"นานมาแล้ว น้องผุ้หญิงจากขอนแก่นคนนึงที่สนิทมากที่สุดในช่วงมหาลัย เธอไม่ใช่คนที่เรียนเก่งในระบบ แต่อ่านหนังสือวรรณกรรมต่่างๆ และมีความลุ่มลึกทางปัญญาและความรู้สึกเหมือนว่าเธอมีปรัชญาชีวิตแบบถึงรากของความเป็นมนุษย์มากกว่านักปรัชญาด้วยซ้ำไป เธอตั้งคำถามผมว่า materialism คือพวกนิยมวัตถุ หรือวัตถุนิยม ซึ่งผมก็ตอบไม่ได้
เธอเป็นผู้หญิงคนแรกทำให้ผมรู้จักการ้รองไห้โฮๆ โดยที่พ่อแม่ผมยังไม่ได้ตายจากไป เซเซ่ ต้นส้มแสนรักครับ หลังจากนั้น เธอสอนผมด้วยคำคมว่า พี่รู้จักความเหงาตอนเราอยุ่กับเพื่อนๆ จำนวนมากหรือเปล่า หรือ lonely among the crowd เธอเอาหนัง the big blue ที่พระเอกเป็นคน แต่สุดท้ายกลายเป็นปลาโลมา ให้ผมดู
เธอมักขมวดคิ้งตั้งคำถามกับผมเสมอๆ เช่น พี่รู้สึกไม๊ว่าอะไรคือ คนนอก อัลแบร์ การ์มู พี่รู้จักความยิ่งใหญ่ของมิตรภาพของเพื่อนที่มากกว่ารักโรแมนติกรึเปล่า พี่รู้ไม๊ว่าถ้าตกหลุมรัก มี fall in ก็ต้องมี fall out แต่ friendship lasts forever มิตรภาพอยูตลอดไป บางที ผมอดคิดไม่ได้ว่า เธอเป็นคนมองโลกแง่ร้าย
เธอเป็นคนเศร้าที่ลึกซึ้งและมีสติปัญญามากที่สุดที่ผมเคยพบมา แต่ยังไง ผมก็ไม่เคยนอนกับเธอ ทุกครั้งที่เธอเหม่อมองแม่น้ำเจ้าพระยา เธอก็จะคงบุคลิกของความเศร้าช่างคิด ติดอยู่ในใจอยู่อย่างนั้น จนจบกระทั่งการศึกษา...
จากนั้นมาเป็นสิบปี เธอก็ยังมีแววาตาเศร้าลึกๆ และมีคำถามกับการเป็น "คนนอก" ของเธออยู่เสมอ แม้ว่าเธอจะเริ่มทำงานในองค์กรราชการเงินเดือนน้อยหลายแห่งก็ตาม...สิบกว่าปีผ่านมา เธอยังเป็นเหมือนเดิม เป็นคนเศร้าเหงา ร้าวลึก โดดเดี่ยว เป็นปัญญาชนแท้ๆ ที่ไม่ต้องจบป.เอก
เมื่อเดือนที่แล้ว ผมพบเธอ แววตาเธอเปลี่ยนไปมาก เธอร่าเริงจนดูเหมือนจะเริงร่าเกินไป เธอสนุกสนาแม้อยู่ในผับ ทุนนิยมสุดขั้ว เธอดูไม่โดดเดี่ยวเหมือนก่อน เธอดูเหมือนเป็นคนคิดบวกมากกว่าปกติ
ผมแปลกใจมากจนอยากหาคำตอบ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงความซับซ้อนในเชิงมนุษยวิทยาหรือเชิงรัฐศาสตร์ระดับสูง
ผมตัดสินใจถามเพื่อนรักของเธอตรงๆ ว่า ทำไมเธอเปลี่ยนไป
เพื่อนรักของเธอตอบว่า โห พี่เดี๋ยวนี้ มันไม่เศร้าลึกๆ เหมือนเดิมแล้ว พวกเจ้่าชายน้อย ต้นส้ม การ์มู มันไม่เอาแล้วพี่ ตั้งแต่เงินเดือนมันขึ้นพรวดที่เดียวหมืนกว่าบาท มันมองโลกบวกโคตรๆ เที่ยวที ทิปเด็กหนุ่มๆไปเรื่อย ชีวิตคิดบวกขึ้นเยอะ
นี่แหละครับ อิทธิพลของ materialism หรือวัตถุนิยม..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง