Last posted
Total of 1000 posts
จากข้อมูลต่างๆ ของเพื่อนโม่ง
กูเห็นวงจรเรื่องการขายหนังสือในไทยเรา
แบบ สนพ. จำเป็นต้องเน้นไปออกขายในงานหนังสือปีล่ะ 2 ครั้ง ให้ได้มากที่สุด
ทั้งเล่มใหม่ เล่มต่อ จะมุ่งไปขายเอาเงินสดคืนในงานมากที่สุดด้วยสินะ
กลายเป็นคนอ่านก็รอไปซื้อในงานมากกว่าในร้านหนังสือ
ร้านหนังสือขายไม่ดี เล่มไหนขายไม่เดิน ก็เรียกสายส่งกลับมารับหนังสือไปคืน สนพ. ให้เร็วขึ้น
สนพ. รับคืนจนสต็อกบวม ก็ขายแบบลดแลกแจกแถมกันไป
เรื่องมันเลยวนๆ กันไป
ถึงว่าa+ ออกเล่มใหม่รัวๆ ในงานเป็นสิบกว่าเรื่อง
เห็นเมจิคบอกรับวางขายหนังสือทำมือ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1711685252436643&id=1611755042429665&fs=0&refid=17&_ft_=top_level_post_id.1711685252436643:tl_objid.1711685252436643
หืม? หมายความว่าถึงไม่ได้เป็นนักเขียนของสนพ.นี้ก็ฝากหนังสือขายได้สินะ หรือเมจิคอยากหารายได้เสริมเป็นสายส่งวะ
กูยังไม่เคยอ่านของเมจิคซักเรื่องเลย มีเรื่องสนุกบ้างวะ
>>445
เห็นในงานหนังสือก็มีหนังสือทำมือของนักเขียนที่เคยออกกับสนพ. ไปวางขายด้วย
และก็เห็นมีของนักเขียนอิสระทำมือไปออกขายด้วย
คือตามความคิดของกูก็คงเป็นการรวมหนังสือแฟนตาซีของนักเขียนหน้าใหม่เอาไว้โฆษณากลุ่มแฟนคลับแฟนตาซี
(เหมือนช่วยๆกันดึงกลุ่มแฟนคลับของแต่ละเรื่องเข้ามายังเฟสบุ๊คเมจิค)
ปกติกำไรจากยอดหนังสือทำมือที่ฝากขายคงไม่ได้มากเท่าไรนะ กูมองเป็นการรวมตัวช่วยกันโฆษณาหนังสือมากกว่า
>>446
เพื่อนโม่งลองไปหาอ่านตัวอย่างในเด็กดีก่อนแล้วกัน
ขอกูช่วยโฆษณา สนพ. เล็กๆ นี่หน่อย (เดียวจะไม่เหลือแนวแฟนตาซีปกติซะ เพราะไปเน้นขายวายกันหมด)
ที่สนพ. ทำออกมา
1.เซน จอมเวทอหังการ
2.กำเนิดจักรพรรดิมายาจอมกะล่อน
3.Begin again เกิดใหม่อีกครั้งในโลกต่างมิติ
4.The Sun and Satan ดุจตะวันกับซาตาน
5.อัจริยะเมืองมนตรา
6.Magical Horizon จอมโจรมหาเวท
เรื่อง 1-2 สนพ. ออกเล่ม 2 ต่อ
เรื่อง 3-4 นักเขียนออกเล่ม 2 เป็นหนังสือทำมือต่อเอง
เรื่อง 5-6 เงียบอยู่
>>450
แนวออนไลท์ มันเป็นเทรนกระแสในช่วงที่ผ่านๆ มา
สนพ. เลยเจาะนักอ่านที่อ่านแนวนี้ แต่แนวนี้มันหลายเล่มต่อมากๆ
จนตอนนี้กระแสมันคลายลง น่าจะเป็นเพราะมันมาแนวเดียวกันไปหมด
คงต้องรอเทรนต่อไป
ถึงช่วงนี้มีแต่แนวเกิดใหม่ แต่กระแสยังไม่แรงมากเท่ายุคโรงเรียนเวทมนตร์ แฮรี่ หรือแนวเกมส์ออนไลท์
ทำไมสายส่งไทยมันกินเยอะกว่าชาติอื่นเยอะงี้วะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=158958044501647&id=105948546469264
>>459
เจ้าใหญ่บ้านเราก็ ซีเอ็ด นายอินทร์ b2s พวกนี้มีบริษัทในตลาดหุ้นซับพร์อตอยู่
แต่ส่วนกำไรรายได้จริงๆ กลับได้กำไรกันน้อยเพราะหักค่าโสหุ้ยต่างๆ ไปเยอะ
จำได้หุ้น se-ed นี่ ดร.นิเวศ ถือไว้เยอะในสมัยก่อนแต่ต่อมาขายทิ้งหมด คงคาดการณ์ว่าร้านหนังสือต้องกำไรลดลงเยอะ
(เป็นไปตามยุคสมัย)
แต่เห็นสัดส่วน % แบ่งรายได้ของแต่ละฝ่ายแล้ว
นักเขียนที่คิดเรื่องกลับได้น้อยสุด (อันนี้คงเป็นเพราะนักเขียนมีเยอะ อำนาจต่อรองน้อยที่สุด)
สายส่ง-ร้านค้า ที่แทบไม่ได้รับความเสี่ยงอะไรนอกจากการวางขาย กลับได้มากที่สุดไป
คงต้องบอกว่าเป็นเรื่องของทุนนิยม
ส่วนที่เสี่ยงสุดเป็นฝ่าย สนพ. ไปที่ต้องลงทุนเองทุกอย่าง
ปล.หุ้นเยอะสุด แต่น้อยกว่าทนง
>>460 นักเขียนมีความเสี่ยงน้อยที่สุด ได้น้อยสุดกูว่าไม่แปลก ในขณะที่สนพ. ต้องลงทุนจ้าง บก. ลงทุนค่าพิมพ์ ลงทุนโกดัง / สายส่งก็ต้องซื้อรถ จ้างคนขับรถ / ร้านขายหนังสือก็ต้องทำร้าน เสียค่าเช่า ค่าคนขาย แล้วอย่าลืมว่าร้านหนังสือมันขายได้ทีละไม่กี่เล่มด้วย ต่างจาก สนพ. ที่ได้เงินรวบยอดจากร้านหนังสือทุกร้านมันจะได้น้ำได้เนื้อกว่าเยอะ
>>463
ใช่นักเขียนเสี่ยงน้อยสุด แต่กลับใช้เวลาเขียนมากกว่าในการเขียนมาหนึ่งเล่ม
ส่วนสายส่ง+ร้านหนังสือ สามารถคืนส่งกลับหนังสือได้ทุกเล่มให้กลับ สนพ.
จะมีค่าเช่ากับค่าพนักงานเป็นส่วนใหญ่แถมได้เงินสดหนมุนก่อนอย่างน้อย 1-3 เดือนตามที่ตกลงกับ สนพ.
