ถ้านักอ่านไม่บอก มึงจะรู้ได้ไงว่างานตัวเองสนุกหรือไม่สนุกวะ เหมือนพอเขียนเอง อยู่ใกล้เกินไป เซนส์ตรงนั้นก็ทื่อไปเลยว่ะ
Last posted
Total of 1000 posts
ถ้านักอ่านไม่บอก มึงจะรู้ได้ไงว่างานตัวเองสนุกหรือไม่สนุกวะ เหมือนพอเขียนเอง อยู่ใกล้เกินไป เซนส์ตรงนั้นก็ทื่อไปเลยว่ะ
>>892 ถ้าถ้าอ่านแล้วก็สนุกดี เอาลงไปหลายๆ ตอนมีคนคอมเม้นต์ แสดงว่าโอเค อ่านแล้วสนุกดี แต่ลงไปเท่าไหร่ก็ไม่มีคนแสดงความเห็นอะไรแสดงว่ายังไม่ดีพอ ยังขาดอะไรบางอย่างให้ดึงดูดใจ ถ้ายังไม่ได้ลงแต่ไม่แน่ใจว่ามันสนุกหรือเปล่า มีโอกาสที่มันยังไม่สนุกเพราะขนาดคนเขียนอ่านเองยังไม่รู้เลย มันเป็นแค่ความรู้สึกว่า เออ มันก็ดี แต่มันมีงานก็ดีเยอะแยะไง งานก็ดีมันไม่ได้น่าสนใจอะไร
>>894 ซึนว่ะ ตามเนื้อเรื่องแล้วคงเต็มที่ได้เท่านี้แหละ แต่สงสัยว่ามันจำเป็นป่ะวะว่าต้องมีฉากพีคๆสักฉากเพื่อเล่าให้คนเก็ทว่ามันรักกันมาจากตรงไหน หรือถ้าเขียนแบบค่อยๆแทรกความสัมพันธ์ในเรื่องไปเรื่อยๆให้คนอ่านค่อยๆรู้สึกเองดีกว่า คือตัวละครมันเริ่มจากเกลียดปานจะฆ่ากันก่อนอ่ะ ก็เลยจะได้รู้นิสัยแย่ๆของกันมาก่อนด้วย ปรึกษาเยอะเลย โทษทีนะ
>>895 คือมึงต้องตีแผ่ออกมาก่อนนะว่าตลค.มึง รักกันเพราะอะไร ? แล้วค่อยใส่ไปนะ แต่คำถามว่ามึงจะยัดซีนใหญ่มาเลยหรือค่อย ๆ แทรกมา อันนี้มันได้ทั้งสอง แล้วแต่มึงจะพอใจ ส่วนตัวกูชอบอย่างหลังมากกว่า ยิ่งค่อย ๆ ละเลียดละไมนะมึงเอ๊ย ฟิน
กูก็แนะนำอะไรไม่เก่งอะ ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่เลย ขอโทษด้วยคน 5555 แต่เอ้อ มึงขอคำแนะนำฉากรักนี่คือเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายโรแมนซ์เป็นหลักใช่มั้ย ?
>>896 แค่ช่วยตอบก็ดีแล้ว ขอบคุณมาก นิยายไม่ใช่โรแมนซ์อ่ะเป็นกึ่งๆสืบสวน ฉากละมุนละไมเลยไม่ค่อยมีแต่ถ้าพยายามใส่ก็จะกลายเป็นยัดเยียดเกินไปอีก อยากได้ฟีลแบบพออยู่ด้วยกันถึงจะยังตีกันแต่ก็เป็นห่วงกัน เป็นความสัมพันธ์แบบไม่พูดก็เข้าใจแล้วค่อยกลายเป็นรักไรงี้ เก็ทป่ะวะ
กู 898 พิมพ์ผิด จะบอกว่าไม่ใช่แนวโรแมนซ์อยู่แล้วป่ะ
เพิ่งค้นพบว่าพล็อตคนเคยรักกลับมาหวั่นไหวยามใกล้กัน เขียนยากที่สุดในสามโลก เฮ้อออ เปิดเรื่องมายังไม่เจอหน้ากันก็สบาย ๆ นะ แต่พอมาเจอะกันเท่านั้นละ ไปไม่รอดจ้า พับโครงการ
ยังมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันแหละ แถมอีกฝ่ายก็แสดงท่าทีเหมือนอยากจะคืนดี ไถ่โทษด้วยงี้ แต่อีกคนก็พยายามใจแข็ง ใจเย็น เขียนไปไม่รู้ว่าจะให้แสดงความรู้สึกออกมาแค่ไหนดี น้อยไปก็น่ารำคาญ มากไปก็อารมณ์ตัดจบอะพวกมึง แวะมาระบาย กลับไปเขียนเรื่องอื่นต่อละ
มีใครแนะนำการเขียนแนวสืบสวน ฆาตกรรมอะไรงี้ได้บ้าง กูเพิ่งค้นพบว่ามันแต่ง ยาก ชิบ หาย เลยว่ะ จาล้องงงงง
เขียนฉากแอ็คชั่นยังไงให้ไม่น่าเบื่อวะ คือกูดูหนังบู๊มาก็เยอะ อ่านนิยายแอ็คชั่นพอสมควร
แต่พอมาเขียนเองก็รู้สึกยืดๆแปลกๆ กูควรเขียนไปให้จบรวดก่อนแล้วค่อยกลับมารีไรต์หรือควรไปหานิยายแอ็คชั่นอ่านศึกษาเพิ่มก่อนดี
แล้วก็ ปกติส่วนใหญ่กูเขียนoneshot จบในตอน ความยาวเรื่องสั้นที่เป็นมาสเตอร์พีซล่าสุดของกูคือ 28 หน้าa4 ฟ้อนต์cordia14
ไม่ถือว่าเยอะเกินไปใช่มั้ยวะ ตอนpublishไปก็ไม่มีคนอ่านบ่นนะ
แต่บางทีกูก็เกรงใจว่าแม่งจะยาวไปไหมวะ เพราะลองมาอ่านในแอปดูแล้วตาลายนิดหน่อย
ปล.มาสเตอร์พีซของกูไม่ได้หมายความว่าดีนะ กูเรียกงั้นแค่เพราะเสียงตอบรับจากคนอ่านมันดีกว่าทุกเรื่องที่เขียนมาน่ะ 555555
ตอนนี้กลับมาอ่านหลังจากลงไว้ปีกว่า เจอช่องโหว่อยู่นิดหน่อย แต่ขี้เกียจแก้แล้วเลยปล่อยไว้งั้นไปแหละ
>>902 อ่านมากๆ ทำให้สมเหตุสมผล วิชาแพทย์แน่นไหม สมัยนี้เขียนมั่วซั่วมีโดนด่า คนตายต่างกันดูกันยังไง นิยายจีนเกี่ยวกับการชันสูตร นิติวิทยาศาสตร์ออกมาเยอะไปหาอ่านดูเอา หลักฐานก็กำหนดเอาว่ายุคไหนสมัยไหน วิทยาการขนาดไหน จะทิ้งอะไรเอาไว้บอกทาง ลองดูซีรี่ย์ฝรั่งซึมซับดู ถ้าอยากเขียนอย่างเดียวไม่มีอะไรในหัวมึงไม่ต้องเขียน ไปอ่านไปดูงานมากๆ ก่อนค่อยกลับมาเขียนใหม่
>>903 อ่านแล้วยืดก็ตัด ตัดแล้วไม่โดนก็เขียนใหม่ มันเป็นเรื่องจังหวะ เหมือนกำกับคิวบู๊ต้องจินตนาการในหัว บางทีคิวบู๊ออกมามันดูธรรมดามึงเขียนก็ดูธรรมดา อาจต้องนึกอะไรที่มันดูตื่นเต้นบีบคั้นมากขึ้น
ความยาวไม่มีความเห็น ยาวไปสั้นไปกูว่ามันเป็นความรู้สึกคนอ่าน มึงเขียน 5 หน้าคนอ่านหาวแล้วหาวอีกก็ยาวไป เขียน 50 หน้า คนอ่านวาไม่ลงอาจโดนด่าว่าสั้นไปแทนก็เป็นไปได้ แต่มึงลองปรับเขียนความยาวระดับส่งงานประกวดเรื่องสั้นต่างๆ ดู เผื่อวันหนึ่งนึกอยากส่งตอนเขียนจะได้ไม่ต้องวุ่นวายมาก
