กูมองโลกในแง่ดีนิดว่า ศาสนาดั้มเดิม คือการพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ว่ะ
จะคล้ายๆ กับสำนักปรัชญาดั้งเดิมในยุคก่อน ทีนี้แนวคิดยุคแรกมันซิมเปิล เลยมีเรื่องจินตนาการมาเกี่ยวเยอะ
พระเจ้ายุคก่อนโหดร้ายกับมนุษย์ เพราะมนุษย์หวาดกลัวในธรรมชาติ
สังเกตได้ว่าพระเจ้าสูงสุดสามสี่สำนักหลักทั้ง กรีก นอร์ส อินเดีย จีน มาจากท้องฟ้าหรือใช้สายฟ้าทั้งนั้น (มีญี่ปุ่น แอซเทค กับอียิปต์มั้งที่แหล็มออกมาเป็นพระอาทิตย์ น่าจะเพราะเป็นอารยธรรมที่เริ่มจากยุคกสิกรรมเลย)
มนุษย์ยุคประวัติศาสตร์ก็รับบูชาท้องฟ้าต่อมาจากบรรพบุรุษยุคชนเผ่า
แนวคิดต่อมาคือสวรรค์ นรก โลกหน้า การเวียนว่ายตายเกิด การฟื้นคืนในวันพิพากษา อันนี้เป็นการพยายามหาคำตอบให้ความกลัวใหญ่หลวงสุดตั้งแต่มนุษย์มีสติปัญญาขึ้นมา คือ ความตาย
เพราะในยุคที่ยังเริ่มหลงลืมสัญชาตญาณการสืบทอดยีนแบบสัตว์ มนุษย์ต้องเริ่มหาเหตุผลว่า ตัวเองดำรงอยู่ไปเพื่ออะไร
ส่วนเรื่องศาสนาถูกใช้เพื่อปกครองเนี่ย คิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกใช้ประโยชน์ทีหลัง แล้วก็ใช้ประโยชน์กันและกันเรื่อยมา ในยุคที่มนุษย์ไม่ค่อยเข้าใจอะไร
แล้วความคิดที่ว่าเพราะวิทยาศาสตร์ทำให้ศาสนาอ่อนลงเนี่ย คิดว่าจริงครึ่งเดียวนะ จริงๆ มนุษย์ต้องการเครื่องยึดเหนี่ยวที่มีเหตุผลมากกว่า
ยกตัวอย่างยุคโรมัน ที่สังคมโรมันรุ่งเรืองขีดสุด ปรัชญาและเหตุผลของโรมันคือเหตุผลของโลก ศาสนาแบบกรีก-โรมัน ก็กลายเป็นแค่พิธีกรรมไป ส่วนศาสนาคริสต์เป็นเรื่องงมงายของพวกยูดาย ก่อปัญหา จับได้ก็เอาไปให้สิงโตกินในโคลีเซียมซะ หรือเพแกนของบริตาเนียก็งมงายป่าเถื่อน เผาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มันซะเลย
แต่พอโรมันเริ่มเสื่อมอย่างรวดเร็ว คนโรมันก็เริ่มมองหาเครื่องยึดเหนี่ยวใหม่ เพราะอุดมคติโรมันไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่เทพเจ้าตัวเองไม่ตอบสนองมานานแล้ว เลยหันไปนับถือคริสต์ พอนายพลคอนสแตนตินเห็นว่าคนโรมันแอบเป็นคริสต์เยอะแล้ว ก็เลยชูกางเขนเข้ายึดโรมซะเลย
ศาสนาคริสต์ก็กลายเป็นมาครอบงำยุโรปแทนอำนาจโรมันนับแต่นั้น