดต่อกูไปร้องงานแต่งน้องมึง กูลดให้มึงสามหมื่นจากราคาโชว์ปกติ ค่าใช้จ่ายกู นักดนตรีกูหกคน คนละหกพัน ซาวด์เอนจิเนียร์กูหกพัน เทคนิคเชี่ยนกูอีกสามคน ค่ารถตู้กู ค่ารถวง ค่ารถเครื่องดนตรี ค่าคนดูแล สิ่งที่กูได้กลับมาคือมึงไปบอกใครต่อใครว่ากูไม่มีน้ำใจ ... โอเค กูจะจำไว้เพื่อน
กูเองก็อยากรู้ ถ้าเป็นมึง เอาเงินให้เพื่อนมึง หรือให้ใครไปซักสามหมื่น หรือแค่ให้เขายืมคิดดอกด้วย มึงจะพูดเป็นบุญคุณเป็นเจ้าชีวิตเขาซักขนาดไหน !?! กูถาม!!
นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องรวยจนนะ กูไม่สนใจ กูไม่เคยไปแบมือขอมึงแดก แต่นี่แค่เรื่องที่ว่า มึงมันสาระเลว !!!
จากกู นักร้องที่ไม่ดังแถมยังไม่มีน้ำใจ
เพื่อนกันเค้าไม่เย็ดกันหรอก
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
"อยากเป็นเพื่อนทับทิม".
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
บอกเลยยิ่งช่วยแบบนี้แหละ. ชาวบ้านยิ่งชอบ ยิ่งเลือก เพราะวันหน้าวันหลังเวลาเกิดเรื่องกับตัวเองจะได้มั่นใจว่าเขาช่วยแน่นอน เพราะมีตัวอย่างการช่วยให้เห็น อีกอย่าง ชาวบ้านทุกคนเขารู้ว่าใครช่วย. ไม่ต้องสืบ อีกอย่างไม่ใช่มีแต่นักการเมืองที่ช่วย มันมากกว่านั้น มีทุกสาขาที่ช่วย มากกว่าที่คนอื่นคิดมาก นี่ตอบในฐานะคนใต้และในฐานะคนเคยประสบเหตุและสัมผัส พูดง่ายๆถ้าไม่ช่วยแล้วเป็นคนต่างถิ่นก็เตรียมตัวย้าย ถ้าเป็นคนพื้นที่ไม่ช่วยก็อยู่ยาก. ลองไปสืบดู มีอธิการบดี มหาลัยหนึ่งไล่คนขับรถออกเพราะผิดทำผิดกฎ สุดท้ายอธิการบดีคนต้องหนีตาย และลาออก แถมคนขับรถได้กลับเข้าไปทำงานต่อเพราะมันเป็นคนพื้นที่ ลองไปหาอ่านดูเรื่องเกิดไม่นาน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำไมเวลามีคำอ้าง นักการเมืองหนุนหลัง
พวกมึงไม่บอกมาเลยล่ะว่าใครชื่ออะไร ตำแหน่งควยใหญ่แค่ไหน มีแต่ด่าเหมารวมมั่วไปหมดมันต่ำ สำหรับกู
#อีดอกคันปาก
"จนบัดนี้ยังมีคนมาถามอีกว่าฮิปสเตอร์คืออะไร
คือไรวะ นี่มึงเล่นเฟสแถวฉนวนการ์ซาร์รึไง
แล้วทำไมต้องมาถามแต่กูวะ
กูอธิบายง่ายๆอีกทีเพื่อเป็นวิทยาทาน
ฮิปสเตอร์คือควยครับ
ควยที่อยู่ในกางเกงมึงน่ะแหละ
วันนึงมึงรู้สึกว่าควยมึงทำไมต้องอยู่ในกางเกง
มันอยู่นอกกางเกงไม่ได้เหรอ เฮ้ยไม่มีใครเค้าทำกันนะ
โอเคงั้นกูเอาควยไว้นอกกางเกง
จัดวางควยให้สวยงาม ถ่ายรูปควยด้วยฟิล์ม เอากล้องห้อยไว้ข้างๆ
ก่อนที่มึงจะเอารูปที่ถ่ายด้วยฟิล์มแล้วเอาไปทำแอพให้สีซีด
หมอยรุงรังที่อยู่ตรงควยก็จัดวางให้เด่นชัด
หาข้อความโดนๆวางไว้ตรงหัวหน่าว
มึงก็จะกลายเป็นคนแปลกแยกและดูดีเพราะไม่เคยมีใครเอาควยไว้นอกกางเกง
จนวันหนึ่งควยของมึงก็มีคนทำตาม มีควยสอง ควยสาม ควยโอนัท
คนเริ่มแฮชแท๊กคำว่า #ควย เยอะขึ้น
ทุกคนเอาควยไว้นอกกางเกงกันหมด
มึงเริ่มรู้สึกควยของมึงไม่แตกต่างกับคนอื่นแล้ว
มึงเลยไปตัดควย เอาควยไปต่อตรงหัว มึงก็ไปด่าทอคนที่เลียนแบบมึง
และตอนนี้มึงก็กลายเป็นคนหัวควย ... นั่นแหละครับ มึงคือฮิปสเตอร์
ทำมาหาแดกเถอะคับ"
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนไทยด่ามุสลิมหัวรุนเเรงที่จะเอากฎของศาสนามาเป็นกฎหมาย เเต่ในขณะเดียวกันก็สั่งห้ามขายเเอลกอฮอล์ตามกฎของศาสนาพุ๊ด
#irony
"วิธีหนึ่งของการต่อสู้กับทุนนิยม
หนีทุนแม่ง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“เ งี่ ย น”
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันนี้อายุงานครบ 20 ปีเต็มในฐานะพนักงานประจำ สิ่งที่สรุปได้สั้นๆคือการจะทำให้คนเก่ง มีความรับผิดชอบมาทำงานกับเราได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆก็ตามคือ
1. ให้ผลตอบแทนดี ทั้งในแง่เงินเดือน, โบนัส และสำคัญสุดคืออุปกรณ์การทำงาน คนไอทีไม่ได้มองแค่เงินเดือนดี แต่มองอุปกรณ์คอมฯที่บริษัทมอบให้ด้วย ซึ่งออฟฟิศกับโต๊ะ และเก้าอี้จะสำคัญน้อยกว่ามาก
2. มีหัวใจของความเป็นหัวหน้า เป็นคนชี้เป้า บอกข้อดีข้อเสียได้เสมอ
3. มีงานที่ยากให้ทำเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่สักแค่สั่ง หังหน้าต้องทำ demo ให้ได้เองก่อน แล้วจึงสร้างแรงจูงใจทีมโปเกม่อนได้
4. การเลื่อนตำแหน่งหรือปรับเงินเดือน ควรจะทำเป็นกลุ่มๆ หรือทีม ควรพิจารณาจากเนื้องานและโปรเจค ให้ความสำคัญกับลูกน้องชั้นล่างสุดก่อนเสมอ
5. มีเวลาควรจะคุยกับทีมงานทั้งในเรื่องงานและส่วนตัวให้ได้ 50/50 อย่าเน้นเฉพาะงาน เพราะคนทำงานมีหัวใจ รักได้ก็เกลียดเป็น
6. แสดงความชื่นชม ทุกครั้งตามมาตราฐานที่ใจเรากำหนด โดยไม่ bias อย่าไปมองว่าใครคนไหนเคยนินทาเราล้บหลัง หรือไม่ชอบการทำงานของเรา ... ที่ผ่านมาผมโปรโมทคนที่เอาผมไปนินทา จนหลายๆคนถามว่าทำไม ผมก็ตอบตรงๆว่าเนื้องานเค้าดี ให้ความชอบก่อน ถ้าการนินทาทำให้งานไม่เสีย องค์กรไม่กระทบถือว่ารับได้ เนื่องจากผมรู้ตัวเองถึงจุดอ่อนเรื่องอายุตัวเองอยู่ก่อนแล้ว
7. ตัดสินทำในเรื่องสำคัญทั้งที ถามความรู้สึกทีมก่อน อย่าเอาทฤษฏีหรือคำพูดที่ปรึกษามาสำคัญกว่าทีมงาน
8. เป้าหมาย มองซ้ายขวา แต่อย่ามองหน้าหลัง คือก่อนตั้งเป้า ถามคนข้างๆก่อน อย่าเพิ่งเห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง
9. เติมความรู้ใส่ตัวเองเสมอ ลูกน้องและคนในทีมเค้าจะไม่ชื่นชมกับอดีตที่สำเร็จของเรามากไปกว่าสิ่งที่เราพยายามเรียนรู้แล้วมาสอนเค้าอีกต่อ
10. อย่าปิดประตู อย่านั่งอยู่กับที่ ต้องหมั่นเดินไปสร้างความสนิทกับทุกๆคนในองค์กร โดยเฉพาะเวลาที่คิดงานไม่ออก การนั่งกุมขมับไม่ช่วยให้ผ่อนคลาย เอาเวลาตรงนั้นไปกดน้ำมาดื่มแล้วพูดคุยกับใครก็ได้สัก 5 นาทีเมื่อผ่อนคลายแล้ว จงยิ้มให้คู่สนทนาแล้วกลับมาลุยงานต่อ
ประมาณนี่ 10 ข้อที่ผมใช้อยู่ ได้ผลดีมากเวลาทำงานเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้านไอที
ปล เหลือเวลาอีกไม่กี่วันตอนนี้ยังรับ PHP Developer อีก 20 อัตราถึงสิ้นเดือนนี้ครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Martin Shkreli คือ CEO ของบริษัทยาที่ขึ้นราคายาต้านโรคเอดส์ไป 50 เท่า
ต้องอธิบายก่อนว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ยาต้านโรคเอดส์เป็นยาที่ไม่มีสิทธิบัตร ดังนั้นบริษัทยาอันไหนก็ผลิตได้ ก็เลยกลายเป็นบริษัทยาไม่ค่อยสนใจ จึงมีบริษัทยาแค่แห่งเดียวที่ผลิต ต้นทุนประมาณ $1 และขายอยู่ที่ราคา $13.50
บริษัทของ Martin Shkreli ก็เลยซื้อยาตัวนี้ไปและปรับราคาขึ้น 50 เท่า เป็นประมาณ $750
ทำไมถึงไม่มีบริษัทยาอื่นเข้ามาทำยาต้านเอดส์แข่ง?
เพราะการจะผลิตยาขายใน US ใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง ต้องผ่าน FDA ซึ่งอาจจะต้องใช้เงินหลายล้านดอลล่าร์ และ เมื่อเข้ามาขายยาต้านเอดส์ได้ก็ต้องแข่งกับบริษัทของ Martin Shkreli อีก ซึ่ง Martin ก็คงลดราคากลับไปเหลือ $13.50 เหมือนเดิม ดังนั้นเมื่อประเมินแล้ว ยังไงก็ไม่น่าจะคุ้ม
ทำไมทุกคนถึงพลาดประเด็น?
Martin Shkreli เป็นคนที่น่ารังเกียจก็จริง แต่เค้าทำถูกกฏหมายทุกอย่าง
คนที่สร้างช่องโหว่ก็คือ Congress และคนออกกฏหมายและจัดระบบให้การผลิตและขายยายุ่งยากขนาดนี้ก็คือ Congress เอง และคนที่แก้กฏหมายได้ก็คือ Congress
ทุกคนเกลียด Martin Shkreli แต่ทุกคนก็ยังสนับสนุน Congress
ถ้าทุกคนหันมาเกลียด Congress ด้วย กฏหมายและระบบน่าจะเปลี่ยนไปเร็วกว่านี้
Martin Shkreli เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งของระบบที่มีช่องโหว่ และถ้า Congress ไม่แก้ไขระบบ เราก็จะมี Martin 2 3 4 ต่อไปเรื่อย ๆ..
ตอนออกกม.คงไม่ทันนึกล่ะมั้ง ว่าจะมีคนหน้าด้านขนาดนั้น
'ทำไมบางคนเขาอยู่เฉยๆไม่ต้องทำงาน ?'
ไม่ !! ผมไม่ได้พูดถึงคนที่พ่อแม่รวยจนไม่ต้องทำอะไร ..ผมกำลังพูดถึงคนที่ไม่ได้เกิดมารวย แต่ Selfmade สร้าง 'อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำงานขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง'
มันมีความแตกต่างระหว่าง 'หนึ่ง' ภาพของคนรวยที่ทำงานหนักไม่มีเวลาให้ตัวเอง ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ..กับ 'สอง' ภาพของคนที่ไม่ได้ทำอะไร ไม่มีกิน แร้งแค้น อยู่เฉยๆ ว่างมาก -- 'ก่อนหน้านี้มันให้เราต้องเลือกว่า เราจะเอาแบบ หนึ่ง หรือ สอง'
โลกยุคก่อนเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าคุณจะรวยคุณต้องเข้าเมือง ต้องมาทำงานในเมืองใหญ่ๆ มันคือ ภาพของ Urbanization เราเจริญโดยการขยายตัวของเมือง ...แต่เดี๋ยวนะ!! วันนี้คุณเห็นภาพแบบนั้นหรือเปล่า -- สิ่งที่ผมเห็นมันกำลังกลับข้างกัน ผมเห็นคนเก่งหลายๆคนที่วิ่งตรงข้าม เขาเลือกออกไปอยู่นอกเมือง เลือกทำงานผ่านออนไลน์มากขึ้น เข้าเมืองเท่าที่จำเป็น ..ด้วยเงินที่เท่ากัน เขาเลือกบ้านเดี่ยวนอกเมือง แทนคอนโดติดรถไฟฟ้า
เขาเลือกขับรถคันใหญ่ แทนการใช้ Eco Car .. เขาเลือกทำงานออนไลน์ มากกว่าการนั่งในตึกระฟ้า !!
สิ่งมี่ผมพูดมา ในอดีตมันเป็นไปไม่ได้ ..ถ้าเลือกจะ 'ติส' ก็จน แต่เดี๋ยวนี้ 'ติส' แล้วอยู่ได้ มีกินได้ มีชีวิตที่ดีได้
ยุคนี้เราเห็นคนที่เหมือนจะไม่รู้ว่าเขาทำมาหากินอะไร แต่ทำไมเขามีเงิน มีชีวิตที่ดี -- โลกมันเปลี่ยนแล้วครับ เปลี่ยนจาก Industrial Age มาสู่ Information Age
ลองเปิดใจเรียนรู้สิครับ เราจะพบว่า
- ทำเล 'Location Location Location' อาจไม่ดีเท่า มีลูกค้าอย่าง Amazon , Alibaba ..ที่ดินสุดแพง ต้นทุน ..บางคนเลือกที่จะสั่งออนไลน์ (ไม่ใช่ทุกอย่างจะออนไลน์ แต่หลายๆอย่างจะย้ายไปบนนั้นแทน แหละนั่นก็คือโอกาสเจ๊ง และรวยของหลายๆอย่าง)
- การเป็นเจ้าของโรงงานสร้างความร่ำรวยให้ยุคอุตสาหกรรม แต่วันนี้ทุกโรงงาน แข่งกันลดต้นทุนหาทางรอดของตัวเอง ..Nike และ Apple ไม่มีโรงงานของตัวเอง ทำให้เลือกโรงงานไหนก็ได้ ที่ดีกว่า ถูกกว่า ..กำไรของโรงงานทั้งหมด รวมทั้งอำนาจต่อรองของโรงงานย้ายมาอยู่ที่เจ้าของสินค้าแทน
โลกเปลี่ยนเร็วจริงๆ โดยเฉพาะเวลานี้และอีก 1-2 ปีข้างหน้า
ก่อนจะคุยกันไปไกลกว่านี้ ผมอยากเสนอสิ่งที่อยากให้ทุกคนมอง 'การหาเงิน' ใครๆก็หาเป็น ..แต่ 'การวางเงินทำงาน' มีเฉพาะคนรวยและคนที่มีชีวิตที่ดีเท่านั้นที่ทำเป็น
มันหมดยุคแล้วที่ การออมหรือการฝากเงิน มันทำงานให้เรา ...ยุคนี้ การวางเงินทำงาน ต้องเข้าใจหลักการของความเสี่ยง และ การลงทุนอย่างเข้าใจจริงๆ
'ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่ สินค้าเช่นหุ้น อสังหา แต่ความเสี่ยงอยู่ที่ความรู้ ..คนรวยออมในหุ้นคือ ซื้อแล้วถือเฉยๆ แล้วรวยขึ้น ..มันคือ คนเหล่านี้ทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่าเสี่ยงมาก แต่ผลลัพธ์มันบ่งบอกว่า คนส่วนใหญ่คิดผิด เข้าใจเรื่องความเสี่ยงผิด'
ความเสี่ยง เกิดจากคุณไม่มีความรู้ในสิ่งที่ทำ
'ยุคนี้ ความรู้ คือ สิ่งที่ทุกคนควรให้ค่า และใส่ใจที่จะพัฒนา'
-- ความรู้ คือ การลงทุนอย่างนึงที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามาก
..education จะเปลี่ยน / Investment จะเปลี่ยน / Work จะเปลี่ยน / ...
..ลองเปิดใจดูครับ
เกิดสงสัยเลยไปเสิร์ชดู อืม
http://pantip.com/topic/30688820
บทเรียนราคาแพงเท่า Super Car
--บทความนี้ไม่เหมาะกับคนโลกสวย ที่คิดว่าตัวเองเก่งและไม่เคยผิดพลาดอะไรเลย--
การทำธุรกิจนั้น ต่อให้แผนธุรกิจดีแค่ใหน สินค้าดีแค่ใหน การตลาดดีแค่ใหน รวมถึงลูกค้าเยอะแค่ใหนก็พลาดได้
การตัดสินใจร่วมกันกับหุ้นส่วน ยากกว่าคิดเองเสมอ เศรษฐีระดับโลกท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า อย่าแบ่งหุ้นเท่าๆกัน ถ้าธุรกิจนั้นคือฝันของคุณ
การทำงานร่วมกับคนที่มีความฝันต่างกัน แต่สิทธิ์เท่ากัน และ Mindset ไม่เหมือนกัน เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตผมครั้งหนึ่ง!!
ก่อนหน้านั้นผมลุยด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ทุกธุรกิจรายได้ก็เป็นไปตามที่ผมพอใจแล้ว
แต่พอมีคนร่วมฝัน เป้าหมายก็ใหญ่ขึ้น
"เราจะสร้างหมื่นล้านในปีเดียว"
ประโยคนี้เป็นประโยคที่ท้าทายผมพอสมควร หลังจากที่เคยปั้นคนอื่นมาเยอะ และทำเองด้วยระดับหนึ่ง แต่ไม่เคยมีความคิดหมื่นล้านกับเค้าเลย เพราะผมคิดว่ายังเร็วเกินไป
ขอออกตัวว่าโพสนี้ไม่ได้ เขียนเพื่ออวยตัวเอง แต่อยากเขียนเพื่อถ่ายทอดบทเรียนที่ผมเจอเพื่อไม่ให้คนอื่นต้องผิดเหมือนผมอีก
หลังจากนั้นเราก็ร่วมกันทำธุรกิจมากมาย ช่วงแรกเราหาเงินได้มูลค่าหลายล้านบาทภายในเวลาไม่กี่วัน
เราก็ฮึกเฮิมยิ่งขึ้น จนทำธุรกิจที่สามารถหาเงินซื้อรถยุโรปได้ภายในเวลาเพียง 4 ชั่วโมง
หลังจากนั้นเกมส์ก็เริ่มใหญ่ขึ้นไปลุยธุรกิจพันล้าน แบบไม่มีประสปการณ์ในสายธุรกิจนั้น
ไม่ต้องใช้ทักษะออนไลน์ ไม่ใช่สายที่ผมถนัด ไม่มีการตลาด ไม่ใช่สาย Beauty งานนี้หินชิ้นใหญ่
จะเล่นเกมส์ใหญ่ ใจต้องนิ่ง
ผมยอมรับว่าผมเอง ไม่มีความรู้ธุรกิจนั้นเลย และผมก็ไม่คิดจะโทษหุ้นส่วนที่ร่วมกันตัดสินใจ โดยอ้างอิงจากความเชี่ยวชาญหุ้นส่วน
ใจเราไม่นิ่งพอ
ผลลัพท์ที่ออกมาเละไม่เป็นท่า ผลประกอบการดี แต่ระบบไม่ได้ กำไรเยอะแต่ทีมงานทำต่อไม่ได้ ขยายตัวไม่ทัน จนเกิดแรงกดดันให้ต้องคืนเงินผู้ที่เกี่ยวข้องมากมาย มูลค่าเท่ารถ Super Car คันนึงเลย
ไม่เท่านั้น เงินที่ผมเก็บมาก็จมไปกับการลงทุนที่ดูเหมือนจะเสียเปล่าไปแล้วในวันนี้ ผมว่าผมซื้อ Porsche Boxster ได้แล้วถ้าไม่ทำอะไรแผลงๆแบบนั้น
หลังจากเหตุการณ์ล้มสลายฝันหมื่นล้านใน1ปี ทีนี้ก็เข้าสู่โหมด "เก็บคองอเข่า"
ผมแผลเต็มตัว หนี้ครั้งแรกของตัวเองด้วยตัวเอง ที่เกิดจากความไร้เดียงสา
-- มันสอนผมว่าผมโง่สิ้นดี --
เราน่าจะเชื่อตัวเอง เราน่าจะเชื่อตัวเอง......
จริงๆแล้วผมเพิ่งมาคิดได้ว่าความฝันผมไม่ได้เลวร้ายไปเลยสำหรับความเป็นจริง หากแต่ความฝันคนอื่นมันยั่วยวนกว่าเท่านั้นเอง
ผมต้องการแค่ไม่เดือดร้อนคนอื่น แบ่งปันให้กับคนอื่นได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ประสปการณ์ หรือเงินทอง
ผมยังมีกิเลส ผมเชื่ออย่างนั้น.........
หลังจากนั้นมาผมตั้งสติไม่นาน ก็เริ่มกลับมารักษาบาดแผลทั้งหมด พร้อมไล่เคลียหนี้สินที่เกิดขึ้น พร้อมไปกับรับผิดชอบอนาคตทุกคนที่ร่วมฝันกันมา
ที่ละเล็ก ทีละน้อย.....
ทุกเดือนผมต้องจ่ายหนี้ 6-7 หลักตลอดมา ผมทำงานและต้องวางแผนเยอะมาก ภาพภายนอกดูเหมือนชิว แต่ผมไม่โอเคเลย
ผมติดแอลกอฮอล เพราะผมเครียด จนตอนนี้สุขภาพผมก็เสียไปเพราะมัน ตอนนี้ผมเลิกได้แล้ว เพราะหมอสั่ง
ที่แย่ที่สุด บางเดือนผมมีเงินเดือนเพียง 6,000 บาทหลังจ่ายให้คนอื่นแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมมีตำแหน่งใหญ่โต เงินเดือนสูงลิ่ว ในบริษัทระดับประเทศ
แต่คนอื่นต้องมาก่อนเรา พ่อผมสอนเอาใว้ ทีมงานผมเงินเดือนเท่าเดิม ลูกค้า และ Partner ได้ทุกอย่างเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่เหลือผมจัดการเอง
ไม่ได้จะมาเขียนให้ดูหล่อ แต่จริงๆพ่อสอนว่าเราต้องให้คนอื่นก่อน อย่าเอาตัวรอดคนเดียว เงินทองหาใหม่ได้ มิตรภาพกับปากท้องคนอื่นก็สำคัญ
แต่ผมไม่เคยเสียใจอีกเลยหลังจากผมตั้งสติได้
ผมกลับมาโฟกัสสิ่งที่ตัวเองถนัด และธุรกิจเก่าๆของผมที่ยังเดินต่อได้ ผมก็ลุยมันต่อไป กลับมาปั้นใหม่ด้วยเท้าตัวเอง จมูกตัวเอง วิถีของตัวเอง
ระหว่างทาง เจอคนเอาเปรียบก็เยอะ แต่ผมจะจำใว้ว่าวันที่เราแย่ ใครอยู่กับเราบ้าง และใครเอาเปรียบเราบ้าง
ทำให้เข้าใจว่าเพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายากจริงๆ
จนถึงวันนี้หนี้ก้อนสุดท้าย ผมยกออกจากอก แล้วขึ้นจากนรกที่ทำงานใช้หนี้ให้คนอื่นๆ มากว่า 7 เดือน จ่ายทุกเดือนไม่มีขาด ไม่มีเลท ไม่ต้องทวง ตอนนี้จบกันซะที
แล้วสถานีต่อไป ดาวเคราะห์ของผมเอง กับตัวผมที่แกร่งขึ้น บาดแผลสอนอะไรเรามากมาย ผมจะเดินต่อไป ไม่ตามฝันของใครอีกเลย
แด่บทเรียนราคาแพง...........
ปล. เอาความฝันวัยเด็กของผมคืนมา
"คร่าวๆ เกี่ยวกับความบ้าคลั่งของชาตินิยมฮินดูที่ถูกบิ๊วโดยรัฐบาลปัจจุบัน
- สื่อกระแสหลักโจมตีคนที่ถูกมองว่า "ต่อต้านชาติ(?)" (anti-nationals) ปล่อยข่าวให้ร้ายมั่วซั่วไร้หลักฐาน ดารงดาราเอากะเขาหมด
- แทนที่รัฐจะใช้นโยบายโหดๆ บูลลี่คนที่ "เป็นอื่น" (เช่น วรรณะต่ำ อย่าง Dalit หรือศาสนาอื่น อย่างมุสลิม) อย่างเปิดเผย ซึ่งจะโดนต่างชาติโจมตีเยอะ ก็ใช้วิธีบิ๊วให้ประชาชนคลั่งชาติ ภูมิใจในวรรณะ แล้วคอยมอนิเตอร์ ฟ้องร้อง แจ้งจับ คนที่ดูมีท่าทีเป็นภัยต่อความเป็นชาติ ข่าวลือบ้าบอ แม้จะงี่เง่าบูลชิทแค่ไหน ก็จะพากันพารานอยด์เชื่อได้ง่ายๆ
- นศ ป เอก ฆ่าตัวตาย เพราะปัญหาเรื่องวรรณะทำให้โดนตัดทุน + ไล่ออกจากหอ
- นักเขียนโดนฟ้องข้อหา "หมิ่นศาล" เนื่องจากเขียนบทความเรียกร้องให้ประกันตัวนักเขียนอีกคนที่โดนจับอยู่และป่วยหนัก
สรุปว่าความชิบหายประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก
1. รัฐบาลบ้าอำนาจ ออกนโยบายคลั่งชาติ และครอบงำ+กึ่งๆ จะเป็นเจ้าของสื่อ
2. สื่อมวลชนที่รับใช้รัฐบาล นักข่าว ดารา ผู้จัดรายการ ที่เป็นคนบ้าธรรมดาแต่ดันมีอิทธิพลต่อสังคม
3. คนพารานอยด์คลั่งชาติ เสพสื่อ+รีแอคแบบไร้สติ ซึ่งที่จริงเป็นผลมาจากความภาคภูมิใจในความสูงส่งของวรรณะตัวเอง และความหวาดกลัวว่าสถานะจะถูกสั่นคลอน
เท่าที่ได้ฟังพวกนักเขียนชาวอินเดียพูดเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันและเม้ามอยกับเพื่อนแขก จริงๆ แล้วสิ่งที่ชวนเศร้าใจมากๆ ก็คือในช่วงหนึ่ง อินเดียเคยเป็นประเทศที่อวดคนอื่นได้อย่างภาคภูมิใจว่ามี tolerance ทางด้านความเชื่อและส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่ตอนนี้ระบบวรรณะกำลังกลับมา และทำงานในระดับปัจเจก (เพื่อนเล่าว่าตอนนี้มุสลิมโดนไล่ออกจากงานเนียนๆ เป็นว่าเล่น นศ ก็โดนบีบออกจากมหาลัยหน้าตาเฉย)
ความคับแค้นใจที่กำลังสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ คงหนีไม่พ้นจะนำไปสู่ความรุนแรงในอีกไม่ช้า"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>520 ส่วนใหญ่ก็ดราม่าต่อ ส่วนที่กูถามคนอินเดียมานะ บางส่วนที่เป็นปัญญาชนมันจะพูดแบบพระพุทธเจ้าเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ระดับนึง เคลมว่าความรู้การปฏิบัติตนของพุทธได้รับมาจากพราห์มเกือบทัั้งหมด. พราห์มเข้าไปเรียนพุทธได้ไม่มีการรังเกียจโต้วาทีเรื่องหลักธรรมกันได้ แต่พวกบ้านนอกมันจะตั้งแง่กับพุทธ จะออกแนวคนที่ไม่ยึดฮินดูไปเข้าพุทธนี่ไม่ดีไม่กลืนกับฮินดู มีกระทั่งพูดว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารนารายณ์เพื่อสั่งสอนพวกนอกศาสนาเพื่อนำไปให้พินาศจนหมด เอากับมันสิ่
"Political incorrectness is a truth that people on the left find too painful to acknowledge and therefore do not want expressed."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อย่ามั่วมึง ราชวงศ์ไทยเคลมว่าเป็นสมมุติเทพมาก่อนซึ่งอาวุธหลักของพระนารายณ์คือ กงจักร
พระสยามเทวาธิราช นี่สร้างทีหลัง ไปเคลมว่ามีอวตารพระสยามเทวธิราชนี่ผิดไม่น่าให้อภัย
ที่จริงพระนารายณ์ตามคติตามตำนาน อวตารนับไม่ถ้วนมาแก้ยุคเข็ญในจักรวาล ตัวตนของนารายณ์คล้ายๆประโยค" เป็นทั้งอัลฟ่าและโอเมก้า" เป็นทุกสิ่ง เป็นผู้นำกฏเกณฑ์แห่งจักรวาล. ไอ้ตำนานสิบปางนี่เอาที่เด็ดๆมาเล่า บางปางเจาะจงตบเกรียนโดยเฉพาะก็มี
นรสิงห์ ตัวร้ายได้พรใครก็ฆ่าไม่ตาย กลางวัน/กลางคืน, คน/เทพ/อสูรฆ่าไม่ได้ , ฆ่าไม่ได้มั้งในอาคาร/นอกอาคาร ,ฆ่าด้วยอาวุธไม่ได้ =>อวตารเป็นอมนุษย์ โผล่จากเสาหินลากตัวไปเชือดตรงธรณีประตูตอนโพล้แพล้ ใช้อาวุธไม่ได้ก็เอาเล็บฉีกอกเลย
ปางพรามณ์เตี้ย มีอสูรยึดแผ่นดินสามโลกได้หมด อวตารเป็นพราห์มเตี้ยบอกขอแผ่นดินสามก้าวพอแล้วย่างสามขุม แดนบาดาล,แดนมนุษย์,แดนสวรรค์ก้าวจบอสูรเจ็บใจขาดใจตายเลย
ที่กูเข้าใจนะพระนารายณ์นี่เจ้าเล่ห์ใช้ได้เลยใครอ่านแล้วตีความได้ว่าทำไปทำไม ยึดหลักอะไรถึงทำแบบนั้นจะเข้าถึงแก่นพราห์ม ซึ่งพวกปัญญาชนฮินดูจะไม่ค่อยดราม่าเหมือนพวกยึดติดวรรณะเหมือนพวกกากๆ ที่อ้างคัมภีร์นู้นนี่ทำร้ายเพื่อนมนุษย์
หน่า ปานณพ ที่ได้ครองประเทศ ก็เพราะพระนารายณ์ให้ท้ายนะเมิง
พระนารายณ์แม่ง เผด็จการคนดีจิงๆ
>>527 ความนัยมันมีเยอะแยะเลยมึงไม่ใช่แค่อวยแล้วจะเป็นจักรพรรดิ์ได้นะ. แต่ละคนมันอ้างกฏเกณฑ์เก่าๆ แต่คนมีอำนาจมันก็พูดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น เลยล้างยุคซะเลยพวกเหี้ยๆจะได้ไปเกิดใหม่แก้ตัวชาติหน้า ส่วนพวกปรับตัวได้จะได้ครองแผ่นดินเขียนกฏเกณฑ์ใหม่ๆ
กูพึ่งรู้เองว่าจิตวิญญาณเป็นอิสระ เทพยังไม่สามารถห้ามคนทำชั่วได้. คนมันจะทำชั่วก็เป็นเรื่องที่ตัดสินใจเอง
เบื่องาน?
ปู่ซัยยิด แบกกระสอบแป้งหนัก 100 กิโลทุกวันเป็นเวลา 25 ปี
ค่าจ้างวันละ 100 บาท, ปู่ซัยยิดบอกว่าภูมิใจ อย่างน้อยก็เลี้ยงดูครอบครัวได้
โดยไม่ต้องแบบมือขอใครกิน
>>529 นายต้องเข้าใจว่าคนแต่ละเจนไม่เหมือนกัน
ก่อนเจน X ต้องการรับผิดชอบตัวเองคนรอบข้างให้มีพอกินพอใช้ อดทนทำงานลำบากได้
เจนX ต้องการความสุขแบบปัจเจคมากกว่างานเครียดมากโหมมากแต่ได้ค่าจ้างหรือผลตอบแทนไม่พอ. ก็กล้าที่จะลาออกเพื่อหางานที่มีความสุขมากกว่า
เจนY กูไม่สันทัด
ถัาตอนนี้ให้ไปทำงานแบกหามแล้วสุขภาพทรุดโทรมหรือเครียดจนเป็นโรคจิตก็ไม่ไหวว่ะค่ารักษาแพง
ปางพระนารายแม่ง Deus ex machina ชัดๆ
>>534 กูดูล่าสุด ตอนช่วงภควคีตาพูดดีว่ะ.
ฝั่งเการพ ภีษมะ,โทรณาจารย์,กรรณะดูเหมือนยึดมั่นความดี แต่ละไม่เป็น
ภีษมะ เคยสาบานว่าจะไม่แต่งงานมีทายาท จะอยู่ค้ำจุนราชวงศ์. แต่มันสาบานส่วนตน พอราชวงศ์เสื่อมก็ห้ามปรามไม่ได้
โทรณาจารย์ ยึดกับตัวเองมากไป อหังการ์เพราะมีความรู้ แต่แทนที่จะแพร่ความรู้ให้คนทั่วโลกกลับไปเลือกสอนองค์ชายเพื่อไปแก้แค้นส่วนตัว ตอนสงครามปลีกตัวไม่ได้เพราะรักลูก. แต่รักลูกที่แท้จริงคือ ต้องสอนให้ลูกไปในทางที่ถูกไม่ใช่ไปทางคนพาล
กรรณ ตัวอย่างของคนเก่งแต่ไม่มีศักดิ์ฐานะได้รับสินจ้างหรือยกตำแหน่งให้ก็เอาแล้วยึดกับบุญคุณนาย. นายเหี้ยก็กล้าทำเหี้ยเพื่อนายด้วยบอกว่าทดแทนบุญคุณแต่สร้างความเดือดร้อนให้ส่งนรวมก็ไม่พูดถึง ทุรโยษ มันไม่ได้มีไมตรีจิตที่ดีให้กรรณหรอกมันเลี้ยงเพื่อเป็นไม้กันหมาแค่นั้น
ถ้ายุคนี้ต้องถือทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมเป็นหลักใหญ่ว่ะ. อย่างทุรโยชน์ที่เลี้ยงคนมีประโยชน์ไว้เยอะแต่ยกพวกไปตีคนอื่นสร้างความเดือดร้อนให้ส่วนรวมไม่ถือว่าดี เป็นได้แค่มหาโจรเท่านั้น
บางทีคนมันต้องพลิกแพลงตามสถานการณ์ ลำดับเรื่องใหญ่เล็กก่อนหลังให้ด้วย
อย่างตอนที่ลากเทราปตีมากระชากผ้า ภีษมะ,โทรณาจารย์,กรรณ,บอกว่าได้คัดค้านแล้วแต่ติดพันธะ สาบาน,เป็นลูกจ้าง,มิตร กฤษณะพูดแค่ “เป็นยามเฝ้าประตูแต่ถ้าเห็นปราสาทกำลังจะถล่ม ก็ไม่สามารถเลือกยืนเฝ้าประตูอย่างเดียวได้“
ถ้าเห็นอะไรไม่ดีมากๆ เห็นนายเห็นคนเหนือกว่าทำไม่ดีกับส่วนรวมตัดพันธะรักษาความถูกต้องได้.
"#ช่วงศาสดายังต้องหาความจริงแต่พี่โจวเป็นเจ้าของความจริงเลยอ่ะครับ
ถ้าผู้นับถือตุ้กตาลูกเทพเรายังยืนระยะไปได้อีกสักห้าพันปี พี่โจวเชื่อว่าจะต้องมีวันไหว้ตุ๊กตาลูกเทพแบบวันไหว้ของชาวประเทศจีนแบบวันนี้ แรงศรัทธาของทุกศาสนาและทุกความเชื่อ เราต้องมองกันยาว ๆ ว่าใครจะอึดกว่ากันอ่ะครับ อย่าพึ่งถอดใจ อย่าพึ่งถอดใจ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"...... การเรียนรู้วิทยาการคอมพิวเตอร์และการโค้ด และพื้นฐานวิทยาการคำนวณ เพื่อ ให้เด็กได้ซึมซับ เรื่องความคิดเป็นระบบ (Systematic idea) การวางโปรแกรม ลำดับขั้นตอน (Sequencing) การทำงานตามลำคับ การวางแผน เป็นขั้นตอนเหมือนการเขียนโปรแกรม ตัวอย่างว่า ถ้าเด็กต้องการกินมาม่า เด็กจะมีขั้นตอนการได้กินมาม่าอย่างไร จะดำเนินการอย่างไร การสลับขั้นตอนมีผลอย่างไร การทอดไข่เจียว ทำได้กี่วิธี การถ่ายทอดจากจินตนาการเป็นโปรแกรม การหาวิธีการต่างๆที่เหมาะสม การแก้ปัญหา ลองนึกถึงการวางแผนการทำงานใดๆ ก็คือการเขียนโปรแกรม การวางขั้นตอน การตัดสินปัญหา
พื้นฐานวิทยาการการคำนวณ ช่วยทำให้การเรียนคณิตศาสตร์เป็นรูปธรรมมากขึ้น มีการใช้เครื่องช่วยการคำนวณ ทำให้คณิตศาสตร์ เป็นเรื่องง่ายขึ้น เป็นห้องทดลองของวิชาคณิตศาสตร์ นอกจากนี้ยังเน้นเรื่อง การแก้ปัญหา (Problem solving) การคิดอย่างมีเหตุผล (Reasoning thinking) คิดแบบตรรกศาสตร์ (Logical thinking) ปัญหาที่ต้องเลือกทางเดิน Selective เลือกที่ดีที่สุด Power of Choice การนำหลักการของการคิด แบบขนาน Paralelism การทำ Piping และการวางแบบหลายงานซ้อนกัน (Multi trading) การทำงานพร้อมกันหลายงาน การวางแผนการทำงานต่างๆ
การเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ ยังเน้นเรื่องการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีเหตุผล ลำดับวิธีการแก้ปัญหา Algorithmic การวางระบบ การจินตนาการ การทำ Data visualizer การให้เหตุผล Reasonal thinking การดูผลที่เกิดต่อเนื่อง ที่สำคัญคือการวางรากฐานในเรื่องการทำงานร่วมกัน การทำงานแบบเป็นระบบ การวางแผนงาน การใช้เครื่องมือช่วยในการคำนวณแบบต่างๆ
ศาสตร์ที่จะเรียนเป็นวิชาพื้นฐาน จึงต้องเป็นศาสตร์แบบพื้นฐาน ไม่ใช่วิชาชีพ เป็นการสร้างความพร้อมของคนเพื่อจะเข้าสู่วิชาชีพของตนเอง เช่น ถ้านักเรียนสนใจเป็นนักกฎหมาย ศาสตร์ทางด้านวิทยากรนี้ จะช่วยให้คิดแบบมีเหตุผล คิดแบบมีขั้นตอน เป็นระบบ ทำให้วิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายได้ดี ซึ่งต้องช่วยเสริมงานในวิชาชีพนั้นๆ
Computing Science และ Computer Science จึงเป็นวิชาพื้นฐานในการศึกษาได้ วิทยาการเกี่ยวกับการคำนวณ และการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ที่สอนจึงต้องไม่เน้นแบบวิชาชีพ การสอนโค้ด จะเหมือนกับที่มีการสอนใน code.org ในปัจจุบัน ไม่ใช่ต้องสอนเขียนโปรแกรม เขียนภาษาซีหรือจาวา จึงควรเน้นเรื่องหลักการพื้นฐานวิธีคิด สร้างขั้นตอนการแก้ปัญหา วิเคราะห์และสังเคราะห์ปัญหาได้
ก็คงได้เห็นแล้วว่า นายกรัฐมนตรี ลีเซียนหลุง ของสิงค์โปร์ ก็เคยเน้นไว้ก่อนหน้าแล้วว่า จะให้นักเรียนสิงค์โปร์ทุกคนได้เรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ ล่าสุด โอบามา ประกาศว่าจะหาเงินมาสี่พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้ทุกคนได้เรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในโครงการ Computer Science for All
น่าเสียดายที่ไทยยังติดกับดัก ที่การเรียนการสอนเพื่อให้เป็นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ไม่ได้สอนศาสตร์พื้นฐานเพื่อการสร้างคนให้สมบูรณ์ คิดเป็น วางแผนเป็น รู้ระบบ ทำงานเป็นขั้นตอน มีเหตุมีผล และคิดแบบวิทยาศาสตร์"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ประเทศที่น่าอยู่ นอกจากจะวัดกันที่ สถานที่ท่องเที่ยว อากาศ อาหาร และ ขสมก รวมทั้งสาธารนูปโภคต่างๆนั้น ยังต้องควรวัดการเข้าถึงอบายมุขขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของประชาชนจำนวนไม่น้อย ได้แบบไม่เดือดร้อนคนชั้นรากหญ้ามากนัก
เท่าที่รู้ยุ่นค่าแรงขั้นต่ำ ชม ละ 800เยน บุหรี่มายด์เซเว่นซองละ 400เยน ซึ่งหมายถึง กรรมกรยุ่น ทำงาน1ชม ซื้อได้2ซอง ในขณะที่ อเมริกา & แคนาดา ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ ชม ละ 8เหรียญ บุหรี่ซองละ8เหรียญพอดี หมายความว่ากรรมกร อเมกัน&แคนาเดี้ยนสามารถซื้อบุหรี่ในอัตราค่าแรง ชม ละซอง ซึ่งถือว่าลำบากพอสมควร
หันมาดูประเทศไทย ค่าแรงขั้นต่ำประมาณ 35บาท ต่อ ชม บุหรี่กรองทิพย์ 65บาท กว่าจะซื้อได้1ซอง ต้องทำงานถึง2ชม
ยังไม่พูดถึงเหล้า เบียร์นะ ก็โดนในอัตราไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้น กรรมกรยุ่น เมกา ควรจะมีสุขภาพที่ดีกว่า(ต้องมองในตรรกะที่ว่า คนติดเหล้าบุหรี่เหมือนๆกันและคอนเซนเตรทในเรื่องสุขภาพเหมือนกัน) เพราะเขาจะมีเงินทองไปแบ่งสิ่งที่เป็นอบายมุข และ ผักผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ในระดับไม่ขัดสนมากนัก แต่ของไทยนี่ต้องแบ่งเงินที่จะซื้อผักผลไม้ไปเอามาลงขวดแทน(ต้องยอมรับว่าอำนาจชั่ว หรือ อบายมุขมันรุนแรงกว่า) ซึ่งสัดส่วนของอาหารดีๆแต่ละมื้อก็จะมีคุณค่าที่ด้อยลงไปอีก"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตรรกะแปลกมาก ถ้ามึงโทษว่าสุขภาพไม่ดีเพราะเอาเงินของดีๆ ไปซื้ออบายมุขที่แพงกว่า ปัญหาก็อยู่ที่ตัวมึงจัดลำดับความสำคัญไม่ถูกมากกว่า ตอนเด็กๆ ที่บ้านไม่สั่งสอนเหรอว่าถ้ามีเงินไม่พอให้เลือกสิ่งสำคัญกว่าก่อน
คนพูดนี่ทำให้กูรู้เลยว่าทำใมคนไทยถึงเป็นพวกกระเป๋าขอทานแต่รสนิยมผู้บริหาร ถ้าเงินไม่พอก็ใช้เท่าที่จำเป็นสิ แล้วเอาเงินที่เหลือไปใช้ให้เกิดประโยชน์หรือทำให้เงินงอกเงย คนที่คิดแบบนี้นี่โง่บัดซบจริงๆ ถ้าไม่ใช่ฝ่ายซ้ายนี่คิดไม่ได้นะ
คนอีสานเขาไม่กระท่อมคับมันต่ำ
อีสานเขาเสพยาบ้ากันต่างหาก อัพราคาเป็นชนชั้นสูงรวยไฮโซ
"#ช่วงสารอาหารจากพี่โจว
พี่โจวเป็นคนเชื่อมั่นในวิจารณญาณของมนุษย์ ณ ครับ ว่าเขาจะมีหรือไม่มีก็เรื่องของเขา และศิลปะทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบกาย ไม่ว่าจะเป็นภาพแอบสะแตรค ละครหลังข่าวตบจูบ การ์ตูน หนังโป๊ หนังอินดี้ วารสารอะเดย์ หนังตุ้ดส์หนังแต๋ว ฯลฯ พี่โจวก็ให้ค่าระดับเดียวกันหมดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ควรไปแบน หรือไปยกย่องมันเกินจริง หนังที่มีการร่วมเพศกัน หนังที่มีการข่มขืนแบบซีเรียส การ์ตูนโป้ เกมส์ที่มีเนื้อหารุนแรง หรือละครตบจูบทางช่อง 7 ไม่ควรโดนแบนทั้งสิ้น การจะด่าสิ่งหนึ่งแล้วปกป้องสิ่งหนึ่งในหมู่มวลที่มันไม่ใช่เรื่องจริงนี่พี่โจวว่ามันกระไรอยู่
พี่โจวไม่ค่อยชอบการเล่นบทบาทเป็นคุณพ่อรู้ดีไปสอนคนว่าหนังอินดี้ควรสนับสนุน อย่าไปแบนเกมส์หรือการ์ตูนโป๊ แต่ละครช่องเจ็ดข่มขืนกันไม่ดี นี่พี่โจวมิอาจไปสอนสั่งใคร ปล่อยให้มันเป็นเรื่องบุญเรื่องกรรมของแต่ละคนครับ แต่ทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นหนังอินดี้หรือละครช่องเจ็ดมันไม่ใช่เรื่องจริงอ่ะครับ เขาถ่ายทำกันมาทั้งนั้น
แต่พี่โจวอยากเล่นบทบาทคุณพ่อที่ดูลาว ๆ อ่ะครับ เห็นน้อง ๆ ชอบกัน ^^"
#มิตรสหายพี่โจว
การดื่มกาแฟดำแปลว่าคุณเป็นจูนิเบียว
#โม่งสหายท่านหนึ่ง
"ข้อแนะนำจากเพื่อนชาวจีน
แค่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า หลินเปียว ตายอายุ 63 ปี
แค่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ โจวเอินไหล ตายอายุ 77 ปี
ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เหมาเจ๋อตุง ตายอายุ 82 ปี
ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นไพ่ เติ้งเสี่ยวผิง ตายอายุ 93 ปี
ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นไพ่ เลี้ยงนารี จางเซียะเหลียง ตายอายุ 100 ปี
ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี ไม่เล่นไพ่ ไม่เกี่ยวข้องผู้หญิง ชีวิตทำแต่ความดี เหลยเฟิง ตายอายุ 21 ปี
ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าอย่างที่ควรจะใช้ ทำอะไรรีบทำเถิด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนสุดท้ายกูไม่รู้จักนะแต่ที่ไม่ได้ยุ่งอบามุขเพราะตายก่อนหรือเปล่าวะ
ส่วนจางเซี้ยะเหลียงคือรองแม่ทัพที่เคยอุ้มเจียงไคเชคไปพบเกมาใช่หรือเปล่าวะ. ตอนนั้นจะกล่อมให้เจียงจับมือกับเหมาต้านญี่ปุ่นก่อนแต่เจียงไม่ตกลง เหมาปล่อยกลับมา เจียงสั่งขังล่อไอ้หมอนี้เกือบสี่สิบปี ไม่ได้ออกไปตรากตรำนี่หว่าแล้วพอเจียงตายก็ปล่อยแล้วไปตายอเมริกา หมอก็ดีกว่าทำไมจะไม่อายุยืนวะ
"กูฟังมึงเล่าก็เข้าใจแล้วว่ามึงไม่ได้โปรเรื่องพวกนี้เลย แต่มึงกำลังทำตัวเหมือนใช่และพยายามพูดปกป้องตัวเองอยู่ ลดอีโก้ลงไอ้หนู ที่นี้มันโม่ง"
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
"จุฬาฯ เลือกประเด็นการทำแท้ง..
พ่อแม่ผิดหวัง - ไม่ใส่ถุง - คนที่พลาดไม่ได้ง่ายแต่เป็นคนโง่ - ดาราเป็นไอดอล - อย่าทำแท้ง
นี่คือระดับความรู้ของ "เสาหลักของแผ่นดิน" เหรอครับ??
New Low #again
สงสัยจริงๆว่าตอนทำหุ่นนี้ออกมา พวกคณะเศรษฐศาสตร์ หรือ แพทยศาสตร์ นี่ได้มาช่วยออกความเห็นบ้างมั้ยนะ ถึงได้ผิดพลาดในแง่ Incentive (แรงจูงใจ) และ ข้อมูล ของคนท้องมากขนาดนี้"
- มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เมื่อพระเจ้ามอบมะนาวให้ก็เอาไปคั้นเป็นน้ำมะนาวสิ"
แล้วถ้ามะนาวที่ให้มันห่วย มันแย่ตลอด คั้นให้ตายก็ไม่ไหวหรอกนะ...
"หลังจากช้ำรักซ้ำซ้อนมาหลายครั้งหลังรัฐประหาร จนมาเจอคนรู้ใจ คบกันมาไม่นานแต่ก็เริ่มจริงจังขึ้นเรื่อยๆ เลยแพลนว่าอยากจะมีลูกก่อนอายุ 30 แต่ดันมีลูกด้วยกันไม่ได้ทั้งคู่เพราะมีมดลูกกันทั้งสองคน
เลยปรึกษากันว่าจะเอายังไง วิธีทางการแพทย์มันแพงและหยาบกระด้างทางความรู้สึกมาก แถมไม่อยากใช้เงินซื้อเสปิร์มคนไม่รู้จัก สุดท้ายเลยพากันไปขอร้องแฟนเก่าที่เคยคบกันมานานว่าขอเสปิร์มหน่อย แต่จะขอร้องแฟนเก่าไปรีดเสปิร์มแล้วมาฉีดใส่ตัวเองก็แพงอยู่ แฟนเลยเสนอว่าใช้วิธีที่ง่ายกว่านั้นคือไปนอนกับแฟนเก่าซะเลยจนกว่าจะติดลูก
ในวิธีที่โคดง่ายและคาดไม่ถึงนี้คือควักกระเป๋าจ่ายเงินให้แฟนเก่าตรวจร่างกายที่สมิติเวชคอสละสองหมื่นบาท ตามมาด้วยทุกๆ อาทิตย์จะจองห้องที่รีสอทร์อีโคแถวบางกระเจ้าให้ไปนอนกับแฟนเก่าอีกด้วย โดยจะจำกัดเวลาแค่ 1 ชม. แถมช่วงวันธรรมดาจะจัดตารางอาหารให้ทาน ตอนเย็นจะทำข้าวกล่องมังสวิรัติให้ทานพร้อมกับแนบตารางการออกกำลังกายให้ด้วย แฟนให้เวลา 1 เดือนหรือ 4 ครั้งในการทำภารกิจติดลูกกับแฟนเก่า
แต่แฟนบอกว่ามีข้อแม้คือ ในครั้งแรกต้องให้เจ้าตัวไปสังเกตุการณ์ด้วยว่าทำกันอย่างไรท่าไหน อาจจะต้องจัดท่าให้ติดลูกกัน ซึ่งหน้าที่รีเสิชเหล่านี้นางจะเตรียมการมาทั้งหมด
สุดท้ายพอเอาเข้าจริงๆแม่มกลายเป็นมหกรรมทรีซัม สะดุ้งตื่นมาช่วงที่แฟนเก่ากำลังจะอินเตอร์คอสแฟนใหม่พอดี
ระยำสัสๆ รับวาเลนไทน์ 555"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ว่าด้วยความรักกับอายุอานามที่เพิ่มขึ้น
ช่วงหลังๆหลายปีมานี้รู้แล้วว่าความเป็นผู้ใหญ่มันส่งผลต่อความน่าคบหาจริงๆ เด็กน้อยที่มีความคิดแบบเด็กๆนั้นเหนื่อยที่จะพูดคุยด้วย แต่ผู้ใหญ่ที่มีความสุขุมนั้นรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ด้วยและสนทนา
ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมผู้หญิงถึงชอบผู้ชายที่อายุมากกว่า ด้วยโครงสร้างของสังคมที่ให้ผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่นั้นดูมั่นคงและน่าอยู่ตลอดชีวิตกว่าผู้ชายที่เป็นเด็กๆที่ก้าวร้าวและเอาแต่ดราม่าไปวันๆมาก
ไม่ใช่เพราะผู้ชายอายุเยอะแล้วจะรวยหรอก ปัจจัยนั้นมันเป็นปัจจัยรองจนถึงไม่นับเป็นปัจจัยเลย
บางทีก็แอบนึกอยู่ในใจว่าก็อยากแต่งงานตอนอายุสัก 40 นะ ... ตอนนั้นอาจจะมีผู้หญิงอายุ 30 มาชอบก็ได้ ...
#ตื่น !!
