>>919 หลายเรื่องมันสนุกจริงนะ เข้าใจคิด แต่ภาษาห่วยบรรลัย ประโยคในย่อหน้าเดียวกันมีคำซ้ำมากมาย รู้เลยว่าอ่านน้อย คำศัพท์น้อย ไม่มีเทคนิคอะไรเลย แล้วเทคนิคพวกนี้มันได้มาจากการอ่าน แต่ก็ไม่อ่านกัน กูไม่ว่าอะไรนะถ้าคนเขียนแค่อยากเขียนแก้เครียด แต่ถ้าบอกว่าอยากเป็นนักเขียนจังเลย อยากตีพิมพ์จังเลย มันจะเป็นนักเขียนไปได้ยังไงวะถ้าไม่ใช่นักอ่าน
คนที่อยากเป็นนักเขียน ถามตัวเองให้ดีว่ามึงอยากเป็นเพราะอะไร ถ้ามึงบอกว่ามึงมีใจรัก มึงต้องอ่านวรรณกรรมดี ๆ แต่ถ้ามึงบอกว่ามึงเขียนเพราะอยากได้เงิน กูบอกเลยว่าเลือกอาชีพผิด นักเขียนเมืองไทยคืออาชีพที่รายได้ต่ำกว่าอาชีพอื่น ที่อยู่กันได้เพราะทำงานอื่นด้วย สมมุติว่าเป็นนักเขียนเก่ง เขียนได้ปีละสี่เล่ม พิมพ์ครั้งละสามพัน (ซึ่งถือว่าดีมากในยุคนี้) กูบอกเลยว่าต้องอยู่อย่างกระเหม็ดกระแหม่พอสมควร ถ้าต้องผ่อนบ้านผ่อนรถ ไม่มีบ้านพ่อแม่ให้อยู่ ไม่มีรายได้ทางอื่น มึงจะจัดอยู่ในขั้นคนจน นักเขียนจะมีเงินเป็นกอบเป็นกำต่อเมื่อนิยายแม่งบูม พิมพ์ซ้ำซาก หรือได้เอาไปทำหนัง แต่คนนึงชั่วชีวิตจะมีเรื่องแบบนั้นไม่มากหรอก ทมยันตีเขียนมากี่เรื่อง ที่เอาไปขายทำหนังได้บ่อย ๆ ก็คือคู่กรรม พี่เลี้ยง แล้วกว่าจะดังได้อย่างทมยันตีก็ต้องอายุสี่สิบห้าสิบ อย่างรอมแพงที่ขายบุพเพแล้วดัง เขียนมากี่เรื่องแล้ว ดังกี่เรื่อง ถ้าไม่ทำหนังก็เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครจะเลือกอาชีพนักเขียน มึงต้องรักอาชีพนี้จริง ๆ แล้วพัฒนาตัวเอง เพราะเงินก็ได้น้อย ทำงานชิ้นเอกหลายเดือน ทำเสร็จแล้วเอาไปส่ง บรรณาธิการบอก ช่วยแก้ซักครึ่งเรื่อง ขอหวานกว่านี้ ขอบทบนเตียงอีกสามฉาก มึงก็ต้องกลับไปแก้ ทำมาอีกอย่างน้อยสองอาทิตย์ ส่งให้เขาไปตีพิมพ์ รอกว่าจะทำรูปเล่มเสร็จ พิมพ์เสร็จ อย่างเร็วสองเดือน เว้นแต่ว่าเขาจะรีบเอาออกขายงานหนังสือ งานของมึงก็อาจจะเสร็จออกมาภายในเดือนเดียว ถ้าสำนักพิมพ์มีทุนสำรองเขาก็จะจ่ายให้มึหลังพิมพ์เสร็จ ถ้าเขาไม่มีทุนมาก มึงก็ต้องรอไปอีกสามเดือน หกเดือน บางทีรอจนชวด ไม่มีใครในวงการนี้ที่ไม่เคยโดนโกง กูหมายถึงคนที่ทำงานมาระยะนึงแล้วนะ ในเมื่ออาชีพมันยากอย่างนี้ จะทำทั้งทีก็ต้องรักงานของมึงและพัฒนาตัวเอง ไม่งั้นอย่าเข้ามาให้เสียเวลาเลยว่ะ