มึงลองอ่านหนังสือเกี่ยวกับนิติเวชดู กูมีเล่มหนึ่ง ฆาตกรรมอำพลาง forensics อะไรนี่แหละ เป็นร่วมจดหมายถามตอบของนักนิติกับพวกนักเขียนที่ส่งมาถา บางทริคคือช่างคิดจริง ๆ
เห็นคลาสคาโดคาว่าสอนเขียน ln กูหัวตัน ๆ เขียนไม่จบมาเป็นปี คิดว่ากูควรแคะปุกไปเรียนไหมว่ะ ราคาเห็นแล้วลมจะจับเสียเหลือเกิน รึใครมีหนังสือรึคลาสออนไลน์ดี ๆ แปะบอกกูด้วย กูหมดทางไปแล้ว
>>908 มึงเขียนไม่จบก็หยุดเขียนแล้วไปทำตัวเป็นนักอ่าน อ่านมากๆ อ่านให้สนุก อ่านให้ไหลไปกับอารมณ์หนังสือ อย่าไปเคร่งกับมันมากว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ต้องเขียนแบบนั้นแบบนี้ พยายามค้นหาอารมณ์ตอนแรกเริ่มที่จะเขียน แต่ถ้ามึงไม่ได้อ่านอะไรมาเลยแล้วอยากเขียนมึงไม่ต้องไปเข้าคลาสไหนหรอกเสียเงินกับเสียเวลาเปล่า มึงไม่มีอะไรให้เขียนมึงจะเขียนออกมายังไง
แต่ถ้ามึงอ่านมามากแล้วแต่เขียนไม่ออก มึงอาจจะเคร่งกับมันเกินไป ตั้งใจมากเกินไป มีข้อแม้นั่นนี่กับงานตัวเองมากเกินไปจนสุดท้ายเขียนออกมาไม่ได้ มึงพยายามปลดข้อแม้ตัวเองออกแล้วเอาอารมณ์นำงานเขียนดู หนังสือกูเคยผ่านตาหลายเล่มละ มันก็มีข้อดี เรียบเรียงความคิดได้ดี แต่ถ้ามึงอ่านแบบตันๆ จะกลายเป็นสร้างข้อแม้ไปเสียเปล่าๆ
อันนี้คำแนะนำไม่รู้ช่วยมึงได้หรือไม่ได้
มึงตัน ตันเพราะอะไร
ตันเพราะไม่ได้วางพล็อต - ไปวางซะ
ตันเพราะมีพล็อตแต่เขียนไม่ออก - มึงมีปัญหาในการเล่าเรื่อง ดูพวกโฆษณาสั้นๆ กลับไปอ่านหนังสือที่เคยชอบ ดูหนังฟังเพลง
ตันเพราะไม่มีคำดีๆ ใช้ - ไปอ่านคลังคำสักรอบสองรอบ
ตันเพราะเขียนออกมาเท่าไหร่ก็ไม่ดี - มึงมีปัญหาในการเล่าเรื่อง
ตันเพราะตันเฉยๆ - ปัญหามึงเยอะเกินไป เลิกเขียนแล้วกลับไปอ่าน
ตันเพราะเขียนแล้วไม่มีผลตอบรับ ไม่มีคนคอมเม้นต์ ขาดกำลังใจ - การไม่มีความเห็นก็เป็นความเห็นแบบหนึ่ง แปลว่า งานมึงไม่ดีพอให้เขามีความเห็นใดๆ อย่างมากก็ระดับก็ดี ซึ่งแปลว่ายังไม่ดีพอให้คนอยากอ่านนัก
ไม่ได้ตันแต่เขียนแล้วไม่ได้ดั่งใจคิด - ฝีมือมึงไม่ดีพอ ไปอ่านงานดีๆ เก็บประสบการณ์กูว่าเร็วกว่านั่งเขียนแล้วเขียนอีก เขียนไปมันไม่เพิ่มขีดความสามารถมึงมากนักหรอก อาจจะไหลลื่นเพิ่มขึ้นแต่อยู่ในกรอบจำกัด ถ้ากรอบมึงใหญ่ก็ไม่เป็นไร ถ้ากรอบมึงเล็กมึงเค้นอะไรออกมาก็ยาก
ถ้ามึงอยากได้หนังสือดีๆ กูแนะนำให้มึงกลับไปอ่านหนังสือที่มึงชอบ อ่านแล้วสนุก อันนั้นแหละดี
รีวิว Artery แจ่มใสหน่อยมีใครไปตำมาแล้วบ้าง
>>908 แพง ไม่ต้องไปราคาเวอร์ ไม่รับรองผลหรอก มึงอ่านคู่มือเขียนงานที่ไหนก็ได้ สลับอาานนิยายที่ชอบชำแหละแล้ววิเคราะห์เลย เผลอไม่ต้องอ่านคู่มือด้วย ตามด้วยฝึกเขียน แล้วลองอ่านดู แค่นั้นแหละเคล็ดลับมันไม่มีอะไรเลยไม่ต้องไปเสียตังเรียนหรอก เสียตังหาหนังสืออ่าน หาข้อมูลที้จะเขียนเถอะ มันจะดีไม่ดีอยู่ที่ประสบการณ์ว่าฝึกบ่อยแค่ไหน
แต่ถ้าอยากเรียนเพิ่มลองลงครอสดู ต้องดูด้วยนะว่าคนสอนสอนมึงน่ะเขาสายอะไร วรรณหรือสายการตลาด เพราะสายแรกสอนชิงรางวัล สายสองสอนให้งานขายออก แต่หนักมึงผ่านการฝึกขั้นแรกมาจะดีสุด แล้วอย่ายึดติดตำราหรือครูมากพอ มันพลิกแพลงได้
เวลาโดนบอกว่างานดีจนไม่รู้จะเม้นท์อะไรนี่จริงๆแม่งดีหรือไม่ดีวะ กูงง
พยายามอ่านวรรณกรรมดี ๆ เข้าไว้ว่ะ งานอะไรที่เขาว่าเป็นวรรณกรรมโลก อ่านให้มาก มึงอ่านหนังสือได้ระดับไหน งานเขียนของมึงก็จะดีในระดับนั้นหรือต่ำกว่านั้นซักสองสามขั้น เพราะคนเขียนระดับโลกได้มันก็ต้องเก่งมากเป็นธรรมดา แต่ถ้าอ่านได้แค่หนังสือรักทะลวงตูดทะลวงจุ๋ม อ่านแต่บทอย่างนั้น อ่านมากกว่านั้นไม่ได้เพราะปวดหัว งานเขียนมึงก็จะได้แค่นั้นหรือต่ำกว่านั้นเหมือนกัน ถ้ารักจะมาสายงานเขียนและอยากสร้างงานดี ๆ ก็ต้องอ่านหนังสือดี ๆ ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็แปลว่าเรายังไม่เก่งพอ พยายามหาวรรณกรรมโลกที่เราพออ่านไหว ความจริงมันมีตั้งหลายเรื่อง ทั้งรัก ตลก การเมือง ลึกลับ ผี ไซไฟ มันต้องมีแบบที่มึงชอบบ้างละ
>>917 ตบมือให้ กูเห็นด้วยเลย กูอ่านนิยายออนไลน์ทั้งหลาย เนื้อหาส่วนใหญ่มันวนๆสำนวนก็วนๆเพราะคนเขียนส่วนใหญ่อ่านฝีมือระดับเดียวกัน ภาษาระดับเดียวกัน ทั้งที่เซนส์เรื่องการทำให้สนุกสนานนี่กูว่าทำกันได้ดีจะตาย กูอ่านสนุกหลายเรื่องก็ตลกมาก แต่ผลงานมันมักมีข้อสะดุดเรื่องภาษาที่ซ้ำซาก และการวางโครงที่ไม่ท้าทาย สะกดคำผิด ใช้สำนวนผิดที่ผิดทาง ไมสร้างสรรค์สำนวนบรรยายใหม่ๆ การอ่านของระดับยากๆ มันช่วยเรื่องความเข้าใจความลึกของมนุษย์ความซับซ้อนของอารมณ์ ที่คนอ่านยังเด็กไม่มีประสบการณ์เอง ก็เรียนรู้ได้จากประสบการณ์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือนี่แหละ