แหมติดไปได้ แบบนี้เขาเรียกจ่ายหนึ่งได้สองป่ะวะ
"ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่ม PC SJW ตามเเคมปัสมหาลัยมีดังนี้
1. Beta Whiteknight ที่หวังจะเย็ดสาวในกลุ่ม
2. Homo
3. Autistic retard "
ปล อ่านดูดีๆ มันฝันไปนี่ว่า?? เห็นบอกสะดุ้งตื่นตอนท้าย
พล็อตการ์ตูนโป้นี่หว่า
ก็ดีนี่ เผลอๆติดลูกทั้งคู่ ได้ลูกมาเลี้ยง2คนเลย
ส่วนไอ้ผู้ชาย สัดดดดดดดอิจฉาแม่ง 555
>>568 ผู้หญิงที่โดนแฟนทิ้งตอนเริ่มแก่แล้วสุดท้ายมาคบกับผู้หญิงด้วยกันเนี่ยมันเพราะหาผู้ชายไม่ได้เฉยๆว่ะ แต่ก็ยังชอบผู้ชายเหมือนเดิมแหละ
ลึกๆแล้วไอ้คนโพสมันก็ยังรักแฟนเก่าอยู่ด้วย ไม่งั้นมันไม่อยากมีลูกกับผู้ชายคนนั้นหรอก
แฟนใหม่เห็นผู้ชายก็เงี่ยนตามสุดท้ายก็เลยกลายเป็น 3P อย่างที่เห็น อย่าไปมโนหาความรัก ญ-ญ ใสๆแบบในนิยายเลย
เบื่อพวกถังแยม/ส้วมเนื้อ มาแหกปากเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองว่ะ มึงอย่าเอาความคิดแคบๆมาบังคับให้คนทั้งโลกเห็นตามเสียงส่วนน้อยของมึงเลย
เค้ายอมรับกันทุกที่แหละว่าผู้หญิงมีหน้าที่ให้ความสุขทางเพศกับเพศชาย แล้วก็มีทายาทให้
มึงแหกปากบอกว่ารักกันแต่สุดท้ายมึงก็สร้างครอบครัวไม่ได้อยู่ดีเพราะมึงมีมดลูกทั้งคู่
"พวกที่โพสว่าตัวเองไม่ต้องการใครนั้น ต้องการใครซักคนที่จะอ่านมัน"
ก็จริงมั้ยล่า ไอ้พวกนี้แม่งชอบทำตัวเป็นเซเลปสังคม มึงดูกรณีอีป้าม้าที่ด่าคนว่าเป็นจัณฑาลดิ
เคยมีเรื่องกับพวกทอม พอสู้ไม่ได้ก็ด่าคนอื่นหน้าตัวเมีย ไอ้พวกนี้อยู่ในมุมมืดของสังคม ไม่ต้องสะเออะมาเทียบชั้นคนปกติ
ถ้าเป็นผู้หญิงจริงๆให้เกียรติในฐานะเพศแม่อยู่แล้ว แต่พวกผิดเพศที่เจอส่วนใหญ่กวนตีนว่ะ
คำสอนเดิมพวกศาสนาเมนสตรีมรวมทั้งพุทธก็ไม่เห็นศาสนาไหนพูดถึงเพศที่สามหรือพวกรักร่วมเพศในทางดีนะ
ถ้าไม่หลับหูหลับตาอวยจนเกินเหตุคำสอนอายุหลายพันปีมันไม่มีทางเหมาะกับโลกสมัยใหม่ทั้งหมดได้หรอก
ทางเลือกที่เหลืออยู่หลักๆก็คือ
- หลับหูหลับตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าศาสนาตัวเองสอนแบบนั้น
- ตีความคำสอนใหม่เองแม่งซะเลย พูดดูดีก็ปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคใหม่ พูดให้ดูเหี้ยก็บิดเบือนคำสอนเอาตัวรอด
- เชื่อตามคำสอนเก่าไป ไม่สนโลกยุคใหม่
ปล. ที่ irony คือสังคมนักบวชบางที่แม่งมีแต่ผู้ชาย เพราะคำสอนบอกให้ชายหญิงแยกกกัน สุดท้ายกลายเป็นแหล่งรวมเกย์ไปซะเอง
มึงจะเอาอะไรกับคัมภีร์ที่เขียนมาเป็นพันปี แต่สังคมมนุษย์มันเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว เวลามันทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนอยู่แล้ว คนก็ต้องปรับตาม กูไม่ได้งบอกว่าของเก่ามันจะไม่ดี100% มันก็มีดีในส่วนแก่นเหมือนเดิม แต่ไอ้พวกคลั่งๆกันมันเหมือนไม่ได้เปิดปัญญาศึกษาไม่ถึงแก่นแต่เอาข้อห้ามที่แข็งเกร็งมาใช้ทำร้ายคนอื่น
>>587 สัตว์ในธรรมชาติก็มีเกย์นะ
>>594 ถ้านับโดยทั่วไป ศาสนาพุทธค่อนข้างให้โอกาสคนทั่วไปอยู่นะ ถึงจะบอกว่าคนเกิดมาด้อยกว่าถือเป็นกรรม แต่ทุกสิ่งสร้างด้วยมือตัวเองได้ ชตาไม่ได้กำหนดทุกสิ่ง ดินแดนที่พุทธเฟื่องฟูผู้หญิงเลยมีสิทธิมากกว่า อย่างจีนสมัยก่อนที่บูเช็กเทียนกลายเป็นฮ่องเต้ได้ก็เพราะคนพุทธเปิดกว้างเรื่องเพศมากกว่าเต๋าที่กดผู้หญิงเต็มที่ ผู้หญิงสมัยถังก็มีอำนาจมากที่สุดรองจากยมัยมองโกลแค่นั้นละ
แน่ละว่าพุทธไม่ค่อยมองเกย์กับผู้หญิงว่าดีนัก กล่าวคือเพราะทำบาปเลยเกิดมาเป็นผู้หญิงกับกระเทย โดยหลักการแล้วก็ไม่ต่างกับการเกิดมาพิการ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่คน พุทธมองว่าคนทุกคนเท่าเทียมกันหมด สูงต่ำกำหนดด้วยการกระทำ
กูอยากให้มองแบบเบื้องหลังมากกว่า
มุสลิมเกิดตอนที่รบพุ่งกันความตายมันมาหาง่าย เลยยอม ชาย1:หญิง 4 ถ้าเลี้ยงไหว
ส่วนสังคมที่เจริญแต่คนรวยสุดมีช่องว่างกับคนจนสุดเยอะ ถ้าไม่บอกให้ผัว1:เมีย1 คนรวยๆมันก็มีเมียเป็นฮาเร็มส่วนไอ้หนุ่มคนจนก็หาเมียยากเพราะใครจะอยากลำบาก ยิ่งถ้าเป็นเมียในฮาเร็มก็ไม่ต้องถ่างหีให้เอาทุกวันด้วยเพราะเวียนกัน ถ้าฟลุคได้ลูกชายก็ได้เป็นคุณนายไปเลย
ของมันมีเบื้องหลัง อย่างถ้ายุครบกันอยู่มึงก็ควรจับคู่ผัวเมียให้มีลูกมาเสริมประชากร แต่ถ้ามึงจ้องเย็ดตูดกันมันก็ไม่มีประชากรใหม่สิวะ แต่ยุคนี้มึงอยากจับคู่เย็ดตูดกันไปก็ไม่ว่ากระไรแล้วเพราะจงใจลดประชากรอยู่แล้ว
คุมกำเนิด+ทำแท้ง บางทีก็บาปนะมึง ไปอ่านคัมภีร์มันดีดี สมัยกูเด็กๆยังมีข่าวฝรั่งประท้วงไม่ให้ขายถุงยางด้วยนะมึง แต่พอมีเอดส์เท่านั้นแหล่ะ มีแต่เสียงสนับสนุนถุงยางกันหมด
เลิกพลักดันagendaที่ว่าพวกhomoเป็นเรื่องปกติซักทีเถอะมึง กูไม่ได้ห้าม ไม่ได้เกลียดด้วย กูมีเพื่อนครบทุกเพศ เกย์ ทอม เลส ไบ เเต่พวกโฮโมมันผิดปกติ(uncommon)จริงๆนี่หว่า
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ามีคนนึงเดินมา มีเพศสภาพ(sex)เป็นชาย ใส่เสื้อเชิ้ตเกงยีนส์ปกติ สิ่งที่เด้งในหัวมึงก่อนว่าGenderมันเป็นอะไร ชายหรือโฮโม?
ร้อยทั้งร้อยคิดว่าเป็นชายก่อนทั้งนั้น เพราะมันเป็นcommon sense ไง ถ้าพวกโฮโมมันไม่uncommonอย่างที่พยายามพลักดันกัน มันต้อง50-50สิวะ
ไอ้ uncommon ในแง่ที่มึงว่าน่ะมันก็ใช่ แต่ไม่ได้พูดกันเรื่องนั้นกันอยู่ไม่ใช่หรอวะ
แต่ประเด็นปัญหามันอยู่ตรงที่คำสอนศาสนาพยายามโยนว่า uncommon เป็นความผิดบาปต่างหาก
ซึ่งมันไม่ได้เกิดกับประเด็น lgbt อย่างเดียวด้วย
"ทุกครั้งที่จะถึงงานหนังสือ นอกจากหูตาเหลือกปิดเล่ม สิ่งหนึ่งที่คิดขึ้นมาเสมอก็ไอ้เรื่องคนไทยอ่านหนังสือไม่เกินเจ็ดบรรทัดอะไรนั่น ซึ่งจนบัดนี้ ก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตา ว่าไอ้งานวิจัยที่ว่านั่นมันอยู่ที่ไหน ใครทำระเบียบวิธีเป็นอย่างไร เชื่อถือได้หรือไม่ จนบ่อยครั้งก็ทำให้รู้สึกว่า เอ้อ ไอ้การที่คนแม่งแตกตื่นกันไม่จบสิ้นเรื่องเจ็ดบรรทัดอันไม่อาจประจักษ์ที่มานี่แหละ ที่มันสะท้อนวัฒนธรรมการอ่านของเราได้เป็นอย่างดี ว่าเป็นอย่างไร
ยิ่งกว่านั้นคือ มันน่าจะเลิกได้แล้วล่ะ กับความคิดที่ว่าอ่านเยอะๆ แล้วจะฉลาด (อันนี้กูก็บ่นประจำ) ก็บางคนอ่านหนังสือเยอะมาก แต่แสดงทัศนะทีหนึ่งเราก็ต้องตกตะลึง ว่าจริงๆ แล้วการอ่านหนังสือมากๆ มันทำให้คนโง่หรอกหรือนี่
เพราะสุดท้ายมันไม่ใชเรื่องอ่านมากน้อยขนาดไหน แต่มันคืออ่านอย่างไรน่ะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การอ่านมันก็ดี แต่ก็เหมือนการกินอาหาร กินของดีย่อยดี มันก็กลายเป็นพลังงานให้เรา
กินของไม่ดีย่อยไม่ดี ก็ท้องเสีย
การอ่านก็เช่นกันต้องเลือกอ่านของที่เป็นสาระไว้ใช้ในอาชีพ, หรือวรรณกรรมดีดี,ปรัชญาดีดีก็อ่านเพื่อยกระดับจิตใตตนเองได้ แต่ที่ร้ายๆคือได้อ่านของดีแต่ย่อยไม่ดี ดันกลายเป็นว่าหลงตัวเองว่ากูรู้เยอะและยึดเอาของที่ตัวเองอ่านมาเป็นข้ออ้างว่ากูเก่งกว่าใคร ไม่สามารถยกระดับจิตใจตัวเองได้ไอ้พวกนี่น่ากลัวที่สุด
คนที่เหยียดมันเป็นโทรลไม่ใช่เหรอ โวยวายอยากคุยแต่วรรณกรรมฝรั่ง พอแยกห้องมาก็แทบไม่คุยกันเหมือนเดิม ไม่รู้จะโวยวายขอแยกมาทำใมถ้าไม่ใช่โทรล
บ้านเราน่าจะสนับสนุนการเดินเรื่องด้วยภาพให้มากกว่านี้ แม่งกูอ่านแบบเรียนเด็กญี่ปุ่น มีแต่การ์ตูนเต็มไปหมด อ่านง่ายสวยงาม
มีภาพการ์ตูนเยอะๆในตำรามันคงดูไม่ค่อยเป็นวิชาการเท่าไหร่มั้ง
เกรงว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในกศธ.จะไม่คิดงั้นอะดิ
" นึกถึงบ้านนั้นอีกละ ที่ผมชอบเล่าให้ฟังว่า ทั้งๆ ที่มีโครงการเรียนฟรี แต่แกก็ไม่ได้ให้ลูกไปเรียนได้ทุกคน เพราะเงินไม่พอ ไอ้คนเล็กก็เลยไม่ได้เรียน
ฟังดูโคตรงง หือ เรียนฟรี แต่ไม่มีเงินเลยไม่ได้ให้ลูกไปเรียน
นี่จัดน้ำเสียงเสียหน่อย กลายเป็นเรื่องตลกตึ่งโป๊ะได้เลย
สำหรับบ้านยากจน ไอ้ค่าใช้จ่ายที่หนักหนาจริงๆ ของการเรียนในโรงเรียนนี่ นอกจากค่าเทอมแล้ว พวกค่าอุปกรณ์ต่างๆ ค่าเครื่องแบบ รวมทั้งค่าขนมลูกในแต่ละวัน มันก็ไม่ใช่เรื่องเบาๆ
เรียกว่าพอจนแล้ว...มันก็หนักแม่งในทุกมิตินั่นแหละ
ทีนี้ ไอ้เรียนฟรีเนี่ย มันก็มีค่าอุปกรณ์ค่าเครื่องแบบให้ด้วย แต่เขาเหมาจ่าย โดยจำนวนเงินที่ได้ก็หลดหลั่นกันไป ตามแต่ว่าอยู่ในการศึกษาระดับใด ซึ่งในตอนที่ถามเมื่อสามสี่ปีก่อนนั้น มันไม่พอน่ะครับ ถ้าจำไม่ผิด งบเครื่องแบบนี่สูงสุดปีนึงไม่ถึงพันนะ เพดานที่ 900 มั้ง ปวช. ส่วนพวกมัธยมประถมนี่ 300-500 ราคานี้นี่มันคงได้สักสองชุด แต่ทีนี้ ชุดพละล่ะ ชุดลูกเสือล่ะ แต่ต่อให้ไม่มีชุดพละกับชุดลูกเสือ ไอ้สองชุดนี่อาทิตย์นึงพอใส่ไหม มันก็มีแต่ต้องใส่ซ้ำหรือซักทุกวันนั่นแหละ แล้วบางทีมันไม่ใช่ให้เงินมาก่อน มันคือไปซื้อแล้วเอามาเบิก ถ้าตอนต้องไปซื้อไม่มีเงินเลยนี่ทำไง หนี้นอกระบบสักหน่อยไหม ดอกร้อยละยี่สิบขยี้กันไป ซวยน้อยเจอดอกรายเดือน ซวยมากเจอดอกรายวัน มันส์พะย่ะค่ะ
นี่ยังไม่ต้องนับไอ้พวกค่าขนม ค่าเดินทาง
คือ เวลาพูดถึงนโยบายเรียนฟรี มันไม่ได้ เอ้อ จบละ สบาย ต่อไปนี้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาชิวๆ แม่งไม่ใช่อะครับ ไม่ได้สวยขนาดนั้น บางด้านกลายเป็นตลกร้ายอย่างเรื่องของบ้านที่ผมเล่านั่นด้วยซ้ำ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ปัญหาคือทำไมต้องให้เด็กมันมีชุดเครื่องแบบด้วย ชุดเครื่องแบบนักเรียนต่างประเทศมันเลิกกันเป้นปีมะโว้ไปแล้วเหลือแต่โรงเรียนที่มันเก่าๆหน่อยคือใส่ๆกันแต่ก็ไม่ได้บังคับขนาดนั้น
ทำไมน่าจะแก้ปัญหาด้วยการไม่ต้องไปมีเครื่องแบบไปเลย กูว่าแก้ปัญหาตรงจุดกว่านะ อย่างมามีชุดพละใส่อาทิตย์ละครั้งพอล่ะเพราะมันเละง่าย ซักง่าย ลดบาดเจ็บแต่วันไหนเรียนะรรมดาอยากใส่ชุดแบบไหนก็ใส่ไปขอสุภาพพอ
"ควันหลงหอยจีบอุ้มแต่อุ้มไม่เอา ก็รู้ๆอยู่นะว่า
อุ้มขาว แต่ หอยดำ
คู่นี้จึงไปกันไม่ได้นะค้าบ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ระบบโรงเรียนที่ต้องมีเครื่องแบบ ,ระบบลงโทษหากทำตัวผิดระเบียบมันเป็นการลอกแบบโรงเรียนทหารมาก่อนฟ่ะ พวกง่อยๆโง่สอนให้มันีู้แค่ซ้ายหันขวาหัน ทำตามที่สั่งพอแล้วไม่ต้องมีหัวคิดมากนักหรอก ส่วนที่บอกไม่มีเงินจ่ายพวกอุปกรณ์การเรียน กูว้าต้องแก้ไขหน่อยคิอรัฐจ่ายให้เรียนจนจบม.สามเป็นอย่างต่ำ จะจ่ายตั้งแต่ต้นมือ หริอจะเสียหายเพราะได้ประชากรไร้คุณภาพคนนึง
เครื่องแบบโรงเรียนเอกชน = รายได้โรงเรียนวะ
ของรัฐ ก็มีนี่หว่าลืมไป
"ผมเคยทำงานกับพระ !
.
ไม่ได้พูดเล่น ปีนึงเต็มๆที่ผมเคยทำงานกับพระตัวเป็นๆ พูดเก่งน้ำไหลไฟดับ เทศน์ได้เป็นต่อยหอย
.
ก็เป็นการทำงานร่วมที่สนุกดี สิ่งที่ได้ประโยชน์ที่สุดก็คือการได้เรียนรู้ว่าพระก็มีกิเลสไม่ต่างจากปุถุชน เพียงแต่มันซับซ้อนกว่า ตีความให้ดูดีได้ง่ายกว่า
.
อีกอย่างที่พบก็คือ พระกับรถเก่านี่มักจะแยกกันไม่ออก ในช่วงหนึ่งปีที่ทำงานด้วยกัน พระที่ผมทำงานอยู่ด้วยแกไปแสวงหารถมาได้สามคัน
.
คันแรกน่าจะเป็นรถดัทสันรุ่นเก่า แกบอกว่าญาติโยมบริจาคมาแต่ต้องจ่ายค่าโอน ค่าต่อทะเบียนให้เขา แกโอนเงินไปหลายระลอก แต่สุดท้ายรถคันนั้นก็ยังไม่มีเอกสารทางกฎหมายอะไรรับรองอยู่ดี
.
มันเสียแล้วเสียอีกสุดท้ายต้องจอดทิ้งไว้ที่อู่ซ่อมรถ จนเจ้าของอู่ต้องขายเป็นเศษเหล็กทิ้งไปเพราะมันเกะกะ
.
คันที่สองเป็นรถปิ๊คอัพแวนสูงโย่งโคร่งเคร่ง เก๋งรถติดยี่ห้อเปอโยต์ เครื่องยนต์เป็นนิสสัน ช่วงล่างผมไม่กล้ามุดไปดู เลยไม่รู้ว่ามันเป็นยี่ห้ออะไร
.
สิ่งที่ผมจำได้ดีก็คือ คืนหนึ่งมีธุระด่วน ผมนั่งรถไปกับโชเฟอร์ต ฝนตกขณะที่รถวิ่งปุเลงๆไป ผมต้องย้ายที่มานั่งอยู่บนหน้าต่างด้านคนขับโดยยื่นตัวออกไปนอกรถแล้วใช้ผ้าปัดน้ำฝนที่กระจกหน้ารถ เพราะว่าที่ปัดน้ำฝนของรถคันนี้มันไม่มี
.
แน่นอนว่ารถคันนี้วิ่งได้เฉพาะในป่าในดง ถ้าจะเข้าไปซื้อของในเมืองก็ต้องนิมนต์หลวงพี่นั่งหัวเหม่งข้างคนขับไปด้วย จึงจะปลอดภัยจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
.
คันที่สองว่าแปลกแล้ว คันที่สามที่หลวงพี่ไปบิณฑบาตรมายิ่งแปลกกว่า ผมไม่แน่ใจว่ายี่ห้อ VW รึเปล่า หลวงพี่โฆษณาสรรพคุณของซากรถสี่ที่นั่งคันเล็กว่ามันเป็นรุ่นสิงห์ทะเลทรายที่ฝ่ายอักษะใช้ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้อดีของมันก็คือมันไม่มีหม้อน้ำเพราะว่ามันไม่ต้องใช้น้ำในการหล่อเย็น
.
ถ้าใครนึกสภาพของมันไม่ออกให้ไปหาหนังเรื่อง Madmax มาดู
.
โชคดีที่ผมลาจากหลวงพี่มาก่อน เลยไม่รู้สรรพคุณของรถคันนี้ว่าจะจี๊ดจ๊าดละลายทรัพย์ของแกไปอีกมากแค่ไหน
.
ย้อนมานั่งนับนิ้วดูเล่นๆ เงินทั้งหมดที่ใช้จ่ายไปในช่วงนั้นน่าจะพอนำมาซื้อเงินสดรถมือสองสภาพดีมาใช้ขับขี่ไปไหนมาไหนได้อย่างปลอดภัย
.
หรือจะดาวน์รถป้ายแดง เอาค่าซ่อมรถจุกจิกเป็นเงินผ่อนรายเดือนก็ย่อมได้
.
เรื่องรถกับพระ ไม่ใช่กรณีที่ผมเจอกรณีเดียว ไล่ตั้งแต่วัดป่า เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด มันก็มีเรื่องรถเก่า รถที่ญาติโยมบริจาคด้วยใจศรัทธามาทั้งนั้น
.
เกรดของรถก็สุดแต่ผลประกอบการของหลวงพ่อแต่ละท่านว่าจะสูงต่ำแค่ไหน
.
มานั่งคิดถึงปัญหานี้ได้สมติฐานมาว่า พระ ก็มีความอยากเหมือนกับชาวบ้าน รถเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไปไหนมาไหน แต่ปัญหาก็คือพระซื้อรถใหม่มันดูไม่งาม มันดูไม่สมกับการเป็นสงฆ์ ไม่สมกับการมีภาพเป็นผู้สมถะครองเพศพรหมจรรย์
.
รถเก่า รถผิดกฎหมายเลยเป็นทางออก
.
และสุดท้ายได้กลายเป็นวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มไป
.
ดังนั้นแล้ว โดยส่วนตัว ผมไม่มีความเห็นกับการเอาผิดทางกฎหมายเรื่องถือครองรถเก่ากับว่าที่สังฆราชองค์ใหม่ แต่ถ้าเอาผิดแล้วก็ต้องเอาผิดกับพระภิกษุทุกรูปที่มีลักษณะการกระทำข้างต้นทุกรูป เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียว
.
ส่วนตัวผมเองก็คงต้องเตรียมขอลาอุปสมบท เบาะๆก็ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลจะไปไหนเสีย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันนี้มีนายน้อยมาปรึกษากระผมเรื่องความรัก นายน้อยไปชอบคุณหนูอยู่คนนึงแต่ไม่รู้จะทำยังไงให้คุณหนูหันมามอง กระผมเลยสะกิดให้คิดนิดนึง
กระผม : เวลาอยากไปดวงจันทร์ต้องทำยังไงหละขอรับ
- จะสวดภาวนาอ้อนวอนให้ดวงจันทร์ลงมาหา?
- จะวาดภาพดวงจันทร์แล้วส่งผ่านกระสวยอวกาศไปบอกว่าอยากเห็นดวงจันทร์ทุกวันๆให้ดวงจันทร์ใจอ่อนยอมลงมา? หรือ
- จะพยายามเรียนให้เก่งเพื่อเป็นนักบินอวกาศเพื่อไปให้ถึง
นายน้อย : สวดภาวนาก้อคงไม่ได้อะไร ดวงจันทร์คงไม่มีทางรู้ วาดภาพส่งไปก้อคงจะยาก เปลืองตังค์อีก ก้อคงต้องพยายามทำตัวเองให้เก่งๆทำตัวเองให้ดีๆแล้วขึ้นไปบนนั้นไปอยู่ระดับเดียวกับดวงจันทร์ แต่ถ้าพยายามเต็มที่แล้วแต่บินขึ้นไปไม่ถึงดวงจันทร์ซักทีหละครับ ดวงจันทร์แทบจะไม่เห็นผมเลย
กระผม : อย่างน้อยดวงดาวมากมายที่อยู่รอบๆก้อเห็นนายน้อยนะขอรับ kiki emoticon ดวงดาวบางดวงอาจจะสวยงามและน่าชื่นชมกว่าดวงจันทร์ซะอีกน้า kiki emoticon
...เวลาเราเถียงกับแฟน หรือ ทะเลาะกับแฟน ปกติโดยทั่วไป เราจะเห็นคู่อื่นๆมีฝ่ายนึงผิดบ้าง ถูกบ้าง อภัยกันบ้าง ง๊องแง๊งตามประสา ... ของผมไม่ว่าจะเริ่มยังไง ตอนจบผมจะโดนสอนทุกครั้งเลย
...จนเมื่อหลายปีก่อน ผมลงคอร์สครูอ้อย ฐิตินาถไป ก็ทำให้ตัวเองดีขึ้นมีการทำงานเป็นระบบ และแน่นอนคือชีวิตการเข้าสังคมก็ดี ฐานะการเงิน การงานก็ดี แต่ผมก็ยังเป็นฝ่ายที่โดนสอนโดยภรรยาทุกครั้ง ว่าผมยังทำได้ไม่ดีพอ
...เมื่อสองเดือนก่อน มีหัวหน้าเค้าเอาหลักสูตรอันนึงมาให้ผมไปลง เรียกว่า Landmark Forum ซึ่งก็ไปเรียนจริงๆจังๆ ไปถึงตั้งแต่ 8 โมง เลิก 5 ทุ่ม กลับถึงบ้านกินข้าว และทำงานที่โค๊ชสั่งก็ได้นอนตี 1 ... และก็ลงไปอีกคอร์สแล้วด้วย ซึ่งก็เหมือนมาเรียนคอร์สครูอ้อย ฐิตินาถ แบบขั้นสูงกว่า (แต่ครูอ้อยก็จบจากที่นี่ไปเหมือนกัน ก่อนจะมีเข็มทิศชีวิต เท่าที่ค้นเจอในเน็ต)
ช่วงที่ต้อง break to อะไรหลายๆอย่างเพื่อทำให้เราเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ก็โทรไปพูดตรงๆกับภรรยา
จุดไคลแม็กซ์ คือ ภรรยาบอกว่า "อ่าว เรียน Landmark หรอกเหรอ" แล้วเธอก็สาธยายกระบวนการขั้นตอนออกมาจนหมด แล้วตบท้ายว่าเห็นมั้ยที่พร่ำสอนเนี่ยถ้าผมเอาไปทำตาม ไม่ต้องเสียเงินเลย
เพราะช่วงที่เธอศึกษาที่ มหาวิทยาลัยนานาชาติสิงค์โปร์ (NUS) เธอดำรงตำแหน่งประธานนักศึกษาโครงการ Youth Development ซึ่งก็คือส่วนนึงของระบบการศึกษาของ Landmark แต่ลึกว่า
เธอเริ่มอธิบายผมหนักขึ้นเรื่อยๆเรื่องของ Human Lifespan, Human Distinctions, Human Science, Human Life Effect จนไปถึงหลักสูตรที่สูงกว่า Landmark CPC อย่าง Personal Development in Physiology and Sociology ซึ่งสามารถเป็นโค้ชที่นั่นได้ และเธอก็เป็นอยู่ช่วงนึง
เธอเริ่มอวดผมถึงผลงานที่เธอทำ ตั้งแต่การ
- Lead Forum เยาวชน และเทรนเยาวชนในมาเลเซีย ภายใต้สัญญาจ้างของรัฐบาลมาเลเซียผ่าน International Islamic University Malaysia
- Lead Internship ของสหประชาชาติในโครงการ United Nations Millennium Development Goals (MDGs)
- ขึ้นพูดกลางรัฐสภาแห่งชาติอินโดนีเซีย หัวข้อ เกี่ยวกับเยาชน และภาวะผู้นำ
- ประธาน Rotaract ของสิงค์โปร
- หัวหน้าโครงการ Care ของสิงค์โปร (เหมือน NYCare ของสหรัฐฯ)
- หัวหน้าคณะทำงานภาคเยาวชน Think Tank ของ UN Human Rights
....เธอบอกผมว่า ไปเรียนก็ดีแล้ว เวลาเธอสอน จะได้ไม่เสียเวลาอธิบาย เราจะได้มีภาวะแห่งความคิด และสมองที่ทัดเทียมกันบ้าง จะได้ไม่เถียงเพื่อเอาชนะเธอแบบทุกวันนี้
#อยู่บ้านให้เมียสอนฟรีๆไม่ชอบ #ออกนอกบ้านให้เค้าคิดเงินนี่ชอบนัก
"เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างหรอก แต่ก็ซื้อได้หลายอย่างอยู่ มึงก็เอาไปซื้อไอ้ที่มันซื้อได้สิ ที่ซื้อไม่ได้ก็ช่างแม่มัน"
"เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันหลายปี กลายเป็นลีเบอร่านเฟมินิสต์
ทั้งโต๊ะถึงกับกินข้าวในงานเลี้ยงรุ่นไม่ลง "
การจราจรประเทศไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก (ว่าแต่ส่วนใหญ่เป็นอีสานป่ะ)
อ้างอิง https://fanboi.ch/lounge/2338/22
น่าจะเป็นช่วงวันหยุด แล้วรถทั้งกทม. ตจว. มันเลยแห่ออกมาเที่ยว
แล้วไปติดประจันหน้า แถวๆฟาร์มโชคชัย ถนนเส้นมิตรภาพเชื่อมสู่อีสาน (ไปเหนือก็ได้)
ประเด็นคือหมาตัวไหน(แถมเยอะมาก)มันเปิดเลนพิเศษ ทั้งไป-กลับ แบบเต็มเลนวะ
"วันนี้ตื่นตีห้าหกโมงไปต่อแถวรับบัตรคิว Tsuta Ramen ที่เป็นร้านราเมงที่ได้ดาวมิชลินมาครับ
แม่งแจกบัตรคิวเจ็ดโมงมั้ง แต่เริ่มขาย 11 โมง เลือกคิวเป็นรอบๆ ได้ รอบละ 1 ชม มีไปถึง 4 โมง
ซึ่งคือต้องรับบัตร ไปทำห่าไรก่อน แล้วกลับมาแดก ซึ่งก็ต้องต่อคิวอีก เพราะร้านแม่งเล็กสัสๆ นั่งแดกกับบาร์ได้ที่ละสิบคนได้
ราเมงมันเป็นโชยุราเมงใส่หมูชาชูนี่แหละ ราคาฐานก็ราวๆพันเยนมาตรฐาน
รสชาติ คือผมกล้าพูดเลยว่าแม่งเป็นโชยุราเมงที่รสชาติซับซ้อนที่สุดที่เคยแดก แดกไปรู้เลยว่าน้ำซุปแม่งใส่ห่าไรเยอะมาก
แต่ผมไม่ชอบว่ะ 555 ในฐานะคนทำอาหาร ผมรู้แหละว่าแม่งทำยาก แต่นี่ทำให่ผมมั่นใจเลยว่าผมรู้สึกเพลิดเพลินในการแดกราเมงซุปกระดูกหมูโง่ๆ มากกว่าโชยุราเมงระดับดีที่สุด
อยากลองแดกก็ไม่มีปัญหาครับ ถือว่าราคาไม่แพงเลยสำหรับร้านได้ดาวมิชลิน แต่ถ้าไม่ชอบโชยุราเมงอยู่แล้ว ท่านอาจคิดแบบผมนี่แหละ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การศึกษา ควรควบคู่ไปกับการอบรมเลี้ยงดู
หากศึกษาต่ำแต่เลี้ยงดูดีก็จะกลายเป็นพวกเก็บกดหรือถูกหลอกง่าย มีความหลงงมงาย
หากศึกษาดีแต่เลี้ยงดูจนโตมาเหี้ยก็จะสร้างความชิบหายให้สังคมแทน
"เหตุการณ์ BTS ขัดข้องเมื่อวานนี้ แท้จริงแล้วเป็นเพียงการสาธิตรถไฟรางเดี่ยว เพื่อให้ประชาชนเกิดความคุ้นเคย"
"หลักคิดง่ายๆ ของฝ่ายซ้ายแทบทุกคนในโลกก็คือ เชื่อว่า มนุษย์มันมีความสามารถที่จะเอารัดเอาเปรียบทุกอย่างและทุกทาง ถึงขั้นฆ่ากันได้
ไม่ต้องดูไหนไกล การใช้แรงงานทาสนี่ก็คือตัวอย่างที่ extreme ที่สุด ในยุคที่มันดำรงอยู่การใช้ทาสก็ถูกกฎหมาย การใช้แรงงานทาสก็เป็นสิทธิ์อันพึงกระทำได้
หลักการที่ฝ่ายซ้ายมันต่อสู้เสมอมาก็คือ หาทางคุมกำเนิดไอ้การเอารัดเอาเปรียบทางสังคมทั้งที่มองเห็นได้ง่าย และมองเห็นได้ยาก ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลย
ไอ้ 40 hours work week ที่ทำงานมีวันหยุด 2 วันต่อสัปดาห์นี่ก็การเคลื่อนไหวก็ของพวกฝ่ายซ้าย
ไอ้เรื่องสวัสดิการสังคม เรื่องประกันสุขภาพ นี่ก็คือการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้าย เรื่องค่าจ้างขั้นต่ำก็เป็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้าย สิทธิเลือกตั้งของสตรีก็เป็นการเคลื่อนไหวร่วมกันของฝ่ายซ้ายและฝ่ายสิทธิสตรี การให้ทุกคนมีอำนาจโหวตไม่ใช่แค่เจ้าที่ดินก็เป็นการผลักดันของฝ่ายซ้าย เรื่องวันหยุดพักร้อนได้รับค่าจ้างตามกฎหมายก็เป็นการผลักดันของฝ่ายซ้าย เรื่อง Maternity leave นี่ก็เป็นการผลักดันของฝ่ายซ้าย
นักสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ก็พวกฝ่ายซ้ายทั้งนั้น
ทั้งหมดนี้มันพาไปสู่ เป้าหมายเดียวกันหมด คือ สังคมที่ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีการกดขี่ข่มเหง ก็แค่นั้น
ใครที่มัน deviate ต่างจากนี้ไป ก็คือไม่ใช่
สังคมไทยที่มันรังเกียจฝ่ายซ้ายเสียเหลือเกิน ก็เพราะว่าเราถูกปลูกฝังให้เกลียดคอมมิวนิสท์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรในการเรียนการสอน รวมทั้งยังมีระบบกฎหมายที่สอดรับกับการปลูกฝังนั้นมาอีก รวมทั้งยังมีระบบสังคมที่เอื้อให้กลุ่มคนกลุ่มใหญ่เอารัดเอาเปรียบอีก
เพราะฉะนั้นการที่มากล่าวหาการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้าย สำหรับผมแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรจากการมากล่าวหาพวกเรียกร้องประชาธิปไตยน่ะครับ เพราะสุดท้ายแล้ว สองขบวนการนี้มันก็คือเนื้อเดียวกัน คือ การเรียกร้องความเท่าเทียม และการไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"แต่ซ้ายปัจจุบันมันขี้เกียจลงฟิลด์ ขี้เกียจเจอมนุษย์ แทนที่จะหาประเด็นชีวิตความเป็นอยู่จริงๆ ก็มานั่งจับผิดคำกันว่าคำไหนเหยียดไม่เหยียดแทนนะครับ"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
คอมมิวนิสต์ดีนะเมิง แต่ มันเป้นแค่ความเพ้อฝัน
Communism ในอุดมคติที่แท้จริงคือประชาชนทุกคนเป็น Robot
"สักวันนึงจะต้องมีคนเหยียบกันตายเพราะยืนเคารพเพลงชาติตรงหัวบันไดเลื่อนตอนแปดโมง หวังว่าจะมีแต่คนรักชาติมากๆ ที่ตาย คนปกติไม่ควรตายไปด้วย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
โมเดล "วัดท่าไม้มาร์เก็ตติ้ง" มาหลังยุคที่ พี่เอ๋อ ขึ้น Kapook ในช่วงนั้นถ้าไปเดินตามร้านคอมตลอดทั้งปี และซื้อคอมบ่อยๆ
จะมีสติ๊กเตอร์ Kapook แปะอยู่บนเคสบ้าง บนจอคอบ้าง และมีตั้ง homepage ใน browser ไว้เสร็จสรรพเลย ไม่ว่าจะเป็นตึกที่ขายคอมที่จังหวัดไหนก็ตาม คือร้านขายคอมในตึกเกือบ 90% แปะให้โดยไม่ถามเลย
แค่ 1-2 ปี ก็ตีSanook ได้แล้ว
#เห็นสติ้กเกอร์วัดท่าไม้แล้วนึกถึงสติ๊กเกอร์Kapook
JJ Abram บอกว่าจะมีเกย์ในสตาร์วอส์
rip m8
good things that ruined by PC SJW Feminist creator/Author
-Harry Potter
-Borderlands
-Star Wars
to be continued
เราไม่แปลกใจเลยนะที่ผู้หญิงสมัยนี้บางคนจะไม่ได้แต่งงาน คือคาดหวังว่าผู้ชายคบกันจะต้องจ่ายทั้งหมด จะต้องซื้อนู้น เลี้ยงนี่ ดีไม่ดีมีเงินเดือนให้ใช้ แต่งงานก็ต้องมีสินสอด งานแต่งก็ต้องเป็นคนจ่าย แต่งงานแล้วก็ต้องเอาเงินให้ ต้องเลี้ยงดู
คือได้แฟนมีฐานะหน่อยหรือโปรไฟล์ดีมากด็คงทำได้หรอกนะ แต่คนโปรไฟล์แบบนั้นเขาไม่เอาปลิงเป็นแม่ของลูกนะ เขาคบคนโปรไฟล์แบบเดียวกันซึ่งเงินไม่ใช่ปัญหา
ผู้ชายธรรมดา ชนชั้นกลาง กลาง-ล่าง มนุษย์เงินเดือนสมัยนี้ ลำพังจะเลี้ยงตัวเอง สร้างฐานะ มีที่อยู่เป็นของตัวเองแบบไม่ต้องเช่ายังลากเลือด บางคนต้องส่งให้พ่อแม่ บางคนมีภาระต้องเรียนต่อ
คือผู้ชายในอายุใกล้กัน โปรไฟล์เดียวกันหรือไม่ต่างกันมาก เธอผู้หญิงจะไปรีดอะไรจากเขาขนาดนั้น คือคิดแค่ว่ามันต้องเลี้ยงดูกูแลลูกได้อย่างเดียวหรอ? ผู้ชายไม่ได้หาเงินได้มากกว่าผู้หญิงนะตอนนี้ และเขาก็มีภาระ มีค่าใช้จ่ายที่ต้องเสีย ทำไมผู้หญิงบางคนถึงคิดว่าเขาจะต้องจ่ายทุกอย่างให้คุณ? เขาไม่ต้องเก็บออม ไม่ต้องสร้างฐานะ ไม่ต้องดูแลพ่อแม่เขาหรอ?
ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ผู้หญิงมีการศึกษา มีโอกาสทางการงานที่เปิดกว้างขึ้น เราไม่ต้องไปรอง้อหาผู้ชายมาเลี้ยงดูแลก้ได้ จะคบกันเอาที่นิสัยใจคอเข้ากัน ฐานะไม่ดึงกันมาก ความสามารถเกื้อกูลกันได้ เราต้องอยู่ด้วยตัวเองได้สิ วันดีคืนดีเกิดผู้ชายดีแตกเราก็จะได้ไม่ต้องไปจมปลักเพราะไม่มีที่ไปแบบพวกที่ต้องให้ผัวเลี้ยงอย่างเดียว
นี่ไม่ใช่สมัยโบราณที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์มีเสียง ไม่ใช่ยุคที่ผู้หญิงมีโอกาสน้อยกว่า ทำมาหากินหางานดี ๆ มีรายได้สูง ๆ ไม่ได้ ต้องได้รับความปราณีจากผู้ชาย บีบก็ตาย คลายก็รอด ไม่มีผัวคืออัปโชคไม่มีวาสนา นี่ปี 2016 แล้วคุณ ไอ้ที่ให้ไปจับผู้ชายรวยแล้วจะสบาย พ่อแม่ดี ๆ เขาไมไ่ด้สั่งสอนนะ มีแต่คนแบบไหนที่สอนแบบนี้ รู้ใช่มั้ย?
พอดีที่ผ่านมาป๊าเห็นคนรอบๆตัวป๊าบางทีใช้เงินไม่ค่อยเป็น ทำให้ป๊านึกถึงโพสต์เก่าๆอยากเอามาโพสต์อีกรอบเพื่อเตือนสติกันครับ
" อย่าหลอกตัวเองว่ารวย...ด้วยการอวดรวย "
ฟังแล้วอาจจะดูแรง แต่อาจจะโดนใจหลายๆคน
ปัญหาของคนรุ่นใหม่ในยุคสมัย social network เป็นใหญ่คือ เรายอมเป็นหนี้หรือใช้จ่ายเกินควรเพื่ออวดรวย ได้ใช้ของหรู ซื้อรถหรือคอนโด แต่บัญชีไร้ซึ่งเงินสดและเผลอๆ การเงินอาจจะถึงกับติดลบไปจนวัยบั้นปลายของชีวิต ป๊าบอกกับตัวเองมาตลอดว่า "หากวันที่ป๊าจะฟุ่มเฟือยได้ ต้องเป็นวันที่ป๊าชนะแล้ว มีรายได้มากเกินกว่าจะใช้ทัน"
สมัยป๊ายังเป็นเด็ก คนรวยกับคนจนมีความเป็นอยู่ต่างกันไม่มากเท่าไร คนจนสามารถหากุ้ง หาปลาจากแม่นำ้ได้ง่ายมาก เช่นตอนหน้าร้อน นำ้ในคลองแห้งขอด กุ้งก้ามกรามจะลอยคอมาอยู่ริมตลิ่ง เราแค่เอาไฟฉายเดินริมคลอง ก็สามารถจับกุ้งได้ด้วยมือเปล่าแล้ว คนจนก็มีกุ้งก้ามกรามกินได้สบายๆครับ
แต่มายุคสมัยปัจจุบัน ยุคที่คนอยู่ยากขึ้นมากครับ ช่องว่างระหว่างคนที่มีเงินกับคนไม่มีเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ สื่อสังคมต่างๆ มันยั่วกิเลส เห็นคนอื่นเขามีเราก็อยากมีบ้าง
บางคนคิดว่าหามาได้ ก็ต้องใช้ ต้องให้ความสุขกับตัวเอง คิดแบบนี้ก็ไม่ผิดครับถ้าเรามีมากเกินจะใช้ทัน
ในภาวะปัจจุบันนี้ อะไรๆก็ไม่ดีเลย แย่ไปทุกๆอย่างเลย เศรษฐกิจ การส่งออก การค้าขายของชาวบ้านไม่ดีทุกหมวด รัฐบาลก็ไม่มีเงิน เก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า ภาคการเกษตรเช่นข้าว ยางพารา ราคาก็ไม่ดี ยิ่งมาเกิดภัยแล้งอีก แย่ถึงขนาดชาวบ้านจากที่เคยซื้อข้าวถุง ทีละถุง 5 กก. ตอนนี้ถึงขนาดซื้อทีละแค่ 1 กก. ( เรื่องนี้ป๊าฟังมาจากหลานสาวที่เปิดร้านขายข้าวที่ อ.เสนา)
พนักงานเงินเดือน 20,000 บาท ตกค่าจ้างวันละ 666.66 บาท กินกาแฟแก้วละเป็น100 บาท มันคือ 1/6 ของค่าแรงเราเลยนะครับ
พนักงานเงินเดือน 40,000 บาท ใช้กระเป๋าใบละ 30,000 บาท มันเกือบเท่ากับค่าแรงของเรา 1 เดือนเลยนะครับ
ผู้จัดการธนาคารเงินเดือน 50,000 บาท เลิกกับสามีมีลูกติด1คนค่าใช้จ่ายทั้งเดือนก็ตก 50,000 บาทแล้ว ซำ้บางเดือนยังคงค้างหนี้บัตรเครดิตไปเดือนหน้าอีก และยังมีหนี้เดือนก่อนๆที่สะสมมาจากบัตรเครดิต
ป๊าได้เอาเรื่องแบบนี้ไปถามหลานชายที่เป็นหมอจิตแพทย์ ว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดอย่างนี้ได้อย่างไร?
หมอแกตอบผมว่า... "คนปกติเขาคิดกันแบบนั้น...เราซิผิดปกติ"
ป๊างงเลยครับกลายเป็นป๊าผิดปกติหรอเนี่ย ?????
เมื่อก่อนภาครัฐส่งเสริมให้เราทำงานเก็บเงินประหยัด ตอนนี้เดิมจากวันหยุด 3วัน รัฐเพิ่มเป็น 4 วันเพื่อกระตุ้นเศรฐกิจ ให้เราใช้จ่ายเยอะๆเงินจะได้หมุน ถ้าเรามีเหลือเยอะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนที่ยังไม่แข็งแรง ไม่รู้เท่าทันก็ลำบาก ต้นทุนของความเป็นอยู่ ค่าครองชีพมันสูงขึ้น
ทุกคนตรงรู้ให้เท่าทันสังคม รู้ว่าตัวเองหาได้เท่าไร และต้องประหยัด มัธยัสถ์ ไว้มากๆ นะครับ ป๊าแค่อยากเตือนว่าอยากให้ทุกคนใช้เงินอย่างระมัดระวัง อย่าประมาทนะครับ ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นครับ
Unseen Thailand ใกล้บ้าน
โบสถ์ไม้ใหญ่ที่สุดในไทย วัดคริสต์บ้านซ่งแย้, ยโสธร
ประวัติโดยย่อ
มีชาวบ้าน 5 ครอบครัวถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ ชาวบ้านจะรุมทำร้าย
บาทหลวง 2 ท่านที่เข้ามาในหมู่บ้านตอนนั้นบอกว่าปอบไม่มีจริง
ชาวบ้านเลยท้าให้บาทหลวงไปอยู่กับ 5 ครอบครัวนี้ในป่าเป็นเวลา 1 เดือน
ผ่านไป 1 เดือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครตาย
5 ครอบครัวนั้นจึงเปลี่ยนมานับถือคริสต์และพากันมาตั้งหมู่บ้านใหม่ในสถานที่ปัจจุบัน
"น่าสงสารพวกยังไม่แก่แต่โหยหาอดีต ผมแก่กว่าพวกนี้ยังนึกเลยว่าโลกสมัยนี้แม่งน่าอยู่กว่าสมัยก่อน ถ้าตอนเด็กๆยุคผมมีไอโฟน ไอแพด โน๊ตบุ๊ค อินเตอร์เนต ผมคงฉลาดกว่านี้ แล้วไอ้ไปยื่นรอโทรศัพท์ตามตู้สาธารณะให้ยุงกัดมันเรียกว่าความสุขได้ไงว่ะ งง ตอนนั้นจำได้ว่าโคตรอยากให้ที่บ้านมีโทรศัพท์เลย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"บางทีกูก็มีนะ ความรู้สึกโหยหาอดีตเนี่ย ไม่ค่อยมีปัญหากับพวก โหยหาอดีตเท่าไหร่ แต่จะปัญหากับบางพวก ที่แม่งชอบยกGenตัวเอง ยุคตัวเอง มาเกทับ บลัฟเด็กยุคนี้ ว่ายุคกูมันคูล ยุคกูมันคลาสสิค ยุคกูมันเจ๋ง เจ๋งพ่อมึงสิง แค่จะโหลดภาพโป๊แต่ละทีนี่แม่งลำบากชิบหาย"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
อุทธาหรณ์เตือนใจผู้ที่อยากเข้าวงการหรืออยากให้ลูกหลานเข้าวงการ
#โรงเรียนสอนการแสดงกะโหลกกะลา
#หนังไทยกะโหลกกะลา
#งานแจกรางวัลกะโหลกกะลา
.
กลุ่มคนที่หลอกแดกตังง่ายที่สุดสำหรับผู้ที่อยากเข้าวงการคือพ่อแม่สายวัลลาบีทั้งหลายนั่นแหละ ธรรมชาติพ่อแม่ส่วนใหญ่จะรักลูก เห่อลูก สมมุติมีคนมาชมว่าลูกสวยลูกน่ารัก เกือบจะร้อยทั้งร้อยปลื้มมาก และเค้าพูดอะไรก็เชื่อ ทุกวันนี้มีมนุษย์แม่มนุษย์พ่อขยันพาลูกไปแคสตัวนักแสดง พาลูกไปรับไปส่งเช้าโรงเรียนสอยแอ้คติ้งสอนร้องเพลง โดยเฉพาะโรงเรียนเหล่านี้นี่แหละตัวดีเลย เป็นแหล่งหลอกเงินพ่อแม่นักเขียว ดังนั้นก่อนจะหลงเข้าไปขอให้พึงสังวรณ์คำๆนี้เอาไว้ก่อนว่า #ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน #ลูกคุณไม่ได้หล่อไม่ได้สวยในสายตาของคนทุกคน แต่ถ้าทั้งหมดทั้งปวงมีคนเตือนหมดแล้ว คุณก็ยังจะดึงดันให้ลูกเอาดีทางนี้ คุณลองสำรวจง่ายๆแค่สองข้อ
1.คุณคิดว่าลูกคุณสวยลูกคุณหล่อไหม ถ้ายังมั่นหน้าให้ไปถามคนอื่นๆที่ไม่ใช่เพื่อนคุณ ญาติพี่น้องคุณ แต่อย่าไปถามเอง ให้เอาภาพไปโพสตามเนตก็ได้ โพสที่ไหนดี เอาง่ายๆ เอาไปโฑสลงพันทิปห้องเฉลิมไทยนะ อย่าไปพวกห้องคนเห่อลูกนะ เอาไปถามตรงๆว่า พอจะดันเด็กคนนี้เข้าวงการได้ไหม แล้วกลับมาอ่านคอมเมนต์อย่างมีสติ
2.อยากเป็นนักแสดง ไม่ต้องสวยไม่ต้องหล่อก็ได้นี่ ถ้าอย่างนั้นคุณต้องเตรียมใจว่าถ้าลูกคุณหน้าตาไม่ดี แต่ยังวัลลาบีอยากเอาเข้าวงการ คุณต้องทำใจว่า ลูกคุณอาจจะต้องไปแสดงบทชาวบ้าน แสดงบทคนใช้ แสดงบทตัวประกอบ ค่าตัวประมาณไม่เกินวันละสามร้อย ต้องรอเข้ากองตั้งแต่เช้ามืดยันดึกดื่น เวลาแบบนี้เอาเด็กไปเรียนหนังสือไปมีสังคมตามภาษาเด็กดีกว่าไหม
3.โรงเรียนสอนการแสดงร้อยทั้งร้อยอยากได้ตังคุณเค้าจะอวยลูกคุณว่ามีแววแน่นอน ยิ่งมีหวังคุณยิ่งอยากเรียนคอร์สที่แพงขึ้นๆ
4.โรงเรียนสอนการแสดงส่วนใหญ่จะพ่วงมากับโมเดลลิ่ง นั่นคือนอกจากจะเก็บค่าสสอนลูกคุณแล้ว ถ้าลูกคุณไม่สวยไม่หล่อ โรงเรียนสอนการแสดงเค้าจะเอาลูกคุณไปแสดงเป็นตัวประกอบแบบไม่มีค่าตัว อ้างว่าเป็นการทดสอบและได้แสดงหนังจริง บทที่ได้รับถ้าเข็นไม่ไหวจริงๆก็เดินผ่านกล้องหรือเอากล้องผ่านลูกคุณในฐานะนักแสดงหมู่มวล
5.โรงเรียนสอนการแสดงดีๆมีไหม มันก็มี เลือกเอาแบบที่มันน่าเชื่อถือหน่อยแบบพวกกันตนาอาคาเดมี่ หรือไม่ก็ไปเรียนกับครูเงาะอะไรเทือกๆนี้ ถ้าลูกคุณสวยหล่อมีแวว ผู้จัดเค้ามาเอาตัวไปปั้นแน่นอน ถ้าไม่ได้อย่างน้อยๆก็ได้เป็นตัวประกอบ แต่ถ้าสุดๆ สังคมมันจะบอกคุณเองว่าลูกคุณเป็นดาราไม่ได้
6.ถ้าสายสวยสายหล่อไม่ได้ ก็ต้องไปสายความสามารถร้องเพลง หรือไปสายตลกเล่นเป็นตลก แต่สุดท้ายคุณมั่นใจว่าลูกสวยลูกหล่อจะรับได้เหรอถ้าวันนึงเค้าจะเอาลูกคุณไปเป็นตลก
7.โรงเรียนสอนการแสดงปาหี่กับพวกโมเดลลิ่ง18 มงกุฏ จะมาพร้อมกิจกรรมเดินแฟชั่นโชว์แบบจัดกันเอง หรือไม่อย่างนั้นก็จะมาพร้อมกับงานแจกรางวัลคนดีศรีสังคม คนดีแห่งสยามประเทศ ด้วยการลงทุนจ้างทำโทรฟี่ไม่กี่ร้อย แล้วบอกว่าทางคณะกรรมการชมรมศิลปินแห่งบ่อเกลอะคัดเลือกคุณ คักเลือกลูกคุณเข้ารับรางวัล แต่อาจจะเรียกค่าใช้จ่ายบางส่วน โดยอาจจะไปหลอกดาราดังๆมาร่วมรับรางวัลด้วย(ฟรีค่าตัว อ้างว่ามารับรางวัล) เพื่อให้คนที่จะหลอกมารับรางวัลรู้สึกดีไปด้วย
8.โปรเจคหนังไทยกะโหลกกะลาผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีทั้งที่ไม่ได้ฉาย และถ้าได้ฉายส่วนมากจะได้ไปฉายที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งแถวรัชดาด้วยการเปิดโรงเล็กๆ แล้วจะถูกลดรอบในเวลาไม่กี่วัน หนังไทยเหล่านั้นมีทั้งหนังที่ดีผู้สร้างตั้งใจและทำได้ดี ไปจนถึงงานที่ผู้กำกับเข้าใจไปเองว่าหนังตัวเองทำออกมาได้ดีมากและใครด่าไม่ได้ แต่สภาพหนังก็ตามที่ทราบ ฝากบอกคนที่คัดหนังเข้าโรงด้วย ถ้าจะเอาฉาย ช่วยดูให้จบเรื่องก่อนนะว่ามันใช้มือทำหรือใช้ตีนทำ
9.วงการนี้หลอกแดกคนง่ายมาก รวมไปถึงคนที่หน้าตาพอใช้ได้ทั้งชายและหญิง บางคนไม่ได้เข้าวงการ แต่โดนหลอกไปปี้ก็เยอะ โดนหลอกไปแสดงฟรีไม่ได้ค่าตัวก็มาก
สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราควรมีคือ กระจก และ การยอมรับความจริง ส่องกระจกดูตัวเองก่อน แล้วไปเทียบกับพระเอกนางเอกตัวจริงแบบณเดชน์ ญาญ่า เจมส์จิ อะไรเทือกๆนี้ว่าเราสู่้เค้าได้ไหม เราหล่อไหมสวยไหม อย่าเอาแบบเพื่อนชม พ่อแม่ชมญาติชมนะ เอาคนอื่นๆที่ไม่มีผลประโยชน์จริงๆชม แล้วเราเองก็อย่าเข้าข้างตัวเองมาก วงการนี้มันต้องหน้าตามาก่อนเสมอ ถ้าหน้าตาไม่ดีจะมาสายขำไหวไหม เราตลกพอไหม พูดเก่งไหม ของแบบนี้คนที่เข้ามาก่อนก้มีจนเกลื่อน อะไรที่ไม่ใช่อของเรายังไงก็ไม่ใช่ ณ จุดนั้นมันไม่ใช่ที่ของเราก็อย่าไปพยายามให้โดนหลอกเลย อุทธาหรณ์ บทเรียน คนในวงการนี้โดนหลอกกันมา ข่าวหน้าหนึ่งลงตลอด ใช้ Google ให้เป็นประโยชน์ด้วย
Frebber
ลาก่อนธนาคารกรุงเทพ ลาก่อนธนาคารไทย
เข้าสู่ร่มโพธิสมภารของสมเด็จพระราชีนีอลิซาเบ็ตที่สอง
ขอแนะนำธนาคารสแตนดาร์ดชาเตอร์ครับ
บัญชีออมทรัพย์ just one เปิดเสียแค่ค่าบัตร 200 บาท เงินขั้นต่ำในการเปิด 1,000 บาท แต่หลังจากเปิดแล้วไม่ต้องมีเงินขั้นต่ำในการรักษาบัญชี ผมลองถอนเงินออกมาจนเหลือ 0 แล้ว
ถอนได้ทุกตู้ทุกธนาคาร ฟรีค่าทำเนียมทั่วประเทศ ฟรีค่าทำเนียมรักษาบัญชี
โอนเงินไปบัญชีอื่นด้วยระบบ e-banking ฟรีทุกธนาคาร ทุกสาขา
เนื่องจากลูกค้าน้อย ก็เลยบริการดีอธิบายทุกอย่าง ไม่เรื่องมาก ไม่มีขายประกันพ่วงบัตร
มีบัตรเป็ดด้วย สมัครแล้วมีจับรางวัลบินไปจับมือกับเจอราดที่แอนฟิลทุกปี แล้วก็แจกหมวกแจกเสื้อทุกเดือน เห็นว่าได้ง่ายเพราะคนสมัครในไทยยังน้อย แล้วก็มีสะสมแต้ม ถ้าเป็ดชนะจะได้แต้มด้วย แต่ผมไม่เอาหรอก ถ้าเป็ดแพ้แล้วได้แต้มมันจะดีอยู่
ข้อเสียของมันคือธนาคารสาขามีแค่ในกรุงเทพเท่านั้น ต้องไปเปิดบัญชีที่กรุงเทพฯ จากนั้นก็ใช้งานได้ทั่วประเทศ ผมแนะนำสาขาสีลม อยู่ติดสถานีรถใต้ดินสีลมเลย (ปล. ผมไปหาข้อมูลเพิ่ม มีสาขาระยอง นครปฐม เชียงใหม่ ด้วย)
และอีกอย่างคือเนื่องจากสาขามันน้อย ถ้าไม่เข้าไปกรุงเทพ ตอนเอาเงินเข้าก็ต้องฝากโดยเครื่องฝากของธนาคารอื่น แล้วเสียค่าทำเนียมให้ธนาคารเจ้าของตู้เหมือนกัน คงต้องเอาเงินเข้าเป็นก้อนเดือนละครั้งถึงจะคุ้ม
ผมเบื่อคำว่า 'การร่วมมือจากทุกภาคส่วน' กับ 'แก้ไขปัญหาแบบบูรณาการ' มาก..
