กระทู้เพื่อพูดคุยเทคนิคการเขียน และเรื่องการประกวดต่างๆเกี่ยวกับนิยาย
กระทู้ 1 >>>/literature/2342/
กระทู้ 2 >>>/literature/3442/
Last posted
Total of 1000 posts
กระทู้เพื่อพูดคุยเทคนิคการเขียน และเรื่องการประกวดต่างๆเกี่ยวกับนิยาย
กระทู้ 1 >>>/literature/2342/
กระทู้ 2 >>>/literature/3442/
แวะมาเจิม พร้อมแถมนามสกุล https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อนามสกุลที่ใช้กันมาก
ทำไมตัวเอกแบบมีเบื้องหลัง(หรืออดีต/ชาติก่อน) เป็นสายลับ/นักฆ่า/มือปืน ฯลฯ ถึงเป็นที่นิยมจังวะ
ตอนนี้ถ้าจะลงนิยายลงที่ไหนดีระหว่างเด็กดีกับฟิคล็อค?
โม่งบนๆช่วยนิยามคำว่าเบียวให้หน่อยดิ กุจะได้เรียนรู้แล้วพยายามไม่เขียนให้เป็นแบบนั้น
>>13 อันนี้กูเห็นด้วย
หรือไม่ก็แฟนตาซีจัดๆ แบบแต่งคาร์มาแบบฟรุ้งฟริ้งอลังการมาก แบบเบื้องหลัังเป็นนักฆ่า ครอบครัวถูกฆ่า เจ็บปวดกับอดีต ไม่เชื่อใจใคร เป็นคนเย็นชา มีตาสองสีปิดไว้ข้างนึงกลัวคนรู้ความลับ ผมยาว กลายร่างได้ หน้าตาดี เป็นคนที่จะหมุนกงล้อแห่งโชคชะตาของอาณาจักรโมงเนีย เป็นคนที่รอคอยมาพันปี เทพมาก ทุกอย่างเก่ง สะท้านฟ้าทุกย่างก้าว ตัวเอกหญิงทุกคนรัก ความจริงแล้วต้องมีความลับอันดำมืดอยู่ในชาติกำเนิดของมึง แบบอาจจะเป็นลูกของมหาปีศาจ หรือมหาเทพ หรือทั้งสองมหา แค่มึงยืนอยู่ก็ทำให้โลกสะท้านได้แล้วอ่ะ
เบียว ย่อมาจาก จูนิเบียว "Chuunibyou" เป็นภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า "โรค ม.2"
ถึงจะเขียนว่าเป็นโรค แต่ที่จริงไม่ใช่โรคหรอก แต่มันเป็นอาการของเด็กที่ช่วงวัยต่อต้าน ซึ่งคนพวกนี้จะเป็นพวกที่ชอบคิดว่าตัวเองเจ๋ง ทำอะไรนอกกระแสไม่เหมือนใคร หรือเรียกง่ายๆว่าแม่งอินดี้ แต่จริงๆ คนพวกนี้ไม่ได้ชอบอะไรแบบนั้นนั้นจริง ๆ อะ แค่ทำแล้วรู้สึกว่ามัน "เท่" ก็เท่านั้น
นอกจากนั้นยังมีพวกที่หลงไหลในพลังพิเศษอีกด้วย ซึ่งกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า "พวกหลอน" และ จะหลอนยิ่งกว่าเดิมถ้าหากมันคิดว่าตัวเองมีพลังพิเศษและโดดเด่นกว่าชาวบ้าน
ส่วนนิยายเบียวนั้นเป็นศัพท์ที่ห้องสับ Webnovel ใช้กันบ่อย เพราะนิยายเว็ปเด็กดีมันเข้าข่ายทั้งนั้น ปัจจุบันยังไม่มีการนิยามชัดเจน แต่ส่วนใหญ่เอาไว้ใช้เรียกนิยายจำพวกที่พวกพระเอกเก่งเวอร์ มีพลังพิเศษ พลังเทพไม่เหมือนชาวบ้าน ซึ่งพวกนี้มักจะเข้าข่าย Mary sue กันทั้งนั้น บางเรื่องก็วางปมซะน่ารันทดแต่การดำเนินเรื่องกลับไม่เป็นตามปมที่วางเอาไว้ มันเลยเหมือนกับพวก Wanna be ที่อยากจะประกาศว่า กุเป็นแบบนี้นะ แต่ที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอะไรทำนองนั้น
...ผู้เขียนเองส่วนใหญ่ก็เป็นเด็ก
>>17 สัดกดผิดไปโพสต์ซะงั้น เอาเถอะ!
ผู้เขียนนิยายแนวเบียวๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเด็ก และผู้อ่านก็มักจะเป็นเด็ก สังเกตได้เลยจากคอมเม้นท์พวกทำนองว่า สะใจเวลาเห็นตัวร้ายโดนพระเอกยำ และมักจะเกลียดเวลาที่พระเอกแพ้ ต่อให้เขียนเรื่องสมเหตุสมผลว่าทำไมพระเอกถึงอ่อน พระเอกถึงแพ้ คนอ่านพวกนี้ก็ไม่คิดจะอ่านและย้อนกลับมาด่าคนเขียนได้ตลาดเวลา
ที่จริง เบียวก็ไม่ได้แย่หรอกถ้ามันสมวัย แต่โตมาถ้าไอ้พวกนี้รู้ตัวมันแค่จะอับอาย กลายเป็นหลุมดำ ปวศ มืดในชีวิตตัวเอง อายโว้ยยยน่ะ 5555 แต่โตไปแก่ชอบหายยังทำตัวเบียวเนี่ยสิ น่าเป็นห่วงกว่าที่ยังไม่โตอีกเหรอ
นิยายเบียวบาวทีก็ไม่แย่นะ เขียนดีๆ เยียวให้สุดออกมาเหี้ย เท่ทะลุความเบียวว่ะ ก็สนุกดีนะ 555
กุนี่บึ้มไอดีเด็กดีเก่าตัวเองทิ้งแล้วสมัครใหม่ แม่ง เล่มมาตั้งแต่ป5 อาย 55555
กูลองสมัครแปลนิยายวายของ Rose ไป ไม่รู้เขียนได้ดีขนาดไหน ไม่เคยลองแปลมาก่อน แม่งจะคัดโหดป่ะว้า
>>20 เหี้ย เหมือนกูเลย นิยายสมัยม.ต้นกูแม่ง โคตรแห่งความเบียว กูเลิกแต่งไป 6 ปี พอเรียนจบ กลับมาอ่านอีกที กูลบแม่งให้หมดเลย 55555
ลืมไปว่าแวะมาแจกไอเดียนิยายแนวแฟนตาซี ธีมยุโรปยุคกลาง กูบังเอิญไปเจอดนตรีแนว Neo-Medieval ของวง FAUN เข้า แต่ละเพลงฟังแล้วได้ไอเดียโคตรๆถึงจะไม่เข้าใจภาษาเยอรมันก็ตาม ดนตรีพื้นเมืองของ Celtic กับฝรั่งเศสพื้นเมืองนี่ก็เสริมสร้างไอเดียได้มากๆเหมือนกัน ลองไปฟังกันดู
