กระทู้เพื่อพูดคุยเทคนิคการเขียน และเรื่องการประกวดต่างๆเกี่ยวกับนิยาย
กระทู้ 1 >>>/literature/2342/
กระทู้ 2 >>>/literature/3442/
Last posted
Total of 1000 posts
กระทู้เพื่อพูดคุยเทคนิคการเขียน และเรื่องการประกวดต่างๆเกี่ยวกับนิยาย
กระทู้ 1 >>>/literature/2342/
กระทู้ 2 >>>/literature/3442/
แวะมาเจิม พร้อมแถมนามสกุล https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อนามสกุลที่ใช้กันมาก
ทำไมตัวเอกแบบมีเบื้องหลัง(หรืออดีต/ชาติก่อน) เป็นสายลับ/นักฆ่า/มือปืน ฯลฯ ถึงเป็นที่นิยมจังวะ
ตอนนี้ถ้าจะลงนิยายลงที่ไหนดีระหว่างเด็กดีกับฟิคล็อค?
โม่งบนๆช่วยนิยามคำว่าเบียวให้หน่อยดิ กุจะได้เรียนรู้แล้วพยายามไม่เขียนให้เป็นแบบนั้น
>>13 อันนี้กูเห็นด้วย
หรือไม่ก็แฟนตาซีจัดๆ แบบแต่งคาร์มาแบบฟรุ้งฟริ้งอลังการมาก แบบเบื้องหลัังเป็นนักฆ่า ครอบครัวถูกฆ่า เจ็บปวดกับอดีต ไม่เชื่อใจใคร เป็นคนเย็นชา มีตาสองสีปิดไว้ข้างนึงกลัวคนรู้ความลับ ผมยาว กลายร่างได้ หน้าตาดี เป็นคนที่จะหมุนกงล้อแห่งโชคชะตาของอาณาจักรโมงเนีย เป็นคนที่รอคอยมาพันปี เทพมาก ทุกอย่างเก่ง สะท้านฟ้าทุกย่างก้าว ตัวเอกหญิงทุกคนรัก ความจริงแล้วต้องมีความลับอันดำมืดอยู่ในชาติกำเนิดของมึง แบบอาจจะเป็นลูกของมหาปีศาจ หรือมหาเทพ หรือทั้งสองมหา แค่มึงยืนอยู่ก็ทำให้โลกสะท้านได้แล้วอ่ะ
เบียว ย่อมาจาก จูนิเบียว "Chuunibyou" เป็นภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า "โรค ม.2"
ถึงจะเขียนว่าเป็นโรค แต่ที่จริงไม่ใช่โรคหรอก แต่มันเป็นอาการของเด็กที่ช่วงวัยต่อต้าน ซึ่งคนพวกนี้จะเป็นพวกที่ชอบคิดว่าตัวเองเจ๋ง ทำอะไรนอกกระแสไม่เหมือนใคร หรือเรียกง่ายๆว่าแม่งอินดี้ แต่จริงๆ คนพวกนี้ไม่ได้ชอบอะไรแบบนั้นนั้นจริง ๆ อะ แค่ทำแล้วรู้สึกว่ามัน "เท่" ก็เท่านั้น
นอกจากนั้นยังมีพวกที่หลงไหลในพลังพิเศษอีกด้วย ซึ่งกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า "พวกหลอน" และ จะหลอนยิ่งกว่าเดิมถ้าหากมันคิดว่าตัวเองมีพลังพิเศษและโดดเด่นกว่าชาวบ้าน
ส่วนนิยายเบียวนั้นเป็นศัพท์ที่ห้องสับ Webnovel ใช้กันบ่อย เพราะนิยายเว็ปเด็กดีมันเข้าข่ายทั้งนั้น ปัจจุบันยังไม่มีการนิยามชัดเจน แต่ส่วนใหญ่เอาไว้ใช้เรียกนิยายจำพวกที่พวกพระเอกเก่งเวอร์ มีพลังพิเศษ พลังเทพไม่เหมือนชาวบ้าน ซึ่งพวกนี้มักจะเข้าข่าย Mary sue กันทั้งนั้น บางเรื่องก็วางปมซะน่ารันทดแต่การดำเนินเรื่องกลับไม่เป็นตามปมที่วางเอาไว้ มันเลยเหมือนกับพวก Wanna be ที่อยากจะประกาศว่า กุเป็นแบบนี้นะ แต่ที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอะไรทำนองนั้น
...ผู้เขียนเองส่วนใหญ่ก็เป็นเด็ก
>>17 สัดกดผิดไปโพสต์ซะงั้น เอาเถอะ!
ผู้เขียนนิยายแนวเบียวๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเด็ก และผู้อ่านก็มักจะเป็นเด็ก สังเกตได้เลยจากคอมเม้นท์พวกทำนองว่า สะใจเวลาเห็นตัวร้ายโดนพระเอกยำ และมักจะเกลียดเวลาที่พระเอกแพ้ ต่อให้เขียนเรื่องสมเหตุสมผลว่าทำไมพระเอกถึงอ่อน พระเอกถึงแพ้ คนอ่านพวกนี้ก็ไม่คิดจะอ่านและย้อนกลับมาด่าคนเขียนได้ตลาดเวลา
ที่จริง เบียวก็ไม่ได้แย่หรอกถ้ามันสมวัย แต่โตมาถ้าไอ้พวกนี้รู้ตัวมันแค่จะอับอาย กลายเป็นหลุมดำ ปวศ มืดในชีวิตตัวเอง อายโว้ยยยน่ะ 5555 แต่โตไปแก่ชอบหายยังทำตัวเบียวเนี่ยสิ น่าเป็นห่วงกว่าที่ยังไม่โตอีกเหรอ
นิยายเบียวบาวทีก็ไม่แย่นะ เขียนดีๆ เยียวให้สุดออกมาเหี้ย เท่ทะลุความเบียวว่ะ ก็สนุกดีนะ 555
กุนี่บึ้มไอดีเด็กดีเก่าตัวเองทิ้งแล้วสมัครใหม่ แม่ง เล่มมาตั้งแต่ป5 อาย 55555
กูลองสมัครแปลนิยายวายของ Rose ไป ไม่รู้เขียนได้ดีขนาดไหน ไม่เคยลองแปลมาก่อน แม่งจะคัดโหดป่ะว้า
>>20 เหี้ย เหมือนกูเลย นิยายสมัยม.ต้นกูแม่ง โคตรแห่งความเบียว กูเลิกแต่งไป 6 ปี พอเรียนจบ กลับมาอ่านอีกที กูลบแม่งให้หมดเลย 55555
ลืมไปว่าแวะมาแจกไอเดียนิยายแนวแฟนตาซี ธีมยุโรปยุคกลาง กูบังเอิญไปเจอดนตรีแนว Neo-Medieval ของวง FAUN เข้า แต่ละเพลงฟังแล้วได้ไอเดียโคตรๆถึงจะไม่เข้าใจภาษาเยอรมันก็ตาม ดนตรีพื้นเมืองของ Celtic กับฝรั่งเศสพื้นเมืองนี่ก็เสริมสร้างไอเดียได้มากๆเหมือนกัน ลองไปฟังกันดู
https://www.youtube.com/watch?v=beXW5s3ZCB4
มึง เคยอ่านเรื่องแนวแบบxxxมั้ย
กูไปอ่านแบบในสายตานักเขียนดู ต่างจากสายตาโม่งหื่น
แม่งมันแต่งดีว่ะมึง อ่านแล้วไม่สะดุด
กุแต่งธรรมดายังมีอ่านละสะดุด
ทำไงดี กูหยุดอีดิตงานตัวเองไม่ได้อ่ะ คือไม่ทำตอนเขียนอยู่นี่ทำได้อยู่หรอก แต่พอเขียนเสร็จ จะมารีไรท์มาอีดิตอีกทีนี่ คือเครียดเลย กลัวนั่นนี่ไปหมด กลัวคำซ้ำ กลัวเขียนวกวน กลัวคนอ่านนึกภาพไม่ออก กลัวไม่ถึงพันคำ และอื่นๆอีกมากมาย ปวดหัวว่ะ
มึงผู้ชายพูดฉันกับนายมันไม่แมนเหรอวะคือกูเอาคาแรคเตอร์มาจากเพื่อนสมัยกูไปแลกเปลี่ยนมาแต่งซึ่งมันเป็นฝรั่ง นิยายกูก็แต่งเป็นวัยรุ่นฝรั่งไม่ใช่วัยรุ่นไทยจะให้มาพูดกูมึง กูก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เพื่อนกูไม่ได้ถ่อยขนาดนั้น จะให้พูดผมพอกูคิดถึงหนังหน้าเพื่อนกูกับอารมณ์ตอนมันพูดก็ไม่ใช่อีก มันไม่ได้เรียบร้อยขนาดนั้น เวลากูคุยกับมันก็มีแค่ I you กับเรียกชื่อแค่นั้น พอต้องมาใช้สรรพนามไทยกูแม่งไปไม่เป็นวะ
บางทีกูก็อยากจะใช้สรรพนาม "กัน" - "แก" บ้างนะ แต่คนอ่านคงไม่ชิน 5555
ผู้ชาย พูดฉันกับนายได้
คือเอาจริงผู้ชายแม่งยากเว่ย คือ ในชีวิตจริงมึงกูดูเรียลสุด
แต่ถ้าไม่อยากใช้ มันก็ลดลงมาเป็น ฉันกับนาย ไม่ก็ คุณกับผม ซึ่งดูเป็นกันเอง และทางการ (แบบไม่ค่อยมีสิ่งที่เป็นตรงกลางของสองอันนี้เท่าไหร่) ฉันกับนายก็ดูทางการได้ในบางบริบท
ส่วนเอ็งกับข้า ขอเหอะ...แม่งงงเห็นแล้วหงุดหงิดมากกก กูเห็นล่าสุดในหยูหยู แบบโอ้ยยย สะดุดทุกที
กันแก กูว่ามีเสน่ห์ดี ขึ้นกับเนื้อเรื่องด้วย ถ้าเนื้อเรื่องได้ก็ได้ คนอ่านจะชินรึเปล่า เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของคนเขียนด้วย เคยเห็นแก้วเก้าใช้นะ
38เอง >>43 ปกติกูก็ใช้แค่นั้นแหละ ไม่รู้ว่าจะต้องแต่งให้ตัวละครมันเถื่อน หยาบไปทำไม สงสัยคนที่กูให้อ่านมันชอบนิยายวัยรุ่นแนวม.ปลายกับมหาลัยที่ชอบพูดกันทีปล่อยสัตว์กระจายด้วยละมั้งเลยบอกว่ามันซอฟท์ไป (กู มึง นี่กูใช้แค่ในโม่งนี่แหละ คนจะได้ไม่นึกว่าเป็นกูดี)
>>44 กูชินนะเพราะกูเคยอ่านเชอร์ล็อค โฮล์มส์ กับพวกเล็บครุฑมาก่อน ถ้ามึงแต่งแนวยุคเก่าหน่อยกูว่าคนอ่านรับได้แหละ แต่ถ้าแต่งแนวยุคปัจจุบันกูคิดภาพคนพูดแบบนั้นไม่ออกเลยวะ
พูดแบบเป็นกลางนะ สังคมนักเรียนชายม. ปลาย - มหาลัย มึงกูนี่เป็นสิ่งที่ใช้เป็นปกติมากๆๆๆๆๆๆๆๆ 99.99% อ่ะ คือ ฉัน นาย ไม่มีใครใช้อ่ะ เพื่อนผู้ชายรอบตัวเราแทบไม่มีใครใช้ ขนาดสาวประเภทสองก็มึงกูอ่ะ
กูว่ามันแล้วแต่อะ คือถ้าเขียนให้มันอิงความจริงไปเลยก็กูมึง แต่โม่งที่จะเขียนบอกว่าเป็นตัวละครเป็นวัยรุ่นฝรั่งนี่ งั้นก็ใช้สำนวนแบบนิยายแปลไปเลย นิยายแปลกูเห็นเค้าก็ใช้ ฉัน-นาย เยอะแยะ อ่านแล้วไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรด้วย
เออว่ะ เวลาดูหนังฝรั่ง ซับใช้ฉันกับนายก็ไม่รู้สึกอะไรนะ อารมณ์คงเหมือนนิยายแปลนั่นแหละ ต่อให้พูดกูมึงแต่นิสัยไม่แมนก็ไม่ช่วยหรอก 555
เพิ่มเติม กูกำลังอ่านนิยายแปลที่ตัวเอกเป็นผู้ชายวัยรุ่นฝรั่ง มันก็มีพูดคำหยาบใส่กัน จังไรแบบถอดกางเกงโชว์กระปู๋โชว์ก้นกันไรงี้ แต่คนแปลเค้าก็ใช้ ฉัน-นาย นะ กูเองก็ไม่รู้สึกแปลก
เพราะงั้นโม่งคนเขียนอยากใช้ยังไงก็แล้วแต่ว่าอยากได้ฟีลเรื่องประมาณไหนอะนะ
ถ้าในโลกความจริง ปกติไทยจะพูด มึง กู เพราะเป็นคำที่พวกเราคุ้นเคยที่สุด แต่ในสื่อทั้งหลายน่ะ มึง กู มันเป็นคำไม่สุภาพไงเขาเลยต้องเปลี่ยนเป็น ฉัน นาย ผม คุณ อะไรทำนองนี้
ถ้าถามว่าใช้ มึง - กู ได้มั้ย? ก็ใช้ได้แหละ แต่ว่ามันจะส่อกริยาและวิสัยของตัวละครชัดเลยว่าเป็นคนถ่อย ยกตัวอย่างนิยายฝรั่งที่กุเคยอ่าน พระเอกเป็นคนแบบว่า... เออ... ไม่เชิงเหี้ย แต่ถ่อยไม่มีมารยาทอะ คนแปลเลยใช้ให้พระเอกพูด มึง - กู ตลอดเลย กุก็รู้สึกอินนะ แต่ถ้าเป็นตัวละครธรรมดา แต่กลับใช้ มึง - กู กันนี่ กุอ่านไปก็รู้สึกขัดๆ อะ
เพิ่มเติม... ในของฝั่งญี่ปุ่นจะมีตัวละครหญิงที่ชอบเรียกตัวเองว่า Boku (แปลว่า ผม) พอเอามาแปลแล้วกลายเป็น "เรา" นี่ขอบอกว่ากุแทบละลายเลย รู้สึกน่ารักมากกกกก
ไม่ใช่ว่ากูเรียกร้องอะไรนะแต่บางทีก็อยากให้มีคนมาเม้นงานกูบ้างอ่ะ แบบอยากรู้ว่าเขียนเป็นไงอะไรยังไงบ้าง จะให้เพื่อนอ่านบางทีก็อยู่คนละด้อม อ่านคนละแนวบ้างเลยเกรงใจ ไม่กล้าให้อ่านบ่อยๆ
รบกวนหน่อย
กูอยากใช้ภาษาละตินเป็นเบส ชื่อคนกะสถานที่อยากเป็นละตินให้หมด ละแบบทุกคำมีความหมายไม่มั่วด้วย มีเว็ปไหนช่วยได้บ้าง
นอกเรื่องนิด กูเคยคิดนะว่าอยากเรียนสันสกฤติละตินกะกรีก กูรู้สึกว่าภาษามันสวย มีความหมายล้ำลึก แต่ท่าจะเรียนยากน่าดู
เพื่อนผู้ชายกูคนนึงใช้ เรา เว้ย แม่งไม่เกย์ด้วยสัส หน้าแม่งตี๋ๆขาวๆหล่อยังกะคุณชาย ตัวแม่งก็ล่ำ แต่พออยู่กะพวกกูเป็นลูกหมาให้แกล้งเลยสัส มันไม่สู้คน กูว่าผู้ชายที่ใช้ เรา ในสังคมม.ปลาย ก็คงเป็นแบบมันนี่ล่ะ กูว่าก็ใช้ได้อยู่ ถ้าจะเขียนตัวละครประเภทนี้
ฉัน นาย นี่แทบไม่เคยได้ยิน ฉัน นี่กูได้ยินจากเด็กผู้หญิงไม่ค่อยเต็มบาทคนนึงใช้ นอกนั้นไม่เคยได้ยินจากปากใคร นาย นี่กูกับคนอื่นๆใช้บางครั้งเวลาเรียกเด็กผู้ชายห้องอื่นที่ไม่สนิท แต่พอรู้ชื่อแล้วก็มึงกูอย่างเดียว เอ็ง ข้า นี่พอมีบ้าง ใช้ในสังคมเด็กห้อง 7 8 9 10 รึท้ายกว่านั้น คนที่ใช้ส่วนมากจะเป็นเด็กแก๊งค์ เด็กแว๊น อันธพาล เสือผู้หญิง ในห้องเหล่านั้น ใช้เรียกเด็กห้องอื่นที่ไม่สนิทเพื่อให้ดูสุภาพ แบบเถื่อนๆขึ้น
ผู้ชายเรียกผู้หญิง ถ้าไม่ใช้ชื่อ ส่วนมากจะใช้เธอ ในกรณีที่ไม่สนิท ถ้าสนิทบางทีก็ใช้มึง กู ผู้หญิงเวลาใช้สรรพนามแทนตัวเองนี่มีแค่ เรา เค้า กู อย่างเดียว มีอีกประมาณ 5% ใช้ชื่อตัวเองเป็นสรรพนาม ส่วนฉันนี่ อย่างที่บอกไป มีแต่คนไม่เต็มบาท ไม่ก็เด็กเนิร์ดชอบฟ้องครูเสียงแหลมๆหน้าปุๆใช้
หนู ผม มีบ้างในกรณีคุยกับครู หายากหน่อยก็กับรุ่นพี่ ผม นี่บ้างครั้งก็ใช้กับเด็กต่างโรงเรียนที่เพิ่งเจอกันบางครั้งด้วยเหมือนกัน ส่วนดิฉัน ถ้าไม่ใช้ในงานพรีเซ้นรึอะไรนี่ๆไม่มีแน่นอน ตัวละครแนวคุณหนูที่ใช้สรรพนามนี้บอกเลยแม่งกาก
กูอ่านแล้วหงุดหงิดทุกครั้งเวลาเจอนิยายแนวเลิฟคอมรั้วโรงเรียนเซ็ตติ้งประเทศไทย แต่ใช้สรรพนามแปลกๆ เอาจริงๆเมืองนอกที่ใช้ๆ I กันนี่กูก็รู้สึกว่าเป็นคำว่า เรา มากกว่าฉันว่ะจากประสบการณ์กูนะ
กูลืมไป มันใช้ ชั้น กันด้วยแต่เป็นประเภท occasion สำหรับพวกซึนๆส่วนมากมันจะใช้กัน คนธรรมดานานๆทีก็ใช้เหมือนกัน แต่ปกติใช้โดยผู้หญิงเรียกผู้หญิง มีใช้คะยกับเพื่อนผู้ชายด้วยบางครั้ง
กูสรุปสัดส่วนออกมาคร่าวๆ มึง-กู 40% เรา-เค้า 30% ชั้น 20% 5% ใช้ ข้า-เอ็ง อีก 3% ใช้ชื่อตัวเอง 1.5% ใช้พวก ผม คุณ และ 0.5% ใช้ ฉัน
มันน่าจะแล้วแต่สังคมด้วยเปล่า
น้องเราอยู่โยธิน มึง กู ตลอด (ญ)
เราอยู่มหิดลวิทย์ จะใช้ เรา/ช่ื่อเล่น เธอ นาย แก (ถ้าสนิท)
อันนี้เป็น ญ-ญ ญ-ช ช-ญ นะ ผู้ชายเรียกกันเองลับตาผู้หญิงไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าต่อหน้าเรามี กูมึงบ้าง แต่ไม่มาก ต้องสนิทมากจริง ๆ (พวกกลุ่มที่เล่นเกมด้วยกัน ยืม ckid อ่านทุกสัปดาห์อะนะ - กูก็ร่วมวงยืมด้วย) ที่เหลือเป็น เรา-แกมากกว่า
พูดถึงสรรพนาม กูใช้ปนๆกันไปว่ะ กูมึงบ้าง เองเค้าบ้าง(มาจากตัวเองแต่ดูแมนๆกว่า ใช้กับผช.ซะส่วนใหญ่) เตงเค้า(ใช้เวลาคุยกับเพื่อนผญ.น่ารักๆ) แกกับชั้นก็มี ล่าสุดมีเพื่อนผช.เรียกกูว่าเธอ รู้สึกนุ่มนิ่มสัสๆไม่เคยโดนเรียกแบบนี้ปกติเรียกแต่ชื่อกูกันทั้งนั้น
ถามเพื่อนโม่งหน่อย คำว่า"แถม" นี้ฟังโบราณมั้ย แบบของ"แถม" งี้ ธีมนิยายกุเป็นแฟนตาซียุคกลาง ถ้าไม่ใช้คำว่า"แถม" มันมีคำแทนมั้ยอ่ะ
เราจะรู้หรือค้นได้ยังไว่าศัพท์นี้มันเป็นคำยุคเก่ายุคใหม่ เริ่มใช้เมื่อไหร่? อย่างเพื่อนโม่งข้างบนบอกว่า สิทธิ์เป็นคำใหม่ นี่กูก็เพิ่งรู้
ถ้าเป็นคำอังกฤษยังพอค้นประวัติที่มายุคสมัยได้ แต่ของไทยสืบค้นยากชะมัด
อีกอย่าง สมมุติเซ็ตติ้งยุโรปยุคกลางหรือยุควิคตอเรีย ถ้าไม่ใช้คำทักทายว่า สวัสดี (เพราะคำนี้เพิ่งยุคจอมพลป.) จะใช้คำไหนแทน?