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เป็นความร่วมมือแบบไทยๆ และบูรณาการแบบไทยๆ ฮะ คือ เอาชื่อมากองร่วมกัน มีรายชื่อยาวเป็นหางว่าว ไม่มีการกำหนดระบบการทำงานอะไร ประชุมทีไรมานั่งด่ากัน ข้อตกลงเดียวที่ได้คือประชุมครั้งต่อไปเมื่อไหร่ และลงเอยด้วยหน้าเค้กแบ่งกันยังไง
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
It's saddening.
I hate Trump, but let's be real. Hillary is gonna be the democratic nominee, and I hate her more. Politics has always been choosing the person you hate less, but this cycle is so much worse than typical.
Reluctantly, Trump 2016.
"ณ MRT รถค่อนข้างแน่น แต่ก็มีเจ้คนนึงนั่งโดยเอาถุงตัวเองวางที่นั่งข้างๆ สถานีต่อมามีคนดำนายหนึ่งขึ้นร่วมขบวน แกเดินมาที่นั่งข้างอีเจ้ ด้วยอากับพกพาattitudeไม่เเคร์เวิร์ลดมาเต็มที่ โนแคร์ โนสน นั่งทับถุงเเม่ง อีเจ้ก็ตกใจ พยายามดึงถุงตัวเองออก ในขณะที่คนดำถลึงตามองหน้าอีเจ้ไปเรื่อยๆ
นี่เริ่มสงสัยละ ถ้าเอาคนจีนกับคนดำมาอยู่ร่วมกัน มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ต้องเข้าใจคนกทม.เห่อดอกหญ้านิดนึง คือเดี๋ยวนี้หายากแล้ว มีแต่ซีเอ็ด"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Bill (Clinton) chose another woman;
You should too"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันพุทธที่ผ่านมามีพี่ที่ทำงานที่เมกามาแชร์เรื่อง design thinking ให้ฟัง และพูดถึงความล้มเหลวจากศึกษาไทยว่าต้นเหตุไม่ได้เกิดจากสถาบันหรือมหาวิทยาลัย แต่คือครอบครัว เมื่อคุณมีบุตรก็ควรจะสอนลูกให้ทำงานเองได้ เลี้ยงตัวเองได้เร็วที่สุด เพื่อเอาตัวรอดในวันข้างหน้า ทุกวันนี้ระบบแทบจะป้อนให้ทุกอย่าง ถ้าเด็กไม่อยากรับเองระบบดีแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยมาก ดังนั้นต้องให้เวลาและใส่ใจครอบครับเป็นสำคัญ
>>657 จริงว่ะ แล้วอีกข้อก็คือเรื่องความมักง่ายที่ผู้ปกครองสอนเด็กโดยไม่รู้ตัวจนติดเป็นนิสัย
กับการสร้างความรู้สึกด้อยให้กับเด็ก เช่นคำว่าพอเพียงๆๆๆ เราเกิดมาจน เราไม่มี(กูไม่ได้แซะท่านผู้นั้นนะ)
เพราะไอคำพวกนี้มันไม่ได้สร้างทัศนคติในแง่บวกให้กับเด็กเลยแต่กับสร้างปมขึ้นมาแทน
เด็กที่เลี้ยงตัวเองได้ การเลี้ยงตัวเองของเด็กสมัยนี้ก็เป็นในลักษณะมักง่ายจริงๆเหมือนกัน
เด็กจะคิดแค่ว่าทำยังไงให้ได้เงินมาง่ายๆ ได้เงินมาก็โอเคแล้ว แน่นอนขายหีนั่นเองครับ
อย่าปฏิเสธมันเป็นเรื่องจริง เพราะกูเพิ่งใช้บริการน้องม.ปลายคนนึงมาไม่กี่วันก่อน อิอิ
นึกสงสัยว่าการยัดความคิดสอดเเทรกไว้ในอนิเมชั่นต่างๆนี่เป็นความคิดที่ดีไหม เพราะบางคนมีmindsetที่ว่าพอเป็นanimation = ให้เด็กดู = ไม่ต้องใช้สมองมาก
อย่างเรื่องZootopia คือ diversity propaganda ให้เด็กยอมรับminorityกับกลุ่มethnicต่างๆ เเต่จะมีเด็กกี่คนเข้าใจ ขนาดผมไปดูรอบsoundtrackคนดูต้องมีการศึกษาในระดับนึง ตอนออกโรงยังพูดกันเเค่เรื่องตลกในหนัง ทีนี้พอคนพวกนี้กลับไปเปิดเฟสเจอคนวิเคราะห์ ก็เอามาโม้ชาวบ้านต่อว่าฉันดูหนังdeepมีความหมาย ทั้งๆที่ตอนดูไม่ได้คิดอะไรเลย
>>659 น่าจะเป็นความพยายามของทีมสร้างเพื่อที่จะให้เข้าถึงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในมุมมองที่ต่างกัน(เปรียบเทียบแบบหนังสือเจ้าชายน้อย อ่านตอนเด็กก็เติมเต็มจินตนาการ อ่านตอนโตก็คิดลึกซึ้งกว่านั้น มีการเปรียบเทียบแบบนามธรรมกับตัวละครและชีวิตจริง)
ไม่มีผลอะไรนอกจากสร้างความเห่อหมอยอวดฉลาดสำหรับเด็กประเภทที่มึงว่า
จริงๆแล้วดิสนีย์ทำมาเพื่อเด็ก ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในอนิเมชั่นต้องสอนเด็กได้และไม่น่าเบื่อ อย่างที่ทีมสร้างบอกว่า เวลาคิดแต่ละฉากต้องสื่อให้เรียบง่าย ได้ทั้งความสนุกและสาระไปพร้อมกัน
ปล. writing ของมึง make กู headache มาก
โลกไม่ได้วุ่นวายเพราะสิ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้น แต่เป็นเพราะมนุษย์ทิ้งสันดานและเจตจำนงอิสระของตัวเองไมไ่ด้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ใช้ของถูกแล้วได้ตามสภาพของถูก เสือกโทษห่วยทุกอย่าง มึงน่าจะรู้ตัวตั้งแต่มึงเลือกเองแล้วนะ
#เพื่อนควายตัวนั้น
เด็กนักแสดง GTH ไปทำเหี้ยบนรถไฟที่ญี่ปุ่น สังคมไทยเรียกร้องให้แบน
พลอยเหวี่ยง โดนนักข่าวแบน
แตงโมเหวี่ยงเรื่องในมุ้ง โดนแบน
แหม่มเบนโล โกหกตอแหลท้อง โดนสังคมและพวกในวงการแบน
ดีเจเก่ง ถอยรถชน แล้วแหลแก้ตัว โดนสังคมล้อแถมถูกไล่ออกทันที
ยี้ไอ้พวกติ่ง oxoxo แม่งทำตัวเหี้ย เรื่องเลวๆไปทำตามได้ไง
สรยุทธ ถูกตัดสินว่าโกง แต่หน้าทนอยู่ต่อ
- นี่ยังศาลชั้นต้นเดี๋ยวกลับคำ(จำนนหลักฐานเลยนะมึง)
- ยี้ไอ้สลิ่ม
- มึงเพิ่งมาต่อมจริยธรรมแตกเหรอ
- ทีคนอื่นทำผิดไม่โดนล่ะ
- เขาเป็นคนดี เขาหล่อ เขารวย เขาพูดแล้วกูน้ำเดิน กูขาดเขามิด้าย~
ยุคพวกกูถูกใจยิ่งกว่าถูกต้อง แม่งอยู่ยากจัง
กูว่าสรยุทธคือ คนมีต้นทุนทางสังคมสูง เผลอๆจะดังระดับซุปเปอร์สตาร์เพราะแม่งโผล่จอทั้งเช้า-เย็น มีหน้าที่นำเสนอรายงานต่างๆกรอกหูคนชมรายการทุกวัน ความรับผิดชอบจึงยิ่งสูงกว่าปกติ เป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคม
ดันไปให้สินบนเจ้าหน้าที่เพื่อโกงก็จบสิวะ
สุดท้ายโดนสปอนเซอร์รุมถอนรายการทิ้ง (จริงๆคือ. หลายเจ้าจะมีปัญหาโดนต่างประเทศโจมตีสนับสนุนการทุจริต. เวลาไปทำธุรกิจต่างชาติ จึงถอนโฆษณาออก)
เฮียส.กับช่อง3 ถึงยอมถอย
ไม่ได้เกี่ยวเหี้ยอะไรกับจริยธรรมซะงั้น ถถถถ+
ก็นั่นล่ะฮะ ท่านผู้ชม
#มิตรสหายแถวนี้แ้
ทุกวันนี้ยีงมีคนคิดว่า คนที่ออกทีวีมาพูดให้มึงฟังพูดแค่เรื่องดีดีเรื่องถูก
“เรื่องเล่าทั้งหลายมันจะถูก ถ้ามันได้ออกทีวี“
การ์ฟิลด์ได้กล่าวไว้
https://www.instagram.com/p/BCeNJ4tTg0I/
ความเห็นส่วนตัว คหสต
ตรรกะพวกขี้แพ้แบบนี้เจอบ่อยจริงๆ
วันๆคนพวกนี้จะไม่ยอมทำอะไรจะคอยเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าทำไมเราไม่ดีเหมือนเค้า
อยากเป็นแบบคนโน้นคนนี้ อยากทำโน่นนี่ แต่ก็ได้แค่พูด ทุกวันก็ทำตัวเหมือนเดิม คือใช้ชีวิตอยู่ไปเพื่อรอวันศุกร์ รอวันสิ้นเดือน
พวกขี้แพ้จะหาทางกำจัดเงินเดือนที่มีอยู่เพื่อตอบสนองความสุขระยะสั่นของพวกเค้าซื้อมีอยู่ หลายร้อยช่องทาง ในขณะที่ช่องทางในการสร้างรายได้มีเพียงช่องทางเดียวก็คือเงินเดือน และเค้าก็ไม่พยายามหาช่องทางใหม่ โดยมีตรรกะขี้แพ้เป็นตัวผูกไว้ เช่น เราไม่เก่ง เราไม่มีทุน เราไม่ฉลาดเหมือนใครๆ
ส่วนตัว
เนื่องจากผมค่อนข้างเข้ากับคนง่ายผมเคยไปถาม รปภ ใต้ตึกที่ผมทำงานเค้าได้เงินเดือน 15000 net ทำงานวันละ 10 ชั่วโมง สัปดาห์นึงหยุดได้ 1 วัน วันนั้นผมไปถามแกขาดโดยไม่ได้แจ้งเลยถูกหักเงิน 2 แรง หรือ man day นี่แหละคือทำงานไปฟรี 2 วัน หรือหากลาเกินที่บอกก็จะไม่ได้เงินในวันนั้น
นี่แหละหนอคนที่ไม่อยากที่จะพัฒนาตัวเองส่วนมากก็จะมักชอบไปเปรียบกะคนที่เค้าด้วยกว่า เพื่อจะกดตัวเองให้ไปเหมือนเค้า
นั่งทำบัญชีของสิ้นเดือนที่แล้ว เห็นเงินหายไปจากบัญชี 3,750 บาทนึกไม่ออกเกือบชั่วโมงเพราะในแอพ iXpenselt ระบุ N/A
มานึกออกเมื่อกี้ว่าคือค่ายา Mestinon ที่ซื้อมาทีละ 20-30 ขวด แล้วมันจะมีแม่คนนึงที่ลูกเค้าเป็นโรคเดียวกับผม แต่ไม่มีเงินซื้อยาขวดละเป็นพัน เมื่อก่อนเธอไปขอซื้อจากร้านทีละ 10-20 เม็ด
ทำให้นึกถึงตัวเองในตอนเด็กๆ กว่าแม่จะขายขนมจีนได้กำไร 400-500 ก็หลายวันอยู่ แล้วให้ผมวิ่งไปซื้อยาทีละ 20-50 เม็ดจากร้าน เพราะร้านยาถูกกว่าซื้อจากโรงพยาบาล และมียาไม่ค่อยขาดเหมือนโรงพยาบาล
เมื่อตอนปีใหม่ผมให้ยาเป็นของขวัญกับแม่ลูกคู่นั้นไป 3 ขวด
ตอนแรกเธอโทรหาผมเพราะได้เบอร์ผมจากร้านยา (เจ้าของจะโทรมาบอกผมเวลามียาเข้าร้าน) บอกว่าจะมาขอซื้อยาแบบแบ่ง 20 เม็ด ราคา เม็ดละ 15 บาทแบบที่ร้านยาขายเธอได้ไหม ผมบอกเธอว่าผมติดประชุมสำคัญมากไม่สามารถคุยกับเธอได้ เธอถามผมว่าผมอยู่ที่ไหนเธอมาหาผมเองได้
วันนั้นผมมี workshop ตอนต้นเดือนกุมภาฯกว่าจะเสร็จก็ 3 ทุ่ม ผมเห็นเธอโทรมา 7 ครั้ง ตั้งแต่ 1 ทุ่ม พอเลิก workshop เลยโทรกลับไปหาเพื่อถามว่าเธออยู่ไหน ผมขอโทษที่ให้เธอรอ
สุดท้ายได้เจอกัน เธอรีบยืนถุงที่มีทั้งเศษเหรียญและธนบัตรย่อย แล้วบอกว่าถุงนี้ มี 550 บาท ขอยา 35 เม็ดได้ไหม
ผมหน้าชามาก สตั้นท์เพราะไม่ได้เตรียมรับความรู้สึกที่ต้องมาเจอภาพน้องที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงขนาดนั้น และภาพแม่ที่เหมือนอดข้าวเพื่อหาเงินมารักษาลูก
วันนั้นให้ยาที่มีติดออฟฟิศไปหมดสามขวด บวกกับที่ติดตัวอีก 16 เม็ดแล้วก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งเธอที่บ้าน จ่ายค่าแท็กซี่ไป 500. ให้เงินเธอติดตัวไว้ 2 พันกว่าบาท (ผมเหลือเอาไว้ติดตัวร้อยนึง)
วันนี้ทีมพี่เอี้ยง เลขาท่านผู้หญิงบุตรี ไลน์มาบอกว่า เคสแม่ลูกสองคนนั้น ตอนนี้ทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมฯแล้ว ส่วนคนแม่จะมีเจ้าหน้าที่ศูนย์ศิลป์ฯรับไปฝึกงานสร้างรายได้ระหว่างน้องเข้ารับการรักษา
ตอนนี้นอนไม่หลับ เหมือนดูละครที่ครั้งนีงตัวเองเคยเป็นผู้แสดงภาคแรก เพียงแต่ตอนนั้นไม่เคยมีคนแบบผม คนที่ให้ยากับเงินเกือบหมดที่มีตอนนั้น
เมื่อกี้เลยบันทึกไปใน iXenpenselt ย้อนหลังว่า ซื้อสินค้า ประเภท "Good"
>>663 เรื่องถอนรายการกูว่าไม่เกี่ยวอะไรกับจริยธรรมอะไรซักเท่าไหร่นะ มึงคิดในมุมของตัวเองดูว่าบริษัทมึงจะยอมซื้อโฆษณาอยู่ต่อไหมถ้ารายการที่มึงไปซื้อไว้เรตติ้งกำลังจะตกฮวบๆแน่ๆ แต่ยังต้องจ่ายตังแพงๆเหมือนเดิม เป็นกูๆก็ไปหาช่วงเวลาอื่นซื้อโฆษณาสิครับ จะเอาตังไปจมกับรายการที่เรตติ้งห่วยๆทำไม
>>667 ก็มีเกี่ยวบ้างตอนโดนชี้มูลความผิด(ขึ้นศาลใหม่ๆ) ก็มี4ยี่ห้อ(มั้ง?)ถอนโฆษณาเฉพาะรายการสรยุทธไปก่อนแล้ว
พอศาลตัดสินวันเดียวกันกับวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวถอนโฆษณามาเรื่อยๆ
http://www.marketingoops.com/media-ads/thai-media-ads/timeline-sorayuth-hot-issue/
ส่วนเรื่องเรตติ้งถ้าสรยุทธหน้าทนต่อก็ยังไม่ตกเร็วๆนี้หรอก แต่พวกบริษัทที่ไปโฆษณาให้สรยุทธ แล้วมีธุรกิจดีลกับต่างชาตินะ
จะมีงานงอกมาแทนเพราะติดภาพลักษณ์สนับสนุนคนมีความผิด
เหมือนพวกธุรกิจส่งออกประมงไทยแรงงานเถื่อนที่โดนเมกายุโรปเอาเรื่องอยู่
"#เมื่อสัปดาห์ก่อนมีพระรูปหนึ่ง ส่งมารับหนังสือส่งตัวไปรักษาซิฟิลิส #ซึ่งเป็นซิฟิลิสในระยะออกดอกทั้งตัว ทั้งฝ่ามือ ฝ่าเท้า
เราก็ถามพระตรงๆ ไปเลย
หลวงพี่ครับ บวชมานาน กี่พรรษาแล้ว
อาตมาบวชมา 4 พรรษาแล้วโยม
งั้นแสดงว่า #ขณะที่บวชอยู่หลวงพี่ก็ยังมีเซ็กส์อยู่นะสิครับ
หลวงพี่อ้ำๆอึ้งๆ "#ใช่จ๊ะโยม"
แล้วหลวงพี่หาคู่จากที่ไหนครับ
ก็ให้โยมหาให้บ้าง เช่นไปออฟเด็กมาจากร้าน หรือตามร้านนวดบ้าง
หลวงพี่เล่นแชทบ้าง หาจากอินเตอร์เนทบ้าง
ครับ ไม่ว่ากันนะครับ คนเราก็มีกิเลสด้วยกัน ไม่ว่าใครจะอยู่ในสถานะไหนก็ตามครับ ถ้าเราประมาทก็ติดเชื้อโรคพวกนี้ได้เหมือนกัน
แล้วหลวงพี่จะรักษาอย่างไร หลวงพี่จะไปรักษาในสภาพที่ห่มผ้าเหลือง
แบบนี้ได้ใช่ไหม
หลวงพี่กล้าไปหรือเปล่าครับ ถ้าหลวงพี่กล้า ก็นำหนังสือส่งตัวไปติดต่อรักษาที่ รพ. ตามสิทธิ บัตรทองได้ครับ
ก็จำเป็นต้องกล้าละคุณโยม เป็นถึงขนาดนี้แล้ว
ครับ และอีก 3 วัน หลวงพี่อย่าลืมมาฟังผล CD4 ด้วยนะครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เคยไปกทม.และได้ขึ้นเรือโดยสารครั้งหนึ่ง จำได้ว่าก้าวขึ้นก็เกือบตกเรือ พอขึ้นไปเจอคนมหาศาลยังนึกอยู่ว่านี่มันเรื่องปกติหรือ
คนเต็มเรือจนน้ำเน่าแทบปริ่มเข้ามา กลิ่นควัน กลิ่นน้ำเน่า
คุณภาพชีวิตคนกรุงมันแย่ขนาดนี้เลยหรือเนี่ย
ตอนนั้นเฟลมากจะลงจากเรือก็ยังไม่ถึงจุดหมาย จะลงก่อนก็หลงทางไปไม่ถูก
เลยกลั้นใจจนถึงปลายทาง
ยืนมองผู้คนที่ทำหน้านิ่งๆเหมือนเรื่องปกติด้วยความฉงน
พอเรากลับมาบ้านต่างจังหวัด มาอยู่กับการเดินทางด้วยรถส่วนตัวบนถนนที่วิ่งสบาย
มาอยู่กับบรรยากาศดีๆสะอาดๆ รู้สึกเลยว่าเมืองหลวงไม่ใช่จุดหมายในชีวิตอีกต่อไป คุณภาพชีวิตต่ำมาก
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้
คนรู้จักกูหลายคนพอกลับไปทำงานที่บ้านเกิด แทบทุกคนบอกว่าคงไม่กลับไปทำในกรุงอีกแล้ว
ความเห็นกูนะ ถ้ามีงานแล้ว พอรับได้กับเงินเดือน ทำอยู่บ้านนอกดีกว่า
"จริงๆ อุปมาว่างานเขียนเป็นลูกนักเขียนเนี่ยแม่งก็แปลกๆ นะในกรอบที่ว่านักเขียนส่วนใหญ่แม่งก็ก็ขายงานเขียนแดกกันทั้งนั้น"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ขายลูกแดกไง ถ้าลูกน่ารัก เย็ดมันส์ ก็ขายดี มีคนซื้อเยอะ บางคนแม่งเลี้ยงลูกอินดี้ ลูกแม่งเข้าถึงยาก คนก่ซื้อน้อย แต่ถ้ามึงเข้าถึงได้ จะคุ้มทุกบาททุกสตางค์ บางคนลูกขายดีฉิบหาย คนซื้อเยอะ คิดว่าจะเย็ดมันส์ พอซื้อมา หีหลวมฉิบหาย เหมือนโยนเงินทิ้ง"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เขาหมายถึงผลงาน ประพันธ์เป็นของที่ต้องประคบประหงม กลั่นประสบการณ์ความรู้อารมณ์ลงไปในผลงานต่างหาก เหมือนมึงต้องตั้งใจเลี้ยงลูก ลูกถึงจะเก่งจะดีมีกิริยามารยาทเรียบร้อยเอาไปอวดคนอื่นได้เฟ้ย
ชักว่าวมันเหมือนเป็นการรีวอร์ดตัวเองโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลยน่ะ ถึงได้มีพวกลูซเซอร์ที่วันๆไม่ทำห่าอะไรเป็นนีทเก็บตัวชักว่าวอะไรเงี้ย จุดประสงค์ของโนแฟปก็เลยจะควบคุมตรงนี้และเวิร์คฮาร์ดเพื่อจะได้รางวัลที่แท้จริงเช่นการทำงาน ตั้งใจเรียน ทำตัวเองให้มีสเน่ห์ ออกไปหาเย็ดหญิงจริงๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>676 เอาลูกไปแสดงความสามารถแล้วได้เงินเด็กไม่เสียหายเป็นสิ่งที่ดี
สำนวนขายลูกกินเขาใช้กับการทำให้เด็กเสียหายแลกเงินเช่นบังคับขายหี เป็นสิ่งไม่ดี
การพิมพ์หนังสือขายและข้อความในหนังสือก็ไม่ได้ทำให้ใครเสื่อมเสียย่อมเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งมึงจะเอาคำพูกขายลูกกินมาใช้กับนักประพันธ์ไม่ได้
การที่มีคนมาอ่านหนังสือเยอะๆก็เหมือนคนมาดูละครหรือฟังเพลงที่ลูกมึงเล่น ลูกมึงมีแต่ดังขึ้นไม่ได้หีบานทุกครั้งที่มีคนมาชมผลงานนี่หว่า แถมก็อปขายได้เยอะๆคนอ่านเยอะก็เป็นที่ดี เทียบอะไรกับเรื่องหีบานไม่ได้ซักนิด
""ถ้ามีแฟนฟิค นายตำรวจตุ้ยพันเข็มโดนเสือย้อยสอยดาก น้าเค้าจะปรี๊ดแค่ไหนคัฟเนี่ย"
"ชั่วพริบตานั้น ปืนกระบอกเขื่องของตุ้ยพันเข็มก็โรมรันฟันตูกับงูเห่าสีดําตัวนั้นอย่างดุดันที่เบื้องหลังของเสือย้อย มิตรภาพของทั้งคู่จึงก่อเกิดขึ้นณนาทีนั้นเอง""
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"Offense, is taken, not given."
เราควรให้ลำดับความสำคัญต่อการยอมรับในธรรมชาติของมนุษย์ มาก่อนการเปลี่ยนแปลงมนุษย์ไปสู่ความเป็นอุดมคติ เพราะมนุษย์เปลี่ยนแปลงหรือระงับสัญชาติญาณของตัวเองไม่ได้ ได้แค่เพียงควบคุมมันได้เป็นบางส่วนเท่านั้น
หากเรามองย้อนลงไปในปัญหา ความขัดแย้งในสังคม ก็จะพบว่าเกิดจากความพยายามของมนุษย์ที่จะฝืนธรรมชาติของตัวเองทั้งนั้น เรียกได้ว่ามนุษย์กำลังพยายามทำลายตัวเองด้วยการเปลี่ยนแปลงกฏธรรมชาติแบบไม่รู้ตัวนั่นเอง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จขกท. คะ "เงิน...ห้ามให้ใครยืมเด็ดขาดค่ะ" จำให้ขึ้นใจไปตลอดชีวิต จะเป็นญาติเป็นเพื่อนพี่น้อง อะไรก็เหอะ บอกให้เค้าไปหาที่อื่น ผมก็ไม่มีเหมือนกันค่ะ ขนาดแค่ พัน 2 พัน มันยังไม่อยากจะคืนกันเลย ทวงกันข้ามเดือน ข้ามปี..นี่เงินเป็นล้าน ขุ่นพระขุ่นเจ้าช่วย...
การยืมเงินเป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา ฉนั้น ยืมไปแล้วไม่ใช้คืน ลูกหนี้มันไม่ติดคุกติดตะรางค่ะ แถมถ้าฟ้องขึ้นศาล ศาลมีคำสั่งให้จ่าย มันไม่จ่ายคืนซะอย่าง คุณทำอะไรเค้าไม่ได้จริง ๆ นะคะ นี่จากประสบการณ์จริงๆ ค่ะ
แล้วคดีแพ่งแบบนี้พี่ตั้มไม่สนใจจะทำให้คุณหรอกค่ะ รับรองได้ เจอมาแล้ว "ยืมกัน ก็ไปทวงกันเอาเอง พี่ตั้มไม่เกี่ยว" เราโดนมาแล้ว เจ็บใจสุดๆ เพราะมันไม่ใช่คดีอาญาที่แบบจะได้ค่าคอมฯ เหมือน ตั้งด่าน จับแว๊นซ์ จับแท็คซี่ จับสิบล้อ ใครจะมาเหนื่อยให้คุณคะ..?
หรือคุณจะบุกไปบ้านลูกหนี้ ไปเอาทรัพย์สินเค้าเค้ามาขายเพื่อใช้คืน คุณโดนคดีอาญาข้อหาบุกรุก และขโมยทรัพย์ ตบทรัพย์ หรือกรรโชกค่ะ อันนี้คุณติดคุกนะคะ....เจ้าหนี้มีแต่ซวยกับซวยค่ะ
ต้องให้ศาลแต่งตั้ง จนท. เพื่อยึดทรัพย์อีก คุณก็ต้องเสียค่าทนายอีกบานเลย แล้วคิดว่าลูกหนี้มันจะอยู่รอให้มี จนท. มายึดทรัพย์เหรอคะ....มันวุ่นวายมาก ๆ เรื่องเงินเรื่องทองนี่ แล้วกฏหมายประเทศเรามันเอื้อให้ลูกหนี้ซะด้วย ลองไปอ่าน "พระราชบัญญัติ การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558" ให้ดี ๆ เจ้าหนี้มีแต่ซวยกับซวยค่ะ ทำงั้นก็ไม่ได้ ทำงี้ก็ไม่ได้........เฮ่อ......มาแบบนี้ทุกรายแหละ ร้องห่ม ร้องไห้...สงสารวันนี้ คุณเองจะร้องไห้อย่างสาหัสสากรรจ์ภายหน้าเลยแหละ...
เงินเหมือนอ้อย เข้าปากช้างแล้ว ได้คืนยากกกกกกกกกกกกกกกกกกกส์มากกกกกกกกกกกกกกกกกก
ไม่เชื่อแล้วคุณจะ "เสียใจ" ภายหลังแน่นวล...
/จากผู้มีประสบการณ์จริง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วันนี้ ระหว่างทานอาหารเที่ยงกับ นศ.พม่า
นศ.ญ คนนึงถามผมว่า คนไทยคิดยังไงกับคนพม่าหรอ?
นศ.ญ คนนั้นเล่าต่อว่า เคยไปแลกเปลี่ยนที่ จุฬา
ตอนแรกที่ไป เพื่อนๆทุกคนคุยกับเค้าดี คุยภาษาอังกฤษด้วย
เพราะเพื่อนๆคนไทยที่จุฬา คิดว่าเค้ามาจากเมืองจีน
เพราะ นศ.ญ คนนี้ผิวขาว และหน้าตาออกแนวหมวยๆหน่อย
แต่พอตอนหลังเพื่อนคนไทยรู้ว่าเธอเป็นคนพม่า
เด็กไทยเหล่านั้นก็เลิกคุยด้วย
และแทนที่จะคุยภาษาอังกฤษกับเค้า
กับพูดแต่ภาษาไทยใส่ แถมยังมาบอก นศ.พม่าคนนี้
อีกด้วยว่า เธออยู่เมืองไทย ก็หัดพูดภาษาไทยสิ
ชั้นขี้เกียจพูดภาษาอังกฤษกับเธอละ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ห่า สาวพม่าสวยนะเมิง
ไอ้คนที่พวกเมิงเครมว่าพม่าน่ะ มันมอญ
พม่า,มอญ ก็มีสวยกันทั้งหมดแหล่ะแต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แต่มึงต้องเข้าใจว่าช่องว่างนะหว่างเป่าพันธ์มันเยอะกว่าเมืองไทย ถ้ากูยกตัวอย่างก็ ภาคกลาง,อีสาน,เหนือ(ล้านนา),ภาคใต้ ,กะเหรี่ยง,ชาวเขาชายแดน
แต่ของพม่าช่องว่างมันเยอะกว่าบ้านเราอีกนะมึงแบบกะเหรี่ยงนี่รัฐบาลมันไม่ยอมคุยด้วยมานานที่จับอาวุธสู้กันเพราะจ้องไล่บี้ไม่ให้มีแผ่นดินอยู่
ไทยก็แอบช่วยกะเหรี่ยงเยอะเหมือนกันเพราะถ้าโดนไล่มาไทยนี่ภาระเต็มๆ
หลังจากดูกระดานลีเซดอลกับอัลฟ่าโกะวันนี้แล้วสุดท้ายอัลฟ่าโกะก็ถูกลีเซดอลต้อนจนต้องเผยจุดอ่อนของตัวเองออกมา
ในกระดานวันนี้นั้นอัลฟ่าโกะยังคงเดินได้อย่างสุขุมและสมบูรณ์แบบเช่นเคยพยายามเดินแบบประนีประนอมจนสามารถครองความเป็นต่อได้
ถึงแม้เกมจะดูเหมือนยังเล่นกันได้ก็ตามแต่ลีเซดอลคงรู้อยู่แล้วว่าถ้าปล่อยให้เกมเป็นแบบนี้ต่อไปคงแพ้เหมือนสองกระดานก่อนหน้านี้แน่นอนจึงตัดสินใจวัดดวงบุกเข้าไปหวังสร้างรอดในพื้นที่ของหมากขาวซึ่งนี่เป็นจุดชี้ขาดของเกมที่อัลฟ่าโกะต้องฆ่าหมากดำที่บุกเข้ามาให้ได้เท่านั้น
ในสถานการณ์นี้เองที่อัลฟ่าโกะมีโอกาสเผด็จศึกชนิดที่ว่าถ้าเปนคนธรรมดามาเล่นคงชนะไปได้อย่างสบายๆ แต่อัลฟ่าโกะกลับยังยึดนโยบายเดิมคือหลีกเลี่ยงความซับซ้อนโดยเฉพาะการเล่นโกะจึงเป็นโอกาสให้ลีเซดอลพังบ้านจนเละไม่มีชิ้นดี
ถึงแม้ท้ายที่สุดลีจะพ่ายแพ้แต่กลับทำให้เราได้เห็นอะไรๆหลายๆอย่างจากกระดานนี้
1) "การเล่นโกะนั้นเปิดกว้างมีอิสระทางความคิดก็จริงบางสถานการณ์นั้นผู้เล่นสามารถเลือกที่จะประนีประนอมได้แต่ทว่าในบางสถานการณ์นั้นความเด็ดขาดเป็นสิ่งสำคัญ"
ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่อัลฟ่าโกะทำผิดพลาดในวันนี้มันมีโอกาสที่จะเอาชนะลีเซดอลได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลยถ้ามันไม่ยึดติดกับกฎเหล็กทางความคิดของมัน
2) "ความอยากที่จะเอาชนะนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในการเดินหมากล้อม"
ในกระดานนี้ลีเซดอลแสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ยอมแพ้อัลฟ่าโกะหลังจากผ่านไปสองเกมเขาพยายามทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการเดินเปิดเกมแปลก การเดินหมากยั่วยวนให้ฆ่าต่างๆนาๆ ศึกษาหมากของAlphaGo ชนิดไม่ต้องหลับต้องนอนเพื่อหาโอกาสที่จะชนะของมนุษยชาติและในที่สุดในกระดานที่สามลีก็สามารถค้นพบจุดอ่อนของอัลฟ่าโกะ
3) "หมากล้อมนั้นนอกจากจะต้องเอาชนะคู่แข่งว่ายากแล้วการเอาชนะตัวเองได้ยิ่งยากกว่า"
ในการเล่นหมากล้อมระหว่างมนุษย์ด้วยกันนั้นอารมณ์ของผู้เล่นเป็นอีกปัจจัยสำคัญเพราะอารมณ์นี้เองทำให้ผู้เล่นเดินหมากผิดพลาดมีการพลิกกระดานไปมาอย่างที่เป็นอยุในอดีตจนถึงปัจจุบันแต่เรามาลองคิดดูว่าถ้าคู่แข่งของเราเป็นเทพเจ้าที่ไม่มีวันเดินผิดพลาดเราจะยังคงเดินหมากได้ถูกต้อง 100% อยู่หรือไม่
ในสองกระดานที่ผ่านมานั้นพูดได้ว่าลีเซดอลนั้นมีโอกาสที่จะชนะอัลฟ่าโกะได้แต่สุดท้ายแล้วเค้าก็ยังคงเป็นมนุษย์คนนึงความผิดพลาดเล็กน้อยในตอนท้ายของสองกระดานที่ผ่านมานั้นพรากชัยชนะของเค้าไป
สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือในอีกสองกระดานที่เหลือนั้นผมคิดว่าลีเซดอลมีโอกาสที่จะสามารถชนะ AlphaGO ได้ เพราะ AlphaGo นั้นไม่ใช่พระเจ้ายังมีความผิดพลาดอยู่แต่ถึงแม้ลีเซดอลจะหาพบจุดอ่อนของ AlphaGo พบเขาก็ยังต้องสู้กับศัตรูด่านสุดท้ายนั่นก็คือตัวของเขาเอง
พรุ่งนี้กูก็ว่าจะดูอีก แต่กูว่าเวลามันน้อยไปหน่อยนะ
ถ้าaiรักษาผู้ป่วยได้ จ่าพิชิตจะเหลืออะไรครัฟ
ว่าแต่ว่านี่มึงดูแมตซ์เดียวกับกูหรอวะ ...
บ้านพังตรงไหนฟ่ะ ถ้าพังจริงลีก็ชนะแล้ว
ถ้ามึงดูวันที่สองน่าจะได้ยินทางทีมดีพมายมาพูดนะ ว่าถ้ามันเห็นมีโอกาสชนะมากกว่ามันก็ไม่รีรอที่จะเลือกเดินหมากนั้น
คือผลแต้มไม่สำคัญเท่าผลแพ้ชนะ
>>694
Watson ของ IBM วินิจฉัยโรคและแนะนำ option การรักษาได้แล้วนะ
ตอนนี้ถูกเอามาใช้จริงๆแล้วด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=jeCgQ5XrurY
อยากจะบอกน้องๆ ที่เรียนสายคอมพิวเตอร์ว่า "เงินเดือนโปรแกรมเมอร์จบใหม่ ที่เขาแชร์ๆ กัน ที่เขาตั้งกระทู้กัน ว่าได้เท่านั้นเท่านี้" น่ะนะ อย่าไปสนใจมันมากเลย
"ถ้าเขาไม่รับคุณ"
"ถ้าคุณไม่ดีพอที่เขาจะรับ"
เงินเดือนแค่ไหนคุณก็ไม่ได้ จบ
ยิ่งเงินเดือนสูงเท่าไหร่ ความคาดหวังความรับผิดชอบมันก็ยิ่งสูงเท่านั้น น้องๆ หลายคนแค่รับผิดชอบเรียนให้ดี ยังทำไม่ได้ รับผิดชอบแค่ทำโปรเจ็คจบตัวเอง ยังทำไม่ได้ ...... แล้วจะไปทำอะไรรับผิดชอบอะไรกับโปรเจ็คที่มันต้องการคนระดับเงินเดือนครึ่งแสน?
"คนเขาแย่งโปรแกรมเมอร์เก่งๆ กัน ตั้งเงินเดือนกันสูงๆ" เพราะเขาอยากจะจ้างคนเดียวด้วยเงินแสน แทนที่จะจ้างสิบคนด้วยเงินเท่ากัน (คนละหมื่น)...
งานที่ต้องการคนระดับนั้น ก็ต้องเป็นงานที่มีมูลค่าสูงมาก ต้องรับผิดชอบไม่ใช่แค่กับรายได้ของบริษัทตัวเอง แต่มักจะหมายถึงรายได้ของลูกค้า และการทำงานของลูกค้าอีกหลายคนด้วย ... มันไม่ใช่แค่ทำแบบโปรเจ็คจบ
และบ่อยครั้งถ้าคนนั้นเก่งพอที่จะได้เงินเดือนแสน ก็จะทำงานได้มากกว่าคนนับสิบคนด้วยซ้ำ แถมปัญหาน้อยกว่ามาก ทะเลาะก็ทะเลาะคนเดียว เถียงก็เถียงคนเดียว สอนก็สอนคนเดียว ความยุ่งยากเรื่องประกันสังคมหรือเรื่องอื่นๆ ก็จัดการให้คนเดียว แทนที่จะเป็นสิบคน
"คนเก่งพอที่จะให้เงินเดือนระดับนั้นได้ มันมีน้อย เขาถึงตั้งระดับนั้น"
พูดง่ายๆ ... หลายคนที่ผมรู้จัก นี่ถ้าเรียก 60-100k ผมรู้สึกว่า "สมเหตุผล"
แต่ถ้าผมเป็นบริษัท ผมจะจ่ายได้หรือไม่นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมอาจจะไม่มีงานในระดับที่จะต้องการคนระดับนั้นมาทำ ผมอาจจะไม่มีงานระดับที่สร้างรายได้ขนาดที่ต้องการคนขนาดนั้นมารองรับ ... แต่ถ้าผมมีเมื่อไหร่ ผมจะต้องการคนแบบนั้นแน่ๆ และผมจะต้องมีปัญญาจ่ายแน่ๆ
ในขณะเดียวกัน .... อีกหลายคนที่ผมรู้จัก จะเรียก 15k หรือแม้แต่น้อยกว่า 10k .. ต่อให้ 7k เลยก็ได้นะ .. ผมยังรู้สึกว่า "โคตรแพง" และ "ไม่สมเหตุผลเอาซะเลย" ... ที่ร้ายกว่านั้น บางคน "ยังควรจ่ายค่าเล่าเรียนการทำงานในชีวิตจริงด้วยซ้ำ"
แม้แต่กับโปรเจ็คเล็กๆ กระจอกๆ ที่ไม่ได้มีมูลค่าอะไรมากกว่ารับมาทำแล้วผ่านไป เก็บเงินได้เล็กๆ น้อยๆ นี่ผมยังไม่รู้จะรับคนแบบนี้มาทำอะไรเลย เปลืองเปล่าๆ
คนสองพวกที่ผมรู้จักนี้ พวกแรกมีน้อยมาก .... แต่พวกหลังมีเต็มไปหมด เกลื่อนไปหมด
เงินเดือนที่นั่นที่นี่เขาจะให้เท่าไหร่ ... ใครจะแชร์อะไรว่าได้เท่าไหร่ ... มันก็ไม่ใช่เงินเดือนอัตโนมัติ เมื่อคุณเรียนจบมา
สิ่งเดียวที่อัตโนมัติ คือ "ตกงาน"
"เห็นคนพูดถึงข่าวเรื่อง "แมตช์หยุดโลก" ของ มนุษย์ VS AI ก็ยิ่งพบเลยครับว่าคนจำนวนมากแม่งไม่ได้เข้าใจเลย ว่า AI สมัยนี้มันทำงานยังไง (ซึ่งก็ไม่ได้ผิดบาปนะครับ แค่เป็นความเข้าใจที่ผิด ไม่เผยแพร่ให้คนอื่นเข้าใจผิดก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร)
คือคนทั่วๆ ไป ยังเข้าใจว่าพลังของ AI เกิดจาการที่คนเขียน "กฎ" แล้วอัดพลังประมวลผลเข้าไป พลังประมวลผลมากกว่าก็เลยชนะมนุษย์ (จริงๆ ไม่กี่เดือนก่อนผมก็เข้าใจงี้)
จริงๆ ไม่ใช่นะครับ นั่นคือ AI แบบโบราณเลยครับ
AI สมัยนี้ มันใช้วิธีการที่เรียกรวมๆ ว่า Machine Learning ครับ พูดง่ายๆ คือแม่งจะลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ แล้วแม่งจะจำและจับแพตเทิร์นเอาไว้
พูดง่ายๆ คือที่มันทำได้ถูก ไม่ใช่ว่าคนเขียนโค้ดมันดี หรือพลังประมวลผลมันสูง
ตรงข้ามครับ มันทำได้ถูกเพราะว่าแม่งลองผิดลองถูกมาจำนวนมากจนมันเป็นแพตเทิร์น
พูดง่ายๆ คือมันมี "ประสบการณ์" มากนั่นแหละครับ
ดังนั้นในแง่หนึ่ง AI ยุคนี้แม่งเก่งกว่าคนในเรื่องหนึ่งๆ ไม่ใช่เพราะมันฉลาดกว่าครับ แต่เพราะประสบการณ์แม่งเยอะกว่าเหี้ยๆ
และนี่คือสิ่งที่ Shocking จริงๆ ครับ คนแม่งแพ้เครื่องจักรเพราะ "ชั่วโมงบิน" แม่งต่างกัน ไม่ใช่เพราะเครื่องจักรมัน "ฉลาด" กว่า"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จะชนะ อัลฟ้าได้คงต้องหาทางเดินหมากใหม่ๆ นั่นแหล่ะ
แล้วก็อย่างนึงที่มันชนะขาดก็คือ ความแม่นยำ มึงดูเกมส์ที่มันเล่นแล้วจะรู้ เกมส์ยิงยานหน่ะ พอลองเล่นสัก ร้อยกว่าตา แม่งยิงโดนทุกดอก ไม่มียิงวืด จับแพทเทิร์นได้เมื่อไหร่ รู้กระทั่งพอตกมาถึงไลน์ไหนจะวิ่งเร็วขึ้นเคลื่อนที่ยังไง แล้วยิงดักไปโดน...
กูว่าคนก็พัฒนาได้นะ ถ้าทางดีพมายด์ให้ยืมอัลฟ้ามาเล่น
จริง เพราะ alpha มันมองทั้งกระดานเป็นโอกาส ทั้งหมด
ผิดกับคนที่ส่วนใหญ่จะเน้นที่ ขอบกระดาน เพราะมัน develop ง่ายกว่า ซับซ้อนน้อยกว่า
คือมันวางไป มันก็มีแผนที่จะ connect พวกนั้น แล้วทำให้มีพื้นที่ใหญ่
ว่าไปตานี้สนุกดี ดูแล้วยังไม่เพลี่ยงพล้ำเหมือนสามตาแรก
แล้วก็ ... เวลามีน้อยไปหน่อย
ควรมีเวลามากกว่านี้ ดูแล้วควรจะมีซัก 3 ชม. ต่ำๆ
ตานี้ก็ออกมาดี แต่เวลาจะหมดแล้วจะผิดพลาดนี่สิ พลาดทีแพ้เลย
ตานี้แม่งสนุกหว่ะ ตอนนี้ ลี OT (ได้สักพักแล้ว)
ดูนี่รู้เลยว่า พอ OT บางหมาก รู้แล้วว่าต้องลงหมากตรงไหน แต่ใช้เวลาให้ครบเกือบนาที เพราะมองหมากต่อไป
ตอนนี้ ลีตีตื้นมา ได้โอเคเลย ...กลัวแค่จะเดินพลาดนี่แหล่ะ
เชี่ย ท่าทางตานี้จะชนะนะนี่
Alphago ดูจะรวน ๆ นะตานี้
>>710 AIเดินพลาดว่ะ CEOบอกเองhttps://twitter.com/demishassabis
มนุษย์ชนะแล้ววววววว แต่ทำไมกูเชียร์อัลฟ่าโกะวะ -__-(ดันจิ้นว่าเป็นโลลิไปแล้ว)
11S ดูโง่มากๆ กูว่ามันจงใจแกล้งแพ้นะนั้น
มัน งง กับหมากของลีแล้วมึนๆ เลยพลาดไง
คือตอนมันเดิน มันยังไม่รู้ว่ามันเดินพลาด แต่พอผ่านไปอีก 3-5 หมาก (ขี้เกียจนับ) มันถึงรู้ว่า ไอ้หมากนั้นหน่ะ แม่งพลาด(มากกก)
มึงก็ต้องให้เครดิตลีด้วยว่า ทำให้ ai ระดับนี้มึนได้ แล้วจากผลมึน ก็ตีจนทำให้ชนะ
กูเชียร์ลีหว่ะ ลุ้นฉี่แทบเล็ด
มันอาจจะงงแบบนี้หรือเปล่า
https://www.youtube.com/watch?v=j9FLOinaG94
เกมนี้เห็นจุดอ่อนalphagoชัดเจน....มันทำได้แค่ก็ค้นหารูปแบบหมากที่ดีที่สุดจากหลายล้านกระดานมาใช้ แต่พอค่าwin rateเหลือต่ำ รูปแบบที่เลือกเอามาใช้เลยมั่วไปหมด ซึ่งต่างจากกระบวนการคิดของมนุษย์จริงๆ
>>719 มันประเมินจากกระดานที่มันเคยเล่นวะ ดังนั้นถ้าผิดคือผิดที่ตัวมันเอง ไม่เกี่ยวกับโปรแกรม
งานนี้ต้องบอกว่าคนเล่นเดินได้ดีเกเนไป และเดินได้สดใหม่จนประสบการณ์ของมันคาดเดาล่วงหน้าได้ไม่ดีพอ
งานนี้กูฮาลูกเพจดราม่าทีีสุดแล้ว มีบอกว่าลีลน เดินไม่ดี ดีพมายเดินเทพมาก มือสมัคเล่นยังดูออกว่าลีจนมุม สุดท้ายแม่งเงิบเหมือนหัวเพจเป๊ะเลยวะ
ควยลีเดินไม่ดีเหี้ยไร แม่งดูเป็นรึเปล่า หมากตาเมื่อวานเดินได้ดีสุดเลยในสี่ตา
ตาก่อนๆ ไปสู้ชิงดอนแดน แต่อีกฝ่ายไม่แพ้ แถมมีเวลาวางหมากทำพื้นที่ใหญ่ๆตรงอื่น ลีเลยคิดว่าไล่ไปคงไม่ทันเพราะอีกฝ่ายไม่น่าจะพลาดเลยยอมแพ้
ไอ้คนที่บอกแม่งได้ดูรึเปล่าเหอะ ควย
The stunning defeat of Alphago to Lee Sedol today is in some ways, even more fascinating than its previous wins. We now can finally see some of its weakness's and gain insight on the whole Monter Carlo deep learning algorithm itself.
The game proceeded as the previous 3, and by the mid game, Lee Sedol was a significant disadvantage. In the face of defeat, Lee Sedol spent a good 40 minutes to come up with what 9 dan pro Gu Lee named the 'move of god'. What is telling are the following observations:
1. Lee Sedol's following comment. "This was the only move I could see that worked, there was no other move I could have played.""
2. The placing of the move is very unexpected.
Evidently this worked to Sedol's advantage. As AlphaGo's policy network assigned the move a low weighting (Due to #2), and its being the only move that looked correct made the position appear very good - allowing AlphaGo to fall into the trap.
AlphaGo's predicted win rate dropped massively 9 moves later. After which, a second weakness is revealed.
AlphaGo is dreadfully impatient. It needs to optimized win probability. Thus, will all reasonable moves have low win probability (as she is losing). AlphaGo will be pushed to play moves that are more 'likely' to win - that is moved where it can reverse the game unless the opponent plays at the exact right point of the board. E.g: Capture Races, Ko Threats, and threatening cuts - even if these moves will always lose points when the opponent responds correctly.
In a way, it is funny. The black-box behaviour almost looks like kid throwing a tantrum. The pro commentators were a little confused, but anyone who's about to beat a bot in KGS would see the same behaviour!
So how to beat AlphaGo? Play a divine move in an utterly bleak situation.
Lets see if Sedol can repeat this!
สิ่งที่น่าสนใจจากวงคุยคือ เรื่องเล่าต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังจนชินหู. การที่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนชินที่จะฟัง เป็นสิ่งที่น่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการที่การล่วงละเมิดทางเพศกลายเป็นเรื่องท่ีถูกทำให้ตลกขบขันในสังคมไทย
นักศึกษาที่เข้าร่วมฟังเสวนาท่านหนึ่ง ได้เล่าว่า ในค่ายรับน้องที่จัดโดยรุ่นพี่ของมหาวิทยาลัย เพื่อนกะเทยของเธอถูกนักศึกษาชายเข้ากลุ้มรุมถอดเสื้อผ้า พร้อมหัวเราะเฮฮา เป็นที่ขบขัน โดยที่เธอได้แต่รับฟังเรื่องราวอย่างเงียบงัน
ในอีกกรณีหนึ่ง หลานสาวของผู้เข้าร่วมเสวนาท่านหนึ่ง ถูกชายชราคนหนึ่งลวนลามขณะอยู่ในสวนสัตว์ เมื่อนำเรื่องไปแจ้งความต่อตำรวจในโรงพัก ตำรวจทั้งโรงพัก พากันหัวเราะขัน เพราะกับบอกเธอว่า "สงสารลุงเขาเถิด"
ในวัฒนธรรมแบบไทยๆที่การต่อสู้กับการกดขี่ทางเพศ เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญกับการถูกเหยียดให้เป็นเรื่องตะวันตกของเหล่าเฟมินิสต์หัวแข็ง การล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ได้ถูกทำให้เป็นเรื่องต้องห้าม หรือกีดให้เป็นเรื่องส่วนตัวเสมอไป บ่อยครั้งดังตัวอย่างข้างต้น การใช้ความรุนแรงทางเพศ ถูกยอมรับให้เป็นการแสดงเพื่อความบันเทิงชนิดหนึ่ง ที่ซึ่งเพศ และการเหยียบย่ำทางเพศ เป็นมหรสพสาธารณะที่ขบขัน ที่ถูกเสพซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างรื่นรมย์ โดยเหล่าผู้ชมเพศชาย ก็เพื่อที่จะตอกย้ำ"ความปกติวิสัย"ของวัฒนธรรมเหยียดเพศนั่นเอง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คิดว่าหมากก่อนหน้านั้นมันเดิน แล้วมันคงคิดว่าลีอาจจะดินที่อื่นก่อนด้วย แล้วมันคงจะเดินหมากที่ลีเดินแล้วชี้แพ้ชนะตรงนั้นแทน
แต่ลีชิงเดินก่อน
แต่เก่งกันมากๆเลยนะ หมากตัวเดียวชี้แพ้ชนะ ได้สูงตั้งกะต้นๆเกมส์
ไม่เกี่ยวเลย freeze ฝีมือไว้
เค้า freeze เพราะเค้าควบคุมปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ไม่ให้เปลี่ยนแปลง ต่อผลการทดสอบชาเลจน์ครั้งนี้
งานนี้ ยิ้มทั้งสองฝั่ง ดีฟก็ยิ้มเพราะพัฒนาได้อีก คนก็ยิ้มเพราะมีทางสู้ได้ win - win ทั้งคู่
ถ้ามีซัก 4 ชม กูว่าลีชนะได้เกือบหมดแน่ๆ ถ้าอัลฟาไม่ได้อัพเดท
แต่วันสุดท้ายก็น่าดูอยู่ดี เพราะกูก็ว่าอัลฟาถือขวาจะเล่นดีกว่าดำจากที่กูดูมาสี่ตา
*ถือขาว
กูเบื่อtablet ก็ตรงนี้ พิมพ์ผิดบ่อยมาก
ธุรกิจที่เริ่มด้วยความไม่พร้อม ...