>>920 กูว่าการยกระดับนิยายไม่ใช่ว่ามึงต้องเขียนเครียดๆนะ มึงเขียนที่บันเทิงนั่นแหละแต่ตัวละครมึงอาจมีความลึกขึ้น สมจริงขึ้น เหตุผลในการตัดสินใจของตัวละครท้าทายความคิดคนอ่านมากขึ้น
ภาษาที่ใช้ก็จะมีศัพท์ใหม่ๆเพื่อแสดงออกมากกว่าเดิม การเรียบเรียงความคิด กนะขับขึ้น เทคนิคการเขียนหลากวิธีขึ้น
คนอ่านบางทีอ่านเอาเรื่องไม่ได้คาดหวังอะไรจากมึงนักหรอก อ่านฟรี ไม่แย่มากก็ไม่สับให้เสียเวลา แย่มากทนอ่านไม่ไหว ก็ไปอ่านเรื่องอื่นๆมีเป็นหมื่นเรื่อง
แต่ ต้องถามว่าแล้วมึงคาดหวังอะไรจากการเขียนบ้างต่างหาก
มาคอนเฟิร์มอีกคนว่ายิ่งอ่านงานเขียนดีๆ ยิ่งเขียนงานได้ดี อาจจะไม่ถึงระดับขั้นที่ว่าคนตะลึงแต่มันดีกว่าที่เขียนตอนที่อ่านน้อยแบบเห็นได้ชัดมาก
สำหรับกูที่ได้จากการอ่านหลักๆก็แรงบันดาลใจ(ที่ไม่ใช่ก๊อป) ทำให้กูมีแรงเขียนต่อได้เพราะอยากจะเขียนนิยายที่คนอื่นอ่านแล้วได้อะไรดีๆกลับไปบ้าง
แต่ก็ไม่ได้หวังว่าคนอ่านจะต้องปลื้มขนาดนั้น แค่ได้คำชมง่ายๆอย่างพวก ชอบเนื้อเรื่อง ชอบภาษา ชอบสำนวน จะติดตามอ่านเรื่องอื่นนะ แค่นี้ก็ดีใจละ
>>919 หลายเรื่องมันสนุกจริงนะ เข้าใจคิด แต่ภาษาห่วยบรรลัย ประโยคในย่อหน้าเดียวกันมีคำซ้ำมากมาย รู้เลยว่าอ่านน้อย คำศัพท์น้อย ไม่มีเทคนิคอะไรเลย แล้วเทคนิคพวกนี้มันได้มาจากการอ่าน แต่ก็ไม่อ่านกัน กูไม่ว่าอะไรนะถ้าคนเขียนแค่อยากเขียนแก้เครียด แต่ถ้าบอกว่าอยากเป็นนักเขียนจังเลย อยากตีพิมพ์จังเลย มันจะเป็นนักเขียนไปได้ยังไงวะถ้าไม่ใช่นักอ่าน
คนที่อยากเป็นนักเขียน ถามตัวเองให้ดีว่ามึงอยากเป็นเพราะอะไร ถ้ามึงบอกว่ามึงมีใจรัก มึงต้องอ่านวรรณกรรมดี ๆ แต่ถ้ามึงบอกว่ามึงเขียนเพราะอยากได้เงิน กูบอกเลยว่าเลือกอาชีพผิด นักเขียนเมืองไทยคืออาชีพที่รายได้ต่ำกว่าอาชีพอื่น ที่อยู่กันได้เพราะทำงานอื่นด้วย สมมุติว่าเป็นนักเขียนเก่ง เขียนได้ปีละสี่เล่ม พิมพ์ครั้งละสามพัน (ซึ่งถือว่าดีมากในยุคนี้) กูบอกเลยว่าต้องอยู่อย่างกระเหม็ดกระแหม่พอสมควร ถ้าต้องผ่อนบ้านผ่อนรถ ไม่มีบ้านพ่อแม่ให้อยู่ ไม่มีรายได้ทางอื่น มึงจะจัดอยู่ในขั้นคนจน นักเขียนจะมีเงินเป็นกอบเป็นกำต่อเมื่อนิยายแม่งบูม พิมพ์ซ้ำซาก หรือได้เอาไปทำหนัง แต่คนนึงชั่วชีวิตจะมีเรื่องแบบนั้นไม่มากหรอก ทมยันตีเขียนมากี่เรื่อง ที่เอาไปขายทำหนังได้บ่อย ๆ ก็คือคู่กรรม พี่เลี้ยง แล้วกว่าจะดังได้อย่างทมยันตีก็ต้องอายุสี่สิบห้าสิบ อย่างรอมแพงที่ขายบุพเพแล้วดัง เขียนมากี่เรื่องแล้ว ดังกี่เรื่อง ถ้าไม่ทำหนังก็เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครจะเลือกอาชีพนักเขียน มึงต้องรักอาชีพนี้จริง ๆ แล้วพัฒนาตัวเอง เพราะเงินก็ได้น้อย ทำงานชิ้นเอกหลายเดือน ทำเสร็จแล้วเอาไปส่ง บรรณาธิการบอก ช่วยแก้ซักครึ่งเรื่อง ขอหวานกว่านี้ ขอบทบนเตียงอีกสามฉาก มึงก็ต้องกลับไปแก้ ทำมาอีกอย่างน้อยสองอาทิตย์ ส่งให้เขาไปตีพิมพ์ รอกว่าจะทำรูปเล่มเสร็จ พิมพ์เสร็จ อย่างเร็วสองเดือน เว้นแต่ว่าเขาจะรีบเอาออกขายงานหนังสือ งานของมึงก็อาจจะเสร็จออกมาภายในเดือนเดียว ถ้าสำนักพิมพ์มีทุนสำรองเขาก็จะจ่ายให้มึหลังพิมพ์เสร็จ ถ้าเขาไม่มีทุนมาก มึงก็ต้องรอไปอีกสามเดือน หกเดือน บางทีรอจนชวด ไม่มีใครในวงการนี้ที่ไม่เคยโดนโกง กูหมายถึงคนที่ทำงานมาระยะนึงแล้วนะ ในเมื่ออาชีพมันยากอย่างนี้ จะทำทั้งทีก็ต้องรักงานของมึงและพัฒนาตัวเอง ไม่งั้นอย่าเข้ามาให้เสียเวลาเลยว่ะ
>>924 กูจับมือ การอ่าน สร้างคนอ่านคุณภาพ และก็สร้างนักเขียนคุณภาพ
You are what you read
ถ้ามึงอยากโตขึ้นกว่าเดิม มึงก็จะได้คนอ่านที่โตขึ้นไปกับมึงและคนอ่านที่โตแล้วรอมึงอยู่ มันไม่ดีตรงไหน ความสุขใจของการเขียน มันก็เหมือนเล่นเกมนะสำหรับกู พอมึงเชี่ยวชาญขึ้นมึงก็อยากผ่านด่านไปทำมิชชั่นอัพเลเวลขึ้นไปอีก แต่จะเก่งขึ้นต้องเก็บไอเทมเยอะๆก่อน5555
ky พวกเสียงซาวด์เอฟเฟกต์จำเป็นต้องมีในนิยายมั้ยวะ
>>928 ถ้างั้นตรงเสียงกวางร้องก็ต้องมีเอฟเฟกต์ด้วยสิ แล้วลูกธนูหน้าไม้นี่มีจริงเหรอวะ ที่ใช้กับหน้าไม้น่าจะเป็นลูกดอกนะ ทำไมไม่ลองเป็น
เสียงดังฟุ่บดังขึ้นเมื่อลูกดอกถูกยิงออกมาจากหน้าไม้ มันพุ่งแหวกผ่านอากาศทะยานหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงร้องของสัตว์ตระกูลกวาง...