https://www.youtube.com/watch?v=beXW5s3ZCB4
มึง เคยอ่านเรื่องแนวแบบxxxมั้ย
กูไปอ่านแบบในสายตานักเขียนดู ต่างจากสายตาโม่งหื่น
แม่งมันแต่งดีว่ะมึง อ่านแล้วไม่สะดุด
กุแต่งธรรมดายังมีอ่านละสะดุด
ทำไงดี กูหยุดอีดิตงานตัวเองไม่ได้อ่ะ คือไม่ทำตอนเขียนอยู่นี่ทำได้อยู่หรอก แต่พอเขียนเสร็จ จะมารีไรท์มาอีดิตอีกทีนี่ คือเครียดเลย กลัวนั่นนี่ไปหมด กลัวคำซ้ำ กลัวเขียนวกวน กลัวคนอ่านนึกภาพไม่ออก กลัวไม่ถึงพันคำ และอื่นๆอีกมากมาย ปวดหัวว่ะ
มึงผู้ชายพูดฉันกับนายมันไม่แมนเหรอวะคือกูเอาคาแรคเตอร์มาจากเพื่อนสมัยกูไปแลกเปลี่ยนมาแต่งซึ่งมันเป็นฝรั่ง นิยายกูก็แต่งเป็นวัยรุ่นฝรั่งไม่ใช่วัยรุ่นไทยจะให้มาพูดกูมึง กูก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เพื่อนกูไม่ได้ถ่อยขนาดนั้น จะให้พูดผมพอกูคิดถึงหนังหน้าเพื่อนกูกับอารมณ์ตอนมันพูดก็ไม่ใช่อีก มันไม่ได้เรียบร้อยขนาดนั้น เวลากูคุยกับมันก็มีแค่ I you กับเรียกชื่อแค่นั้น พอต้องมาใช้สรรพนามไทยกูแม่งไปไม่เป็นวะ
บางทีกูก็อยากจะใช้สรรพนาม "กัน" - "แก" บ้างนะ แต่คนอ่านคงไม่ชิน 5555
ผู้ชาย พูดฉันกับนายได้
คือเอาจริงผู้ชายแม่งยากเว่ย คือ ในชีวิตจริงมึงกูดูเรียลสุด
แต่ถ้าไม่อยากใช้ มันก็ลดลงมาเป็น ฉันกับนาย ไม่ก็ คุณกับผม ซึ่งดูเป็นกันเอง และทางการ (แบบไม่ค่อยมีสิ่งที่เป็นตรงกลางของสองอันนี้เท่าไหร่) ฉันกับนายก็ดูทางการได้ในบางบริบท
ส่วนเอ็งกับข้า ขอเหอะ...แม่งงงเห็นแล้วหงุดหงิดมากกก กูเห็นล่าสุดในหยูหยู แบบโอ้ยยย สะดุดทุกที
กันแก กูว่ามีเสน่ห์ดี ขึ้นกับเนื้อเรื่องด้วย ถ้าเนื้อเรื่องได้ก็ได้ คนอ่านจะชินรึเปล่า เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของคนเขียนด้วย เคยเห็นแก้วเก้าใช้นะ
38เอง >>43 ปกติกูก็ใช้แค่นั้นแหละ ไม่รู้ว่าจะต้องแต่งให้ตัวละครมันเถื่อน หยาบไปทำไม สงสัยคนที่กูให้อ่านมันชอบนิยายวัยรุ่นแนวม.ปลายกับมหาลัยที่ชอบพูดกันทีปล่อยสัตว์กระจายด้วยละมั้งเลยบอกว่ามันซอฟท์ไป (กู มึง นี่กูใช้แค่ในโม่งนี่แหละ คนจะได้ไม่นึกว่าเป็นกูดี)
>>44 กูชินนะเพราะกูเคยอ่านเชอร์ล็อค โฮล์มส์ กับพวกเล็บครุฑมาก่อน ถ้ามึงแต่งแนวยุคเก่าหน่อยกูว่าคนอ่านรับได้แหละ แต่ถ้าแต่งแนวยุคปัจจุบันกูคิดภาพคนพูดแบบนั้นไม่ออกเลยวะ
พูดแบบเป็นกลางนะ สังคมนักเรียนชายม. ปลาย - มหาลัย มึงกูนี่เป็นสิ่งที่ใช้เป็นปกติมากๆๆๆๆๆๆๆๆ 99.99% อ่ะ คือ ฉัน นาย ไม่มีใครใช้อ่ะ เพื่อนผู้ชายรอบตัวเราแทบไม่มีใครใช้ ขนาดสาวประเภทสองก็มึงกูอ่ะ
กูว่ามันแล้วแต่อะ คือถ้าเขียนให้มันอิงความจริงไปเลยก็กูมึง แต่โม่งที่จะเขียนบอกว่าเป็นตัวละครเป็นวัยรุ่นฝรั่งนี่ งั้นก็ใช้สำนวนแบบนิยายแปลไปเลย นิยายแปลกูเห็นเค้าก็ใช้ ฉัน-นาย เยอะแยะ อ่านแล้วไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรด้วย
เออว่ะ เวลาดูหนังฝรั่ง ซับใช้ฉันกับนายก็ไม่รู้สึกอะไรนะ อารมณ์คงเหมือนนิยายแปลนั่นแหละ ต่อให้พูดกูมึงแต่นิสัยไม่แมนก็ไม่ช่วยหรอก 555
เพิ่มเติม กูกำลังอ่านนิยายแปลที่ตัวเอกเป็นผู้ชายวัยรุ่นฝรั่ง มันก็มีพูดคำหยาบใส่กัน จังไรแบบถอดกางเกงโชว์กระปู๋โชว์ก้นกันไรงี้ แต่คนแปลเค้าก็ใช้ ฉัน-นาย นะ กูเองก็ไม่รู้สึกแปลก
เพราะงั้นโม่งคนเขียนอยากใช้ยังไงก็แล้วแต่ว่าอยากได้ฟีลเรื่องประมาณไหนอะนะ
ถ้าในโลกความจริง ปกติไทยจะพูด มึง กู เพราะเป็นคำที่พวกเราคุ้นเคยที่สุด แต่ในสื่อทั้งหลายน่ะ มึง กู มันเป็นคำไม่สุภาพไงเขาเลยต้องเปลี่ยนเป็น ฉัน นาย ผม คุณ อะไรทำนองนี้
ถ้าถามว่าใช้ มึง - กู ได้มั้ย? ก็ใช้ได้แหละ แต่ว่ามันจะส่อกริยาและวิสัยของตัวละครชัดเลยว่าเป็นคนถ่อย ยกตัวอย่างนิยายฝรั่งที่กุเคยอ่าน พระเอกเป็นคนแบบว่า... เออ... ไม่เชิงเหี้ย แต่ถ่อยไม่มีมารยาทอะ คนแปลเลยใช้ให้พระเอกพูด มึง - กู ตลอดเลย กุก็รู้สึกอินนะ แต่ถ้าเป็นตัวละครธรรมดา แต่กลับใช้ มึง - กู กันนี่ กุอ่านไปก็รู้สึกขัดๆ อะ