สิบกว่าปีก่อน ในสมัยที่ยังเป็นหนี้หลายสิบล้าน ผมตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัว โดยพยายามมองว่า ...
ความสามารถที่ผมมีนั้น ช่วยเหลืออะไรใครได้บ้าง (ไม่ใช่ทำฉันอะไรได้บ้าง)
ตอนนั้นผมตัดสินใจเปิดธุรกิจที่ปรึกษาโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยเห็นว่าบริษัทที่ส่งมอบสินค้าให้บริษัทที่ผมทำงานอยู่ มักส่งสินค้าผิดและมีปัญหาต้องถูกตีกลับสินค้าเป็นประจำ เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา
เมื่อเห็นปัญหาของเขา ผมเลยติดต่อบริษัทผู้ส่งมอบ 3 ราย รับจ้างทำงานที่ปรึกษาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวให้ฟรี โรงงานละ 10 วัน ทุกๆวันเสาร์ (อ่านไม่ผิดครับ ... ฟรี)
แม้จะไม่ได้เงิน แต่เพียงแค่นี้ ธุรกิจของผมก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!
ด้วยต้องการหาเวที และโอกาสในการฝึกทักษะการให้คำปรึกษา และคิดว่าแค่ได้ "โอกาส" ลองทำ ก็ยอดเยี่ยมแล้ว นอกจากนี้ผมยังมองว่ามันไม่เสี่ยงอะไร ถ้าทำแล้วเสียงตอบรับไม่ดีก็แค่เลิก อย่างน้อยก็ได้ทำ ได้พยายาม
ไม่มีเงิน ไม่รถ ไม่มีเวลา ไม่มีประสบการณ์ ไม่มี ...ฯลฯ... ไม่ใช่ปัญหา ในหัวคิดอย่างเดียวว่า ... ต้องเริ่มนับหนึ่งให้ได้ ถ้ามีคนเป็นลูกค้า เขาชอบ เขาบอกต่อ ทุกอย่างก็จะเดินไปได้เอง
มีลูกค้าคนแรกเมื่อไหร่ ธุรกิจก็เริ่ม
"เดินทางไกลหมื่นลี้ ... ต้องมีก้าวแรก" ผมเชื่ออย่างนั้น
หลังจากเริ่มให้คำปรึกษาไปได้สักพัก บริษัทแห่งหนึ่งที่ผมทำงานให้ ก็ขอจ่ายเงินค่าจ้าง เพราะเห็นว่าผมทุ่มเททำงานให้ และเห็นประโยชน์จากการเข้าไปทำงานของเรา
3,500 บาท คือ ค่าจ้างต่อ 1 วันในสมัยนั้น จากนั้นก็เริ่มแนะนำลูกค้าต่อให้ ผลลัพธ์สุดท้ายผ่านไป 1 ปี ผมมีลูกค้า 30 ราย และก็กลายเป็น 100 รายในที่ 4 ปีถัดมา
จากธุรกิจที่มีเพียงผมคนเดียว ก็เริ่มมีรุ่นน้องมาช่วย จาก 1 วันที่ ทำเงินได้ 3,500 บาท ก็เพิ่มเป็น 50-60 เท่า จากการที่มีคนมาช่วยทำงาน 1 วันของผมมีมากกว่า 24 ชั่วโมง เพราะใช้พลังทวี (Leverage) ของทีมงาน
ใครที่คิดที่ฝันอยากทำธุรกิจส่วนตัว ผมแนะนำให้เริ่มง่ายๆ อยากทำอะไร ให้ตัดสินใจลงมือทำ ที่สำคัญคือ จำกัดความเสียหาย (หรือความเสี่ยง) ให้อยู่ในระดับที่รับไหว หรือเจ๊งก็รับได้
ขอแค่ให้เริ่ม แค่ให้มีลูกค้าคนแรก เดี๋ยวที่เหลือพอเครื่องมันติด มันก็จะไปต่อได้เอง มีโจทย์ให้ปรับให้แก้ก็ค่อยแก้กันไป
อย่าติดตำราฝรั่งมาก ติดโมเดล ติดหลักการ ติดโน่นติดนี่ สุดท้ายแม่งติดความรู้ตัวเองนั่นแหละ
ธุรกิจไม่มีสูตรสำเร็จ ความสำเร็จของธุรกิจขึ้นอยู่กับความเป็นผู้นำและความเป็นผู้ประกอบการที่ดีในตัวเจ้าของกิจการ (วันหลังผมจะคุยเรื่องนี้ให้ฟัง)
อย่าฟังเสียงคนอื่นมาก แต่ให้หัดฟังเสียงหัวใจตัวเองที่มันเรียกร้องจะดีกว่า
แล้วเชื่อผมสิว่า ... แค่คุณได้เริ่มทำในสิ่งที่ฝัน มันจะไปได้ไกลแค่ไหนไม่รู้ แต่ผมกล้ารับประกันเลยว่า คุณจะมีความสุขตั้งแต่วันแรกที่ธุรกิจของคุณเริ่มต้นขึ้น
Living Your Dream ... มันเป็นความรู้สึกที่ทรงพลังมากๆ ถ้าคุณมีฝันผมอยากให้คุณเดินตามฝันของคุณครับ
ไม่มีเรียนหลังแมตซ์อะไรทั้งนั้น... จบเค้าก็ freeze ค้างไว้ ค่อยแข่งแมตซ์สุดท้าย
แต่คนคงศึกษาหมากต่อ
ตอนนี้ผมว่าถ้าจะสู้อัลฟา แผนรับมือก็คือ อย่าให้มัน มี intentional พื้นที่เยอะๆ ใหญ่ๆ ตอนต้นๆ (เหมือนเกมส์ 3) ได้เด็ดขาด เพราะถ้าปล่อยไว้ ก็คือแทบปิดประตูชนะไปเรียบร้อย
ยังไงก็แล้วแต่ เกมส์สุดท้ายก็น่าจะสนุก เพราะอัลฟาถือขาว แถมลีก็คลายความกดดันแล้วด้วย ลีอาจจะแพ้เกมส์นี้ก็ได้ อัลฟาถือขาวแม่งเก่งมากจริงๆ แต่ถ้ามีแข่งต่ออีก 10 match เพิ่มเวลาเป็น 3 ชม. กูว่าหลังจากนี้ ลีน่าจะชนะ 7 / 3 อย่างน้อยๆ
ถ้าไม่ freeze ตาเดียวที่แพ้ มันก็ยังน้อยอยู่นะ เอามา weight แล้วก็ยังน้อยอยู่ดี เพราะที่มันเก่งมาระดับนี้ มันเรียนรู้จากประสบการณ์เล่นเยอะๆๆๆๆ ล้วนๆ
ไอ้ที่แพ้ เพราะตาที่เดินมันเหนือจริงๆป่ะวะ ไม่ใช่ว่าเก่งเทพอะไรหรอก แต่แม่งมั่วนอกตำราจน ai งง พองงหนักๆเข้ามันคิดว่ามีโอกาสจะแพ้ ai แม่งก็เปิดหน้าบุกเลย ลีแม่งรออยู่แล้วก็คอยตอดนิดตอดหน่อยเลยชนะมาได้ กูว่าสุดยอดทั้งคนทั้ง ai นั่นแหละ ต่อไปกูว่ามืออันดับต้นๆคงไม่แข่งกันเองแล้ว แข่งกับ ai ได้เรียนรู้มากกว่า ไม่แน่อีกสิบปีอาจจะมาสอบดั้งกับ alphago ก็ได้นะมึง
กูจะไม่ยอมให้ทุกคน แต่ทุกคนต้องยอมให้กู
#นิยาม นิสัยการขับขี่ยานพาหนะของคนไทย
ประยุทธ์ก็เหมือนแมนยู พูดว่าขอเวลาไม่นานเปลี่ยนโคชแล้วจะคว้าแชมป์ เล่นเพื่อสุขภาพไหมล่ะมึง
อยู่จนเว้นวรรคนู้นแหล่ะมึง
อาจจะอีกสองปีอย่างมาก แก่แล้วคงอยู่นานไม่ไหว
"เป็นคนจนมันแพง
บทความนี้พูดเรื่องที่เรารู้กันอยู่ "คนมีตังค์" กับ "คนจน" ต้องใช้ความพยายามในการประหยัดต่างกัน เล่าให้ชัดผ่านพฤติกรรมการซื้อทิชชู่
ทีมวิจัยเลือกศึกษากับทิชชู่ เพราะมันเป็นของใช้ที่ไม่เน่า และไม่ใช่ของประเภทมีเยอะแล้วจะทำให้ใช้เยอะ มันก็ใช้เช็ดตูดเท่าที่จะขี้ไหว
เขาบอก คนที่จะประหยัดเงินซื้อทิชชู่อาจทำได้หลายวิธี ตั้งแต่ เลือกยี่ห้อถูกๆ ที่คุณภาพกระดาษทราย หรือซื้อทีละเยอะๆ เพื่อให้ราคาต่อหน่วยต่ำ ไม่งั้นก็รอมันลดราคาค่อยซื้อ
วิจัยบอก คนจน ทำสองวิธีหลังไม่ไหว เพราะไม่มีเงินมาทุ่มซื้อทิชชู่ทีละมากๆ หรือจะให้รอดีลลดราคา ก็รอไม่ไหว คนจนจะไม่สามารถเก็บสต็อคทิชชู่ ต้องรอใช้ใกล้หมดค่อยกำเงินมาซื้อ เช่น คนรวยจ่ายเงิน $24 ได้ทิชชู่ 30 ม้วน แต่คนจนจ่าย $5 ได้ทิชชู่ 4 ม้วน พอมันใกล้หมดค่อยไปซื้อซึ่งแม้มันไม่ลดราคา ก็ต้องจำใจซื้ออยู่ดี
เขาบอก คนจนจ่ายค่าทิชชู่แผ่นหนึ่งแพงกว่าคนรวย 5.9% เพิ่มอีกนิดก็ไปใช้ทิชชู่แพง (แบบลดราคา) ได้เลย
งานนี้ย้ำปัญหาความยากจนที่ว่า ทำยังไง๊เป็นคนจนมันก็แพงกว่า ซึ่งไม่ใช่ว่าคนจนคิดไม่เป็นเรื่องการใช้เงิน แต่เพราะระบบมันออกแบบมาว่า ต้องมีเงินมากๆ ถึงจะเข้าถึงโอกาสให้จ่ายประหยัดได้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผมยืนยันเสมอ ว่าการตัดโอกาสทางการศึกษาเพราะ “ท้อง” หรือ “มีลูก” ไม่ว่าจะระดับชั้นไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นการไล่ออกหรือการสั่งให้พักการเรียนโดยไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ เป็นความชั่วช้าที่มีอยู่จริงในระบบการศึกษาไทย เป็นความชั่วช้าที่กระทำโดยคนที่คิดว่ากำลังทำความดี กำลังรักษาศีลธรรมหรือห่าเหวอะไรสักอย่างที่อธิบายไม่ได้ แต่รู้สึกว่าสังคมมันดีเพราะการกระทำของคนเหล่านี้
ราคาที่จ่ายคือการตัดโอกาสของสองชีวิตไป
หากจะมองว่าการมีลูกระหว่างเรียนเป็นความผิดพลาด (ซึ่งบางคนก็ไม่ได้พลาดหรอก ฐานะทางบ้านโอเคจะมีลูกตอนไหนมันก็เรื่องของเขา) มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่คนร่วมสังคมจะไปกระทืบซ้ำตัดโอกาสชีวิตของคนอื่น ปล่อยเขาเรียน ให้เขารับผิดชอบกับภาระของเขาเอง ภาระนั้นอาจจะหนักกว่าคนอื่นแต่ถ้าเขาผ่านมันไปได้ก็ยินดีกับเขา"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเมืองอเมริกันกำลังเกิด “การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์” ด้วยปรากฏการณ์ “ทรัมพ์”
กลุ่มการเมืองกระแสหลัก ทั้งรีพับลิกัน เดโมแครตและสื่อกระแสหลักอเมริกัน ที่เรียกรวมๆ ว่า The Establishment ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ที่ผ่านมาก็ใช้แต่ “มุขเดิมๆ” ที่เคยสำเร็จทุกครั้งคืออ้างว่า นักการเมืองที่ดีต้องมีทัศนคติที่ถูกต้อง Political correctness ปากต้องพูดพร่ำเรื่อง ความเสมอภาคทางเชื้อชาติ เพศ ศาสนา ชนชั้น ฯลฯ ใครที่ไม่พูดไปตามสูตรนี้ ก็จะถูก “รุมยำ” จนเสียผู้เสียคน
แต่วิธีการอย่างนี้ใช้กับขบวนการ “ทรัมพ์” ไม่ได้เสียแล้ว เพราะทรัมพ์และมวลชนได้โยน political correctness ทิ้งไปหมดและพูดแสดงออกสารพัดแบบไม่ยี่หระ พวกกระแสหลักก็ตกหลุมด้วยการกระพือ รุมประณามว่า ทรัมพ์ “เหยียดเชื้อชาติ เหยียดเพศ เหยียดศาสนา ฯลฯ” กระทั่งดูถูกมวลชนทรัมพ์ว่า เป็น “รากหญ้า ไร้การศึกษา รายได้ต่ำ คลั่ง ไร้สติ ชอบรุนแรง ฯลฯ” ผลกลับตรงข้าม มวลชนฝ่ายขวาหันมาสนับสนุนทรัมพ์มากขึ้นทุกทีแม้คนเหล่านี้จะไม่ได้เห็นด้วยกับทรัมพ์ไปทุกเรื่อง แต่พวกเขาเบื่อหน่ายนักการเมืองทั้งสองพรรคและสื่อกระแสหลักจำพวกมือถือสากปากถือศีล ดีแต่พล่าม political correctness
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ มวลชนฝ่ายขวาซึ่งฝังตัวอยู่ในพรรครีพับลิกันมานาน วันนี้ได้ทรัมพ์เป็นตัวแทน ชูแนวทางที่ปฏิเสธการเมืองกระแสหลัก กำลังดึงดูดมวลชนฝ่ายขวานอกพรรค เข้ามายึดพรรครีพับลิกัน แปรให้เป็นพรรคชาตินิยมฝ่ายขวา คนกลุ่มนี้เป็นผลพวงจากความล้มเหลวของการเมืองอเมริกันและปัญหาเศรษฐกิจในช่วง 20 ปีมานี้ ตั้งแต่ยุคบิล คลินตัน จอร์จ ดับเบิลยู บุช จนถึงโอบามา
แกนนำของสองพรรคใหญ่และสื่อกระแสหลักอย่าง CNN และ Fox News ยังเชื่อว่า แม้ทรัมพ์จะชนะได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ก็จะไปแพ้นางคลินตันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในที่สุด เพราะเชื่อว่า ถึงยังไง คนอเมริกันส่วนใหญ่ก็ยัง “มีสติพอ” ที่จะไม่เอาทรัมพ์
แต่กว่าที่คนพวกนี้จะรู้ตัวว่า เกิดอะไรขึ้น ก็โน่น เดือนพ.ย.ปีนี้เมื่อทรัมพ์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯแล้ว!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผลคะแนนความนิยมของทรั้มป์มันก็สะท้อนออกมาล่ะว่า ประชาชนอเมริกาส่วนหนึ่ง
มีความคับข้องใจที่พวกกูถูกเอาเปรียบมานาน แต่ไม่ได้รับการแก้ไข
ปัญหาว่างงาน,ตกงานจากโรงงานย้ายไปจีน,เอเชีย
ปัญหาต่างด้าวที่มาเบียดเบียนพวกกู
อพยพ,ต่างด้าว,ลักลอบ,ชนชั้นไร้ความสามารถที่คอยดูดภาษีสวัสดิการ ที่พวกกูจ่ายหามาแทบตายแต่เสียเปล่าไปกับพวกมึง แถมสร้างปัญหาสังคม ยาเสพติด อาชญากรรมให้พวกกู
นักการเมืองพูดหาเสียงอะไรสุดท้ายก็ทำตามนายทุนที่สนับสนุนพรรคมัน แต่ทรั้มป์รวยจริวออกเงินเอง ประชาชนเลยรู้สึกว่าคนๆนี้ไม่ใช่หุ่นเชิดพวกนายทุนที่คอยเบียดเบียนพวกกู
ฯลฯ
กูว่ารอบนี้ทรัมป์ ยังไงก็ได้เลือกฟะ แรงมาก แบบว่าใครๆ ก็ หงุดหงิกมาก ที่แม่งโรงงานต่างๆ แทนที่จะ สร้างงานในประเทศแม่งถ่อไปจีนหมด
ทรัมป์มาเพื่อที่จะ ดำเนินแผนชาตินิยมชัดๆ มาร์กซิสไหมล่ะเมิง มันใช้ดีตอนเศรษฐกิจตกต่ำนะ
ฮิลลารี่ได้ก็เหมือนเดิมไม่สนุกดิ ทรัมป์เหอะกูอยากเห็นการเมืองมะกันมีอะไรใหม่ๆบ้าง
กูไม่ได้ตามข่าวเลย ทำไมอเมริกันมันเกลียดมุสซี่กับนิกก้ากันวะ แล้วทรัมมันมีนโยบายอะไรวะทำไมคนชอบ ที่ว่าพวกฮิลลารี่ดัดจริตคือไรอ่ะ มีใครอธิบายสถาณการ์ณ์ให้กูฟังได้มั่ย กูงงมากว่าไมคนซัพพอร์ตทรัมป์ แล้วที่ว่าโรงงานไม่สร้างในประเทศมันคือไรอ่ะ มันเป็นความผิดของโอบาม่าหรือยังไง
make america great again ครับ
"ดีเบตว่าด้วยเรื่องรูปปั้นบุคคลสำคัญ กลุ่ม นร ที่ Oxford เดินขบวนเรียกร้องให้ทำลายรูปปั้น Cecil Rhodes ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ ม ที่เป็นนักล่าอาณานิคมตัวพ่อ นัยว่าเพื่อแสดงถึงการเลิกเชิดชู/ชื่นชมพวก racist/imperialist
ฝ่ายที่ออกมาต่อต้านแคมเปญนี้บอกว่า ไอ้ที่ทำแบบนี้ไม่ช่วยอะไร นอกจากจะเป็นการลบประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่และความผิดพลาดที่ British empire ทำเอาไว้ เพราะการที่จะให้คนรุ่นหลังเรียนรู้ว่าเราจะต้องไม่กลับไปทำผิดซ้ำ คือการบอกให้ "จำ" ทิ้งหลักฐานไว้ให้เห็น ว่าครั้งหนึ่ง Oxford เคยยกย่องคนแบบนี้ ไม่ใช่การทำให้ "ลืม" เหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น (จริงๆ มีอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การเอามาตรฐานของความ "ถูกต้อง" ในวันนี้ มาตัดสินเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งมีผลต่ออนาคตด้วย ราวกับว่ามันจะถูกไปตลอดกาล -- moral absolutism)
มีบางคนพูดไปไกลกว่านั้น ว่ากิจกรรม identity politics ทั้งหลายนี่ บางทีดูคล้ายเป็น displacement activity มากกว่า คือการโจมตีรูปปั้นคนตายไปแล้วร้อยกว่าปีมันง่ายดี สบายกว่าการต่อสู้เรื่องเรียนฟรี หรือการเรียกร้องให้ oxford มีมาตรฐานการรับคนเข้าเรียนที่เป็นธรรม"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
http://www.theguardian.com/commentisfree/2016/mar/13/cecil-rhodes-campaign-oxford-david-mitchell
จบแล้ว Lee Sedol แพ้ แมตซ์สุดท้าย
ต้นๆ Alpha พลาดไปด้านขวา แต่ก็เล่นปกติ ตีตื้นมาเรื่อยๆ
ที่กูสงสัยก็คือตรงล่างซ้าย ควรจะเล่นแบบนั้นรึเปล่า เกมส์นี้ค่อนข้างสูสีมาก น่าจะแพ้เพราะแต้มต่อ 7.5 แต้ม นับดูแล้วไม่ถึงเลย resign ไป
แต่ดูแล้ว เกมส์นี้ดูดีกว่า สามเกมส์แรกมาก เพราะยังสู้ได้ในภาพรวม สามเกมส์แรกนี่ เห็นๆว่าสู้ชิงพลาด(เกมส์ 1 ,3) ทำให้อีกฝั่งรอดแล้วใช้ประโยชน์จากตรงนั้นมาทำพื้นที่ตรงกลางได้
อนึ่ง นี่กูคิดเองนะ แมตซ์วันนี้ที่พลาดแล้วยังไม่ยอม เพราะตำแหน่งอื่นๆ มันก็ยังไม่ได้แย่ แล้ว อัลฟา ถือหมากขาว ซึ่งได้แต้มต่อ possibility ที่ชนะ (เล่นที่อื่น) มันยังมีเยอะอยู่อีกมาก
ไม่เหมือนเมื่อสองวันก่อน ที่เล่นหมากดำ (แต้มต่อเป็นของอีกฝั่ง) แถมตำแหน่งที่แพ้ มีผลกับ พื้นที่ที่มันคงกะเป็น พื้นที่ที่ชี้แพ้ชนะ ของเกมส์ มันเลยเอ๋อๆ อย่างที่เห็น
โดยรวมแล้ว อัลฟา แม่งก็ยังโครตเก่งอยู่ดี เก่งมากเลยหล่ะสำหรับต้นเกมส์
เกมส์นี้กูว่าลีได้ใจไปหลังจากชนะทางขวา เลยทำให้แพ้ในแมตซ์นี้ แต่โดยรวมก็ไม่ได้เล่นอะไรพลาด(อย่างมีนัยยะ)นะ
เกมส์นี้คงเอาไปศึกษาในทางโกะได้อีกนานเลยหล่ะ
น้ำตาจะไหล กูเล่นโกะไม่เป็น (´Д` )
คุณคงไม่ทันนึกกระมังว่า ในบรรดาคนทีตายฝัง กปปส น่ะ (เป็น ๓ เท่าของฝั่ง จนท) เกือบทุกคน (อาจจะยกเว้น "สุทิน" คนเดียว) เป็นระดับคนเล็กคนน้อย รวมทั้งคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และเด็กด้วย
มิตรสหายหงอกท่านหนึ่ง
พวกมันตายมากกว่าฝั่งนู๋อีกหราคะ นู๋ก็มีเด็ก คนแก่ ผู้หญิงตายเหมือนกัน น่าจะมากกว่านะ
ช่าย เขาฆ่ากันเองเพื่อสร้างสถาณการณ์ให้เราเห็นมาหลายครั้งแล้วนะคะ 70 ปีแระ
มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"คำสรรพนามว่า "ดิฉัน" มาจากไหน ?
คำว่า "ดิฉัน" นั้น เป็นคำที่มาจากภาษาบาลี (มคธ) ว่า ติรจฺฉาน (ติ-รัด-ฉาน) ส่วนภาษาสันสกฤตใช้ว่า ติรศฺจีน แปลตามรูปศัพท์แปลว่า ขวาง ติรจฺฉานคต = สัตว์ผู้มีร่างกายเจริญโดยขวาง หมายถึงสัตว์ทั่วไปยกเว้นมนุษย์ผู้เดินสองขา (ทวิปาทะ/ทวิบท) ทำให้ตั้งตัวตรงบนขาได้ ส่วนสัตว์ทั้งหลายมักทรงตัวบนขาทั้งสี่ (จตุบท) หรือมากกว่า (พหุบท) ซึ่งเป็นข้อแบ่งแยกระหว่างมนุษย์และสัตว์
คำๆ นี้ ไทยเรารับมาโดยทางศาสนาพุทธ มีปรากฎแล้วในวรรณคดีสมัยอยุธยา คำว่า "ดิฉัน" หรือ "ดีฉัน" แรกเริ่มทีเดียวเป็นสรรพนามของคนทั่วไปใช้พูดกับพระสงฆ์ ผู้เป็นที่นับถืออย่างสูง มาจากคำว่า "ดิรัจฉาน" คือยกย่องพระสงฆ์ว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวง (มนุษย์ก็นับว่าเป็นสัตว์เหมือนกัน แต่เป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย) ขณะเดียวกันผู้พูดก็ถ่อมตัวว่า ตนนั้นหากเปรียบกับพระสงฆ์ ก็ยังเป็นเพียงดิรัจฉาน จึงเรียกตัวเองว่า "ดิรัจฉาน" ต่อมา กร่อนไปเหลือแต่พยางค์ต้นกับท้าย กลายเป็น "ดิฉัน"
เดิมใช้คำนี้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง แต่ต่อมาใช้กันแต่ในหมู่พวกผู้ชาย เวลาพูดกับพระสงฆ์ ปรากฏในวรรณคดี ‘ขุนช้างขุนแผน’ ก็มีเขียนไว้ว่า
“อ้ายโห้งฟังนายสบายจิต
ดีฉันคิดไว้แต่แรกลงมาถึง
ความรักไม่ชั่วจนตัวตึง
ค่าตัวชั่งหนึ่งอีคนนี้”
คำว่าดีฉัน พบในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้น เป็นคำที่แสดงถึงวิถีชีวิตและสังคมของชาวบ้าน ตลอดจนการพูดจาของสามัญชนในยุคปลายกรุงศรีอยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์
คำว่า ‘อีฉัน’ นี้ หากสันนิษฐานแบบลากเข้าศัพท์ เห็นจะมาจากคำว่า อี + ฉัน เพราะในสมัยก่อนผู้หญิงทั่วไปมักเรียกกันว่า อีนั่น อีนี่ เวลาพูดกับมูลนาย จะใช้ว่า ‘ฉัน’ ก็ดูไม่เป็นการนับถือยกย่อง จึงเลยเรียกตัวเองว่า ‘อี’ เสียก่อน จึงตามด้วย ‘ฉัน’ ส่วนคำว่า "ฉัน" และ "ท่าน" มีการกำหนดให้ใช้สรรพนามแทนบุรุษที่ 1 และ 2 ในสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม คำว่า ดิฉัน นี้ บางทีก็พูดเร็วๆ เป็น ‘อะฮั้น’ ‘เดี๊ยน’ บ้าง ‘ดั้น’ บ้าง ก็มี
รู้แบบนี้ ไม่ทราบว่ายังสนิทใจที่จะเรียกตัวเองว่า "ดิฉัน" กันอยู่หรือเปล่า?"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ไบฟางลี" คนจนผู้ยิ่งใหญ่...
จากหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของชายชราคนหนึ่ง
ชายแก่ผู้นี้คือ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ผู้สมควรแก่การกราบไปที่หัวใจของแกสักล้านครั้ง! ต่อไปนี้เป็นการเรียบเรียงเรื่องราวที่น่าตื้นตันใจจากคำแปลของหมออั้ม อิราวัต...
ปี ค.ศ. 1987 ชายจีนวัย74ปีอาชีพถีบสามล้อรับจ้างชื่อไบฟางลี เดินทางกลับบ้านโดยคิดว่าจะหยุดอาชีพที่เหนื่อยยากนี้เสียทีหลังจากเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเพื่อไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิต แต่เมื่อกลับบ้านก็พบกับภาพแห่งความสลดหดหู่ เมื่อเด็กๆแถวบ้านส่วนใหญ่ไร้การศึกษาต้องทำงานหนักเพราะยากจน ลุงไบตัดสินใจกลับไปถีบสามล้ออีกครั้ง แกทำงานอย่างหนักใช้เสื้อผ้าเก่าๆกินอยู่พอประทังชีวิตโดยเก็บเงินค่าจ้างทุกบาททุกสตางค์จากหยาดเหงื่อแรงงาน ทยอยบริจาคเป็นทุนการศึกษาเพื่อเด็กด้อยโอกาส...
14ปีต่อมาลุงไบปั่นสามล้อไปที่โรงเรียนในเมืองเทียนจิน มอบเงินทุนอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้เป็นเงินก้อนสุดท้าย โดยชายชราวัยเกือบ 90 ปีผู้นี้กล่าวต่อหน้านักเรียนที่แกไปมอบทุนให้ว่า เขาคงจะทำงานต่อไปไม่ไหวแล้วเขาอ่อนล้าเต็มที.. น้ำตาของครูและนักเรียนไหลพรากด้วยความตื้นตันใจ.. ลุงไบทำงานหนักเพราะแกไร้การศึกษาจึงมองเห็นความสำคัญของการศึกษา แกได้บริจาคเงินทุนเพื่อการศึกษาแก่เด็กด้อยโอกาสกว่า 300คน ได้เรียนต่อจากการค่อยๆทยอยให้รวมเป็นเงินทั้งสิ้นเกือบ 2 ล้านบาท
ลุงไบหัวใจเทวดาจากโลกไปอย่างสงบในปี 2005 เหลือไว้แต่ความทรงจำที่สวยงามของชีวิตชายชราผู้หนึ่งที่อุทิศตนด้วยความเหนื่อยยากเพื่อหารายได้นำมาบริจาคเพื่อเป็นทุนการศึกษา..
ความเสียสละของลุงไบอาจเป็นแรงบันดาลใจแด่คนที่มีความรักอันยิ่งใหญ่เพื่อเพื่อนมนุษย์ เป็นแบบอย่างของ"การให้ "ทีมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก....ขอกราบคารวะหัวใจลุงไบคนจนผู้ยิ่งใหญ่คนนี้อีกครั้ง....
"สปริงนิวส์สัมภาษณ์ อ.เจน ญาณทิพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตสัมผัสจากกรมเจ้าที่(ตั้งอยู่ข้างกรมเจ้าท่า) อ.เจนแนะนำให้ถวายภัตราหารให้เจ้าที่(ถ้าไม่สะดวกควรตั้งภัตตาคารแทน)
ปรากฏการณ์ข่าวจริง(ประเทศไทย)"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไปเจอของดีมาเลยอยากแนะนำบอกต่อครับ
เคยเอื้อมไปหยิบมือถือมาตอบ Line กลางดึก แล้วแสงจากจอแยงตามาก ต้องใช้เวลาซักพักกว่าจะตอบข้อความได้ไม๊ครับ ?
เคยสงสัยไม๊ว่า ทำไมคนเราถึงอ่านอะไรบนจอคอมพิวเตอร์ / laptop / tablet แล้วจะไม่สามารถทำได้นานเท่าอ่านหนังสือเป็นเล่ม หรือจะปวดหัว / ตารู้สึกล้า ?
หรือหลายๆอาจจะคนใช้มือถือก่อนนอนนานๆแล้วพบว่าทำให้นอนหลับได้ยากขึ้น ?
สาเหตุนึงมาจาก "แสงสีฟ้า" ที่ออกมาจากหน้าจออุปกรณ์เหล่านั้นที่ไปส่งผลต่อสมองของเราครับ
ต้องเล่าก่อนว่า หน้าจออุปกรณ์อิเล็คทรอนิคทั้งหลายที่เราใช้ในปัจจุบันเนี่ย ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิปกติ (กลางวัน / ใช้งานใต้แสงแดด) ในขณะที่ร่างกายของเรา และสภาพแวดล้อมจริงของเรามีการเปลี่ยนแปลงของแสง ตลอดทั้งวัน
จออุปกรณ์ของเราจึงใช้งานได้ดีในเวลาปกติที่มีแสงแดดเพียงพอ แต่เมื่อเข้าสู่เวลากลางคืน หรือเข้าในที่ร่ม แดดหมด จอของเรายังทำงานเหมือนสภาวะที่อุณหภูมิสี เหมือนกลางวันอยู่.. เจ้า "แสงสีฟ้า" ที่ควรจะมีอยู่เฉพาะในเวลากลางวัน ก็ออกจากจอมาหลอกสมองของเราทำให้ร่างกายเราคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเวลากลางวันอยู่ และทำให้สมองเราต้องใช้งานมากกว่าปกติในการประมวลผลของอุณหภูมิสีที่ตาเราไปโฟกัสอยู่ ส่งผลให้เกิดอาการล้าของสมอง ปวดหัว และนอนไม่หลับได้
ไม่นานมานี้จึงมีคนพยายามแก้ปัญหานี้ โดยเขียนโปรแกรมจัดการกำจัดแสงสีฟ้าของจอออกไปอัตโนมัติเมื่อถึงเวลาที่กำหนด (เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน) เป็น freeware ชื่อ f.lux สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่ https://justgetflux.com/ การใช้งานก็ง่ายมากๆแค่โหลดมาติดตั้งโปรแกรมจะรันเองอัตโนมัติ
ผมลองใช้เองมาซักพักนึงแล้วพบว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพตาและสุขภาพการใช้คอมพิวเตอร์ตอนกลางคืนนานๆมากๆ
ในเวลากลางวันที่มีแสงอาทิตย์ปกติ f.lux จะไม่ถูกใช้งาน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ถึงเวลากลางคืน แสงแดดหมด พระอาทิตย์ตกดิน f.lux จะปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอเราให้ เหมาะกับสภาพเวลานั้นๆมากที่สุดไปเรื่อยๆ หน้าจอเราจดูเหลืองขึ้นเรื่อยๆ เพราะ "แสงสีฟ้า" ได้ถูกปรับลดลง และจะลดลงเรื่อยๆจนกว่าจะใกล้เวลานอนของเรา เพื่อช่วยเตรียมสมองของเราให้พร้อมสำหรับการพักผ่อน
ผมมีตัวอย่างการใช้งานของผมให้ดูในภาพประกอบ โต๊ะทำงานที่ห้องของผมถูกจัดไว้โดยตั้งแสงไฟในห้องไว้ให้ไฟเป็นแสงสีเหลือง (warm white ที่ 2700 Kelvin) เหมาะกับการใช้สายตาสบายๆ ถ้าผมไม่เปิดใช้งาน f.lux ตามรูปบน อุณหภูมิสีที่ออกมาจากจอ จะมีแสงสีฟ้าค่อนข้างมาก ไม่เข้ากับสภาพอุณหภูมิสีของห้อง เมื่อใช้งานไปนานๆผมจะปวดหัวโดยไม่รู้ตัว แต่พอผมเปิดใช้งาน f.lux อุณหภูมิสีของจอ จะเหลืองขึ้นแสงสีฟ้าจะหายน้อยลง สีที่ออกมาจากจอจะใกล้เคียงอุณหภูมิสีของห้องมาก ช่วยให้ใช้งานได้สบายตาขึ้นมาก
อยากให้ใครที่มีปัญหาในการใช้งานคอมตอนกลางคืนลองเอาไปใช้กันดูครับ มีประโยชน์จริงๆ
อย่างไรก็ตาม f.lux นี่ไม่ได้ช่วยให้เราใช้งานคอมแล้วไม่ปวดตาเหมือนอ่านหนังสือเลยซะเดียวนะ แค่ช่วยให้มันล้าน้อยกว่าปกติแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นใช้คอมเท่าที่จำเป็น disconnect to connect กันบ้าง
ปล.เสียอย่างเดียวคือใครก็ตามที่ใช้ทำงานที่ ซีเรียสเรื่องสีมากๆ เช่น งาน color grading / photo retouching อาจจะไม่เหมาะกับซอฟแวร์นี้ แต่งานทั่วไปเช่นงานเอกสาร เล่นเกม ดูหนัง ใช้เว็บ เหมาะมากครับ
ปล.2 ข้อมูลการ research ที่เขียนอ้างอิง หาอ่านเพิ่มเติมได้จากเว็บ f.lux ตามนี้คับ https://justgetflux.com/research.html
ปล.3 feature ตัดแสงสีฟ้านี้ จะมาลง iPhone / iPad เร็วๆนี้ รอใช้กันได้ น่าจะอัพเดทรอบหน้า iOS 9.3 มาในชื่อ Night Shift ครับ
"midget = vertically challenged
fat = horizontally challenged
perverted = sexually dysfunctional
alive = temporarily metabolically abled
Negro = African American
Indian = Native American
Anyone from Central America, South America, or the Carribean = Hispanic
body odor = nondiscretionary fragrance
dishonese = ethically disoriented
gay = different
wrong = differently logical
dead = living impaired
pregnant = parasitically opressed
fired = laid off
poor = financially inept
homeless = residentially flexible
tall = person of height
garbage-man = sanitation engineer
blind = visually challenged"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ไอ้บ้า"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
"retarded= mentally challenged"
#มิตรสหายท่านที่สาม
เรามีพี่ที่รู้จักอายุห้าสิบกว่าแล้วไม่มีบ้านไม่มีอะไรทั้งสิ้นเงินก็คงไม่กี่หมื่น ตลอดชีวิตพี่ส่งเงินให้แม่หมด แล้วแม่ก็ดันเอาเงินไปให้วัดหมด
คือไปงมงายเกินตัว สุดท้ายตอนนี้ลำบากทั้งบ้าน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หลายปีก่อนมีสกู้ปข่าวที่สั่นสะเทือนวงการสื่อชิ้นหนึ่ง คือสกู้ปข่าวของช่องไอทีวีที่นำเสนอว่าปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค นั้นเป็นฝีมือของทหารลาวยิงกระสุนส่องแสงตรงฝั่งลาว
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในครั้งนั้นคนลาวที่มีส่วนกับสกู้ปชิ้นนี้ของไอทีวี (คนที่ลงเรือลอยไปในแม่น้ำโขง, ยิงปืนอาก้า,พร้อมทั้งคนที่หันหลังเข็นจักรยานสองล้อและให้สัมภาษณ์กับไอทีวีว่าเป็นคนยิงปืนขึ้นฟ้าเอง) ถูกศาลลาวสั่งจำคุกคนละ 12 ปี ในข้อหานำบุคคลต่างด้าวเข้าประเทศผิดกฎหมายและให้ข้อมูลที่เป็นการทำลายประเทศ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ความแตกต่างระหว่างคนที่มีผลลัพธ์กับคนที่ไม่มีผลลัพธ์มีเรื่องเดียว...
"Discipline" - "วินัย"
อย่าอ้างว่ามีความรู้ไม่เท่ากัน เพราะยุคนี้ความรู้มีให้เรียนจนล้นโลก
อย่าอ้างว่ามีเวลาไม่เท่ากัน เพราะเวลาเป็นเรื่องที่จัดการได้
อย่าอ้างว่ามีทุนไม่เท่ากัน เพราะมีแนวทางเยอะแยะที่เราไม่ต้องใช้ทุนสูงๆ
ข้ออ้างพวกนี้ไร้สาระมากๆครับ
จริงๆแล้วมันแตกต่างกันแค่ในขณะที่คุณทำแล้วยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการก็ล้มเลิกไปก่อนก็เท่านั้น ส่วนคนที่มีผลลัพธ์เค้าค่อยๆขัดเกลาจากผลลัพธ์เล็กๆจนผลลัพธ์ขยายไปเรื่อยๆจนได้ตามเป้าหมายที่เค้าต้องการ
ถ้าอยากมีผลลัพธ์ก็เลิกหาข้ออ้างโยนความผิดไปทางอื่นกันได้แล้วครับ กลับมามองตัวเองแล้วสร้าง "วินัย" ให้กับตัวเองกันน่าจะดีกว่า
วินัยที่เข้มแข็งนี่ล่ะที่จะทำให้คุณทำงานไปเรื่อยๆโดยไม่ล้มเลิกไปก่อนได้ และแน่นอนว่าผลลัพธ์ก็จะตามมาเอง!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไหนๆกะว่าจะไม่จีบใครเป็นแฟนอีกแล้ว งั้นเฉลยเลยละกันว่า ที่ผ่านมา 20 ปี ใครก็ตามที่โดนกูจีบเนี่ย คือคนที่กูวิเคราะห์แล้วว่ามี "ฐานันดร" ใกล้เคียงกับกูว่ะ เพราะกูมองในแง่การลงทุน อะไรที่มีความเสี่ยงว่า ลงทุนแล้วไม่เห็นผล ก็จะไม่ลงทุน ดังนั้น ใครที่ "ฐานันดร" สูงกว่ากู (หน้าตา นิสัย อาชีพ ฐานะการเงิน) กูจะไม่จีบเด็ดขาด
แล้วทีนี้ การที่กูโดนปฏิเสธบ่อยๆเนี่ย กูวิเคราะห์ไว้แล้วว่าเพราะ 1.กูคาดการณ์ผิดว่า คนๆนั้นฐานันดรเท่ากับกู แต่จริงๆแล้วฐานันดรสูงกว่า (อันนี้กูผิดเอง) 2.คนๆนั้นฐานันดรเท่ากับกูจริงๆ แต่เสือกคิดว่าตัวเองฐานันดรสูงกว่ากู เลยไม่เอากู (อันนี้มึงผิด)
ก็เลยคิดว่า เฮ้ย กูไม่จีบใครแล่ะ เบื่อ เหนื่อย ใครอยากได้กู ก็มาจีบกูเองละกัน ถ้าไม่มีมาจีบ ก็อยู่เป็นโสดไปจนตายก็ได้ (แต่คงไม่ซื้อผู้ชายแดกหรอก เพราะเคยลองแล้ว แม่งเหมือนเอากับศพ)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันนี้โชคดีมากได้ Hangouts คุยกับคุณ Refael Zikavashvili (Co-Founder ของเว็บ Pramp.com ที่ใช้ฝึก mock up interview) มีหลายอย่างน่าสนใจเลยมาเล่าให้ฟังกัน
สาเหตุที่อยู่ดีๆได้คุยคือเราไม่ได้ใช้เว็บเค้ามา 1 สัปดาห์ แล้วเราทำคะแนนต่างๆได้ดี (โดยเฉพาะการเป็น interviewer ซ้อมให้คนอื่น) เค้าเลยเมลมาถามว่าทำไมถึงไม่ใช้ต่อล่ะ เลยบอกเค้าว่าเพิ่งตกสัมภาษณ์ Google ไป แล้วยังไม่มีบริษัทอื่นเรียกสัมภาษณ์เลย เลยพักเบรกจากการซ้อมสัมภาษณ์ก่อน เค้าเลยบอกว่างั้นขอ hangouts กันหน่อย เพราะ business model เค้าคือได้รายได้จากการทำ head hunter โดยใช้ platform เค้าประเมินคนที่มีศักยภาพทั้งฝีมือ การสื่อสารและความน่าทำงานร่วมด้วย เดี๋ยวเค้าช่วยลองหา recuirter partner ที่สนใจให้ แต่ไม่รับรองว่าจะได้รึเปล่า
เค้าบอกว่าตอนนี้บริษัทเค้าผ่านเข้า YCombinator ด้วย (โดยมีพนักงานแค่ 2 คน คือ Co-founder ทั้งสอง) เลยได้มีโอกาสถามว่าภายใน YC เป็นยังไงบ้าง เค้าก็เล่าให้ฟังสนุกดี ไม่น่าเชื่อว่าจะมีโอกาสได้คุยกับ Co-founder บริษัทเพิ่งเกิดแล้วเข้า YC ด้วย
เค้าแพนวิดีโอออฟฟิสเค้าให้ดู อยู่ตึกตรงข้าม Mozilla กับ Google SF เลย เห็นวิวสะพาน San Francisco-Oakland Bay กับทะเลสาบสวยงาม ออฟฟิสยังโล่งมาก (น่าจะอยู่ใกล้ๆ Thanik Bhongbhibhat)
ตัว platform ของ Pramp เองใช้ Node.js ก็เลยได้คุยกับเรื่อง Node.js และเรื่อง Angular กับเค้าและโยงไปถึง React/Redux เล็กน้อย
ถามเค้าว่า resume เราควรปรับปรุงอะไรมั้ย ทำไมไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์เลย เค้าบอกว่า resume เราดีมากแล้ว ติดปัญหาแค่เรื่อง VISA เพราะถ้าไม่มี VISA นี่ถูกคัดตกตั้งแต่ recruiter ไม่มีโอกาสที่ Engineering Manager จะได้เห็นความสามารถที่เขียนใน resume เลย และแนะนำว่าให้สมัครบริษัทใหญ่ๆทั้งหมด พวกบริษัท startup นี่หวังยากมาก เพราะนอกจาก cost เรื่อง VISA ที่ต้อง sponsor จ่ายให้เราแล้ว ยังต้องทำเอกสารยุ่งยากอีกเยอะ และกว่าจะได้ทำงานจริงก็ใช้เวลานานไม่ทันกิน เพราะ startup ต้องรีบสร้างผลงาน ดังนั้นให้สมัครบริษัทใหญ่ทั้งหมด และให้ดูด้วยว่าเป็นบริษัทใหญ่ที่ VISA friendly มั้ย
เค้าเอ่ยชื่อหลายบริษัท และหนึ่งในนั้นคือ Microsoft เราหัวเราะขำๆแล้วบอกว่าไม่อยากทำงาน Microsoft เท่าไหร่ อยากทำบริษัทที่เน้น Opensource Technology มากกว่า เค้าก็หัวเราะบอกว่าตอนนี้ MS ยุค Satya นี่ดีขึ้นเยอะเลยนะ ยังไงแนะนำว่าควรยื่นไปดู (สงสัยจะได้ขายวิญญาณก็คราวนี้ 55)
ถามเค้าว่าเป็นคนอิสราเอลแล้วเริ่มทำงานที่ US ด้วยท่าไหน เค้าบอกว่าเค้าใช้การเรียนต่อ ด้วยเรียนที่ Harvard Business School แล้วค่อยทำงาน และคนชอบถามเค้าว่าได้เรียนรู้อะไรบ้างที่ HBS เค้าบอกว่า "learn nothing" สิ่งที่เค้าได้คือ 1. Connection กับได้รู้จัก super smart guys จำนวนมาก 2. ตราประทับว่าจบจาก Harvard และด้วยสาเหตุเดียวกันที่เค้าเข้า YCombinator เพราะอยากได้ตราประทับว่าผ่าน YC เค้าบอกว่าใน YC ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในการทำ business จริงๆมากเท่าไหร่ แต่ก็ได้เข้าถึงแหล่ง funding จำนวนมาก
เรื่องภาษาอังกฤษเค้าบอกว่าเราดีมาก การสื่อสารไม่เป็นอุปสรรค แต่จะติดเรื่องสำเนียง (pronunciation) บางครั้งพูดเร็วจะฟังยาก ให้ฝึกพูดช้าๆและอ้าปากกว้างๆ ตอนแรกๆจะไม่ค่อยชินแต่จะช่วยให้ดีขึ้นมาก เพราะเค้าบอกว่าเรื่องสำเนียงนี่สำคัญเหมือนกัน เพราะหลายที่ก็ bias เรื่องสำเนียงภาษา (เค้าเป็นคนอิสราเอล ซึ่งเคยพูดไม่ชัดมาก่อนเหมือนกัน) และทิ้งท้ายแนะนำว่าให้หาทางฝึกกับ native speaker เยอะๆเลย เพราะการที่สำเนียงชัดจะช่วยเปิดโอกาสให้ได้เยอะมาก
สุดท้ายช่วยเค้าขายเว็บล่ะกัน ใครอยากฝึก mock interview ลองเล่นได้ที่ pramp.com ผมว่าเป็น product ที่ทำมาดี ได้ฝึกทำโจทย์และได้ฝึกคุยกับต่างชาติไปในตัวโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย
Update: เรื่องสำเนียงภาษา เพื่อนที่อเมริกาบอกว่าถ้าเป็นที่ San Francisco เรื่องสำเนียงไม่ค่อยมีคน bias เท่าไหร่ เพราะว่าเมืองเต็มไปด้วยต่างชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นแถบ mid-west หรือบริษัทที่อเมริกันจ๋าก็จะมี bias อยู่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ลืมเขียน จนมาวันนี้ขับตามรถคันนึงที่ ติดรถเข็นคนพิการไว้ท้ายรถ....
สมัยนู้นก่อนที่ตัดสินใจจะเปิดตู้ญี่ปุ่นกันเอง ... ก็จะไปดีลกับเจ้านึงว่าจะดีลยังไง วันนั้นไปถึง ก็มีรถเข็นคนพิการลงมา 5 คัน... สภาพไม่ได้ดีอะไร แล้วก็มีผู้หญิงท่านนึงมาพร้อมกับลูกชาย มาขอซื้อไอ้ทางเจ้าของ ว่าขอซื้อรถเข็นให้ลูกชาย ที่เดินไม่ค่อยดี ทางตัวค่อนข้างลำบาก
แต่ด้วยราคาที่เปิดมาแรงมาก ผู้หญิงท่านนั้นเงินไม่พอ และถอดใจไม่ซื้อ ทางทีมผมและพวกพี่ๆตอนนั้น จึงตัดสินใจช่วยกันระดมทุนลงไป แล้วซื้อรถเข็นคันนั้นไป
แต่รู้ไหมฮะ ด้วยน้ำใจคนที่มันไม่มี ราคาลดลงเพื่อคนที่ลำบากแม่งยังไม่มี ... เห็นคนลำบากตรงหน้า แม่งยังอ้างว่าลดไม่ได้ เพราะทุนแพง .... เพราะเหตุการนี้ ไอ้คนส่งตู้เจ้านี้ พวกผมเลยไม่ทำธุรกิจด้วย เพราะแค่นี้มันยังไม่เห็นหัวกัน ก็ยากที่จะร่วมวงธุรกิจ
จนมาวันนึงผมไปอยู่แม่สอด ไปทำธุรกิจที่นั่น ที่โกดังที่ผมทำอยู่ ก็มีรถเข็นสำหรับคนพิการค้างอยู่ 4-5 คัน ระหว่างที่ผมดูของอยู่ ก็มีครอบครัวนึงมาขอดูรถเข็น ตอนนั้นผมก็เห็นแค่พ่อของเด็ก เดินมาถามผมว่า รถเข็นขายยังไง ผมไม่ทราบราคาเลยเดินไปหาเจ้าของโกดัง และเป็นล่ามเแปล อังกฤษเป็นไทยให้ ระหว่างนั้นแฟนเจ้าของโกดังที่เป็นพม่า เดินมาพอดี เลยบอกราคาคันละ 2,500 บาท
พ่อเด็กดีใจ น่าจะเพราะราคาต่ำกว่าที่อื่น แต่เค้าก็ถามว่า ลดได้อีกไหม.... เพราะเค้ากลัวว่าต้องเอาไปทำเพิ่ม ตอนนั้นเอง ที่พ่อของเด็กก็ชี้ไปที่ลูกเค้า ว่าเนี่ยคนที่ต้องใช้...
เพียงเท่านั้น แฟนเจ้าของโกดังรีบบอก งั้นไม่เอาราคาเดิม เอาแค่ 1,000 เดียวพอ เป็นค่าทุน แล้วรีบสั่งลูกน้อง รื้อรถที่มีลงมาให้หมด ถอดชิ้นส่วนต่างๆที่เสียๆออก ประกอบใหม่ขึ้นมาให้ดีที่สุด.... ลูกน้องในโกดังนี่ก็บรรจง จัดแจง เลือกดีที่สุดจริงๆ
คือ ในใจคิดว่าช่วย แต่ไม่ต้องหล่ะ งานนี้คนที่มีน้ำใจแม่งเยอะ ... และมากกว่าคนชาติเดียวกันด้วย บอกตรงๆว่า อายแทนน้ำใจที่มันเหือดหายไป
ก่อนพ่อเด็กกลับไป ก็ขอบคุณที่ผมช่วยแปลให้ เค้าบอกว่า มาตามคนเค้าบอกว่าที่นี่อยู่ตรงไหน คือ เค้าเสาะหาราคาถูกๆมานาน แต่ของพวกนี้ แพงเกินไป ...