กูว่ามันยากนะ กับการที่รู้ว่าคำไหนโบราณใช้ได้รึเปล่า อย่างสิทธิงี้ กูว่ามันก็ไม่ได้ดูใหม่นะ มันมาจากบาลีสันสกฤตป่ะ
คือยังไง มันจะแปลกนะ ถ้ามึงมีเซตติ้งสมัยวิกตอเรียแล้วต้องใช้คำพูดภาษาไทยที่ใช้ในสมัยนั้น งี้ถ้ากูเขียนยุคกลางนี่จะต้องใช้คำพูดแบบไหนอ่ะ มันเก่ากว่าสุโขทัย อยุธยาอีกนะ ถ้ามึงจะยึดตามไทม์ไลน์ของภาษาไทยไม่ต้องใช้คำไทยแท้ทั้งหมด แล้วพูดกูมึงเหรอ คำว่าฉันก็ไม่มีป่ะะะ
ยิ่งถ้าเทียบกับประวัติศาสตร์จีนก็ยิ่งไปกันใหญ่
"เมื่อชั่วเอดดาร์ด สตาร์ก แดนเหนือนี้ดี" งี้เหรออ (ไม่ได้ลบหลู่ใครหรืออะไรทั้งสิ้น ยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้นสำหรับประโยคนี้ ถ้าไปบังเอิญตรงกับประโยคจริงที่ไหน คือบังเอิญ)
กูว่านิยายมันเป็นแค่ฟีลลิ่ง การที่มึงคิดว่าคำนี้ไม่ใช้ในสมัยนั้น (ไม่นับคำใหม่จริงๆอย่างคอมพิวเตอร์ ซึ่งเอาจริงก็ไม่น่าจะไปโผล่ในนิยายย้อนยุคที่ไหน) มันเป็นเพราะว่านิยายเรื่องอื่นๆเค้าไม่ใช้กัน แค่นั้นแหละ
ถ้าเป็นภาษาอังกฤษอ่ะว่าไปอย่าง อย่างโทลคีนงี้ เค้าก็ใช้คำอังกฤษแท้เยอะ แต่ของเรามันแปลมาแล้ว มึงจะมาไล่ไทม์ไลน์มันคงไม่ได้อ่ะ
กูว่าต้องแยกให้ออกก่อนดีมั้ย ว่าปัญหาที่เจอนี่มันคือการใช้ภาษาผิดสมัยผิดวัฒนธรรม ผิดบริบท ผิดอารมณ์ หรือว่าผิดกับระดับภาษาของทั้งเรื่องกันแน่
สำหรับกู ถ้าผิดสมัยผิดวัฒนธรรมแบบเห็นชัดๆก็คือพวกที่เอาคำทักทายแบบสวัสดีค่ะ ดี อะไรงี้ไปใช้ในเรื่องแนวโบราณหลายเรื่องที่มันไม่ได้มีการทักทายแบบนั้นเลย อย่างบ้านเรายุคก่อนหน้าอันนี้ก็ไม่ได้ใช้สวัสดี ถ้าเด็กทักผู้ใหญ่ก็คือบอกว่ากราบผู้ใหญ่เลย ถ้ารุ่นอ่อนกว่าก็รับไหว้ หรือถามว่าไปไหนมา กินข้าวกินปลาหรือยัง อะไรพวกนี้ ซึ่งถ้าพวกแบบนี้มันผิด กูมองว่าปัญหาอยู่ที่คนเขียนทำการบ้านไม่พอ ไม่เข้าใจวัฒนธรรมว่ะ
ถ้าผิดบริบท ให้ยกตัวอย่างแบบชัดๆก็ยุคเดียวกับข้างบน แต่เจอผู้ใหญ่แทนที่จะใช้ว่ากราบหรือไหว้ ก็บอกว่า 'ธุ ท่านเสีย อะไรแบบนี้ ทั้งที่คนที่ถูกบอกไม่เด็กขนาดนั้นหรือไม่ก็เป็นครอบครัวที่เป็นทางการแท้ๆ อันนี้คือเข้าใจว่าวัฒนธรรมคือต้องไหว้ แต่ดันเลือกใช้คำที่เป็นทางการเหมาะกับสถานะครอบครัวและสภาพแวดล้อมไม่ได้ คือผิดบริบทในความคิดกู
ส่วนผิดอารมณ์ อันนี้อธิบายยาก แล้วแต่จริตด้วยว่าเป็นไงมาไง บางทีก็สถานการณ์เดิม แต่สำหรับกู แค่ใช้คำว่า "เข้าไปกราบท่านเสียสิลูก" "มากราบท่านเสียสิ" แต่ทีนี้ประโยคหลังให้อารมณ์แนวๆคุณหญิงท่านผู้หญิงที่นิสัยหวานๆพูด กูก็จึ้กๆล่ะ เพราะรู้สึกว่าทำไมคนนิสัยหวานๆพูดห้วนจัง ผิดกับอารมณ์ที่พยายามบรรยายมาจัง อะไรแบบนี้
สุดท้ายคือผิดระดับภาษาของตลอดเรื่อง อันนี้น่าจะปัญหาที่เจอกันบ่อย คือบางช่วงใช้คำเป็นแนวๆโบราณ ใช้ข้าใช้เจ้าใช้ท่าน พูดเจ้าคะ ขอรับ แต่เวลาบรรยายดันบอกว่า "เรือนร่างอรชรของหญิงสาวโสภาร่วงหล่นพรวด จนร้องว๊าย" อะไรแบบนี้จะเห็นว่ามันไม่ได้ใช้คำใหม่ แต่มันใช้คำแบบกระโดดกับระดับคำอื่นในประโยคเดียวกันมากมาย ซึ่งเอาจริงๆมันคงไม่ได้กระโดดแบบเห็นชัดในประโยคหรอก แต่เห็นหลายๆเรื่องแล้วว่าทั้งเรื่องมันคุมให้อยู่ระดับเดียวกันตลอดไม่ได้ไง (ซึ่งถามส่วนตัวกูว่าจำเป็นต้องระดับเดียวกันหมดมั้ย ก็ไม่ แต่ช่วยให้มันเนียนๆอย่ากระโดดมากเหอะ)
เอาล่ะ สรุปสำหรับกู กูมองว่านี่ไม่ใช่ปัญหาแค่ว่ามีคำไทยแท้ไม่แท้ หรือสมัยนั้นมีคำนั้นมั้ย มันคือปัญหาความเข้าใจ และปัญหาในเรื่องการเขียนที่คนเขียนต้องพยายามเขียนดึงอารมณ์คนอ่านให้ไม่สะดุดให้ได้ แต่คนที่ทำแบบนั้นได้ก็คือคนที่เข้าใจระดับคำ สเกล+อารมณ์เรื่องตัวเอง อะไรแบบนี้ดีอยู่นั่นแหละ
อีกนิดหนึ่งจากข้างบน
อย่าง >>65 ถามเนี่ย กูมองว่าคำว่าสิทธิ์เนี่ย มันเพิ่งมีมาเพราะคนตื่นตััวสมัยไหนไง เหมือนที่คำว่าลิขสิทธิ์ก็เพิ่งมาสำคัญเอายุคหลังๆนี่เอง ถ้าเป็นสมัยสุโขทัย ที่การเมืองยังไม่สมตติเทพเท่าอยุธยา แต่ในไทยก็ยังให้ความสำคัญกับผู้ใหญ่ตัดสินใจมากกว่า มันก็ไม่น่ามีการตื่นตัวเรื่องสิทธิ์ ส่วนสมัยอยุธยาอะไรแบบนี้มันเป็นสมมติเทพฯ ซึ่งคำว่าสิทธิ์ควรจะมีอย่างสิทธิ์ในการสืบบัลลังก์อะไรงี้ใช่มะ แต่ลองคิดดูว่าพอใช้คำงี้มันไม่ศักดิ์สิทธิ์เอาซะเลย ส่วนมากเขาก็จะใช้คำว่าความชอบธรรม หรืออะไรอื่นๆที่ดูศักดิ์สิทธิ์กว่าจะได้ขลังๆ และจะได้ชักนำคนมากกว่าอะไรแบบนี้ ก็เท่ากับว่าคำแต่ละคำมันมีความสำคัญในสมัยไหนยังไง มันถึงได้ปรากฎตัวราวๆนั้นแหละ
แต่พวกนี้ก็เป็นความคิดส่วนตัวกูนะ คนอื่นอาจมีความเข้าใจ หรือเทคนิคอะไรแบบอื่นก็ได้
กู 66
อ่านแล้วไม่สะดุดเป็นพอสำหรับกู กูว่าไม่ต้องไปถึงขนาดหาทีละคำๆว่ามันอีคำนี้มันเกิดตอนไหน (เพราะมึงหาไม่เจอหรอก) ทางแก้คือ มึงไปหาหนังสือที่สำนวนดีๆมาอ่านดีกว่า เอาสำนวนพวกนั้นฝังเข้าไปในหัวมึง ทับถมๆไปเดี๋ยวมันก็ได้ไปเองอ่ะ ไม่งั้นหาทีละคำๆเมื่อไหร่มึงจะเขียนเสร็จคะ
มึงนี่ธีมโบราณนะ น้องพูดกับพี่ ใช้แทนตัวเองประมาณไหน สมมุติประโยค "คารวะท่านพี่สิบเอ็ด 'ข้า'ว่าจะไปเยี่ยมท่านพี่ที่ตำหนักพอดี"
อีกคำว่าข้ามันก็ดูทะแม่งๆ สำหรับกู ช่วยชี้แนะด้วย
กู >>75 นะ มาเพิ่มให้อีกว่า ถ้าเอาจริงๆจะบอกไม่แปลกได้มั้ย ก็ได้อยู่ถ้าใช้กับสนิทๆกัน อย่างที่เห็นนี่ไปเยี่ยมตำหนักนี่ก็น่าจะสนิทกันใช่มะ ? เออ ถ้าสนิทแล้วมาแทนตัวว่าเปิ่นกงหรือไรงี้คงแปลกๆแทนแหละ แต่มันก็จะตงิดใจอีกที่สนิทกันแล้วเจอหน้ากันยังคารวะกันอย่างเป็นทางการซะขนาดนั้น ตกลงจะสนิทกันหรือไม่สนิทกันแน่
คือกูอาจคิดมากไปก็ได้ แต่กูเขียนงานโดยมีความเชื่อว่าคนเขียนเป็นคนที่บอกลักษณะตัวละคร ฉากหลัง ทุกสิ่งอย่างในเรื่องผ่านคำเล็กคำน้อยพวกนี้แหละ มันเป็นคีย์เวิร์ดให้คนอ่าน บางคนไม่คิดไม่รู้สึก แต่คนที่คิดที่รู้สึกก็น่าจะมี แล้วคนเขียนจะเขียนให้เขาอิน ให้เขารู้สึกได้มั้ย มันก็ขึ้นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้นะ
>>80 จริงมึง ภาษาไทยมันไม่ได้มีแบ่งยิบย่อยขนาดของจีนพรรค์นั้นอะ ข้าคือสรรพนามที่โอเคที่สุดแล้วในพวกนิยายย้อนยุค เออ แต่ถ้ามี มันก็แบบไท้ไทย (อย่างในเรื่องบุพเพสันนิวาสงี้) ซึ่งเอาไปใส่ในนิยายจีนไม่ได้แน่ๆ แต่ถ้าจะใช้พวกเปิ่นกง นูปี้ เจิ้น บลาๆๆ คนเขียนต้องอธิบายและทำความเข้าใจกับคนอ่านไว้ก่อนอะ เดี๋ยวงง
>>77 ที่กลับมาตอบนะ เออ ส่วนมากสมัยก่อนเจอหน้าก็คารวะแทนสวัสดีจริงๆนั่นแหละ ไม่ผิดๆ
ส่วนเรื่องความสงสัยว่าสนิทกันขนาดไปหาที่ตำหนักโดยไม่ต้องส่งคนไปบอกก่อน แล้วเจอหน้ายังทักทายแบบนี้อะไรนี่กูอาจจะคิดมากไป นี่ไม่ใช่ประโยคเต็มหรืออ่านมาทั้งเรื่องด้วย
เรื่องคำแทนตัวก็อย่างว่ามา สำหรับบริบทอันนี้ที่คุยกันคงเหมาะที่สุดแล้ว
ขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนความเห็นกันนะ
กุคนถามเอง กุแค่สมมุติขึ้นมาไม่ได้คิดเรื่องก่อนหน้า แค่จะถามว่ารุ่สึกแปลกไหม เอง โน้มรับที่ดม่งแนะนำทุกคน เดี๋ยวไปลองให้หมด แล้วจะโผล่มาใหม่
น้อมรับ เชี่ยพิมพ์ผิดอีกละ
กุเพิ่งค้นพบว่าตัวเองใช้คำว่าอนุญาตผิดมานาน ใช้เป็นอนุญาติมานาน ความหมายเปลี่ยนไปเลย
สังเกตกูก็ใช้ผิด เป็นสังเกตุมาตลอด
ภาษาไทยซับซ้อนกว่าที่คิด555
กูใช้วิจารณ์ เป็นวิจารย์มาตลอดเหมือนกัน โชคดีที่ไม่ค่อยได้เขียนคำนี้ในนิยายนัก
ริอาจ ❌
ริอ่าน ✔
มึงทำไมนิยายไทยที่ใช้ตัวละครตะวันตกชอบตั้งชื่อตัวละครเป็นเซตวะ คือปกติกูก็แต่งนิยายอยู่บ้างนะมึงเลยพอจะรู้จักคนที่แต่งนิยายคนอื่นๆเหมือนกัน แล้วมันมีเด็ก(ซึ่งไม่เด็กหรอกแค่อ่อนกว่ากู)เอานิยายมาให้กูอ่านแล้วบอกให้วิจารณ์หน่อย กูก็วิจารณ์ไปตามเรื่องตามราวแล้วกูก็แค่เปรยๆไปว่าชื่อตัวละครแต่ละครอบครัวมันคล้ายๆกันหมดเลยเนอะ (สมมุตินะถ้าพ่อชื่อแองเจลโล่ ลูกก็ชื่อแองเจลา กับแองเจลิก้า แองเจรีส ทำนองนั้น)นางก็ขึ้นหน่อยๆแล้วบอกว่าก็มันครอบครัวเดียวกัน... คือกูอยากจะบอกนางอะว่าฝรั่งจริงๆเขาไม่ได้ชื่อคล้ายพ่อแม่ขนาดนั้น แต่นางก็ไม่ฟังกูละ
>>94 ชื่อคล้ายมันก็มีไงมึงบางคนเขาก็เอาชื่อพ่อแม่มาผสมกันบางคนเขาก็ตั้งชื่อลูกให้คล้ายกับพ่อแม่แต่ที่กูเห็นแต่งมาคือแม่งมีลูกห้าคนก็ชื่อคล้ายกันหมด ทุกครอบครัวต้องมีธีมชื่ออะมึงซึ่งมันไม่ใช่ไง ฝรั่งส่วนมากที่กูเห็นว่าชื่อคล้ายพ่อแม่จะเป็นลูกคนแรกวะ ส่วนคนหลังๆเหมือนไม่เห่อเท่าไหร่ละเลยตั้งชื่อแบบอื่นไป
>>92 ในฐานะกุคนเขียนแนวที่มึงว่า...
กุขี้เกียจคิด โอเค๊!? โดยเฉพาะตัวประกอบงี้ บทออกมาแค่นิดเดียวกุยิ่งขี้เกียจคิดชื่อเลย ถ้าไม่ใช่ตัวหลักสำหรับดำเนินเรื่องนี้กุเองก็ตั้งส่งๆ เหมือนกัน เผลอๆ ใช้เว็ป name generator ตั้งให้เลยซะด้วยซ้ำ
การตั้งชื่อมันไม่ใช่ว่าจะหาแค่ชื่อเก๋ๆ นะ มึงต้องมานั่งหาความหมาย ซึ่งส่วนใหญ่ควรจะตรงกับลักษณะและนิสัยของตัวละคร ก่อนที่จะไปหามาเป็นชื่อตั้ง ซึ่งถ้าให้กุตั้งแบบประณีตกับตัวประกอบทุกตัวล่ะก็ กุตาย!!