กูว่าลูกศรกับลูกธนูคือสิ่งเดียวกันปะวะ
เราเรียกว่าที่ยิงว่าคันศรหรือคันธนู ลูกก็เรียกตาม
หน้าไม้ใช้ลูกศรขนาดสั้น กว่าธนูที่ใช้คันธนูยาวๆ
ลูกดอกเป็นไม้หรือโลหะปลายแหลมที่สั้นๆจะอาบยาพิษเอาไว้เป่าหรือปาซัดใส่
เสียงฟึ่บของมึงกูโอเคนะ
แต่เสียงร้องของสัตว์ตระกูลกวาง กูว่ามันตลก แปลกๆ มึงฟันธงไปเลยดีกว่าปะ ว่าจะกวาง ละมั่ง อะไร
จะได้แก้เป็น เสียงร้องคล้ายดังมาจากฝูงกวางที่แตกตื่น /เสียงร้องฟังคล้ายเป็นเสียงกวาง
คือกูว่าให้ภาพชัดกว่า แม้ตัวละครจะไม่ได้แน่ใจ
เพื่อนโม่งช่วยดูหน่อยกว่าการบรรยายของกูมันโอเครึเปล่า เป็นเรื่องของตำรวจหนุ่มคนหนึ่งที่สังเกตเห็นพฤติกรรมผิดปกตินะ
เนื่องจากน้องสาวตัวแสบของผมยังไม่มีท่าทีว่าจะแต่งตัวเสร็จ ผมจึงตัดสินใจลงออกมาจากคอนโดแล้วตั้งใจว่าจะหาอะไรแก้เบื่อทำไปพลาง
ให้ตายสิ... ใครกันน้าเป็นคนบัญญัติว่าผู้หญิงต้องแต่งตัวนานเป็นชั่วโมงแบบนี้
ระหว่างนั่งฆ่าเวลา ผมก็ปรายตากวาดมองผู้คนที่เดินไปมาหน้าคอนโดไปพลาง ยืนอัดมะเร็งไปพลาง ก็ไม่รู้นะว่าเป็นเพราะอะไร สงสัยวันนี้อากาศดีล่ะมั้ง หน้าคอนโดถึงได้มีคนยั้วเยี้ยอย่างกับตลาดซะงั้น
คนเยอะแบบนี้พาลให้รู้สึกอึดอัดชะมัด คิดผิดจริง ๆ ที่ลงมาก่อน แล้วก็ยิ่งน่าเศร้าเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าวันนี้บุหรี่รสชาติห่วยชิบ แต่เนื่องจากนี่มันบุหรี่นอกราคาต่อมวนแพงหูฉี่ ผมจึงไม่อาจจะดูดทิ้งขว้างได้เหมือนกับกรองทิพย์ที่ซื้อตามเซเว่น ผมจึงต้องจำใจลิ้มรสมันต่อไปทั้งที่ตอนนี้อยากจะสำลักควันแทบตายอยู่แล้ว
แต่แล้วระหว่างซึ้งใจกับมันอยู่นั่นเอง สายตาของผมก็บังเอิญเห็นสิ่งผิดปกติ
มีชายร่างสูงสองคนเดินผ่านหน้าผมไป พวกเขาสวมชุดฮู้ดสีดำสะพายเป้อาดิดาสใบตุง แถมยังเดินล้วงกระเป๋าตัวโก่งเหมือนทำท่าซ่อนอะไรซักอย่างเอาไว้ ...ก็อยากจะมองโลกในแง่ดีนะว่าเป็นแค่สไตล์การแต่งตัวเขา เหมือนพวกเด็กฮิปจากนิวยอร์กอะไรทำนองนั้น แต่ก็นะนี่มันประเทศไทยแถมยังอยู่กลางหน้าร้อนอีกต่างหาก การแต่งตัวด้วยชุดเสื้อนอกสีดำดูน่าอึดอัดแบบนั้นจึงค่อนข้างเตะตาผมอย่างจัง
สองคนนั้นหันซ้ายแลขวาแทบจะตลอดเวลา ก่อนที่พวกเขาจะเดินอ้อมเข้าไปข้างหลังคอนโดซึ่งเป็นจุดลับตาคนในเวลาต่อมา
บะ... ทั้งที่เพิ่งออกเวรมาแท้ ๆ แต่ในฐานะผู้พิทักษ์สันติราชคนหนึ่ง ...ถึงจะอยู่นอกราชการก็เถอะ แต่เจอคนน่าสงสัยเดินผ่านไปแบบนี้ ผมคงปล่อยผ่านไปเปล่า ๆ ไม่ได้สินะ
ว่าแล้วผมก็จำใจต้องเขี่ยเจ้าบุหรี่ยี่ห้อแพงนั่นไปกับพื้น แล้วลุกขึ้นแอบเดินตามพวกเขาไปแบบห่างๆ
กูว่าก็โอเคนะ อ่านลื่นดี แต่มีขัด ๆ ตรง ใครกันน้า...นิดหน่อย แต่คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก กูแค่ไม่ค่อยได้อ่านสรรพนามบรุษที่ 1 เท่าไหร่ แต่คิดว่าส่วนตัวคงชินกับ "ให้ตายสิ...ผมล่ะอยากรู้จริงว่าใครมันบัญญัติ..." มากกว่า
กุถามหน่อยโม่ง สมมติว่ากุแต่งแฟนตาซี ให้นางเอกเป็นคนไม่สวยมาก คือหน้าตาใช้ได้แต่ไม่ได้สวยหยาดเยิ้มไรงี้อะ แต่แบบร่าเริง เฟรนด์ลี่ นิสัยดี ห้าวๆแก่นๆ แล้วมีคนมาชอบนางเอก3คนคือ แฟนเก่านางเอก พระเอก แล้วก็เพื่อนนางเอกฟีลพระรองเพื่อนแสนดี มันจะถือว่าซู,ฮาเร็มปะวะ ถ้ากุไม่ได้เน้นรักแต่เขียนว่ามีคนมารักนางเอก3คนทั้งๆที่ไม่ได้สวยมาก