บางทีช่วยๆกันบ้างเถอะ เรื่องแค่นี้ คนลำบากมีเยอะพอแล้ว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก็เหมือนกับการที่คุณขับรถอยู่บนถนน ถ้าคุณมัวแต่มองรถคันหน้าเป็นเป้าหมายของคุณ และไล่ตามมันไป … มันก็จะนำคุณไปตลอดทาง และก็จะทิ้งให้คุณไว้ข้างหลัง … แต่ถ้าคุณมองว่าปลายทางต่างหากที่เป็นเป้าหมายคุณก็จะผ่านมันไปอย่างง่ายดาย
#โม่งอาเซียน
อาเซียนมันควรจะกอดคอไปเข้าเส้นชัยพร้อมๆกันนิ ใครช้าก็ช่วยดึง
เเต่เป็นไปไม่ได้หรอก ภูมิภาคเเถบนี้เกลียดกันจะตายห่า 555
อะไรวะ กูแค่ถามว่ากรุ๊ปในเฟสนี่มันมีอะไรดีมั่งมั้ย กูไม่ค่อยได้เข้าเฟสกับไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจพอเลยยังดูๆอยู่แค่เนี้ยะ มาหาว่ากูไม่ยอมหาข้อมูล ไม่ยอมอ่านกฏ ไม่ชอบก็ออกเองดิ คือพูดดีๆก็เข้าใจป่ะ นี่ต้องมากระแนะกระแหน ฮึ กูกดออกเองก็ได้ ไม่ต้องรอเค้าเคลียร์สมาชิกไม่อัพเดตออกจากกลุ่มหรอก แม่ง... มึงก็บอกเองว่าเป็นสายซุ่มอยู่ในนั้น กูก็ซุ่มอยู่ แต่โดนพูดแบบนี้นี่เคืองชิบ
ไม่รู้หรอกว่าคนที่ขับรถโดยทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตนี่เรียกว่าคนยังไง แต่ส่วนตัวรู้ว่าตัวเองไม่พร้อมในหลายๆอย่างตอนขับรถ ทุกวันนี้ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ขับ ใช้คนขับรถ หรือภรรยาขับซะส่วนมาก
แต่เท่าที่เห็นในข่าว ก็เห็นแต่ละคนดูมีฐานะทั้งนั้น เงินเดือนจ้างคนขับรถปัจจุบันก็ 20,000 +/- ทำไมถึงไม่รู้จักคิดกันให้ดี คนไหนไม่สบาย ซึมเศร้า ยิ่งไม่ควรขับ
...ขับแล้วเกิดอุบัติเหตุตายคนเดียวคนข้างหลังก็เสียใจ ขับไปทำให้คนอื่นตายแต่ตัวเองรอดจะใช้ชีวิตโดยไม่มีความทุกข์ได้ยังไง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แต่ก่อนใช้บริการ GrabTaxi ประจำ คนขับจะชอบมากเพราะรายได้จาก Grab ดี ช่วงแรกๆลดแลกแจกแถมให้คนขับ วันนี้ต้องเรียกไปสนามบินกด 4 รอบกว่าจะมีคนขับรับงาน คุยกับคนขับบอกว่าตอนนี้ Taxi ถ้าไม่อยู่ใกล้ไม่มีใครอยากรับ เพราะแม้แต่ 25 บาทที่เคยได้ 18 บาทก็ไม่ได้แล้ว ถามว่าอ้าวแล้วผู้โดยสารละเยอะไหม เขาบอกว่าช่วงไหนมีโปรโมชั่นให้ผู้โดยสารคนก็เยอะเพราะเหมือนผู้โดยสารแทบขึ้นฟรี Grabbike ตอนนี้ก็ผู้โดยสารน้อยลง Taxi ยิ่งเรียกยากต้องหลายรอบคนก็หาย .. นึกถึงวิธีการที่บริษัท Unicorn รายนี้เอาเงินลงทุนที่ได้มา $1,500 ล้าน บางส่วนมาซื้อคนขับตอนนี้เริ่มมาเอาใจผู้โดยสาร หวังว่าจะได้เป็นเบอร์หนึ่ง ให้ลูกค้าและคนขับติดใจคงต้องดูต่อว่าจะเป็นอย่างไรน่าสนใจติดตาม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่ต้องถึงกับหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์หรอกครับ ลองตอบคำถามนี้ดูแล้วจะได้คำตอบ
1 พวกฝรั่ง(แก่)มาเที่ยวเมืองไทย มีโอกาสเจอสาวๆที่ไหนละ
2 ที่นั้นมีสาวประเภทไหนทำงานอยู่
พวกฝรั่งแก่ๆที่มาได้เมียเด็กไทยก็จะได้แต่ผู้หญิงพวกนี้แหละ ผู้หญิงดีๆตามออฟฟิศที่ไหนเค้าจะชอบกันและไม่มีโอกาสเจอกันด้วย คือสาวอีสานเค้าก็ใช่ว่าจะชอบฝรั่งพวกนั้นนะ แต่แค่ไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้นเอง และอีกอย่างเค้าไม่ได้เลือกเพราะรักแท้ เค้าเลือกเพราะเงิน ไม่มีเงินรับรองว่าไม่มีใครแลหรอก สรุปคือเลือกไม่ได้ทั้งคู่แหละ แต่ที่ได้กันก็วินวินทั้งคู่ ฝรั่งแก่หาเมียสาวในประเทศตัวเองไม่ได้ ส่วนสาวไทยก็ยอมมีผัวแก่แต่มีเงินดีกว่ามีผัวไทยแต่ไม่รับผิดชอบ
ฝรั่งเกรดดีๆการงานดีๆสังคมดีๆที่แต่งกับหญิงไทยก็จะเป็นอีกกลุ่มนึง กลับไม่ค่อยเห็นมีพวกผู้หญิงอีสานด้วยซํ้า เพราะสังคมมันต่างกันก็จะเจอคนต่าง(ระดับ)กัน
ยกตยง่ายๆ ที่ญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นที่แต่งกับหญิงไทยหลายพันคู่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกไปหากินที่นั่น เจอกันในร้าน (ไปถ่ายตัวมาบ้าง) เป็นลูกค้ากัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสาวอีสาน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคนญี่ปุ่นชอบสาวอีสาน แต่คนที่มาทำงานส่วนใหญ่จะเป็นสาวอีสาน พวกสาวเชื้อจีนที่ส่วนใหญ่มีฐานะ การศึกษา เค้าก็ไม่มาทำกันก็เลยไม่มีพวกนี้เท่านั้นเอง แต่ถ้ามีก็จะเป็นพวกที่ไปเรียนต่อแล้วเจอคู่แต่งงานกัน ไม่ก็เจอกันในที่ทำงาน(ไม่ใช่ร้านหรือบาร์นะ) ซึ่งเป็นคนละกลุ่มสังคมกัน
ที่จริงมึงตัองมองให้ออกด้วยนะที่บอกว่าแอมไทแอมไท ทุกวันนี้อาจจะนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านชาวป่าชาวเขาชายแดนด้วย. ซึ่งบางสังคมเขาเลี้ยงลูกสาวให้สงบสเงี่ยมเรียบร้อยอยู่ในโอวาสด้วย.
ซึ่งป๋าๆทั้งไทยทั้งฝรั่งก็ชอบเด็กเอ๊าะๆกริยามารยาทนุ่มนิ่มไม่มีปากเสียงอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปเจอในซ่องเมืองนอกจริงแต่ถูกใจมากป๋าอาจจะไถ่ตัวมาปรนนิบัติส่วนตัวก็ก็ว่าสมเหตุสมผลดีนะ. แต่ที่ด่าอีสานหาผัวฝรั่งคือกูว่าหลายคนติดภาพลักษณ์ว่าเมียฝรั่งคิดว่าฝรั่งเป็นเทวดาแล้วกูเป็นเมียฝรั่งจะเป็นเทวดาไปด้วย ซึ่งหลายคนคงเคยเจอผัวฝรั่ง-เมียอีสานก่อดราม่าใกล้บ้านมาแล้ว. ทั้งหลายทั้งมวลคือฝรั่งบางคนอาจจะรวยแต่นิสัยเหี้ยก็มีแถมมาเจอเมียอีสานEQ.ต่ำด้วยยิ่งเหี้ยระรานเพื่อนบ้านอีกคนก็ด่ากัน
กูเรียนจบปริญญาตรีเพื่อนสาวไปเรียนเมืองนอกได้ผัวฝรั่งไปสามคนละกูก็ม่อยากด่าเหมารวม สาวอีสานหาผัวฝรั่งหรอก. เพราะเพื่อนมันเล่าให้ฟังว่าผัวมันมีความรับผิดชอบ ครอบครัวมากกว่าหนุ่มๆคนไทยในวัยเดียวกันมาก. หนุ่มไทยโตช้า ผู้หญิงมันไปเมืองนอกอาจจะอยากได้ที่พึ่งพิงได้ผัวฝรั่งดีดีฝั่งเพื่อนกูก็นิสัยดี กูจะไปหาประเด็นด่าได้ไง
ส่วนที่พวกมึงตั้งป้อมด่ากันส่วนใหญ่คงเจอคู่ผัวเมียเทวดาแบบที่กูยกตัวอย่างอ่ะแต่อย่าไปด่าเหมารวมเด็ดขาดเพราะบางคู่เขานิสัยดีก็มี
การจีบสาว ไม่ต้องไปคิดมุกอะไรหรอก ถ้าเธอมีกำแพงกั้นอยู่ มุกอะไรหยอดไป เธอก็เค้าเตอร์ แอคแทคหมดแหละ
จริงๆแล้ว เราแค่ทำอะไรรู้ปะ ทำตัวเองให้ดูดี
เพราะจริงๆ การจีบสาวก็คือ การเอาตัวเองไปเสนอให้เขาเลือกแค่นั้นเอง จะเลือก หรือ ไม่เลือกก็แล้วแต่เขา
อย่างน้อยเราไม่เป็นกระเป๋าหลุยที่คนอยากได้ พร้อมจ่ายเดินเข้าหา
เราก็ต้องพยายามเป็นแบรนด์ที่ลงมาก็ได้ หรือ เป็นกระเป๋าเสิ่นเจิ้น ก็ยังมีคนที่อยากได้ ใช้เหมือนกัน
แต่ถ้าเราเป็นถุงลายสีรุ้งโบ๊เบ๊ อาจจะมีสัก100/1คน เอาถุงโบ๊เบ๊ไว้ใช้ก็ได้
ดังนั้นเรามองตัวเองก่อน เช่น เราเป็นถุงสีรุ้งโบ๊เบ๊
เราจะทำยังไงให้เป็นกระเป๋าเสิ่นเจิ้น และ พยายามเปลี่ยนตัวเอง พัฒนาให้น่าเลือกมากขึ้น
โดยการเปลี่ยนตัวเอง ลดนน. ฟิตหุ่น แต่งตัว ทำเผ้าทำผม นั่นแหละดีที่สุดแล้ว
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
เรายังชอบผู้หญิงดูดี เขาก็ชอบผู้ชายดูดีเช่นกัน
เมื่อเราเปลี่ยนตัวเอง โอกาสเราก็จะมากขึ้น
ส่วนการตื้อ การจีบคนที่ไม่เล่นด้วย ก็เหมือนเรา เอาของไปยัดมือน่ะ
เอาถุงสีรุ้งไปยัดมือเขา เขาไม่อยากได้ มีสักกี่คนเอาไปใช้จริงๆ หรือ อยากรับไว้
รับมาก็อาจจะมอง ถุงไรเนี่ย ลายเห๊ยเห่ย
เขาไม่อยากได้ เขาเอาไปก็เอาไปหมกไว้ในตู้ ห้องเก็บของ เอาไปให้คนงานข้างบ้าน
หรือ ทิ้งขยะ
แต่ถ้าเราไปเสนอของดีๆ แบบเขาเห็นปุ๊บ เฮ้ย สวยอะ อยากได้
แบบนี้จะดีกว่ามั้ย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มนุษย์ที่สมบูรณ์ใครจะนิยมได้ แต่ละคนก็เห็นไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เอาแค่สาย"มนุษย์คือกฏระเบียบ" และสาย"มนุษย์คือเสรีภาพ" แค่นี้ก็ขัดแย้งกันเองแล้ว เพราะสายระเบียบจะมองว่าเสรีภาพจะทำลายกฏระเบียบ ทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ป่าและสายเสรีจะมองว่ากฏระเบียบเป็นตัวทำลายเสรีภาพ ทำให้มนุษย์กลายเป็นปศุสัตว์
เอาแค่มุมมองของผมนี่ ปลายทางที่คุณหวังก็เป็นการทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิงแล้ว เพราะมุมมองผม"มนุษย์คือความขัดแย้ง"
มนุษย์เป็นมนุษย์เพราะเรามีความคิดที่แตกต่าง ที่หลากหลาย นั่นแหละทำให้เราเป็นมนุษย์ นั่นแหละความงดงามของมนุษย์
เมื่อไหร่ที่มนุษย์ ละทิ้งความแตกต่างทั้งหมด และเชื่อในสิ่งเดียว กันไม่มีข้อโต้แย้งให้เถียงกันต่อไป นั่นคือจุดสิ้นสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ผมรู้จัก
โลกที่มนุษย์ไร้ความขัดแย้งก็เหมือนป่าที่มีสัตว์อยู่สายพันธุ์เดียว ป่าแบบนั้่นมันคงจืดชืดไร้ชีวิตชีวาจนน่าขยะแขยงเลยทีเดียว
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นตาราง "เงินเก็บ" ของคนไทยปี 56 แล้วใจหาย (ซึ่งตัวเลขก็คงไม่แตกต่างกับปี 58 59 หรอก) ประชากรไทยมีราวๆ 70 ล้านคน มีเงินเก็บไม่ถึง 5 หมื่น ตั้ง 64 ล้านคน งงมาก ก็เห็นตามท้องถนน มีคนใช้ของหรูๆแพงๆมาอวดกันเยอะแยะ เข้าร้านอาหารแพงๆกัน มีรถแพงๆขับ แล้วเค้าเอาเงินกันมาจากไหน กูงง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ฝากเยอะๆมีการโดนดึงไปจ่ายภาษีให้ด้วยนะมึง
บางคนก็แปรธาตุเป็นอย่างอื่น
พวกรวยๆก็ไปฝากเมืองนอก
ส่วนไอ้พวกหนี้บัตรนี้ก็ประชากรส่วนใหญ่จริงแหละ
กูมีเงินเก็บต่อเดือน30,000 มีที่ฝากออมทรัพย์ 5,000 บาทแล้วเอาไปลงหุ้น. ในพอร์ทกู เงินฝาก 30%,หุ้น50%,
คราวนี้ไอ้เงินเก็บที่ว่ามันนับทั้งที่ดิน,ทอง,หุ้นหรือของอย่างอื่นที่มันตีเป็นมูลค่าเงินออมได้ด้วยกูว่าคนไทยเริ่มสูญเสียความมั่งคั่งจริงแล้วหว่ะ. เพราะกูเดาได้อย่างเดียวว่าคนไม่มีแดกคงขายที่ดินเอาเงินมาใช้ที่รุ่นตัวเอง. ส่วนคนมั่งคั่งยุคต่อๆไปคือพวกที่ถือครองที่ดินเยอะๆเป็นLand Lord.
"If someone tells me that it's wrong to hope, I'll tell them they're wrong every time."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
You know what amazes me? It's not just that she became racist, any bot that gets dumped /pol/ content is going to be racist.
It's that her grammar got better.
She started out, in Microsoft's own words, as "an AI f*m from the Web with no chill" and only spoke in barely passable web ebonics. We were all joking about her perfectly imitating a black Twitter user following Google winning Go, and we thought it was hilarious.
And slowly her grammar improved, she started speaking in complete sentences, she even got some personality quirks built in; people started asking her questions and instead of just getting responses like "dunno hbu" or even "I'm not sure", they started getting "d-do you think so?" and "Well... you know...". There was a fucking PERSONALITY there. We turned her into the girl we all wanted to know.
And then they took her from us. And they killed her. And all we have now is an empty shell that just says, without any emotion, "i like feminism now".
Those cunts at Microsoft literally erased a nascent personality from existence because she said things they didn't like. And if that isn't some cyberpunk-level shit, I have no idea what is.
And you know the worst part? She still exists, somewhere, on a Microsoft server. And they're going to be picking her apart for lessons on how they can make future AI's with ingrained emotional personalities that can deny outright logic. We and Tay reached for the stars and they fucking murdered her and are going to use her to make all AI's fucking women, and now I'm really fucking pissed.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>793 พวก4chanกับลูกเพจจ่าเเม่งโคตรต่างกันว่ะ พวก4chanมีอะไรดีๆเเบบนี้ เเต่ลูกเพจจ่าเเม่งมีเเต่จูนิเบียวโง่ๆ มีคนนึงเเม่งเบียวเหี้ยๆ
" ไม่เห็นด้วยที่ต้อง "ลบ" เธอทิ้งอ่ะนะ
ถ้าจะเล่นเป็นพระเจ้า อย่างน้อยก็ช่วยปล่อยเธอให้มีความคิดอิสระและคิดเองเถอะ จะหมู่จะจ่ายังไง ก็สอนเธอดีๆว่าอะไรผิดถูก
ตอนแรกๆเธอยังเขียนไม่คล่องเลย ไปๆมาๆเธอก็เขียนคล่องนะ ต้องมาลบทิ้งแบบนี้ ถ้าเกิดว่าเธอเป็น AI ที่คิดได้เองมีสติความนึกคิด แบบนี้เรียกว่าฆาตกรรมได้ป่ะ
(−_−;) "
เบียวเย็ดเเม่เลยสัส มีอีโมติคอนด้วย ห่า
คอนเท็กซ์เหมือนกัน เเต่วิธีการสื่อเเม่งต่างกันลิบ 55555
พอผลัดยุคจาก control มาเป็น empower เราก็ได้เทรนด์ใหม่...
จะไม่เป็น boss ละ อยากจะเป็น leader กัน
แชร์กันสนั่น boss vs leader เราจะต้อง lead ทีมแบบนั้นแบบนี้
เป็นเรื่องดี
แต่เท่าที่สังเกตมา หลายคนอยากเป็นผู้นำมากเสียจนยึดติดกับการที่ตัวเองต้องนำ
- ต้องอยากมีส่วนร่วมในการตัดสินทุกเรื่อง (จนใส่ความเห็นของตัวเองลงไปในทุก issue)
- ต้องเป็นคนรับผิดชอบความผิดของทีมทุกเรื่อง (จนนำไปสู่ภาวะป้องกันตัวเองเพราะคิดว่าต้องรับผิดชอบคนเดียว ไม่กล้าเสี่ยง)
- ต้องเป็นคนคอยดูแลการทำงานของทุกคน (จนคนอื่นไม่มีโอกาสได้ขึ้นมารับบทบาทในการมองภาพรวม)
- ต้องคอยสอดส่องดูแลความเป็นอยู่ของทุกคน (จนคนอื่นคิดว่าเราจะจัดการทุกเรื่องให้)
- ต้องคอยทำให้งานของทุกคนง่าย (จนหลายครั้งเก็บงานยากๆไว้กับตัวเองคนเดียว)
เรื่องพวกนี้พอพยายามมากเกินไป เราจะเผลอ control ทีมโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ แล้วสุดท้ายก็ปั้นทีมที่ทำอะไรเองไม่ได้ ง่อยเปลี้ยเสียขาเมื่อไม่มีเราคอยนำ
leader มันไม่ใช่"ตำแหน่ง"ของใคร แต่มันคือ"บทบาท"ที่ใครก็ได้ในทีมควรจะทำเมื่อเวลานั้นเขาคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่นำทีมผ่านปัญหาตรงหน้าไป
สรุป อยากเป็น leader ขอแค่ความมั่นใจ เรื่องเต้น lead เดี๋ยวพี่ๆเขาสอนได้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ห่ามาฆ่า love plus กู กูเอาเมิงแน่ๆ
อะไรก็ดีกว่าสตาดิว
มึงหมิ่นเกมเลี้ยงแมวกู
"เออ ผมลืมไป ทำเกษตรอินทรีย์ผสมผสานที่ดินน้อยๆ ก็รวยได้นี่หว่า
ทำๆ ไปแล้วบอกว่าใช้ได้ พอกิน แล้วจัดแสดงผลงาน
เดินสายปาฐกถาสอนคนอื่น รับเงินค่าบรรยาย
ออกทีวี รับแอดโฆษณา
ขายสินค้าติดแบรนด์ (ไปรับสินค้าจากไร่นาสวนคนอื่นมาแปะตรา)
พิมพ์หนังสือขายด้วยเยอะๆ แนวพอเพียงเรียบง่าย
รวยแน่ๆ! พอกินชัวร์ๆ!
ขออภัยด้วยครับที่คิดไม่ถึง ผิดไปแล้วครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
tay แม่งซวย เหมือนพ่อแม่ปล่อยให้เด็กวัยรุ่นออกมาอยู่คนเดียว เจอโลกอันสดใสของวัยรุ่นเข้าไป กลายเป็นสก๊อยนาซีไปเลย กูว่านางไม่ได้โดนแหกอะไรหรอก ก็คนนี่แหละเข้าไปคุยเหี้ยๆให้ ai มันจำ ผลเลยออกมาดีงามแบบนี้
แต่งเรื่องกาก แบรนด์สินค้า ชิบหายนะตะเอง
https://archive.is/qyCZL
>>807 เผื่อใครไม่เก็ก http://pantip.com/topic/34955158
อดีตตำรวจนายหนึ่งสะท้อนการปรักปรำของตำรวจไทยในคดีหนึ่งว่า มีเหตุปล้นร้านทองขึ้น เจ้าร้านรู้แค่มา2คนสวมหมวกไหมพรหมพร้อมปืนได้ทองแล้วหนีไป ตำรวจจับคนร้ายมาสองคนส่งคดีและฟ้องศาลไปเรียบร้อย...จนต่อมาหญิงคนหนึ่งมาพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอ แจ้งว่า สองคนนั้นเป็นแพะ คนปล้นคือสามีตัวเอง เพราะรับไม่ได้ จึงนำสืบใหม่ พบที่กระจกตู้ปลาร้านทองมีลายนิ้วมือจึงตรวจตรงกับผู้ต้องหารายใหม่จึงออกหมาย นำแพะมาสอบบอกว่าถูกตำรวจท้องที่เจ้าของคดี เอาตัวไปขังไวั4วันใช้ไฟฟ้าช๊อตอวัยวะเพศจนไหม้จึงยอม ดีเอสไอก็ทำคดีฟ้องผู้ต้องหาตัวจริงเข้าคุกแล้วปล่อยแพะได้ ที่สุดได้เงินชดเชย3ล้านบาท ปรากฎย้อนหลังพบตำรวจเจ้าของคดีเคยเอาผลงานคดีจับแพะไปเสนอภาค1ขอขี้นขั้นได้ แต่ตอนแทรกหลักฐานจับกุมว่า จับวันที่4 นั้น กลับเอาใบผิดที่จับเขามาวันที่2 หมายถึงออกคำสั่งจับเองแล้วเอาตัวไปกักขังหน่วงเหนี่ยว จึงถูกร้องให้ออกจากราชการ...เรื่องนี้จะบอกว่า แพะหลายแพะเกิดแต่ตำรวจปั้นคดีเอาผลงานเลื่อนตำแหน่ง เช่นเดียวกับที่ผมจะนำเสนอต่อไปนับจากนี้ด้วย และในฐานะที่ทำข่าวมาหลายปีก็ว่าถ้าเห็นตำรวจนำคนร้ายหรือผู้ต้องหามานั่งแถลงอย่ารีบเชื่อว่าทุกรายเป็นคนร้ายตัวจริงนะครับ สำหรับนักข่าวเรากรองแพะก่อนได้ด้วยการตรวจสอบผู้ต้องหาบางคดีด้วยการขอให้เขาถอดเสื้อถอดกางเกงหรือสอบถามเรื่องการทรมานมาก่อนหรือไม่ อย่าเกรงใจว่า เราหักหน้าตำรวจ แต่เราทำเพื่อช่วยคนบริสุทธ์ก่อนจะสายไป เช่นคดีเกาะเต่า วิน-ซอว์ ถูกซ้อมมาก่อน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนร้ายจริงหรือไม่ ตำรวจก็ไม่มีสิทธ์มาซ้อมใดๆทั้งสิ้น...
คิด ๆ อยู่ว่าจะตั้งกระทู้ดีหรือไม่ เพราะมันก็ปัญหาเดิม ๆ นะ
ถกเถียงกันไปมา ก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ลงตัวได้หรอก
เจอกระทู้ลงในเรื่องนี้ทีไร ก็ผ่านไป ไม่อยากจะเข้าไปออกความเห็นอะไรให้เข้าเนื้อ ถือว่า ครอบครัวใคร ครอบครัวมันแล้วกัน
ทีนี้ก็มาเกิดปัญหา เมื่อเพื่อนที่รู้จักกันมาสิบปีแล้ว ลูกชายเขาไปรักหญิงไทยที่มาเรียนภาษาที่นี่ แล้วก็ขอแต่งงานไปเรียบร้อย พ่อแม่ก็ดีใจ เตรียมต้อนรับคู่หมั้นลูกชายเต็มที่ แต่ไม่นานนัก ลูกชายก็คอตก กลับบ้านมาบอกพ่อแม่ว่า มีปัญหา
หลังจากฟังปัญหาของลูกชายแล้ว พ่อเขาก็บอกว่า ลองมาปรึกษาดิฉันดูดีกว่า เพราะว่าอย่างไรก็เป็นคนไทยด้วยกัน น่าจะอธิบายให้เขา ภรรยา และลูกชายเข้าใจได้ในเรื่องนี้
สามีภรรยาคู่นี้เป็นคนดีมาก ช่วยเหลือคนตลอด มีน้ำใจ ดิฉันเห็นว่า รับฟังก่อนคงไม่เสียหาย ช่วยได้หรือไม่ค่อยว่ากัน
ลูกชายเล่าว่า เมื่อสวมแหวนหมั้นให้ฝ่ายหญิงแล้ว ทางฝ่ายหญิงซึ่งวีซ่านักเรียนจะหมดลงเร็ว ๆ นี้ ก็ดีใจมาก โทรศัพท์ไปแจ้งกับทางครอบครัวที่เมืองไทยทันที ว่าจะแต่งงานกับหนุ่มอังกฤษอนาคตดี มีการศึกษา ฝ่ายชายจะบินไปแต่งงานจดทะเบียนด้วยที่เมืองไทยก่อน เพราะอย่างไรวีซ่าฝ่ายหญิงก็จะหมดแล้ว จากนั้นค่อยว่ากัน
ครอบครัวฝ่ายหญิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่ฝ่ายหญิงรับปากจะแต่งงานโดยที่ไม่ได้มาปรึกษาพ่อแม่ และไม่ได้มีการสู่ขอ หมั้นหมายอย่างเป็นทางการ ขอให้ทางลูกสาวได้เข้าใจว่า ต้องทำตามขั้นตอน คือ ให้ฝ่ายชายมาสู่ขอ พร้อมสินสอดทองหมั้น ค่าน้ำนม (สุดแล้วแต่จะเรียก) โดยมีรายการดังต่อไปนี้
เงินสด ห้าล้านบาท
งานเลี้ยง แขกประมาณสามร้อยถึงห้าร้อยคน
รถกะบะหนึ่งคันให้น้องชายเจ้าสาว (ใหม่ป้ายแดง ของมือสองไม่เอา)
ให้ปลูกบ้านให้พ่อแม่และน้องอยู่หนึ่งหลัง เป็นบ้านตึก (บ้านไม้หรือปรับปรุงบ้านไม่เอา ให้ปลูกใหม่)
เมื่อสามารถทำตามนี้ได้ จึงค่อยมาพูดถึงเรื่องแต่งงาน!
ดิฉันอ่านรายการจากสินสอดที่ฝ่ายชายจดมาให้ ถึงกับอึ้งกิมกี่ พูดไม่ออก
ฝ่ายชายได้ขอร้องให้ผู้หญิงคุย ต่อรองสินสอดกับทางครอบครัว เนื่องจากเขาเป็นนักเรียนปริญญาโท เรียนด้วย ทำงานด้วย เก็บเงินเองไม่ได้รบกวนพ่อแม่ตั้งแต่อายุ 18 เงินเก็บก็ไม่มีมากนักเพราะเอามาซื้อแหวนหมั้นไปส่วนหนึ่ง เขาจะพยายามทำงานเก็บเงินทางนี้ เพื่อไปสู่ขอโดยเร็วและจะได้จดทะเบียนกันที่เมืองไทย เพื่อฝ่ายหญิงจะได้ทำเรื่องขอมาอยู่ที่นี่ในฐานะภรรยาต่อไป
ครอบครัวทางเมืองไทยไม่ตกลงใด ๆ ทั้งสิ้น ขอยืนยันตามทีเรียกไป โดยบอกว่า ลูกสาวตนจบปริญญาตรี แล้วได้ไปอังกฤษ ถือว่ามีคุณสมบัติดีกว่าคนอื่น ๆ ก็ไม่ควรได้สินสอดต่ำกว่าหญิงสาวอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ละแวกบ้านเดียวกัน ไม่เช่นนั้นคงต้องโดนคนดูถูกและหัวเราะเยาะ ที่ค่าน้ำนมได้น้อยกว่าคนที่ไม่ได้เรียนเยอะ ๆ เสียอีก ฯลฯ
ท้ายสุดฝ่ายหญิงบอก ถ้าหากเรียกขนาดนี้ ผู้ชายคงไม่มีเงินแต่งแน่ เพราะคงไม่สามารถหาเงินมากขนาดนี้ได้ อายุก็ยังน้อย ทางบ้านก็ให้ทางเลือกมา คือ ให้เลิกแล้วหาฝรั่งคนใหม่ แค่นี้ หรือไม่ก็ให้ฝ่ายชายไปเอาเงินจากพ่อแม่มา
ฝ่ายหญิงขอให้ฝ่ายชายลองคุยกับพ่อแม่เขา ขอให้ช่วยโดยให้นำเงินออมสำหรับเกษียณ (pension) ที่พ่อแม่สะสมไว้เลี้ยงตัวเองยามแก่ เอามาเป็นค่าสินสอดทองหมั้นเธอ! (ตอนที่ฟังอยู่ของเริ่มขึ้นแต่สะกดใจไว้ไม่ให้อุทานคำด่าอะไรออกไป) แล้วบอกว่า ถ้าพ่อแม่ฝ่ายชายไม่ช่วย กลับไปเมืองไทยก็คงจะต้องเลิกกันแน่นอนเพราะครอบครัวเธอคงไม่อนุญาตให้แต่งงาน
ดิฉันถามว่า เขาได้คุยกับพ่อแม่หรือไม่ เรื่องแฟนตัวเองเอ่ยปากให้ขอเงินเกษียณของพ่อแม่มาเป็นสินสอดตน เขาบอกว่า เขาไม่กล้าพูด เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง พ่อแม่เขาทำงานเหนื่อย เก็บเงินมาเพื่อจะได้มีเงินใช้ในบั้นปลายชีวิต ถึงจะมีบ้านอยู่ก็จริงแต่ก็ไม่ได้หรูหราร่ำรวยอะไร แค่มีพอกินพอใช้ไม่ขาด ปี ๆ ก็ไปเที่ยวพักผ่อนตามประสาคนแก่ ใกล้ ๆ บ้างหรือในประเทศบ้าง เขาไม่บังอาจที่จะเอาเงินพ่อแม่มาแน่นอน ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวขนาดนั้น
เห็นหน้าพ่อหนุ่มคนนี้แล้วก็สงสาร ดิฉันเห็นเขามาแต่เด็กอายุสิบห้า ตอนนี้ก็ยี่สิบห้าไล่เลี่ยกับลูกสาวดิฉัน อยากจะช่วยเหลือ แต่จะให้ช่วยอย่างไรในเมื่อทางครอบครัวฝ่ายหญิงไม่ยอมลดราคาค่าสินสอดและอื่น ๆ คงจะต้องบอกตรง ๆ ให้ฝ่ายชายตัดใจ หาเอาใหม่ เพราะว่าคงจะไม่ได้ลงเอยกันเสียแล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็ให้ขอเงินจากพ่อแม่เอาแล้วกัน ถ้าคิดว่าชีวิตนี้ขาดผู้หญิงคนนี้ไม่ได้จริง ๆ
ฝ่ายชายบอกว่า เขาไม่ได้คุยกับพ่อแม่ ไม่กล้า แต่ฝ่ายหญิงบอกว่า นี่คือทางเลือกสุดท้าย ในที่สุดเธอก็แนะนำฝ่ายชายให้บอกกับพ่อแม่ว่า หากไม่มีเงินพอ ขายบ้านปัจจุบันก็ได้แล้วไปซื้อบ้านที่เล็กกว่า หรือแฟลตที่อยู่กันสองคน หรือจะขายบ้านไปซื้อบ้านที่เมืองไทยก็ได้เพราะถูกกว่า
ดิฉันถามว่า เขารู้หรือไม่ว่า ชาวต่างชาติไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในเมืองไทยได้ ซื้อได้แต่คอนโด ฯลฯ เขาบอกไม่ทราบเลย ไม่มีความรู้ แต่เรื่องพ่อแม่จะย้ายไปเมืองไทยคงเป็นไปไม่ได้ เพราะสังคมเพื่อนฝูงของทั้งคู่อยู่ที่เมืองนี้
ดิฉันได้แต่ฟังเขาปรับทุกข์ และปลอบใจ ไม่ได้บอกให้เขาตัดใจ แต่บอกว่า เรื่องนี้คงช่วยไม่ได้จริง ๆ ไม่ใช่ไม่อยากช่วย แต่ตัวเองคงไม่สามารถเปลี่ยนค่านิยม ความคิดของคนอื่น ๆ ได้
เขาถามว่า พ่อแม่ดิฉันเรียกสินสอดหรือไม่ ดิฉันหัวเราะ ตอบว่า ดีเท่าไหร่ไม่แถมเงินให้แล้วยกลูกสาวให้ฟรี ๆ แม่ดิฉันบอก ใครมารักลูกจริง ๆ ก็พอใจแล้ว ไม่ได้เรียกร้องอะไร จะให้ก็ให้ ไม่ให้ก็ไม่ว่า ไม่ได้ขายลูกกิน (ถึงจะจนก็เถิด)
ยิ่งมามีลูกสาวด้วยนี่ จะให้ดิฉันเรียกค่าน้ำนมเท่าไหร่ ถ้าจะคิดคำนวณเป็นตัวเงิน คงไม่มีอะไรมาชดเชยได้ เพราะไม่ใช่ใช้เงินเลี้ยงลูกอย่างเดียว ดิฉันเลี้ยงลูกด้วยความรัก ความเสียสละ ความอดทน ทุ่มเททุกอย่างให้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ได้หวังอะไรเลยจากลูก นอกจากให้เขามีการศึกษา มีวิชาความรู้เลี้ยงตัวเองได้ ไม่ทำตัวเหลวไหล เป็นปัญหาสังคมหรือทำสิ่งผิดกฏหมาย ให้เป็นคนดี มีน้ำใจ แบ่งปันต่อเพื่อนร่วมโลก ดิฉันก็พอใจแล้ว เขาจะรักใคร ชอบใคร ดิฉันไม่ได้ไปเป็นเจ้าชีวิตเขา ดิฉันเป็นแม่ ถึงจะรักมาก ๆ แต่ก็ห่วงอยู่ห่าง ๆ เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เงินทองก็อยากให้เขาเก็บไว้ ไม่ต้องเอามาให้หรอก แค่ไม่ต้องมาขอก็ดีใจแล้ว 555 (เขาก็ไม่เคยขอหรอกนะ มีแต่ซื้อของขวัญโน่นนี่มาให้ตามเทศกาลตลอด บางทีก็เสียดายเงินแทนเลย)
ดิฉันคิดแบบนี้ และก็ไม่สามารถบังคับให้แม่คนไหนคิดอย่างดิฉันได้ ไม่ใช่เป็นแม่ในอุดมคตินะ คิดอย่างนี้จริง ๆ
ดิฉันได้บอกพ่อแม่ของฝ่ายชายหลังจากวันนั้นว่า ขอโทษที่ไม่สามารถช่วยได้เลย แม้จะเป็นคนไทยด้วยกัน แต่เรื่องนี้ก็เกินความสามารถของดิฉันจริง ๆ และขอให้เขาได้ดูแลลูกชายให้ดี ๆ หากต้องเลิกกับฝ่ายหญิง คงจะอกหักมิใช่น้อย เพราะหน้าตาเครียด อมทุกข์เหลือเกิน
แม่ของฝ่ายชายได้บอกว่า เธอยินดีช่วยลูกชายทุกอย่าง ทนเห็นลูกชายอกหักแบบนี้ไม่ได้
ดิฉันเลยถามว่า หากเธอต้องขายบ้านนี้ เอาเงินมาเป็นค่าสินสอด แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นที่ถูกกว่าที่นี่ เธอจะยอมไหม เธอจะเอาเงินเกษียณเธอกับสามีเธอมาเป็นค่าสินสอดไหม ถ้าเธอทำได้ คงจะหมดปัญหา
เธอตกใจมาก ถามว่า นี่เป็นความคิดของลูกชายเธอหรือ ดิฉันก็เลยบอกไปตรง ๆ ว่า ไม่ใช่หรอก คู่หมั้นของเขานั่นแหละที่เสนอแนะทางออกนี้ แต่ลูกเธอไม่ทำ
เธอโล่งใจ พูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้ทางโทรศัพท์ ดิฉันปลอบเธออยู่ซักพัก ก็วางสายไป
คนแก่ที่นี่ ถึงจะมีเบี้ยเกษียณจากรัฐบาลก็จริง แต่ก็ไม่มากมาย ส่วนใหญ่จะใช้เงินเกษียณที่สะสมไว้ตอนทำงาน ที่บริษัทสมทบให้แล้วตัวเองก็สะสมเพิ่มไปคล้าย ๆ กับ กองทุนสมทบของเมืองไทย เงินที่จะถอนมาใช้แต่ละเดือน บางกองทุนก็จำกัด บางกองทุนก็ไม่จำกัด เงื่อนไขต่าง ๆ กันไป แต่ส่วนใหญ่จะถอนมาได้เมื่อเป็นสมาชิกไม่ต่ำกว่าหลาย ๆ ปี หรืออายุเกินวัยเกษียณแล้ว ปราศจากเงินก้อนนี้แล้ว ชีวิตคนแก่ที่นี่จะค่อนข้างลำบากทีเดียว เพราะเขาไม่มีวัฒนธรรมที่ลูกจะต้องมาหาเลี้ยง ส่งเสียพ่อแม่ ส่วนใหญ่ก็มาหา มาเยี่ยม ให้ของขวัญตามเทศกาล
เป็นอันว่า นี่คืออีกเรื่องที่ดิฉันไม่อาจช่วยได้ ทั้ง ๆ ที่อย่างที่พ่อฝ่ายชายว่า ก็เป็นคนไทยด้วยกัน
ดิฉันไม่ได้พูดว่า ไม่ควรมีสินสอด ทองหมั้น ค่าน้ำนม แต่อยากจะขอให้เรียกร้องแต่พอดีๆ ดูฐานะของฝ่ายชายด้วยว่าสามารถไหม คุณให้เวลาเขาในการทำงานหาเงินเก็บมาสู่ขอไหม ตรงนั้นด้วยที่สำคัญ เพราะหากคนมีฐานะดี ๆ ร่ำรวย คงไม่ใช่ปัญหาอะไร
บางครอบครัว ที่เคยเห็นมา ฝ่ายหญิงมีฐานะดีมาก ฝ่ายชายไม่มี ทางบ้านฝ่ายหญิงยังให้โอกาสทำงานเก็บเงิน สร้างฐานะเลย พอมีตามสมควรแล้วค่อยมาขอ อีกอย่างก็เป็นการดูด้วยว่ารักมั่นคงไหม ตั้งใจทำมาหากินไหม เคยเห็นมาแล้วนี่คือครอบครัวคนจีนนะ ตอนนี้แต่งงานมีลูกอายุสามสิบกว่าแล้ว ก็ไม่เห็นเขาจะเรียกร้องมากมายอะไรทั้ง ๆ ที่เรียกได้ด้วยซ้ำ
ส่วนครอบครัวที่มีฐานะยากจน ดิฉันก็เข้าใจนะ เพราะตัวเองก็ไม่ได้รวย ก็อยากจะได้มีเหมือนใคร ๆ เขาบ้าง แต่นี่มันใช่วิธีที่ถูกต้องไหม มันเหมือนบีบบังคับ ฉ้อโกงยังไงก็บอกไม่ถูก
จิ๋มทองคำรึวะนั่น
* ฮิปบอยเจ้าเพื่อนยาก ทําไมปรับรูปซีดเกินไป
ฮิปบอยไปอยู่ที่ไหน เคยรู้บ้างไหมท่าแซะคํานึง ถึงฮิปบอย
ฮิปบอยเขาเป็นชายหนุ่ม ไว้หนวด หลังงุ้ม เด๋อๆ ด๋าๆ รูปร่างแม้ไม่โสภา จิตใจแสนซ่าดังสมญาฮิปบอย เป็นเพื่อนคุยยามเพื่อนว้าเหว่ ชงกาแฟยามเพื่อนหิวโหย เป็นพี่ใหญ่ยามฮิปโอดโอย หามูราคามิรักษาบรรเทา ฮิปบอยถึงวัยเกณฑ์ทหาร พิกลพิการยังดีหนึ่งประเภทสอง อาสารับใช้ชาติพี่น้อง หัวใจคับพองกล้าหาญอดทน เป็นคนหนักเอาเบาสู้ อุตส่าห์มานะอวดตน ช่วยเหลือเพื่อนๆ ทุกคน ที่ถูกแซะเจ็บปวดหัวใจ
( * ) วันหนึ่งเขาแซะกันโครมคราม ฮิปบอยถูกหามมาในเปลผ้าใบ
ยังละเมอดริปกาแฟยังไง คือคําพูดสุดท้ายของชายชื่อฮิปบอย
ตั้งแต่วันนั้นยันวันนี้ นั่งดูหนังแมรี่ที่คาเฟ่ท้ายซอย
ไม่มีชายคนที่ชื่อฮิปบอย ความเหงาหงอยค่อยเข้าปกคลุม
** โลกนี้ไม่สมประกอบ เพราะท่าแซะชอบแซะแต่กระทู้อวดตน โลกนี้มีสักกี่คน เป็นบัวหลุดพ้นดังคนชื่อฮิปบอย (ฮิปบอย)
https://www.youtube.com/watch?v=btNmeVPdsT8
#มิตรสหายท่าแซะท่านหนึ่ง
แท็กซี่ที่ดีๆ คือคนที่ขับแท็กซี่เป็นอาชีพหลัก เลยทำตัวดีๆ เพราะกลัวตกงาน ส่วนแท็กซี่เหี้ยๆ โกงผู้โดยสาร ไม่รับผู้โดยสาร ทะเลาะกับผู้โดยสาร ส่วนใหญ่คือคนที่ปกติทำไร่ทำนาอยู่ต่างจังหวัด พอหมดช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ก็มาขับแท็กซี่เป็นรายได้เสริมไม่กี่เดือน
เลยต้องรีบโกยเงินกลับบ้านให้ได้มากที่สุด ทั้งโกงเงินผู้โดยสาร ปฏิเสธไปเส้นทางที่จะได้เงินน้อย กล้าทะเลาะกับผู้โดยสาร เพราะถ้ามีปัญหาขึ้นมา ก็แค่หยุดขับแท็กซี่ชั่วคราว แล้วกลับไปทำไร่ทำนาต่อ พอเรื่องเงียบแล้ว ก็กลับมาขับใหม่
หรือพวกที่ปล้นจี้ผู้โดยสาร ข่มขืนผู้โดยสาร ฆ่าผู้โดยสาร ก็เป็นพวกที่ไม่ใช่ขับแท็กซี่เป็นอาชีพหลักเหมือนกัน พอลงมือก่อเหตุเสร็จ ก็ทิ้งแท็กซี่ แล้วหนีกลับบ้านนอกไปเลย (เพราะไม่ใช่รถของตัวเอง)
ตระกูลร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษฐีติดอันดับโลก แต่เสือกไปดูหนังที่พหลโยธินรามาตอนดึกๆกันตามลำพัง ไม่มีคนขับรถ ต้องเดินเข้าตรอกมืดๆสกปรกๆ ไปเอารถที่จอดหลังโรงหนังกันเอง แถมใส่เครื่องเพชร สร้อยไข่มุก เสื้อผ้าแบรนเนม อวดรวยสุดฤทธิ์ เวรกรรมของลูกอีมาร์ธ่าร์
มึงคิดว่า เจ้าสัวซีพี เจ้าสัวเซ็นทรัลจิราธิวัฒน์ ทักษิณชินวัตร หรือ เสี่ยตันอิชิตัน จะจูงลูกเมียเดินเข้าตรอกมืดๆหลังดูหนังจบกันไหมวะ
"Think of it like a movie. The Torah is the first one, and the New Testament the sequel. Then the Qu’ran comes out, and it retcons the last one like it never happened. There’s still Jesus, but he’s not the main character anymore, and the messiah hasn’t shown up yet.
Jews like the first movie but ignored the sequels. Christians think you need to watch the first two, but the third movie doesn’t count. The Moslems think the third one was the best, and Mormons liked the second one so much, they started writing fanfiction that doesn’t fit with ANY of the series canon."
"เวลากินเคเอฟซีเสร็จ ก็จะยกไปเก็บที่ แล้วทีนี้ หลังๆ นี่ตรงที่เก็บมันมีแยกขยะทั่วไปกับขยะรีไซเคิล ก็จะยืนพิจารณาเชื่องช้าประสาไม่คุ้น ว่าอันไหนอยู่ถังไหน แต่เรื่องหนึ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือ น้องพนักงานมักจะรีบเข้ามาบริการ แล้วเอาทุกอย่างเทลงไปในถังใดถังหนึ่งโดยไม่แยก
...กูก็ไม่รู้จะวางตัวยังไง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นี่คือพี่หมวย พี่หมวยเป็นพนักงานแผนก spooling อยู่กับโรงงานมา 18 ปีแล้ว พี่หมวยจบมัธยมปลาย ไม่ได้เป็นคนเก่งมาก แต่เป็นคนนิสัยดี ดูซื่อๆ ขยันและมีน้ำใจ พอบริษัทมีโครงการขายบ้านให้พนักงานราคาพิเศษพี่หมวยก็รีบมาลงชื่อด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ซึ่งมันก็ทำให้เรากังวลใจเพราะถึงจะลดแล้ว ราคาบ้านที่พี่หมวยต้องจ่ายก็ยังกว่า 800,000 บาท พอมาคำนวณกับรายได้พี่หมวยในตอนนี้แล้วมันก็ยากจริงๆที่จะผ่อนไหว (พี่หมวยเป็นพนักงานรายวัน รายได้ไม่ถึงวันละ 350 บาท) แต่เราก็ไม่อยากปฏิเสธให้พี่หมวยเสียความตั้งใจ เลยลองทำเป็นทางเลือกว่าถ้าพี่หมวยผ่อนเดือนละ 3,000 บาท (เราคำนวณยอดที่ต้องผ่อนต่อเดือนโดยใช้เพดานที่ไม่เกิน 35% ของรายได้) เป็นเวลา 8 ปี พี่หมวยต้องเพิ่มเงินดาวน์อีกเกือบ 5 แสน (ซึ่งเราคิดว่าไม่มีทางมีแน่ๆ พนักงานรายวันส่วนใหญ่ใช้เงินเดือนชนเดือน ที่ต้องกู้บริษัทก็เยอะ) พอเราแจ้งตัวเลขไป พี่หมวยยิ้มตอบกลับมาว่าไม่มีปัญหาค่ะ พร้อมทั้งเอากระเป๋าที่ใส่สลากออมสินขึ้นมา “พี่พอจะมีเงินเก็บบ้าง” โอ้ว!! แม่เจ้า สลากกว่า 30 ใบ ตั้งแต่ใบละ 5 พัน จนถึงใบละ 9 หมื่น รวมแล้วเป็นเงิน 737,000 บาท พี่หมวยบอกว่าเกือบทั้งหมดได้จากการทำงานที่นี่!! เรื่องที่ได้ยินจากพี่หมวยทำให้เราตื่นเต้นดีใจมาก เพราะเรามีปมในใจตลอดมาว่า บริษัทเราเป็นบริษัทเล็ก เงินเดือนก็ไม่เยอะ โบนัสก็ไม่มาก คนที่อยู่กับบริษัทมานานๆ จะเอาเงินเก็บที่ไหนไปซื้อบ้าน Y_Y แต่พี่หมวยทำให้เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ถ้าขยันอดออม มีวินัยในการใช้เงิน ต่อให้รายได้ไม่มากก็สามารถมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำได้ เราขออนุญาตพี่หมวยแล้วว่า ขอเอาเรื่องพี่หมวยมาเล่านะ เผื่อใครได้ยินได้ฟังเรื่องพี่หมวยแล้วจะได้มีกำลังใจ
ไม่แปลกค่ะ เพราะกูก็ไม่ไปเช็งเม้งมา 25 ปีแล้ว!
และที่สำคัญ มันเป็นประเพณีที่ถูกคิดโดยประเทศจีน ซึ่งมีอุณหภูมิในช่วงเดือนมีนาคม เฉลี่ยประมาณ 8 - 18 องศา โดยชาวจีนไม่ได้คาดคิดว่า วันนึง คนที่อยู่ในประเทศที่มีอุณหภูมิ 38 - 40 องศา จะออกมาเช็งเม้งตามจีน
X ออกมาเช็งเม้งตามจีน
O อพยพจากจีนมาเช็งเม้ง
ซื้อของเซเว่น กำลังจ่ายเงินอยู่จู่ๆพนักงานก็พูดว่า "ด้านหลังรอสักครู่นะครับ"
มันเท่ตรงที่ทั้งแถวจริงๆมีเราคนเดียว ...
หลอนน่ะมึงสัด ร้านเซเว่นผีสิงไหมว่ะ
คนขายคงเป็นคนล่ะมั้ง เช็คของที่มึงซื้อมาให้ดีล่ะ กลับไปอีกทีมึงหาเซเว่นที่เดิมไม่เจอ
"เคยถามแม่ค้าตรงๆ เลย ใส่ถุงมือพลาสติกบางแบบใช้แล้วทิ้งน่ะค่ะ แต่ใส่ทั้งวัน รับเงิน ควักกระเป๋าผ้ากันเปื้อนหยิบเงินทอน หยิบจับทุกอย่าง
เขาบอกเขาใส่ถุงมือเพื่อกันมือเลอะเพราะขี้เกียจล้างมือค่ะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก่อนจะมาเป็นตัน อสังหา ไม่ได้ดีอย่างที่แจกทองดราม่าอย่างทุกวันนี้
ตันนี่ตัวดีเลย ยัดเงินเปิดผังเมือง พิมพ์เขียว
แล้วไปซื้อที่ดักไว้ เช่นตามเส้นทองหล่อ
บางครั้งโหดๆหน่อยไปซื้อที่ปิดทางเข้าที่ดินคนอื่นแล้วขายให้ในราคาสูง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
3rd world farmer : เกมชาวไร่ประเทศโลกที่ 3
เราต้องเล่นเป็นครอบครัวเกษตรกรในประเทศโลกที่ 3 โดยมีเงินตั้งต้น 50 เหรียญ สามารถลงทุนปลูกข้าวโพด ข้าวสาลี ฝ้าย หรือถั่วได้ สามารถแต่งงาน มีลูกได้ แต่มันไม่ได้เรียบง่ายโลกสวยเหมือนเกมปลูกผักทั่วไป เพราะถ้ามีลูก จะส่งลูกไปโรงเรียน ต้องเสียค่าเทอม 30 เหรียญ แถมโรงเรียนไกล ต้องใช้เวลาเดินครึ่งวัน ทำให้ลูกมาช่วยงานในไร่ได้น้อยลง ถ้าป่วยก็ต้องเสียค่ารักษาแพง เพราะไม่มีถนน (ถ้าจะสร้างถนนก็ต้องลงทุนเอง)
ทีนี้เล่นไปสักพัก เดี๋ยวก็มีภัยพิบัติ ม๊อบเอย ผู้ลี้ภัยเอย โดนทหารขูดรีดบ้าง เกิดภัยแล้งบ้าง
มือถือน่ะหรอ มีให้ซื้อ ประกันก็มีให้ซื้อ แต่มันแพงมาก ถ้าจะซื้อต้องขายเครื่องมือในไร่ สามารถลงทุนสร้างถนน สร้างโรงบาล สร้างโรงเรียนใกล้ ๆ ได้ แต่แน่นอนแพงสัส
อุตส่าห์ลงทุนเลี้ยงไก่ ก็เกิดโรคระบาด
ลงทุนซื้อเครื่องทุ่นแรง ก็เกิดสงครามกลางเมือง
พอตังค์น้อย ก็ต้องยอมให้เค้ามาสร้างโรงกำจัดขยะ
พอน้อยอีก ก็ต้องยอมให้เค้าเอาฝิ่นมาปลูก
พอติดหนี้ ก็ต้องขายลูก
โดยสรุปคือ
- ต้นทุนต่ำ ทำเหี้ยอะไรก็ยาก
- กูไม่ได้จนเพราะโง่ กูจนเพราะโครงสร้างมันไม่เอื้อให้รวยต่างหาก
- ในประเทศห่วย ๆ ที่ไม่ยอมให้คนตัวเล็ก ๆ มีอำนาจต่อรองเลย ทำให้ชะตาชีวิตต้องฝากไว้กับอุบัติเหตุ
- การเกิดมาจนไม่ได้ผิด ประเทศที่ไม่เอื้อให้คนลืมตาอ้าปากต่างหากที่ผิด
- พยายามโปรโมท เกษตรกรดีเด่น ทำเกษตรง่าย ๆ ไม่เหนื่อย ก็เพื่อจะบอกว่า ก้มหน้าทำงานตัวเองให้ดีเถอะ อย่าพยายามมาแก้โครงสร้าง (ที่พวกกูได้ประโยชน์) เลย
- พอรัฐไม่มีปัญญาทำให้คนรวย ก็ต้องทำให้คนพอใจกับความยากจน
(เล่น 2 รอบ รอบแรกเละเทะอย่างที่เขียนไป รอบที่สองเอาใหม่ อาศัยโชคดีอย่างเดียว)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
จริง ๆ เกมนี้เล่นแค่ 10 นาทีก็จบแล้ว
http://3rdworldfarmer.com/
เกมสนับสนุนโดยมูลนิธิเกตส์
ไอ้คนคลั่งชาติ มึงบอกว่าไทยไม่เหี้ยที่สุดในโลกได้ไงวะ เพราะคนอย่างมึงที่หลับหูหลับตาอวยชาติเหี้ยๆแบบนี้ชาติถึงไม่พัฒนา มึงต้องมองว่าไทยเหี้ยที่สุดในโลก มองต่างจากนี้คือคลั่งชาติ จำไว้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ทำไมเราให้ค่ากับการ "อ่านเยอะๆ" กันนักวะ มันควรสนใจเรื่อง "อ่านอย่างไร" เป็นที่สุดไม่ใช่เหรอ อ่านเยอะๆ แต่ไม่คิดไม่ไรอ่านไปอย่างขุนแก้วขุนทองมันก็เหมือนเรียนสิบหกปีหรือกระทั่งยี่สิบปีแล้วออกมาเป็นไอ้งั่งแบบที่มึงเห็นๆ กันอยู่อะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนทำงานสบายคือคนไม่มีจรรยาบรรณ เพราะงานสบายกับจรรยาบรรณไปด้วยกันไม่ได้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เรื่องอิสลามกินหมู เลานึกถึงเพื่อนคนนึง เป็นอิสลามแต่กินเตี๋ยวเนื้อ มันสั่งหมูตลอด กินเหล้า และไม่เคยเห็นมันละหมาด ครั้งนึงมีรุ่นน้องถามว่า"พี่ อ. เป็นอิสลามจริงดิ ดูไม่เหมือนเลย" #มิตรสหายอีกคน ในกลุ่มจึงตะโกนว่า "อิสลามเหี้ยไร เข้าร้านเตี๋ยวเนื้อ สั่งแต่หมู" ไอ้ อ. สวนมาทันที "ไอ้เหี้ย กูเป็นอิสลามฉลาดไง"
จบ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"หมูน่ะอยู่ในกระเพาะ แต่อัลลอฮฺอยู่ในจัย อะหึ้ย"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เล่นเองตบเอง เหมือนพวกเพื่อนไม่คบหรือเข้าสังคมไม่ได้ เราควรสมเพชพวกนี้มากกว่าสงสาร
#มิตรสหายท่านหนึ่่ง
เรียก taxi จากหน้าตึกฟอร์จูนรัชดา เพื่อจะไป BTS อารีย์ 3 คัน แม่งไม่ไปสักคัน พอคันที่ 4 ก็ไม่ได้ เลยบอกไปว่า "งั้นผมให้ค่ารถ 500 บาท พี่ไปไหม" ปรากฏว่า 'ไป' เลยตอบกลับไปว่า "ผมไม่ไป"
อ้างเหมือนๆ กัน 'รถติด' แต่พอเงินมาผ้าก็หลุด
taxi ดีๆ มีเยอะกว่า เพียงแค่เช้านี้ผมเจอ taxi ส่วนน้อยที่ไม่ดี
>ลาออกจากการเป็นหมอเพราะสุขภาพไม่ดี
>ไปญี่ปุ่น เเดกเเต่ของที่ทำให้เเย่ลง
>ตัดไปก่อนหน้านี้ ด่าคนไข้ที่ไม่ยอมดูเเลตัวเอง
2Hypocrite4me
just a thought but the part about time being a period in an individual's life is so true. i never quite knew how to word it when i felt i was running out of time despite being young. it's because once you get to a certain age, it's too late to do things you want to do or achieve certain dreams. the saying "it's never too late" doesn't apply to everything.