>>100 ทำไมชื่อต้องเข้ากับนิสัยวะมึงอันนี้กูไม่ได้กวนนะ คือถ้ามองว่านิยายคือโลกใบหนึ่งคนตั้งชื่อตัวละครมันก็พ่อแม่ ไม่ก็คนเลี้ยงตัวละครปะ มันไม่ได้รู้สักหน่อยว่าโตมาตัวละครโตมาจะนิสัยยังไง อย่างเพื่อนกูแม่งชื่อโคตรสาวความหมายคือหญิงงามเรียบร้อย อินี่ยังเป็นทอมมีเมียตีกับผู้ชายอยู่เลย
>>101 แต่นิยายส่วนมากก็ประมาณนี้จะ มันทำให้คนจำคาร์ตลคได้ง่ายขึ้นไง
อย่างพระเอกต่ำต้อยชอบมีชื่อประมาณดิน ปฐพี
หรือดาว เดือน จะเป็นพี่น้องที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้ากันงี้ (ข่มแสงกัน)
คือถ้าชื่อมีความหมายก็ต้องตรงกับลักษณะซักอย่างของตลค. ไม่งั้นก็ต้องนิสัยตรงข้ามชื่อไปเลยก็มี
>>101 อันนี้กุใช้คำผิดเองที่ไปเขียนว่า "นิสัย (Personal)" ต้องบอกว่ามันคือ "คุณลักษณะ (Alignment)" สิ
ที่จริงแล้วไอ้การตั้งชื่อมันสำคัญก็แค่ความหมายนั่นล่ะ
แต่กรณีของกุนี่ติดมาจากสมัยเล่น Boardgame ไง เวลากุสร้างตัวละครมา 1 ตัว กุจะกำหนด Alignment ก่อนเลยว่าจะให้เป็นแนวไหน Good , Neutral , Evil เป็นพวก Lawful , Neutral , Chaotic เสมอ ซึ่งกุก็จะพยายามตั้งชื่อให้ตรงกับ Alignment ของตัวละครตลอด ต้องมานั่งหาความหมาย หาชื่อที่เข้าท่า ซึ่งกว่าจะได้ซักตัวนี่กุแทบจะหัวระเบิด
กูเลือกชื่ออะไรก็ได้ที่กูชอบ แบบจิ้มๆตามเว็บชื่อเก๋ๆอ่ะ พิมพ์ง่ายไม่ต้องกดชิพ แค่นี้กูพอใจแระ
นักเขียนบางคน กูเคยเจอ แม่งจงใจตั้งชื่อยาวๆเว่อๆ อารมแบบ พิศยมลธาราทอง อะไรประมาณนี้เพราะคิดว่าไฮโซและโกงจำนวนอักขระเวลาพิมพ์
>>101 อันนี้ถ้าตามที่กูเรียนพวกวิแคะวรรณกรรมมา บางทีมันเป็นคลูหรือเป็นสารจากคนเขียนบอกใบ้ถึงลักษณะนิสัย ชะตากรรม ที่มา หรือกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ ของตัวละครน่ะนะ ในไทยก็มีให้เจอบ้างในนักเขียนรุ่นเก่า ส่วนทางฝั่งฝรั่ง กูไม่รู้ว่าแฮร์รี่นี่นับได้ไหม อย่างนามสกุลของรอน วิสลีย์มันก็มาจากตัววีเซิลมะ แล้วตัววีเซิลขนมันก็สีแดงกับผมของคนในบ้านนี้อะ (เคยอ่านเจอมา) อย่างซีบิล ทรีลอว์นีย์ อาจารย์สอนพยากรณ์ ชื่อซีบิลคือชื่อนักพยากรณ์ในวิหารของเทพอพอลโล ซึ่งก็สอดคล้องกับวิชาที่ซีบิลสอนในเรื่อง
นี่ตั้งชื่อจากความหมายที่ชอบแล้วลองเรียกตัวละตครด้วยชื่อนั้นดูว่ามันเหมาะไหม ถ้าเหมาะก็ผ่าน ถ้าไม่เหมาะก็หาต่อไป
>>107 ตรงชื่อรีมัสก็ด้วย รีมัสเป็นชื่อหนึ่งในฝาแฝดผู้ก่อตั้งกรุงโรม ซึ่งแฝดคู่นี้ได้รับการเลี้ยงดูมาจากนางหมาป่า ความจริงคือมีเยอะอะ ของพวกนักเขียนตปท.อะนะ แต่ของไทย อืม อย่างเรื่องจันดารานี่นับไหมอะ พระเอกชื่อจัน มาจากจัญไร เพราะพ่อเลี้ยงตั้งให้จากความเกลียดชังส่วนตัวที่เป็นเด็กที่เกิดจากการที่แม่ถูกข่มขืน หรืออย่างชื่อนางเอกเรื่องคุณชายธราธร ที่นางเอกชื่อระวีรำไพ ก็เพราะพ่อชื่ออาทิตยรังสี วึ่งมันเหมือนเป็นกิมมิคเล็กๆ ที่ผู้เขียนใส่ไว้ไหมวะ ว่าเจ้าสมัยก่อนนิยมตั้งชื่อลูกเป็นเซ็ตๆ ไม่ให้ต่างจากพ่อแม่นัก โดยรวม ชื่อตัวละครสำหรับนักเขียนหลายคน มันอาจจะทั้งแฝงความนัยหรือไม่แฝงก็ได้อะ บางคนก็เลือกเอาตามสบายใจ แต่บางคนเขาก็คิดลึกกว่านั้น ประมาณนี้แหละ
ชื่อตัวละครกุนอกจากตัวเอก กุจะตั้งแต่หาความหมายตรงกับปมในเรื่อง(ไม่คิดว่าคนอ่านจะหาความหมาย) แล้วตัวรองสุ่มแม่งหมด555
กูตั้งโดยคิดว่าตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่ตัวละครนั้น หรือเป็นคนที่ตั้งชื่อให้จริงๆเลยอ่ะ จะตั้งว่าไงว่ะ อย่างถ้าพื้นหลังตัวละครเป็นกำนันหมู่บ้านเมื่อ 50 ปีก่อน คงไม่ตั้งชื่อลูกสาวว่าอริสราหรอก ถ้าตั้งเองชื่อนี้นี่ก็จะสงสัยพื้นเพกำนันมาก ว่ากำนันต้องเป็นคนเมืองแน่ๆ <<<< อะไรราวๆนี้
พวกมึง เวลาแต่งนิยายที่ต้องใช้ฉากต่างประเทศ หรือเกี่ยวกับอาชีพต่างๆ ไปหาข้อมูลที่ไหนกันวะ ถ้าจะสัมภาษณ์จากคนที่เคยไปประเทศนั้นๆ หรือเคยทำงานเป็นอาชีพที่เราอยากรู้ ต้องจ้างเขามั้ย
ปล.ไปถามมู้นักวาดมา เขาบอกให้มาที่นี่ หุหิ
>>112 ฉากต่างประเทศกูเอาที่กูเคยเห็นมา แต่เอาจริงๆกูก็รู้อะไรไม่เยอะไปอยู่แค่ปีเดียวแถมกูยังจิตตกอาการซึมเศร้ากำเริบอีก แต่มันก็ทำให้กูได้รู้แนวคิดคนต่างชาติพอสมควร
ส่วนอาชีพกูจะชอบแต่งอะไรที่ใกล้ตัวหน่อย อย่างกูมาสายการแพทย์เพื่อนกูก็มาทางนี้เยอะกูก็จะแต่งทางนี้ ไม่ก็หาข้อมูลเอา
ขอพื้นที่บ่นนิด กูตั้งใจแต่งนิยายแต่ละตอนมาก กว่าจะออกมาตอนนึงคือวางพลอตซ้อนไว้หลายชั้น นิยายกูไม่มีเรื่องรักๆเน้นเนื้อหาผจญภัย95%กุ๊กกิ๊กแบบหอมปากหอมคอ แต่คนอ่านน้อยโคตรรรรร คือคนที่เข้ามาอ่านก็มีชมนะว่าภาษาดีเนื้อเรื่องน่าสนุก พยายามจะไม่เหลิงนะแต่กูก็ดีใจแหละ แต่ในฐานะนักเขียนที่ตั้งใจเขียนก็อยากให้มีคนมาอ่านเยอะๆว่ะ เข้าไปอ่านพวกนิยายติดท็อปเพื่อศึกษาแล้วกูรู้สึกผิดแปลกมาก แม่งไม่ใช่แนวเลย และนิยายติดท็อปที่กูสุ่มกดไปแม่งมีแต่บทพูดไม่มีบรรยายพรรณาใดๆ เห็นแล้วท้อว่ะ
>>118 จริงๆ นิยายมึงอาจจะสนุกไม่พอ อาจจะแค่ ก็น่าสนุกดี มึงลองนึกถึงหนังนะ หนังประเภทที่คนบอกว่ามันก็ดี แปลว่าอะไร แปลว่าดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ เทียบกับหนังที่คนด่าฉิบหายในขณะเดียวกันก็มีแฟนคลับชอบฉิบหาย อย่างหลังคนดูเยอะกว่า มึงอยากแต่งให้คนอ่านเยอะมึงอย่าคิดเข้าข้างตัวเองมากแล้วก็อย่าอคติกับเรื่องที่คนตามมาก มึงไปทำความเข้าใจ ข้อเสียมันอาจจะร้อยแปดข้อดีมีข้อสองข้อ แต่ข้อสองข้อนั่นมันโดนคนอ่านมากกว่าข้อดีร้อยแปดของมึงก็ได้ แต่ถ้ามึงยึดว่านิยายมึงเป็นนิยายคุณภาพในแบบที่มึงอยากให้เป็นมึงก็อย่าไปซีเรียสคนอ่านมาก อย่าเอาไปเทียบนิยายคนอ่านเยอะ แนวทางมันอาจจะต่างกัน
กุแม่งน้อยใจกว่านิยายกุแนวค่อยๆรัก
เดิ่งจะเริ่มแม่งมีคนมาทวงnc ..
สลัดนางเอกกุยังไม่พ้นประถมเลย
กูเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่เคยติดท็อปเด็กดวกนะมึง ระดับ 1-5
กูแค่อัพทุกวัน อ่ะๆ กูไม่ได้อัพหลอกอัพลมนะ กูอยู่โม่ง กูก็ไม่ชอบแถมขี้เกียจอัพหลอกด้วย กูอัพวันละครั้ง ครั้งละประมาณสามสี่หน้าเอสี่ อ่ะๆ นิยายกูไม่ใช่แนวขายฉากเยนะ ดักคอไว้ก่อน
ตอนเริ่มเปิดเรื่องใหม่ๆ กูก็ท้อ ไม่มีคนอ่าน เม้นต์ไม่ต้องพูดถึงน้อยมากสำหรับกู แต่พอถึงจุดหนึ่งคนแห่มาจากไหนไม่รู้ มากันพรึ่บ ยอดฟูจนงง
เพราะฉะนั้นการอัพงานเป็นเวลาและแน่นอนจะช่วยมึงได้มาก
ส่วนเทคนิคเพิ่มยอดโดยไม่ต้องอัพหลอกมันมีเยอะแยะ จับจุดให้ได้ก็แล้วกันค่ะมึง ไม่ใช่คนอ่านงานตัวเองน้อยแล้วมาแขวะเรื่องอื่น คิดแบบนั้นมันบั่นทอนค่ะ
ปล.กูไม่แตะเรื่องสนุกไม่สนุกนะ งานใครงานมันพัฒนากันเอง
เฮ้อ ...กุอยากเปลี่ยนสไตล์การเล่าเรื่องจัง ตอนแรกไม่ทันคิดว่ามีวิธีนี้ เลยใช้วิธีเล่าแบบเก็บทุกเม็ดไปซะงั้น
พอรู้ตัวอีกทีตอนนี้ก็เขียนไปถึง 400 หน้าแล้ว ...กุควรลบแก้ใหม่หมดเลยมั้ยเนี่ย
ตอนละสิบสองสิบสามหน้าเอสี่มันเยอะไปแมะมึง แค่สามตอนแรกนิยายกูปาไปห้าสิบกว่าหน้าแล้ว= =
แม่งเพลิน ตัวละครกูมันเป็นพวกนิสัยฟุ้งซ่านเลยจัดเต็มตามความคิดนาง แม่งยาวเลย เหมือนตัวละครสิงกูให้เขียนจริงๆ
ขอก๊อปมาแปะตรงนี้นะ พึ่งรุ้ตัวว่าไปถามในเม้นที่ 999 แล้วปิดมู้เลย
ถามหน่อย คือกุเรียนมหาลัยอินเตอร์ในไทยที่มีนศ.ต่างชาติเยอะมาก ทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย อินเดีย อิหร่าน อังกฤษ สวิส เมกา บราซิล กินี ไนจีเรีย เดนมาร์ก ยันเพื่อนบ้าน ฯลฯ อาจารย์ส่วนใหญ่ก็มาจากยุโรป แล้วกุจะเขียนนิยายโดยอ้างอิงเซตติ้งจากม.กูเนี่ยแหละ อ่านแล้วจะรุ้สึกอินมั้ยวะ คือไม่ใช่อะไรหรอกลำพังแค่กูเล่าให้ญาติฟังว่าม.กูอย่างงั้นๆ เขาก็นึกภาพไม่ออก ไม่ชื่อว่าในไทยมีม.แบบนี้อยู่ด้วยแล้ว เขาจะติดภาพแบบว่าภาคอินเตอร์คงมีหัวทองสักสามคนในห้าร้อย ต่างชาติที่เหลือเป็นเพื่อนบ้าน 70เปอเซ็นต์เป็นไทยหมดอะไรงี้ จริงๆ จะเปลี่ยนเป็นม.คนไทยทั้งหมดก็ได้แหละ แต่กูแค่กูไม่ค่อยโปรเรื่องกิจกรรม หรือความรักสถาบัน เคารพรุ่นพี่อะไรพวกนี้ ไม่อยากจะเขียนอะไรที่กูไม่รู้ว่ะ
>>133 มอมันไม่ได้เหมือนกันทุกมอซักหน่อยไม่เป็นไรหรอก
มอกุยังต่างคนต่างอยู่เลยภาคปกติด้วย ไม่เคารพใครทั้งนั้น๕๕๕
ภาคอินเตอร์มอกูมีคนไทยเกินครึ่ง จีนอีก30% ฝรั่ง 5% นิโกร 5%
กิจกรรมก็มีร่วมกับคณะไรพวกนี้ แต่เห็นม่รับน้องละภาคอินเตอร์หรือมีเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอ แต่ไม่เห็นมีถึงขั้นเต้นไก่ย่างไปมาต่อหน้าสาธารณะชน
เขียนนิยายรัก แต่ไม่เคยรักใคร นี่กุโตเป็นผู้ใหญ่ละนะเนี่ย เง้อ มีใครเป็นมั่ง๕๕๕
พอแบบแต่งมาตรรกะความรักในนิยายกุเพี้ยนมาก นักอ่านว่าตัวละครกุยันเดเระชิบหาย
หรือตัวตนกุมันยันเดเระ
>>136 บางทีถ้ามึงไม่เคยมีความรัก อาจจะต้องศึกษาความรักของคนรอบข้างใส่ลงไปว่ะ แล้วมันจะดูเรียลมากขึ้น แต่เอาจริงๆ ปะ บางทีความรักของแต่ละคน มันก็ตรรกะวิบัติชนิดกู่ไม่กลับอะมึงงงง ดูอย่างเพื่อนกู เลิกกับอิแฟนคนที่คบกันอยู่ปัจจุบันมาแปดครั้งแล้ว แต่ก็ยังกลับมาคบกันอีก มันบ่นว่าเบื่อฉิบหาย แต่มันก็ยังกลับไปคบ มันบอกมันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เออ กูก็ไม่เข้าใจเพื่อนกูเหมือนกัน
แต่งนิยายทำยังไงไม่ให้บรรยายเยอะเกินไปวะ
กุมาอ่านของตัวเองทีหลังแล้วอยากจะตบตัวเองชิบหาย ตัวเอกกูเป็นพวกคิดมาก พอกุแต่งละอิน มันอินจริงๆ ว่ะมึงเหมือนตัวกุเป็นตัวละครนั้น แต่มันเยอะไปอ่ะ เยอะชิบหายบรรยายยาว กุอยากตบตัวละครตัวเองและตัวเองด้วย
>>144 แล้วคนอ่านมีปัญหาบ่นๆปะ ถ้าไม่มีก็แต่งแบบที่ต้องการแต่งไป กูเคยแต่งแบบทั้งบทห้าหน้าเป็นบรรยายหมดมีบทพูดประโยคเดียว ทั้งๆที่ในเนื้อเรื่องก็มีบทพูดนะแต่กูใช้การบรรยายบทพูดผ่านๆในบทบรรยายความคิดตัวละครแทนเพราะอยากให้ได้อารมณ์ว่ามันฟังเฉยๆแค่ผ่านหูไม่ใส่ใจ แล้วกูก็เคยอ่านนิยาย YA ของฝรั่งหลายๆเรื่องที่ตัวเอกมันอีโมๆหน่อยบทหนึ่งใช้สองมือนับประโยคคำพูดก็ยังเหลือก็มี เพราะงั้นแต่งแบบที่ชอบไปเถอะมันเป็นสไตล์
>>144 กูก็ติดบรรยาย คนอ่านยังพูดเลยว่ากูแบบสายบรรยายเยอะ แต่ก็ไม่มีคนบ่นอะไร แต่เอาจริงๆ คนอ่านจะบ่นออวะปกติ กูไม่เห็นคนอ่านจะบ่นอะไรสักอย่างเลยนะ คือกูว่าต่อให้มันไม่ดี (โอเคอาจจะไม่ได้ไม่ดีเว่ออออะไร) แต่แบบถ้ามันไม่ดีแบบมีข้อติ คนอ่านส่วนมากก้ไม่ค่อยตินะเว่ย มันต้องแบบอ่านเองแล้วรู้เอง ไม่ก็ให้คนเขียนด้วยกันเป็นคนติอ่ะ
เพื่อนโม่ง อยากถามนิดว่าแต่ละตอนของแต่ละคนนี่ยาวกี่หน้า a4 ฟ้อนต์ 14 อ่ะ
ฮือ... กุต้องเขียนยังไงวะถึงจะเข้าถึงอารมณ์?
คนอ่านกุบอกว่าเนื้อเรื่องดีแล้ว แต่บรรยายยังไม่ถึงอารมณ์ซะงั้น กุไม่รู้เลยจะไปปรับปรุงยังไง
เชี่ยกุเพิ่งรู้ตัวเองเขียนสังเกตผิดมาตลอด กุเขียนเป็นสังเกตุ อายชิบหาย อายวายวอด
ทำยังไงไม่ให้ตัวเองเป็นนักเขียนวิตกจริตมัวแต่กังวลยอดเฟบกับวิว
เห็นทู้ในพันทิปที่นักเขียนในเด็กดีไล่คนอ่านไปตายแล้วสยองว่ะ ป่วยฉิบ
นักเขียนแม่งอาการหนักกว่ากุอีก
เห็นเพื่อนนักเขียนคุยกันในเฟส เคยมีคนโดนด่าเหมือนกัน3ปีที่แล้ว ไม่ได้เพิ่งเป็นหรอกนะคนนี้
ไม่รู้ว่าจะถามไหน เอาเป็นว่าขอ KY ถามในนี้แล้วกัน
คือกูอยากรู้ว่าผู้หญิงแนว Under dog นี่ในสายตาคนอื่นเขาเห็นเป็นยังไงบ้าง?
ขอยกตัวอย่างนางเอกที่กูกำลังเขียนนะ คือเจ้าตัวชาติตระกูลต้อยต่ำมาก เป็นแค่คนชนชั้นแรงงานแถมยังเป็นสาวบ้านนอก ทว่าดันมีคุณชายมาตกหลุมรัก แต่คุณชายคนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้วซึ่งเป็นไฮโซลูกคุณหนูนั่นล่ะ
นางเอกเองก็ไม่มีอำนาจอะไรไปทวงไปท้วงจึงได้แต่แอบคบกันไปเรื่อยๆ เท่านั้น
คืออยากรู้ว่าผู้หญิงแบบนี้คนอ่านจะรำคาญรึเปล่า? เพราะกูไม่อยากสร้างนางเอกขี้เหวี่ยงขี้วีนเลยอะ
>>177 นั่นล่ะที่กูกำลังคิดเลย - -
คือมันกลายเป็นรักคนมีเจ้าของเนี่ยล่ะ จะท้วงอะไรก็ไม่ได้ แบบนี้มันจะดูแหม่งๆ รึเปล่าหว่า?
