หลังจากข้าพอใช้อาคมได้เล็กน้อย ม่อชิงก็พาข้าออกเที่ยวชมทิวทัศน์ทั่วไปหมด รู้สึกสดชื่นและเป็นอิสระดีจริงๆ
วันนั้นข้ากำลังนอนดื่มสุราอยู่บนเรือ อมยิ้มพลางมองม่อชิงที่อยู่ตรงเสาเรืออีกฟาก เมื่อดวงตาทั้งสี่สบประสาน ข้าจึงลงมือยั่วเขา “เจ้าทายสิว่าวันนี้สุราหอมหรือไม่หอม?”
หลายวันมานี้ตัวติดกันตลอด ม่อชิงจึงจับทางวิธีที่ข้าใช้บ่อยๆ ได้ เขารู้ว่าข้าอยากจะทำเรื่องอะไร จึงได้แต่ยิ้มโดยไม่ตอบคำ
ข้า ลู่เจาเหยาอยากยั่วยวนใคร จะให้เจ้าปฏิเสธได้รึ?
ข้าถือกาสุราไว้แล้วลุกขึ้นมา เดินโซซัดโซเซไปทางท้ายเรือ แม้เรือจะโคลงเคลงอยู่บ้างแต่ไม่ได้พลิกคว่ำ ข้าคล้องคอของม่อชิงไว้ แหงนหน้างับปลายคางของเขาเบาๆ ยกขาขึ้นข้างหนึ่งถูไถตรงหัวเข่าของเขา “ได้กลิ่นหอมของสุรารึยัง?”
“เจาเหยา” เขากระซิบบอกข้า “ลิงบนต้นไม้กำลังมองเจ้าอยู่”
“ลิงตัวไหนใจกล้าขนาดนี้” ข้าหันหน้าขวับ กำลังจะใช้อาคมซัดเจ้าลิงให้ตกลงมา ม่อชิงกลับรวบเอวของข้าเอาไว้ ข้ารู้สึกตกใจเล็กน้อย ร่างกายซวนเซเอียงไปด้านข้าง ม่อชิงกลับไม่พยุงข้า ได้แต่กอดอยู่อย่างนั้นแล้วเหยียบเรือพลิกคว่ำ ปล่อยให้ข้ากับเขาจมลงทะเลสาบไปพร้อมกัน น้ำเย็นใสกระจ่างในทะเลสาบ เป็นของขวัญอย่างหนึ่งในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าว
เขาบีบคางของข้าไว้แน่น “แบบนี้มันก็มองไม่เห็นแล้ว”
ข้าหัวเราะออกมา “เจ้าอัปลักษณ์น้อย เจ้านี่ร้ายไม่เบา”
หลังจากทำเรื่องเหลวไหลในทะเลสาบรอบหนึ่ง ตอนข้านอนพักซบไหล่เขาอยู่ ทันใดนั้นเองก็มองเห็นแสงอันเป็นมงคลสว่างวาบบนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป
“เอ๋ นั่นมันอะไรกัน?”
ข้าถามม่อชิง เขาหันกลับมามองข้า สีหน้าแลดูตกใจอยู่หลายส่วน “มีผู้บำเพ็ญเซียนบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว”
บนโลกนี้คนที่เข้าใกล้คำว่าขั้นสูงสุดมากกว่าใคร นอกจากฉินเชียนเสียนแล้วยังจะมีใครอีก
ข้ากับม่อชิงรีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วมุ่งหน้าไปสำนักเชียนเฉิน
ฉินเชียนเสียนนับว่าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของข้ากับม่อชิง ถ้าหากเขาจะขึ้นไปเป็นเซียนบนสวรรค์แล้ว ก็สมควรมาพบหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ในขณะเดียวกันยังมีสือชีโผล่มาอีกคน ฉินเชียนเสียนก้าวเท้าเหยียบเมฆมงคล เหาะเหินขึ้นสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า ข้ามีชีวิตอยู่มานานปานนี้ นี่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรคนเดียวที่ข้าเห็นว่าสำเร็จเป็นเซียนอย่างแท้จริง ส่วนก่อนหน้านี้เนิ่นนานมาแล้วเกือบจะเป็นแค่ตำนานเล่าขาน
สือชีใช้วิชากระบี่บินอยากจะติดตามไป แต่ฉินเชียนเสียนเหาะขึ้นฟ้าไปเร็วนัก ชั่วพริบตาเดียวก็หายลับไปแล้ว มีแต่สือชีที่ยืนบนกระบี่บินลอยอยู่กลางอากาศ เหม่อมองท้องฟ้าที่ยังมีแสงมงคลเหลืออยู่ด้วยความสับสน ไม่ยอมกลับลงมา
ก่อนหน้านี้พวกนางเคยบอกข้า หลังจากกำจัดเจียงอู่ไปได้แล้ว ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาฉินเชียนเสียนศึกษาตำราคัมภีร์ มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียร และสั่งให้ศิษย์สำนักเชียนเฉินวางค่ายกล สวดมนต์อยู่ด้านนอกผนึกของจอมมาร เพื่อเกื้อหนุนพลังของผนึก ถึงได้เร่งให้ไอมารที่เกิดจากเจียงอู่ ถูกขับออกจากร่างของม่อชิงเร็วขึ้น
ตลอดระยะเวลาสิบปีฉินเชียนเสียนช่วยเหลือข้ากับม่อชิง ก็เท่ากับส่งเสริมการบำเพ็ญเพียรของเขาด้วย ก่อนจะช่วยพวกเราออกมาได้ เขาก็มีเค้าลางว่าจะบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว เพียงแต่เก็บงำไว้ไม่เผยออกมา ภายหลังเมื่อทำลายผนึกของจอมมารได้ เขาก็เก็บตัวฝึกวิชา คนอื่นต่างบอกว่าเพราะการทำลายผนึกทำให้ได้รับผลกระทบ
สุดท้ายไม่คาดคิดว่าหลังจากเก็บตัว กลับสามารถก้าวขึ้นสวรรค์ได้ในคราวเดียว
ข้าใช้พลังปราณส่งเสียงเรียกสือชีลงมา นางเดินมาตรงหน้าข้า ท่าทางเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “เจ้าสำนัก ทำไมฉินเชียนเสียนขึ้นสวรรค์ไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่ดีใจแทนเขาเลยสักนิดเดียว ในใจมันว่างเปล่าไปหมด”
ข้ามองหน้าสือชี คิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อฉินเชียนเสียนจากไปแล้ว มีบางเรื่องไม่ต้องอธิบายให้ชัดเจนอีก ข้าปลอบนางว่า “กลับไปกินเนื้อสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวเจ้าก็ดีขึ้นเอง”
นางเชื่อสิ่งที่ข้าพูด พยักหน้ารับแล้วจากไป
ข้าแหงนหน้ามองเมฆมงคลที่ยังหลงเหลืออยู่บนท้องฟ้าพลางคิดทบทวน เรื่องฉินเชียนเสียนสำเร็จเป็นเซียนอาจไม่ใช่เรื่องดีสำหรับสือชี แต่สำหรับข้ากับม่อชิงแล้ว ถือว่าเป็นโชคดีที่ฉินเชียนเสียนบำเพ็ญเพียรฝึกตนได้ถึงขั้นนี้ ไม่อย่างนั้นก็ยังไม่รู้ว่าข้ากับม่อชิงจะได้ออกมาจากผนึกเมื่อใด....