>>941 ถ้ามึงใส่เหตุผลดีๆ กูว่าไม่ฮาเร็มนะ อย่างเช่นนางเอกเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือเพื่อน เป็นคนที่ปลอบโยนปลอบใจยามสิ้นหวัง อยู่เคียงข้างไม่ทิ้งกัน หรือพระเอกเป็นคนเย็นชา นางเอกเป็นคนร่าเริงเข้ามาเติมความสดใสให้พระเอก อะไรทำนองนี้
ส่วนตัวนะ ที่กูจะเห็นว่าฮาเร็มคือเห็นหน้าละปิ๊งเลย ยอมทำทุกอย่างที่นางเอกต้องการ และมีคนมาชอบพร้อมกันเกินสาม (กูให้สุดๆ แค่สาม)
>>942 คาร์นางเอกกุ&เหตุผลกุประมาณนั้นแหละ กะให้แฟนคนแรกคือคบตอนวัยรุ่นแล้วต้องไปแต่งกะคนอื่น แต่มันยังรักนางเอก นางเอกก็อกหักหนักจนมีพระเอกเย็นชาเพื่อนมันเข้ามาจนแต่งกัน ส่วนอิเพื่อนพระรองแสนดีแม่งก้ชอบอยุ่ตั้งแต่นางเอกชอบกะแฟนเก่ายันนางเอกแต่งกะพระเอกแล้วมันยังโสด แต่ก้เปนเพื่อนกะนางเอกต่อ
ขอบคุสค่ะเพื่อนโม่ว
กูชอบที่มึงสร้างรายละเอียดให้ภาพดี แต่มึงต้องอ่านซ้ำเพื่อแก้คำย้อนแยงให้บ่อยๆมึงจะรอด
เช่นขณะนั่งฆ่าเวลา ถัดมามึงบอกว่ายืน ตกลงเอาไง
ก่อนอื่นมึงจะเล่าผ่านความคิดตัวแสดงมึงต้องเข้าใจว่าเป็นคำพูดฝั่งเดียวไม่มีอีกคนช่วยรับและขยายความ ดังนั้นคำรำพึงเหมือน ให้ตายสิใครกันน้า มันจะตีความระดับการทอดเสียงรำพึงยากแล้วแต่คนอ่าน ตัวละครมึงเป็นตำรวจถ้ามึงอยากให้คาร์แมนๆกว่านี้ อย่าให้คำหน่อมแน้มโผล่มาให้คนอ่านสับสน
ให้ตายสิ ใครกันว้า ใครกันวะ น่าจะให้ภาพตำรวจได้ดีกว่า
>>938 ต่อ
บุหรี่ที่รสชาติห่วย ตกลงมึงอยากให้คนอ่านเข้าใจว่าอะไรได้บ้าง ตอนนี้มันเข้าใจได้3อย่าง กูว่าเลือกเอาสักอย่างจะไม่สับสน มึงก็เพิ่มการชี้นำคนอ่านให้ชัดได้ง่ายกว่า
-หงุดหงิดเพราะรอนาน รสชาติที่คุ้นเคยยังไม่ทำให้ผ่อนคลาย กลายเป็นห่วยขึ้นมาง่ายๆ นี่คือมึงจะสะท้อนอารมณ์เบื่อหน่ายของพระเอก
-หรือมึงอยากใบ้คนอ่านต่อไปอีกว่า ทั้งๆที่บุหรี่รสชาติเดิมๆวันนี้แม่งต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น พระเอกมีลางสังหรณ์ สัญชาตญาณ สัมผัสฝนตั้งเค้าได้ผ่านการรับรสที่เปลี่ยนไป
-หรือแค่อยากแทรกให้คนอ่านเข้าใจทัศนคติของพระเอก เพิ่งเปลี่ยนมาซื้อบุหรี่ยี่ห้อใหม่ ที่แพงขึ้น แล้วค้นพบว่าของแพงกลับห่วยกว่า แต่ทนต่อเพราะงก แต่กูว่าจะสำลักควันตายนี่ต้องเพิ่มหน่อยว่า รสชาติมันห่วยบาดคอ จนแทบทำให้ต้องสำลักควันไอออกมา นี่ต้องฝืนแทบตายแล้ว ไม่งั้นมันสับสนนิดหน่อยสำหรับคนไม่สูบบุหรี่ว่าจะสำลักเพราะตัวเองพ่นควันออกมาเยอะหรือไง
หรือถ้าจะรวททั้ง3ข้อ ก็คือ วันนี้อะไรๆไม่เป็นใจ นี่ต้องรอนาน เสือกต้องสูบยี่ห้อใหม่ แพงสัส รสชาติห่วยนี่มันเป็นวันซวยของกูรึเปล่าวะ
คำสบถของตำรวจคนนี้ จะช่วยให้ภาพของดีกรีนิสัย คำว่า บะ นี่เหมือนลุงแก่ๆกูอุทานเลย
เป็นบ้ะ เวร เฮ้ย เชี่ยเอ้ย ได้อารมณ์ตำรวจมากกว่า
พิทักษ์สันติราษฏร์ ไม่ใช่ราช
นอกราชการ คืออะไร เกษียณ โดนไล่ออก แปลว่า ไม่มีสิทธิ์เป็นตำรวจแล้วนะ
ถ้าจะบอกว่านอกเวลาราชการ ยังแปลว่าเป็นตำรวจอยู่นะ
โดยรวมกูชอบ
>>944 >>945 ขอบใจมากเพื่อนโม่ง สับละเอียดดี
แต่ที่จริงก็แค่อยากให้ดูสำนวนแหละ เพราะไอ้พิมพ์มานี่เขียนสด - - ไม่ได้วางพล็อต วางคาร์อะไรเลย
เรื่องที่เขียนอยู่ปัจจุบันเนี่ยพระเอกขี้บ่นแนวๆ นี้เหมือนกัน เลยลองเขียนเหตุการณ์สมมุติขึ้นมาเพื่อให้ช่วยดูหน่อยว่าโอเคมั้ยน่ะ
แต่ถามอย่างหนึ่ง เรื่องคำรำพึงนี่ไม่จำเป็นต้องใส่ระดับการทอดเสียงสินะ?