ถึงในเรื่องจะระบุว่า พระเอกไม่ได้ชอบคู่หมั้นอยู่แล้วก็เถอะ แต่การที่นางเอกลงไปเล่นด้วยกับคุณชายทั้งที่รู้ว่าเขามีเจ้าของแล้ว แบบนี้มันดูแหม่งๆ มั้ยหว่า
>>176 กูไม่โอเคกับการที่ไปรักคนมีเจ้าของอะ อย่าว่าแต่คู่หมั้นเลย แค่เป็นแฟน แต่ยังไม่เลิกกัน มาแอบคบกันลับหลังแบบนี้ก็ไม่โอเค อ่านแล้วกูจะไม่เอาใจช่วยความรักของคู่นี้เลย เพราะจะรู้สึกว่าผู้ชายโลเล ทำอะไรไม่เด็ดขาด ส่วนผู้หญิงก็แรดเงียบ จะมาบอกว่าผู้ชายไม่ได้รักคู่หมั้น กูมองว่าแค่ข้ออ้างว่ะ ถ้ายังเคลียร์ตัวเองไม่ได้ก็ไม่ควรมายุ่งอะ ไม่งั้นอยู่ต่อๆไป ขัดการแต่งงานไม่ได้ แต่งกะคู่หมั้นไปวันดีคืนดีนางเอกได้เป็นเมียน้อยแทนซะงั้น
ฮือ นางเอกกูเรื่องนึงเป็นแบบที่พวกมึงไม่โอเลยอะ แต่ของกูมันมีผู้ชายที่คบกันแบบมากกว่าเพื่อน เกินคนรู้จัก แต่ไม่ใช่แฟนอยู่คนนึง ซึ่งก็โอเคกับคสพ.แบบนี้ทั้งสองฝ่าย และสุดท้ายคนที่นางลงเอยด้วยก็เป็นคนอื่น กูสงสารพระรองนะ แต่กูให้มันคู่กันไม่ได้จริง ๆ นิสัยมันไม่แมชต์ว่ะ
พูดถึงเรื่องยุ่งกับคนมีเจ้าของ พวกมึงมีความเห็นยังไงกันบ้างวะ คือนางเอกกูก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วแม้จะไม่ได้รักกันเลย ในความจริงแล้วพระเอกมันควรจะอยู่ห่างๆกันไว้ใช่ม้ะ อห แล้วกว่าจะได้รักกัน กูกลัวคนอ่านรำคาญ ด่าพระเอกกูป๊อดอะ จะให้ไปแย่งมาเลยจะดูเหี้ยกว่าเดิมมั้ย ฮืออ
>>184 ถ้าพระเอกแสดงออกด้วยการเอาใจใส่มาตลอด แต่ไม่ได้รุกจีบอ่ะ อธิบายไงดีวะ ประมาณพระรองในซีรี่ส์ที่ไม่ได้จะแย่งนางเอกจากพระเอกอะ พอคู่เขาแตกแยกกันเองค่อยเสียบแบบนี้กูเชียร์นะ ไม่หาว่าป๊อดด้วย แต่มึงต้องเขียนบรรยายครส.ดีๆหน่อย
ถึงจะเป็นตัวเอกแต่ถ้าไปแย่งแฟนชาวบ้านนี่กูรับไม่ได้
ในนี้มีใครที่หาเลี้ยงตัวเองจากงานเขียนบ้างมั้ย แบบ..เป็นรายได้เสริมอะไรอย่างงี้บ้างก็ได้
กูอยากรู้ว่าส่วนใหญ่นี่เขียนเป็นอาชีพหรือเขียนให้อ่านฟรีตามเว็บ
ขอบใจ คือกูเป็นคนอ่านนั่นแหละ มาคิดๆดูเหมือนพฤติกรรมการอ่านมันเปลี่ยนคนเริ่มมาขายอีบุ๊คหรือเป็นตอนๆตามเน็ต กำลังซื้อน่าจะลดลงถ้าเทียบกับขายเป็นเล่ม เหมือนยังไม่ค่อยนิยมมากแล้วก็มีพวกแสกนทำให้เสียรายได้
แต่ตีพิมพ์เป็นเล่มก็มีปัญหากับสำนักพิมพ์ไม่จ่ายตามสัญญาอะไรอย่างนี้ (แต่คงไม่โดนทุกคนหรอกมั้ง)
เลยสงสัยว่านักเขียนจะอยู่กันยังไง หรือเขียนฟรีตามฝันตามใจไปเรื่อย
>>189 ถ้าเขียนอาชีพแล้วผูกกะสนพ.อันนี้ก็ไม่ค่อยยากหรอกถ้ามือนิ่งแล้ว คุยได้ว่างานเสร็จเมื่อไหร่ก็ขอคิวส่ง (แต่จะเป็นที่รักแล้วได้ดันเท่านข.ในเว็บยอดอ่านเยอะๆรึเปล่านี่อีกเรื่องนึง) ถ้าจะทำงานนี้นานๆจริงๆต้องเข้าใจธรรมชาติของวงการด้วยสโลว์ไลฟ์ไปอีก ส่วนเรื่องสนพ.โกงเงินถ้าไม่ใช่หน้าใหม่ส่วนใหญ่ก็จะพอรู้กันอยู่แล้ว มาพิมพ์เองคงได้เงินเร็วและง่ายกว่า แต่ถ้าขี้เกียจรับความเสียงก็ส่งสนพ.ไป
มึงว่ากูคิดมากไปป่ะวะ ที่เวลาจะเขียนอะไรแล้วต้องเป๊ะทุกอย่าง บอกที่มาปมทุกอย่าง ภูมิหลังครอบครัว อดีตแต่ละคน จนมันดูเยอะเกินไป
เพิ่งเริ่มคิดว่ามันไม่จำเป็นก็ตอนมาอ่านของนข.บางคน ปรากฏว่าของคนนั้นไม่เห็นต้องเปิดเผยอะไรมากเลย บางอันแม่งก็ไม่มีเหตุผลเอาดื้อๆ หรือไม่ก็ทิ้งปมแม่งไว้อย่างนั้นด้วยซ้ำ แต่เสือกสนุก (?)
กูควรยึดแนวกูต่อไปหรือทิ้งๆไปบ้างดีวะ บางทีเพราะกูคิดเยอะเกินไปจนเขียนแล้วเหนื่อยต้องมาเจาะข้อมูลอะ
>>191 กูพยายามไม่เปิดปมเยอะนะ แบบแค่กูมีใส่ปมกับตัวละครตัวเดียวเนี่ย คนอ่านยังเริ่มงงกันแล้ว แบบมันต้องตั้งสติตั้งใจอ่านนิดนึงอ่ะ คือคนส่วนมากแบบชอบฉากหวานๆ รอฉากโรแมนติกกัน กูก็แบบตัวละครกูก็ต้องปมบ้าง ปริศนาที่วางก็ต้องคลี่คลายบ้าง 55555 ไม่กล้าใส่ปมเยอะ กลัวมันจะเยอะเกิน
>>189 มันมีทั้งเขียนเป็นงานเสริมกับงานหลักนั่นแหละ ถ้าอยู่ได้ก็อาจเขียนเป็นงานหลัก ถ้าอยู่ไม่ได้ก็เขียนเป็นงานเสริม พวกที่เขียนเป็นงานหลักคือยอดขายดีมากหรือเขียนได้เร็วมาก อาจจะออกกับสำนักพิมพ์หรือทำมือเองก็ได้ แต่คิดว่ารุ่นใหม่ๆ ที่เขียนเป็นงานหลักน่าจะทำมือกันเยอะกว่า
>>191 ถ้าคิดว่าเยอะไปก็ทบทวนแล้วก็ปรับปรุง ขนาดมึงเขียนเองยังคิดว่าเยอะเลยคนอ่านก็คงคิดเหมือนกันแหละ
มึง กูขอระบายหน่อย
กูมีปัญหาเรื่องความอิจฉาว่ะ 55555555
แบบ ยังไงดีวะ นิยายกูมันก็ประสบความสำเร็จในประมาณนึง เอาเป็นว่ากูก็พอใจในระดับนี้แล้ว แต่พอกูไปดูบางเรื่องที่อยู่หมวดเดียวกัน คนอ่านของเขาต่อตอนน้อยกว่าของกูอีก แต่คอมเมนต์เยอะกว่าของกูมากเลย แล้วกูไปดูของเขา มันก็เป็นอย่างนี้ทุกตอน คือคอมเมนต์เยอะกว่าของกูเป็นเท่าตัว ซึ่งกูเห็นกี่ครั้งกูก็เจ็บทุกครั้ง กูไม่เข้าใจว่าทำไมของกูถึงคอมเมนต์น้อยกว่าเขาตั้งขนาดนั้น
คือกูรู้นะ ว่ามีคอมเมนต์มันก็ดีแล้วแหละ อย่างที่บอกว่ากูพอใจในประมาณนึงแล้ว แต่พอกูไปส่องของชาวบ้านเขาทีไรแล้วเจอความจริงข้อนี้ กูก็อิจฉาขึ้นมาทุกที กูจัดการความรู้สึกตรงนี้ของตัวเองไม่ได้ มันทำให้กูนอยด์และทำให้กูรู้สึกว่า ทำไม มันยังไม่ดีพออีกเหรอ
กูมาบ่นแค่นี้แหละ ดูเรื่องเยอะ ดูคิดมากเนอะ 55555555555
>>196 กูเข้าใจเว่ย บางทีคอมเมนต์แม่งอะไรหลายๆอย่างปนกัน เนื้อหาบ้าง ความสัมพันธ์มึงกับคนอ่านบ้างไรงี้
คือต่อให้เรื่องเดียวกันอ่ะ ยอดวิวต่อตอนพอๆกัน คอมเม้นยังไม่เท่ากันเลยมึง บางตอนคนคอมเม้นถล่มทลายเพราะว่าตอนนั้นมันมีอะไรให้หวีด ให้คนอยากพูดอะ แต่บางตอนมันไม่มีมันเรื่อยๆงี้
กรณีข้างบนเลย มีคนไปเม้นท์แล้วคนเขียนไม่พอใจไล่ไปตาย ช่วงหลังมาจะเม้นท์อะไรกูนี่คิดแล้วคิดอีก กลัวโดนแคปมาประจาน ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว
เฮ้! ใครเคยเจอปัญหาเนื้อเรื่องพังตั้งแต่พล็อตเรื่องบ้าง?
กูเพิ่งมาเจอหลังจากเขียนไปได้จนเกือบจบแล้วว่ะ ถ้าจะแก้ก็คงต้องเขียนใหม่ทั้งหมด ซึ่งตอนนี้กูก็เขียนไปถึง 300 กว่าหน้าแล้ว
แบบนี้กูควรรีไรท์เขียนใหม่ทั้งหมดเลยใช่มั้ยเนี่ย
เคยกลับมาอ่านนิยายตัวเองย้อนหลังแล้วอายชิบหายวายวอดมั้ย
แบบหลังไฟจูนิเบียวมันมอดลงงี้
นี่เพื่อนโม่งขอถามความเห็นหน่อย
ไอ้การที่พระเอกเป็นลูกคุณหนูจะทิ้งตำแหน่งและฐานะ เพื่อหนีการคลุมถุงชนไปได้กับสาวใช้ตัวเองนี่มันสมเหตุสมผลรึเปล่าวะ? ประมาณว่า พระเอกกับนางเอกรู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว ใกล้ชิดกันมาตลอด แต่ทั้งสองก็เว้นระยะห่างเป็นแค่เพื่อนกันเอาไว้จนกระทั่งโตเป็นหนุ่มสาวด้วยกันทั้งคู่ถึงได้แอบคบกันแบบลับๆ จวบจนโดนทางบ้านจับได้น่ะ
ถามความน่าจะเป็น นักอ่านกูบอกว่าเรื่องกูมันไม่เมคเซ้นตรงที่ นางเอกยอมแต่งงานกับคนที่นางไม่ได้รัก พระเอกก็ไม่ยอมไขว่คว้า พยายาม (ว่างั้นนะ จริงๆคือพากันหนีตาม) บอกว่าพระนางดูไม่รักกันมั่งละ
คือเรื่องกูมันเซตติ้งโบราณเลยอะ นางเอกเป็นลูกคนมีหน้ามีตา ส่วนพระเอกก็เป็นแค่บ่าวไพร่ไม่มีตระกูล มันจะทำอะไรได้วะ
กูไม่เข้าใจว่าพากันหนีตามนี่มันดูน่ายกย่องเหรอ มันเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ กูวางเรื่องให้เป็นแบบนี้มันดูแปลกเหรอ ทำไมต้องคอมเพลน ?
พวกมึงคิดว่าไง
กิ๊บหนีบผม ภาษาโบราณมันเรียกว่าไรวะ แบบนี้ ใช้หนีบผมเด็กที่ยังไม่โตเป็นสาว https://html2-f.scribdassets.com/5a0zpem4qo2srzi0/images/10-b507d06ce8.jpg
ฝรั่งมันแปลเป็นbarrette clip แปลไทยมาอีกก็กิ๊บ แล้วจะแปลอีกรอบให้มันโบราณกว่านี้ยังไงดีวะมึง
>>220 จะว่าตามจริงมันก็ไม่ผิดนะ แต่มันจะดูโลกสวยไปนิดหน่อยและ
คือของมึงน่ะเป็นฝ่ายหญิงฐานะสูงกว่า แต่ยุคโบราณเนี่ยสิทธิ์ของผู้หญิงยังต่ำกว่าชายมาก การทำงานจึงค่อนข้างจำกัด ต่อให้เรียนมาสูงฐานะดีอย่างไร ถ้าขาดการสนับสนุนจากทางบ้านก็ยิ่งยากใช่มั้ยล่ะ?
แถมแย่กว่านั่้นโดนหาว่าเกาะผู้หญิงกินอีก Orz
เด็กดีเป็นไรวะ กุเข้าเพิ่มไรนิยายกุไม่ได้เลย
เคกุรู้ละเนตกุเน่าเอง แม่งเอ้ย
มึงนิยายกุธีมหลักมันคอเมดี้นะ ทีนี้มันต้องมีให้ปวดตับ กูแต่งside storyที่เป็นเรื่องของตัวเอกในภพก่อนเพื่อปูว่าทำไมมันนิสัยระแวงในชาตินี้ แบบแต่งออกมาแม่งดาร์กชิบหาย กุแต่งเสร็จนอนตื่นมาอ่านพบว่ามันดาร์กชิบ เริ่มคิดละกุควรลงดีมั้ยหรือแต่งอีกเวอร์ชั่นนึงให้มันซอฟต์ขึ้นนิดหน่อย
KY หน่อยสิ เพิ่งไได้รับคอมเมนท์มาว่างงเพราะไม่มีเกริ่นนำ ทั้งที่คิดว่ามีแล้ว เวลาเริ่มเรื่องกล่าวนำประมาณไหนกันเหรอ
อันนี้เอามาให้ลองอ่าน https://writer.dek-d.com/ployyhara1993/story/viewlongc.php?id=1734261&chapter=1 คิดว่าจะนั่งแก้ไขอยู่แหละ ช่วยแนะนำหน่อยนะ แม้จะผ่านการเขียนมาหลายเรื่องแต่ยังไม่ค่อยพัฒนาเท่าไรเลย เรื่องอื่น ๆ คนอ่านก็งงเหมือนกันเพราะกล่าวนำเนี่ยแหละแต่ลบไปหมดแล้ว
>>234 เองแก้ ๆ KY หน่อยสิ เพิ่งได้รับคอมเมนท์มาว่างงเพราะไม่มีกล่าวนำ ทั้งที่คิดว่ามีแล้ว เวลาเริ่มเรื่องกล่าวนำประมาณไหนกันเหรอ
อันนี้เอามาให้ลองอ่าน https://writer.dek-d.com/ployyhara1993/story/viewlongc.php?id=1734261&chapter=1 คิดว่าจะนั่งแก้ไขอยู่แหละ ช่วยแนะนำหน่อยนะ แม้จะผ่านการเขียนมาหลายเรื่องแต่ยังไม่ค่อยพัฒนาเท่าไรเลย เรื่องอื่น ๆ คนอ่านก็งงเหมือนกันเพราะกล่าวนำเนี่ยแหละแต่ลบไปหมดแล้ว
>>235 ถ้าบอกว่าให้อ่านหนังสือให้เยอะขึ้นจะโกรธไหมเนี่ย เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่เกริ่นแต่เป็นกับการขึ้นฉากใหม่ทุกฉากเลยอะ จนมันดูเหมือนกับการปรับทรีตเมนต์เพิ่มแล้วใส่ไดอะลอกเข้าไปแทน เช่น - สะพาน*** ขึ้นมาเท่านั้นคนอ่านก็ไม่เห็นภาพหรอก ต้องเพิ่มบรรยายเอาง่ายๆ เราคิดว่าภาพมันเป็นยังไงก็บรรยายเพิ่มลงไป
>>235 แบบละเอียดๆไปห้องสับนิยายเลยน่าจะดีกว่า >>>fanboi.ch/webnovel/4810/
คร่าวๆ เกริ่นสำหรับกูคือแนะนำหน้าตา นิสัย ความคิดของตัวละคร (รวมถึงธีมของเรื่อง)ให้คนอ่านรู้จักอะ
ของมึงมันแบบเหมือนวาดมนุษย์ก้างปลามาตัวนึงแล้วแปะป้ายว่ามันชื่อนี้นะ มันเป็นมาเฟียกะนักเขียนนะแค่นั้นจบ
การเล่าเรื่องตัดฉากก็อย่างที่ >>236 บอก
>>240 เห็นด้วย
ไม่เหมือนนิยายเท่าไหร่นะ เหมือนบทละคร ตัวละครเอซึ่งคือมาเฟีย ขยับไปทางนี้ กระทำสิ่งนี้
ใส่อารมณ์หน่อย ความรู้สึก ฟิลลิ่ง ในช่วงแรกให้ทั้ง tell และ show ไปเลย บรรยายมาว่าตัวละครรู้สึกไง และพฤติกรรมของตัวละครนั้นเป็นยังไงที่จะทำให้คนอ่านรู้ว่ารู้สึกยังไง
อันนี้มันห้วนๆ
พูดถึงการเล่าเรื่อง ตอนนี้กูกำลังมีปัญหาเลย
ใช้ Show เยอะเกินไปบ้าง เล่าแบบเป็นขั้นเป็นลำดับบ้าง จนตอนนี้เขียนไป 400 หน้าแล้วยังไม่จบภาคเลย Orz
ดูเหมือนว่าสไตล์การเขียนกูจะเป็นแบบเล่าละเอียดแฮะ ทำยังไงดี? ขนาดเขียนพล็อต (แค่พล็อต) สำหรับเนื้อหา 200 หน้า กูยังกินหน้ากระดาษไปตั้ง 13 หน้าแนะ
พวกเอ็งเขียนยาวแข่งกับบทgame of throneหรือไง
แฟนตาซีหรอ ยาวๆแบบนี้อ่ะ
ของกูตอนนี้กูครึ่งเรื่อง 200 หน้าก็ว่าเยอะละ พยายามจะปิดให้ลงภายใน 400 เนี่ย
กูเองก็พยายามตัดให้สั้นเนี่ย เดี๋ยวรอว่างคงต้องมานั่งตัดอีกครั้ง (รอบที่ 4)
เขียนยาวกันจัง ทำได้ไงวะ กูนี่ตอนนึงกว่าจะได้สัก 2000 คำนี่เค้นแล้วเค้นอีก กลุ้มใจว่ะ
ตันมุกตลกแต่ไม่ตันดราม่าว่ะเง้อออ หรือเพราะใกล้สอบปลายภาคกุเลยนึกเรื่องตลกไม่ออก
ไม่แม่นคำราชาศัพท์จริงว่ะ ตอนนี้นิยายกุชนชั้นสูงพุดภาษาชาวบ้านกันหมดละ กุไม่ถนัด มีวิธีไหนแมะ
หรือเอาแบบหนังจีนแม่ง ใช้ทรงนำหน้าทุกกริยา555
ทรงตรัส ทรงนอน ทรงพักผ่อน ทรงอาบน้ำ เพิ่งเจอมาเมื่อกี้55
มีใครย้อนมาอ่านคำนำนิยายตัวเองแล้วรู้สึกว่า แม่งเอ้ยกุเขียนอะไรลงไปแมะ
พวกมึงซอยตอนนิยายจนเหลือเท่าฮีมดกันก่อนลงเว็บเด็กดีแมะ กุไปอ่านท็อปมา แม่งscrollครั้งเดียวก็สุดละ มิน่ามันขึ้นท็อปรัวๆ สอยแบ่งไว้ละอัพทุกวัน
ของกูนับเป็นคำว่ะ ตอนนึงน่าจะตกที่ราวๆ 3000 คำ ซึ่งบางตอนก็เคาะย่อหน้าเยอะ อาจจะราวๆ 8-10 หน้า
เคยเขียนนิยายข้อมูลผิดๆ กันมั้ยแล้วมารู้ตัวทีหลังว่าผิด กุเพิ่งเจอแม่งพล็อตกุพังครืนเลย เสินเจิ้นกู๊วววว
ตอนแรกมีคนบอกจบก่อนค่อยรีไรท์ แต่นิสัยอย่างกุมันแบบเมื่อไหร่จะจบว้าาาา เลยคิดแก้ จริงๆ อยากลบทิ้งแต่เสียดายเฟบ
กุเข้าใจผิดเรื่องอายุ เรื่องธรรมเนียมในวัง เรื่องชื่อเด็กกับชื่อผู้ใหญ่(ชาย) พอดีไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตในวัง และสภาพสังคมในสมัยราชวงศ์ถังมา เป็นหนังสือของฝรั่งนะ เว็บในไทยไม่มีใครเอามาแปลถึงเรื่องนี้ กุเลยไม่รู้ ส่วนอายุที่ได้มาอย่างบังเอิญ
เห็นเสินเจิ้นเรื่องอื่นมะเห็นมีใครสนใจแบบกุ หรือกุสนใจมากไปวะ?