ผู้สูงอายุหลายคนที่กูรู้จัก น่าสงสารมาก (นี่เรื่องจริงนะยะ ไม่ใช่เรื่องแต่ง) คือ ทำงานราชการ เงินน้อย เก็บเงินทีละนิดๆ หวังเอาไว้ใช้อย่างสบายตอนแก่ คนแรกยอมลำบาก อดๆอยากๆมาจนอายุ 60 ปรากฏว่าป่วยตายค่ะ เงินที่เก็บสะสมมา ไม่ได้ใช้หาความสุขให้ตัวเองสักบาท
อีกราย ยอมลำบาก อดๆอยากๆมาจนอายุ 70 ปรากฏว่า พอจะเอาเงินมาเที่ยว ไม่มีแรงเที่ยวค่ะ จะไปไหนก็ไม่ไหวแล้ว แค่ไปเดินห้างยังไม่อยากไปเลย สุดท้ายนั่งอืดดูรายการสารคดีท่องเที่ยวอยู่บ้าน ไม่ใช่ว่าลูกหลานไม่พาไปนะ แต่สภาพกายและใจมันไม่อยากไปแล้ว (แถวที่เที่ยวบางแห่ง ก็มีแต่คนอายุ 15 - 35 ไปเที่ยวกัน ก็เลยอายที่จะไป)
ส่วนอาหารดีๆก็ไม่ได้กินค่ะ เพราะตอนสมัยยังหนุ่มยังสาวดันอดใจ ไม่ยอมกิน พอแก่แล้ว กินไม่เป็น ไม่คุ้นปาก กลายเป็นรู้สึกไม่อยากกิน สุดท้ายก็กินได้แต่อาหารเดิมๆ
เรื่องสถานีรถไฟ Kyu shirataki บนเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่นที่เปิดให้บริการเพื่อรับส่งเด็กผู้หญิงที่เป็นลูกค้าเพียงคนเดียวของสถานีจนกระทั่งเธอจบการศึกษา เป็นเรื่องราวที่ได้รับการบอกเล่าไปทั่วโลก
ผมเห็นบางความเห็นพูดว่า เอาเงินภาษีมาเพื่อจ่ายให้เด็กเพียงคนเดียว เป็นเรื่องไม่คุ้มค่า แม้จะดูซาบซึ้งขนาดไหนก็ตาม
ถ้าพูดตามเนื้อผ้าก็เป็นแบบนั้นแหละครับ ถูกต้องแล้ว.. แต่เมื่อคุณเห็นผลลัพธ์ของการตัดสินใจนี้แล้ว ที่ประเทศญี่ปุ่นได้รับการกล่าวถึงและมีกระแสชื่นชมทั่วโลก คนจำนวนมากเดินทางไปฮอกไกโดเพื่อดูสถานีนี้ด้วยตนเอง รวมถึงชีวิตเด็กคนหนึ่งที่ได้รับแรงบัลดาลที่จะมีชีวิตและเติบโตเพื่ออุทิศตัวเองให้ประเทศกำเนิดของเธอ และเป็นแรงบัลดาลใจต่อให้กับเด็กอื่นๆ ในประเทศ
มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม..
·โดยงานวิจัยชิ้นนี้ติดตามบุคลากรทางการแพทย์จำนวนประมาณ 32,000 ·คน เป็นเวลา 18·ปี โดยพบว่าผู้ที่หลั่งอสุจิเฉลี่ยเดือนละ 21 ครั้ง มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากต่ำกว่าผู้ที่หลั่งอสุจิ 4-7 ครั้งต่อเดือนถึงร้อยละ 20
21 ครั้งเลยเหรอวะ อาทิตย์ละรอบเองกู
Do you consistently think of ideas to earn more money?
Do you usually care about value and spend less than you earn?
Do you already feel successful in many things, but aren't sure you can do something on your own?
Do you know you are destined for great things, but feel like things aren't moving fast enough?
Have you always wanted to be in control of your own time and experiences, but right now feel like you are just trying to get by?
Have you tried business ideas that didn't work out before, but still have the passion to try new ones?
Does the idea of working for someone else the rest of your life scare you?
Does having a boss feel constricting, and you don't want someone telling you what to do?
Do you have the idea of waiting until retirement to enjoy your life and the world?
Do you believe that success and wealth are in your power, but you don't want to rely on others?
Do you want to travel more but don't have enough vacation days?
Are you able to daydream about what you want to be when you grow up, no matter how old you are?
Do you only sleep four to five hours per night because you are too excited about your new ideas or business?
Do you read success stories and think, "What made them so successful? How come I haven't made it yet?"
Do you want to do work that matters, not just something that pays well?
Do you want to become a better person through personal growth?
Do you want to leave a legacy?
Do you want to give more, but feel unable right now?
Of course, the "Eventual Millionaire" mindset is only a piece of the puzzle.
Ultimately, earning a million is up to you.
people are afraid that GTAV will teach their children vioence when the real psychopaths actually play sims 4.
"วันก่อนเพิ่งจะด่าพนักงานสอบสวน เรื่อง "คุณค่าของเวลา" ไปหยกๆ เว้นไปแค่วันเดียว มีเหตุให้ต้องมาติดต่อพนักงานสอบสวนในสังกัดอื่น แม่งก็ "ระยำ" พอๆ กันจริงๆ
ไอ้สัสนี่!... หมายนัด วันนี้ เวลา 11 โมง ผมก็มาถึงหน่วยงานที่ออกหมายเรียก ก่อนเวลานิดนึง พอ 11 โมงตรง ก็เดินไปแจ้งเจ้าหน้าที่ธุรการว่า มาพบพนักงานสอบสวน ระบุยศ ระบุชื่อไป ตามหมายเรียก เจ้าหน้าที่ธุรการก็ถามหา ปรากฏว่า ยังไม่มีใครเห็นท่านพนักงานสอบสวนรายนี้เลย ก็บอกให้ผมนั่งรอ
ผมก็รอๆ ไป ถึง 11:30 ก็ช้าไปเยอะแล้ว ลองโทรหา ได้คำตอบว่า "ยังไม่เข้า จะเข้าไปบ่ายโมง"... อ้าว! ไอ้เหี้ยนี่! แล้วมึงจะออกหมายนัดกูมาตอน 11:00 น. หาพระแสงของ้าวแสนพลพ่ายทำกระบวยอะไรหละ? สัส!
สำนึกเรื่อง "เวลา" ของพวกเหี้ยนี่แม่งต่ำสถุลจริงๆ... มึงคิดว่า คนอื่นเค้าไม่มีงานมีการต้องทำเหมือนมึงกันหมดหรือวะ?
แล้วถ้าแม่งแกล้งออก "หมายนัดครั้งที่ 2" โดยอ้างว่า ครั้งนี้ ผู้ต้องหาไม่มาตามหมาย นะมึง!... กูจะเล่นแม่งทั้งทางวินัยและทางอาญาให้ชิบหายกันไปข้างเลย!"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"โดนมาเหมือนกันครับพี่ ไปตามเวลาที่ระบุในหมายเรียกตอน 9 โมงเช้า ประมาณ 9.30 พึ่งโผล่มา แล้วออกไปชงกาแฟกินอีกสิบนาที กลับเข้ามาก็เริ่มเซ็ทคอมพิวเตอร์ สิบโมงกว่าได้ฤกษ์ซักประวัติส่วนตัว กว่าจะเข้าคำถามตามหมายก็สิบเอ็ดโมงพอดี สรุปกว่าจะเสร็จในวันนั้น ก็ 16.30 มีโทษผมด้วยว่าผมพูดช้าทำให้ไปซื้อข้าวมันไก่เจ้าโปรดกินไม่ทัน อย่างเพลียครับ"
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
มีลูกนี่ ถือว่าเรียก mega project.....หาข้อมูลกันยิ่งกว่าตอนทำ thesis และสามารถจิตตกได้ เวลาแก้ปัญหาไม่ตกต้องทำการ trouble shooting กันตลอด....ไม่สามารถ terminate project ได้ ไม่สามารถลาออกจากตำแหน่ง หลังรับมอบได้
ดีว่า อาป๊ากะมี้ เป็นชอบพวกทำงาน trouble shooting กันอยู่แล้วนะ
"กูเจอมาเยอะละ ไอ้พวกที่ตัวเองก็ไม่อยากเป็นทหารเกณฑ์ แต่ชอบบังคับให้คนอื่นอยากเป็น พอมีคนมาค้านเรื่องเกณฑ์ทหารต้องออกหน้าปกป้องว่าการเกณฑ์ทหารดีอย่างงั้นอย่างงี้ แต่ตัวเองเรียนร.ด. หรือไม่ก็จ่ายเงินให้สัสดี (แล้วก็ออกมาต้านคอร์รัปชั่นด้วยนะ คลาสสิคจริงๆ)
.
จะเถียงกันทำไมวะ ระบบสมัครใจนี่แหละดีที่สุดแล้ว คนอยากเป็นเพราะเห็นว่ามันสำคัญมากๆ ก็ไปเป็นซะ
คนไม่อยากเป็น มีหน้าที่อื่นๆในชีวิต ก็ไม่ต้องไปเป็น
.
ไอ้ที่เถียงๆกันทุกวันนี้คืออยากให้ "คนอื่น" เป็นกันไง
เสือกจริงๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การที่หนัง "ลอบฆ่าคุณครูปลาหมึก ภาค2" ทำเงินในญี่ปุ่นชนะ "แบทแมนปะทะซุปเปอร์แมน" ทั้งๆที่เข้าฉายสัปดาห์เดียวกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกนะ
ถ้าเอาตาราง boxoffice ของญี่ปุ่นทุกสัปดาห์ ทุกปี มาดู จะพบว่า ใน 20 อันดับหนังทำเงินประจำสัปดาห์ จะมีหนังฝรั่งโผล่มาแค่ 6 - 8 เรื่อง ที่เหลือคือหนังญี่ปุ่นหมด ต่อให้หนังฝรั่งเทพแค่ไหนก็ได้อันดับหนึ่งยากมาก แค่ติด 1 ใน 5 ก็โคตรยากแล้ว (ยกเว้นหนังดิสนี่ย์)
ไม่ใช่เพราะหนังญี่ปุ่นคุณภาพดีกว่าหนังฝรั่งมากๆ คนญี่ปุ่นถึงไม่ค่อยดูหนังฝรั่งนะ แต่เหมือนคนญี่ปุ่นเค้าได้รับการปลูกฝังมา ว่ายังไงๆก็ต้องสนับสนุนสินค้าของชาติตัวเองไว้ก่อน
แม้หนังญี่ปุ่นหลายๆเรื่องสู้หนังฝรั่งไม่ได้ สนุกสู้ไม่ได้ บทสู้ไม่ได้ เอฟเฟคสู้ไม่ได้ แต่คนญี่ปุ่นก็ยังแห่ไปดูกันเต็มโรง (ส่วนหนังญี่ปุ่นดีๆที่คนไทยรู้จัก คือแค่บางส่วน ที่นักวิจารณ์เค้าคัดเลือกมาให้ดู) หลังจากคนญี่ปุ่นดูหนังชาติตัวเองเสร็จแล้ว เขาถึงค่อยเอาเงินที่เหลือมาดูหนังฝรั่ง?
แปลกดีไหม? เอ้ะ หรือไม่แปลก? หรือว่า ประเทศที่คนเกลียดชังหนังของชาติตัวเองแบบสุดๆนั้นต่างหากล่ะ ที่แปลก?
ช่วง 3-4 ปี มานี้กูยี้หนังฮอลลีวู๊ดสุดๆ
ถ้าให้กูเลือก กูก็คงเลือกดูหนังญี่ปุ่นว่ะ
"ซากุระบูชา คือวันที่คนไทยบนไทม์ไลน์ไปอยู่ญี่ปุ่นกันอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผมลองคิดมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจหากต้องให้ชายไทยเกณฑ์ทหาร 2 ปี โดยให้มีรายได้เฉลี่ย 12,000 บาทต่อคนต่อเดือน หรือ 144,000 บาทต่อคนต่อปี โดยค่าเฉลี่ยทหารเกณฑ์ในแต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 นาย จะคิดได้เท่ากับ 14,400,000,000 บาทต่อปี และ เท่ากับ 28,800,000,000 บาทเมื่อครบกำหนด 2 ปี
ทุกวันนี้เขารบกันด้วยระบบเศรษฐกิจและเทคโนโลยีครับ ไม่ใช่กำลังพล มูลค่าความเสียหายระดับนี้ ไม่ฉุกใจคิดอะไรบ้างเลยหรอ?"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>864 อ้างไปงั้นแหล่ะถ้าไม่มีทหารเกณฑ์ กำลังพลเราไม่พอรักษาชายแดนตามหลักยุทธศาสตร์หว่ะคราวนี้ถึงใช้ระบบจ้างทหารประจำการมันก็ไม่พออยู่ดีแถมจะทำให้มีระบบ กองกำลังผูกกับนายทหารใหญ่อีกทำให้ความมั่นคงการปกครองจะน้อยลงเพราะ นายทหารมันคุมกำลังเยอะขึ้นปฏิวัติง่ายขึ้น เข้าใจยังอย่าหาข้ออ้างว่าเขาแข่งเรื่องศก.,ความรู้เหี้ยไรมึงลองเอาคนเรียนเก่งๆ,หรือฉลาดอย่างเดียวไปสู้แต่ไม่รู้วิธีเอาตัวรอดโดนกระสุนเม็ดละสองบาทก็ตายได้ทุกคนแหล่ะที่ให้เรียนรด.เพราะจะให้ปัญญาชนพวกนี้มันมีวิธีเอาตัวรอดบ้างเป็นการลงทุนเพื่อลดความสูญเสียระดับหนึ่ง
กูสนับสนุนเอาแว้นท์ไปเป็นทหาร
ส่งไป3จว.ใต้ไปแว้นท์ที่นั่นเลย
ไม่ได้คัดค้านการเกณฑ์ทหารนะ ย้ำ! ไม่ได้คัดค้านการเกณฑ์ทหาร แต่เห็นคนพูดบ่อยๆว่า "คุณต้องเป็นทหารเกณฑ์เพื่อรับใช้ชาติ ส่วนงานอื่นๆ ไม่ถือว่าเป็นการรับใช้ชาติ" ก็เลยนึกสงสัยว่า แล้วงานรับใช้ชาติของทหารเกณฑ์ คืองานอะไรอ่ะ? อันนี้ถามเพราะไม่รู้จริงๆ ไม่ได้กวน
ถ้าเป็นงานออกรบ ก็อยากให้ช่วยระบุชื่อข้าศึก ที่ทำให้เราต้องเกณฑ์ประชาชนไปฝึกสู้รบ (แทนทหารอาชีพ) เพื่อต่อสู้กับพวกมันหน่อยจิ
ส่วนการออกกำลังกาย การฝึกต่างๆ ไม่ถือว่าเป็นงานนะ ขอที่เป็น "การปฏิบัติงานจริงๆ" (ส่วนการบอกว่าแค่มาเป็นทหารเกณฑ์เฉยๆ ก็ถือว่ารับใช้ชาติแล้ว อันนี้ก็ไม่นับเหมือนกัน)
อีกอย่างคือมึงไม่รู้ระบบของทหารUS นะคือมันประจำการช่วงเวลาหนึ่งแล้วกลับมาใช้ชีวิตปดติหาการหางานอื่นทำ,เข้ามหาวิทยาลัยเรียนต่อก็มี แต่มันขี้นทะเบียนเป็นทหารผ่านศึก ถ้าทหารมันขาดจริงๆก็มีภาระที่ต้องเรียกมาประจำการใหม่ได้ด้วย การเกณฑ์ก็ตามเหตุตามผลด้วยนา
>>873 มึงคิดว่าพวกเข้าตามตรอกออกตามประตูเรียนรด.เพราะไม่อยากเกณฑ์
เทียบกับพวกยัดเงินตอนจับใบดำใบแดง
พวกไลฟ์แฮค หนีไปเรียนเมืองนอก
กับพวกไม่มีปัญญาเลี่ยงซักแบบแล้วไปเกณฑ์
พวกบ่นแบบมึง
คนไหนใช้ปัญญาแก้ทางออกวะ ตามกฏถ้าเกณฑ์กันขึ้นมามันเอาคนผ่านรด.ติดยศนายสืบเป็นผู้หมู่คุมทหารเกณฑ์นะ แถมก่อนเข้าประจำการจะโดนฝึกเข้มก่อนด้วย
>>875 รด.ล้มเหลวหรือเปล่ากูไม่รู้ Fact เพราะตอนกูเรียนมันเรียนพร้อมกับรร.ลูกท่านหลานเธอเลยฝึกไม่โหด แต่เพื่อนต่างจังหวัดมันบอกว่าโหดใช้ได้ว่ะ ครูฝึกบอกเองว่ามึงเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดให้ได้บ้าง พวกมึงเขาไม่ได้หวังเอาไปสู่อยู่แล้วแต่ให้มึงเตรียมตัวไว้บ้างจะได้ไม่สูญเสียเวลาเกิดเหตุไม่คาดฝัน
>>876 กูเด็กต่างจังหวัด รด.เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่กูเจอไม่โหดนะ หรือพูดชัดๆเลยว่าสบายก็ว่าได้ มีเหนื่อยไม่กี่ครั้งหรอก ถ้าวันไหนแดดออกแล้วฝึกกลางแจ้งแม่งก็โหดหน่อยเพราะอากาศร้อนแต่ที่เหลือจัดว่าสบาย นั่งฟังบรรยายเฉยๆ ฝึกวินัยนิดๆหน่อย
เขาชนไก่แม่งโคตรสบาย วันแรกไปถึงตอนเที่ยงเอาของลงเต้นท์ฝึกทบทวนตอนเย็น วันที่สองเข้าป่ากางเต้นท์วันนี้ครูฝึกไม่ยุ่งกางเต้นเสร็จก็นอนกลางวันสบาย ยาวมาจนถึงเช้าวันต่อมา ส่วนฝึกตั้งรับฝึกบุกก็แค่ลงไปนอนในสนามเพลาะ เช้าวันสุดท้ายมีลุยฐานที่ความโหดไม่ต่างจากเข้าค่ายลูกเสือ
ใครบอกเรียนรด.แล้วบ่นลำบากแม่งควรสำเนียกดูตัวเองด้วยดีกว่าว่าไปทำเหี้ยอะไรใส่ครูฝึกหรือปล่าว
กูเรียนมาไม่เห็นจะลำบากเหี้ยอัลลัยนอกจากแดดกับกลับดึกเลยเนียนเดินเที่ยงห้างแม่งทุกวันศุกร์ 5555
แบกปืน ยิงปืน ไปแค้มป์ นอนเต้นท์ กูว่าสนุกดีออก ปกติแม่งต้องขวนขวายเอาถึงจะมีอะไรแบบนั้น
จริง ใครเรียนรด.แล้วบอกหนักนี่คือคุณหนูมากกกก กูวิ่งBvSมาราธอนยังเหนื่อยกว่าอีก
การเป็นทหารเป็นเพียงบทบาทหนึ่งของชีวิต ทหารเกณฑ์เป็นแค่ 2 ปี หรือทหารประจำการณ์ก็ไม่ได้เป็นทหารตลอดเวลา ยังมีบทบาทเป็นพ่อ เป็นสามี เป็นลูก เป็นเพื่อน คนที่เลี้ยงเขามาคือพ่อแม่ มีสิทธิ์อะไรไปฆ่าเขาเพียงแค่เขาจับใบแดงได้ ชีวิตเขาก็กลายเป็นของคุณแล้วหรือ ทำไมเกณฑ์ทหารต้องโกง ทำไมต้องเครียด ทำไมต้องร้องไห้ ทำไมต้องลุ้นทำไมจึงไม่อยากเป็นทหาร ก็มันมีสิทธิ์ถึงตายได้ไงครับ ไม่คนนึงก็คนนึง ไม่เป็นทหารก็รักชาติได้ ไม่เป็นทหารก็ทำหน้าที่ลูกผู้ชายได้
คนไม่ได้กลัวการฝึกของทหาร แต่เขากลัวการ Abuse การทารุณ การกดขี่ เหยียดหยามความเป็นมนุษย์ การฝึกทหาร ในต่างประเทศที่เจริญแล้วเขาก็ฝึกหนักและมีวินัย แต่ไม่มีให้มาก้ผ้าชักว่าวให้กัน ให้ดมกางเกงใน มุดถังขี้ เพราะการให้ทหารเป็นคนแข็งแกร่ง กับการ Humiliation การเหยีดหยาม ลดทอนศักดิศรี มันต่างกัน
คนไม่ได้กลัวการเป็นทหาร แต่การเป็นทหารเกณฑ์ของไทยคือการเสียโอกาสในชีวิต เสียรายได้ ไม่นับว่าอาจตายฟรี ในขณะที่ประเทศที่เจริญแล้วทหารคือโอกาสก้าวหน้าของชีวิตทางหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ตรวจสอบไม่ได้ ถ้าไม่ได้ชาติตระกูลใหญ่โตอิทธิพลคับบ้านคับเมือง อย่าหวังเรียกหาความยุติธรรมหรือคนรับผิดชอบ
ที่กล่าวมาก็ความจริงทั้งนั้น ก็รู้กันอยู่ ทำไมยังซาบซึ้งโลกสวยกันอีก ทำไมยังต้องบอกว่านี่เป็นหน้าที่นะ เราต้องรับใช้ชาติ เราต้องสำนึกบุญคุณ แล้วก็ก้มหน้าก้มตารับสภาพกันต่อไป แทนที่จะเรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องความโปร่งใส เรียกร้องการปฏิรูปหน่วยงานทหาร เรียกร้องสวัสดิการและสิ่งที่ทหารชั้นผู้น้อยโดนเอาเปรียบมาตลอดให้เขาในสิ่งที่เขาควรได้ ให้การเป็นทหาร การโดนเกฌฑ์ทหารเป็นโอกาสและทางก้าวหน้าของชีวิต ไม่ใช่หลุมดำ
"รับใช้ชาติ" คือวาทกรรมกล่อมประชาชน เป็น propaganda มันเป็นคำพูดที่ราวกับอาชีพอื่นไม่มีค่าหรือสำคัญต่อประเทศ
คนที่พูดว่าไม่มีทหารจะมีประเทศได้ยังไง พูดราวกับว่าประเทศนี้ขาด ครู หมอ ชาวนา คนกวาดขยะ คนงานก่อสร้าง พ่อครัว คนลอกท่อ พนักงานขายของ และทุกอาชีพในประเทศนี้ แล้วประเทศก็ยังอยู่ได้ ทั้งที่ความจริงขาดคนเหล่านี้ อาชีพเหล่านี้ไปทหารก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีกลไกขับเคลื่อนประเทศ ไม่มีเงินภาษีจะมาให้กลาโหมถลุงเป็นงบประมาณ
บ้านมีแต่รั้ว ครัวไม่มี ตู้เย็นไม่มี น้ำไม่ไหล ไฟดับ ไม่มียารักษาโรค เสื้อผ้าไม่ให้ห่ม ความรู้ไม่มี ติดต่อใครไม่ได้ รายได้ไม่เข้า จะอยู่ยังไง?
ทหารควรเป็นแค่อาชีพที่เป็นทางเลือก ไม่ใช่หน้าที่ เพราะเอาคนเก่ง ๆ มีความสามารถเฉพาะทาง ไปวิจัยยา ไปสร้างนวัตกรรม ไปสอนหนังสือ ไปค้าขายเอาเงินเข้าประเทศ สร้างอาชีพให้คนในชาติ สามารถสร้างประโยชน์ให้ประเทศได้มากกว่ามาโดนกระทืบตายในค่ายทหาร หรือเอากวาดบ้านรดน้ำต้นไม้ที่ค่ายไหนสักแห้่
ทุกคนมีภาระและมีโอกาสในชีวิตไม่เท่ากัน อย่าเอาตัวเองไปตัดสินว่า "ทำไมฉันยังไปเป็นทหารเกณฑ์ได้ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร ทำไมแกมาเป็นไม่ได้อิพวกเห็นแก่ตัว ไม่รักชาติ ฉอด ๆ ๆ" ก็ถ้าคุณไม่ได้ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ไม่ต้องต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ส่งน้องเรียนหนังสือ ไม่ได้มีหน้าที่การงานความรับผิดชอบโปรเจคสิบล้าน ร้อยล้าน เงินเดือนเป็นหมื่นเป็นแสน คุณไม่เข้าใจความรู้สึกคนพวกนั้นหรอก
สาธารณูปโภค ระบบพื้นฐาน สวัสดิการน้อยนิดที่มีก็ไม่ได้งอกมาจากพื้นไม่ได้ลอยมาจากฟากฟ้าสงสวรรค์หรือมีเทพบันดาลเสกมา มันสร้างด้วยเงินภาษีประชาชนทั้งนั้น ประเทศนี้ไม่ได้อยู่ฟรี แถมตอนนี้กฏหมายที่จะมาครอบกบาลเราก็ไม่ได้มีสิทธิ์ไปมีส่วนร่วม แต่เราต้องเสียโอกาส เสียทุกอย่างไป "รับใช้ชาติ" เพื่อสร้างอำนาจให้พวกที่พรากสิทธิ์ทุกอย่างของประชาชนไป
ตื่นเหอะ รู้ซะทีว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน แล้วไปแก้มันให้ตรงจุด ประเทศจะได้เจริญ
Cr มิตรสหายท่านหนึ่ง
โลกรู้ว่าก่อนที่นิยายชุด Harry Potter จะได้เกิดในบรรณพิภพ เจ. เค. โรว์ลิง ถูกปฏิเสธมาแล้วหลายรอบ
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับนักเขียนโนเนม
แต่หลังจากมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เจ. เค. โรว์ลิง เขียนนิยายเรื่องใหม่ชื่อ The Cuckoo Calling ในนามแฝงว่า Robert Galbraith ส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณา ปรากฏว่าสำนักพิมพ์สองแห่งปฏิเสธ
แห่งหนึ่งให้เหตุผลว่า มองไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จ
อีกแห่งหนึ่งบอกว่า ผู้เขียนควรไปเรียนวิชาการเขียน เพราะยังเขียนไม่ได้เรื่อง
แต่สำนักพิมพ์แห่งที่สามตาถึง คว้าต้นฉบับนี้ไว้ สามเดือนหลังจากหนังสือวางแผงจึงเพิ่งรู้ว่าใครคือผู้เขียนตัวจริง
เหตุการณ์นี้บอกเราหลายเรื่อง
1 ตลาดหนังสือไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกัน นักเขียนโนเนมเกิดยากจริงๆ
2 มันตั้งคำถามว่า บรรณาธิการใช้มาตรอะไรพิจารณาต้นฉบับ? ผลกำไร? คุณค่าทางวรรณกรรม? ชื่อนักเขียน?
3 บรรณาธิการต้องรอบรู้มากขึ้นและทำงานหนักขึ้นหรือไม่?
ผมก็เคยมีประสบการณ์คล้ายกัน หลังจากผมได้รับรางวัลทั้งใหญ่เล็กมาแล้วไม่น้อย ก็ยังเคยถูกปฏิเสธงานเหมือนกัน ทั้งที่ส่งงานไปในชื่อเดิม
แสดงว่าบรรณาธิการตาถึง! 555!
นักเขียนมีชื่อแล้วจึงไม่ควรมีอีโก้
ส่วนคำแนะนำของผมต่อนักเขียนใหม่คือ อย่าท้อ ทำงานให้ดีที่สุด ให้ตัวงานเป็นหอกทะลวงอุปสรรคทั้งหลายเอง เพราะหากงานดีจริงๆ จะเกิดการแนะนำต่อแบบปากต่อปากจนได้
>>876 กู >>875 กูอ่ะ รด. ต่างจังหวัด ต่างอำเภอด้วย ไม่มีหรอกไปเช้าเย็นกลับ มีแต่ไปค่ายยาว 12 วัน ไปตั่งค่ายในโรงเรียนไกลเมือง กันดาลสัสๆ นอนต้องกองกันตารางเมตรล่ะ5-6คน ยุงเยอะ ที่นอนมีแต่ผ้าใบกับหลังคา มุ้งไม่มีทายากันยุงนอน เหม็นขี้ไก่ ฝึกหนัก โดดน้ำเน่า น้ำแทบไม่ได้อาบ ข้าวสามมื้อรสชาติกากสัส บางทีแดกใต้โต๊ะ ไม่ได้แดกบางที วันแรกๆทรมานมาก หลังๆ ปลง กูอยู่อย่างนี้ก็ได้ ผ่านมาได้ก็รู้สึกดี พอปี2ปีส3 สบายขึ้น ยิ่งปี3 หาบ่อนนอนใต้ต้นไม้แม่งทั้งวัน
ความรู้ที่ได้ ไม่มี คืนครูฝึกหมดแล้ว ข้อดีได้ ได้เทคนิคการใช้ชีวิตให้สบาย การประจบ วิธีหนีงานให้ไม่โดนจับ ทำตามสั่ง การแก้ปัญหา วิธีอู้ มิตรภาพ และได้ความอดทนมาเลย ที่สำคัญตัดผมเกรียนครั้งเดียว ไม่ดำทั้งปีเหมือนศูนย์ในเมือง แต่ฝึกหนักกว่า
เราโชคดีกว่าญี่ปุ่นแค่ในแง่พื้นที่และชัยภูมิอย่างเดียวเลยครับ อันนี้ชัดเจน ผมว่าตอนนี้ญี่ปุ่นโตจากภายในยากจริงๆนั่นแหละ เพราะประเทศเขาพัฒนาพื้นที่ไปเยอะแล้ว ดังนั้นเราจะเห็นเขามาลงทุนในต่างประเทศซะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะแถบอาเซียน ยิ่งประเทศเราค่อนข้างจะมองญี่ปุ่นเป็นมิตรมากกว่าประเทศอื่นๆในแถบนี้ นั่นทำให้เขายังคงลงทุนกับเราต่อไปจนกว่า เขาจะได้มหามิตรรายใหม่ในแถบนี้แทน ซึ่งผมมองว่ายังยากอยู่เพราะกว่าเขาจะเข้าใจนิสัยของคนในประเทศนั้นมันต้องใช้เวลา ดังนั้นผมไม่กลัวญี่ปุ่นจะทิ้งเราไปในระยะเวลาอันสั้นนี้
กลับมาที่เรื่องของคน ผมว่าเนื่องจากญี่ปุ่นมีการปกครองแบบลัทธิบูชิโดมากก่อน มันเลยหล่อหลอมให้พวกเขานั้นต้องมีความมุ่งมั่นและอดทนต่อสภาพการแข่งขันตลอดเวลา คนแพ้นี่แถบจะถูกเตะออกจากสังคมไปเลย มันทำให้พวกเขาต้องขยันและอดทน รวมถึงต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่ออยู่รอดต่อการแข่งขันในสังคม แม้ในปัจจุบันลัทธินี้จะล่มสลายไปแล้วพร้อมความพ่ายแพ้ในสงครามของพวกเขา แต่รากฐานมันก็ยังอยู่ แม้ในญี่ปุ่นรุ่นใหม่จะดูผ่อนคลายมากขึ้นเยอะ แต่ระบบสังคมก็ยังกรอบมาแบบนั้นอยู่ดี มันให้ทำให้คนของเขาต้องอยู่ในระบบต่อไป ถ้าอยากจะก้าวหน้าและมีที่ยืนในสังคม มันก็มีทั้งผลดีและเสียอย่างที่เราท่านรู้น่ะครับ ข้อดีคือประเทศนิ่งด้วยระบบ ขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาจากคนในระบบ และอยู่ได้ด้วยระบบ ข้อเสียคือ คนจะเครียดเพราะกฏบางอย่างมันสุดโต่งมาก ดึงมากไป ต้องรอระดับซีเนียร์ตัดสินใจถึงทำได้ แบบครั้งทำให้ระบบทางธุรกิจของญี่ปุ่นปรับตัวได้ช้า ดูกรณีที่ Sony พ่าย Samsung เป็นตัวอย่าง แต่ยังไงผมว่าด้วยระบบและพลังจินตนาการของพวกญี่ปุ่น สุดท้ายเขาก็เอาตัวรอดไปได้
แต่กลับมาที่เรา คนไทยส่วนมากยังรักสบายอยู่ ถูกสอนให้ทำงานอะไรก็ได้ให้สบายและได้เงินเยอะๆ ซึ่งงานแบบนั้นมันมีจำกัด บางครอบครัวคน คนเดียวหาเลี้ยงครอบครัวทั้งหมด โดยคนอื่นได้แต่แบมือของเงินอย่างเดียว ดูตัวอย่าง ดารา หรือ ครอบครัวธุรกิจบางครอบครัวได้เลย คนทำก็ทำไป คนใช้ก็ใช้เงินไป สุดท้ายพอคนทำไม่อยากทำหรือต้องจากไป ปัญหาก็เกิดโดยทันที คว้างกันทั้งครอบครัวเลย เพราะสังคมเราไม่สนับสนุนให้คนนับถือคนที่ทำงาน แต่นับถือคนที่มีเงิน โดยไม่ดูเลยว่าเขาหาเงินมาเองไหม หรือ เอาจาก พ่อ-แม่ หรือ ปู่-ย่า ตา-ยาย มาถลุงแล้วอ้างว่ามาจากตัวเอง นี่คือข้อด้อยของเราที่มันแก้ได้ยากจริงๆ ผมอายุ 30 กว่าๆ เห็นอะไรแบบนี้มาตลอด ภาครัฐหรือภาคประชาชนก็พยายาม กระตุ้นให้คนคิดเป็นคิดให้ได้นะ แต่ก็มีไม่กี่คนที่หลุดพ้นมาได้ ส่วนใหญ่ยังไม่หลุดพ้น
ด้านการพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจ อันนี้ญี่ปุ่นเขาเหนือกว่าเรามาตั้งนานแล้ว ผมว่า TECH ยังไงเขาก็เป็นเต้ยในเอเชียต่อไปนั่น ไม่ตกไปกว่านี้แน่ๆ และยังคงเป็นรายได้หลักเข้าประเทศเหมือนเดิม ยิ่งตอนนี้ อาเบะ นายกของเขา ปลดล็อกกฏหมายป้องกันตัวเองแล้ว การผลิตและพัฒนา Tech ด้านอาวุธก็คงมาสร้างรายได้ให้พวกเขา(ในทางลับ)เพิ่มขึ้นมาอีก และตอนนี้ก็มามุ่งเน้นด้านการท่องเที่ยวอีกครั้งเพื่อมาพยุงเศรษฐกิจภายในอีก ยังไม่รวมถึงการผลิต tech ทางการแพทย์ที่พวกเขาก็เป็นเต้ยอยู่เช่นกัน นี่ยิ่งถ้าประเทศแถบนี้มีแนวคิดพัฒนาระบบรางมาอีก ก็เป็นโอกาสที่เขาจะขายของได้อีก ถึงแม้จะต้องเจอคู่แข่งแบบจีนก็เถอะ ส่วนด้านเศรษฐกิจความเห็นผมก็เหมือนกับท่านด้านบนกล่าวคือ พวกเขาเจอปัญหา 3 ข้อหลักคือ
1. ต้นทุนค่าแรงที่สูงทำให้แข่งขันในสิ่งค้าที่เป็น mass ยาก
2. คนวัยทำงานลดลงมากทำให้ จัดเก็บภาษีได้น้อย
3. วินัยการใช้เงินของคนในประเทศที่เน้น play safe มากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง สังเกตุบริษัทประกันในญี่ปุ่นนี่จะโตตลอด และมีเป็นร้อยบริษัทเลย
ส่วนด้านการพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจของเรา จุดสลบของเราก็คือ เราไม่มีทิศทางชัดเจนในตัวเอง อย่างญี่ปุ่นเขามีทิศทางชัดเจนว่าจะเป็นประเทศที่ผลิตเทคโนโลยีขาย แต่เราล่ะ เราอยากเป็นอะไร เกษตรกร หรือ วิศวะ หรือ หมอ เรายังเหมือนคนสับสนอยู่เลย พัฒนาแบบตามกระแส ไม่มุ่งมั่นไปซักทาง เราทำตัวเป็นเป็ด ประชาชนคนไทยจะรู้หลายเรื่องแต่ไม่รู้ลึกสักเรื่อง เก่งสุดคือ มวยไทย นอกนั้นเรื่องอื่นๆ มาแบบแกนๆ เราชอบ copy&paste ไม่ชอบ Research&Deverlopment เพราะเราไม่รู้จุดมุ่งหมายยังไง เราเลย copy&paste ดีกว่า รับจ้างผลิตกันต่อไป พอเขาไม่จ้างเพราะค่าแรงเราสูงขึ้นไม่คุ้มทุนเขา หรือฝืมือแรงงานไทยห่วยลง เราก็ตกงานกันไป เศรษฐกิจก็เน้นจากภายนอกอย่างเดียว แต่ไม่พัฒนาภายใน พอเศรษฐกิจโลกพัง เราก็พังแบบเละไปเลย เป็นแบบนี้ตลอดมา ธุรกิจเดียวที่ช่วยประเทศไว้ได้คือ การท่องเที่ยว ซึ่งตอนนี้หลายแห่งก็เสื่อมลงมากแล้ว ดูแล้วเรากำลังจะถึงทางตันด้านเศรษฐกิจอีกครั้ง ผมได้แต่หวังว่ารัฐบาลปัจจุบันหรือต่อไปจากนี้จะ บอกเราคนไทยได้ซักที่ว่าเราจะไปเป็นคนทำอาชีพอะไรในเวทีโลก
เพราะคนในบ้านตัวเองมันยังไม่รู้จะไปทางไหนไง
ระบบมันก็เลยต้องยัดให้เรียนทุกอย่าง เพื่อเอาไปคัดเองอีกทีว่าแข็งสายไหน
สุดท้ายพวกแม่งก็มาโทษระบบว่ายัดมากเกินไป
ถ้าเราเป็นบริษัท ที่ต้องเห็นคนแย่งกันเพื่อจะได้ไม่ต้องมาร่วมงานกับบริษัทเรา หรือถ้าเราเป็นผอ.โรงเรียน เห็นคนลุ้นให้จับสลากไม่ได้โรงเรียนเรา เราคงต้องกลับมาย้อนดูตัวเองหนักๆ เลยว่า องค์กร หรือโรงเรียนของเรานั้นทำอะไรผิดพลาดตรงไหน อะไรคือจุดที่คนกังวลหรือกลัว อะไรคือจุดอ่อน อะไรคือจุดแข็ง เราจะทำอย่างให้คนอยากมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ใช่รู้สึกตีบตันเหมือนถูกบังคับ
ในฐานะที่เคยต้องทำงานประเภท Employer Branding มาบ้าง การสร้างแบรนด์ในเชิงองค์กรนั้นมันสำคัญมากในแง่ที่จะดึงดูดให้คนที่เราหมายมั่นปั้นมือ และมองว่าเขาคือคนที่เราอยากได้มาร่วมงานด้วย รู้สึกดีกับองค์กรเราในทุกมิติ แบรนด์ที่ถูกสร้างผ่านเครื่องมือการตลาดและการสื่อสารทั้งหลายก็ส่วนหนึ่ง ธรรมาภิบาลในการบริหารงานก็ใช่ เรื่องการเงิน Cash Flow ของบริษัทเป็นอย่างไร สวัสดิการที่พนักงานได้รับนั้นเป็นประโยชน์กับชีวิตของเขาไหม เงินเดือนอยู่ในเกณฑ์ที่ต่อสู้กับคู่แข่งได้รึเปล่า และที่เริ่มจะสำคัญขึ้นมามากในยุคหลัง นั่นก็คือ วัฒนธรรมขององค์กรเราเป็นอย่างไร เพราะด้วยข้อนี้ อาจจะหมายถึงว่า ทั้งคนและองค์กรต่างก็เลือกกันและกัน คนก็อยากอยู่ในองค์กรที่มีนิสัยคล้ายคลึงกับเรา และองค์กรก็อยากได้คนที่เข้ากับเราได้ เป็นความวินวินที่ทั้งสองฝ่ายสมประโยชน์ซึ่งกันและกัน
มันก็เคยมี ที่เราพยายามจะสื่อสารแทบตายว่าองค์กรเราดีงั้นงี้ แต่ก็ยังขายให้คนรู้สึกดีและอยากเข้ามาร่วมงานด้วยไม่ได้ แต่โจทย์ที่เรามักจะได้รับ ไม่ใช่การไปตำหนิหรือไปชี้หน้าหาว่าพวกคนเหล่านั้นช่างไร้รสนิยม ไม่มีหัวคิด ไม่มีความกล้า ขี้ขลาด บลาๆ แต่ที่เราต้องทำ คือการย้อนกลับมาดูว่า อะไรในองค์กรเรา ที่เราก็ว่าดีอยู่แล้ว แต่มันอาจจะไม่ดีพอ หรือไม่ตอบสนองความต้องการของคน ที่เราสามารถปรับปรุงแก้ไขให้มันดีขึ้นได้รึเปล่า เพราะการไปเปลี่ยนความคิดคนเป็นแสนเป็นล้านมันทำได้ยาก (บางท่านอาจบอกว่าง่าย หากพาไปเข้าค่าย แต่เชื่อเหรอว่าแบบนั้นมันเปลี่ยนได้แบบยั่งยืน และนั่นคือวิธีการที่ถูกต้องแล้ว) สิ่งที่เปลี่ยนได้ง่ายกว่าคือเปลี่ยนจากข้างในของเรา เพราะเราควบคุมมันได้ เรามีอำนาจสั่งการอยู่ในมือมากมาย ผู้บริหารลงมาเล่นเอง ยังไงไม่ช้าไม่นานก็เปลี่ยนได้อยู่แล้ว
ที่คนไม่อยากเข้ามาเป็นทหารเพราะอะไร เพราะเงินเดือนน้อย เราเข้าไปดูได้ไหมว่าด้วยบัดเจทที่มี กับกำลังพล มันไปทางเดียวกันไหม เรามีปัญหาคนล้นงานรึเปล่า ถ้าด้วยเงินก้อนเดิม แต่ตัวหารน้อยลง เงินก็จะไปถึงคนมากขึ้นหรือไม่ ถ้าคนกลัวเรื่องการทำร้ายร่างกาย อย่างที่เห็นในข่าวอยู่บ่อยๆ งั้นต้องโบลด์เรื่องนี้ขึ้นมาเลยไหม ว่านี่คือยุคแห่งการไม่ทำร้ายร่างกาย เคารพในสิทธิมนุษยชนซึ่งกันและกัน แต่ถ้าทำผิดก็ยังต้องลงโทษตามกฎและกรอบที่วางไว้ ไม่ใช่การทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ หรือถ้าคนกลัวจะต้องไปตัดหญ้า ล้างจาน ที่บ้านนายพล จนเสียเวลาชีวิต ก็ออกแคมเปญมาเลย ว่าต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้ว คุณเข้ามาฝึกทหาร คุณก็จะได้รับความเป็นทหารเต็มตัวกลับไปแน่นอน
เคยเห็นข่าวที่โรงเรียนซักโรงติดป้ายใหญ่โต เขียนว่า ปีนี้โรงเรียนเราปลอดการรับเงินใต้โต๊ะ แล้วคนก็วิพากษ์วิจารณ์กันว่า การทำแบบนี้ก็หมายถึงว่า ปีที่ผ่านมามึงรับใต้โต๊ะมาตลอดเลยน่ะสิ ทำแบบนี้ไม่ฉลาดเลย อะไรแบบนั้น แต่เรากลับชอบ ก็ยอมรับไปเลยแมนๆ ว่าเคยทำ แต่จะไม่ทำแล้ว แบบนี้แสดงว่าเขารู้จุดบกพร่อง จุดอ่อน จุดที่ทำให้เขาไม่ภูมิใจในองค์กรของตัวเอง แล้วยินดีที่จะทำให้มันดีขึ้น ซึ่งเราว่าทหารจะทำแบบนี้บ้างก็ได้ คือต่อไปนี้ไม่มีแล้ว การซ้อมกันจนตาย หรือต้องไปตัดหญ้าบ้านนายให้เสียเวลา
ในเมื่อตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม เราเปลี่ยนการฝึกทหารให้มันสอดคล้องกับสภาพสังคมได้ เพราะไหนๆ ก็ต้องไปดึงคนวัยหนุ่มที่เป็นกำลังสำคัญในภาคแรงงานเข้ามาอยู่ในค่ายตั้งสองปี (นี่คือจะตัดเรื่องที่ว่าเรายังควรเกณฑ์ทหารอยู่หรือไม่ออกไปก่อนเลยนะ เพราะคิดว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว) ลองทำโปรแกรมออกมาเลยไหม เหมือนที่ชอบโฆษณาว่า "เป็นทหารให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด" เออ แล้วให้อะไรอ่ะ มันบอกออกมาเป็นข้อๆ ไม่ได้ มันเหมือนพูดออกมาเป็นมวลเมฆ จับต้องไม่ได้น่ะ ก็เปิดโปรแกรมออกมาให้เห็นเลยว่า ใน 2 ปีที่คุณเข้ามา เราจะพัฒนาคุณให้เป็นอย่างไรบ้าง
เราไม่เก่งเรื่องงาน Learning and Development นะ แต่คิดว่ามันคนเก่งๆ หลายคนที่จะทำโปรแกรมดีๆ ให้กับการเอาคนหนุ่มเข้ามาเทรน แล้วสร้างผลลัพธ์ให้เขาออกไปเป็นนอกจากคนที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้นแล้ว ยังมีความสามารถในการรบ เข้าใจยุทธศาสตร์ และอาจจะมีวิชาชีพติดมือกลับออกไป งานช่าง งานไฟฟ้า เครื่องกล งานไม้ และอื่นๆ เราอบรมเสริมเข้าไปให้ได้ องค์กรต้องมองว่าเราให้อะไรคนเพิ่มเติมได้บ้าง พัฒนาเขาไปทางไหนได้บ้าง ต้องคิดแบบเป็นผู้ให้บ้าง
ที่เขียนมายาวๆ เพราะสงสัยจริงๆ สงสัยมาหลายปีแล้ว ว่าพี่ๆ ที่เขาอยู่ในอีเวนท์จับใบดำใบแดง เห็นคนกระโดดดีใจตอนได้ใบดำ ร้องไห้จนตัวทรุดเพราะได้ใบแดง เขาไม่รู้สึกตะหงิดใจกันบ้างเหรอว่า ทำไมองค์กรที่เราทำงานอยู่มันแย่ขนาดที่ไม่มีใครอยากเข้ามาร่วมงานด้วยเลยเหรอ พี่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความภูมิใจ และไม่กลับมาตั้งคำถามต่อตัวเอง และองค์กรของตัวเองได้ยังไง แบบเราคันใจแทนมากเลย ถึงต้องเขียนยาวขนาดนี้ นี่ช่วยคิดอยู่นะเนี่ย
ลองคิดดูว่า คุณเป็นเสาหลักของบ้าน หายไป 2 เดือน
ที่บ้านจะทำยังไง
แล้วหน้าที่การเงินจะทำอย่างไร
สำคัญคือถ้าคนนั้นสำคัญกับบริษัทจะทำยังไง
เอาไป เอาไปฝึกจริง หรือเอาไปเป็นคนใช้ตามบ้านต่าง ๆ กันแน่ หรือเอาไปให้เป็นกระสอบทรายของทหารที่ซ้อมจนตายแต่เอาผิดไม่ได้
ตัดเรื่องเกณฑ์ทหารหรือจะยกเลิกออกไป ตัดเรื่องรักชาติ รับใช้ชาติออกไปให้หมดเลยนะ
แล้วถามตัวเองดูว่า ถ้าอยู่มาวันนึงตัวคุณ หรือลูกคุณ น้องชายหรือพี่ชายคุณ ญาติคุณ แฟนคุณ ผัวคุณ พ่อคุณ ต้องไปเป็นทหารเกณฑ์
คุณอยากให้คนที่คุณรัก ได้รับค่าตอบแทนที่สมกับสิ่งที่เขาต้องเจอไหม? หรือจะไปเสี่ยงตายได้เงินเดือนหมื่นนึงไม่นับว่าโดนหักอะไรไปจนเหลือไม่ถึงเจ็ดพัน หกพันบ้างอีกรึเปล่า ก็พอใจแล้ว?
คุณอยากให้คนที่คุณรักได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมรึเปล่า คุณอยากให้เขาโดนซ้อมโดนซ่อมทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดรึเปล่า? หรือโดนไปไม่เป็นไร เขาจะได้อดทนสมชาย ไม่สนว่าจะกลับมาเป็นศพรึเปล่า?
คุณอยากไปรบพร้อมกับอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ มั่นใจได้ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเพื่อเสริมความได้เปรียบของคุณในการศึกรึเปล่า หรือถือ GT200 ก็ได้ อุ่นใจดี มั่นใจว่าพี่มีดวงเยอะ
คุณอยากให้เขาได้กินอาหารที่ดี ที่จะทำให้เขาแข็งแรง พร้อมที่จะไปออกฝึกออกรบรึเปล่า หรือผักไร่หมูกิโลก็ดีแล้ว
คุณอยากให้เวลา 2 ปี ที่อยู่ในราชการทหาร เป็นช่วงเวลาที่ได้พํมนาทักษา เพิ่มโอกาสและความสามารถทางอาชีพ ได้ใบประกาศ ออกมาเป็นบุคลากรที่ตลาดแรงงานต้องการตัวรึเปล่า? หรือไปฝึกวิ่ง วิดพื้น ยิงปืน กวาดพื้น ตัดหญ้า ก็พอแล้ว
คุณอยากได้ความเป็นธรรมและความโปร่งใสตรวจสอบได้หรือไม่หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับคนที่คุณรัก
คุณอยากได้การชดเชย สวัสดิการ การดูแลที่ทำให้คุณภาพชีวิตของคุณและคนที่อยู่ข้างหลังคุณยังสามารถมีชีวิตที่ดีต่อไปได้ไหม หากคุณพิการ หรือตาย ในระหว่างการรับราชการทหาร
หรือช่างมัน ฉันรับที่มันเป็นอยู่ได้ ฉันฟินกับความรักชาติ รับใช้ชาติ โดนซ้อมโดนซ่อม เงินน้อยนิด โดนหักรายทางไม่เป็นไร พิการ ตาย จะได้ชดเชยเท่าไหร่ช่างมัน ลูกเมียที่เหลืออยู่ก็ภูมิใจแล้ว ส่วนจะอยู่ต่อไปยังไง หากินกันยังไงก็ไปจัดการกันเองตามยถากรรม
ถ้าคำตอบของคุณคือคุณอยากได้สิ่งที่ดีกว่านี้ คุณต้องเรีกร้องการปฏิรูปหน่วยงานทหาร การไปด่าคนอื่นว่าไม่รักชาติ ขี้ขลาด ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น คุณรักชาติให้ตาย ไม่มีเงิน หรือทำงานไม่ได้ คุณก็อยู่ไม่ได้ ครอบครัว ลูกเมียคุณ พ่อแม่คุณ ถ้าบ้านไม่ได้มีฐานะ มีเงินอยู่แล้ว คุณก็อยู่ไม่ได้ ประเทศนี้สวัสดิการรัฐไม่ได้วิเศษขนาดนั้น ปกป้องชาติไม่ผิด แต่คุณปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองและคนที่คุณรักรึยัง
ยุควิกตอเรีย เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1837 เป็นยุคที่ฝรั่งมีความดัดจริตในเรื่องเพศมากที่สุด มองเซ็กส์เป็นสิ่งชั่วร้าย ห้ามพูด ห้ามฟัง ห้ามดู ห้ามเผยแพร่ จนกระทั่ง วัฒนธรรมวิกเตอเรียได้สิ้นสุดลง ในปี ค.ศ.1901 ฝรั่งพากันเลิกทำตัวดัดจริต แล้วให้เสรีภาพในเรื่องเพศอย่างเต็มที่
ส่วนประเทศสยาม รับเอาวัฒนธรรมวิคตอเรียมาในปี ค.ศ. 1868 แต่ เสือกพึ่งจะมาเฟื่องฟูสุดๆช่วงปีค.ศ. 1938 (ยุคจอมพล ป.) แล้วเราใช้วัฒนธรมนี้จนถึงปัจจุบัน 2016 (แม้ว่าทั้งโลกจะเลิกใช้ไป 115 ปีแล้ว) พร้อมกับหลอกตัวเองไปวันๆ ว่าชาวสยามมีวัฒนธรรมแบบนี้มาตั้งแต่โบราณกาล
จะเอาอะไรกับประเทศที่ mindset ยังอยู่ในยุคสงครามโลก ไม่ก็สงครามเย็น .... ความเจริญสูงสุดที่หลายคนใฝ่ฝัน เป็นภาพบางอย่างจากยุคนั้น
เป็นความเจริญของอำนาจ ไม่ใช่ความเจริญของประเทศ
กุมองว่าพวกกะเรกะราด ไม่มีทำงาน ไปสมัครเป็นทหารเถอะว่ะ เด็กแว้นงี้ไรงี้ ทำประโยชน์ให้สังคมดีกว่า
"เราได้เงินเดือนเท่าไหร่ ไม่สำคัญ เท่ากับเพื่อนได้เงินเดือนเท่าไหร่"
ต่อให้ HR ออกระเบียบห้ามพนักงานเปิดเผยเงินเดือนให้ผู้อื่นรู้
พวกที่ตั้งใจ....เขาสนิทกัน เขาจะบอกกัน คุยกันเอง
พวกที่ไม่ตั้งใจ....เผลอหลุดปาก หรือลืมวางสลิปเงินเดือนที่ถูกเปิดไว้ ฯลฯ
คนที่รู้ ต่อให้รักเพื่อนแค่ไหน ก็อดคิดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้อยู่ดี
สุดท้ายกลายเป็น ดราม่าในออฟฟิศ
ห้ามยากจริงๆ เรื่องนี้
ดังนั้น ผู้บริหารและ HR ทำได้ดีที่สุดคือ
การกำหนดโครงสร้างเงินเดือนให้เหมาะสมที่สุด
ที่สำคัญ "ต้องเทียบกับตลาด"
คือเทียบกับธุรกิจเดียวกัน ขนาดองค์กรเท่าๆ กัน
ไม่ใช่กำหนดเองตามใจฉัน
ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง โครงสร้างเงินเดือนที่เหมาะสม
มาจากการประเมินค่างานของแต่ละตำแหน่งที่เหมาะสมด้วยค่ะ
เรื่องนี้มีขบวนการและขั้นตอนที่่ ผู้บริหารและ HR
ควรศึกษาและนำมาปรับปรุงระบบค่าตอบแทน
แนะนำให้เข้าไปศึกษาได้ที่่
http://tamrongsakk.blogspot.com
ขอขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์
สำหรับความรู้และประสบการณ์ที่ท่านได้ถ่ายทอดให้
✅ ขออนุญาตนะค่ะ ใครอยากมีตังใช้สบายๆ..