เพิ่มเติม... ในของฝั่งญี่ปุ่นจะมีตัวละครหญิงที่ชอบเรียกตัวเองว่า Boku (แปลว่า ผม) พอเอามาแปลแล้วกลายเป็น "เรา" นี่ขอบอกว่ากุแทบละลายเลย รู้สึกน่ารักมากกกกก
ไม่ใช่ว่ากูเรียกร้องอะไรนะแต่บางทีก็อยากให้มีคนมาเม้นงานกูบ้างอ่ะ แบบอยากรู้ว่าเขียนเป็นไงอะไรยังไงบ้าง จะให้เพื่อนอ่านบางทีก็อยู่คนละด้อม อ่านคนละแนวบ้างเลยเกรงใจ ไม่กล้าให้อ่านบ่อยๆ
รบกวนหน่อย
กูอยากใช้ภาษาละตินเป็นเบส ชื่อคนกะสถานที่อยากเป็นละตินให้หมด ละแบบทุกคำมีความหมายไม่มั่วด้วย มีเว็ปไหนช่วยได้บ้าง
นอกเรื่องนิด กูเคยคิดนะว่าอยากเรียนสันสกฤติละตินกะกรีก กูรู้สึกว่าภาษามันสวย มีความหมายล้ำลึก แต่ท่าจะเรียนยากน่าดู
เพื่อนผู้ชายกูคนนึงใช้ เรา เว้ย แม่งไม่เกย์ด้วยสัส หน้าแม่งตี๋ๆขาวๆหล่อยังกะคุณชาย ตัวแม่งก็ล่ำ แต่พออยู่กะพวกกูเป็นลูกหมาให้แกล้งเลยสัส มันไม่สู้คน กูว่าผู้ชายที่ใช้ เรา ในสังคมม.ปลาย ก็คงเป็นแบบมันนี่ล่ะ กูว่าก็ใช้ได้อยู่ ถ้าจะเขียนตัวละครประเภทนี้
ฉัน นาย นี่แทบไม่เคยได้ยิน ฉัน นี่กูได้ยินจากเด็กผู้หญิงไม่ค่อยเต็มบาทคนนึงใช้ นอกนั้นไม่เคยได้ยินจากปากใคร นาย นี่กูกับคนอื่นๆใช้บางครั้งเวลาเรียกเด็กผู้ชายห้องอื่นที่ไม่สนิท แต่พอรู้ชื่อแล้วก็มึงกูอย่างเดียว เอ็ง ข้า นี่พอมีบ้าง ใช้ในสังคมเด็กห้อง 7 8 9 10 รึท้ายกว่านั้น คนที่ใช้ส่วนมากจะเป็นเด็กแก๊งค์ เด็กแว๊น อันธพาล เสือผู้หญิง ในห้องเหล่านั้น ใช้เรียกเด็กห้องอื่นที่ไม่สนิทเพื่อให้ดูสุภาพ แบบเถื่อนๆขึ้น
ผู้ชายเรียกผู้หญิง ถ้าไม่ใช้ชื่อ ส่วนมากจะใช้เธอ ในกรณีที่ไม่สนิท ถ้าสนิทบางทีก็ใช้มึง กู ผู้หญิงเวลาใช้สรรพนามแทนตัวเองนี่มีแค่ เรา เค้า กู อย่างเดียว มีอีกประมาณ 5% ใช้ชื่อตัวเองเป็นสรรพนาม ส่วนฉันนี่ อย่างที่บอกไป มีแต่คนไม่เต็มบาท ไม่ก็เด็กเนิร์ดชอบฟ้องครูเสียงแหลมๆหน้าปุๆใช้
หนู ผม มีบ้างในกรณีคุยกับครู หายากหน่อยก็กับรุ่นพี่ ผม นี่บ้างครั้งก็ใช้กับเด็กต่างโรงเรียนที่เพิ่งเจอกันบางครั้งด้วยเหมือนกัน ส่วนดิฉัน ถ้าไม่ใช้ในงานพรีเซ้นรึอะไรนี่ๆไม่มีแน่นอน ตัวละครแนวคุณหนูที่ใช้สรรพนามนี้บอกเลยแม่งกาก
กูอ่านแล้วหงุดหงิดทุกครั้งเวลาเจอนิยายแนวเลิฟคอมรั้วโรงเรียนเซ็ตติ้งประเทศไทย แต่ใช้สรรพนามแปลกๆ เอาจริงๆเมืองนอกที่ใช้ๆ I กันนี่กูก็รู้สึกว่าเป็นคำว่า เรา มากกว่าฉันว่ะจากประสบการณ์กูนะ
กูลืมไป มันใช้ ชั้น กันด้วยแต่เป็นประเภท occasion สำหรับพวกซึนๆส่วนมากมันจะใช้กัน คนธรรมดานานๆทีก็ใช้เหมือนกัน แต่ปกติใช้โดยผู้หญิงเรียกผู้หญิง มีใช้คะยกับเพื่อนผู้ชายด้วยบางครั้ง
กูสรุปสัดส่วนออกมาคร่าวๆ มึง-กู 40% เรา-เค้า 30% ชั้น 20% 5% ใช้ ข้า-เอ็ง อีก 3% ใช้ชื่อตัวเอง 1.5% ใช้พวก ผม คุณ และ 0.5% ใช้ ฉัน
มันน่าจะแล้วแต่สังคมด้วยเปล่า
น้องเราอยู่โยธิน มึง กู ตลอด (ญ)
เราอยู่มหิดลวิทย์ จะใช้ เรา/ช่ื่อเล่น เธอ นาย แก (ถ้าสนิท)
อันนี้เป็น ญ-ญ ญ-ช ช-ญ นะ ผู้ชายเรียกกันเองลับตาผู้หญิงไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าต่อหน้าเรามี กูมึงบ้าง แต่ไม่มาก ต้องสนิทมากจริง ๆ (พวกกลุ่มที่เล่นเกมด้วยกัน ยืม ckid อ่านทุกสัปดาห์อะนะ - กูก็ร่วมวงยืมด้วย) ที่เหลือเป็น เรา-แกมากกว่า
พูดถึงสรรพนาม กูใช้ปนๆกันไปว่ะ กูมึงบ้าง เองเค้าบ้าง(มาจากตัวเองแต่ดูแมนๆกว่า ใช้กับผช.ซะส่วนใหญ่) เตงเค้า(ใช้เวลาคุยกับเพื่อนผญ.น่ารักๆ) แกกับชั้นก็มี ล่าสุดมีเพื่อนผช.เรียกกูว่าเธอ รู้สึกนุ่มนิ่มสัสๆไม่เคยโดนเรียกแบบนี้ปกติเรียกแต่ชื่อกูกันทั้งนั้น
ถามเพื่อนโม่งหน่อย คำว่า"แถม" นี้ฟังโบราณมั้ย แบบของ"แถม" งี้ ธีมนิยายกุเป็นแฟนตาซียุคกลาง ถ้าไม่ใช้คำว่า"แถม" มันมีคำแทนมั้ยอ่ะ
เราจะรู้หรือค้นได้ยังไว่าศัพท์นี้มันเป็นคำยุคเก่ายุคใหม่ เริ่มใช้เมื่อไหร่? อย่างเพื่อนโม่งข้างบนบอกว่า สิทธิ์เป็นคำใหม่ นี่กูก็เพิ่งรู้
ถ้าเป็นคำอังกฤษยังพอค้นประวัติที่มายุคสมัยได้ แต่ของไทยสืบค้นยากชะมัด
อีกอย่าง สมมุติเซ็ตติ้งยุโรปยุคกลางหรือยุควิคตอเรีย ถ้าไม่ใช้คำทักทายว่า สวัสดี (เพราะคำนี้เพิ่งยุคจอมพลป.) จะใช้คำไหนแทน?