กูมองว่าแทบไม่เสี่ยงเลยในเรื่องสินค้า นอกจากค่าจ้างพนักงานกับค่าเช่าสถานที่ที่จะคุ้มค่าการลงทุนมั้ย
ส่วน สนพ. หน้าที่หลักทั้งหมดจนถึงการรับการเสี่ยงขาดทุนด้วย ในการรับหนังสือตีกลับคืนมาค้างสต็อก
>>464 เมื่อก่อนก็เป็นเสือนอนกินอย่างที่มึงว่านั่นแหละ แต่ตอนนี้ร้านหนังสือปิดไปให้เพียบ เพราะยอดขายหนังสือมันไม่พอค่าเช่าที่ค่าแรงแล้ว ตอนนี้ลองสังเกตดูร้านหนังสือจะมีหนังสือวางขายน้อยลง แล้วเอาขออย่างอื่นมาขายแทน ที่วางหนังสือมันเลยน้อยลง เขาเลยต้องเลือกแต่ไอ้ที่คิดว่าขายได้มาลงเท่านั้น แล้วอย่าลืมค่าจัดร้าน ค่าตกแต่งที่ต้องลงทุนไปก่อนหลายแสนจนถึงหลักล้าน
นักเขียนอยู่กับบ้านอย่างเดียวจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ใช้หลักว่ายิ่งทำงานนานยิ่งควรได้เงินมากไม่ได้หรอก เคยไปอบรมการเขียนกับพวกมืออาชีพไหม ทั้งคุณลวิตร์ ทั้งคุณชมัยพร พูดเหมือนกันเลยว่าเป็นนักเขียนต้องคิดก่อนเลยว่าได้เงินน้อยๆ นานๆ ได้เงินทีอยู่ได้ไหม ก่อนจะคิดเป็นนักเขียนอาชีพ
กูบอกเลยว่าตอนนี้คนคิดจะเป็นนักเขียนนี่ลำบากสัดๆ เขียนต้นฉบับจบนี่ง่ายกว่าให้ สนพ. รับต้นฉบับของมึงเยอะ แล้วการจะมีงานออกได้ต่อเนื่องเรื่อยๆ โดยเขาไม่ลอยแพมึงก็ยิ่งยากเหี้ยๆ เข้าไปอีก
เคยเห็นร้านการ์ตูนร้านหนึ่งโพสท์ด่างานหนังสือว่าการลดราคาในงานหนังสือเป็นสิ่งที่ทำลายวงการ
เลยฉุกคิดขึ้นมาว่า แล้ววัฒนธรรมลดราคาของหน้าร้าน โดยเฉพาะร้านการ์ตูน ที่ทุกร้านพร้อมใจกันลดราคา 10% ทุกร้านล่ะ เป็นการจับมือกันฆ่าตัวตายหมู่ของร้านการ์ตูนหรือเปล่า ลองนึกภาพดูนะ สมัยเมื่อสัก 20-30 ปีก่อน มีที่ไหน การ์ตูนลดราคาหน้าแผง ไม่มีเลย แล้วอยู่ๆ ไอ้วัฒนธรรมลดราคา 5% 10% มันก็เข้ามา จนกลายเป็นว่าร้านไหนไม่ลด ร้านนั้นไม่มีลูกค้าเข้า โครงสร้างราคามันเลยกลับกลายเป็นว่า จากเดิมที่รายได้ก่อนหักต้นทุนของร้านอยู่ที่ 20% ของราคาปก ต้องหักไป 10% โดยอัตโนมัติ เท่ากับว่ารายได้หายไป 50% เลย แล้วตอนนี้ก็กลับมาบ่นมาด่ากันว่าร้านการ์ตูนกำไรน้อย เจ๊ง ทั้งที่พวกร้านการ์ตูนเองรึเปล่าที่ควรจะย้อนไปมองพฤติกรรมตัวเองว่าทำอะไรลงไป ที่ลดราคาแข่งกันจนกลับไปขายราคาปกติไม่ได้?
ไม่รู้ว่าที่คิดนี่ถูกหรือผิด มีอะไรแย้งได้ ด่าได้ อยากฟังความเห็น
มันมีเรื่องเทคโนโลยี อินเตอร์เนท เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะ
นิสัยคนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบอะไรที่เสียเงินซื้อ (ถ้าหาได้ในเนท) มีสแกนตอนใหม่ในเนทก็อ่านพอใจแล้ว พอรวมเล่มจึงไม่ซื้อกันอีกเท่าไรนัก
อย่างการ์ตูนนี่ สนพ. อย่างวิบูลย์กิจ ก็ไปแล้ว
ถ้าในวงการหนังสือคงบอกว่าธุรกิจมันซบเซาลง เพราะคนซื้อน้อยลงด้วย
>>466 ร้านหนังสือการ์ตูนไม่ได้ได้แค่ 20% นะ ได้ 30-35% เหมือนกัน กูว่าเขาลดราคานี่ไม่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่ต้องทำบัตรสมาชิกก่อนถึงจะได้ลดราคา ส่วนงานหนังสือลดราคาเป็นการทำงานวงการนี่ กูว่ามีส่วน แต่เหตุผลมันมี คือสนพ. โดยบังคับให้ต้องทำแบบนี้เพราะงานหนังสือมันได้น้ำได้เนื้อเยอะสุด แล้วที่กูว่าร้ายแรงกว่าลดราคา คือไอ้การทำโปรโมชั่นซื้อเยอะๆ แถมของเนี่ยแหละ ก็เลยกลายเป็นคนรอมาซื้อในงานหนังสือจะได้ทำยอดได้ของแถมดีๆ
>>470 ลูกค้าที่ทำแบบนั้นเห็นจะมีแต่ลูกค้าที่ไม่ค่อยมีวุฒิภาวะ
ยกตัวอย่างเช่น Dexpress ที่อยู่สายการ์ตูน จะไม่ลดราคาหนังสือใหม่ในงานหนังสือ โดนลูกค้าด่าแหลก
ขณะเดียวกัน สโมสรหนังสือดี (มวจ.มาตรฐานวรรณกรรมพิมพ์) ขายหนังสือไม่เคยลดสักบาท คนซื้อก็หยิบเอา หยิบเอา ไม่เคยมีใครพูดอะไรเรื่องราคา
สั่งจองก่อนได้ลดจ้า ~
เห็นกระทู้นี้น่าสนใจดี
http://thaipublica.org/2016/01/print-1/
ช่วงท้ายเขาเขียนว่า
จากแบบสอบถามที่สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ทำในงานสัปดาห์หนังสือปลายปี 2558
พบว่า ยอดขายที่สมาชิกของสมาคมได้จากการออกบูธร่วมกันภายในงานกว่า 900 บูธ
ลดลงจากที่เคยได้สูงสุดในปี 2555 คือ 400 ล้านบาท เหลือเพียง 301 ล้านบาท (ลดลง 25%)
ขณะที่ยอดผู้เข้าชมงานก็มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เหลือเพียง 2.1 ล้านคนเท่านั้น
เมื่อ “น้ำผึ้งพระจันทร์” ในงานสัปดาห์หนังสือไม่หวานอีกต่อไป สำนักพิมพ์ต่างๆ มีรายได้ลดลง
ก็ส่งผลเป็นลูกโซ่ ทั้งสายส่ง ร้านหนังสือ นักเขียน ฯลฯ
กุทำงานแถวร้านสายส่งการ์ตูนที่ผ่านฟ้า จะมาบอกว่าร้านสายส่งของแต่ละ สนพ ก็ลดไม่เท่ากันอีก
ร้านของสยามลด30% เนชั่น อนิแมก เซนชู 20% ลักพิมนี่น่าจะ15% และวิบูลกิจที่ให้แค่10%.....