>>946 ขึ้นกับบุคลิกตลคที่ต้องการสื่อนะ
อย่างตำรวจคนนี้ รำพึงออดอ้อน ด้วยคำว่า ใครกันน้า มันเรียบๆร้อยๆขัดแย้งกับทิศทางของตัวละครรึเปล่า
ถ้าตำรวจคนนี้สร้างบทสนทนากับน้องสาวว่า
ให้ตายสิ ใครกันน้าบลาๆ มันก็จะน่าเอ็นดูเหมือนหยอกเย้าอีกฝ่าย แต่นี่มันพูดกับตัวเอง ต่อด้วยอารมณ์เบื่อหน่ายหงุดหงิด คำว่าน้า มันเลยสะดุด
ระดับทอดเสียงใส่มา มันก็ให้อารมณ์ตามนั้นปะ เราก็แค่ต้องเข้าใจความแตกต่างของมัน
ใครกันนะ
ใครกันน้า
ใครกันหนา
ใครกันวะ
ใครกันว้า
ใครกันหว่า
มึง กูอยากถามข้อมูลหน่อย
หาอ่านแล้วไม่ค่อยเจอกฎเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัย (suspect) อะ มีแต่จำเลยกะผู้ต้องหา (accused/defendant)
กูเข้าใจว่ามันต่างกันไง แต่งง ๆ การปฏิบัติ สรุปคือถ้าหาหลักฐานไม่ได้ ผู้ต้องสงสัยก็ยังรอดตัวลอยนวลได้ปกติรึเปล่า ไม่มีคุมขัง กักตัวใช่ป้ะ ถึงเสี่ยงต่อการหลบหนีก็ขังไม่ได้รึเปล่า
>>949 กูเคยเรียนมาแต่จำแบบละเอียดไม่ได้ละ
คราวๆ คือผู้ต้องสงสัยมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่ทำตัวมีพิรุธแล้วอะ ยกตัวอย่างเช่นตำรวจเดินมาขอตรวจ แต่กลับวิ่งหนีจนตำรวจต้องวิ่งตามเนี่ย ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงตอนโดนแจ้งข้อหา เราจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปเลย
แต่กลับกันถ้าถูกพาไป สน. แล้วแจ้งข้อหาแล้วเนี่ยจะกลายเป็นผู้ต้องหา
ส่วนจำเลยคือต้องโดนอัยการส่งฟ้องไปแล้ว
ส่วนเรื่องหาหลักฐานไม่เจอก็ใช่ เพราะไม่มีหลักฐานหรือพยานที่หนักแน่นพอ อัยการก็จะไม่ส่งฟ้อง ตามอำนาจของตำรวจมีสิทธิ์กักตัวได้แค่ 48 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งถ้าเลยไปกว่านั้นก็ต้องพึ่งอำนาจศาลเพื่อฝากขัง แต่ในเมื่อไม่สามารถส่งฟ้องได้ก็จำเป็นต้องปล่อยตัวไปไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
>>952 คือผู้ต้องสงสัย เพราะไม่มีใครเห็นว่าฆ่ากับมือใช่มั้ย ถ้ามีคนเห็นแล้วนำไปแจ้งตำรวจ ก็จะกลายเป็นผู้ต้องหา แต่นี่ไม่มีใครเห็นอะไร เพียงแต่คิดกันไปเองว่าน่าจะเป็นคนฆ่า จึงเป็นผู้ต้องสงสัยก่อนในขั้นต้น ถ้าถึงขั้นหาหลักฐานได้ พบกางเกงในตกในที่เกิดเหตุ ตำรวจเห็นว่าน่าจะใช่ ก็จะกลายเป็นผู้ต้องหา
เอ... กูสงสัยขอถามหน่อย
ถ้าสมมุติกูสร้างตัวละคร 2 ตัว ชาย-หญิง อายุห่างกันประมาณ 8 ปี ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กและฝ่ายหญิงก็สนิทกับฝ่ายชายและเรียกว่า "พี่" มาตลอด จนแทบจะเหมือนกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ
แต่เพราะมีเหตุต้องแยกจาก ทั้งคู่เลยไม่ได้พบกันราว ๆ 20 ปี ซึ่งตรงนี้ล่ะที่กูอยากจะถามว่า ถ้าเจอหน้ากันอีกทีแล้วจำกันได้เนี่ย กูควรให้ฝ่ายหญิงเรียกฝ่ายชายยังไงดีวะ?
พี่ก็ไม่ใช่สรรพนามก็สนิทสนมอะไรมากนะ 555555 แบบในชีวิตจริงกูเรียกพี่ดะหมดอ่ะ
สวัสดีเพื่อนโม่ง กูมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย เลยอยากมาถาม พอดีว่ากูกำลังเขียนนิยายอยู่เรื่องนึง กำลังวางพล็อต เเละเริ่มต้นเขียนบางเเล้ว เเละเมื่อวานจู่ๆก็มีนักเขียนมีชื่อคนนึงอัพงานใหม่ลง พอกูกดเข้าไปดูเท่านั้นล่ะ กูช็อคมากเลย เพราะพล็อตมันเหมือนกับกูมาก (กูไม่ได้กำลังหมายถึงว่าเค้าลอกกูหรืออะไรนะ เพราะกูยังไม่ได้เอาเนื้อหาอะไรลงเลย กะว่าจะเเต่งให้จบก่อนเเล้วค่อยลง) คือตัวพล็อตหลัก ตัวเอกวางปมเหมือนกับกูเลย กูเลยกังวลมากๆว่าถ้าวันนึงกูเอานิยายเรื่องงนี้ลง เค้าจะหาว่ากูลอกนิยายนักเขียนคนนี้ไหม กูเองก็ไม่สบายใจที่จะเปลี่ยนพล็อตอะไรด้วย เเบบกูหลงรักตัวลรครที่มีคาเเรกเตอร์กับบทบาทนี้ไปเเล้วเนี่ยสิ ฮือ
มีคนจองที่ไปก่อนแล้ว มึงก็ต้องจำใจทำงานหนักกว่าเดิม มึงต้องหาทางแก้ให้มันไม่เหมือน คือซวยๆๆๆ กูเห็นใจ
แต่ไม่งั้นมึงทุ่มทำไปทั้งๆที่รู้ว่ามันอาจออกไปคล้ายเรื่องอื่น กูว่าไม่คุ้มค่าเหนื่อย
แล้วเดี๋ยวต้องมานั่งเถียงคนอีก ว่าลอกไม่ลอก
>>259 >>260 >>261 ขอบคุณนะเพื่อนสพหรับคำแนะนำและกำลังใจ ปล. >>260 กูขอถามได้ไหมว่าตอนนั้นเมิงจัดการกับเรื่องนี้ยังไง
คือตอนนี้กูฟุ้งซ่านมาก ไม่รู้ว่าจะเรียกตื่นตูมไหม แต่กูคิดไปถึงเรื่องการลองทักเข้าไปคุยกับคุณนักเขียนคนนั้น แล้วเล่าให้เขาฟังว่าบังเอิญพล้อตดันเหมือนกัน ตรงจุดไหนบ้าง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจจะดีไหม
กูบอกตามตรงว่ากูกลัวมากว่ามันอาจมีปัญหาในอนาคตได้ ขอคิดในเเง่ร้ายไว้ก่อนแล้วกัน (ถ้านิยายกูรอดอะนะ) คือแบบอย่างน้อยกูก็จะมีหลักฐานว่า เออ กูบอกกับนัก้้ชียนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใตตั้งเเต่เเรกเเล้วนะ อะไรงี้ แต่กูก็แอบกลัวปฏิืริยาคุณนัก้้ขียนท่านนั้นเหมือนกันว่าจะออกมาเป็น