กูว่ามันยากนะ กับการที่รู้ว่าคำไหนโบราณใช้ได้รึเปล่า อย่างสิทธิงี้ กูว่ามันก็ไม่ได้ดูใหม่นะ มันมาจากบาลีสันสกฤตป่ะ
คือยังไง มันจะแปลกนะ ถ้ามึงมีเซตติ้งสมัยวิกตอเรียแล้วต้องใช้คำพูดภาษาไทยที่ใช้ในสมัยนั้น งี้ถ้ากูเขียนยุคกลางนี่จะต้องใช้คำพูดแบบไหนอ่ะ มันเก่ากว่าสุโขทัย อยุธยาอีกนะ ถ้ามึงจะยึดตามไทม์ไลน์ของภาษาไทยไม่ต้องใช้คำไทยแท้ทั้งหมด แล้วพูดกูมึงเหรอ คำว่าฉันก็ไม่มีป่ะะะ
ยิ่งถ้าเทียบกับประวัติศาสตร์จีนก็ยิ่งไปกันใหญ่
"เมื่อชั่วเอดดาร์ด สตาร์ก แดนเหนือนี้ดี" งี้เหรออ (ไม่ได้ลบหลู่ใครหรืออะไรทั้งสิ้น ยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้นสำหรับประโยคนี้ ถ้าไปบังเอิญตรงกับประโยคจริงที่ไหน คือบังเอิญ)
กูว่านิยายมันเป็นแค่ฟีลลิ่ง การที่มึงคิดว่าคำนี้ไม่ใช้ในสมัยนั้น (ไม่นับคำใหม่จริงๆอย่างคอมพิวเตอร์ ซึ่งเอาจริงก็ไม่น่าจะไปโผล่ในนิยายย้อนยุคที่ไหน) มันเป็นเพราะว่านิยายเรื่องอื่นๆเค้าไม่ใช้กัน แค่นั้นแหละ
ถ้าเป็นภาษาอังกฤษอ่ะว่าไปอย่าง อย่างโทลคีนงี้ เค้าก็ใช้คำอังกฤษแท้เยอะ แต่ของเรามันแปลมาแล้ว มึงจะมาไล่ไทม์ไลน์มันคงไม่ได้อ่ะ
กูว่าต้องแยกให้ออกก่อนดีมั้ย ว่าปัญหาที่เจอนี่มันคือการใช้ภาษาผิดสมัยผิดวัฒนธรรม ผิดบริบท ผิดอารมณ์ หรือว่าผิดกับระดับภาษาของทั้งเรื่องกันแน่
สำหรับกู ถ้าผิดสมัยผิดวัฒนธรรมแบบเห็นชัดๆก็คือพวกที่เอาคำทักทายแบบสวัสดีค่ะ ดี อะไรงี้ไปใช้ในเรื่องแนวโบราณหลายเรื่องที่มันไม่ได้มีการทักทายแบบนั้นเลย อย่างบ้านเรายุคก่อนหน้าอันนี้ก็ไม่ได้ใช้สวัสดี ถ้าเด็กทักผู้ใหญ่ก็คือบอกว่ากราบผู้ใหญ่เลย ถ้ารุ่นอ่อนกว่าก็รับไหว้ หรือถามว่าไปไหนมา กินข้าวกินปลาหรือยัง อะไรพวกนี้ ซึ่งถ้าพวกแบบนี้มันผิด กูมองว่าปัญหาอยู่ที่คนเขียนทำการบ้านไม่พอ ไม่เข้าใจวัฒนธรรมว่ะ
ถ้าผิดบริบท ให้ยกตัวอย่างแบบชัดๆก็ยุคเดียวกับข้างบน แต่เจอผู้ใหญ่แทนที่จะใช้ว่ากราบหรือไหว้ ก็บอกว่า 'ธุ ท่านเสีย อะไรแบบนี้ ทั้งที่คนที่ถูกบอกไม่เด็กขนาดนั้นหรือไม่ก็เป็นครอบครัวที่เป็นทางการแท้ๆ อันนี้คือเข้าใจว่าวัฒนธรรมคือต้องไหว้ แต่ดันเลือกใช้คำที่เป็นทางการเหมาะกับสถานะครอบครัวและสภาพแวดล้อมไม่ได้ คือผิดบริบทในความคิดกู
ส่วนผิดอารมณ์ อันนี้อธิบายยาก แล้วแต่จริตด้วยว่าเป็นไงมาไง บางทีก็สถานการณ์เดิม แต่สำหรับกู แค่ใช้คำว่า "เข้าไปกราบท่านเสียสิลูก" "มากราบท่านเสียสิ" แต่ทีนี้ประโยคหลังให้อารมณ์แนวๆคุณหญิงท่านผู้หญิงที่นิสัยหวานๆพูด กูก็จึ้กๆล่ะ เพราะรู้สึกว่าทำไมคนนิสัยหวานๆพูดห้วนจัง ผิดกับอารมณ์ที่พยายามบรรยายมาจัง อะไรแบบนี้
สุดท้ายคือผิดระดับภาษาของตลอดเรื่อง อันนี้น่าจะปัญหาที่เจอกันบ่อย คือบางช่วงใช้คำเป็นแนวๆโบราณ ใช้ข้าใช้เจ้าใช้ท่าน พูดเจ้าคะ ขอรับ แต่เวลาบรรยายดันบอกว่า "เรือนร่างอรชรของหญิงสาวโสภาร่วงหล่นพรวด จนร้องว๊าย" อะไรแบบนี้จะเห็นว่ามันไม่ได้ใช้คำใหม่ แต่มันใช้คำแบบกระโดดกับระดับคำอื่นในประโยคเดียวกันมากมาย ซึ่งเอาจริงๆมันคงไม่ได้กระโดดแบบเห็นชัดในประโยคหรอก แต่เห็นหลายๆเรื่องแล้วว่าทั้งเรื่องมันคุมให้อยู่ระดับเดียวกันตลอดไม่ได้ไง (ซึ่งถามส่วนตัวกูว่าจำเป็นต้องระดับเดียวกันหมดมั้ย ก็ไม่ แต่ช่วยให้มันเนียนๆอย่ากระโดดมากเหอะ)
เอาล่ะ สรุปสำหรับกู กูมองว่านี่ไม่ใช่ปัญหาแค่ว่ามีคำไทยแท้ไม่แท้ หรือสมัยนั้นมีคำนั้นมั้ย มันคือปัญหาความเข้าใจ และปัญหาในเรื่องการเขียนที่คนเขียนต้องพยายามเขียนดึงอารมณ์คนอ่านให้ไม่สะดุดให้ได้ แต่คนที่ทำแบบนั้นได้ก็คือคนที่เข้าใจระดับคำ สเกล+อารมณ์เรื่องตัวเอง อะไรแบบนี้ดีอยู่นั่นแหละ
อีกนิดหนึ่งจากข้างบน
อย่าง >>65 ถามเนี่ย กูมองว่าคำว่าสิทธิ์เนี่ย มันเพิ่งมีมาเพราะคนตื่นตััวสมัยไหนไง เหมือนที่คำว่าลิขสิทธิ์ก็เพิ่งมาสำคัญเอายุคหลังๆนี่เอง ถ้าเป็นสมัยสุโขทัย ที่การเมืองยังไม่สมตติเทพเท่าอยุธยา แต่ในไทยก็ยังให้ความสำคัญกับผู้ใหญ่ตัดสินใจมากกว่า มันก็ไม่น่ามีการตื่นตัวเรื่องสิทธิ์ ส่วนสมัยอยุธยาอะไรแบบนี้มันเป็นสมมติเทพฯ ซึ่งคำว่าสิทธิ์ควรจะมีอย่างสิทธิ์ในการสืบบัลลังก์อะไรงี้ใช่มะ แต่ลองคิดดูว่าพอใช้คำงี้มันไม่ศักดิ์สิทธิ์เอาซะเลย ส่วนมากเขาก็จะใช้คำว่าความชอบธรรม หรืออะไรอื่นๆที่ดูศักดิ์สิทธิ์กว่าจะได้ขลังๆ และจะได้ชักนำคนมากกว่าอะไรแบบนี้ ก็เท่ากับว่าคำแต่ละคำมันมีความสำคัญในสมัยไหนยังไง มันถึงได้ปรากฎตัวราวๆนั้นแหละ