ความพีคคือมันจะมีบางร้านที่รับของหลายๆ สนพ มาขาย และขายปลีกให้ในราคาลด 20% และ ถ้าซื้อทีนึงหลายๆเล่มก็อาจลดเพิ่มเป็น 25%
มันทำให้กุไม่คิดจะไปร้านสายส่งของ สนพ โดยตรงเลย นอกจากสยาม
คนเริ่มเปลี่ยนไปอีบุ๊คหรืออ่านหนังสือน้อยลงวะ รู้สึกเป็นห่วง อย่างกูอ่ะเปลี่ยนไปสายอีบุ๊คเพราะมีความทรงจำไม่ดีกับการแบกหนังสือเยอะๆเพื่อไปอ่านข้างนอก
กูว่าศฐก.ไม่ดี หนังสือแพงขึ้น คนเลยซื้อน้อยลง
นิตยสาร IMAGE Thailand โดนปิดแล้วอ่ะ นี่ขนาดนิตยสารเก่าแก่นะเนี่ย ยังไม่รอดเลย ขายแย่กว่าหนังสือนิยายก็นิตยสารนี่แหละ ;___;
มีเรื่องค่าโฆษณาที่ลดลงด้วย ในแต่ละเล่มนิตรสาร
แบบสินค้าหันไปใช้ช่องทางอื่นมากกว่าที่จะลงโฆษณาในหนังสือนะ
รายได้มันเลยไม่พอ
แถมคนอ่านหาอ่านเรื่องราวเองได้จากเนท มันเลยขายไม่ดีเมื่อยุคก่อน
ผลประกวดแฟนอาร์ตแจ่มจี๊ดออกมาแล้วว่ะ
อยากรู้ว่าตลาด ญ-ญ มันเป้นไงบ้างวะ
ขายดีเท่า ช-ช มั้ย
นักอ่านผู้หญิงไม่น่าอ่านแนว ญ-ญ เยอะเพราะมันใกล้ตัวเองเกินไปด้วยหรือเปล่าวะ? ผู้ชายที่จะนิยมแนว ญ-ญ ฐานดูเล็กกว่ามากด้วยเลยไม่ค่อยนิยมกัน
สำหรับกูกูว่านิยายญญที่ผชแต่ง นิสัยผู้หญิงมันน่ารำคาญมากกว่าน่ารักว่ะ ตัวละครในสายตาพวกมึงอาจดูน่ารักน่าดูแลแต่บางทีพอมึงใส่ลงมานี่กูรู้สึกว่าอีนี่ตอแหลมาก เช่น ฟ้าในคุณแม่วัยใส กูรู้เลยว่าผชแต่ง//ชชนิสัยน่ารำคาญกูก็ไม่อ่านนะ
ปล.กุผู้หญิง
ผู้หญิงมักรู้สันดานผู้หญิงด้วยกันไง มันเป็นบางเรื่องที่ผู้ชายไม่รู้แล้วคิดว่าผู้หญิงทำแบบนี้จะน่ารัก แต่สายตาผู้หญิงด้วยกันมองว่าอีดอกนี่ตอแหลจริง มันดูประดิษฐ์เกินงาม
มีข่าวลือว่าอมรินทร์กำลังแย่ ต้องกู้เงินสหกรณ์ตัวเอง 600 ล้าน พนักงานทำตาปริบๆ ไปห้ามไม่ได้ เงินสหกรณ์อ่ะเงินพวกกูทั้งนั้น
ไปประมูลงานทีวีดิจิตอลเข้า งบลงทุน งบใบอนุญาติ โดนไปเท่าไร
ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ทางข่าว ละคร หรือ เกมส์โชว์
เข้าไปเสร็จทุกราย
ดร.นิเวศ บอกว่าตาคนมีเท่าเดิม แต่มีช่องทางแย่งเพิ่มมากเกินไป สุดท้ายเหลือผู้รอดไม่อีกราย ตามระบบทุนนิยม
>>491 >>492 อ่าน2repนี้แล้วสะดุด ขอแสดงความคิดเห็นของกูบ้างนะ
กูเป็นผู้หญิงปกติ ที่อ่าน y ได้ทั้งสองแบบ แต่ชอบอ่านnormalแนวอบอุ่นหัวใจมากๆ
กูมองว่าฟ้าในเรื่องเนี่ยน่ารักจริงๆนะ กูอ่านเพราะฟ้าเลยแหละ ชอบดูพัฒนาการของตัวละคร แอบอยากรู้อดีตด้วยว่าจริงๆแล้วฟ้าเป็นคนยังไง (แวบแรกก็แอบคิดว่าตอแหล แต่ดูแล้วถ้ากูเป็นฟ้าเนี่ย การตัดสินใจแบบนั้นถือว่าเก่งมากแล้วสำหรับผู้หญิงคนนึงนะ)
ก็ไม่ได้จะค้านอะไรหรอก แต่อยากบอกว่า อย่าไปstereotype ว่าเพศนี้ต้องชอบตัวละครตัวนี้ เพศนั้นต้องไม่ชอบ กูว่ามันขึ้นอยู่กับความคิดเห็นส่วนบุคคลอะ กูรู้ว่ากูเป็นส่วนน้อย แต่ยังไงก็อยากแก้ความคิดมึงนิดนึง
ถ้านักเขียนเขาผ่านมาอ่านแล้วเข้าใจว่าผู้หญิงทุกคนคิดแบบนี้กับฟ้า กูว่าเขาคงลำบากใจอะ
ไปต่อที่กระทู้ webcomic ได้แล้วมั่ง
ว่าแต่กูเห็นข่าวบอกจะลื้อศูนย์สิริกิติ์วะ งานหนังสือจะไปจัดที่ไหนได้วะนี้
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1462257077
>>495 ขออนุญาตสับ กูรู้สึกว่าฟ้าเป็นผญในอุดมคติว่ะ เรียบร้อย ดูใส ๆ(กูว่าไม่ใสนะ ใส่บราสีฟ้าเสื้อขาวเล่นสงกรานต์ ละแม่งหึงแฟนตอนมองผญอื่น คือสรุปมึงจงใจใส่ให้เขาดูหรือ) นมก็ใหญ่ พอท้อง หนีปัญหา ไม่ไปรบกวนผู้ชายกลัวเขาหมดอนาคต คือมึงเก็บไว้คนเดียวไง มึงกำหนดอนาคตให้ทุกคนเสร็จสรรพ ทุกคนไม่มีโอกาสได้ตัดสินใจห่าไรเลย ส่วนค่าเทอม เอ้า โกหกพ่อแม่อีก พ่อแม่มึงก็ง่ายจังเนอะ เอกสารมหาลัยอะไรมีมั้ย กูเป็นแฟนมันกูคงชอบอ่ะนะ ให้เยละก็ดี พอท้องก็ไปไกลๆไม่รบกวน สรุปคือมันไม่มีเหตุผลไงมึง แล้วเรื่องก็ไม่ไปไหนสักทาง ชิว ๆสบายๆ
กูคิดว่าเรื่องฟ้ามันไม่เมคเซนส์ในแง่ของคนที่พลาดท้องอ่ะ หลายครั้งกูอ่านแล้วแบบตั้งใจใช่ไหมฟ้า.... คืออาการตื่นตระหนกมันไม่ได้มีมากอ่ะ แล้วจากที่กูคลุกวงในมาส่วนมากอันดับแรกที่จะบอกเลยคือแฟนเว้ย จะบอกแฟนว่ากุท้อง แล้วค่อยบอกพ่อแม่ทีหลัง อันนี้เจอกับเพื่อนกูแล้วก็เจอกับพันธิปด้วย บางทีก็มาเรียนอ่ะแต่แบบท้องอ่ะ แล้วก็หายไปแล้วแบบ นู่นเลี้ยงลูกอยู่บ้าน -w-....
เรื่องฟ้าสำหรับกูมันเป็นเรื่องที่เอื่อยมาก เอื่อยชิบหาย ไม่ได้เดินเรื่องคืบหน้าไปไหนเล้ยยยยย
ฟ้าท้อง=>ไม่บอกใคร=>ไปอยู่หอคนเดียว=>เจอสังคมใหม่=>แล้วไงต่อ?