จะฝืนผิดหรือแก้ให้ถูกดี
Ky เราแต่งแฟนตาซี ธีมคล้าย ๆ ยุโรปยุคกลาง แล้วลังเล pov 3 ที่ใช้เรียกผู้หญิงว่าจะใช้นางหรือหล่อนดี คืองี้ เวลาตัวละครพูดถึงกันเอง เราใช้นางอย่างนู้นอย่างนี้อยู่นะ แต่มาติดตรง pov 3 นี่ละ ควรเอาไงดี
ทำไมนิยายที่ไม่ผ่านการพิจารณาถึงต้องรอนานมากกว่าที่ สนพ. จะแจ้งวะ
คือมันไม่เมคเซนซ์ปะ ถ้ามันไม่ผ่านก็น่าจะปัดตกมาแบบเร็วๆ แจ้งกลับมาได้ทันทีที่โยนลงตระกร้าเลยว่า ไม่ผ่านนะ ทำไมแม่งต้องรอจนครบ 3 เดือน (หรือเกิน) หรือไม่ก็ต้องรอให้ทวงถามไปก่อน แล้วจากนั้นค่อยหายไปวันสองวัน แล้วตอบกลับมาว่าไม่ผ่าน อันนี้งงจริงๆ หรือว่าแบบนี้คือผ่านการพิจารณาไประดับนึงแล้ว แต่ไม่ผ่านในระดับที่สูงขึ้นไปวะ
ถามหน่อยกุสงสัย ส่งต้นฉบับหลายสำนักพิมพ์พร้อมกันได้ในครั้งเดียวมั้ยวะหรือต้องส่งทีละอันไม่ผ่านค่อยว่ากัน งี้ถ้าไม่ผ่านเรื่องๆ จะทำไงอ่ะ
>>279 ในทางมารยาทของสำนักพิมพ์แล้วส่งพร้อมกันไม่เหมาะสม ถ้าเกิดมีสำนักพิมพ์ไหนโอเคกับงานมากกว่าหนึ่งแห่งแล้วบังเอิญทั้งสองที่รู้จักกัน มึงอาจจะไม่ได้พิมพ์ทั้งสองที่เลยก็ได้ จากนั้นคนในสำนักพิมพ์นั้นก็จะไปบอกสำนักพิมพ์อื่นๆ ว่ามึงเสียมารยาทยังไง แล้วสำนักพิมพ์อื่นๆ ก็จะไม่เปิดอ่านงานมึงเลยก็เป็นได้เพื่อจะเลี่ยงดราม่า ถ้านักเขียนหน้าใหม่คนเดียวไม่คุ้มเขาหรอก ถ้าเป็นคนเก่าเปลี่ยนที่อย่างน้อยเขาคุยกันระดับหนึ่งแล้วเคลียร์กันไป แต่ถ้าตกพร้อมกันทุกที่เขาก็ไม่ใส่ใจหรอกนะ
ถ้าไม่ผ่านก็เขียนใหม่เรื่อยๆ กูบอกให้ว่าโอกาสตีพิมพ์ง่ายสุดคืองานมึงดี มึงลงงานบ่อย แล้วก็ติดสามอันดับแรกของหมวดนานๆ กูบอกแค่นี้แหละถ้ามึงมีครบเดี๋ยวก็มีแมวมองไปถามมึงเอง มึงจะไม่เชื่อก็ได้นะ แต่กูแนะนำว่าตอนส่งงานไปแล้วมึงเอาเวลาไปเขียนเรื่องใหม่เลย ไม่ต้องไปลุ้นผลแล้วค่อยกลับมาเขียน เสียเวลา ได้ก็ดี ไม่ได้ก็จะได้มีงานใหม่ส่งอีก
>>281 กูยืนยันว่าสนพ.มีแมวมองจริงๆ ถ้ามึงดีไม่ถึงครึ่งเรื่องเค้าก็มาติดต่อมึงละ ยิ่งตอนนี้สนพ.ผุดกันเหมือนดอกเห็ด
แต่ความยากง่ายในการพิมพ์มันคงแล้วแต่แนวด้วย แบบถ้าแนวนั้นมันมีคนอ่านเยอะมันก็พิิมพ์ง่ายอ่ะ คือสนพ.เล็กๆเค้าก็ต้องแย่งนักเขียนเหมือนกันอ่ะ ตอนกูที่ติดต่อมาเร็วๆเป็นสนพน้องใหม่ยังไม่เคยพิมพ์เลย (แต่ตอนนี้ก็ถือว่าไม่ใหม่ละแหละ)
เพื่อนโม่งมีใครเป็นแบบกูบ้าง
คือกูอยากจะรื้อพล็อตทั้งหมดทิ้ง แล้วเขียนใหม่ทั้งหมดโดยเหลือแค่เซ็ตติ้งเดิมเท่านั้น
แต่พอกลับมาอ่านแล้วก็ดันรู้สึกว่า "อันเก่ามันก็โอเคแล้วนี่หว่า" ซะงั้น จนไม่ได้เขียนแก้ซะที ตอนนี้ปวดหัวมากเลย พอจะเขียนพล็อตใหม่ พล็อตเก่าที่เคยคิดว่าดีแล้วมันก็เข้ามาตี เข้ามาขวางในหัวไม่ให้เขียนแก้ตลอดเลย
หดหู่ คนอ่านเกลียดตัวละครโปรดกุ แม่งเอ้ย กุอุตส่าห์แต่งให้เกลียดพระเอก พระรองซวยโดนหาว่าเยอะ หานนน พระเอกแม่งเยอะกว่าพระรองอีก
มึง ถัดจากต้นคอลงไป แต่ยังไม่ถึงขนาดกลางหลัง
แบบก่อนถึงกระดูกสะบักอ่ะ ใช้คำว่าอะไร
เห็นห้องเสิ่นเจิ้นคุยกัน แต่ย้ายมานี่น่าถูกต้องกว่า
คิดยังไงกะภาษาพูด-ภาษาบรรยายในนิยายบ้างอะ
แบบของกูเวลาบรรยายก็จะใช้คำถูกต้องจริงจัง แต่ในบทพูดจะมีการกร่อนเสียงบ้าง
สมมติคำว่า "อย่างนั้น" เวลาเป็นบทพูดก็ใช้ทั้ง "อย่างงั้น" "งั้น" "ยังงั้น" หรือพวก "รึ" "หรือ" "เหรอ" "หรอ" แล้วแต่สำเนียงและอุปนิสัยของตัวละครว่าเป็นคนแบบไหน
อย่าง "ไหม" "มั้ย" แต่ก่อนกูจะแยกใช้บรรยายกะคำพูดนะ แต่เคยโดยทักว่า "มั้ย" มันวิบัติ เลยไม่ค่อยได้ใช่ละ ( ._. )
>>298 >>299 กูก็อยู่ห้องเสิ่นเจิ้น กูขออธิบายก่อนว่า ที่มึงยกมามันไม่ใช่กร่อนเสียง กร่อนเสียงคือเช่น หมากพร้าว เป็น มะพร้าว หมากขาม เป็น มะขาม
ส่วนที่มึงยกมาคือการแปรเสียง มีหลายแบบ
อย่างนั้น เป็น อย่างงั้น, ยังงั้น, งั้น อันนี้เป็นการกลมกลืนเสียง อธิบายลึกไปอีกคือกลมกลืนเสียงแบบเดินหน้า
หรือ เป็น รึ อันนี้เป็นการทำเสียงสระให้สั้น แล้วก็เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์อีกทอดหนึ่ง ถ้าตามพจนานุกรมมันมีแต่ หรือ กับ เหรอ แต่กูคิดว่า รึ ก็น่าจะใช้ได้ ส่วน หรอ อะอย่าใช้จะดีกว่า
ไหม กับ มั้ย อันนี้เป็นการแทนที่เสียง
ที่กูอธิบายมาทางภาษาศาสตร์เรียกว่า การแปรเสียง ซึ่งเขาระบุธรรมชาติของภาษาไว้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงได้ การฟันธงว่าคำไหนเป็นภาษาวิบัติสำหรับกูมันยากที่จะฟันธงลงไปมาก ๆ
โดยส่วนตัวกูเองก็ใช้แบบมึง บทบรรยายใช้ อย่างไร, หรือ, อย่างนั้น, ไหม แต่พอบทสนทนาก็มีแบบ ยังไง, เหรอ, ยังงั้น, มั้ย ฯลฯ
นับวันกุเริ่มรู้ว่าภาษาตัวเองยุ่งยากชิบหายเพราะห้องนี้โดยเฉพาะ
แบบภาษาอังกฤษมีแค่ I แปลไทยแบบ ข้า ฉัน ดิฉัน เดี๊ยน กู ข้าพเจ้า แบบไทยคำเยอะชิบ
มึง กูสงสัย ตลค.ฝาแฝดสลับตัวกัน มันไม่ผิดกฎหมายแอบอ้าง/ปลอมแปลงเอกสารเหรอวะ หรือยังไง กูไม่รู้กฎหมายด้วยสิ
มึงงงงงงงงงงงง แบบกับเรื่องที่กูกำลังเขียนอยู่ กูแบบไม่อยากเขียนแล้วอ่ะ แต่มันก็แบบมาค่อนนึงแล้วอ่ะ คนอ่านก็รออยู่ นี่กูประกาศหยุดอัพไปสักพักแล้ว TT^TT
คือในหัวกูมันแบบมีพลอตเรื่องใหม่แล้วอ่ะ
พลอตเรื่องนี้มันแบบแห้งเหือดไปแล้ว คือกูวางพลอตเรื่องนี้ไว้จนจบแล้วแหละ แต่แบบเขียนไปมันก็รู้สึกแห้งๆ ไม่กระดี้กระด๊าแบบตอนแรกๆ กูเป็นงี้ตลอดเลยอ่ะ แบบตอนแรกๆก็เขียนแล้วก็แฮปปี้ ไปเรื่อยๆความอยากแม่งลดลงๆจนเริ่มไม่อยาก เฮ้อออออออออ ชีวิตตตตต แต่กูก็แบบคนอ่านเค้าก็อุตส่าห์รอกูวววอย่างอดทน
มาบ่นเฉยๆ 55555
เรื่องมันเศร้ากุเขียนฉากโรแมนติกไม่ได้ แม่งไม่ถนัดเลย เขียนอะไรก็ได้ยกเว้นโรแมนติก
ม้าางงงงงง กูไปดูหนังรัก แม่งกลายเป็นเศร้าแทน หรือความรักจะเป็นทุกข์จริงๆ มันทุกข์จนกูแต่งโรแมนติกไม่ออก
อิจฉาเรื่องที่แต่โรแมนติกอ่านแล้วฟินได้ว่ะ ประสบการณ์ในชีวิตเยอะสินะ อยากรู้ว่าคิดขึ้นเอง หรือเคยเจอจริงๆ
มึง ถ้าพระเอกกู เป็นประธานบริษัท(ได้รับมรดกมา) แต่ไม่อยากเป็นต่อแล้ว มันลาออกไปดื้อๆได้เลยป่ะ ต้องขายหุ้นทิ้ง หรือยังไง
เรื่องธุรกิจกูไม่สันทัดจริงๆ
เพื่อนโมง กูขอปรึกษาหน่อยดิ
คือกูเขียนฟิคมาก่อน แต่ตอนนี้เริ่มผันตัวไปเขียนนิยายวายไทยธรรมดาละ กูสามารถไปฝากโปรโมทนิยายได้ที่ไหนบ้างอะ
ตอนนี้คนอ่านของกูก็คือคนที่เป็นแฟนผลงานตอนเขียนฟิคนี่แหละ แต่กูอยากได้คนอ่านใหม่ๆเพิ่มบ้าง
ช่วยบอกบุญกูหน่อยนะ ขอบคุณมาก
Fictionlog ระบบคล้ายๆธวลอ่ะ แต่เค้าก็โปรโมทให้วายจริงๆ คือถ้าถูกเค้าโปรโมทก็ดีไป ไม่ถูกก็แย่หน่อย 5555
กูว่าลงในเล้าคนก็อ่านเยอะละนะ
กูก็ลงในดด.แล้วก็ในเล้าด้วยแหละ แต่ในเล้านี่แบบ เค้าคงไม่คุ้นชื่อกูมั้ง เลยไม่กดอ่านกัน กูคงต้องสู้ต่ออีกยาวๆ T___T
เล้าคือที่ไหน?
ไม่แนะนำ Fictionlog นะ เจ้านี้ทำคดีไว้เยอะระวังวันดีคืนดีงานจะไปอยู่ที่อื่นโดยไม่บอกเจ้าของงาน ไป readawrite คนน้อยแต่ชัวร์กว่า
ผึ้งมี ธวล มีฟิกชั่นลอก มีจอย ประมาณนี้มะ
เดี๋ยวนี้ธวลแม่งบ้าบอคอแตกสัดๆ ขายเสื้อย่งเสื้อยืด เวบก็ล่มทุกวี่ทุกวัน
ถ้าเครือเดียวกันนี่ก็แปลกอยู่นา ธวล.แม่งโปรโมตจอยบึ้มๆ แต่ไม่ยักกะโปรโมตฟชล.กับสตรล.เลย เขาแบ่งลูกรักลูกชังกันเหรอวะ?
ฟินโนเวลอ่ะ ของใคร ส่งข้อความมาชวนกุลงนิยายรัวๆเลย กุกลัว
เพื่อนโม่งกูขอถามหน่อย
คือกูอยากเขียนแนวแฟนตาซีผจญภัยอะนะ แต่ก็อยากเจาะตลาดกลุ่มผู้หญิง (ที่ไม่ใช่สาววาย) ด้วย
กูควรจะหาองค์ประกอบอะไรมาลงบ้างดี?
>>331 คนอ่านผู้หญิงเหรอ จริงๆก็ตามข้างบนพูด 55555 คนหล่อเยอะหน่อย นางเอกเก่ง เนื้อเรื่องสนุก มีบทโชว์ความเก่ง (ที่พูดมามันอาจจะเกร่อๆ แต่คนอ่านชอบนะ กูก็ชอบอ่านอะไรแบบนี้ อ่านเอาเพลินๆสนุกดี) ถ้าจีนได้ก็จะตลาดกว้างหน่อย ถ้าจะไปผจญภัยแฟนตาซีก็จะแคบลงอย่างเยอะเลย
มึง ถ้านิยายกูไม่มีฉากเยเลย แต่มีซีนพระเอกฝันเปียกนี่ยังถือว่าเรทอยู่มั้ยวะ
โมใ่งนักเขียนมีใครเคยใช้เล่มนี้ "เขียนนิยาย โดย รตชา" ที่เขาว่าเป็นเล่มในตำนานเป็นหลักการเขียนนิยายบ้าง มารีวิวหน่อย มันแพง กูทำใจซื้อไม่ได้จนกว่าจะมีคนตัวเป็นๆ บอกว่าคุ้ม
590 กูช็อค
ky ใครเคยเขียนๆ ไปแล้วอยากเปลี่ยนพระเอกกลางคันบ้างวะ กุพึ่งเคยเป็นครั้งแรกช็อคสุดๆ เลยว่ะ ทำตัวไม่ถูก ปกติกุนี่ไม่เคยหวั่นไหวกับพระรองเลยไม่ว่าจะดีหรือเลวขนาดไหน แต่เรื่องล่าสุดที่กูเขียน นางเอกดูเจ้าเล่ห์แต่เป็นคนใสๆ อยากให้คู่กับพระเอกที่ภาพลักษ์ใสๆ แต่เกรียนหลบใน รักกันเพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันและผูกพันธ์โดยไม่รู้ตัวงี้ ส่วนพระรองกูนี่สูตรสำเร็จพระเอกนิยายเลย คือเป็นนักธุรกิจ ขรึม ไม่มีข่าวฉาว หัวโบราณ เหมือนหมาพันธุ์ใหญ่ซื่อบื้อๆ ที่ซื่อสัตย์กับเจ้าของอ่ะ เขียนๆ ไปแล้วใจกูเทไปที่พระรองเยอะมาก ธรรมดากุชอบตลค.แบบนี้อยู่แล้วด้วย แต่เรื่องนี้ที่กะให้คนแรกเป็นพระเอกเพราะอยากสื่อถึงคู่รักที่พัฒนาจากความเป็นเพื่อน พึ่งพากัน ชีวิตเอียงกะเท่เร่กันทั้งคู่แต่ก็ช่วยกันฉุดอีกคนขึ้นมา ถ้ากุให้คนหลังเป็นพระเอกมีความรู้สึกว่าพี่หมากูน่าจะออกแนวเป็นผุ้ให้ซะเยอะ เซลฟ์อินเซิร์ทได้ฟินๆ กุไม่อยากให้เรื่องออกมาแนวนั้น แต่กุก็ตักใจจากเขาไม่ลง 555 ทำไงดีวะ
กูเอาคำแนะนำเพื่อนโม่งไปตั้งชื่อนิยายกูละ
ต่อไปชื่อตอน พวกมึงเอาชื่อตอนกันยังไง แบบลิเกจ๋า หรือแบบอ่านแล้วนึกว่าชื่อนิยาย หรือแบบคำสั้นๆ วลีเด็ดๆ
>>343 อย่านิสัยเหมือนกู ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
แต่ส่วนตัวกูไม่ชอบแบบ >>345 เพราะนี่ยึดติดว่าใครชอบใครต้องชอบให้สุด หรือจะไปชอบใครใหม่ก็ต้องตัดใจให้ขาด (พระรองกูเลยนกถาวร) แต่ก็นั่นแล ทางเลือกอื่นคือมึงก็ไม่ต้องให้พระรองมึงออกตัวชอบนางเอกเรื่องนี้แค่เป็นเพื่อนรุ่นพี่อะไรก็ได้ แล้วไปใส่จัดเต็มให้นางเอกใหม่ของฮีซะ
>>346 ของกูเอาคีย์เวิร์ดสั้นๆไม่พร่ำเพ้อ แต่เป็นเมนของตอนอะ
กูเขียนแนวที่ปกติคนไม่ค่อยเขียนกันเช่นแม่เกลียดลูกในไส้ นี่มันดาร์กไปเหรอมึง
เพื่อนโม่งกูถามหน่อย ช่วงต้นเรื่องเขียนยังไงไม่ให้น่าเบื่ออะ?
พอดีกูเป็นพวกชอบเขียนช่วงต้นเยอะ เพื่อให้คนอ่านรู้สึกอินไปกับเนื้อเรื่อง แต่หลักนิยมเดี๋ยวนี้เขาดันชอบแบบดำเนินฉับมันเลยทำเอาสไตล์กูล้าสมัยไปเลยเนี่ยสิ
กูพยายามคิดนะว่าจะทำยังไง แต่สุดท้ายก็ต้องใช้ไม่ต่ำกว่า 30 หน้าเพื่อปูเซ็ตติ้งอะ
30 หน้านี่คือ 1 บทอะ ซึ่งใน 1 บทนี้จะกล่าวถึง
1.ตัวเอกเป็นใคร
2.มีความสัมพันธ์กับใคร
3.เซ็ตติ้งเป็นอย่างไร
4.ปิดท้ายด้วย มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ถึงได้กลายเป็นเรื่อง
ซึ่งอันนี้กูจะแบ่งออกเป็นตอนย่อยๆ ตอนละประมาณ 3000 คำ ดังนั้นมันเลยตกเฉลี่ยที่ประมาณ 3-4 ตอนเองน่ะ
เออ เพื่อนโม่ง กูมีปัญหาแล้วว่ะ เหมือนช่วงนี้กูเสพอะไรฝรั่งเกินไป แล้วกูคิดบทสนทนาออกเป็นภาษาอื่นหมดเลยอะ พอมาปรับเป็นไทยแล้วมันไม่เข้ายังไงไม่รู้ แบบความต่างทางภาษาอะมึง ฝรั่งแม่งไม่ใช้คำเยิ่นเย้อแบบไทยด้วยไง หรือกูควรเบนไปศึกษาแล้วเขียนสำนวนฝรั่งเลยดีวะ แม่งก็ดูไม่ค่อยเข้าอีก
>>359 สำหรับกูนะ ถ้าตอนไหนสำนวนเป็นแบบไหน กูก็เขียนแนวนั้น เขียนตอนนี้สำนวนฝรั่ง ก็เขียน chick-lit เลยไรงี้ คือกูคงมีแนวที่อยากลองอยู่แล้วสำหรับภาษานั้นๆ อย่างตอนไหนจีนๆก็เขียนแนวจีน แต่ถ้าตอนไหนมึงจี้นจีนนน แล้วไปเขียนแนวธรรมดาหรือฝรั่ง แม่งจะติดสำนวนจริงๆนะ มันเอาออกยากด้วยอ่ะ บางทีมันเขียนไปโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าระวังๆหน่อยก็ได้อยู่วว
กูลองอ่านนิยายตัวเองในมือถือดูพบว่ายาวชิบหายยาววายวอด สงสัยกูต้องลดหน้าลงบ้างละ scrollแล้วแบบยาวนานมาก กูทำให้คนอ่านกูใช้โควต้าอ่านปีละ8บรรทัดหมดไวไป จนลืมสังเกตปมที่กูเฉลยไว้ตั้งแต่บทนำ555
โม่งนักเขียน พวกเอ็งบรรยายยังไงให้คำมันไม่ซ้ำกันบ้าง
ตอนนี้กูพยายามใช้ 1000 คำศัพท์นิยาย ไม่ก็หนังสือของแพลงตอน มีใครเคยใช้หนังสือของพวกนี้ไหมหรือรู้จักหนังสือใกล้เคียงไหม
ถามหน่อย เว็บที่ลงนิยายตอนนี้มันมีเว็บอะไรบ้างอ่ะ?