แต่พวกนี้ก็เป็นความคิดส่วนตัวกูนะ คนอื่นอาจมีความเข้าใจ หรือเทคนิคอะไรแบบอื่นก็ได้
กู 66
อ่านแล้วไม่สะดุดเป็นพอสำหรับกู กูว่าไม่ต้องไปถึงขนาดหาทีละคำๆว่ามันอีคำนี้มันเกิดตอนไหน (เพราะมึงหาไม่เจอหรอก) ทางแก้คือ มึงไปหาหนังสือที่สำนวนดีๆมาอ่านดีกว่า เอาสำนวนพวกนั้นฝังเข้าไปในหัวมึง ทับถมๆไปเดี๋ยวมันก็ได้ไปเองอ่ะ ไม่งั้นหาทีละคำๆเมื่อไหร่มึงจะเขียนเสร็จคะ
มึงนี่ธีมโบราณนะ น้องพูดกับพี่ ใช้แทนตัวเองประมาณไหน สมมุติประโยค "คารวะท่านพี่สิบเอ็ด 'ข้า'ว่าจะไปเยี่ยมท่านพี่ที่ตำหนักพอดี"
อีกคำว่าข้ามันก็ดูทะแม่งๆ สำหรับกู ช่วยชี้แนะด้วย
กู >>75 นะ มาเพิ่มให้อีกว่า ถ้าเอาจริงๆจะบอกไม่แปลกได้มั้ย ก็ได้อยู่ถ้าใช้กับสนิทๆกัน อย่างที่เห็นนี่ไปเยี่ยมตำหนักนี่ก็น่าจะสนิทกันใช่มะ ? เออ ถ้าสนิทแล้วมาแทนตัวว่าเปิ่นกงหรือไรงี้คงแปลกๆแทนแหละ แต่มันก็จะตงิดใจอีกที่สนิทกันแล้วเจอหน้ากันยังคารวะกันอย่างเป็นทางการซะขนาดนั้น ตกลงจะสนิทกันหรือไม่สนิทกันแน่
คือกูอาจคิดมากไปก็ได้ แต่กูเขียนงานโดยมีความเชื่อว่าคนเขียนเป็นคนที่บอกลักษณะตัวละคร ฉากหลัง ทุกสิ่งอย่างในเรื่องผ่านคำเล็กคำน้อยพวกนี้แหละ มันเป็นคีย์เวิร์ดให้คนอ่าน บางคนไม่คิดไม่รู้สึก แต่คนที่คิดที่รู้สึกก็น่าจะมี แล้วคนเขียนจะเขียนให้เขาอิน ให้เขารู้สึกได้มั้ย มันก็ขึ้นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้นะ
>>80 จริงมึง ภาษาไทยมันไม่ได้มีแบ่งยิบย่อยขนาดของจีนพรรค์นั้นอะ ข้าคือสรรพนามที่โอเคที่สุดแล้วในพวกนิยายย้อนยุค เออ แต่ถ้ามี มันก็แบบไท้ไทย (อย่างในเรื่องบุพเพสันนิวาสงี้) ซึ่งเอาไปใส่ในนิยายจีนไม่ได้แน่ๆ แต่ถ้าจะใช้พวกเปิ่นกง นูปี้ เจิ้น บลาๆๆ คนเขียนต้องอธิบายและทำความเข้าใจกับคนอ่านไว้ก่อนอะ เดี๋ยวงง
>>77 ที่กลับมาตอบนะ เออ ส่วนมากสมัยก่อนเจอหน้าก็คารวะแทนสวัสดีจริงๆนั่นแหละ ไม่ผิดๆ
ส่วนเรื่องความสงสัยว่าสนิทกันขนาดไปหาที่ตำหนักโดยไม่ต้องส่งคนไปบอกก่อน แล้วเจอหน้ายังทักทายแบบนี้อะไรนี่กูอาจจะคิดมากไป นี่ไม่ใช่ประโยคเต็มหรืออ่านมาทั้งเรื่องด้วย
เรื่องคำแทนตัวก็อย่างว่ามา สำหรับบริบทอันนี้ที่คุยกันคงเหมาะที่สุดแล้ว
ขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนความเห็นกันนะ
กุคนถามเอง กุแค่สมมุติขึ้นมาไม่ได้คิดเรื่องก่อนหน้า แค่จะถามว่ารุ่สึกแปลกไหม เอง โน้มรับที่ดม่งแนะนำทุกคน เดี๋ยวไปลองให้หมด แล้วจะโผล่มาใหม่
น้อมรับ เชี่ยพิมพ์ผิดอีกละ
กุเพิ่งค้นพบว่าตัวเองใช้คำว่าอนุญาตผิดมานาน ใช้เป็นอนุญาติมานาน ความหมายเปลี่ยนไปเลย
สังเกตกูก็ใช้ผิด เป็นสังเกตุมาตลอด
ภาษาไทยซับซ้อนกว่าที่คิด555
กูใช้วิจารณ์ เป็นวิจารย์มาตลอดเหมือนกัน โชคดีที่ไม่ค่อยได้เขียนคำนี้ในนิยายนัก
ริอาจ ❌
ริอ่าน ✔
มึงทำไมนิยายไทยที่ใช้ตัวละครตะวันตกชอบตั้งชื่อตัวละครเป็นเซตวะ คือปกติกูก็แต่งนิยายอยู่บ้างนะมึงเลยพอจะรู้จักคนที่แต่งนิยายคนอื่นๆเหมือนกัน แล้วมันมีเด็ก(ซึ่งไม่เด็กหรอกแค่อ่อนกว่ากู)เอานิยายมาให้กูอ่านแล้วบอกให้วิจารณ์หน่อย กูก็วิจารณ์ไปตามเรื่องตามราวแล้วกูก็แค่เปรยๆไปว่าชื่อตัวละครแต่ละครอบครัวมันคล้ายๆกันหมดเลยเนอะ (สมมุตินะถ้าพ่อชื่อแองเจลโล่ ลูกก็ชื่อแองเจลา กับแองเจลิก้า แองเจรีส ทำนองนั้น)นางก็ขึ้นหน่อยๆแล้วบอกว่าก็มันครอบครัวเดียวกัน... คือกูอยากจะบอกนางอะว่าฝรั่งจริงๆเขาไม่ได้ชื่อคล้ายพ่อแม่ขนาดนั้น แต่นางก็ไม่ฟังกูละ
>>94 ชื่อคล้ายมันก็มีไงมึงบางคนเขาก็เอาชื่อพ่อแม่มาผสมกันบางคนเขาก็ตั้งชื่อลูกให้คล้ายกับพ่อแม่แต่ที่กูเห็นแต่งมาคือแม่งมีลูกห้าคนก็ชื่อคล้ายกันหมด ทุกครอบครัวต้องมีธีมชื่ออะมึงซึ่งมันไม่ใช่ไง ฝรั่งส่วนมากที่กูเห็นว่าชื่อคล้ายพ่อแม่จะเป็นลูกคนแรกวะ ส่วนคนหลังๆเหมือนไม่เห่อเท่าไหร่ละเลยตั้งชื่อแบบอื่นไป
>>92 ในฐานะกุคนเขียนแนวที่มึงว่า...