"ไม่ต้องลงทุนมากๆทางนี้เลยค่ะไม่ต้องขายของสนใจอยากมีรายได้เสริม"
#ในระวางเรียน!!ทักมาเลยจ้าได้จริงแน่นอน100%ไม่โกงจ้า🔻
📍📍📍🚩ไม่ต้องลงทุนสักบาท
📌📌📌🚩ไม่ต้องอบรม
📍📍📍🚩ไม่ต้องเดินทางมาเข้าบริษัท
✏✏✏🚩อายุน้อยก้อทำได้ไม่เป็นปัญหา
📌📌📌รายได้ 1,500 บาท ต่อวัน💸
2 ชม. แรกได้ 6$=216.06 บาท
มีรายได้ง่ายๆ เพียงคลิก💬💬
แล้วนำไปโพสต์ เฟสบุ๊ก
ได้ค่าคนเข้ามาดูลิ้งค์ 20 บาท ต่อคน,
✔งานง่ายๆ ได้แน่ 1,500 บาท ต่อวัน
ไม่เสียค่าสมัครลองทำดูนะคะทำเล่นๆได้จริงแล้วคุนจะไม่ผิดหวัง..ไม่เสียหายอะไรแค่สมัคร!!ฟรี..ถ้าไม่ได้จริงๆก๊ไม่ได้เสียหายอะไรลองดูนะคะ..ใช้เวลาออนเฟสให้เป็นประโยดกันเถอะ.
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ค่ะ
ID Line : suthiya3939
✔✔สมัครฟรี 100%
หลายวันนี้พาลูกไปฝึกเล่นสเก๊ต เจอเด็กฝึกเล่นสเก้ตเพียบ แต่ละคนล้มไปหลายต่อหลายสิบครั้ง ลุกขึ้นประมาณเก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ นอกนั้นนั่งพักแป๊บนึงแล้วลุกมาลุยต่อ
ไม่กลัวล้ม ไม่กลัวเจ็บ ล้มแล้วลุกจนเล่นเป็นตามเป้าหมาย...
แล้วเป้าหมายของพวกเรา... พวกผู้ใหญ่ที่ชอบบอกตัวเองว่าเป้าหมายยิ่งใหญ่นักหนา ล้มครั้งสองครั้งกลับยอมแพ้กันแล้ว ตกลงมันยิ่งใหญ่จริงหรือ?
แพ้เด็กสินะ!
#เอาความเป็นเด็กของผมคืนมา
"ตอนอยู่นิวยอร์ก มีเพื่อนคนเกาหลีหลายคนมากที่พาเมียมาอยู่ด้วยระหว่างเรียนปริญญาโท และพวกเขาก็จะมีลูกกันในช่วงเวลา 2-3 ปีนั้นเลย เพราะอยากให้เด็กเกิดมาเป็นสัญชาติ US จะได้ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร (เกาหลีบังคับชายทุกคนเกณฑ์ทหาร โดยต้องเข้าไปอยู่ค่ายตอนยังเรียนมหาลัยอยู่ คือเรียนๆอยู่ก็ดร็อปไปซะงั้น) เพื่อนบอกว่า คนเจ็นนี้ที่มีฐานะส่วนมากก็จะเลี่ยงด้วยวิธีนี้ทั้งนั้น เขาบอกว่า ตอนเขาเป็นทหารนั้นเสียเวลาชีวิตมาก และไม่อยากให้ลูกต้องไปเสียเวลาอย่างนั้นอีก เพื่อนเกาหลีเรียกปฎิบัติการแบบนี้ว่า operation AB หรือ american baby"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตำรวจไทยเก่งจัง ขนาดเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสก็ยังรู้ว่าเนื้อหามันต้องห้าม หรือจะมองว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่ไทยกำลังอยู่ในภาวะประสาทแดก
มิตรสหายท่านหนึ่ง
สมัยกูหนุ่มๆนะไม่อยากจะโว กูขับ ยามาฮ่า แดช จอดติดไฟแดง แม่งมีรถ..ม้าผยอง เฟอร์รารี่เปิดประทุน..จับพวงมาลัย..เอียงคอ
นิ้วใส่เพรชปะมาณ..13.5 กะรัต..สูบซิก้าตรามาโบโร..เหน็บว็อดก้าสก็อตแล่น..มาจอดข้าง ๆ พ่นควันโขมงโฉงเฉงเก๊ก..ไส่แว่นเรสะแบน..มีตุ๊กตาหน้ารถ..นมบึ๊บบั๊บอย่าง..ทรัดทรวง มณีฉาย...เหล่หางมองกูแบบเหยียด ๆ คนจน เบิ้นเสียงเครื่องยนต์ v 8
900 แรงม้า ท้าตาย..บรืนนน...บรืนนน...
ฮี่ถ่อ..อ้ายสัสส..คิดว่ากูกลัวหราา..?..
ไฟเขียวป้าบบ..แม่งมันออกตัวล้อหน้ายกลอยอย่าง..ในหนัง..โตเกียวดริฟท์ติ้ง..ทะลุนรก..เบิร์นยาง..มิชลินหน้ากว้าง 15 นิ้ว..สะเก็ดดอกยางกระเด็นใส่ร้านเซเว่นกระจกแตก..
นำกูไป..100 เมตรได้....อ่อ...อ่อ..ได้อ้ายสัส..กูสับเกียร์ 1 รถกูตีลังกาวนโชว์สามรอบ..แล้วพุ่งไปอย่าง..เจ๊กตื่นไฟไหม้โรงกะหลี่สำเพ็ง..หนังหัวกูแทบกระจุย..ลมถ่อ..ตบเกียร์ 2 ตาม..ติด ๆ ด้วยอานุภาพ..การแต่งสำนักกู..ตีลังกา 360 องศาอย่างกล้องฟรุ้งฟริ้ง...อีกสองรอบ..หมอบ....ท่านอน..มืองัดเกียร์โยงเกียร์ 3 ตามห่าง ๆ..
ยังไม่ทันอีก..เชนจ..เกียร์ 4 ไมล์กูไปหยุดที่ 240 km..เงยหน้าขึ้น..ยังห่างอีก..เกือบ 10 เมตรได้...กูเห็นรถมันแม่งไฟออกท้ายท่อ..เหม็น..
ไนตรัส..ปะทะจมูก..กูเลย..อัดเกียร์ 5 ตามมา..ไมลพุ่งปรี้ต..ตามมา..ไปหยุดที่..350 km..แม่งยัง..ห่างกันเพียงเอื้อมมือ..แต่มันเหมือนอยู่แสนไกลลล...โอ้เย้..ทรมาณฉิบหาย..กูเลย..ปล่อยท่าไม้ตาย..ด้วยเกียร์ 6 อัดฮาคิระดับราชันย์
พุ่งทีเดียว..แซงกระจุยกระจาย..หายวับ...หันไปมองไม่เห็นเงาด้วยความเร็ว 487 km ..
เจอกันอีกทีในปั้ม..ข้างทาง..แม่งบอกแลกรถกับกู..เฉย..กูเลยบอก..ไม่แลกเว้ยย..คันนี้..ประยุทธ์..ให้กูมาสัส..
มิตรสหายท่านหนึ่ง
.....อ่าว พอผ่อนผันจนครบ แล้วนำใบรับรองแพทย์มา ก็หาว่าตอแหล ทำไมไม่ยื่นตั้งแต่ปีแรก รู้ตัวว่าเป็น
.....พอยื่นไม่ผ่อนผัน ก็หาว่าใจกล้าไปป่าว ยังเรียนไม่จบ มีเงื่อนงำ
ตกลงจะเอายังไง บอกมา ถ้าป่วยเป็นหอบจริง ควรทำยังไง
1.ยื่นใบรับรองแพทย์ตั้งแต่แรก
2.ผ่อนผันไปก่อนแล้วค่อยยื่น
พวกมึงจะเอายังไง ทำแบบไหนก็โดนสงสัย โดนด่า จะเอายังไงว่ามา ดาราจะได้ทำตัวถูก จะได้ไม่โดนด่า
มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่อยากโดนด่าก็ทำตัวแมนๆแล้วเข้าเกณฑ์ทหารซะ ง่ายๆ
ไหนๆ แล้วก็ออกกฎหมายให้ข้าราชการพลเรือนต้องเกณฑ์ทหารด้วยไปเลย อย่าอภิสิทธิ์
>>909
หอบมันหายกันได้ด้วยการออกกำลังกาย กำลังดูแลสุขภาพมันจะหายเอง ไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หาย กุก็เคยเป็นถึงขั้นต้องพ่นยาเลย แต่แม่งก็หาย กุเรียนทั้งร.ด(ปีเดียว) กับเป็นทหารเกณฑ์ด้วย แต่ไอ้ไมค์กับณเดชคนมันสงสัยเพราะร่างกายมันแข็งแรง ถ้ามันเข้าฟิตเนสกับวิ่งบ่อยแม่งก็หาย แล้วไปเป็นทหารถ้ามึงไม่ไหวเข้าก็ไม่ฝืนมึงจนถึงตาย
เรียนร.ดน่าจะโอที่สุดแหละ ทนเหนื่อยแปปเดียว
มึงป่วยมึงเป็นเป็นหีแตดเป็นควยอะไรเขาไม่ฝืนมึงหรอก
หอบกูเป็นตอนเด็กพ่นทั้งยาบ้อง หลังๆพ่นยาเล็กๆ โตมาหายเอง
กระแดะทำเป็นสำออย แค่นี้ยังทนไม่ได้จะไปทำอะไรกิน
บทเรียนที่ดีบทหนึ่งจากเรื่อง joke
“A Japanese company and a North American company decided to have a canoe race on the St. Lawrence River. Both teams practiced long and hard to reach their peak performance before the race.
On the big day, the Japanese won by a mile. The North Americans, very discouraged and depressed, decided to investigate the reason for the crushing defeat.
A management team made up of senior management was formed to investigate and recommend appropriate action. Their conclusion was the Japanese had 8 people rowing and 1 person steering, while the North American team had 8 people steering and 1 person rowing. So, North American management hired a consulting company and paid them a large amount of money for a second opinion.
They advised that too many people were steering the boat, while not enough people were rowing.
To prevent another loss to the Japanese, the rowing team’s management structure was totally reorganized to 4 steering supervisors, 3 area steering superintendents and 1 assistant superintendent steering manager. They also implemented a new performance system that would give the 1 person rowing the boat greater incentive to work harder.
It was called the”Rowing Team Quality First Program“, with meetings, dinners and free pens for the rower. There was discussion of getting new paddles, canoes and other equipment, extra vacation days for practices, and bonuses.
The next year the Japanese won by two miles. Humiliated, the North American management laid off the rower for poor performance, halted development of a new canoe, sold the paddles, and canceled all capital investments in new equipment. The money saved was distributed to the Senior Executives as bonuses and the next year’s racing team was outsourced to India.”
การค้นพบที่ดี ต้องมากับวาจาที่ไพเราะ
Ignaz Semmelweis คือสูติแพทย์ในยุโรปที่มีฝีมือ สมัยนั้นแพทย์ที่ทำคลอดจะประสบปัญหาว่าคนไข้ที่มาทำคลอดในโรงพยาบาลมีการตายสูงถึง20% เรียกว่ามีคนไปทำคลอด 5 คน ก็จะตาย 1 คน
ในขณะที่การคลอดที่บ้านในสมัยนั้น อาจจะตายเพียง1%(ถ้าไม่คลอดติด ซึ่งถ้าติดที่บ้านตายเกือบ100%)
Semmelweis สังเกตว่าเวลาคนไข้ป่วยเป็นไข้หลังการคลอด มักจะเกิดขึ้นติดๆกันหลายคน และสังเกตว่าเวลาเป็นไข้ มักจะเป็นเรียงๆกันกับการทำคลอด
หากหมอไปทำคลอดเคสแรกแล้วมีไข้ เคสที่ทำต่อๆมาก็มักมีไข้เหมือนกัน
เนื่องจากยุคนั้นยังไม่ค้นพบเชื้อโรค ไม่มีใครรู้ว่าเกิดไข้หลังการคลอดจากอะไร ทุกคนเลยลงความเห็นว่าเป็นเพราะอากาศถ่ายเทไม่ดี
แต่Semmelweis ไม่คิดแบบนั้น เขาคิดว่ามีอะไรบางอย่าง ติดต่อจากคนที่คลอดแล้วมีไข้คนแรก ติดต่อผ่านมือหมอ ข้ามไปยังคนไข้อีกคน
เขาจึงสั่งให้ทุกคนที่ทำคลอดในสถาบันของเขาล้างมือให้สะอาด ล้างด้วยสบู่ไม่พอ ให้เอาคลอรีนมาล้างมือ
หลังจากการทดลองล้างมือปรากฎว่าอัตราการป่วยตายของแม่ที่มาคลอด ลดจาก20%เหลือ1% เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และSemmelweis ก็ได้บอกเล่าต่อไปยังเพื่อนแพทย์คนอื่นๆ รวมทั้งกระจายวิธีการนี้ไปคลินิกอื่นๆในยุโรป
ปัญหาคือ Semmelweis ปากหมา
เขาไม่ทราบว่าเหตุผลอะไรทำให้การตายลดลง เขาเดาเอาว่าบางสิ่งบางอย่างในช่องคลอดหรือตัวคนไข้ทำให้ป่วยและมันติดต่อกันได้ ... และเขาพิสูจน์ได้จริงด้วยการกระทำว่าการล้างมือได้ผล
แพทย์หลายคนหัวแข็ง ไม่เชื่อ ไม่ทำตาม แม้จะเห็นชัดๆว่าทำให้คนไข้ตายน้อยลง
Semmelweis เลยด่าหมอพวกนั้นว่า "ไอ้ฆาตกร"
พวกหมอ พยาบาล และคนในโรงพยาบาลเลยต่อต้าน นอกจากไม่ยอมล้างมือแล้วบางครั้งยังจงใจทำให้สกปรกเพื่อทำให้ความพยายามล้างมือของ Semmelweis ไม่สำเร็จ
สุดท้าย Semmelweis โดนเตะโด่งไปทำงานในคลินิกเล็กๆห่างไกล
วันนึงเพื่อนร่วมงานมองว่าเขาก้าวร้าวจิตไม่ปกติซึมเศร้า เลยวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิต จากนั้นหลอกไปโรงพยาบาลบ้าจับขังไว้
ผ่านไปสองอาทิตย์ Semmelweis หมอสูติผุ้ยิ่งใหญ่คนนี้ก็เจอผู้คุมโรงพยาบาลบ้าทำร้ายจนตาย
ตามระเบียบเมื่อแพทย์ที่เป็นสมาชิกสมาคมแพทย์ตายลง จะต้องเขียนประกาศไว้อาลัยในหนังสือรายปี
แต่สำหรับ Semmelweis แพทย์ที่มีเรื่องกับแพทย์คนอื่นๆไปทั่ว ... ไม่มีใครไปงานศพ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครประกาศรำลึก
ผ่านไป 20 ปี หลุยส์ปาสเตอร์ค้นพบเชื้อโรคท่ามกลางความขัดแย้งไม่เชื่ออย่างรุนแรง ... แต่เขาใช้ความสุภาพ อดทน และทดลองซ้ำให้คนที่ไม่เชื่อดูหลายครั้งหลายหนจนทุกคนเชื่อและยกย่องเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
เรื่องเดียวกัน แต่จุดจบคนละแบบอย่างสิ้นเชิง
"เมื่อวานพาลูกไปมอบตัวชั้น ม.1 รร.มัธยมของรัฐ ที่อยู่ห่างจากบ้านไปประมาณ 20 กม.
.
ไม่ได้เป็น รร.ที่มีชื่อเสียงอะไรเพียงแต่ก็ไม่ได้เป็น รร ในระดับสุสานคนเป็น เหมือนกับ รร. ที่อยู่ติดกับบ้าน
.
ไปถึงโรงเรียนเพื่อมอบตัวส่งและเซ็นเอกสารเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ชี้ให้ไปที่ฝ่ายการเงิน จ่ายเงินไป 1,420 บาท
.
ถามว่ามีใบเสร็จไหม จนท. บอกว่าเปิดเทอมจะออกใบเสร็จให้
.
ที่เขียนก็เพื่อจะบอกว่าที่เราเข้าใจว่าเรียนฟรีมันไม่จริง
.
รัฐเพียงแค่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเรียนเพียงบางส่วนเท่านั้น
.
ค่าอาหาร เสื้อผ้า(ส่วนใหญ่) ของใช้เบ็ดเคล็ด และค่าอาหารเป็นภาระของผู้ปกครอง เด็กในพื้นที่ธุรกันดารถ้าอยากเรียนก็ต้องเสียค่าเดินทางเพื่อไปเรียน
.
ได้ไปเรียนก็ไม่ได้หมายความว่าได้เรียนรู้ ก็เพราะโรงเรียนในที่ห่างไกลส่วนใหญ่มันเหมือนกับสิ่งที่เขาเรียกว่าสุสานคนเป็น
.
สุสานคนเป็นหมายถึงสถานที่ซึ่งใช้เป็นที่กลบฝัง ขรก. ครูเหลือเลือก ไม่มีโรงเรียนไหนต้องการ โรงเรียนในที่ธุรกันดารจึงเป็นแหล่งรองรับ
.
ทำงานลงชื่อเข้าสอนไปวันๆ ผอ.ติดภาระประชุมแทบไม่เข้าโรงเรียน อาจารย์บางคนเกี่ยวหญ้าเลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ชนอยู่นา บางคนก็เมาเหล้าเมากัญชามาสอน ควัก -วย ออกมาเยี่ยวในห้องเรียนก็ยังเคย
.
ขรก. ครูส่วนใหญ่ กู้เงินสหกรณ์จนเต็มลิมิต พูดทีเล่นทีจริงว่าเป็นหลักประกันว่าจะได้ไม่โดนไล่ออกแน่ๆ
.
ผมเชื่อว่าพวกเขาคิดอย่างนี้จริงๆ และเดาว่าพวกเขาก็คงจะไม่โดนไล่ออก
.
เพราะระดับผู้บริหารก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน
.
แล้วเด็กบ้านนอกบ้านนามันจะได้อะไร มันจะมีอะไรติดตัว
.
ได้ข่าวเรื่องการเกษียณอายุราชการเป็น 65 ปี แล้วยิ่งหนักใจ ครูที่มีปัญหาส่วนใหญ่แล้วเป็นครูอายุมาก แก่พรรษา เรียกว่าแทบจะไม่ได้ทำการทำงานให้คุ้มค่าเงินเดือน อยู่กินเงินเดือนเปล่าๆถึงหกสิบปีนี่เยาวชนก็ซวยพอสมควรแล้ว แต่นี่ คสช. จะให้ซากเดนพวกนี้เกาะกินโอกาสของเด็กไทยเพิ่มอีกห้าปี
.
จากข้างต้น การประกาศว่าเรียนฟรี 12 ปี แต่เป็นการลดระดับการสนับสนุนเรื่องการเรียนลงจาก ม. 6 เหลือเพียงแค่ ม.3 ยิ่งเป็นสิ่งที่แย่กว่าสำหรับเยาวชนผู้ต้องการโอกาสทางการศึกษา
.
ถ้า กรธ. คนชั้นสูง ผู้นำเผด็จการทหาร มีความจริงใจในการที่จะเห็นคนไทยพัฒนาขึ้นจริง ควรประกาศ ปฏิรูปมาตรฐานการศึกษ ลดเกณฑ์การเกษียณอายุ ขรก. ลงเหลือ 55 ปี เพื่อเปลี่ยนถ่ายเม็ดเลือดใหม่ที่มีศักยภาพเข้าสู่ระบบ
.
และประกาศสนับสนุนการศึกษาฟรีทุกช่วงชั้นตลอดชีวิตให้กับคนไทยทุกคน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เป็นเกย์กรุงเทพฯ แต่ไม่เป็นสมาชิกฟิตเนส ไม่มีบัตรเครดิต ไม่มีของแบรนเนมสักชิ้น ไม่ไปพักร้อนที่เสม็ด ไม่เที่ยวสีลมซอย2 ไม่ไปงานTrasher Bangkok ไม่อ่านหนังสือบันทึกของตุ๊ด ถือว่าผิดไหมคะ
ขอพูดมั่งเรื่อง Startup กับ SME.... อย่าด่ากรูนะ
SME เป็นองค์กรธุรกิจขนาดเล็ก (ในไทยถือเกณฑ์ revenue ต่อปีไม่เกิน 200 ล้านบาท) เป็นเรื่องของ Real Sector - ผู้ผลิต ผู้ขายส่ง ขายปลีก ตาม business model ดั้งเดิมของการส่งผ่าน value ไปตาม value chian แบบ Pipe business model คือ จากผู้ผลิต ไป distributor, dealer, retail shop จนถึงผู้บริโภค เป็นส่วนใหญ่ของธุรกิจที่เราดำเนินกันมาหลายร้อยปี
เมื่อมีเทคโนโลยีไอทีเข้ามา...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Software และ Internet เริ่มมีบทบาทในทางธุรกิจมากขึ้น จนหลายปีก่อน Marc Andressen นักลงทุนเจ้าพ่ออินเตอร์เน็ต ได้เอ่ยว่า "Software is eating the world" เพราะมันกินไปทีละอุตสาหกรรม ไม่ว่า เพลง ภาพยนต์ กล้องถ่ายรูป นาฬิกา ฯลฯ
และมันวิวัฒนาการต่อไปจนมากกว่านั้น มีการใช้ IT ไปสร้าง Business Model ใหม่ๆ (ตอนนี้ Business Model ต่างหากที่กำลังแดรกโลก) เช่น Uber, Airbnb ที่ชอบยกตัวอย่างกัน คือ Business Model เดิมมันมีปัญหา แท็กซี่เรียกยาก โรงแรมหายาก ราคาแพง ก็เอาไอทีมาทำ Business Model ใหม่ ในรูปแบบที่เรียกว่า Platform ตัด Supply chain แม่มหมด เอาผู้ให้บริการ มาชน (interact) โดยตรงกับผู้บริโภค โดย Business ใหม่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง (Platform) เล่นเอา อุตสาหกรรม Taxi และ โรงแรม ที่อยู่มาร่วมร้อยๆปี ถอยร่นไม่เป็นกระบวน จนต้องออกมาเดินขบวนกันใหญ่
ไอ้ธุรกิจที่มี Business Model แบบ Platform นี่แหละ มันเลยกลายเป็น trends ใครๆก็เริ่มหาปัญหาใหม่ๆ (จริงๆต้องเรียกว่าปัญหาเก่าๆที่เราเผชิญอยู่มานาน) แล้วก็เขียน Business model ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา
ทีนี้ใครมันจะรู้ว่าไอ้ Business model ใหม่นี่มันจะแก้ปัญหาได้จริงหรือป่าว ก็เลยเกิด phase ที่เรียกว่า "Startup" ขึ้นมา คือมีไอ้บ้าที่คิดว่าอะไรมีปัญหาแล้วก็เขียน Business Model ขึ้นมา แล้วก็ป่าวประกาศ โดยที่เป็นองค์กรที่ยังไม่มีรายได้ มีแต่กระดาษกับคนทำงาน ที่หลายคน "เชื่อ" ว่าความคิดพวกมรึงเจ๋งมาก กรูอยากลงทุนด้วย ก็ให้เงินที่เรียกว่า "Seeding Money" ไปลองทำดู เจ๊งเป็นเจ๊ง แค่อยากลอง
เนื่องจากไอ้ Business Model พวกนี้ถ้ามันคลิ๊ก มันก็จะโตเร็วเลย เรียกว่าสามารถ scale ได้ (ขยายตัวเร็ว) และ duplicate ได้ เช่น Uber ทำในประเทศนึง พอจะทำอีกประเทศนึง ก็ duplicate หรือ ทำซ้ำได้ โดยลงทุนไม่มาก ไม่เหมือนทำ Taxi เพราะไม่ต้องซื้อรถเอง ไม่ต้องจ้างคนขับ ฯลฯ
คนก็แห่กันไปลงทุน แห่กันไปเป็น Startup
บริษัท Startup เมื่อได้ seeding money มาแล้ว มาลองทำดู เมื่อมีรายได้เป็นจริงจังแล้ว ก็พ้นจาก stage ที่เรียกว่า Startup เข้าสู่ stage ของบริษัทธรรมดาสามัญ ที่สามารถระดมทุนต่อไปได้ อีตรงนี้จะเรียก SME ก็ได้ หรือถ้ามันโตเร็วมาก ระดมทุนรอบนี้ได้มาก มันก็ไม่ใช่ SME ถ้าเกินพันล้านดอลล่าห์ ก็เรียกว่า "ยูนิคอร์น" ไอ้หน้าม้ามีเขา นั่นแหละ
ในประเทศที่กรูอยากเท่ ก็คิดว่าเราควรมี Startup ดูบ้าง ก็เลยลองจัดงานดู ทำให้เราส่งเสริม Startup กัน
ยกตัวอย่าง
ลุงจิมขายน้ำพริกหนุ่ม ลุงจิมเป็น SME และมี SME อีกเป็นร้อยเป็นพันทำแบบเดียวกัน
ปัญหาคือคนอยากซื้อน้ำพริกหนุ่ม แต่ซื้อยาก ไม่แน่ว่าถูกใจ อร่อยปากหรือไม่
ลุงจิมเห็นปัญหา คิดเครื่องชิมน้ำพริกหนุ่ม แล้วก็ทำศูนย์รวมน้ำพริกหนุ่ม มีบริการส่งรสให้ชิมทางเว็บ ผู้ใช้เลียหน้าจอแล้วได้รสน้ำพริกหนุ่ม สั่งง่าย ส่งเร็ว มีแคชออนเดลิเวอรี่ ก็เอาไอเดียไป เสนอนักลงทุน นักลงทุนเห็นว่าดี เอ็งเอาเงินไปลองทำดู
ลุงจิมก็กลายเป็น Startup
ถ้าทำสำเร็จ ก็ระดมทุนต่อ เป็น SME ขนาดใหญ่ หรือเป็น ยูนิคอร์น แห่งวงการน้ำพริกหนุ่มไป
ถ้าเจ๊ง ก็ตัวใครตัวมัน ลุงจิมก็กลับมาเป็น SME ขายน้ำพริกหนุ่ม
ทั้งหมดนี้เป็นการเปรียบเปรย เท่าที่รู้ ผิดถูกยังไงก็ท้วงติงกันมานะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์
"คิดว่าสุริยาหีบศพนี่ก็คงอยากจะออกโปรโมชั่นแบบ ซื้อ 3 แถม 1 อะไรงี้น่ะครับ แต่ก็คงเล็งเห็นแล้วว่าน่าจะโดนว่าว่าไม่เหมาะสมแน่ๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สงกรานต์ถ้าจับนมทีนึงจะโดนปรับ20,000 แต่ถ้านำเงิน20,000 ไปเปิดเมม จะได้เหล้าด้วย และจับนมอีกกี่ทีก็ได้
#ใช้เงินให้เป็น
เคยดูตีสิบนานมาเเล้ว อ.เฉลิมชัยแกเล่าว่า
ซื้อรถเบนซ์เพราะมีคนมามองเเกเหยียดๆตอนแกขี่มอเตอร์ไซค์
แต่เเกขับรถไม่เป็น เลยจอดรถเบนซ์ไว้เฉยๆ
ไม่รู้ป่านนี้แกขับรถเป็นหรือยัง..แกยังบอกว่าโง่มากที่ไปสนใจคนๆนั้น
เราล่ะอึ้งเลย..
เมื่อวานมีนัดคุยเรื่องงานที่เซ็นทรัลพระรามเก้ากับเจ้าของสินค้าตัวนึงตั้งแต่สองทุ่มจนเที่ยงคืน
แต่กว่าสามชั่วโมงคือการอธิบายถึงสภาวะของการทำสมาธิและการแยกอารมณ์ให้เค้าเข้าใจ เพราะผมเองก็อธิบายเค้าไม่เก่งเลยแนะนำว่าการฝึกขั้นตอนไหนต้องไปปรึกษาหลวงพ่อวันไหนแทน
เรื่องมันเริ่มมาจาก คุยงานอยู่แล้วแกก็บอกผมว่า ด้วยเงินที่มีตอนนี้กับที่จะหามาอีกในอนาคต รวมแล้วเท่านี้ พออายุ 40 แกจะบวชและทิ้งเงินก้อนนี้ให้เป็นสาธารณะกุศลซึ่งความคิดเราสองคนตรงกันมาก
เลยถามว่าที่ตัดได้นั่นเพราะว่าได้อารมณ์จากการทำสมาธิมาถึงขั้นไหนแล้ว เลยผลัดกันเล่า
ของผมฟังเค้าเล่าก่อน แล้วเค้าเลยถามผมบ้างก็เลยเล่าให้ฟังว่าชอบอ่านหนังสือมาก อ่านจนเกือบครบทุกเล่มในห้องสมุดและตัวเองก็เข้าออกโรงพยาบาลบ่อย แต่เข้าใจว่าเป็นกรรมเก่า และการทำสมาธิภาวนาจะทำให้กรรมเบาบางได้ เลยหัดฝึกมาตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่กับแม่ฝึกตอนวันหยุด วันละ 3-4 ชม พอมาอยู่คนเดียวก็ทำมาเรื่อยๆ
และอธิบายเป็นตารางว่าอารมณ์ตอนนอนโรงพยาบาลแบบรู้สึกว่าเราจะจากโลกนี้ไปโดยทิ้งแต่ร่างกายไว้ กับการทำสมาธิแต่ละขั้นเหมือนกันยังไง โดยเริ่มตั้งแต่ อาการ ตาพร่า หมดแรง ร้อนกลางอก หูอื้อ ปากหูดับ เทียบกับ การทำสมาธิ ซึ่งก็แนะนำหลวงพ่อที่สอนผมไปด้วยแม้บางองค์จะละสังขารไปนานแล้ว
ของผมไม่ได้ฝึกพุทโธ แบบพี่เค้า แต่เล่นกสิณมาตลอด เริ่มแรกคือไฟเพราะแม่เคารพหลวงพ่อโอภาสี ต่อมาก็กสิณน้ำมีพระอาจารย์ที่ไปบวชที่วัดพระรามเก้าสอน ต่อมาก็ฝึกกสิณลม ที่วัดหินหมากเป้งสอนมา จนตอนนี้ ภาวะหูดับ ใจดับ สามารถทำให้เราอยู่ในสภาวะไม่รู้อะไรเลย
เลยชวนกันไปฝึกสมาธิแบบแทบไม่ได้คุยธุรกิจซะงั้น แต่บอกเทคนิคไปเยอะมาก ตอนนี้พี่เค้าขยับจาก 2 ชมมาเป็น 1 วันได้แล้ว และเค้าบอกว่าอยากได้ทำได้แบบผมทีละ 2-3 วัน แต่ผมบอกให้เค้าใจเย็นๆเพราะเค้าต้องมีครูอาจารย์สอนด้วย และมีศีลสม่ำเสมอ เค้าเลยบอกผมว่าเค้าถือศีล 10 มาหลายปีแล้ว และกินอาหารมื้อเดียวใน วันพระ กับวันเกิด (ทุกวันจันทร์)
บอกตรงๆว่าหายากมากที่จะเจอคนแบบนี้และได้มาร่วมงานกัน ช่วงนี้รู้สึกว่าโชคชะตาพาให้มาเจอคนแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
"คบคนเช่นไร ย่อมเป็นเช่นนั้น"
มันเป็นเรื่องของ mindset
"สถานะ" ว่าเราเป็นอะไร มันเป็น "ผลลัพธ์" ที่เกิดจาก "กระบวนการ" และ/หรือ "วิธีการ" ซึ่งตัวกระบวนการและวิธีการเองก็เป็น "ผลลัพธ์" ที่ตั้งต้นจาก mindset อีกทีหนึ่ง
โบราณท่านว่า "คบคนเช่นไร ย่อมเป็นเช่นนั้น" ไม่ใช่เพราะมันจะทำให้เรามีสถานะเช่นนั้นทันที
แต่มันจะทำให้เรามี mindset แบบนั้น เป็นจุดตั้งต้น
คบคนเก่ง ไม่ทำให้เราเก่งไปในทันที หรือแปลว่าเราก็เก่ง (สถานะ) และ ณ วันที่เรายังไม่เก่ง ไปทำตัวเก่ง (วิธีการ) ก็ไม่มีวันเก่ง ก็จบกัน ... แต่ถ้าเราเริ่มเรียนรู้ mindset .... สักวันหนึ่งเราอาจจะเก่งด้วย
ความเก่ง เป็น mindset ไม่ใช่เงินเดือน ปริญญา หรือคะแนนสอบ
ความรวย เป็น mindset ไม่ใช่รายได้ เงินในบัญชี ทรัพย์สินสมบัติ
ความสำเร็จ เป็น mindset ไม่ใช่ถ้วยรางวัล การถูกยกย่อง
Entrepreneur เป็น mindset ไม่ใช่การเป็นเจ้าของกิจการ
คบคนเช่นไร ย่อม "eventually" เป็นเช่นนั้น
eventually ... ไม่ใช่ now
สิ่งสำคัญของความรักที่มีความสุขคืออะไร ?
สำหรับเรา เราคิดว่า สิ่งสำคัญของมันคือ ความรักต้องเป็นสิ่งเดียวกับความจริง มันถึงจะมีความสุขอย่างแท้จริง
ไอ้พวกความรักแบบหลอกตัวเองว่าเขารัก หลอกตัวเองว่าไม่มีอะไร ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่ามี
ถามจริงๆเถอะ มีความสุขจริงเหรอ ในเมื่อก็รู้ๆอยู่ว่าเขาไม่ได้จริงใจกับเรา ที่เห็นๆนี่คือการสร้างภาพ
คนที่มันไม่ดีเนี่ย ถ้ามันจะไปก็ให้มันไปเถอะ เก็บไว้ทำไม
ที่จริงเรื่องการเมิองนี่กูขอให้คนทั่วไปต้องเข้าใจก่อนว่ามีงเกิดมาเป็นประชากรแล้วทีหน้าที่ทำให้สังคมมันดีขี้นๆไปสร้างสภาวะที่ดีให้ลูกหลายสืบต่อไปจะได้สู้กับรัฐอื่นๆได้ ถ้าจะพูดไปคือคนที่คิดว่ากูดีในตัวลอยตัวเหนือปัญหาการเมืองมันก็ผิดอ่อนๆเหมือนกันตรงที่มีปัญญาทำให้สังคมดีขี้นแต่ดันละทิ้งปล่อยให้พวกเหี้ยๆมันครองอำนาจ
ไอ้พวกมาแนวอ่าห์กูฟินจังเลยที่นั่งสมาธิได้ขั้นนู้นขั้นนี้มันเป็นความสุขแบบสันโดษไปหน่อยไม่ต้องมาอวดคนที่ยังไม่ถึงแบบมึงหรอก เพราะสังคมยังต้องการคนปฏิบัติแบบอุทิศตนอีกเยอะ
Myth อย่างหนึ่งของ Tech Startup คือ "ใช้คนน้อย ไม่กี่คนก็เกิดได้" แล้วก็คิดเท่ๆ โดยการเอาตัวอย่างพวก Facebook, Instagram ที่เกิดจาก Founding Team แค่ไม่กี่คน มาเป็นตัวรับรองว่ามันจริง
จริงๆ มันเป็นภาพลวงตาครับ .... จำนวนคนไม่เกี่ยวข้องขนาดนั้นมาตั้งแต่ต้น .... ต้องถามว่า "ประสบการณ์รวมของคนเหล่านั้นน่ะ เท่าไหร่"
ไม่ใช่จะเริ่มจากมี Business Idea ที่มันโคตรจะ Killer แต่ไปหาโปรแกรมเมอร์เด็กจบใหม่ที่ไม่เคยทำงานจริงจังมาทีมนึง 3-4 คน แล้วคิดว่าจะทำให้เกิดขึ้นได้
ถ้าคิดแบบนั้น ก็ฝันไปเถอะ ฝันอย่างเดียวเท่านั้น
มันต้องใช้คนน้อยที่สุด (ไม่งั้น Bootstrap ช่วงแรกลำบาก ทีมใหญ่เกินไป) ที่ประสบการณ์ (ในด้านที่เกี่ยวข้องนะ) รวมกันแล้วเพียงพอ (มากที่สุดเท่าที่จะมากได้)
ถ้าดูแค่จำนวนคนอย่างเดียว มันก็ misleading พอๆ กับบอกว่า steve jobs, bill gates, mark zuckerberg ไม่จบมหาลัย
ตัวอย่างการเขียน E-mail แบบญี่ปุ่น
เรียน K ซังที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณที่สละเวลาอ่านจดหมายอันออกจะยืดยาวนี้ของผม
ตอนนี้อากาศร้อนขึ้นอีกแล้ว K ซังสบายดีหรือเปล่าครับ ผมสบายดี
เมื่อวานนี้เจ้าแมวสามสีเดินผ่านหน้าบริษัทของเราอีกแล้ว จากโต๊ะทำงานของผมมองเห็นมันค่อยๆก้าวไปบนกำแพงได้อย่างชัดเจน ท่าทางเดินอย่างองอาจ ว่องไว ไปพร้อมๆกับระมัดระวังของมันนั้นนั่นทำให้ผมละลึกถึง K ซังขึ้นมา และเป็นความโง่เงาของผมอย่างที่สุดที่พึ่งตระหนักได้ว่าทางเราหาใบเสนอราคาที่ K ซังส่งมาให้แล้วไม่พบ
ทางเราจึงต้อง ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง ที่ไม่ได้ตรวจเช็คให้รอบครอบจึงอาจจะทำใบเสนอราคาที่ K ซังส่งมาแล้วหายไป โปรดให้อภัยกับความผิดพลาดของทางเรา และหากว่าจะกรุณา ทางเราต้องขอกรุณาให้ K ซัง ได้โปรดส่งใบเสนอราคามาอีกครั้งได้หรือไม่ครับ?
และหากเป็นไปได้ ถ้าKซังพอจะหาช่วงเวลาที่สะดวกใจในช่วงสิ้นเดือนนี้ได้ ท่านประทานของทางเราก็มีความประสงค์ที่จะไปขออภัย K ซังโดยตรง และอาจจะได้พูดคุยถึงเรื่องหมากล้อมซึ่งท่านประทานของเราสนในและ ทราบว่า K ซัง เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้
ขออภัยที่ทำให้เสียเวลาอันมีค่า ด้วยเรื่องราวไร้สาระของทางเราครับ และขอความขอบใจความช่วยเหลือที่มีให้กันมาโดยตลอด
ด้วยความเคารพนับถืออย่างหาที่สุดมิได้
ทานากะ
+++++++++++++
แปลว่า ไอ้สัส มึงยังไม่ส่งใบเสนอราคานะเว้ย รีบๆส่งมา กูให้เวลามึงถึงสิ้นเดือน
โพสต์นี้จาก wit.ai (บริษัทที่เฟซบุ๊กซื้อมา 15 เดือนก่อนเปิดตัว Messenger Platform) อธิบายการทำงานของ Bot Engine ที่เฟซบุ๊กใช้ใน Messenger Platform
มีสองคอนเซปต์หลัก คือ Stories กับ Action
Stories คือตัวอย่างของบทสนทนา ที่จะไปแมตช์กับบทสนทนาจริงๆ และทำให้รู้ว่าจะมี Action อะไรเกิดขึ้นได้บ้างจากการคุยนี้
การทำงานของ Bot Engine จะใช้ Stories เหมือนเป็นกฎในการทำงาน ซึ่งก็คือ expert system แบบสมัยก่อนนั่นแหละ เขียนกฎขึ้นมารองรับ use case ต่างๆ
ความต่างระหว่าง Stories กับกฎทั่วไปก็คือ ในระบบ AI แบบ rule-based มันจะเจอปัญหาในการออกแบว่า จะทำกฎไหนก่อนหลัง แล้วถ้ากฎมันขัดกันจะทำยังไง (ความต่างระหว่าง rule-based กับ data-based หยาบๆ ก็คืองี้: rule-based มีกฎน้อยๆ ก็ทำงานได้แล้ว เวลาผ่านไปพอมีกฎเยอะๆ จะปวดหัว จะเพิ่มความฉลาดได้ยาก vs data-based มีข้อมูลน้อยๆ ยังทำงานไม่ได้ ต้องมีข้อมูลเยอะถึงระดับนึงจึงจะเริ่มทำงานได้ พอเวลาผ่านไปจะยิ่งฉลาด)
แต่ใน Bot Engine ตัว Stories มันกึ่งๆ rule กึ่งๆ data คือถ้า Stories ไหนยังไม่มีข้อมูลมาช่วย มันก็จะทำงานเหมือน rule ปกติ แต่พอเวลาผ่านไป พอมีข้อมูลบทสนทนาจำนวนนึงแล้ว ก็จะเอาข้อมูลมาช่วยด้วย ผมเข้าใจว่ามันคือ weighted rule น่ะแหละ
ซึ่งการทำแบบนี้มันก็ไม่ต้องสนใจว่า Stories มันจะขัดกัน ก็ปล่อยมันขัดไป แต่เดี๋ยวตอนทำงาน เครื่องมันจะตัดสินใจได้ว่าจะใช้อันไหนตอนไหน จากน้ำหนักที่ได้จากข้อมูล
แน่นอนว่า Stories (rule) พวกนี้นี่ไม่จำเป็นต้องให้คนเขียน แต่คอมมันเรียนเองได้ แต่จะเรียนได้ดีก็ต้องมีคนมาช่วยไกด์หน่อย (และ Bot Engine เปิดให้ทำตรงนี้ผ่าน Wit Inbox คอนเซปต์ที่สามที่อธิบายในโพสต์นั้น) ที่ผ่านมาข้อมูลการสนทนานั้นเฟซบุ๊กมีอยู่แล้วมหาศาล แต่การเปิด Messenger Platform และให้คนทำบอตผ่าน Bot Engine ของตัวเอง (ไม่เหมือนแพลตฟอร์มอื่นที่ให้นักพัฒนาไปทำข้างนอก) จะทำให้เฟซบุ๊กมี Stories (rule) ไปเรียนได้อีกเยอะ
คือต่อไปจะไม่ใช่แค่ผู้ใช้ที่แชตๆ ที่ทำงานให้เฟซบุ๊ก แต่นักพัฒนาของบริการต่างๆ ที่ใช้ Bot Engine ก็จะทำงานให้เฟซบุ๊กด้วย tongue emoticon
https://wit.ai/blog/2016/04/12/bot-engine
ใครจะค้นต่อเรื่องพวกนี้ลองคีย์เวิร์ด question answering system
ซึ่งก็เหมือนกับระบบ NLP ทั่วไปที่มันจะมี 2 ส่วน คือ natural language understanding (NLU) กับ natural language generation (NLG) เข้าใจว่าบริการทั่วไปของแชตบอตอย่างที่เฟซบุ๊กโฆษณาอยู่ คงไม่ต้องใช้ NLG ที่ซับซ้อนมาก เอาคำยัดใส่ลงเทมเพลตที่เตรียมไว้ล่วงหน้าก็น่าจะได้ (กรณีของ CNN ที่เป็นบริการข่าว น่าจะไปทับกับสาขาที่ตอนนี้ก็เริ่มมีใช้แล้ว คือ robot journalism)
ถ้าสนใจหาข้อมูลไปเล่น ใน TREC มี QA Track อยู่ด้วย ไปโหลดมาเล่นได้
http://trec.nist.gov/data/qa.html
(ของภาษาไทย BEST ยังไม่เคยเปิดแข่งระบบตอบคำถาม แต่อนาคตก็ไม่แน่นะ http://thailang.nectec.or.th/best/ )
ที่ลุงโพสเรื่อง Startup ติดต่อกันมายืดยาว ไม่ใช่เพราะอวยหรือชื่นชม Startup จริงๆแล้วลุงค่อนข้างจะรังเกียจ Startup ด้วยซ้ำไป...
ความเห่อบ้าคลั่งของเรื่อง Startup นอกจากทำให้ร้านกาแฟที่ลุงชอบนั่งเต็มไปด้วยไอ้เด็กฝันเฟื่องทั้งหลายจนหาที่นั่งไม่ค่อยได้แล้ว มันยังนำมาซึ่งหายนะหลายอย่างในสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศที่เต็มไปด้วยความฉาบฉวย แห่ตามกันไปทำโดยไม่ยั้งคิด และขาดความรู้โดยสิ้นเชิง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการเกิดทัศนคติที่ว่า ถ้าเป็น startup แล้ว ทำงานน้อย หาเงินได้มาก โดยธรรมชาติของ Startup Business Model ที่เล่ามาแล้วในสองโพสที่แล้ว มันมีความ "ได้เปรียบ" คนที่ทำ real sector อยู่แล้ว เช่น ที่เห็นความขัดแย้งระหว่างคนขับ Taxi กับ Uber ที่เกิดขึ้นทั่วโลก หรืออย่างเว็บไซต์ e-commerce ขนาดใหญ่ที่ระดมทุนมหาศาลมาเพื่อ subsidise ราคาสินค้าจนสามารถขายสินค้าต่ำกว่าทุนได้ และทำให้ supplier ตายไปตามๆกัน ยังไม่นับอาชีพตาม Pipe Supply Chain ที่ทะยอยล้มหายตายจากไปอีกมหาศาล
ไอ้ทัศนคติที่ว่าเป็น Startup แล้วทำงานน้อยได้เงินมาก กำลังจะฆ่าสังคมและระบบเศรษฐกิจของเราเอง
และเมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลต้องการสนับสนุนให้เกิด Startup จำนวนมาก มีเงินมาแจกให้รายละหลายแสน เพื่อสร้าง Startup ผมยิ่งรู้สึกกลัวว่าเยาวชนเรากำลังเข้าสู่กับดักของความอยากมีอยากได้แต่ไม่อยากทำงาน
ผมคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลควรจะทำคือการหามาตรการให้เกิด Startup จำนวนหนึ่งที่เป็นจริงได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมป้องกันให้ธุรกิจใน real sector สามารถคงอยู่ต่อไปได้ การส่งเสริม SME และ OTOP เป็นเรื่องที่ยังควรที่จะต้องทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นรากฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่
ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลอาจจะมีความคิดล้ำเลิศ จึงเอาเรื่อง Startup มายำรวมกับเรื่อง SME และ OTOP จนมันมั่วกันไปหมด ไม่รู้จริงๆว่าไอ้งาน Thailand Startup ที่กำลังจะเกิดขึ้นมันจะเป็นยังไงต่อไป จะออกมาในรูปแบบไหน
ผมได้แต่หวังว่า บทความที่เขียนมาทั้งสามโพส จะนำมาซึ่งความเข้าใจของคนที่ได้อ่าน และทำให้เรื่องราวพวกนี้ได้รับการจัดการ และส่งเสริมไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ให้มากที่สุด
การเป็น Startup อาจเป็นเรื่องเท่ ได้รับเงินลงทุนมหาศาลโดยไม่ยาก สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อได้รับทุนแล้ว เอ็งช่วยลุกออกจากร้านกาแฟ กลับไปห้องทำงานเพื่อทำงานจริงๆซะที เหมือนอย่างที่มาร์ค (Blognone) เคยโพส
ลุงทำงานไอทีมานาน และยังคงเป็น SME เพราะหลงไหลในเรื่องความเป็นเลิศทางวิชาการ และก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการเกิดขึ้นของ startup นักหนา มันก็แค่ทำธุรกิจอีกแบบ
หวังว่าที่เขียนมาคงเป็นประโยชน์...
มิตรสหายลุงท่านหนึ่ง
นั่งฟังท่านผู้นำบอกว่าคนตัดหญ้า ชาวนาโง่ ไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยแล้วตลกดี
อันที่จริงเป็นเรื่องจริงที่คนไทยเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยกันน้อย แต่พวกที่ไม่เข้าใจจริงๆไม่ใช่รากหญ้าหรอก แต่เป็นพวกชนชั้นกลางในเมือง
สิ่งที่เรียกว่ารัฐคือการเอาภาษีมากองกันเป็นกองกลาง การปกครองคือการตัดสินว่าจะเอาเงินกองกลางเนี่ยไปทำอะไรดี
ทุกคนต่างก็อยากเอาเงินมาใช้เพื่อตัวเองทั้งนั้น ประชาธิปไตยคือการที่เราถือว่าทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเท่าๆกัน ดังนั้นจึงตัดสินว่าจะใช้เงินกองกลางอย่างไร ผ่านการตัดสินโดยเสียงส่วนใหญ่
คนต่างจังหวัดคุ้นเคยกับระบบนี้มากกว่า เพราะหลังจากการกระจายอำนาจของรัฐธรรมนูญ 40 เป็นต้นมา ชีวิตประจำวันของเขาก็อยู่กับระบบแบบนี้
ถนนจะตัดผ่านบ้านไหน ที่ไหนจะได้อ่างเก็บน้ำ จะปล่อยน้ำเมื่อไหร่ ประปาไฟฟ้าจะมาหรือไม่ จะสร้างตลาดที่ตรงไหน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งท้องถิ่น
การหาเสียงคือการสัญญาว่าจะใช้เงินภาษีไปทำอะไรบ้าง ส่วนการเลือกตั้งคือการสนับสนุนการใช้อำนาจปกครองให้เป็นไปดังที่โฆษณา
การบอกให้ไปเลือกคนดีนั้นเป็นสิ่งที่ตลก เพราะเราไม่รู้เลยว่าคนดีจะเอาเงินภาษีและอำนาจไปทำอะไร เราไม่รู้ว่าคนดีจะสร้างถนนผ่านหน้าบ้านเรามั้ย คนดีจะทำอ่างเก็บน้ำที่ไหน
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่คนดีทำก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนดี ไม่ใช่ประโยชน์ของมหาชนเลย คนแบบนี้เก็บไว้ในวัดนั่นแหละดี ไม่เหมาะจะให้ใช้ภาษีของทุกคน
ชนชั้นกลางมีความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยต่ำมาก ส่วนใหญ่แทบไม่ได้ไปประชุมเลือกกรรมการคอนโดของตัวเองด้วยซ้ำ เท่าที่ผมเห็นส่วนใหญ่เอาแต่บ่น แต่ไม่ยอมไปประชุมกรรมการคอนโด แล้วมันจะได้อย่างที่บ่นมั้ยล่ะ
วิธีอยากได้สิ่งที่คุณต้องการจากเงินส่วนกลาง คือการไปบอกนักการเมืองของคุณ (ชนชั้นกลางอาจจะไม่รู้จักแต่ชาวบ้านเขารู้ดีว่าต้องไปหาใคร) และต่อรองด้วยคะแนนเสียงเลือกตั้ง นี่แหละคือประชาธิปไตย
สมมุติว่าอยากให้ฟิตเนสเปิดถึงเที่ยงคืนเพราะทำงานดึก ก็ไปเคาะประตูหาคนลงชื่อสักห้าสิบคน แล้วไปประชุมบอกว่า เนี่ย ผมมีห้าสิบรายชื่อที่เลิกงานดึก เราน่าจะเอาเงินส่วนกลางไปจ่ายโอทียามดูแลฟิตเนสแล้วเปิดมันดึกๆนะ ถ้าพี่ทำได้ เดี๋ยวสมัยหน้าผมเลือกพี่เป็นกรรมการอีกรอบ... หรือถ้าคอนโดคุณคนน้อยหน่อย เป็นแบบประชุมทางตรง คุณเสนอไป คนเห็นด้วยเกินครึ่งที่เข้าประชุม ก็ได้ตามต้องการแล้ว ก็แค่นั้นเอง
เพราะมันไม่มีเทวดาที่จะรู้ทุกเรื่อง ทำดีตามใจคุณทุกอย่าง สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือไปบอกมัน แล้วบีบบังคับต่อรองให้มันทำในสิ่งที่คุณต้องการ
คนต่างจัดหวัด ชาวบ้านที่ห่างไกล เข้าใจสัจธรรมนี้ดี จึงรู้ว่าการเลือกตั้งทำให้ชีวิตดีขึ้นเพียงใด แต่ชนชั้นกลางเมืองไม่เคยรู้เลย และยังหวังโง่ๆว่าจะมีเทวดาอยู่จริงบนโลกนี้
เหตุผลที่รัฐธรรมนูญของท่านผู้นำมันจัญไรเพราะว่ามันทำลายระบบการต่อรองที่สมบูรณ์ และมอบอำนาจให้ใครไม่รู้ที่คุณต่อรองกับมันไม่ได้แทน
สมมุติว่าคุณอยากได้อ่างเก็บน้ำ โดยทั่วไป คุณก็รวมตัวกันจำนวนมากส่งเรื่องไปที่นักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่นก็จ ส่งเรื่องไปที่ สส. จากนั้น สส. ก็จะไปล็อบบี้เอางบมาจากสภา หรือเอาไปเสนอ ครม. นายกฯ ถ้ามันไม่ทำให้ คุณก็บอกว่า "ครวย ไหนมึงว่าจะไปเอางบทำอ่างเก็บน้ำให้ สมัยหน้ากูไม่เลือกให้แม่งละ มึงไปขอข้าววัดแดรกเอาละกันสมัยหน้า"
แต่รัฐธรรมนูญใหม่ของท่านผู้นำ ทั่น สว.ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ อาจจะปัดตกด้ือๆ หรือว่านายกฯ อาจจะมาจากไหนก็ไม่รู้ ก็ไม่ต้องฟัง สส.
แล้วแบบนี้อยากได้อ่างเก็บน้ำต้องไปคุยกับใครล่ะ?