คือถ้าแค่ไม่กี่ตอนมันก็โอ แต่นี่ล่อไปสิบกว่าตอนแล้วนะเฮ้ย!!!!!! จะไม่ให้เรื่องมันเดินหน่อยเหรออออ
นอกเรื่องกระทู้หนังสือไปไกลแล้วมึง เข้าใจว่าติดลมแต่ไปคุยกระทู้ตัวเองเถอะ
คงเหลือ 2 ที่นี่แหละ
ที่ค่าเช่าสำหรับ สนพ. จะพอรับไหว ถ้าไปเช่าที่ใหญ่ๆ กลางเมือง รับรองค่าเช่าสถานที่โหดกว่าเดิม
แต่เห็นช่วงนี้ บูท สนพ. เองก็ทยอยไปตั้งที่นู๊นที่นี้กันบ่อยมากขึ้น
ตามต่างจังหวัดก็มีจัดหลายงานนะ
https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/13062063_1112773328765124_4414243337838309320_n.jpg?oh=27e8e55ef87bbaaf2ba19315e24e4e03&oe=57B23049
ตึกของเสี่ยเจริญตรงแยกหัวโค้งพระรามสี่ตรงข้ามตลาดคลองเตยเสร็จแล้วเว้ย เป็นตึกแสดงสินค้าและจัดประชุมแบบศูนย์สิริกิติ์เป๊ะ ไปจัดที่นี่ก็ได้
คนพวกนี้มันหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อนอยู่แล้ว
>>509 ถ้าไม่รังเกียจ ตามมาห้องนี้ได้ https://fanboi.ch/netwatch/2679/ กำลังมันเลย
มึง การที่แจ่มใสรับสมัครบก. ฟรีแลนซ์มันดูแปลกๆ ปะวะ แปลว่าอยากเจาะกลุ่มในเน็ตมากเลยนะมึง
มันไหลผ่านไทม์ไลน์เฟสกูมาว่ะ กูเลยงงๆ รับตั้งแต่ 18 ปี วิธีสมัครก็คือเอาเรื่องในเน็ตไปเสนอพร้อมวิจารณ์ กูไม่ใช่คอแจ่มใสนะแต่ก็รู้สึกแบบ เฮ้ย เอางี้จริงดิ ทุ่นเวลาแต่คุณภาพงานมันจะดีเหรอวะ
แจ่มน่าจะลองเปิดไลน์ใหม่ แต่ไม่มีโนวฮาว
เลยจัดกิจกรรมให้คนลองส่งงานเข้ามาเพื่อศึกษาแนวการทำงานรึเปล่า?
แถมจัดกิจกรรมแบบนี้ไป ถ้ามันเวิร์คก็ดีไป ถ้าไม่เวิร์คก็พับโปรเจกต์ได้
เพราะบก.ฟรีแลนซ์มันทำเป็นรายเล่ม
แต่...เรื่องค่าต้นฉบับ ยังไม่ได้แจ้งไว้ (น่าจะไปเจรจาอีกรอบนึง)
ดูทรงแล้ว พวกเขียนเองส่งเองน่าจะเยอะ 55+ (มันเหมือนส่งต้นฉบับนั่นแหละ แต่หาบก. เพิ่มมาด้วย)
ห้องสมุดมีดราม่าอะไรกันวะ กูเห็นแชร์กระทู้พันทิพย์กันเต็มเลย ที่มีคนจะถูกห้องสมุดฟ้องแล้วยังเรียกสาวกจะให้ไปรุมยำอะ แต่ไม่รู้จขกทเขาพูดอะไรผิดหูนักหนาวะ
เห็นอวาลอนเล่มล่าสุดคนเขียนบอกว่าไม่มีวางขายตามร้านหนังสือแล้ว สั่งซื้อได้ทางเว็บสถาพรเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ก็เริ่มขายแบบนี้ปะ หรือสถาพรจะลดงบสายส่งแล้วเลยขายแบบนี้
เมื่อก่อนกูโคตรใฝ่ฝันว่าอขากตีพิมพ์หนังสือกับสนพ.หรือไม่อย่างน้อยก็ได้ทำงานในนั้น แต่ตอนนี้กูชักแอบดีใจนิดๆที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในวงการนี้ว่ะ กว่ากูจะเรียนจบแถมได้เห็นความจริง มันไม่สวยหรูเหมือนอย่างที่คิดเลยซักกะนิด ตอนเด็กๆคิดแบบได้พิมพ์นิยายก็จะดัง มีแฟนๆตามชื่นชมไรงี้ แต่เดี๋ยวนี้กูปล่อยวางแล้วล่ะนะ
กูเผอิญไปเจอบทรีวิวนิยายเจ้กัล แหม..ที่เขาว่าเรื่องภาคต่อถ้าทำแย่จะฆ่าภาคแรกเป็นแบบนี้เองสินะ
http://www.bloggang.com/m/mainblog.php?id=peining&month=08-08-2015&group=15&gblog=49
ปล.แล้วเรื่องนี้มีแค่สองเล่มแต่ทำไมราคาเกือบพันวะ กระดาษอิมพอร์ตจากดาวอังคารเรอะ
นี่ถ้าบารามอสคนเขียนยังอยู่ อาจได้มีภาคยืดแบบเซวีน่าแหง 555 แต่แค่นี้ก็ขุดมาขายแล้วขายอีกตั้งหลายรอบอ่ะนะ
กูเห็นนักเขียนเก่าของสถาออกไปอยู่กับเอ็นเธอร์สองคนแล้วว่ะ แสดงว่าที่โม่งวงในมาบอกว่าสถามีปัญหาภายในก็เป็นเรื่องจริงดิ โม่งวงในเคยมาเม้าท์อะไรให้ฟังมั่งนะ กูลืมไปละ
เอ่อ..... ยอดพิมพ์เหลือ 1500 เป็นกูกูก็ไม่อยู่เหมือนกัน จากเดิมได้ 3000? ลดลงครึ่งหนึ่งเลยนะมึง
>>536
สมัยนี้ก็อยู่เรตนี้แหละ 1500-2000 เล่ม สนพ.จ่ายให้เท่านี้ก่อน
นอกจากมียอดจองเพิ่มขึ้นมากอย่างเช่นพวกนิยายรักที่บอกว่าได้ตีพิมพ์เพิ่มเพราะมีกระแสมา หรือได้จองทำละครเลยก็เพิ่มครั้งล่ะ 500-1000 เล่ม
คือสรุปว่ามันมีปัญหาหลายอย่างในวงการหนังสือบ้านเรา
แต่ใหญ่สุดมาจากสายส่งที่ปฏิเสธเล่มต่อในเรื่องที่ยอดขายหน้าร้านไม่ค่อยดี
(เหมือนประกาศิตเลยว่าเรื่องนั้นควรจบหรือให้ สนพ. ลอยแพ)
เมื่อวาน ไป ร้านนายอินทร์ B2S ก้อเห็นเล่ม2 วางแผงอยู่ครับ
>>537 ปัญหาใหญ่ไม่ได้มาจากสายส่งปฏิเสธเล่มต่อหรอกมึง ถ้ามันขายได้ใครจะไม่อยากเอาเงินวะ แต่มันขายไม่ได้จนสายส่งคิดว่าถ้าจะเอามากองไว้ที่โกดังให้เสียค่าขนส่ง เอาไปวางบนชั้นให้เสียเนื้อที่ สู้เอาไปทำอะไรที่มันดีกว่านี้ดีกว่า
ปัญหาใหญ่คือหนังสือขายไม่ออกต่างหาก ส่วนทำไมขายไม่ออกนี่กูว่าหลายเหตุผลมาก
>>540 ประมาณนั้น
แบบสายส่งรู้ว่าขายไม่ดีก็บอกปัดไง อย่างที่เพื่อนโม่งก็ยิ่งถูกต้อง ไม่รู้จะเอาหนังสือนั้นไปกองให้เต็มโกดังทำไม
สนพ. จะทำยังไงล่ะ นอกจากบอกนักเขียนว่าเรื่องนี้ควรจบได้แล้ว
สรุปว่าเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่ง
ส่วนอย่างอื่นๆ กูว่าเป็นรอง
เพราะถ้าเรื่องนั้นยังมีแฟนคลับรู้ว่าสนุกก็คงยังออกมาทำมือ ออกอีบุ๊กเองได้ ไม่ต้องง้อ สนพ.