ต่อนะ (ขอโทษๆ พิมพ์ในมือถือแล้วมันพลาดไปกดโพส)
แต่กูก็แอบกลัวปฏิืริยาคุณนักขียนท่านนั้นเหมือนกันว่าจะออกมาเป็นยังไง คือแบบคงไม่มีใครชอบหรอกที่มีคนอื่นเเต่งนิยายที่พล้อตออกมาเหมือนนิยายตัวเองไรงี้ แต่กูก็จะพยายามจะปรับพล้อตนะ ให้มันลดความคล้ายเขาให้มากที่สุดในขอบเขตที่กูรับได้และให้กระทบกับพล้อตหลักน้อยที่สุด
เพื่องโม่งมีความคิดเห็นหรืออะไรเเนะนำกูบ้างไหม
>>963 คิดมากเกินไป ถ้ามึงคิดมากอย่างนี้ มึงจะไม่สบายใจไปตลอดเวลา กลัวอะไรวะ ถ้ามึงไม่ได้ลอกเขา มึงไม่มีทางเขียนออกมาเหมือนกัน พล็อทเหมือนกันมีเยอะแยะ รายละเอียดไม่มีทางเหมือนกัน ยิ่งมึงทำวุ่นวายมากเท่าไหร่ คนจะยิ่งคิดว่าร้อนตัว เขียนนิยายทั้งทีน่าจะจิตใจสบาย ๆ ไม่ใช่เหรอ นี่ทำแล้วกลัวสารพัด กลัวคนจะว่า กลัวนิยายจะเหมือน บอกตามตรง กูอ่านนิยายพล็อตเหมือนกันมาเยอะแยะ ถ้ามันไม่ได้ลอกกันมา ยังไงมันก็ไม่มีทางดำเนินเรื่องเหมือนกัน
เอาอย่างนี้ พล๊อต เช่น สโนว์ไวท์ ซินเดอเรลล่า
มึงสามารถเขียนนืยายที่แตกต่างกันได้ล้านเรื่อง
รายละเอียด เช่น เซตติ้ง ต่างๆ อาชีพ นิสัย ปม มู้ด คือจะเขียนดรามา สยองขวัญ จากพล๊อตนี้ก็ได้
>>966 เออ กูจะช่วยอธิบายเพิ่มให้ พวกมึงรู้จักเรื่องซินเดอเรลล่ากับปลาบู่ทองกันดีใช่ไหม สองเรื่องนี้มีแบบเรื่อง (Tale Type) แบบเดียวกันเลยเว้ยมึง คือสเต็ปแบบนางเอกมีแม่เลี้ยง มีลูกติดแม่เลี้ยง ถูกกลั่นแกล้ง แต่สุดท้ายไปเจอพระเอกที่สูงศักดิ์ แม่เลี้ยงกับพี่ก็อิจฉา พยายามขัดขวาง หรือไม่ก็เรื่องอิดิปุสที่มีแบบเรื่องเหมือนกับพญากงพญาพาน พระเอกมีคำทำนายว่าจะฆ่าพ่อ ถูกพ่อสั่งพาไปปล่อย แต่สุดท้ายพระเอกก็กลับมาฆ่าพ่อได้เพราะความไม่รู้ จะเอาแม่เป็นเมีย พอรู้ความจริงก็สำนึกผิด
ถ้าของมึงเหมือนกันในสเต็ปทำนองนี้ มึงไม่ต้องไปเครียดหรอก นิทานคนละมุมโลกยังดันมีแบบเรื่องเหมือนกันได้ขนาดนี้เลย เหมือนที่โม่งคนอื่นบอกนั่นแหละว่ามันอยู่ที่มึงจะใส่อะไรลงไปให้มันแตกต่าง แต่ถ้ามึงเหมือนชนิดฉากต่อฉาก(เช่นเขาเขียนว่าพระเอกฆ่าพ่อตอนขี้ ของมึงก็พระเอกฆ่าพ่อตอนขี้) อันนี้กูว่าควรเครียดละ
>>964-969 ขอบคุณมากๆพวกมึงที่เตือนสติกู พอมาอ่านความเห็นพวกมึงเเล้วทำให้กูรู้เลยว่ากูเเตกตื่นเเละเเพนิคไปมากจริงๆ กูจะเลิกติดตามนักเขียนคนนั้นซะจะได้ไม่ต้องมาเเพนิคเป็นระยะๆอย่างที่ >>965 บอก กูว่าเเบบนั้นน่าจะดีกับสุขภาพจิตกูมากกว่า คือกูรู้ตัวนะว่ากูเป็นคนวิตกกังวลง่ายมาก แต่บางทีกูก็แยกไม่ได้ว่าที่กูแพนิคเเบบนี้มันมากเกินควรไหม ต้องขอบคุณพวกมึงมากจริงๆที่ทั้งเตือนสติ ทำให้กูกลับมานั่งคิด และมีความหวังต่อ ขอบคุณมากๆพวกมึง
ขอถามเรื่องพาร์ทย้อนอดีตหน่อย สมมุติอย่างถ้าตลค.ไหนเป็นฝ่ายย้อน มุมมองพาร์ทอดีตนั้นก็ควรเล่าในมุมคนนึกช้ะ
แล้วกูอยากรู้ว่าถ้าเล่าบุรุษที่ 3 ในมุมตัดไปมาทุกฝ่าย เหมือนที่เล่าปจบ.เนี่ย จะทำได้ในกรณีไหนอะ
รึว่ากูไม่ควรมาฟิกซ์อะไรยิบย่อยแบบนี้ เขียน ๆ แม่งไปเหอะได้เลยวะ ฟฟฟฟฟฟ
อืม... เพื่อนโม่งขอถามหน่อย
ถ้าจะเขียนให้ตัวละครร้องเพลงนี่กูควรจะบรรยายยังไงดีวะ?
ใส่เนื้อเรื่อง? หรือว่า "ลาลาลาลา~" ไปเรื่อยดี?
มึงถามแบบนี้กูช่วยตอบไม่ได้หรอก
การเขียนแม่งไม่มีกฎตายตัวขนาดนั้น ไม่งั้นมันจะนับเป็นงานสร้างสรรค์หรือ
จะเขียนว่าเธอร้องเพลงออกมาด้วยความรื่นเริงใจ หรือ เธอเปล่งเสียงสดใสเอื้อนร้อง "ไก่ก่อนไข่ใครจะเกิดก่อนกัน "
บริบทมันคืออะไรล่ะ อะไรจะเหมาะกว่า
มึงกลัวโม่งแตกก็แปลงตัวอย่างเปรียบเทียบมาถาม โม่งอื่นจะได้ให้ความเห็นได้
ถามโง่ๆหน่อยค่ะ ถ้านิยายลอกมาจากประวัติศาสตร์จริงทั้งดุ้นเปลี่ยนแค่ชื่อตัวละครนับว่าก๊อปมั้ยคะ
อย่าก็อปคนเป็นประเด็นแบบปู่ดาบล่ะกัน
พวกมึงกูนอกเรื่องแปบนะ กูเครียดมากตอนนี้พอดีคนมาป่วนนิยายกูอ่ะ พอกูลองเช็คไอดีดูต่างกันแค่ตัวหลังสามตัวเอง กูเลยอยากรู้ว่า ID ใน ดด.นี่ดูอะไรได้บ้างวะ เนี่ย ID
103.26.22.219
103.26.23.234
103.26.23.253
กูว่าเป็นคนเดียวกันวะ ทำเหมือนเป็นคนหลายคนแต่ ID คล้ายกันมาก คือกูเครียดมาก
>>979 อยากบอกให้มองข้าม คนออนไลน์ร้อยพ่อพันแม่ แต่มึงคงเครียดมากเลยมาขอคำปรึกษา มึงแจ้งไปที่แอดมิน ก๊อปไปให้ดู แจ้งในบอร์ดปัญหาหรือช่องทางอะไรก็แล้วแต่ เพื่อให้เขาช่วยแบนช่วยบล็อค กูรู้ว่ามึงไม่สบายใจ ถ้ารู้สึกแย่มาก ๆ ก็หยุดเล่นแพร้บ อย่าให้คนไม่ดีมาบั่นทอนมึง
เพื่อนโม่งงงงง กูมีข้อสงสัย !!