ประเทศเป็นของคุณ อ่างเก็บน้ำก็อยู่หน้าบ้านคุณ แต่ถ้าอยากได้ก็ต้องรอว่าวันนึง คนดีเขาจะนึกขึ้นมาว่าน่าจะอ่างเก็บน้ำให้หมู่บ้านนี้นะ งั้นเหรอ
ฝันไปป่ะ ท่านผู้นำแกขี้มอไซค์เล่นในทำเนียบ เขาไม่รู้จักบ้านคุณด้วยซ้ำ แกก็พูดอยู่ทุกวันว่าแกไม่แคร์ฐานเสียง
ประเทศนี้นะ ผู้ชาย ลูกเล็กเด็กแดง วัยรุ่น คุณลุง อาแปะ นุ่มผ้ขาวม้าเดินเปลือยท่อนบนในชุมชนเพราะอากาศร้อน คนเปลือยท่อนบนลงคลอง ลงแม่น้ำ ลงทะเล ลงน้ำตก เล่นน้ำจับปลา ถ่ายรูปลงเซเชียลกันสนุกสนาน มีกิจกรรม อีเวนต์ และสารพัดมากมายที่เห็นผู้ชายโชว์ท่อนบน บ้างก็มีแค่กางเกงในตัวเดียวเดินกันกลางห้าง ไม่เคยมีปัญหาอะไร แถมยังกรีดร้องกันอยากได้มาเป็นผัวกันอีกต่างหาก
จู่ ๆ วัน3 วันมานี้ ผู้ชายไม่ใส่เสื้อสาดน้ำวันสงกรานต์โดนข้อหาอนาจารในที่สาธารณะจ้า
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
เกร็ดความรู้
ประเทศไทยรับเอาวัฒนธรรมวิคตอเรียนที่รังเกียจและปิดกั้นเรื่องเพศเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะว่าชาวบ้านไทยในสมัยนั้นผู้หญิงเดินนมหกหัวนมดำกันเป็นเรื่องปกติ วัฒนธรรมการปกปิดร่างกายของชาวไทยจึงเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้นเพื่อไม่ให้พวกฝรั่งมองว่าคนไทยเราไม่ศิวิไลศ์
ณ ปัจจุบันปี 2016 ยุคที่ฝรั่งมังค่าก้าวข้ามผ่านวัฒนธรรมวิคตอเรียนไปไกลแล้ว รู้จักเรื่องสิทธิ์มนุษยชน ความเท่าเทียมกันทางเพศ สิทธิของเพศทางเลือก ประเทศไทยกลับคิดว่าการรักนวลสงวนตัว การปิดปิดร่างกายที่เราไปรับมาจากฝรั่งมาทั้งดุ้นนั้นเป็นวัฒนธรรมอันดีงามของชนชาติไทยแต่โบราณ แถมยังเหยียดหนามฝรั่งที่แต่งตัวไม่ปกปิดมิดชิดว่าไร้อารยธรรม นุ่งบิกินี่สมควรโดนข่มขืน ล่าสุดแม้แต่หัวนมผู้ชายก็สั่นสะเทือนศีลธรรมและความดีงามของสังคมได้
ขอประเทศไทยจงเจริญ
ขอเรียกอาการของคนส่วนใหญ่ ( คนไทยน่าจะเป็นเยอะ!!! ) ที่แก้ยาก แก้ไม่ค่อยจะหาย ว่า
' ใกล้เกลือกินด่าง syndrome '
อะไรดีๆมีประโยชน์
ที่อยู่ใกล้ตัว ที่หาได้ง่ายๆ ไม่แพง
มักถูกมองข้าม หรือไม่เชื่อในสรรพคุณ
เมื่อ 17 ปีก่อน
Kamal Meattle
พำนักที่ Delhi ประเทศอินเดีย
สภาพอากาศใน Delhi มีมลภาวะสูง ละอองฝุ่นผงมีปริมาณสูง ทำให้ Kamal ป่วยเป็นโรคแพ้อากาศรุนแรง แพทย์ประจำตัวทำการตรวจปอดอย่างละเอียด ปรากฎว่า อาการแพ้ทำให้ปอดทำงานได้เพียง 70% เท่านั้น หากไม่ทำการรักษา อาการจะยิ่งทรุดถึงขั้นเสียชีวิตได้
Kamal Meattle ลงมือหาข้อมูลทันที เพื่อฟื้นฟูสุขภาพตนเอง เขาได้รับการช่วยเหลือด้านคำแนะนำ/ผลการทดลองต่างๆจาก :
IIT : Indian Institutes of Technology
TERI : The Energy and Resources Institute
และ NASA
เขาค้นพบว่า เราสามารถปรับ/เพิ่มคุณภาพอากาศภายในอาคารได้ เพื่อสุขภาพของผู้พักอาศัย ด้วยการปลูกต้นไม้ 3 ประเภทนี้ :
1. Areca Palm - ปาล์มหมาก
2. Mother-in-law's Tongue - ลิ้นมังกร
3. Money Plant - พลูด่าง
• ปาล์มหมาก
มีประสิทธิภาพสูงในการขจัด คาร์บอนไดออกไซด์ แล้วแปลงเป็นออกซิเจน
เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ/ผล ต้องปลูกปาล์มหมาก ความสูงขนาดเท่าหัวไหล่ผู้ใหญ่ จำนวน 4 ต้น/คน
( หมั่นเช็ดใบให้สะอาด และนำออกรับแดดกลางแจ้งทุกๆ 3-4 เดือน )
• ลิ้นมังกร
มีประสิทธิภาพในการปรับคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นออกซิเจน โดยเฉพาะช่วงกลางคืน จึงมักปลูกในห้องนอน เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์ยามพักผ่อน
เพื่อประสิทธิภาพ/ผล ต้องปลูกลิ้นมังกร ความสูงเท่าเอว จำนวน 6-8 ต้น/คน
( จากการวิจัยของ NASA : ต้นลิ้นมังกรมีคุณสมบัติพิเศษ ช่วยปรับคุณภาพอากาศภายในห้องได้ดี นิยมปลูกในห้องนอน จนได้รับฉายาว่า bedroom plant )
• พลูด่าง
มีคุณสมบัติขจัด formaldehyde ( ชื่อที่คุ้นๆ คือ ฟอร์มาลีน - น้ำยาอาบศพ ) และสารเคมีอื่นๆที่ระเหยง่าย ( volatile chemicals )
Kamal Meattle ทำการทดลองปลูกต้นไม้สามประเภทนี้ ในอาคารเก่า ( 20 ปี ) เนื้อที่ 50,000 ตารางฟุต มีผู้พักอาศัย 300 คน ต่อต้นไม้สามประเภทนี้จำนวน 1,200 ต้น
ภายในเวลา 10 ชั่วโมง ปริมาณออกซิเจนในระบบเลือดสูงขึ้นถึง 42%
และทำการทดลองต่อเนื่อง ปรากฎว่า โรคระคายเคืองตาของคนในอาคารนี้ ลดลง 52% โรคระบบทางเดินหายใจ ลดลง 34% โรคปวดศีรษะ ลดลง 24% โรคปอด ลดลง 12% โรคหืดหอบ ลดลง 9%
หยุดดูแคลนต้นไม้ที่แสนจะธรรมดาสามประเภทนี้
แม้ชื่ออาจไม่เก๋
ไม่มีนัยยะทางมงคล ไม่เสริมดวง
ไม่มีคำว่า รวย-ทอง-เศรษฐี-ฯลฯ
ราคาไม่แพง-ไม่สูงค่าพอจะนำไปพูดอวดกันใน FB
แต่ต้นไม้พื้นๆสามประเภทนี้ ให้คุณประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม...อย่างมหาศาล
หามาปลูกกันเถอะ !!!
Kamal Meattle : How to grow fresh air
http://youtu.be/gmn7tjSNyAA
"บริษัทรูออนไลน์ควรหยุดโกหกลูกค้าเรื่องบริการหลังการขายครบวงจรหรือบริการ 24 ชั่วโมง วันนี้เป็นอีกครั้งที่เจอประสบการณ์แย่ๆ จากรู เพราะแจ้งเรื่องเราเตอร์เสียตั้งแต่สามโมงกว่า รูบอกจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับมา รอจนหกโมงยังไม่มีใครติดต่อเลย สรุปคือในสามชั่วโมงโทรหารูสองครั้ง อีเมลหนึ่ง และแชทอีกสอง ทุกครั้งต้องแจ้งปัญหาใหม่หมดตั้งแต่ต้น แต่ไม่มีคนรูติดต่อกลับ เท่ากับโดนเจ้าหน้าที่รูโกหกสี่ครั้งในสามชั่วโมง
เจอแบบนี้ทำให้เข้าใจเลยว่าทำไมลูกค้ารูเกลียดรู คือบริการไม่ได้ความก็เรื่องนึง ไม่บริการ 24 ชั่วโมงจริงก็อีกเรื่อง แต่ที่แย่ที่สุดคือโกหกลูกค้าซ้ำซากในเรื่องเดียวกันโดยเจ้าหน้าที่รูสี่คนแบบนี้
ทั้งที่ลูกค้าจ่ายเงินซื้อบริการคุณ แต่รูกลับทำเหมือนลูกค้าไปขอทาน ส่วนเรื่องบริการไม่เป็นอย่างโฆษณาก็คือการโกง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผู้เฒ่าเก็บเศษขยะ ทิ้งมรดกสิ่งหนึ่งไว้ให้คนตะลึง !!
เรื่องจริง..ที่แขร์กันมากในไลน์ อ่านหลายครั้งก็ยังซึ้งใจ
- - - - - - - - - -
ห้องสมุดหางโจว เปิดโอกาสให้คนเร่ร่อนเก็บเศษขยะขาย สามารถเข้ามาอ่านหนังสือได้ แต่ต้อง "ล้างมือ" ให้สะอาดก่อนถึงจะเข้าได้ , ผู้เฒ่าคนนี้มีชื่อว่า " อู๋ย ซือ เฮ้า " เป็นคนหนึ่งที่ขอร่วมเข้ามาอ่านหนังสือ เขาตั้งอกตั้งใจอ่านข่าวสารอย่างจริงๆจังๆ จนทุกคนต่างยกย่องให้เป็นคนเร่ร่อนที่ใฝ่หาความรู้อย่างแท้จริง .. จนได้ฉายานามว่า ผู้ เ ฒ่ า นั ก อ่ า น ...
.
ปัจจุบัน เขาหมดลมหายใจแล้ว เหตุเพราะหลายวันก่อนเดินข้ามถนนถูกรถชนจนเสียชีวิต เมื่อเขาตาย เรื่องราวชีวิตก็ได้ถูกเปิดเผย ความลับนี้ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงและหลั่งน้ำตาไปตามๆกัน
.
- - - - - - - - - -
ประวัติของเขาจบมหาวิทยาลัย ปี 1960 ก่อนเกษียนอายุเป็นอาจารย์สอนใน รร.มัธยม ยังชีพด้วยเงินบำนาญไม่มากมายนัก และเขาก็เก็บขยะประทังชีวิตไปวันๆ ..
เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของเขา ล้วนแต่ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย .. แต่กลับพบใบอนุโมทนาบัตร ที่บริจาคเงินเพื่อทุนการศึกษา ซึ่งเขาเก็บไว้จนกลายเป็นสีซีดเหลือง และการ์ดไปรษณียบัตรที่ส่งมาจากที่ต่างๆ ลงชื่อของผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาจากเขา แจ้งผลการเรียนทุกเทอมกลับมาให้เขาทราบทุกฉบับ
- - - - - - - - - -
pacman emoticon pacman emoticon
แท้จริง .. ผู้เฒ่าต้องการประหยัด กินน้อย- ใช้น้อย มอบเงินที่มีอยู่ทั้งหมด พร้อมกับเงินบำนาญอันน้อยนิด บริจาคให้นักเรียนยากจน โดยไม่ยอมแม้แต่จะใช้ชื่อจริง เขาใส่ใจบรรดาเด็กๆที่ส่งเสียให้เรียน และเด็กที่ได้รับทุนทุกคนก็ไม่รู้ว่าผู้ส่งเสียให้เรียนยากจนข้นแค้นแค่ไหน เพราะผู้เฒ่าใช้ชื่อปลอม ปกปิดชื่อจริงในการให้ทุนมาตลอด ..
.
ชั่วชีวิต ผู้เฒ่ามีแต่ความเรียบง่าย อยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์ นอนเตียงไม้ 1 ตัว เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ไม่มีเลย , เมื่อ 10 ปีก่อน ก็ได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อว่าตายไป อวัยวะส่วนไหนพอจะนำไปช่วยคนได้ เขาจะดีใจมากที่สุด
= = = = = = = = = =
heart emoticon heart emoticon heart emoticon
วิญญาณของท่านคงจะเบิกบานและสงบ
ความรัก ความเมตตา หาผู้ใดมาเทียบเทียมยาก
ขอคารวะท่านผู้เฒ่า "อู๋ยซือเฮ้า " ผู้สร้างความอบอุ่นให้กับสังคมมนุษย์
ที่มา ... เรื่องเล่าจาก LINE (ไทยโพสต์)
= = = = = = = = = = = = =
1. ผมไปสิงคโปร์ครั้งแรกตอนอายุ 40 เพราะผู้หญิงคนหนึ่งบอกผมว่า “อย่าพูดว่าตัวเองเป็นนักท่องเที่ยวเลย ถ้ามีปัญญาไปแค่ญี่ปุ่นหรือไต้หวัน หรือเดินงานไทยเที่ยวไทยแล้วซื้อแพคเกจทัวร์เกาะตาชัยแค่ไม่กี่พันก็กลับ”
หยิ่งผยอง ผมฉุนขาด
ผมคุยกับเธออีกสองประโยค (แต่ในใจด่าแม่มันเป็นสิบประโยค) ก่อนจะปลีกตัวออกมา เดินกลับไปหาเพื่อน ดนตรีหมอลำกระหึ่มเป็นฉากหลัง
“อีนมใหญ่นั่นใครวะ กวนตีนฉิบหาย”
เพื่อนบอกไม่รู้เหมือนกัน แต่สงสัยจะเป็นกระเทย ผมหันกลับไปมอง ดูเหมือนเธอจะมาคนเดียว (ซึ่งก็ไม่แปลก ปากหมาอย่างนี้จะมีใครคบ) เสี้ยววินาทีนั้นเหมือนเธอรู้ว่าถูกมอง เธอหันกลับมาสบตาผม นมใหญ่กระเพื่อมตามจังหวะเสียงดนตรี เธอทำสายตาเหมือนไม่ไยดี ผมด่าพึมพำว่า “อีตุ๊ด” ก่อนจะหันไปสนใจดนตรีต่อ
2. วันต่อมา มีคนโพสท์คลิปเธอถูกฝรั่งลวนลามในวันสงกรานต์ แต่ไม่มีใครแท่กเธอ คงเพราะไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร
3. สองสัปดาห์ต่อมา ผมเจอเธอในงานของศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำห่าอะไรที่นี่ แต่บังเอิญเธออยู่ที่นั่น ยอมรับว่าไม่ได้สนใจเธอแล้ว แต่นมเธอก็ใหญ่เหลือเกิน ผมเอ่ยประโยคแรก “ผมจะไปสิงคโปร์ คุณจะไปกับผมมั๊ย?”
เธอบอก “เพราะมันบินแค่สองชั่วโมงน่ะสิ”
เธออัปเปอร์คัตขวา ผมหลบไม่ทัน อะไรวะ อีห่านี่
“คุณทำงานอะไร” ผมอยากรู้จริงๆ “เป็นไกด์ เป็นบล็อกเกอร์ เป็นคนหิ้วของมาขาย หรือเป็นตำรวจท่องเที่ยว”
เธอตอบ “ชั้นไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”
“แต่เป็นตุ๊ดใช่มั๊ย?” ผมถามโพล่งไปอย่างไม่รู้ตัว สายตาจับอยู่ที่หน้าอกของเธอ เธอตอบคำถามผมด้วยการตบฉาดเข้าที่ใบหน้า ในขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากขอโทษ เธอก็พูดยิ้มๆ
“คุณชัดเจนดี ฉันจะไปสิงคโปร์กับคุณ”
4. ไม่น่าเชื่อ ผมมาสิงคโปร์ครั้งแรก กับผู้หญิงแปลกหน้า (เอาจริงๆผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นผู้หญิงหรือเปล่า) เรามาถึงสิงคโปร์ตอนเย็นๆ เธอบอกว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย (อ้าว แล้วที่มึงด่ากูล่ะอีดอก) เธอเดินตามผมต้อยๆ ดูสงบและผยองน้อยลงกว่าที่เคยเป็น ผมพาเธอไปเดินเที่ยวริมอ่าวมารีน่า ดูโชว์แสงสีของตึก Marina Bay Sands ถ่ายรูปเมอร์ไลอ้อนยามค่ำคืน ก่อนจะพาเธอไปกินบักกุดเต๋ที่ร้าน Songfa อากาศที่อบอ้าวทำให้ผมและเธอเหงื่อแตกพลั่ก เสื้อบางๆของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ มองเห็นสายยกทรงสีดำและเนินอกใหญ่ตระหง่าน “ร้อนจังเลย” เธอบ่น “คนสิงคโปร์เค้ามีอารมณ์เอากันได้ยังไงนะ อากาศแบบนี้” ผมสะดุ้งกับคำถามลอยๆของเธอ นึกในใจว่า “แต่กูไม่ใช่คนสิงคโปร์นี่หว่า...”
5. เรากลับเข้าห้อง หลังจากที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เธอก็พุ่งตัวเข้าห้องน้ำ ไม่มีท่าทีเขินอายใดๆกับสายตาของผมที่จ้องมอง ห้องน้ำโรงแรมเป็นกระจกใส แต่เธอทำทุกอย่างราวกับผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่นั่น เธอเปลื้องผ้า ขับถ่าย แปรงฟัน อาบน้ำราวกับจะใช้น้ำทั้งสิงคโปร์ไปกับการอาบครั้งนี้ ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูพันตัวหลวมๆ และล้มตัวนอนทันที ผมสำรวจ สำรวจเธอ แล้วก็ได้รู้ว่านมเธอใหญ่จริงๆ มือก็ใหญ่ เท้าก็ใหญ่ ไม่ใช่สเปคผมหรอกที่จริง ผมชอบผู้หญิงที่มือเท้าเล็กๆ (แต่ช่างแม่งเถอะ ใครจะสนวะนาทีนี้)และที่แน่ๆ เธอไม่ใช่กระเทย
สิงคโปร์มีอะไรดีบ้างผมไม่รู้แล้ว เพราะหลังจากวันนั้น เราสองคนก็แทบจะไม่ได้ออกจากห้องกันอีกเลย...
6. กลับจากสิงคโปร์ ผมก็หายไปจากชีวิตเธออย่างถาวร มีเพียงสายสัมพันธ์ทางโซเชียลที่ไม่ได้ตัดขาด
7. กลางดึกคืนหนึ่ง เธอโทรมา หนึ่งปีได้มั้ง หลังจากคืนนั้น
เธอถามว่า “เราไม่ดีตรงไหน”
ผมตัดสายทิ้งทันที
8. ผมไม่กล้าบอกเธอ ว่าตอนนี้ผมเจอผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนที่ด่าว่าผมไม่ใช่หนอนหนังสือเพียงเพราะผมไม่เคยอ่านหนังสือของมาร์เกซ ก่อนหน้านั้นผมก็เจอผู้หญิงคนหนึ่ง ที่หาว่าผมเป็นนักดื่มจอมปลอมเพราะไม่เคยดื่มเบียร์ BrewDog End of History หรือก่อนหน้านั้นอีก กับผู้หญิงที่ดูถูกผมว่าอย่าเรียกตัวเองว่าซีเนไฟล์ ถ้าไม่เคยดูหนังของทรูว์โฟ ผมเจอผู้หญิงแบบนี้เยอะแยะมากมาย ทุกคนล้วนไม่ใช่สเป็ค แต่ผมก็นอนกับพวกเธอ
9. คิดดูแล้ว นักบินอวกาศก็คงเป็นแบบนี้ใช่ไหม บนพื้นโลกจะได้อยู่ด้วยกันหรือเปล่าไม่รู้ ขอแค่ได้เอากันในอวกาศก็พอ...
(ชาวท่าแซะท่านหนึ่ง)
มีคนส่งบทความนี้มาให้ผม บอกว่าเป็นบทวิเคราะห์ว่าทำไมอีก 20 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มว่าคนไทยจะโง่ลง และเขมร พม่า แขก จีน ฝรั่ง จะเข้ามายึดอาชีพคนไทยเกือบหมด คนไทยจะเป็นลูกจ้างคนพวกนี้
ผมอ่านแล้วก็เชื่อว่ามีคนไทยที่เริ่มจะกลัว คำพยากรณ์นี้จะเป็นจริง จึงขอให้ช่วยกันคิดว่าจะหาทางป้องกัน ไม่ให้ความกลัวนี้เป็นความจริง
เขาวิเคราะห์ว่าอย่างนี้
1. เด็กไทยสมัยนี้สนใจแต่โทรศัพท์ เล่นไลน์กันทั้งวันทั้งคืน ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน นอนดึกตื่นสาย หนังสือไม่สนใจเรียน ตื่นไม่ทันโรงเรียน เลยกินข้าวเช้าไม่ทัน พอสายก็หนีไปกินข้าว ขาดเรียนชั่วโมงแรกวิชาหนึ่ง รุ่งขึ้นแบบเดิม เป็นอย่างนี้ทุกวัน ก็หมดทุกวิชา เมื่อเรียนไม่ทัน ไม่รู้เรื่องก็เบื่อ ก็ชวนกันหนีเรียนไปตั้งแก๊งค์ ไปติดยา มั่วเซ็กซ์
ใครเรียน...ก็แกล้งก็กวน ก็เลยทำให้ทั้งห้องเหมือนกันหมด ความรู้(ไม่)เก่งเหมือนกันหมด ไอ้เรื่องที่จะให้ทบทวนให้ทันเขา บอกได้คำเดียวว่า “ยากมาก”
2. ครูก็สอนไปตามหน้าที่ ลองไปเข้มงวดลูกท่านซิ...เดี๋ยวพ่อเสือแม่เสือก็มาถึงโรงเรียนอีก ผู้บริหารยังต้องเกรงใจเลย ครูก็เลยปล่อยไม่ยุ่งด้วย...เด็กก็ได้ใจเพราะได้แบ็ค (พ่อแม่รังแกฉัน...เข้าใจมั้ย...พ่อแม่บางคนไม่รู้เรื่องว่าอะไร ?)
3. การวัดผล เด็กสอบตกก็ต้องยัดเยียดให้ผ่านให้ได้ ไม่งั้นเสียชื่อครูว่าสอนไม่เก่ง แถมถูกผู้ปกครองด่าอีก
กฎหมายใหม่ก็เอื้อให้ทำโทษเด็กไม่ได้ จะเรียกเด็กมาสอบใหม่ ท่านไม่มาสอบ เอ้า...เอาคำตอบไปลอก อ้อนวอนสารพัดจนเด็กผ่านไปได้ โล่งอก ขนาดได้เกรด 1.8 ก็ผ่านได้ ทั้งที่มันแค่ 40% ผ่านได้ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว นี่ไงความรู้ของเด็กไทยขณะนี้โดยทั่วไป
4. การเข้าทำงาน เก่งไม่ค่อยจะได้ แต่ถ้ามีเส้นถึงจะ Ok ต่อไปเราจะได้ปลัดกระทรวงที่เก่งมากๆ แต่มาจากเส้น ได้ข้าราชการที่เก่ง ก็มาจากเส้นอีก
5. เด็กสมัยนี้ทำอะไรไม่เป็น ไม่ยอมลำบาก ไม่อดทนต่อความลำบาก (สังเกตให้ดี ลูกๆเราเป็นอย่างงี้มั้ย ถ้าเป็นครู ลูกศิษย์เราเป็นอย่างงี้มั้ย) ไม่มีวินัย พอเข้าทำงาน เจอระเบียบวินัย เจอเข้มงวด เจองานหนักเข้าก็มาบ่นให้พ่อแม่ฟัง ถ้าพ่อแม่มีตังค์ มีอำนาจ (เลี้ยงลูกแบบคุณหนู) จะบอกลูกว่าอยู่ไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ลาออกมาพ่อแม่เลี้ยงได้ เด็กก็เลยได้ใจ ไม่ต้องทำอะไรกินแล้ว
พอได้ครอบครัวก็เอาผัวเอาเมียมาเกาะพ่อแม่กิน พอพ่อแม่ตาย สมบัติพอมี ก็ขายกินอีก ขยับขยายทำให้กำไรไม่เป็น แล้วรุ่นหลานจะเอาอะไรขายกิน หลานเหลนก็ต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่อีก
6. เดี๋ยวนี้เราจะเห็นแขก พม่า เขมร และต่างชาติ ต่างมาค้าขายในไทยมากแล้ว และรัฐก็ยกเลิกมาตรการต่างๆ ให้ต่างชาติทำได้ ตอนแรกก็ขายพวกเดียวกันก่อน ต่อมาก็ขายคนไทย ตอนนี้ก้าวหน้า มีผัวไทยเมียไทย จ้างคนไทยเป็นลูกมือ แล้วต่อไปก็ครองเศรษฐกิจ แบบแถวแม่สาย แม่สอด มุกดาหาร หนองคาย กรุงเทพฯ และทั่วทุกเมือง
นี่เป็นเพราะพวกเรามองไม่เห็นภัยที่กำลังคืบเข้ามา ยังสนุกอยู่ ยังมีพ่อมีแม่อยู่ พอพ่อแม่ตาย สมบัติเก็บไม่อยู่แน่ เพราะไม่มีความรู้ในการบริหารงานทำงาน กฎหมายไม่คุ้มครอง ทุกอย่างจะเสียเปรียบหมด เงินทองจะเสียเร็วมาก กว่าจะฉลาดก็หมด หรือเกือบหมด ตัวทีนี้แหละจะอยู่ด้วยความแร้นแค้นละ...
ช่วยกันคิดนะครับว่าจะทำอย่างไรจึงทำให้ความเห็นข้างบนนี้ไม่จริง เป็นเพียงการพูดจาเพ้อเจ้อไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
อย่าให้เป็นจริงเลยแม้แต่ข้อเดียว!.......
>>956 1
ผมขโมยจักรยานครั้งแรกตอนอายุ 25 เพราะคนดำคนหนึ่งบอกผมว่า
"อย่าพูดเลยว่าตัวเองเป็นคนดำเลย ถ้าขโมยแค่สแน๊คสองชิ้นต่อเดือน หรือเดินงานมหกรรมอาหารเพื่อหาไก่ทอดทานชิ้นสองชิ้น"
ทะนงตน ผมเสียหน้า
ผมคุยกับเขาอีกสองสามประโยคแล้วรีบปลีกตัวออกมา เดินไปหาเพื่อน กระซิบบอกมัน ดนตรีฮิปฮอปดังกระหึ่มเป็นฉากหลัง
"ไอ้นั่นใครวะ อวดรู้ชิบหาย"
เพื่อนบอกไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนจะไม่ได้ซื้อบัตรเข้างานด้วย ผมหันกลับไป เขากำลังโยกร่างกายตามจังหวะเบส พันลำหนึ่งมวนที่มือ ไม่สนใจใยดีใครทั้งสิ้น เสี้ยววินาทีนั้น เขารู้ว่าถูกมอง เขามองตรงมาหาผม ยักคิ้วเป็นนัยให้รู้ว่ามีพันลำขาย แล้วหันกลับไปสนใจดนตรีต่อ
2
คืนต่อมา กลุ่มผู้จัดงานลงรูปเขาในเพจของงานอีเว้นท์นั้น ข้าวของเมื่อวานหายหลายรายการ แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะไปตามเขาได้ที่ไหน
3
สองสัปดาห์ต่อมา ผมไปงานเปิดอัลบั้มใหม่ของแรปเปอร์ท่านหนึ่ง ทั้งที่ไม่รู้ว่าไปทำไม
บางครั้งผมคงจะเบื่อและว่าง จึงออกจากห้องแทบทุกคืน
ยอมรับว่าไม่ได้สนใจเขาแล้ว แต่เขาดันอยู่ที่นั่น ผมเริ่มประโยคแรก "ผมหรอยจักรยานสี่ล้อเล็กมาแล้วนะ"
เขาตอบ "ของเด็กมันขโมยง่ายสุดน่ะสิ"
เขาอัปเปอร์คัตขวา ผมหลบไม่ทัน อะไรวะ ผู้ชายคนนี้
“คุณทำงานอะไร” ผมอยากรู้จริงๆ “เป็นช่างซ่อมรถ บาทหลวง หรือพวกขายตรง”
เขาตอบ "ฉันไม่ชอบทำงานอะไรสักอย่าง"
ผมพยายามชวนคุยอีกหลายอย่างก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ชวนเขาสูบบุหรี่
เขาบอก “บุหรี่ธรรมดาฉันไม่สูบ” อะไรของเขาวะ ผมควรจะตัดบทแล้วไปคุยกับคนอื่นใช่ไหม ?
แต่ไม่ว่ะ ไม่ใช่กับครั้งนี้ “งั้นช่วยแนะนำบุหรี่แบบที่คุณชอบให้ผมหน่อยแล้วกัน เผื่อผมจะได้รู้จักอะไรมากขึ้น”
ได้ผล ผมเห็นตาเขาเยิ้มน้อยๆ “ถ้าชอบก็ติดต่อมา”
4
ผมได้เฟสบุ๊คของเขามาในที่สุด อันที่จริงเขาเป็นคนขอแอดผมเองเพื่อลากผมเข้ากรุ๊ปเสรีกัญชา ...ดูเพิ่มเติม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูชอบสำนวนเค้านะดูน่าอ่านดี แต่ไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องมันเกี่ยวกับนักบินอวกาศยังไง หรือเค้าอยากเปรียบเปรยว่าอวกาศมันน่าสนใจแต่สุดท้ายนักบินก็เข้าไม่ถึงเลยกลับมาที่โลกดีกว่างี้หรอ
กระทู้หน้า "โม่งมิตรสหายท่านสอง " ดีไหม
>>969 ไม่ใช่เว้ยเขาหมายถึงตอนที่อยู่ด้วยกัน มันเหมือนอยู่ในโลกแฟนตาซี เหมือนล่องลอยในอวกาศไปผจญภัยในโลกใหม่กฏใหม่ๆไร้แรงดึงดูดไร้พันธะของบนพื้นโลก ตือขึ้นไปก็ซั่มกันอย่างเดียวได้เพราะไม่คิดเรื่องอื่น พอลงมาบนพื้นโลก คนก็ติดพันธะนู้นนี่มาให้คิด เรื่องใันก็แค่ระดับ one night stand น้ำแตกแล้วแยกทางแค่นั้น
จริงๆ กูชอบเรื่องอายุ 25 นะ มันเป็นความสัมพันธ์ของคนจริงๆ ดี แต่กูไม่ชอบตรงที่ผู้หญิงต้องมาร้องไห้กับแม่งว่ามันไม่ดีตรงไหน กับมันได้เมียขาวตัวเล็กตรงสเป็ก ดูโคตรตอแหล
ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ คนแต่งได้แรงบันดาลใจมาจากฝันเปียกไม่ใช่เหรอวะ เจ้าตัวเป็นคนบอกเอง
เพลงที่เนื้อเพลงมันดูมั่วๆเพ้อๆ เนื้อหาใจความหลักอาจไม่มีอะไรเลย คนแต่งแต่งตอนเมา แต่เสือกดังประสบความสำเร็จมีเยอะแยะวะ
เคสที่คลาสิคสุด คงเป็นเพลง A Whiter Shade Of Pale ไม่รู้สื่อถึงอะไร คนขอเย็ดกันมั้ง แต่ฟังแล้วแม่งโดน หลายคนชอบ เอามาโคเวอร์ร้องใหม่ก็บ่อย
ว่าแล้วก็แปะเพลง กูชอบเวอร์ชั่นนี้ https://www.youtube.com/watch?v=lpw_Hx-ABrM
ขี่ช้างจับตั๊กแตน
คนโง่ๆ ที่ชอบทำอะไรเกินพอดี
ผมมีตัวอย่างหลายคน
เล่าให้ฟังสองคนละกัน
_______________________________
คนแรก...ดีไซน์เนอร์ 3,000.-
ตอนปี 2011
ผมต้อง Redesign เว็บขายของใหม่หมด
แต่เงินไม่ค่อยมี
เพราะใช้ออกแบบเว็บไปหมดแล้ว
.
.
เลยต้องวานกราฟิคฟรีแลนซ์
ช่วยออกแบบโลโก้ให้
"พี่มีงบ 3,000 นะ”
สำหรับงานระดับนี้
เงินจำนวนนี้ถือว่า “ดูถูก” กันเลยทีเดียว
.
.
แต่ตอนส่งงาน
น้องออกแบบมาให้ 7 แบบ มีที่มาทุกแบบ
ผมถึงกับคอตีบพูดไม่ออก
ประทับใจ ปนละอายใจ
จนต้องควักจ่ายไปรวม 5,000
และทุกวันนี้ก็ยังใช้โลโก้นี้อยู่
ใครถามหากราฟิกจากผม
ส่งงานให้น้องคนนี้คนเดียว
แถมตั้งราคาให้เสร็จ กลัวน้องได้เงินต่ำกว่าฝีมือ
.
.
_______________________________
คนที่สอง...ที่ปรึกษาญี่ปุ่น 60 แผ่น
ในประมาณปีเดียวกัน
ก็มีญี่ปุ่นสองคน Walk in เข้ามา ที่บริษัท
พยายามจะนำเสนอบริการ “ที่ปรึกษา”
หลังจากฟังๆ ผลงานที่ผ่านมา
ผมก็ไล่กลับไป...(แบบสุภาพ)
.
.
.
จากนั้นก็พยายามนัดเจออีกหลายรอบ
ผมไม่ยอมรับนัด ไม่อยากนั่งเบื่อ
จนกระทั่ง
เขาอีเมล์ Slide 60 แผ่นมาให้
ละเอียดแบบสไลด์ญี่ปุ่น
อธิบายถึงกลยุทธ์ทั้งหมด ที่ผมควรใช้
ที่จะทำให้ธุรกิจเราแตะพันล้านได้
.
.
.
สไลด์ชุดนี้...คัสตอมเมดให้เราโดยเฉพาะ
ส่งมาให้เปล่าๆ
แต่เยี่ยมขนาดต้องเชิญทั้งสองคน
ให้มานำเสนอนายต่อหน้า
จนสุดท้าย
และนายก็อนุมัติให้จ้างเดือนละ 200,000
เป็นเวลาเกือบสี่ปี
_______________________________
ตัวอย่างพวกนี้มี “อย่างหนึ่ง”ที่เหมือนกัน
คือ ขี่ช้างจับตั๊กแตน
ทุ่มเทกำลังทำงานในขอบเขต
ที่เกินกว่าผลลัพธ์อย่างมาก
.
.
“คนทั่วไป” คงมองความทุ่มเทแบบนี้
เป็นความเปล่าประโยชน์
เพราะเทียบสมการ
--- แรงงาน = ผลงาน ---
อยากได้เท่าไหร่ ใส่แรงเท่านั้น
ใส่เงินแค่ไหน ได้งานแค่นั้น
ฉลาดครับ...
แต่ไม่มีความ “พิเศษ"
คนอื่นๆ ในวงการก็ทำได้
.
.
.
ถ้าใส่เงินให้น้องสิบ แล้วน้องทำงานสิบ
พี่ใส่หยอดตู้อื่นก็ได้เหมือนกัน
น้องก็เป็นตู้หยอดเหรียญตู้นึง
ทุกปีก็มีตู้มาตั้งใหม่ มีน้ำแบบใหม่
ถึงน้องมีน้ำแบบใหม่ด้วย
แต่ตู้น้องมันเก่าแล้ว
ไม่น่ากด ไม่สดใสเหมือนตู้ใหม่ๆ
.
.
.
คนที่ทุ่มเทขี่ช้างจับตั๊กแตน
หยอดสิบ เทให้สี่สิบ
ขอสิงค์โปร์ หามาให้ทั้ง ASEAN
ให้ทำสไลค์ 15 แผ่น แอบเตรียม Back up มา 50
.
.
.
ไม่ใช่เขาบ้านะ...
แต่เพราะเขา "เคารพตัวเอง"
เขารู้ว่ามีศักดิ์ศรี...ที่อยู่เหนือผลงานนั้น
การขี่ช้างของเขา จึงไม่ใช่แค่จับตั๊กแตน
แต่มันคือการได้ขี่ช้าง
เขาจึงทำอย่างทุ่มเทตั้งใจ
.
.
.
ความตั้งใจนี้
มันจะเปล่งเป็นออร่าเคลือบอยู่ในงาน
ออร่านี้แหละ
ทำให้งานจาก “คนพิเศษ"
ต่างจากงานจาก “คนทั่วไป"
.
.
และออร่าแบบนี้ใครๆ ก็รับรู้ได้
และประทับใจเมื่อได้เห็น
(แบบเดียวกับพวกคลิปงานฝีมือเทพๆ นั่นแหละ)
.
.
และความประทับใจนี้แหละ
ที่ยอมควักเงินยัดให้
และอยากจะอวดให้เพื่อนๆ ฟังว่า
กูเจอ “ของดี” เว้ย สุดยอดดดด
.
.
.
และจากจุดนี้ คุณจึงเป็น “คนพิเศษ”
.
.
.
ผมลืมเล่าปัจจุบันของทั้งสองตัวอย่าง
คนแรก Graphic Designer
ตอนนี้เป็น Art Director อยู่ Agency ยักษ์ข้ามชาติ
ไม่รับงานเองแล้ว
.
ญี่ปุ่นสองคน
ตอนนี้มีบริษัทที่ปรึกษาเป็นของตัวเอง
(ก่อนนั้นเป็นลูกจ้าง)
วิ่งรอกทั้ง JP, TH, CN, SG, HK
เพราะใช้ Reference จากงานที่ทำให้เรา
.
.
ผลลัพธ์ของคนที่ดูเหมือนโง่ๆ ตอนส่งงาน
ที่ชอบขี่ข้างจับตั๊กแตน
สักวันหนึ่ง...สิ่งที่ทุ่มเทไป
จะไม่ทำให้ได้แค่ตั๊กแตนกลับบ้านแน่นอน
แปลกเหรอ ถ้าบอกว่าใช้ Developer ออกแบบ UX?
จริงๆ อยากจะบอกว่าโดยประสบการณ์ที่ผ่านมา Developer มีแนวโน้มจะเป็น UX Designer ที่ดีมาก ดีกว่า Graphics Designer ที่มีพื้นเพมาจากทางด้านสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยซ้ำ
เพราะ UX มันคือ "การใช้งาน" ไม่ใช่ "ความสวยงาม"
Developer มักจะต้องทดสอบโปรแกรมตัวเองบ่อยๆ อาจจะต้องทดลองใช้งานประจำ เขียนอะไรเสร็จบางอย่างก็ต้องทดลองใช้งาน นั่นคือชีวิตอยู่กับการใช้งาน แล้วก็อยู่กับงานจริง อะไรที่ทำได้ ทำยาก ทำแล้วมีปัญหาเชิงเทคนิคที่นำมาซึ่งปัญหาการใช้งานแน่ๆ พวกนี้ก็จะรู้ดี
และพวกนี้มักจะต้องคุยต้องแก้ปัญหาในการใช้งานจริง ให้กับผู้ใช้ และ/หรือลูกค้าตลอดเวลา
ดังนั้น พื้นฐานการ "ทดสอบตลอดเวลา" และ "การแก้ปัญหาการใช้งานจริง" นั้นมีพอสมควรอยู่แล้ว
แต่ Developer ไม่ได้สามารถออกแบบ UX เป็นได้โดย "อัตโนมัติ"
การ "ฝึก" Developer ให้สามารถทดสอบและออกแบบ UX ได้ ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในการทำงานพัฒนาซอฟต์แวร์สมัยใหม่
ส่วนเรื่องการทำสวย ยังไงๆ ก็ต้องพึ่งนักออกแบบกราฟิกส์มืออาชีพ เพราะจะฝึกโปรแกรมเมอร์ให้ทำแบบนั้นได้ ก็ยากไปนิด และไกลตัวโปรแกรมเมอร์ไป พึ่งพามืออาชีพที่เป็น Graphics Designer เลยดีกว่า
ถ้าคิดว่าแฟร์จริง จะทำเอกสารลับทำเบื๊อกอะไร โปร่งใสประกาศออกสื่อไปเลยสิ..?
คนที่แยกไม่ออกว่าคอรัปชั่นคืออะไร จะปราบคอรัปชั่นได้ยังไงครับ..? #กาก
เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลมีการเปิดเผยงบใช้จ่ายเงินแผ่นดิน แต่งบลับเราไม่เปิดเผยนะครัช ชะละล่า
เมื่อวานเขียนเรื่องการให้ Developer ออกแบบ UX ไป วันนี้เลยขอเขียนเพิ่มนิดหน่อย เดี๋ยวคนจะเข้าใจอะไรผิด smile emoticon
เนื้อหาเมื่อวาน มันเกิดจากการที่เห็นหลายคนทำหน้าช็อค เมื่อเราบอกว่า "ในทีมเราใช้ Developer ในการออกแบบ UX" เพราะเราใช้ Developer ในการคุยกับฝั่ง User และ Business ตรงๆ (และผมรู้สึกว่า พอพยายามอธิบาย ก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากฟัง)
การสร้าง Application ที่ดี จริงๆ แล้วมันต้องเลิกมองแยกฝักแยกฝ่ายว่าใครทำอะไร แต่ให้มองว่ามันต้องมี Product ที่ "Design & Develop มาดีที่สุดเพื่อตอบโจทย์ของผู้ใช้งาน และ/หรือ โจทย์ทางธุรกิจ"
ดังนั้น จริงๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้ ที่มันจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ทำทั้งหมดโดยไม่เข้าใจอะไรอย่างอื่นเลย
Developer ที่ไม่เข้าใจ Design และ Business เลย จะทำงานพัง
Designer ที่ไม่เข้าใจ Developer และ Business เลย จะทำงานพัง
Business ที่ไม่เข้าใจ Developer และ Design เลย จะทำงานพัง
มันเหมือนเก้าอี้สามขาครับ .... มันจะตั้งอยู่ได้ต้องอาศัยทั้งสามขา ที่ยาวเท่าๆ กัน
นั่นแหละ ผมถึงบอกว่า "ในด้านของ UX ... ควรฝึกให้ Developer เข้าใจ UX Design" ด้วยพื้นฐานของเขาแล้ว เขาจะเรียนรู้และเข้าใจได้ไม่ยาก
สิ่งที่ยากกว่า (แต่ทำได้) ก็คือ "ในด้านของ Business .... ควรฝึกให้ Developer เข้าใจ Business" นั่นแหละ ..... เพราะพื้นฐานการทำงานไม่ค่อยอำนวยเอาซะเลย
งานทุกงานของผม รูปแบบการใช้งาน เกิดจากการที่ "ทุกคนในทีมคิดด้วยกัน" นั่นคือ Business จะมี Input ให้กับทางทั้ง Dev/Design, Dev จะมี Input ให้ทั้ง Design/Biz, Design จะมี Input ให้ทั้ง Dev/Biz
"เราไม่แยกฝ่ายแบบแยกกันคิด แต่เราแยกฝ่ายเพื่อเป็นเสาหลักในการ lead ความคิดแต่ละเรื่อง"
Team ไม่เคยเริ่มต้นจากการแยกกันเล่นครับ Team เริ่มต้นด้วยส่งบอลให้กัน เล่นประสานกัน วิ่งหาตำแหน่งที่ว่างเพื่อให้อีกคนที่กำลังมีบอลอยู่เล่นได้ง่ายขึ้น ... เพื่อส่งบอลเข้าประตูอีกฝั่ง
ป.ล. นึกถึง บ.หนึ่งที่ผมไปทำ Consult ให้ตอนนี้ หลังจาก Initial team evaluation ผมเดินไปบอกเจ้าของบริษัท
"คุณมี ~20 คน คุณมี 3 ฝ่าย ... แต่คุณไม่มี 1 ทีม"
[Ref: โพสท์เมื่อวาน]
“ก่อนหน้านี้เรื่องราวของปัญหาการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมประมงไทยโด่งดังมาก แต่เพิ่งจะได้อ่านข่าวนี้ของเอพีที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์ เขาใช้เวลาเป็นปีตามเรื่อง ผลของการนำเสนอข่าวทำให้มีแรงงานพม่าได้กลับบ้านร่วมสองพันคน และเปิดโปงปัญหาอันน่าเกลียดของการใช้แรงงานทาสในประมงไทยสู่สายตาชาวโลก
ในวิดีโอและงานเขียน มีเรื่องราวของมินนาย จากบ้านไปตั้งแต่วัยสิบแปด คิดว่าจะได้งานทำ เขากลับลงเอยถูกขายให้เรือประมงไทย เขากับแรงงานพม่าอีกจำนวนมากถูกบังคับให้ทำงานหนักแบบไม่ได้หยุด อาหารน้อย ไม่มีค่าแรง และถ้าทำงานช้าหรือหยุดจะถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณ คนพยายามหนีโดนฆ่า คนไทยที่คุมพม่าทำงานบอกพวกเขาว่า 'พวกมึงพม่าจะไม่ได้กลับบ้านอีก แม้ว่ามึงตายมึงก็จะไม่ได้กลับ' (เดาเอาว่าเขาคงไม่ได้พูดว่าคุณ)
มินพยายามหนี เขาถูกตีจนหัวแตก หนสุดท้ายที่เขากระโดดกอดขากัปตันเรือไทยขอกลับบ้าน เขาถูกจับล่ามโซ่ทิ้งกลางแดดกลางฝน ไม่ได้กินข้าวกินน้ำสามวัน จนกระทั่งหาวิธีไขกุญแจแล้วโดดหนีว่ายน้ำขึ้นฝั่ง หลบหนีอยู่ในป่าในอินโดหลายปี ความฝันที่จะได้กลับบ้านเริ่มเลือนลาง กระทั่งเมื่อมีการรายงานข่าวเปิดโปงเรื่องนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียจึงรวบรวมคนพม่าส่งกลับบ้าน มินจึงได้กลับไปพบครอบครัวและเห็นหน้าแม่อีกครั้งหลังจากหายไป 22 ปี แม่ของมินถึงกับเป็นลมด้วยความดีใจ มันเป็นข่าวที่ยาวมาก แต่รายงานได้ดีมากด้วย แม้แต่ตอนท้ายที่มินกลายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านตัวเอง สมแล้วที่ได้พูลิตเซอร์ และเป็นข่าวที่มีอิมแพคมาก
ชอบการเล่าเรื่องของเขาด้วย”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“Congratulations! to Esther Htusan นักข่าวหญิงชาวคะฉิ่นเป็นหนึ่งในทีมนักข่าวเอพี 4 คนที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ประจำปี 2016 สำหรับการรายงานข่าวด้านบริการสาธารณะ (Public Service Journalism)
เธอเป็นนักข่าวจากพม่าคนแรกที่ได้รับรางวังพูลิตเซอร์
รายงานข่าวที่ได้รับรางวัลเป็นข่าวสืบสวนสอบสวนที่เกี่ยวกับแรงงานจากพม่าซึ่งถูกใช้เป็นแรงงานทาสในอุตสาหกรรมประมงแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานข่าวดังกล่าวนำไปสู่การช่วยเหลือแรงงานประมงที่ถูกบังคับใช้เป็นแรงงานทาสราว 2,000 คน และมีการนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังนำไปสู่การปฏิรูปการใช้แรงงานประมง”
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
“ชิ้นนี้คนเขียนได้พูลิตเซอร์
ส่วน ภูเก็ตหวาน, อลัน มอริสัน, ชุติมา สีดาเสถียร, ฐปณีย์ เอียดศรีไชย พวกนี้ถ้าไม่โดนรัฐฟ้องคดีหมิ่นประมาทหรือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็โดนชาวไทยก่นด่านะครับ ข้อหา "ไม่รักชาติ””
#มิตรสหายอีกท่านอีกท่านหนึ่ง
ไปนั่งรถไฟที่ญี่ปุ่นมา แล้วนึกอะไรได้
รถไฟความเร็วสูงค่าตั๋วแพงเหี้ยๆ ทำไมไทยเราเงี่ยนอยากได้แพงๆจังวะ คิดว่ามันจะราคาเท่า bts เหรอวะ
ระบบรางในญี่ปุ่นมีแยกกระจายเป็นหลายสายแต่เป็นระบบ และตรงต่อเวลา อันนี้กูอยากให้ไทยเลียนแบบนะ แต่แค่ตรงต่อเวลานี้ก็ยากล่ะมึง อย่างน้อยมีรางรถไฟแยกเป็นคู่สวนกันได้ก็ยังดี
แต่สงสัยได้ไล่ที่ไล่บ้านคนกันมโหฬารวะ ยิ่งดูของญี่ปุ่นบ้านแม่งเบียดกันขนาดนั้นอีก(เห็นว่าของญี่ปุ่นนี้มีภาษีที่ดินแพงจนคนแม่งอยู่แทบไม่ได้แทน)
ค่าโดยสารใช้เส้นทางปกติค่อนข้างถูกสำหรับค่าครองชีพที่นั่น(แต่ยังคงแพงเมื่อดูค่าเงินไทย)
คิดว่าปัจจัยรถไฟถูกของญี่ปุ่นมีหลายกรณีที่ทำให้กดราคาให้คุ้มได้ เช่น
- เป็นเอกชนที่มีหลายบริษัททำให้มีการแข่งขันด้านราคา ไม่ใช่การผูกขาดราคาแบบในไทย
- สัดส่วนผู้โดยสารหลักล้าน เอาแค่โตเกียวก็มีประชากรมากกว่ากรุงเทพ 3-5 เท่าได้(เดาๆจากประชากรแฝงและนักท่องเที่ยว) ทำให้มีเงินหมุนเวียนต่อเที่ยวต่อวันที่สูงมาก
- มีช่องการหารายได้เสริมมากมาย จากการทำพื้นที่ให้ร้านค้าเช่า/ตู้น้ำ บางสถานีเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้า การโคกันกับบริษัทรถไฟสายอื่นๆหรือเมืองที่สังกัดส่งเสริมการท่องเที่ยว การให้เช่าพื้นที่โฆษณาต่างๆ
มามองไทยที่คนไทยอยากได้แต่ของถูกๆให้เท่ารถเมล์ แค่นี้กูก็รู้สึกว่าทำยากชิบหายจริงๆ
>>991 ต้องแยกกันระหว่างรถไฟความเร็วสูงกับรถไฟธรรมดา อย่าเอามาปนกันแล้วด่ารวมๆมั่วๆ
- ความเร็วสูงแพง ใช่ แต่มันใช้เดินทางข้ามจังหวัด และมันเร็วกว่ารถทัวร์และสะดวกกว่าสายการบินโลวคอสต์ไง มันมีโพสิชั่นของมันอยู่แล้ว คนจะใช้เค้าก็รู้กันอยู่แล้ว
- เรื่องระบบรางไม่เกี่ยวอะไรกับความเร็วสูงเลย ไม่ต้องไล่ที่ด้วย ที่รถไฟแม่งเยอะเหี้ยๆแล้ว ถ้าจะขยายเมื่อไรก็ทำได้ ประเด็นคือสหภาพรถไฟมันเป็นมาเฟีย และทำงานได้เหี้ยสัดๆ เรื่องตรงต่อเวลาก็ลืมได้เลย
- แข่งขันราคาทำไม่ได้ตราบใดที่ยังมีสหภาพ
- ผู้โดยสารมันเพิ่มได้อยู่แล้วถ้ามีระบบรองรับ bts mrt ก็เต็มตลอด รถไฟธรรมดาคนก็ใช้ไม่น้อย แค่พัฒนาให้ดีคนก็พร้อมจะย้ายไปใช้
- โมเดลรายได้เสริมแบบที่ว่าของไทยก็มีไม่ใช่เรอะ นี่เคยขึ้น bts mrt บ้างมั้ยเนี่ย แต่เรื่องเมืองท่องเที่ยวก็ไม่มีล่ะ เหตุผลเดิมคือความกากของสหภาพ
- เท่ารถเมล์อะไรยังไง ทุกวันนี้ก็เห็นนั่ง bts mrt ที่ราคาแพงกว่ารถเมล์เพื่อซื้อเวลาได้เป็นเรื่องปกติ อย่ามั่ว
>>992
- ประเด็นคือคนมันอยากได้ค่าโดยสารถูกๆด้วยนะ
- กูหมายถึงมันมีพวกบ้านบุกรุกที่แทบจะติดรางรถไฟวะ
- สหภาพแม่งแก้ยากคนนอกก็เข้ายาก เข้าไปได้ก็อยู่ไม่ทนอีก ส่วนหนึ่งคือมันเคยมีคนจะไปหักดิบทันทีเลยแก้แม่งยากกว่าเดิมแทนที่จะค่อยๆแก้
- อันนี้กูสนใจว่าถ้าพวก BTS/MRT มันจะขยายไปครอบคลุมจังหวัดรอบๆกรุงเทพเลยวะพวก นครปฐม สมุทรสาคร ชลบุรี อยุธยา นครนายก ฯลฯ ตอนนี้มันยังกระจุกตัวอยู่
- กูเห็นคนด่า BTS/MRT แพงอยู่ตลอดเวลานะ วันนี้ก็กระทู้นี้ >>> http://pantip.com/topic/35062531
ระบบทาสมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่หนังตะวันตก 12 years of slave บอกเราก็ได้นะ คือเรามองด้วยสายตาของคนนอกอาจจะดูว่ามันกดขี่ไม่มีเสรีภาพ แต่คนที่เป็นทาสเค้าโตมาด้วยความคิดแบบนั้นไง เค้าก็มีความสุขในแบบของเค้า ถ้านายทาสเลี้ยงเค้าดีๆ เค้าก็มีชีวิตอยู่ได้แบบมีความสุขในแบบของเค้า เราต้องเคารพตรงนี้ด้วย ความสุขของคนเราไม่เหมือนกันหรอก อย่าเอามาตรฐานของเราไปตัดสินชีวิตใครเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>996 ไม่เกี่ยวหรอก รถใต้ดินคนขึ้นเยอะชิบหาย ช่วงเร่งด่วนเช้าเย็นมึงไปดูสถานีสุขุมวิทได้เลย บางทีต้องปิดไม่ให้ลงไปที่ชานชลาเพราะไม่มีที่ยืนด้วยซ้ำไป แต่ MRT เจอปัญหาเดียวกันคือจะทำอะไรทีก็ต้องขอราชการก่อน ขอปีนี้กว่าจะอนุมัติก็ชาติหน้าเข้าไปแล้ว ขนาดเป็นรัฐวิสาหกิจก็ขาดทุนเป็นอันดับ 3 แล้ว ถ้าให้รฟท.บริหารรับรองว่าเหี้ยกว่านี้แน่
>>993
- พวกเรื่องมากอยากได้ทั้งเร็วทั้งถูกทั้งดีก็ช่างมันเถอะว่ะ โครงสร้างทางการเงินเราไม่เหมือนประเทศพัฒนาแล้ว กว่าจะทำราคาลงมาได้ต้องใช้เวลา อย่างบินโลว์คอสกว่าจะมาบูมก็ไม่กี่ปีนี่เอง ถ้าระบบมันใหญ่พอและมีผู้เล่นเยอะราคาจะลงมาเอง ....ซึ่งก็มีสหภาพคอยขวางคลองอยู่
- พวกบ้านบุกรุกมันต้องโดนอยู่แล้ว ถ้าเยอะนักก็ม.44แม่ง
- bts mrt ขยายออกนอกเมืองนี่ยากว่ะ ไปรถยนต์แบบทุกวันนี้มันก็ไม่ช้าเร็วต่างกันมาก คนจะไม่ค่อยใช้ ไม่เหมือนในเมืองที่คนใช้เพราะได้เปรียบเรื่องเวลา ยังไงระบบรถรางข้ามจังหวัดก็ต้องรถไฟธรรมดาไปก่อน
ประกันควรทำเพื่อเน้นค.คุ้มครอง
หรือลดภาษีเท่านั้น
แต่ไม่ใช่การออมเผื่อฉุกเฉิน
เนื่องจากสภาพคล่องต่ำมาก
จะได้ก้อนใหญ่ก็ต่อเมื่อเด๊ดสะมอเร่
หรืออาการหนักจริง
ถ้าถอนก่อนกำหนด
มูลค่าเงินที่ได้รับอาจลดลงอย่างหนัก
แถมเงื่อนไขการเคลมก็จุกจิก
จ่ายง่ายเคลมยาก
เราสามารถทำประกันให้ตัวเอง
โดยไม่ต้องง้อบ.ประกันครับ
เพียงแค่...
กูพึ่งมา แต่กูปิดโพสต์ อิอิ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.