แบบเห็นหลายเรื่องก็ทำแบบนี้
กูเห็นต่างประเทศเปลี่ยนโมเดลการขายไปแล้ว แต่ก่อนทำหนังสือก่อนแล้วทำอีบุ๊คเปลี่ยนเป็นตอนนี้ทำอีบุ๊คก่อนถ้าอีบุ๊คขายดีค่อยทำตัวเล่มแบบพรีบ้าง ใครซื้ออีบุ๊คไปแล้วก็มาหักส่วนลดหนังสือแบบเล่ม นอกจากอีบุ๊คดังเปรี๊ยงจริงๆ ถึงพิมพ์ตัวเล่มเยอะๆ ออกมาแบบไม่ต้องพรี
>>543
แบบรูปเล่ม
ตลาดในไทยหนังสือขายกันหลักพันถึงสามพันเล่ม
ตลาดต่างประเทศเริ่มหลักหมื่นไปถึงล้านเล่ม
แบบอีบุ๊ก
ในไทยว่ากันหลักสิบ-ร้อย
ส่วนต่างประเทศหลักพัน-หลักแสน
ตลาดมันต่างกันมาก...มันเกี่ยวกับนิสัยส่วนตัวของคนในประเทศด้วย
ทั้งคนที่รักการอ่านจำนวนมากกว่า ภาษาที่เป็นสากล การเคารพสิทธิลิขสิทธิ์(ยอมซื้อมากกว่าโหลดมาอ่านฟรี)
>>544 ถ้าเทียบค่าครองชีพกับค่าหนังสือ ต่างประเทศมันคงดูหนังสือเป็นสินค้าราคาถูกที่ใครก็จับได้ แต่กับไทยแล้วหนังสือแพงมากคนเลยซื้อน้อย
แต่ถึงหนังสือจะถูกกูก็ว่าคนก็ไม่ซื้อกันอยู่ดีอะ เพราะมันเคยชินกับการซื้อของอย่างอื่นไปแล้ว จะให้หันมาซื้อหนังสือกูว่ายาก ตอนนี้เลยคิดว่าเน้นแบบขายไม่มากเท่าไหร่ แต่ราคาแพงหน่อยน่าจะอยู่ได้ดีกว่า เพราะกลุ่มที่ยังซื้อหนังสือตอนนี้คงรับราคาแพงๆ กันได้แล้ว อยู่ที่ว่าหนังสือจะโดนใจจนเขาซื้อไหมเท่านั้นเอง
อีบุ๊คเนี่ย มันก็ทำเงินให้พออยู่ได้นะมึง กูขายเดือนๆ นึงได้หลักหมื่นอยู่ แต่กูขายหลายเล่มนะ
หักเข้าโรงพิมพ์60%_ สายส่งจนถึงร้ายได้40%ว่ะ ร้านปลายทางได้อยู่ที่25-30%จากที่เคยถามคนขายมา
>>549 แล้วไม่เท่านั้นนะ มึงลองคิดดูว่า สนพ. ต้องลงทุนก่อนด้วยพิมพ์ 3,000 เล่มเนี่ย สมมติเล่มละ 100 บาท ต้นทุนคิดแบบโคตรถูกเอาเล่มละ 15 บาท ส่วน สนพ. ได้กำไรคิดแบบเยอะอย่างแรงเลยนะได้ 30 บาท แปลว่าพิมพ์ 3000 เล่ม สนพ. ต้องลงทุน 45000 บาท แล้วต้องขายหนังสือได้อย่างต่ำ 1500 เล่มก่อน ถึงจะเริ่มได้กำไรบาทแรก นี่คิดแบบต้นทุนถูกสุดแล้วได้กำไรมากสุดด้วยนะ
แล้วถึงขายหมดสนพ. ก็ได้กำไรแค่ 45000 บาท ในขณะที่นักเขียนนอนเฉยๆ ก็ได้แล้ว 30000 บาท
ที่สนพ. ล้มเป็นว่าเล่นนี่กูไม่แปลกใจเลย เพราะตอนนี้เรื่องที่ขายได้นี่โคตรน้อย นักเขียนสถาเองยังบ่นเลยว่าโดนลดจำนวนพิมพ์เหลือ 2000 บ้าง 1000 เล่มบ้าง
กูว่าต่อไปอาจจะไม่เน้นส่งร้านขายปลีกด้วยซ้ำ ถ้าเก็บในโกดังแล้วให้ลูกค้าสั่งซื้อผ่านไลน์ แบบ4-5ก็ยังคิดค่าส่งEMS 50บ.อยู่แบบพวกร้านออนไลน์ ลูกค้าก็ไม่ต้องออกจากบ้านไปหาซื้อด้วยซ้ำประหยัดค่ารถค่ากินนอกบ้าน,ประหยัดเวลากว่าด้วยซ้ำ
กูว่าจะไม่เสือกแล้วนะ แต่อดไม่ได้ ขอเสือกหน่อยละกัน กูไม่เจาะจงนะว่าเป็นสำนักพิมพ์ไหน แต่ทำไมมันรู้สึกเหมือนมีคนเห็นใจสนพ ออกมาปกป้องสนพ กันจังวะ ทั้งๆที่คนอยู่ห้องนี้ส่วนใหญ่ก็นักอ่านนักเขียน
วิกฤตหนังสือตอนนี้น่ะนักเขียนเขียนงานห่วยนี่ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่สำนักพิมพ์เลือกงานไม่ดูตาม้าตาเรือพอใจจะเอามาพิมพ์ก็เอามาพิมพ์เลย แล้วเวลาขายไม่ได้ก็โทษตลาดก่อน กูว่ามันไม่ใช่รึเปล่า ตลาดน่ะมันส่วนหนึ่ง ซึ่งมีขึ้นมีลงตลอดอยู่แล้ว แต่หน้าที่สนพ คือคัดงานที่ควรจะขายได้ไม่ใช่รึวะ ไม่ใช่เห็นแนวนี้ดีแนวนี้บูมก็ตะบี้ตะบันพิมพ์แต่แนวนี้ สุดท้ายเป็นไง ตลาดมันอิ่ม ก็ขายไม่ได้ก็ลอยแพ ก็โทษเศรฯฐกินก่อนเลยไม่โทษตัวเองเลย
เรื่องที่บอกว่าพวกคนเขียนนอนเฉยๆ แล้วได้เงิน กูว่าไม่มีใครนอนเฉยๆแล้วได้เงินมั้ง พวกนี้มันก็ต้องทำงานก่อนรึเปล่าวะ นักเขียนที่ทำมือเองแล้วขายได้มึงว่าได้เท่าไร นิยายรักตอนนี้ทำมือได้เงินมากกว่าให้ สนพ 3 เท่านะมึง แต่ที่เขายอมให้ สนพ ตีพิมพ์ก็เพราะต้องการไม่ให้ชื่อตัวเองหายไปจากแผงหนังสือ กูอยากให้พวกมึงเห็นตอนเจ้าของสนพ บางที่ไปขอหนังสือของสายทำมือมาตีพิมพ์จริงๆว่าออดอ้อนขอเขาขนาดไหน เพราะอะไรละมึง เพราะสายทำมือตัวแม่ๆน่ะ ตีแค่ 1000 เล่มก็พอ พวกนี้กำไรเล่มละ 150 บาทขึ้น พันเล่มก็ได้ 150000 ขึ้นอยู่แล้ว ในขณะให้ สนพ ได้อย่างมากก็ 60000-80000
เมนต์บนๆ พูดถูก ว่าสนพพิมพ์ 3000 ต้องขายได้สัก 1000 ถึงจะพอคืนทุน แต่พอมันพ้นจากยอด 2000 เล่มไปแล้วยอดกำไรก็จะไม่ใช่ 20% แล้ว มันจะเพิ่มขึ้นมาก อย่างเรื่องไหนที่ถึงขั้นรีปริ้นไปแล้วเนี่ย ยอดกำไรที่ สนพ จะได้น่ะเกินสองเท่าของปกติ ยิ่งพวก 5000+ เนี่ยได้เยอะมาก