Ky(?) เขียนยังไงไม่ให้คนอ่านรู้สึกถูกยัดเยียด พอดีไปขุดมู้เก่าๆมาเรื่องวินทร์ยัดเยียดเลยกังวล
มึง สมมุติมีคนอ่านเกลียดนิสัยตัวละครมึงมากพร้อมบอกให้เปลี่ยนนิสัยมึงจะเปลี่ยนนิสัยตัวละครนั้นแมะ ร้อย แปดสิบคอมมเม้นมีด่าไอ้นี่ ซัก 50%
กูแต่งเพื่อให้มันเป็นปม อยู่แล้วรอเฉลย คนอ่านก็เร่งกูจัง นิสัยเยอะของตัวละครกูมันมีปมอยู่ ฮืออออ
นี่ถ้าอีกหน่อยกูเปิดตัวตัวร้าย กะว่าตอนสิบ นี่คนอ่านไม่เผาเรื่องกูเลยเร้อะ
อันนี้แค่ตัวเอกนะ...เข้าใจว่าอิน แต่ แต่ รออีกนิดนุง...
กูอยากติดสำนวนจังเลยว่ะ ทุกวันนี้เขียนอะไรไม่ค่อยออกเลย พอจะหางานคนอื่นมาอ่านก็ไม่ค่อยเจอที่ถูกใจซักที กูชอบแนวแฟนตาซี โดยเฉพาะที่คนไทยแต่งนะ แต่หาหนังสือที่ชอบจริงๆ ย้ากยาก มาตรฐานสูงด้วยแหละ จะเอาของสมัยเด็กที่ซื้อไว้อย่างพวกบารามอสกลับมาอ่านใหม่ก็กลัวจะไม่สนุกเหมือนเดิม แต่สงสัยคงต้องพยายามมองข้ามเรื่องนั้นแล้วดูแต่สำนวนให้มันซึมซับเข้าไปว่ะ 555
>>372 หรือกูลงตอนพิเศษให้คนอ่านเข้าไปการกระทำตัวละครนี้เลยดีมั้ยวะ
ตัวละครกูเป็นงี้ พระรอง นอกจากพระเอก มันไม่เคารพใครทั้งนั้น นิสัยมันเหมือนพระเอกที่นอกจากแฟนมันมันไม่สนใจใครทั้งนั้น ถ้าเทียบความเหี้ยกูยังว่าพระเอกเหี้ยกว่า (จงใจ) แต่มึง คนชอบ...
กูม่ายเข้าใจจจจ
มึง กูเขียนนิยายแล้วชอบไปกังวลกับพวกยอดคอมเม้นอะ ทำยังไงให้กูเลิกคิดมากเรื่องพวกนี้ดี มันทำให้กูไม่มีอารมณ์จะเขียนตอนต่ออะ
ละอีกเรื่องพอดีกูมีนักอ่านประจำ แล้วทีนี้ช่วงหลังๆนักอ่านประจำที่เคยเม้นกุทุกตอนหายอะ กุแบบเครียดมากว่ากุเขียนไม่ดีตรงไหนหรอ รู้สึกแย่กับงานเขียนตัวเองมาก ตรงนี้ควรปรับปรุงที่นิยายตัวเองหรือปล่อยๆเขาไปดีวะ แม่งเครียดเว่อ
นิยายเดี๋ยวนี้ลงเว็บไหนเวิร์คที่สุดอ่ะ
ปล.ไม่ใช่นิยายวาย นิยาย 18+
>>377 กูก็เป็นอะมึง จนตอนนี้หยุดพักเขียนไปยาวๆ เลย ;___; แล้วยิ่งแบบไปอ่านเจอทวิตหนึ่งว่าการที่อ่านอ่านไม่เมนต์เนี่ย คนเขียนจะไป blame คนอ่านไม่ได้ เพราะบางทีคนเขียนไม่สามารถดดึงอารมณ์คนอ่านให้ไปถึงจุดนั้นได้เอง กูก็ยิ่งรู้สึกแย่ เพราะถ้าพูดกันตามตรงเลยนะ คนอ่านขี้เกียจเมนต์หรือนิยายพาอารมณ์ไปไม่ถึงกันแน่ กูเห็นบ่อยเลยเวลาคนเขียนประกาศว่าจะหยุดอัพฟิค นักอ่านเงานี่มาเมนต์ขอโทษกันพรึ่บ กูควรรู้สึกไงดีวะมึง
>>379 ใช่เลย แต่กูก็ไม่อยากเอาการนอยคนอ่านมาทำให้กูต้องรู้สึกแย่อะ คือคนเขียนบางคนเขียนดีกว่ากูแต่เม้นน้อยกว่าก็มีและอีกอย่างในความคิดกูนะจะให้มันพีคทุกตอนเงี้ยก็ไม่ได้อะมึง เศร้าใจ ตอนนี้คงทำได้แค่พัฒนางานตัวเองให้ดีกว่าเดิม
>>380 กูพยายามคิดแบบนั้นเหมือนกันเว้ยว่าตอนแรกเราเขียนนิยายเพื่ออะไร เราเขียนเพื่อความพอใจของตัวเองไม่ใช่หรอ แต่แบบบางทีมันก็ยังมีอารมณ์ที่ชอบเอาของตัวเองไปเปรียบเทียบกับนิยายที่แนวคล้ายของตัวเองว่าทำไมเขาฟีดแบคดี คนเม้นเยอะไรงี้ คือลองสังเกตดูกูว่าเขาไม่ได้ภาษาสวยมาก (เวลากูเขียนนิยายกูชอบกังวลว่าภาษาตัวเองจะไม่สละสลวยอะ) ละแบบเออทำไมคนถึงชอบ ตอนนี้เลยกำลังพยายามปรับปรุงการเขียนของตัวเองให้กระชับขึ้น
>>379 >>380 >>381 กูคนอ่าน เม้นมั่งไม่เม้นมั่ง อยากบอกพวกมึงว่าเม้นน้อยแต่เม้นตรงประเด็นมันดีกว่ามาก เวลากูจะอ่านนิยายกูดูเม้นคนอ่านเดิม ๆ ด้วย ถ้ามีแค่ รอจ้า ขอบคุณจ้า ดีจ้า ชอบจ้า มาต่อเร็ว ๆ มีแต่แบบนี้เพียบกูเดาได้เลยว่าไม่มีอะไรให้อ่านหรอก แต่ถ้าเม้นถึงพระเอกนางนู่นนี่มีวิเคราะห์คาดเดามากมายกูจะสนใจนะ ถ้ามึงมีนักอ่านคุณตะพาบแล้วมึงจงดีใจเหอะ อย่าไปนอยเลย มึงอยากได้นักอ่านแบบอ่านทีละสิบเรื่องแล้วอ่านแต่บทสนทนาเอามันเหรอ มึงก็ไม่อยากได้ใช่ปะ คนอ่านที่อ่านหนังสือจริง ๆ จัง ๆ ก็ต้องรอให้พีคถึงจะเม้น ถ้ามึงเขียนโคตรพีคแล้วไม่มีคนเม้น อันนี้มึงค่อยคิดมากจะดีกว่า
>>382 อ่านเม้นมึงละทำให้กูคิดได้อย่าง หลังๆมาคนเม้นกูน้อยก็จริง หน้าเดิมๆหาย แต่คนเม้นช่วงหลังๆเม้นที4,5,6บรรทัด แสดงว่าเค้าคงอินบทอยู่พอสมควร เอาจริงๆกูดีใจนะเหมือนมีคนเม้ามอยด้วย ถ้าปกติมีแค่เม้นว่ารอจ้า กูก้ไม่รู้จะคุยอะไร ไว้ถ้ากูกลับไปอัพตอนใหม่จะพยายามไม่นอยเรื่องเม้นละ ขอบคุณมาก
เรื่องคนเม้นนี่กูบอกเลยถ้าใครจะพูดว่าไม่สน กูคนนึงที่สนมาก คือแม่งมีผลต่อจิตใจกูมากกก สมมติแบบตอนนึงเคยมีสักห้าสิบ แล้วตอนใหม่อยู่ดีๆลดไปยี่สิบเงี้ยะ กุจะแบบเครียดละกูทำไรผิด บาบตอนเรื่องมันก็ต้องเรื่อยๆมั่งอ่ะ
ละพอเป็นงี้แม่งจะทำให้กูเหมือนเสพติดเว่ย แบบทำไงให้ตอนต่อไปตื่นเต้นแม่งตื่นเต้นทุกตอน กระทบเส้นเรื่องกุไปอีก เฮ้อออออออ
แบบเวลากูเห็นคนทวิตทำนองว่าเขียนเพื่อตัวเองก็ใช้ได้แล้ว คือมันก็ใช่เว่ยยย กูเขียนเพราะอยากเขียนแต่คอมเม้นที่ทำให้กูมีความสุขกูก็อยากได้
กูเข้าใจเลยแต่เอาตามตรง20เม้นต่อตอนของมึงก็เยอะ โคตรรรละ สำหรับกูนะ แต่สำหรับมึงคือเข้าใจว่าเคยได้อะไรเยอะกว่านั้นไงพอได้น้อยมันก้จะมีความรู้สึกแบบ เห้ยเกิดไรขึ้นวะ กูว่าบางทีนะถ้าไปแคร์มากมันจะทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเองด้วยปะวะ กรณีกุคล้ายๆมึงแต่จะเป็นตอนไหนมีฉากฟินคนเม้นพรึบบบจ้า ตอนไหนไม่ฟินอะเงียบเป็นป่าช้าเลย>>384
มึงอยากได้เม้นด่าตัวละครไหม เดี๋ยวกูยกให้ เยอะมาก
ของกู...แม่ง...
วิ่งไปกอดคอลูก(ตัวละคร) กูแทบไม่ทัน
ปล.กูโม่งที่บ่นพระเอกมันเหี้ยกว่าพระรองไม่มีใครด่า แต่คนมาโฟกัสพระรองกันหมด ใช่สิ พระรองทำอะไรก็ไม่เข้าตา ฮือลูกรักแม่
กูอยากได้เม้นแนวรอจ้า บ้าง
เพื่อนโม่ง ขอความเห็นหน่อย คือพอดีกูหาคำจำกัดความกับคำว่า "Enchantress" ไม่ได้อะ
คือตัวละครในเรื่องกู (ก็นางเอกนั่นล่ะ) เป็นเด็กที่ค่อนข้างพิเศษน่ะ มีความสามารถในการคุณกับสัตว์ คุยกับต้นไม้ และพวกภูติ กับวิญญาณป่าเขาได้ เอาง่ายๆ คือเป็นเด็กที่ธรรมชาติรักนั่นล่ะ เจ้าตัวสามารถขอยืมพลังจากธรรมชาติมาสร้างปาฏิหาริย์เล็กๆ ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดใช้เวทมนตร์ระเบิดภูเขาเผากระท่อมอะไรทำนองนั้น
ในคำแปลภาษาไทยมันแปลว่า "แม่มด" อะนะ แต่ปัญหาคือไอ้คำว่า "แม่มด" เนี่ย มันดันเป็นความหมายเดียวกับคำว่า Witch กับ Hag ที่ออกไปในทางไม่ดี อีนางเอกกูก็ดันอยู่ฝั่งดีซะด้วยเลยไม่กล้าเขียนไปตรงๆ ว่าเป็นแม่มด ฉะนั้นจึงอยากปรึกษาเพื่อนโม่งหน่อย ว่ามีคำนิยามไหนเหมาะกับคุณเธออีกมั้ย?
ดำเนินเรื่องแบบไหนไม่ให้อืดหรือเร็วไป
ของกูสองสามตอนนางเอกอายุเพิ่มอีกปีละ เร็วไปป่ะ มีคนบอกว่ากูเร้ว
เพื่อนโม่งกูได้หนังสือคลังคำในตำนานมาครอบครองแล้วสุดยอดมาก
ถ้าเล่มหนาโคตรๆ หนังสือคลังคำ
http://readery.co/media/catalog/product/cache/1/small_image/360x/17f82f742ffe127f42dca9de82fb58b1/9/7/9786161811662.jpg
อันนี้แนะนำซื้อบัตร Gift-Voucher 1000บ. ในร้านนายอินทร์ ได้บัตรสมาชิกฟรี2ปี ได้ส่วนลด
ซื้อที่ร้านนายอินทร์ได้ทุกสาขา
715บาท เอาไว้ฟาดหัวเกรียนคีย์บอร์ดได้
ทำไมกระทู้แลกเปลี่ยนนิยายมันเยอะจังวะ เพื่ออะไร ได้นักอ่านที่ไม่ได้ตั้งใจอ่าน? แต่แลกเม้นกัน?
กลุ้มว่ะเพื่อนโม่ง ความรู้สึกอยากเขียนนิยายกูหดหายไปเกลี้ยงเลยตอนนี้
พักหลังๆ มานี่กูเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองแล้วว่า "เขียนไปทำไมยังไงแนวที่กูเขียนก็ไม่ได้ตีพิมพ์ ...สู้เลิกเขียนออกจาก comfort zone แล้วไปตั้งใจทำงานดีกว่ามั้ย?" ด้วย
กูชอบเขียนนิยาย แต่มาปัจจุบันพอมีอะไรหลายอย่างให้คำนึงกับการเขียน กูก็พาลเอาไม่อยากเขียนซะงั้นเลยอะ
>>406 กูไม่ได้ว่ามึงนะ แต่กูค่อนข้างเบื่อเวลาเจอนักเขียนมาบ่นว่างานตัวเองไม่ได้ตีพิมพ์เพราะไม่ใช่แนวที่ขายได้ ถ้าทุกอย่างของมึงดีหมด ตกรอบแค่แนวที่เขียนเนี่ย กูอยากให้มึงลองพิสูจน์ตัวเองหน่อยว่าฝีมือดีจริงแต่ไม่ได้รับโอกาสด้วยการเขียนแนวแมสๆ แนวที่มึงคิดว่าขายได้ดู ถ้าส่งพิจารณาแล้วผ่าน มึงค่อยมาบ่นเรื่องนี้อีกที โอเคมั้ย
>>406 กูเข้าใจนะเว่ย มันขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ที่มึงเขียนด้วย
เช่น มึงอยากเขียนเฉยๆ เขียนแล้วสบายใจ มีความสุข อะไรก็ว่าไป หรือมันเกินกว่านั้นไปแล้ว อยากตีพิมพ์ อยากมีชื่อเสียง อยากเลี้ยงตัวเองได้
บอกตรงๆเลย สำหรับกู กูอยากให้การเขียนของกูเลี้ยงกูได้ กูไม่ได้เขียนเพราะแค่ได้เขียนก็พอแล้ว กูเลยเข้าใจฟิลลิ่งนี่นะ เขียนแล้วก็ไม่ได้พิมพ์สักที แม่งก็ท้อถอย
ส่วนความรู้สึกที่ว่าไม่อยากเขียนกูรู้สึกว่า ถ้าตอนไหนรู้สึกไม่อยากเขียนแล้ว รู้สึกว่าเขียนไปก็เท่านั้น ไปทำอย่างอื่นที่หาแดกได้ดีกว่า กูว่าก็ไปทำอย่างนั้นเหอะว่ะ ไว้ค่อยกลับมาใหม่ตอนมึงอยากเขียนแล้วก็ยังไม่สาย
>>406 แค่อ่านคำพูดมึงกูก็งงแล้ว ไม่รู้ว่านิยายมึงขายไม่ได้เพราะคำพูดงงรึเปล่าวะเนี่ย
สู้เลิกเขียนออกจาก comfort zone แล้วไปตั้งใจทำงานดีกว่ามั้ย?
"ออกจาก comfort zone" เนี่ยมึงสื่ออะไรวะ งานเขียนเป็น comfort zone มึงจะออกจาก comfort zone แล้วหางานทำ
หรือ งานเขียนเป็นการออกจาก comfort zone มึงจะเลิกแล้วกลับ comfort zone ไปหางานทำ
ว่าแต่พจน์นี้มันเติมมาเพื่ออะไรกูไม่เข้าใจ
กลับมาที่คำถามมันขึ้นอยู่กับมึงเขียนเพื่ออะไรว่ะ เขียนเพราะอยาก รายได้เป็นของเสริมก็เขียนต่อไป
เขียนเพื่อเงิน มึงก็ต้องทำตัวตามตลาด เขียนนิยายแบบที่มันขายได้ (เช่นช่วงนี้เป็นเสิ่นเจิ้น หรือนิยายรักไม่มีวันตาย) ศึกษาคนที่ขายได้ว่าเขาทำไงกัน
แต่ถ้ามึงทำใจเขียนแนวตลาดไม่ได้ อยากเป็นตัวของตัวเองก็ต้องทำใจเรื่องยอดด้วย ต้องหางานทำ
>>406 กูผ่านจุดนั้นของมึงมาก่อน กูหยุดเขียนไปทำงานประจำ 2-3 ปี สนุกกับการทำงานเลยเลิกเขียนพอเบื่องานประจำแล้วก็ทำแบบ >>407 เขี่ยงานประชดแมส พล็อตไม่มีห่าอะไรเลย เอาจากเรื่องนั้นแปะเรื่องนี้ใส่พระเอกปล้ำนางเอกเยอะๆ แม่งเสือกขายได้ ได้พิมพ์ ขายดีมากพอที่บ.ก.มาถามว่ามีเรื่องอื่นๆ เรื่องเก่าจะเสนออีกหรือเปล่า (ซึ่งมันจะไปมีงานอีโรตลาดอีกได้ไง)
ส่วนตอนนี้กูทำอะไร งานประจำว่ะ กูเลิกเขียนเพื่อพิมพ์หรือประชดเลย นามปากกานั้นกูโยนทิ้งไปแล้ว กูเขียนที่กูอยากเขียน งานเขียนของกูคือรับใช้กูไม่ใช่รับใช้แมส
>>412 กูก็เคยเขียนอิโรติกรับใช้แมส 5555 ขายดีจริง ได้เงินเยอะที่สุดเท่าที่กูเคยได้มาจากงานเขียนเลย แล้วก็แบบเขียนง่ายมาก เหมือนใส่ๆเข้าไปให้มันเต็มๆเล่ม สองสามวันกูก็ฝอยจนจบแล้วอ่ะ แล้วก็ขายเลย เทียบกับแนวปกติกูเขียนอาทิตย์นึงได้ตอนเดียวมั้ง แล้วก็ขายยากกว่าอิโรติกเยอะ
>>410 โทษทีกูคงอธิบายไม่เคลียร์
Comfort zone ที่กูว่านี่คือ ทุกวันนี้กูทำงานแบบชิลๆ รับงานน้อยๆ แล้วใช้เวลาว่างเขียนนิยายน่ะ คือเป็นการทำงานแบบขอไปทีไม่เน้นความก้าวหน้า แต่เน้นสบาย เข้างาน 9 โมง 5 โมงออกงาน ไม่ทำ OT ซึ่งถ้ากลับกันกูเลิกอยู่แต่ใน comfort zone แล้วไปขยันวิ่งงาน (ทำงาน 8 โมงถึง 2-4 ทุ่มอะไรทำนองนั้น) ฐานะงานของกูก็จะก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด แต่ต้องแลกกับเวลาส่วนตัวที่แทบจะไม่มีนั่นเอง
ส่วนเรื่องงานเขียน ...เพราะกูรู้ดีนั่นล่ะว่ากูเขียนแนวแมสไม่ได้ กูไม่ชอบนิยายรัก ไม่สามารถเขียนนิยายวาย และจะให้ไปเกิดใหม่ในจีนก็ไม่ใช่จริตกู กูถึงได้แต่เขียนแนวของตัวเอง แต่ก็ดันเป็นแนวที่ตลาดแทบไม่รองรับ กูถึงได้รู้สึกเหมือนว่าเขียนไปเพื่ออะไรนั่นล่ะ
>>414 ถ้าสนุกแนวไหนก็มีคนเห็นว่ะ
ขยันโปรโมทหน่อย ไม่ใช่แบบ เนี่ยกูไม่ใช่แนวแมส กูมั่นหน้าว่าตัวเองเขียนดี กูไม่โปรโมทรอคนมา
มึงดูโฆษณาในทีวีบางอันแม่งไม่ได้ดีอะไรเลย แต่คนใช้ คนลอง เพราะมันเห็นบ่อยๆ ทำให้เกิดความรู้สึกสนใจ
หากโฆษณาแล้วยังไม่มีคนสนใจ นั่นเพราะฝีมือมึงห่วย อย่าโทษฟ้าดินเลย
>>414 มึงเขียนทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่แนวขายดี ก็ต้องทำใจแต่แรก
ถ้าที่เขียนเพราะมึงชอบอย่างนั้น ก็เขียนไป
ถ้าเขียนแล้วอยากขายได้ หรือมีคนมาคอมเมนต์ชม มึงก็ต้องตามใจตลาด
...งานเขียนที่คนเขียนแล้วไม่รู้สึกสนุกไปกับมันเลย มันคงไม่สนุกตั้งแต่แรกแล้วล่ะ
ฉะนั้นตัดจบ
เขียนในสิ่งที่อยากเขียน หรือ เขียนในสิ่งที่ต้องการให้แนวตลาดชอบ
ต้องเลือกตั้งแต่แรกแล้ว
เป็นกูถ้า 5-10 ตอนแรก ไม่รู้สึกสนุก คือเรื่องนั้นจบ ไม่เขียนต่อให้เสียพลังงานและสมาธิอีกแล้ว
โม่งนักเขียน บิ๊วอารมณ์ให้หายหดหู่ได้ไงว่ะ
กูยิ่งเขียนยิ่งดาร์กเหี้ยๆ
ม
พูดถึงเรื่องโปรโมตแล้ว เพือนโม่งโปรโมตนิยายตัวเองกันยังไงบ้างวะ?