กุขี้เกียจคิด โอเค๊!? โดยเฉพาะตัวประกอบงี้ บทออกมาแค่นิดเดียวกุยิ่งขี้เกียจคิดชื่อเลย ถ้าไม่ใช่ตัวหลักสำหรับดำเนินเรื่องนี้กุเองก็ตั้งส่งๆ เหมือนกัน เผลอๆ ใช้เว็ป name generator ตั้งให้เลยซะด้วยซ้ำ
การตั้งชื่อมันไม่ใช่ว่าจะหาแค่ชื่อเก๋ๆ นะ มึงต้องมานั่งหาความหมาย ซึ่งส่วนใหญ่ควรจะตรงกับลักษณะและนิสัยของตัวละคร ก่อนที่จะไปหามาเป็นชื่อตั้ง ซึ่งถ้าให้กุตั้งแบบประณีตกับตัวประกอบทุกตัวล่ะก็ กุตาย!!
>>100 ทำไมชื่อต้องเข้ากับนิสัยวะมึงอันนี้กูไม่ได้กวนนะ คือถ้ามองว่านิยายคือโลกใบหนึ่งคนตั้งชื่อตัวละครมันก็พ่อแม่ ไม่ก็คนเลี้ยงตัวละครปะ มันไม่ได้รู้สักหน่อยว่าโตมาตัวละครโตมาจะนิสัยยังไง อย่างเพื่อนกูแม่งชื่อโคตรสาวความหมายคือหญิงงามเรียบร้อย อินี่ยังเป็นทอมมีเมียตีกับผู้ชายอยู่เลย
>>101 แต่นิยายส่วนมากก็ประมาณนี้จะ มันทำให้คนจำคาร์ตลคได้ง่ายขึ้นไง
อย่างพระเอกต่ำต้อยชอบมีชื่อประมาณดิน ปฐพี
หรือดาว เดือน จะเป็นพี่น้องที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้ากันงี้ (ข่มแสงกัน)
คือถ้าชื่อมีความหมายก็ต้องตรงกับลักษณะซักอย่างของตลค. ไม่งั้นก็ต้องนิสัยตรงข้ามชื่อไปเลยก็มี
>>101 อันนี้กุใช้คำผิดเองที่ไปเขียนว่า "นิสัย (Personal)" ต้องบอกว่ามันคือ "คุณลักษณะ (Alignment)" สิ
ที่จริงแล้วไอ้การตั้งชื่อมันสำคัญก็แค่ความหมายนั่นล่ะ
แต่กรณีของกุนี่ติดมาจากสมัยเล่น Boardgame ไง เวลากุสร้างตัวละครมา 1 ตัว กุจะกำหนด Alignment ก่อนเลยว่าจะให้เป็นแนวไหน Good , Neutral , Evil เป็นพวก Lawful , Neutral , Chaotic เสมอ ซึ่งกุก็จะพยายามตั้งชื่อให้ตรงกับ Alignment ของตัวละครตลอด ต้องมานั่งหาความหมาย หาชื่อที่เข้าท่า ซึ่งกว่าจะได้ซักตัวนี่กุแทบจะหัวระเบิด
กูเลือกชื่ออะไรก็ได้ที่กูชอบ แบบจิ้มๆตามเว็บชื่อเก๋ๆอ่ะ พิมพ์ง่ายไม่ต้องกดชิพ แค่นี้กูพอใจแระ
นักเขียนบางคน กูเคยเจอ แม่งจงใจตั้งชื่อยาวๆเว่อๆ อารมแบบ พิศยมลธาราทอง อะไรประมาณนี้เพราะคิดว่าไฮโซและโกงจำนวนอักขระเวลาพิมพ์
>>101 อันนี้ถ้าตามที่กูเรียนพวกวิแคะวรรณกรรมมา บางทีมันเป็นคลูหรือเป็นสารจากคนเขียนบอกใบ้ถึงลักษณะนิสัย ชะตากรรม ที่มา หรือกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ ของตัวละครน่ะนะ ในไทยก็มีให้เจอบ้างในนักเขียนรุ่นเก่า ส่วนทางฝั่งฝรั่ง กูไม่รู้ว่าแฮร์รี่นี่นับได้ไหม อย่างนามสกุลของรอน วิสลีย์มันก็มาจากตัววีเซิลมะ แล้วตัววีเซิลขนมันก็สีแดงกับผมของคนในบ้านนี้อะ (เคยอ่านเจอมา) อย่างซีบิล ทรีลอว์นีย์ อาจารย์สอนพยากรณ์ ชื่อซีบิลคือชื่อนักพยากรณ์ในวิหารของเทพอพอลโล ซึ่งก็สอดคล้องกับวิชาที่ซีบิลสอนในเรื่อง
นี่ตั้งชื่อจากความหมายที่ชอบแล้วลองเรียกตัวละตครด้วยชื่อนั้นดูว่ามันเหมาะไหม ถ้าเหมาะก็ผ่าน ถ้าไม่เหมาะก็หาต่อไป