แล้วเวลาคำนวนตัดค่าหน้าร้านน่ะมันได้แค่นั้นจริง แต่อย่าลืมขายทางไปรษฯีย์ขายในงานหนังสือสิ มึงลองดู เรื่องดังๆขายดีๆน่ะ มันไม่มีทางลงร้านก่อนหรอก มันต้องขายในงานหนังสือก่อน ในงานหนังสือลดกันก็แค่ 20% หักรักเขียน 10% หักทุน 30% มันก็ 40% ที่รับเนื้อๆเหมือนกันนะแล้วพิมพ์มา 3000 พวกขายระดับดีๆหน่อยน่ะงานหนังสือขายระดับ 1000 เล่มนะมึง แปลว่าสมมุตเล่มละ 200 พิมพ์ 3000 ลงทุนไป 3000x60=180000 แต่ขายในงานหนังสือไป 1000 ราคาเล่มละ 200 ลด 20% เหลือ 160 ขายไป 1000 เล่ม ก็ได้มาแล้วนะ 160000 ที่เหลือก็กำไรล้วนนะ ยิ่งรีปริ้นยิงกำไรเพิ่ม
กูไม่ได้คิดว่านักเขียนดีกว่่าสนพสำนักพิมพ์ หรือสนพดีกว่านักเขียน แต่กูว่าต่างฝ่ายต่างต้องทำงานตัวเองนะ สนพออกเงินคนเขียนก็ออกแรง มันก็โอเครึเปล่า อีกอย่างมึงลองมองกลับนะ นักเขียนใช่ว่าเขียนออกมาแล้วจะขายได้ทุกเรื่อง จะได้ตีพิมพ์ทุกเรื่อง มึงลองเอาสัดส่วนเรื่องที่ได้ตีพิมพ์ของนักเขียนชื่อเสียงปานกลางหรือเพิ่งเริ่มสิ เขียน 3-4 เรื่องได้พิมพ์สักเรื่องสองเรื่อง แล้วเรื่องที่เหลือที่เขียนแล้วล่ะ มึงไม่คิดรึว่ามันกลายเป็นสูญเปล่าเลยไง มันไม่ใช่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสี่ยงอยู่ฝ่ายเดียวนะเว้ย
ซึ่งสิ่งสำคัญอีกอย่างที่พวกนักเขียนขยาดสนพหลายๆที่มันมาจากการพิมพ์ซ้ำด้วย คือมันไม่มีอะไรที่นักเขียนจะไปตรวจดูได้เลยว่าเรื่องตัวเองที่ขายอยู่ถูกพิมพ์มาเท่าไร พิมพ์ซ้ำไปแล้วกี่เล่ม จะรู้ก็แค่สนพบอก แล้วอย่างพวกสนพ ที่ไม่มีโรงพิมพ์เองน่ะ จ้างโรงพิมพ์เกิน 5 ที่เพื่อพิมพ์งานนะมึง มึงจะไปหาว่าโรงพิมพ์ไหนพิมพ์งานมึงน่ะยาก หรือต่อให้มึงหาเจอเขาก็ไม่มีทางบอกมึงว่าพิมพ์ไปเท่าไร เพราะมึงไม่ใช่คนจ่ายเงินเขา
ส่วนตอนสนพ จะซื้องานมึงเขาก็เสี่ยงนะ เพราะบางทีเห็นแค่เล่มแรกๆไม่เห็นเล่มหลังๆแต่นักเขียนเองก็เสี่ยง เรื่องที่สนพ จะโกงมึงเมื่อไรก็ได้ มึงไม่มีสิทธิ์ไปสืบค้นใดๆเลยเหมือนกัน หรือเกิดมึงฟลุ๊คจริงๆไปเจอไปจับได้ เขาก็บอกได้ว่ากำลังจะแจ้งมึงพอดี นี่พิมพ์ซ้ำนะเท่านี้ๆแล้วก็จ่ายเงิน เยี่ย วงการหนังสือไทยมันชอบใช้คำว่ากันเองมันกลบเรื่องของกฏหมาย ใช้คำว่ามารยาอลุ่มอลวยมาเบียดบัง มันไม่ใช่เหมือนเมืองนอกนะมึง ว่าถ้าถูกจับได้ขึ้นมานี่ถึงขั้นฟ้องร้องกันหนักหน่วง แล้วเวลาจะพิมพ์ซ้ำจะอะไรคนรู้ยอดจริงๆจะมีสักกี่คนวะ ก็มีแค่คนสั่ง ซึ่งส่วนมากคนคุมตรงนี้ก็คนในทั้งนั้น ยิ่งสนพที่ระบบไม่ใช่มหาชนยิ่งง่ายรึเปล่าถ้าจะโกงส่วนนี้
กู 556
ขออีดิตหน่อยตรงนี้
สายทำมือตัวแม่ๆน่ะ ตีแค่ 1000 เล่มก็พอ พวกนี้กำไรเล่มละ 150 บาทขึ้น พันเล่มก็ได้ 150000 ขึ้นอยู่แล้ว ในขณะให้ สนพ ได้อย่างมากก็ 60000-80000 อันนี้ก็หมายถึงถ้าได้พิมพ์ 3000 เล่มนะ คือขายเอง 1000 เล่มก็ได้เงินมากกว่าขายลิขสิทธิ์ให้สนพไปพิมพ์ 3000 แล้วมึง
>>556
กูเข้าใจเรื่องที่มึงพูดนะ การถูกเอาเปรียบจาก สนพ. ส่วนหนึ่งในเรื่องที่ไม่สามารถรู้จำนวนยอดขายได้เลย
ซึ่งในไทยก็เป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้โครตยาก
แต่นักเขียนเพิ่งเริ่มหรือนักเขียนชื่อเสียงปานกลาง ยังพยายามออกตีพิมพ์กับ สนพ ให้ได้
หลักๆ คงเป็นชื่อเสียงหรือความภูมิใจส่วนหนึ่ง เพื่อกระจายให้คนอ่านรู้จักออกไปตามเว็บสนพ. ร้านค้าทั่วไป งานหนังสือ
(กูมองว่ามันก็ยังจำเป็น เพราะถ้าลงในเว็บขายในเว็บ กลุ่มแฟนคลับคนซื้อมันก็จะอยู่เท่าเดิม)
สองคือความสะดวกในการไม่ต้องวิ่งวุ่น จัดรูป หาคนทำปก ติดต่อโรงพิมพ์ ตรวจสอบคนซื้อแล้วไปจัดส่ง
มันเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนไปถึงขั้นตอนสุดท้าย ถ้ามีงานประจำแล้วจะยุ่งมากๆ แต่ถ้ามีเวลาว่างมากก้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ถ้าพอมีฐานคนอ่านที่ติดตามพอควร เป็นคนเขียนที่มีชื่อระดับหนึ่ง
ทำมือ 300-500-1000 และวางขาย e-book ก็พอเพียงที่ไม่ต้องง้อสนพ. แล้ว
ตามที่เพื่อนโม่งพูดจริงๆ