คือกูแต่งนิยายอยู่ แล้วที่แต่งนี้มันดาร์คเกิน น่าจะไม่ผ่านสนพ.ได้อะ แต่กูมีพล็อตสำรอง คิดว่าจะส่งอันปลอดภัยให้สนพ. แต่ก็ยังเสียดายอันเก่าอยู่
ถ้ากูเปิดลงในเว็บทั้งสองเวอร์ แต่ตีพิมพ์ฉบับคลีนแล้วยังเปิดให้อ่านเวอร์แบดเอ้นท์นั้น มันทำได้ปะวะ จะมีปัญหาอะไรรึเปล่า
(เพิ่ม ทั้ง 2 เรื่องกูคือพระนางคนเดียวกัน เส้นเรื่องเหมือนกัน ต่างแค่ปมที่ตัดไปแล้วใส่อันเบากว่าเข้ามา / ตอนจบ อีกอันแบด อีกอันดี นอกนั้นก็เป็นเรื่องเดียวกันเป๊ะ ๆ เลย)
ลืมบั้ม
>>986 บางทีมันมีลิขสิทธิ์เว็บ กับตัวเล่ม ขายให้คนละเจ้า อันนี้แล้วแต่สัญญา พวกซื้อลิขสิทธิ์ ตปท บางทีซื้อแยก
เวลาขาย สนพ. มันจะมีสัญญา ว่าพ่วง ebook หรือเปล่า หรือบาง สนพ.ไม่เอา ebook เลย แต่มึงทำ ebook เองไม่ได้
ส่วนใหญ่ สนพ.ไม่น่าจะยอม ยกเว้น นข. มีพาวจริงๆ สนพ.ต้องง้อ หรือ นข.ยืนยัน แล้ว สนพ.อยากได้เรื่องนั้นโคตรๆ ถ้าไม่ใช่กรณีพวกนี้ ยากว่ะ
ถ้าให้แนะนำ ก็ส่งสนพ.แล้วผ่านได้พิมพ์แล้ว รอ 3-5 ปี สัญญาหมด ค่อยเอาอีกเวอร์ชั่นมาพิมพ์
>>986 แบบเล่มมีบรรณาธิการช่วยเกลา ทำเส้นเรื่องให้ชัดเจน หรือให้เป็นที่นิยมแบบที่น่าจะขายได้ พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นสำนักพิมพ์ใหญ่มีอำนาจโน้มน้าวจิตใจคนเขียนเพราะกองบรรณาธิการที่นั่นถ้าสำนักพิมพ์ใหญ่ก็คงมีประสบการณ์กับตลาดมากพอมองออกว่าแบบไหนมันขายได้แบบไหนขายไม่ได้
แบบเว็บตามใจคนเขียน พวกตีพิมพ์ถ้าลงแล้วก็คงตกลงกันแล้ว
โอเค แต่กูมีข้อสงสัยอย่าง ที่บอกมีบก.ช่วยดูเนี่ย คือกรณีเราเป็นนข.ใหม่ ส่งต้นฉบับไปนี่ ต้นฉบับต้องเสร็จสมบูรณ์แล้วถูกม้ะ สมมุติบก.แนะให้ปรับ เราก็ต้องรื้อเขียนใหม่งี้เหรอ รึยังไง งง
อีกคำถามนึง สัญญากับสนพ.นี่ ถ้าเราลงกับเขาเรื่องนึง เราต้องลงกับเขาตลอดจนกว่าจะหมดสัญญามั้ย กูเห็นบางคนก็เปลี่ยนสนพ.ไปมาได้ ยังงี้นับไงอะ คือกูเข้าใจว่าถ้าเซ็นสัญญาอาจจะได้ผลตอบแทนมากกว่า นข.อิสระ แต่เงื่อนไขต้องออกเล่มตามกำหนด ปีละกี่เล่มว่าไป นี่กูเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ขอเพื่อนโม่งช่วยชี้แนะ
>>990 ในไทย ปกติ สัญญาเซ็นตัวนิยาย เรื่องต่อเรื่อง 3-5 ปี ไม่บังคับนักเขียน หมดแล้วจะเอาต้นฉบับไปพิมพ์ไหนก็ได้
เขียนเรื่องใหม่เป็นสัญญาใหม่ จะเอาที่เดิมที่ใหม่แล้วแต่ไม่เกี่ยวกัน
แต่ถ้าสัญญาทาสตัวนักเขียน คือเซ็นแล้วทุกอย่างในช่วงเวลานั้นเป็นของ สนพ. กี่ปีว่ากันไป อันนี้ไม่รู้เมืองไทยมีสนพ.ไหนบ้าง แค่ที่แน่ๆของจีนหลายที่เป็นแบบนี้
กูเห็นวันก่อนในทวิตเตอรื (หลายวันล่ะแหละ)
เค้ารับสมัครหัวหน้าทีมเขียนอ่ะ แบบจะทำหน้าที่เป็นคนคิดพลอต แล้วก็ดูว่าจะโยนพลอตนี้ให้นักเขียนในทีมคนไหนเขียน แล้วสุดท้ายก็จะมา final edit อีกรอบ (แบบมีสิทธิ์แก้ไขเนื้อเรื่องได้เลยไรงี้)
กูก็งงว่า ถ้าคนเป็นหัวหน้าทีมเขียนเก่งขนาดนั้นทำไมไม่เขียนเองไปเลยอ่ะ จะไปเป็นหัวหน้าทีมเขียนโยนความคิดตัวเองให้คนอื่นเพืื่อ?
>>993 เพื่อให้งานไว มีงานออกสม่ำเสมอและได้คุณภาพ คนอีดิทงานได้ดีคือคนเก่งภาษา แม่นพล็อท คุมงานได้ไม่หลุด เขาแจกงานให้นักเขียนระดับกลาง ๆ ที่ยังไม่เก่งมากแต่มีไฟ มีเวลาทำ พอเอากลับมาก็ให้คนอีดิทแก้ ๆๆ จนได้มาตรฐานงานพิมพ์ คนอีดิทบางทีก็เป็นนักเขียนอยู่แล้วนี่แหละ เพียงแต่ไม่เปิดเผยก็มี เป็นการให้เครดิตนักเขียน
KY มึง ถ้ากูเขียนให้ตลค.ชายคนนึง เรียกผญ.อายุมากกว่าตัวเอง (ปีสองปี) ด้วยชื่อไปเลย ไม่มีพี่/คุณนำหน้างี้ คนอ่านเขาจะรู้สึกขัด ๆ กันบ้างปะวะ
ky มึง มีเทคนิกเขียนฉากรัก/ฉากโรแมนติกให้มันหวานถึงอารมณ์ไรงี้ปะวะ แบบอ่านแล้วหัวใจเต้นแรง กูเขียนนิยายรักแต่มันรักไม่ถึงอารมณ์เท่าไร กูเศร้า
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.