>>107 ตรงชื่อรีมัสก็ด้วย รีมัสเป็นชื่อหนึ่งในฝาแฝดผู้ก่อตั้งกรุงโรม ซึ่งแฝดคู่นี้ได้รับการเลี้ยงดูมาจากนางหมาป่า ความจริงคือมีเยอะอะ ของพวกนักเขียนตปท.อะนะ แต่ของไทย อืม อย่างเรื่องจันดารานี่นับไหมอะ พระเอกชื่อจัน มาจากจัญไร เพราะพ่อเลี้ยงตั้งให้จากความเกลียดชังส่วนตัวที่เป็นเด็กที่เกิดจากการที่แม่ถูกข่มขืน หรืออย่างชื่อนางเอกเรื่องคุณชายธราธร ที่นางเอกชื่อระวีรำไพ ก็เพราะพ่อชื่ออาทิตยรังสี วึ่งมันเหมือนเป็นกิมมิคเล็กๆ ที่ผู้เขียนใส่ไว้ไหมวะ ว่าเจ้าสมัยก่อนนิยมตั้งชื่อลูกเป็นเซ็ตๆ ไม่ให้ต่างจากพ่อแม่นัก โดยรวม ชื่อตัวละครสำหรับนักเขียนหลายคน มันอาจจะทั้งแฝงความนัยหรือไม่แฝงก็ได้อะ บางคนก็เลือกเอาตามสบายใจ แต่บางคนเขาก็คิดลึกกว่านั้น ประมาณนี้แหละ
ชื่อตัวละครกุนอกจากตัวเอก กุจะตั้งแต่หาความหมายตรงกับปมในเรื่อง(ไม่คิดว่าคนอ่านจะหาความหมาย) แล้วตัวรองสุ่มแม่งหมด555
กูตั้งโดยคิดว่าตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่ตัวละครนั้น หรือเป็นคนที่ตั้งชื่อให้จริงๆเลยอ่ะ จะตั้งว่าไงว่ะ อย่างถ้าพื้นหลังตัวละครเป็นกำนันหมู่บ้านเมื่อ 50 ปีก่อน คงไม่ตั้งชื่อลูกสาวว่าอริสราหรอก ถ้าตั้งเองชื่อนี้นี่ก็จะสงสัยพื้นเพกำนันมาก ว่ากำนันต้องเป็นคนเมืองแน่ๆ <<<< อะไรราวๆนี้
พวกมึง เวลาแต่งนิยายที่ต้องใช้ฉากต่างประเทศ หรือเกี่ยวกับอาชีพต่างๆ ไปหาข้อมูลที่ไหนกันวะ ถ้าจะสัมภาษณ์จากคนที่เคยไปประเทศนั้นๆ หรือเคยทำงานเป็นอาชีพที่เราอยากรู้ ต้องจ้างเขามั้ย
ปล.ไปถามมู้นักวาดมา เขาบอกให้มาที่นี่ หุหิ
>>112 ฉากต่างประเทศกูเอาที่กูเคยเห็นมา แต่เอาจริงๆกูก็รู้อะไรไม่เยอะไปอยู่แค่ปีเดียวแถมกูยังจิตตกอาการซึมเศร้ากำเริบอีก แต่มันก็ทำให้กูได้รู้แนวคิดคนต่างชาติพอสมควร
ส่วนอาชีพกูจะชอบแต่งอะไรที่ใกล้ตัวหน่อย อย่างกูมาสายการแพทย์เพื่อนกูก็มาทางนี้เยอะกูก็จะแต่งทางนี้ ไม่ก็หาข้อมูลเอา
ขอพื้นที่บ่นนิด กูตั้งใจแต่งนิยายแต่ละตอนมาก กว่าจะออกมาตอนนึงคือวางพลอตซ้อนไว้หลายชั้น นิยายกูไม่มีเรื่องรักๆเน้นเนื้อหาผจญภัย95%กุ๊กกิ๊กแบบหอมปากหอมคอ แต่คนอ่านน้อยโคตรรรรร คือคนที่เข้ามาอ่านก็มีชมนะว่าภาษาดีเนื้อเรื่องน่าสนุก พยายามจะไม่เหลิงนะแต่กูก็ดีใจแหละ แต่ในฐานะนักเขียนที่ตั้งใจเขียนก็อยากให้มีคนมาอ่านเยอะๆว่ะ เข้าไปอ่านพวกนิยายติดท็อปเพื่อศึกษาแล้วกูรู้สึกผิดแปลกมาก แม่งไม่ใช่แนวเลย และนิยายติดท็อปที่กูสุ่มกดไปแม่งมีแต่บทพูดไม่มีบรรยายพรรณาใดๆ เห็นแล้วท้อว่ะ
>>118 จริงๆ นิยายมึงอาจจะสนุกไม่พอ อาจจะแค่ ก็น่าสนุกดี มึงลองนึกถึงหนังนะ หนังประเภทที่คนบอกว่ามันก็ดี แปลว่าอะไร แปลว่าดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ เทียบกับหนังที่คนด่าฉิบหายในขณะเดียวกันก็มีแฟนคลับชอบฉิบหาย อย่างหลังคนดูเยอะกว่า มึงอยากแต่งให้คนอ่านเยอะมึงอย่าคิดเข้าข้างตัวเองมากแล้วก็อย่าอคติกับเรื่องที่คนตามมาก มึงไปทำความเข้าใจ ข้อเสียมันอาจจะร้อยแปดข้อดีมีข้อสองข้อ แต่ข้อสองข้อนั่นมันโดนคนอ่านมากกว่าข้อดีร้อยแปดของมึงก็ได้ แต่ถ้ามึงยึดว่านิยายมึงเป็นนิยายคุณภาพในแบบที่มึงอยากให้เป็นมึงก็อย่าไปซีเรียสคนอ่านมาก อย่าเอาไปเทียบนิยายคนอ่านเยอะ แนวทางมันอาจจะต่างกัน
กุแม่งน้อยใจกว่านิยายกุแนวค่อยๆรัก
เดิ่งจะเริ่มแม่งมีคนมาทวงnc ..