แต่จุดสำคัญคือ ทำมือจำนวนน้อยราคามักจะต้องขายแพงกว่าแบบที่สนพ.ทำรูปเล่มออกมา (คนอ่านที่สองจิตสองใจซื้ออาจมีบ่น)
และการต่อยอด อย่างนิยายรักคือการได้ทำละคร ถ้าเข้าตาแมวมองเข้า ซึ่งการตีพิมพ์อาจจะได้ในส่วนนี้มากกว่า (กรณีนักเขียนดังนะ)
>>557
นักเขียนต้องมีฐานชื่อเสียงผลงานเก่าที่ดีในระดับหนึ่งด้วยใช่ไหมเพื่อนโม่ง
(ประมาณเคยออกกับ สนพ. มาแล้ว และรู้สึกไม่พอใจค่าต้นฉบับที่ถูกผูกมัดยาวถึง 5 ปี)
นักเขียนหน้าใหม่นี่ 100 เล่มยังหืดขึ้นคอ
แต่เห็นนักเขียนสายทำมือบางคนที่พอมีชื่อเสียงหน่อยขายได้ 200-300 เล่ม
ก็พอใจแล้ว พออยู่ได้ ถ้าขยันออกเล่มใหม่หน่อย
ปล.นักเขียนระดับเริ่มต้น-กลาง นี่ถ้าไม่มีงานประจำอื่นๆ คงอยู่ได้ค่อนข้างลำบากนิด
>>560 ส่วนใหญ่ถ้าออกกับ สนพ. แล้ว ถ้าไม่โดนบีบจริงๆ ก็คงไม่อยากออกมาหรอก เพราะพวกที่ขายทำมือได้ 1000 เล่มเนี่ย เวลาพิมพ์กับ สนพ. ต้องได้ 12-13% อยู่แล้ว แล้วได้ยอดพิมพ์มากกว่า เล่มนึงอาจจะได้ 150,000+ ก็ได้ แต่นี่ก็เป็นอดีตไปแล้วนะ ตอนนี้กูว่าแทบไม่เหลือใครแล้วมั้งที่ขายได้แบบนี้
ส่วนนักเขียนหน้าใหม่เอามาทำมือเองนี่มันดีตรงที่พิมพ์ออกมาได้แน่ๆ ไม่ต้องลุ้นว่าจะผ่านการพิจารณาไหม แต่ไปลุ้นว่าจะขายได้ไหมก็แล้วกัน ถ้าหน้าใหม่ขายได้ 100 เล่มนี่กูว่าประสบความสำเร็จแล้วนะ ยกเว้นแนววาย
ส่วนพวกขายทำมือได้ 200-300 เล่ม นี่อยู่สบายแล้ว เพราะตอนมึงออกเล่มใหม่ เล่มเก่ามันก็พอขายได้เรื่อยๆ แต่อย่างที่มึงว่าแหละ ตอนเริ่มต้นถ้าจำเขียนหนังสืออย่างเดียวกูบอกเลยว่าไม่พอกิน เพราะมันไม่ได้เงินอะไรมากมายขนาดนั้น
>>537 ไปเอาข้อมูลนี้มาจากไหนวะ
>>542 โมเดลนี้ยังทำได้ยากในบ้านเรา เพราะคนไม่ค่อยซื้ออีบุ๊กอ่าน
>>556 เขาไม่ได้ปกป้องรึเปล่า เท่าที่ดูนี่คืออธิบายสภาพวงการในปัจจุบันกันธรรมดา ๆ เพราะมีโม่งที่ยังไม่เข้าใจวงการการผลิตหนังสืออีกเยอะเลย
เอาแบบยูโทเปียกันนะ สมมติเป็นสำนักพิมพ์ที่โปร่งใส ซื่อสัตย์
เขียนส่งสำนักพิมพ์มันมีประโยชน์ตรงที่มีคนทำหน้าที่อย่างอื่นนอกจากเขียนแทนให้ ทั้งตรวจคำผิด แก้ไขเนื้อหานั่นนี่ มีคนเตือนว่ามึงลืมเก็บปมเรื่องตรงไหนหรือเปล่า ฯลฯ มีคนลงทุนแทนตอนเอาเข้าโรงพิมพ์ ลงทุนแทนตอนกระจายหนังสือไปตามหน้าร้าน มีคนช่วยประชาสัมพันธ์ให้ เอาไปเสนอช่องละครให้ด้วย ถ้ามีโอกาสก็ช่วยผลักดันให้สำนักพิมพ์เมืองนอกซื้อไปแปล ทำเอกสารต่าง ๆ ให้มึง เช่นเรื่องการจ่ายภาษี คอยดูแลผลประโยชน์แทนมึง สมมติมีคนเอาไปสแกนลงเว็บให้คนดาวน์โหลดไปอ่านกันฟรี ๆ ก็จะมีทนายดูแลแทนมึง มึงไม่ต้องลงไปวอร์เอง ไม่เสียเวลา ไม่ต้องคอยตอบคำถามลูกค้า ไม่ต้องดูแลหลังการขาย หนังสือชำรุด หน้าหาย นู่นนี่นั่น สำนักพิมพ์ต้องรับผิดชอบแทน
ถ้าตีพิมพ์เอง กูรู้สึกว่าพวกมึงมักจะลืมบวกค่าแรงตัวเองและอื่น ๆ ลงไปในต้นทุนเลยชอบคิดกันว่าตีพิมพ์เองได้เงินมากกว่า... คือถึงมันจะเข้ากระเป๋ามึงทั้งก้อน แต่มึงต้องลองหักเงินต้นทุนตอนผลิตออกไปด้วย สมมติเป็นตัวเลขกันให้เห็น ๆ ดีมะ สมมติหนังสือเล่มละร้อยบาท
1) 10% - ค่าลิขสิทธิ์ อันนี้คือค่าจินตนาการของมึง ถ้าเกิดกรณีต้องไฝว้กับพวกก๊อปลงเว็บจนถึงขึ้นโรงขึ้นศาลหรือไปโรงพัก มึงต้องเอาเงินก้อนนี้มาจัดการ
2) 30% - ค่าแรง ค่านั่งพิมพ์หลังขดหลังแข็ง ค่าเสียเวลาต้องตอบคำถามลูกค้าที่แม่งไม่อ่านคำอธิบายของมึงว่าจะพิมพ์เสร็จวันไหน เริ่มส่งของได้เมื่อไหร่ ค่าประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ไปฝากนิยายตามเพจ ค่าพาเพื่อนไปเลี้ยงเพื่อให้มันช่วยโฆษณาหน่อย
3) 25% - ค่าวางขายตามร้าน (แม้จะขายเป็น e-book ก็ต้องจ่าย แต่จ่ายในลักษณะการโดนหักออกจากราคาปก)
4) 25% - ค่าพิมพ์ ยิ่งพิมพ์น้อยยิ่งแพง
5) 10% - กำไรจริง ๆ
พวกทำหนังสือทำมือมักจะเอาข้อ 1, 2, 5 มารวมกัน เลยดูเหมือนได้เงินเยอะ จริง ๆ ไม่ใช่นะ ทำธุรกิจมึงต้องแยกแยะต้นทุนออกมาจากเงินส่วนตัวของมึง ไม่งั้นเจ๊งตายพอดี
ค่าแรงในการพิมพ์ตอนส่งสนพ มึงก็ต้องพิมพ์เหมือนกันนะ มันไม่ได้ต่างกันตรงไหนจะเอามาคิดซ้ำซ้อนไม่ได้นะ ไม่งั้นหัวบานพอดี