อ้อถามอีกอย่าง การเลือก POV1/3 นี่ เพื่อนโม่งแต่ละครมีแนวทางการเลืิอกยังไงบ้าง
ตอนนี้กูมีความคิดอยากจะรีไรท์จาก POV1 ไปเป็น 3 แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำดีมั้ย
มึงงง กูเพิ่งรู้สึกว่าอี 3000 คำ เด็กดีนี่เยอะชิบหายยย
คือถ้าเป็นเรื่องเก่ากูนะ อัพแบบตอนนึง 5 หน้า (นี่ 100 เปอร์เซ็นละนะ) เมื่อก่อนกูเขียนสั้นอ่ะ แบบกูเขียนได้แค่นั้นไรงี้ ดีที่ตอนนี้เริ่มคงที่ละเขียนได้ยาวขึ้น ประมาณสิบกว่าหน้าถึงยี่สิบไรงี้
วันนี้กูมาแบบกะจะเขียนตอนสั้นๆ แบบเป็นตอนพิเศษไรงี้อ่ะมึงง มันแบบบอัพแล้วไม่เตือนนน เพราะมันไม่ถึง 3000 คำ TTT^TTT
แต่งไปแต่งมาเนื้อเรื่องไม่ตรงกับชื่อเรื่องแล้วว่ะ ควรแก้ชื่อไหม
นอกจากแนววายแล้ว ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ยังอ่านแนวตัวเอกเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่าวะ?
เห็นนักอ่านผู้ชายชอบบ่นเวลามีเรื่องไหนเป็นตัวละครเอกเป็นผู้หญิง ไม่รู้ว่าฝ่ายหญิงจะมีแนวคิดแบบเดียวกันรึเปล่า
ไม่รู้จะคุยกท.ไหน ถามหน่อยดิ Pieretta Dawn เป็นเด็กปั้นที่ไหนป่ะวะ กุอ่านนส.นางแล้วไม่ชอบอ่ะ นิยายพล็อตดาดๆ กากๆ ทำไมดูสื่อปั้นจัง
ขยายความอีกหน่อยดีกว่า เท่าที่จำได้นะ นางเป็นลูกคนมีตังค์ (อันนี้ประโยคบอกเล่าเฉยๆ) วันนึงก็เขียนนิยายเกี่ยวกับนางเงือก Mermaid apprentice อะไรนี่แหละเป็นอิ้งแล้วลองส่งนานมีดู(มั้ง) ได้สุมาลีที่แปลแฮร์รี่มาก่อนช่วยแปลเป็นไทยให้อีกที ได้ข่าวว่ามีพิมพ์ขายที่ตปท.ด้วยมั้ง แต่ไม่ได้ข่าวนานเลย ตอนนี้เป็นไงมั่งล่ะเนี่ย ว่าแต่ทำไมจู่ๆถึงเอามาพูดวะ มีอะไรมากกว่านี้รึเปล่า
อ่ะ เอาหน้าวิกิมาให้เลย เป็นภาษาอังกฤษหมด คงพออ่านไหวนะ
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Pieretta_Dawn
>>436 กูว่าดังอยู่ช่วงนึงมั้งนะ แล้วก็ซาๆไป ถามจริงๆเถอะ แค่สงสัย ถ้าเขียนเป็นไทยตั้งแต่แรกคงไม่ดังขนาดนี้ใช่ไหมวะ คือดังแหละ แต่คงไม่ถึงขั้นได้ตีพิมพ์กับตปท.แบบนี้ (เออ กูพยายามหาข้อมูลแล้ว แต่เจอเล่มเดียวที่เป็นภาษาอิตาลีว่ะ เล่มอื่นๆซีรี่ย์อื่นๆไม่เห็นมีแปลเลย ขนาดไปหาในเว็บสนพ.อิตาลีก็ไม่มีผลลัพท์)
>>434 ใช่ กูเห็นผ่านๆว่าจะได้ตีพิมพ์กะต่างประเทศด้วยไรนี่แหละ เลยอยากลองซะหน่อย แต่แปลกตรงที่ทำไมแทบไม่เห็นรีวิวหรือมีกระแสอะไรเลยจากคนอ่านวะเห็นแต่สื่ออวย กูจะซื้อกูก็ไม่กล้า แล้วกูก็สงสัยอีกอย่าง ถ้าเขียนอังกฤษได้คล่องขนาดนั้น ทำไมไม่พิมพ์กะสำนักพิมพ์ต่างประเทศเลยวะ จะพิมพ์กะสำนักพิมพ์ไทย แล้วค่อยแปลไทยไปทำไม
เฮ้อกลุ้มแฮะ ตอนนี้กูรู้สึกเหมือนสูญเสียความสามารถในการคิดพล็อตว่ะ
คิดจุดเริ่มต้นได้ แต่คิดว่าจะให้จบยังไงไม่ออกเลย
กูสูญเสียความสามรถในการใช้คำ ดูอยากบรรยายให้สวยๆ แบบเหมือนกวงกวี จนาดที่หนังสือคลังคำที่ซื้อมายังช่วยไม่ได้ หรือเพราะกูมัวกังวลการใช้คำมากไปวะ
แบบผู้หญิงเดินมา
ก็ดรุณีเดิน
>>442 บางคนยิ่งกดดันมากยิ่งนึกไม่ออก เลิกคิดแล้วไปหาอะไรทำ เวลามันจะมาเดี๋ยวมันมาเองแบบไม่ต้องคิด
>>443 ใช้ให้พอดี อย่าทำให้ดูพยายามมาก พื้นฐานคนอ่านคำศัพท์ในหัวก็ไม่ได้เยอะไม่ต้องใส่คำยากบ่อยก็ได้ จังหวะมีก็ใส่ จังหวะไม่มีพยายามใส่มันดูแปลก บางทีเอาคำยากมาผสมคำง่ายก็ดูง่อยไป บางทีก็ขึ้นอยู่กับยุคสมัยตามเนื้อเรื่อง
ผู้หญิงเดินมา สมัยปัจจุบันก็อาจจะ หญิงสาวผู้นั้นขยับเข้ามา ยุคเก่าสักหน่อยก็ ดรุณีย่างเท้าเข้ามาใกล้ ยุคโบราณหรือแฟนตาซีเลยก็อาจจะ นงรามเยื้องย่าง แต่ถ้ารักษาบรรยากาศทั้งเรื่องไม่ได้ก็อย่าฝืน เขียนธรรมดาไปก่อนค่อยมาขัดเกลาหรือกลับไปอ่านเพิ่มมากๆ จนกว่ามันจะลื่นไหลออกมาเอง ศัพท์ยากไม่ได้ทำให้การบรรยายสวยงามเสมอไป เลือกใช้ให้เหมาะสมอ่านแล้วไม่ติดขัดดีกว่า
>>445 เห็นด้วยนะ นี่เคยอ่านนิยายเรื่องนึง เขาใช้ภาษายากๆทั้งเรื่อง ยากแบบที่ต้องมานั่งแปลไทยเป็นไทย ต้องมานั่งเปิดพจนานุกรมว่าคำนี้ๆแปลว่าอะไรอะ บางครั้งก็ใช้ภาษาสวยๆบรรยายให้มันยืดยาวเวิ่นเว้อเกินไปจนดำเนินเรื่องไม่ถึงไหนซะทีด้วย กว่าจะอ่านจบแต่ละบทแม่งโคตรเหนื่อย 555555555555
กูก็มีปัญหากับการเขียนว่ะ แต่ก่อนเขียนได้อย่างน้อยก็ 5 หน้า a4 อักษร 14 p เขียนได้ทุกคนไม่มีติดไม่มีตัน ตอนนี้เหรอ กูเขียนไม่ออกอะ ทั้งที่มีเนื้อเรื่องอยู่ในหัวอยู่แล้ว มันเหมือนกับกังวลเรื่องการใช้คำ กลัวจะซ้ำ กลัวจะไม่สวย หรือคิดคำไม่ออก บางทีแค่คิดคำ ๆ เดียวคิดอยู่ต้องนาน ว่าคำนั้นในความหมายนั้นควรใช้คำไหนดี ไม่รู้เพราะอะไรจู่ ๆ ก็มาเป็นกังวลกับการใช้คำได้ กูบอกเลย ใครที่เขียนนิยายอยู่ แล้ววันหนึ่งมาเป็นกังวลกับการใช้คำ จะทำให้ชะงักไปเลยเหมือนกูเนี่ย อืดเป็นหอยทากมากกว่าจะเข็นออกมาได้แต่ละตัวอักษรแต่ละบรรทัด แต่ก่อนคิดว่าแต่งนิยายง่ายโคตร แค่มีเนื้อเรื่องในหัวทุกอย่างก็ลื่นไหล เพราะมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่ตอนนี้ผิดล่ะ ไว้อาลัยให้กับตัวเอง
>>449 อย่าพูดไป ตอนโดนดองนาน ๆ กูกลัวงั้นจริงนะ เช่น monster soul ตอนหายรอบที่แล้ว มีคนมาเม้นท์ว่า นักเขียนตายแล้ว กูไม่กล้าถามต่อเลยว่าเรื่องจริง หรือโมโหรอนานเฉย ๆ
มีอีก 2-3 เรื่องที่กูกลัวอยู่ตอนนี้ อยากจะบอกนักเขียนว่ามาส่งเสียงหน่อยเถอะ แค่มาบอกว่ายังไม่ตายก็ยังดีซักเดือนละครั้งก็ได้
กูไม่เข้าใจทำไมคนเกลียดตัวละครตัวนี้ของกูจังวะ ไหนบอกชอบตุ๊ดไง
พอเอาตัวละครตุ๊ด (เอาเพื่อนกูมาใช้) เสือกไม่ชอบ รำคาญ ลำไย
หรือมีแต่กูที่ทนเห็นนิสัยเพื่อนกูเป็นปกติ
กูก็บอกแลิวววว ตัวละครนี่มันตัดผมในยุคที่ไม่มีใครตัดกันนิสัยมันก็ขวางโลกอยู่แล้ว
คนอื่นนอกจากมันทำตามกฏหมดแหละ ทำไมไม่สังเกตกันเลยยยย
//ร้องไห้ รู้สึกเหมือนเพื่อนกูโดนด่า
แล้วตัวละครที่ด่ามันแบบเป็นตัวดีนะ ถ้าตัวร้ายออก คอมเม้นคงลุกเป็นไฟ ...
มีพล็อตเยอะ แต่คิดตอนจบไม่ออกเลยว่ะ อยากจะแต่งก็กลัวหาจุดจบไม่ได้ เซ็ง
ขออนุญาตแทรก ไม่รู้ว่าถามมู้นี้ถูกไหมนะ ใครมีสนพ.ที่เพิ่งเคยรู้จักมาจีบบ้างไหม แล้วทำยังไง พิจารณาอะไรกันบ้างก่อนตัดสินใจคุย
ตัวหนังสือส่งผลกับการอ่านแมะ หากเรื่องสนุกแต่ตัวเล็กชิบหายจะอ่านไหม กับตัวใหญ่เกินไปจะอ่านต่อไป
สำหรับกู...ปาทิ้ง สนุกแค่ไหนกูปวดตามาก
เลือกฟ้อนตาดีๆกันด้วยนะโม่ง
นอกจากขนาดตัวอักษรแล้วสีก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย พื้นเว็บสีเหลืองอ่อนตัวหนังสือเสือกสีขาว อิบ้าา
กูว่าสีดั้งเดิมเด็กดีอะสบาย9kสุดแล้ว แต่งหน้าหลักพอ ข้างในไม่ต้องแต่งหรอกเพื่อนโม่ง คนอ่านไม่สน แต่งมาก ๆ รำคาญอีก simple is the best
รำคาญพวกแต่งตีมหนักๆเหมือนกัน หิมะต่งหิมะตก หรือแบบกดแล้วเปลี่ยนเงี้ยะ บางทีในมือถือแม่งเปลี่ยนรูปแบบแต่กดเข้าไปไม่ติดนะไม่อ่านแม่งเลย
กูใช้ stylish แก้แม่งให้หมด ลำไย
เออโม่งนักเขียน เวลามึงคิดคำโปรยหลอกล่อคนมาอ่านเลือกใช้กันแบบไหนกัน สอนกูที ทุกวันนี้กูใช้มุกตลกที่นางเอกพระเอกส่งหากันเป็นคำโปรยอยู่
แต่งบทเศร้ายังไงให้เศร้ากันวะมึง
แค่แต่งถึงฉากต่อสู้กันแล้วติดขัดมั้ยมึง
กูกำลังคิดอีกจะเอา pov กว้างหรือ เฉพาะผ่านสายตาตัวเอกพอ
แบบเป็นฉากจู่ๆ ก็โดนข้าศึกซุ่มโจมตีงี้
ในหัวกูแบบมีเป็นฉากเลยเว้ย แบบหูยอลังการ พอจะเขียน เริ่มแบบกูต้องบรรยายหมดจริงไหมวะเนี่ยคนอ่านจะอินไหม
พวกมึงเขียนยังไงกัน
ก็อยากให้คนอ่านเห็นภาพตามยังไง มึงก็เล่าแบบนั้น นึกถึงเวลาดูหนัง ลำดับในหัวที่จะอธิบายภาพตรงหน้าของมุมตัวละครที่ข้องเกี่ยวและมุมมองพระเจ้า ภาพตัดต่อยังไง มึงต้องเล่าให้คิดตาม
อยากจะแต่งเรื่องสเกลใหญ่ๆแบบการเมือง ประเทศ สงคราม ชิงไหวชิงพริบ บ้าง
แต่โง่เกินกว่าจะแต่งว่ะ 😥เศร้า
กูเขียนแล้วไม่กล้าแปะลงสักที แปะแล้วลบแปะแล้วลบ กังวลนู่นนี่ กลัวมันห่วย กลัวคนนู้นคนนี้มาอ่านแล้วคิดว่ากูเป็นคนแบบนู้นแบบนี้ ทำไงดี ฮือ
>>447 เออ เข้าใจๆ เป็นเหมือนกันเลย เดี๋ยวนี้ก็พยายามฝึกตัวเองด้วยการเขียนเรื่องสั้นไปก่อนเรื่อยๆ แต่กูก็เครียดว่ะ แบบเขียนได้แต่เรื่องสั้นๆ แต่เขียนเรื่องยาวไม่ได้เลย กูเห็นคนอื่นเขียนได้ รวมเป็นเล่มได้ก็อิจฉา พยายามปลอบใจตัวเองว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน ค่อยเป็นค่อยไป แต่บางทีก็อดท้อไม่ได้จริงๆว่ะ
กูถามหน่อยสิ พวกมึงคิดว่าเทรนนิยายจีนนี่จะอยู่ไปได้อีกนานมั้ย คือกูมีพล็อตนะ มีแบบมาเรื่อยๆ เขียนเรื่อยๆ แต่ช่วงนี้กูติดงานหลายอย่างเลยไม่ได้เขียนต่อ กลัวว่าพอว่างเขียนอีกทีเทรนมันจะหมดแล้ว กูกลัวไม่มีคนอ่านพูดตรงๆ
พวกมึงที่อัพนิยายลงเว็บต่างๆ มึงลงทุกวันหรือลงประจำทุกอาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง หรือนึกออกเมื่อไหร่ค่อยลงกัน
กูเพิ่งเริ่มเขียนเรื่องสั้นอะ แต่ไม่รู้จะไปลงที่ไหน อยากให้มีคนมาวิจารย์ด้วยอะ เพื่อนโม่งมีแนะนำกลุ่มหรือคอมมูนิตี้พวกนี้ไหมครับ
>>480 อีกนาน แต่มันไม่ใช่พล็อตนะ มันเป็นแนวทางบรรยายอีกแบบหนึ่ง พล็อตอาจจะเป็นยุคอดีตก็ได้ยุคปัจจุบันก็ได้ จะสอบสวนก็ได้ กูว่ามันอยู่ได้เรื่อยๆ แนวการเล่าเรื่องมันคนละแบบกับนิยายไทยแล้วถูกจริตคนไทยด้วย กลุ่มคนอ่านนิยายจีนฐานมันมีหลายสิบปีแล้วพอๆ กับวัฒนธรรมการอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นนั่นแหละ มันฝังลึกอยู่ไม่ได้มาฉาบฉวย
ปรึกษา ตอนนี้มีพล็อตนิยายแฟนตาซีอยู่ในหัวมา8ปีล่ะ แนวพวกอมนุษย์ปนกับมนุษย์นี่แหละ แวมไพร์ หมาป่า บลาๆ แต่ตั้งธีมไว้ว่า
1.อยู่ในยุคปัจจุบัน อาจจะซ่อนสังคมไว้เหมือนแฮรรี่
เพราะอยากให้พวกบทสนทนามันใส่pop cultureไปด้วย
2.ไม่มีเวทมนตร์ อาจจะพอมีพลังแบบอธิบายได้เหมือนX-men
3.เป็นคนชอบอ่านประวัติศาสตร์อยุ่แล้วเลยอาจจะใส่เนียนๆแบบGOT
อันนี้คือแต่งเอาสนุกนะ พิมพ์คงไร้ปัญญา5555 แต่ตอนนี้ตันมากคือ
1.จะให้ตัวเอกมันเข้าสุ่โลกอมนุษย์ยังไงไม่ให้ดูโชเน็นหรือซ้ำซาก(มีคนมาหาแล้วบอกว่าเจ้าคือผู้กอบกู้,คนสำคัญ,ลูกผู้ยิ่งใหญ่ที่พลัดพราก,อยุ่ดีๆพ่อแม่โดนฆ่า คือคิดได้แค่นี้จริงๆT T)
2.อยากให้มีความแบบ เจ้าชายเจ้าหญิง คิงควีน เป็นผู้นำแต่ล่ะเผ่าพันธุ์ ต้องมาทำงาน ประชุม เฉือดเฉือน แย่งอำนาจ แต่พอเซตโลกปัจตุบันล่ะแม่งขัดกันชิบ มันไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบพวกโลกสมมติง่ะ
3.พวกอมนุษย์ตอนแรกคิดว่าจะใส่แค่พวกแวมไพร์ มนุษย์หมาป่า แบบทางยุโรป แต่ซักพักรุ้สึกว่ามันแปลกๆ แบบ อมนุษย์ฝั่งเอเชียเท่ากะว่าไม่มีหรอ อันนี้รวมพวกสัตว์ในตำนานแบบมังกร ไรงี้ด้วย
4.เรื่องซ่อนโลกจากมนุษย์ คือคิดอยุ่ว่าถ้าไม่มีเวทมนตร์มันจะซ่อนไง สมมติมีสงครามตายห่ากันหมดงี้
ขอเป็นพวกreference นิยายที่ควรไปลองอ่านดูก่อนก็ได้เน้อ
ขอโทษนะถ้ามารบกวน แต่ไม่มีใครให้คุยหรือบ่นเลย คุยล่ะก็โดนด่าว่าแบบบ้า ไร้สาระ คือเป็นคนชอบอ่านนิยายเลยอยากลองแต่งแต่มันตันอ่ะT T แนะนำได้นะ ฮือออ
>>486 คือกะจะเป็นเซตติ้งทั้งโลกอะ เพราะถ้าทั้งโลกแม่งมีแค่พวกแวมไพร์ หมาป่า พวกอมนุษย์ฝั่งตะวันตกมันดูแปลกๆปะ555 คือกูคิดพล็อตไว้ตอนประถมเบียวๆไงเลยไม่คิดเหตุผลไร พอกูโตมาอ่านพวกnon-fictionเยอะขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแม่งเลยจบที่กูก็งงตัวเอง ตู้ม5555
กุว่าคงให้โทนแม่งฮาๆกวนๆด้วยแหละ ถ้ามึงคิดว่าพาโรดี้กุก้ดีใจ ขอบคุณเพื่อนโม่งมากที่เป็นกำลังใจT T
>>485
1. มึงอยากให้เป็นแบบไหนล่ะ จุดเริ่มต้นตอนนี้คือหนึ่งในโปรไฟล์ตัวละครในอนาคตนะ ประมาณเป็นส่วนประกอบหลักของตัวละคร แต่พอบอกว่าไม่อยากให้โชเน็นนี้ก็..........