สลัดนางเอกกุยังไม่พ้นประถมเลย
กูเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่เคยติดท็อปเด็กดวกนะมึง ระดับ 1-5
กูแค่อัพทุกวัน อ่ะๆ กูไม่ได้อัพหลอกอัพลมนะ กูอยู่โม่ง กูก็ไม่ชอบแถมขี้เกียจอัพหลอกด้วย กูอัพวันละครั้ง ครั้งละประมาณสามสี่หน้าเอสี่ อ่ะๆ นิยายกูไม่ใช่แนวขายฉากเยนะ ดักคอไว้ก่อน
ตอนเริ่มเปิดเรื่องใหม่ๆ กูก็ท้อ ไม่มีคนอ่าน เม้นต์ไม่ต้องพูดถึงน้อยมากสำหรับกู แต่พอถึงจุดหนึ่งคนแห่มาจากไหนไม่รู้ มากันพรึ่บ ยอดฟูจนงง
เพราะฉะนั้นการอัพงานเป็นเวลาและแน่นอนจะช่วยมึงได้มาก
ส่วนเทคนิคเพิ่มยอดโดยไม่ต้องอัพหลอกมันมีเยอะแยะ จับจุดให้ได้ก็แล้วกันค่ะมึง ไม่ใช่คนอ่านงานตัวเองน้อยแล้วมาแขวะเรื่องอื่น คิดแบบนั้นมันบั่นทอนค่ะ
ปล.กูไม่แตะเรื่องสนุกไม่สนุกนะ งานใครงานมันพัฒนากันเอง
เฮ้อ ...กุอยากเปลี่ยนสไตล์การเล่าเรื่องจัง ตอนแรกไม่ทันคิดว่ามีวิธีนี้ เลยใช้วิธีเล่าแบบเก็บทุกเม็ดไปซะงั้น
พอรู้ตัวอีกทีตอนนี้ก็เขียนไปถึง 400 หน้าแล้ว ...กุควรลบแก้ใหม่หมดเลยมั้ยเนี่ย
ตอนละสิบสองสิบสามหน้าเอสี่มันเยอะไปแมะมึง แค่สามตอนแรกนิยายกูปาไปห้าสิบกว่าหน้าแล้ว= =
แม่งเพลิน ตัวละครกูมันเป็นพวกนิสัยฟุ้งซ่านเลยจัดเต็มตามความคิดนาง แม่งยาวเลย เหมือนตัวละครสิงกูให้เขียนจริงๆ
ขอก๊อปมาแปะตรงนี้นะ พึ่งรุ้ตัวว่าไปถามในเม้นที่ 999 แล้วปิดมู้เลย
ถามหน่อย คือกุเรียนมหาลัยอินเตอร์ในไทยที่มีนศ.ต่างชาติเยอะมาก ทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย อินเดีย อิหร่าน อังกฤษ สวิส เมกา บราซิล กินี ไนจีเรีย เดนมาร์ก ยันเพื่อนบ้าน ฯลฯ อาจารย์ส่วนใหญ่ก็มาจากยุโรป แล้วกุจะเขียนนิยายโดยอ้างอิงเซตติ้งจากม.กูเนี่ยแหละ อ่านแล้วจะรุ้สึกอินมั้ยวะ คือไม่ใช่อะไรหรอกลำพังแค่กูเล่าให้ญาติฟังว่าม.กูอย่างงั้นๆ เขาก็นึกภาพไม่ออก ไม่ชื่อว่าในไทยมีม.แบบนี้อยู่ด้วยแล้ว เขาจะติดภาพแบบว่าภาคอินเตอร์คงมีหัวทองสักสามคนในห้าร้อย ต่างชาติที่เหลือเป็นเพื่อนบ้าน 70เปอเซ็นต์เป็นไทยหมดอะไรงี้ จริงๆ จะเปลี่ยนเป็นม.คนไทยทั้งหมดก็ได้แหละ แต่กูแค่กูไม่ค่อยโปรเรื่องกิจกรรม หรือความรักสถาบัน เคารพรุ่นพี่อะไรพวกนี้ ไม่อยากจะเขียนอะไรที่กูไม่รู้ว่ะ
>>133 มอมันไม่ได้เหมือนกันทุกมอซักหน่อยไม่เป็นไรหรอก
มอกุยังต่างคนต่างอยู่เลยภาคปกติด้วย ไม่เคารพใครทั้งนั้น๕๕๕
ภาคอินเตอร์มอกูมีคนไทยเกินครึ่ง จีนอีก30% ฝรั่ง 5% นิโกร 5%
กิจกรรมก็มีร่วมกับคณะไรพวกนี้ แต่เห็นม่รับน้องละภาคอินเตอร์หรือมีเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอ แต่ไม่เห็นมีถึงขั้นเต้นไก่ย่างไปมาต่อหน้าสาธารณะชน
เขียนนิยายรัก แต่ไม่เคยรักใคร นี่กุโตเป็นผู้ใหญ่ละนะเนี่ย เง้อ มีใครเป็นมั่ง๕๕๕
พอแบบแต่งมาตรรกะความรักในนิยายกุเพี้ยนมาก นักอ่านว่าตัวละครกุยันเดเระชิบหาย
หรือตัวตนกุมันยันเดเระ
>>136 บางทีถ้ามึงไม่เคยมีความรัก อาจจะต้องศึกษาความรักของคนรอบข้างใส่ลงไปว่ะ แล้วมันจะดูเรียลมากขึ้น แต่เอาจริงๆ ปะ บางทีความรักของแต่ละคน มันก็ตรรกะวิบัติชนิดกู่ไม่กลับอะมึงงงง ดูอย่างเพื่อนกู เลิกกับอิแฟนคนที่คบกันอยู่ปัจจุบันมาแปดครั้งแล้ว แต่ก็ยังกลับมาคบกันอีก มันบ่นว่าเบื่อฉิบหาย แต่มันก็ยังกลับไปคบ มันบอกมันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เออ กูก็ไม่เข้าใจเพื่อนกูเหมือนกัน
แต่งนิยายทำยังไงไม่ให้บรรยายเยอะเกินไปวะ
กุมาอ่านของตัวเองทีหลังแล้วอยากจะตบตัวเองชิบหาย ตัวเอกกูเป็นพวกคิดมาก พอกุแต่งละอิน มันอินจริงๆ ว่ะมึงเหมือนตัวกุเป็นตัวละครนั้น แต่มันเยอะไปอ่ะ เยอะชิบหายบรรยายยาว กุอยากตบตัวละครตัวเองและตัวเองด้วย
>>144 แล้วคนอ่านมีปัญหาบ่นๆปะ ถ้าไม่มีก็แต่งแบบที่ต้องการแต่งไป กูเคยแต่งแบบทั้งบทห้าหน้าเป็นบรรยายหมดมีบทพูดประโยคเดียว ทั้งๆที่ในเนื้อเรื่องก็มีบทพูดนะแต่กูใช้การบรรยายบทพูดผ่านๆในบทบรรยายความคิดตัวละครแทนเพราะอยากให้ได้อารมณ์ว่ามันฟังเฉยๆแค่ผ่านหูไม่ใส่ใจ แล้วกูก็เคยอ่านนิยาย YA ของฝรั่งหลายๆเรื่องที่ตัวเอกมันอีโมๆหน่อยบทหนึ่งใช้สองมือนับประโยคคำพูดก็ยังเหลือก็มี เพราะงั้นแต่งแบบที่ชอบไปเถอะมันเป็นสไตล์
>>144 กูก็ติดบรรยาย คนอ่านยังพูดเลยว่ากูแบบสายบรรยายเยอะ แต่ก็ไม่มีคนบ่นอะไร แต่เอาจริงๆ คนอ่านจะบ่นออวะปกติ กูไม่เห็นคนอ่านจะบ่นอะไรสักอย่างเลยนะ คือกูว่าต่อให้มันไม่ดี (โอเคอาจจะไม่ได้ไม่ดีเว่ออออะไร) แต่แบบถ้ามันไม่ดีแบบมีข้อติ คนอ่านส่วนมากก้ไม่ค่อยตินะเว่ย มันต้องแบบอ่านเองแล้วรู้เอง ไม่ก็ให้คนเขียนด้วยกันเป็นคนติอ่ะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.