- เป็นผู้คลั่งไคล้เรื่องแบบนี้ พยายามทดลองไปอีกโลก
- มีคนสั่งให้ไป ประมาณมีคนหลอกใช้
- เป็นอุบัติเหตุโดยบังเอิญ (เช่น โลกนี้มันซ้อนทับกันอยู่แล้ว ทุกๆคนล้วนหลุดไปอีกโลก จนต้องตั้งกรมตำรวจสืบหาโดนเฉพาะ ไรงี้)
จริงๆมันก็หลากหลายแหละ แต่มึงเซตประวัติตัวละครยังไง เช่น สายเลือด พลัง ปมด้อย เป้าหมาย สถานการณ์
คือใครก็คิดให้มึงไม่ได้ดีเท่าตัวมึงเอง เพราะมึงเป็นคนเซตเรื่องราวต่อจากนั้นเองนี้หว่า คนอื่นทำได้แค่ยกตัวอย่าง
>>488 คง2แฮะ แบบโดนคนหลอกใช้ไปให้โดนฆ่า เข้าไปแบบเด๋อๆไรงี้ หรือไม่ก็หลอกไปฆ่าคนที่เกี่ยวกะตัวเองโดยตรง(พ่อ,แม่,พี่,น้อง ที่แท้ทรู) คงประมาณนี้
เออ ถามหน่อยว่ามึงคิดไงกะพล็อตแนวหลอกว่าคู่กันแต่เปนญาติพี่น้องกันไรงี้วะ(แบบลุคเลอางี้ ที่แม่งจูบกันภาค5แล้วตอนหลังหักว่าเป็นแฝดแล้วเลอาไปคู่ฮาน แต่กูคงไม่กล้าเขียนแบบเจมี่เซอร์ซี่ใน GOT ไม่ไหว)
เฮ้ย ขอบคุณพวกทุกโม่งมากนะคะTwT
ky ระหว่าง ?! กับ !? ที่ถูกคืออันไหนวะ
มึง เวลาเขียนนิยายนี่ก็ควรเลี่ยงการบอกชื่อแบรนด์หรืออะไรงี้ตรงๆใช่มั้ย? ถ้าสมมติกูเขียนแฟนฟิค(ย้ำว่าแฟนฟิค)แล้วใส่ชื่อร้านอาหารไปมันจะผิดมั้ย? แล้วถ้ากูเขียนแบบไม่ได้บอกตรงๆว่าร้านที่กล่าวถึงเป็นร้านอะไรแต่คนอ่านจะเดาออกทันทีนี่ก็ผิดด้วยมั้ยวะ?
>>496 ที่ไหนวะกูไม่รุ้ ขอคำใบ้5555
เวลากุอ่านการ์ตูนกุก้เหนใช่้ชื่อแฝงหมดนะ แต่กุก้เหนนิยายบางเรื่องมันใช้ชื่อจริงเช่นบอกว่า พระเอกชอบวงลิงกินผัก(ใช้ชื่อจริงๆเลยนะ) นางเอกหน้าเหมือนแพดเม่ไรงี้
คือกูชอบเพลงVincentมากไง กูอาจจะแปลไทยนิดๆแบบ ราตรีประดับดาว แสงวับวาวสีเทาน้ำเงิน ไรประมาณนี้ หรืออาจเอาพวกบทกวีฝรั่งมาแปลไทยในสำนวนของกุแทน
ไม่รู้ว่าผิดมั้ย แต่กูเห็นนิยายญี่ปุ่นหรือจีนบางทีก็ใช้ เมืองA มหาลัยT ไรงี้ กูว่าก็ง่ายดีนะ ไม่ต้องคิดเยอะ 55555
กู>>495
>>496 อห กูนี่อ๋อรัวๆเลยจ้า แหม55555555
>>497 มหาลัยแถวรังสิตที่ชอบกัดกับจุฬา กูก็สับสนเหมือนกัน อย่างนิยายบางเรื่องก็ใช้คำตรงๆไปเลย แต่บางเรื่องก็เลี่ยงเอา
>>498 นิยายที่กูจะเขียนมันอารมณ์นิยายนำเที่ยวในชีวิตประจำวันว่ะ เลยรู้สึกว่าถ้าใช้สถานที่จริงจะสามารถเชื่อมโยงกับคนอ่านได้ง่ายกว่า แต่กูก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันผิดหรือถูก เราเอ่ยชื่อได้แค่ไหน อันนี้ต้องเลี่ยงมั้ยหรือยังไง วุ่นวายชิบเป๋ง
Ky อีก ถ้ากูจะลองเขียนแฟนตาซี แล้วกูจะใช้ชื่อตอนเป็นเพลง อาจมีเนื้อเกริ่นนิดๆ แล้วบรรยากาศพล็อตมันจะประมาณเนื้อหาเพลง(คงไม่ตรงหมดอะ สมมติเพลงแบบตอนจบเมียฆ่าผัวเด่วแม่งรุ้กันตั้งแต่สารบัญพอดี555) มึงว่าจะเวิคปะ
เวลาเขียนนี่ใช้อะไรวัดดีวะว่าตรงนี้ควรบรรยาย ตรงนี่แค่เขียนรวบใจความก็พออ่ะ กูก็คิดเองว่าส่วนที่ไม่จำเป็นสำหรับเรื่องมากนัก เขียนสั้นๆก็น่าจะพอ แต่บางทีก็ชอบคิดว่าห้วนไปป่ะวะ ต้องเขียนอธิบายอะไรเพิ่มอีกรึเปล่า
อืม กูกำลังมีปัญหาว่ากลัวจะเขียนบรรยายแล้วคนอ่านไม่รู้เรื่องอ่ะ ชอบกังวลเรื่องนี้อยู่เรื่อยเลย แบบเขียนไปแล้วคนอ่านจะนึกภาพตามได้มั้ยนะ กูให้เพื่อนอ่านตรวจบ้างแต่เขาก็ไม่ได้ว่างตลอดแหละ ไหนจะบางเรื่องกะจะทำหนังสือทำมือขาย (รวมเรื่องสั้นนะ) กูก็เลยไม่อยากลงที่ไหนให้คนมาอ่านก่อน แต่กลายเป็นว่าจะไม่มีคนวิจารณ์น่ะสิ 555
เพื่อนโม่ง ขอความเห็นหน่อยนะ
คิดว่าถ้าสมมุติจะเขียนนิยายแฟนตาซีซักเรื่องทำนอง คนธรรมดา กับ แม่มด แบบนี้คิดว่าตัวเอกแนวไหนน่าจะเหมาะกว่ากันระหว่าง
1. หนุ่ม - สาววัยเดียวกัน (วานิลา!)
2. เด็กชาย - คุณพี่สาว (โอบะ!)
3. หนุ่มฉกรรจ์ - สาวน้อยวัยแรกแย้ม (โลลิ!)
พอดีมีพล็อตในหัว (แต่ยังไม่มีเวลาเขียน) เลยอยากจะระบายมันออกมาก่อน แต่ยังกำหนดธีมตัวละครไม่ได้เลย~
มึง เลยหาทางลงในแต่ละบทในนิยายไม่เจอมั้ย
กูหาทางจบตอนไม่ได้
แบบกูอยากให้คนอ่านรู้สึกเหมือนค้างคา ต้องทำไงดี
ปกติกูชอบเขียนแบบ พีคกลางเรื่อง มาพีคท้ายเรื่องกูทำไม่เป็นแนะนำที
ky หน่อย กูเกลียดนักเขียนทุกคนที่ตั้งชื่อตอนสปอยเนื้อหาในตอนนั้นโว้ยยยยย สัส กำลังลุ้นๆว่าใครจะชนะ แม่งเสือกตั้งชื่อตอนว่าชัยชนะของ... ไอ้บ้าาา ไอ้ชิบหายยยย มึงทำแบบนี้ทำไมมมม ต่อให้มึงเป็นนักเขียนเลเวล1 แต่งนิยายในพันทิป ก็อย่าทำ!! อย่าทำ!!!
"ราคาไม่แพงเลยค่ะ เต็มใจให้ผู้ปักมากๆๆๆๆ" ?? คนปักไม่ได้เงินใช่ป่ะ?
แล้วไม่ได้เงินทำไม มีบวกค่าศิลปินวะ งง ใน งง. นี่คือที่มาคำว่าศิลปินไส้แห้ง
"เชื่อว่า เมื่อสำนักนี้ร่ำรวย เขาจะยิ่งมีกำลังทำสาธารณประโยชน์ยิ่งๆขึ้นไป"
ยูนิคอร์นบินตัดทุ่งลาเวนเดอร์ เฉี่ยวผ่านหัวกุเลยค่ะ
กูไม่แปลกใจแล้วที่คนเขียนคะค่ะไม่ถูก มันแยกเสียงไม่ได้กันนี่เองว่าเวลาเอาพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์มาประสมกันแล้วพยางค์หรือคำนั้นเสียงวรรณยุกต์อะไร มันเป็นเรื่องที่สอนตั้งแต่ประถมต้นเลยนะ ต้องรื้อสอนกันใหม่หมดเลยเหรอ สิ้นหวังแล้วคนไทย
มึงงงงง กูหาโพสต์ที่เราคุยๆ กันเรื่องศิลปินได้เงินหรือไม่ได้เงินจากสนพ ผี...ไม่เจอแล้วว่ะ กูหาไม่เจอหรือมันโดนลบวะ
การเขียนไม่จำเป็นต้องเขียนทุกวันก็ได้ใช่ป่ะวะ กูเห็นยางคนก็บอกไม่จำเป็น แต่อย่างร้อยก็คิดถึงมันบ่อยๆก็ยังดี คือไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับวิธีนี้ใช่มะ แต่ละคนก็แตกต่างกัรไป บางคนเขียนได้เร็ว บาวคนนานๆทีมีผลงานที ทำไมต้องใช้วิธีเดียวกันเป๊ะๆด้วยวะ แค่มันเป็นส่วนใหญ่กว่าเท่านั้นเหรอ
>>527 แล้วแต่คน แล้วแต่ความจริงจัง ถ้าทำเป็นงานก็ต้องมีกำหนดการ เขียนบ่อยๆ ทำให้เขียนลื่นกว่า แต่เขียนลื่นกว่าไม่ได้หมายความว่าเขียนออกมาแล้วจะเป็นงานที่ดีกว่า บางคนก็นั่งคิดเฉยๆ ได้ บางคนจะเขียนอะไรบางอย่างอาจต้องชมนกชมไม้นั่งฟังคนคุยกัน จุดประกายอะไรบางอย่างในชั่วขณะแล้วเอาสิ่งนั้นออกมาเขียน แต่ถ้าผ่านมาเป็นเดือนหลายเดือนไม่ได้อะไรเลย ไม่ใช่แปลว่ากำลังรอแรงบันดาลใจ มันแปลว่ามึงขี้เกียจ
ปัญหาใหญ่คือ ขี้เกียจ นั่นเอง
กูเขียนแล้วแต่อารมณ์กู ผลก็คือ ตอนเดียวค้างมาสองเดือนแล้ว
อารมณ์ไม่มาฝึกเขียนทุกวันก็เท่านั้น ได้มาลบใหม่อยู่ดี เพราะเขียนเหี้ยไรลงไป
บทจะมาก็มาเลย
ฝึกทุกวันไม่ได้ผลกับกูว่ะ555
เออมึงคนติดตามนิยายเยอะ แต่คอมเม้นน้อยหมายความว่าไงฟะ ไม่มีจุดไรฟิึพอให้คอมเม้นสินะ?
เพื่อนโม่ง จะเรียกว่ากูโลกแคบก็ได้แต่กูสงสัยมานานแล้วว่า อะไรคือแฟนตาซีแนวไทย?
กูนึกออกแต่แนว หมอผี พญานาค อะไรพวกนี้เท่านั้นเอง
536-538 ใช่มั้ย? กูเองก็นึกไม่ออก
กูอยากจะลองจำกัดความของคำว่า "แฟนตาซีไทย" เผื่อว่าจะหาเอกลักษณ์ไปเขียนแข่งกับพวกนิยายจีนบ้าง แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ
>>539 กูก็คิดอยู่เหมือนกัน อยากได้แฟนตาซีไทยๆบ้าง
แต่ เออ นิยามแฟนตาซีไทยที่นึกออกเลยคือพวกสิงหไกรภพ พระอภัยมณีงี้
อยากหาพวกตำนานไรมาใช้เขียนบ้างเหมือนกัน
พวกของไทยแท้ๆจริงๆหายากอะ อย่างปู่สังกะสา ย่าสังกะสี งี้เหรอ
ผีพื้นบ้านไทยเอาจริงก็น่าสนใจนะ หมอลำผีฟ้า เสือสมิงกระสือกระหังผีปอบผีโขมดดงไรงี้
เอาจริงกูว่าพวกนิทานพื้นบ้านไทยน่าสนใจนะ แต่ไม่ค่อยมีคนรวบรวมไว้เท่าไร
แต่กูว่าถ้าจะหาแบบของไทยแท้ๆห้ามซ้ำอย่างอื่นกูว่าคงไม่ได้หรอก วัฒนธรรมเรารับกันมาปนๆไปหมดอะ อย่างพื้นที่แถบๆนี้ก็มีผีคล้ายๆกระสือเหมือนกัน กูถือว่าถ้ามันเปลี่ยนแปลงไปจนเป็นเอกลักษณ์ต่างจากที่อื่นนิดหน่อย ก็คงถือว่าเป็นของไทยได้แล้วมั้ง
กู540 ขอบ่นต่ออีกหน่อย เออ ทำไมกูถึงเพิ่งนึกออกเนี่ย
แฟนตาซีไทย ตอนเด็กๆกูชอบสิงหไกรภพจะตาย แดกใบไม้แล้วแปลงร่างได้ แฟนตาซีจะตาย
พระอภัยมณีก็ค่อดพ่อค่อดแม่ที่สุดแห่งความแฟนตาซีแล้ว ม้าบินได้ ยักษ์ นางเงือก เวทมนต์ คาถา ปล่อยพลังกันตู้มๆ
หลวิชัยคาวีก็แฟนตาซี เสือวัวกลายเป็นคนงี้ เชฟชิฟเตอร์มั้ยมึง
สี่ยอดกุมารอีก มีของวิเศษประจำตัวไรงี้ด้วย
โสนน้อยเรือนงามแม่งก็แฟนตาซี
พิกุลทองก็แฟนตาซี อุทัยเทวีก็แฟนตาซี
เอาจริงๆ แฟนตาซีไทยแม่งเยอะชิบหายเลยนี่หว่า แค่กูชอบจัดมันอยู่ในหมวดนิทานพื้นบ้านหรือวรรณคดี
เอาจริงๆจินตนาการคนไทยสมัยก่อนค่อดบรรเจิด
แนวเกิดใหม่ ก็ปลาบู่ทอง โหย โคตรจะอินเทรนด์ 555555555555
สมรสอสุรา ที่เป็นยักษ์ แฟนตาซีมะ
อีปลาบู่ทองนี่เจ้าแห่งการเกิเใหม่เลย เกิดแต่ละตัวแม่ง...ไมไม่เกิดเป็นคนเหมือนเดิมวะ
กูชอบพระรถเสนกับนาง นางไรวัใช่ชื่อนี้ป่ะ ที่เป็นยักษ์แล้วผัวหนีไป อีกชาติกรรมตามทันพระเอก นางเอกหนีบ้าง
ใช่ชื่อนี้ไหมวะ
ไปอ่านมาละใช่ว่ะ อีพระรถเสน กูเกลียดมันพอๆ กับเจ้าชายในแก้วหน้าม้า ไม่สวยนี่แบบไม่แยแส พอสวยมาง้อ ฟวย ไปตายซะเป็นกูเอาอีโต้เฉาะหัวไปแล้ว
สไตลินิยายตบหัวแล้วลูบหลังในสมัยนี้เลย
มองสิ ทองเชี่ยไร 5555
พระเอกวรรณคดี กูเกลียดสุดคืออิเหนาหว่ะ
พระรถเสนอยู่ในเมืองยักษ์ด้วยความสุข แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังระลึกถึงมารดาและป้าของพระองค์ จึงคิดหาอุบายโดยการจัดเลี้ยงสุราอาหาร นางเมรีเมามายและหลอกถามถึงห่อดวงตานางสิบสอง อีกทั้งกล่องบรรจุดวงใจของนางสันทมาร นางเมรีก็พูดด้วยความมึนเมา บอกเรื่องราวและที่เก็บสิ่งของสำคัญตลอดจนยาวิเศษขนานต่างๆแก่พระรถเสนจนหมดสิ้น พระรถเสนจึงนำกล่องดวงใจ ห่อดวงตาและยารักษารวมทั้งยาวิเศษที่โปรยเป็นภูเขา เป็นไฟ เป็นมหาสมุทร ติดตัว หนีออกจากเมืองไป
ครั้นเมื่อนางเมรีหายจากความมึนเมาไม่เห็นพระรถเสน นางจึงรู้ว่าพระรถเสนหนีไปแล้ว นางกับเสนายักษ์ได้ออกติดตามพระรถเสนด้วยความรัก พระรถเสนควบม้าหนีมาแต่นางเมรีก็ตามทัน พระรถเสนโปรยยาให้เป็นมหาสมุทร นางเมรีสิ้นแรงฤทธิ์ไม่สามารถจะข้ามมหาสมุทรได้ นางเฝ้ารำพันอ้อนวอนให้พระรถเสนกลับเมืองไปอยู่กับนาง แต่ม้าได้ทัดทานไว้ นางเมรีเศร้าโศกคร่ำคราญจนดวงใจแตกสิ้นใจตาย พระรถเสนกล่าวขอโทษต่อหน้าศพนางแล้วให้เสนายักษ์นำกลับเมือง ในที่สุดพระรถเสนก็ตัดใจกลับเมืองไปช่วยมารดาและป้าๆ
จริงๆ มันบอกตรง ๆ ก็ได้ใช่ป่ะ นางรักพระรถเสนขนาดนี้
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.