ค่าพาเพื่อนไปเลี้ยงเพื่อให้มันโฆษณาให้หน่อยนี่กูว่ามึงยูโทเปียจริงๆมันต้องถึงจขั้นให้เพื่อนไปโปรโมทให้เลยรึ เพื่อนมึงที่จะทำงั้นได้ต้องดังพอควรเลยนะ กรณีนี้ถ้าพิมพ์กับสนพ แล้วมึงจะให้เขาโปรโมตให้มันก็มีค่าใช้จ่ายแบบนี้อยู่ดี ซึ่งปกติเขาไม่ทำกันว่ะ ซึ่งกูว่ากูเขียนชัดว่านี่กรณีที่นักเขียนมีชื่อทำมือขายนะ นักเขียนมีชื่อต้องพึ่งเพื่อนด้วยการพาไปเลี้ยงข้าวกูว่ามันแปลกๆนะ
ส่วนถ้าจะเอายูโทเปีย กรณีที่กูพูดคือไม่สนใจฝากร้านไหนๆนะ อันนี้ตัดทิ้งได้ ขายเองอย่างเดียว
ส่วนตรวจคำผิด เช็คปม พวกนี้เขามีบก.นอกที่รับงานว่ะ มึงไม่ต้องมาทำเองอยู่แล้ว บ็ดเสร็จตกราคาเล่มละ 8000-10000
ส่วนค่าวางขายตามร้านสำหรับ ebook หรืออะไรอื่นๆ มึงลองดูสิกูยังไม่ได้รวมเงินจากวางขาย ebook เลยนะ ที่กูคำนวนคือรูปเล่มล้วนๆ ซึ่งถ้าให้รวมค่า ebook ด้วยมันจะเยอะกว่าที่พูดอีก เอาจากที่มึงว่าเลยก็ง่าย ebook หักหน้าร้าน 25% ที่เหลือ 75% นั่นมึงมีต้นทุนน้อยมากนะ เพราะค่าอีดิต ค่าปก ค่าจัดรูปเล่มมึงจ่ายไปแล้วรอบนึงตอนรูปเล่ม เวลาจะเอามาลงทำ ebook ก็แค่เสียค่าจัดหน้า ebook นิดหน่อย
มันถูกนะที่ต้องคิดต้นทุนให้รอบคอบ แต่ก็ต้องระวังการคิดต้นทุนซ้ำซ้อน ไม่งั้นมันก็ผิดแต่แรกเหมือนกัน ซึ่งอะไรก็แล้วแต่ที่ต้องทำเพิ่มนั่นคือมึงจ้างงานตัวเองเพิ่มไม่ได้้ฟรีอยู่แล้ว
สุดท้าย ถ้าเอาความคิดยูโทเปียมาใช้ในธุรกิจ อันนี้กูว่ามันหนักหนากว่าการคำนวนต้นทุนผิดอีก เพราะโลกสวยตอนนี้มันอยู่ยากทุกวงการแหละ เมืองไทยใครก็รู้ว่าหลังฉากมันมีช๊อตสกปรกเสมอ
กู 563
แต่เสียเวลาตอบลูกค้าที่ไม่สนอะไรเลยนี่น่าปวดหัวจริงๆคงต้องกันค่ายาแก้ปวดหัวไว้ กับปัญหาตอนส่งของนั่นละที่วุ่นวายหน่อย แต่ถ้าเข้าที่เข้าทางเข้าระบบมันแล้วก็เบาลงเยอะ ทำงานเยอะจีงๆคือช่วงสองอาทิตย์หลังหนังสือพิมพ์เสร็จนั่นละ เพราะต้องเช็คของเช็คเงิน กับส่งของไปที่ลูกค้าซึ่งอาจมีเสียหายตกหล่น อันนี้ปวดหัวพอควร ซึ่งนี่คือสิ่งที่ต่างจริงๆสำหรับขายเองกับขายผ่านสนพ
>>562 ดีใจที่มึงเข้าใจว่าพวกกูไม่ได้ปกป้องสำนักพิมพ์ กับเรื่องต้นทุนที่ว่ามา ข้อ 1,2,5 กูคิดว่าเป็นเหมือนการจ้างตัวเองนั่นแหละ มันก็ได้กำไรเหมือนกัน อาจจะเป็นกำไรจากลิขสิทธิ์ กำไรการบรรณาธิการ(ข้อ 2 ขอเรียกงี้) ซึ่งสุดท้ายมันก็ร่วมกันกับข้อ 5 เป็นกำไรทั้งหมดอยู่ดี หลักการต่างๆ เอามาใช้ได้อยู่ แต่กูขอดูเงินในกระเป๋าดีกว่า ว่าขายหนังสือได้เงินเท่าไหร่ หักรายจ่ายแล้วเหลือเอาไหร่
แล้วถ้านับเวลากัน กูว่าการบรรณาธิการเนี่ยมันใช้เวลาน้อยกว่าตอนแต่งนิยายเยอะมาก เล่มนึงกูแต่ง 2 เดือน แต่จัดเรียงจนพร้อมพิมพ์เนี่ยอย่างมากขอ 2 วันพอแล้ว มันจึงไม่ได้หนักหนาอะไรเลย ถ้าจะหนักก็คงเป็นตอนแพ็คหนังสือขาย คือกูก็ดีใจนะที่หนังสือกูขายได้ แต่ขี้เกียจแพ็คหนังสือเป็นร้อยๆ เล่มมาก
ส่วนเรื่องขายหนังสือทำมือนี่ ส่วนใหญ่จะเห็นนักเขียนขายเองนะ ผ่าน fanpage อะไรพวกนี้จึงไม่เสียค่าฝากวาง ส่วน E-book อย่าลืมว่า E-book ไม่มีส่วนต้นทุนพิมพ์นะ ถ้าทำหนังสือทำมือพิมพ์ออกมาแล้ว ทำ E-book นี่ก็เหมือนมึงไม่เสียอะไรเพิ่มเลยเพราะเอาต้นฉบับที่ส่งโรงพิมพ์มาลงก็ได้ อยู่ดีๆ ก็ได้ตังเนาะๆ แล้วได้เยอะด้วยนะ อย่าทำเป็นเล่นไป
สำหรับกูถ้ามี สนพ. ยูโทเปียแบบที่มึงว่ากูจะดีใจมากเลย แต่ตอนนี้คงเป็นไปได้ยาก เอาจริงๆ กูก็ไม่อยากทำมือหรอก แม่งลุ้นชิบหายเวลาเอาไปขายแต่ละครั้งว่าจะมีคนซื้อไหม ตอนอยู่ สนพ. ช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้สบายกว่าเยอะ เขียนหนังสืออย่างเดียว แต่อย่างว่าแหละมึง มันไม่มีอีกแล้วดินแดนแห่งความฝันแบบนั้น กูรักการเขียน กูอยากเขียนหนังสือไปเรื่อยๆ ก็ต้องปากกัดตีนถีบไปนั่นแหละ
>>563 เฮ้ย ทำไมมึงจ้างพิสูจน์อักษรแพงจังวะ กูจ้างแค่ 2000-3000 เองนะ แถมพวกคอมเม้นต์ว่าตรงไหนอ่านไม่รู้เรื่องหรือไม่ดีด้วย
กระทู้นี้มันจะกลายเป็นรวมพลคนทำหนังสือไปอยู่แล้วนะเนี่ย
http://www.dek-d.com/board/view/3651176
มันน่าจะมีโปรโมชั่นซื้อแบบเล่มแล้วเป็นส่วนลดอีบุ๊คนะ คือถึงกูอยากจะชอบอ่านแบบเล่มแต่บางสถานที่มันก็อ่านอีบุ๊คสะดวกกว่า ถ้ามีโปรโมชั่นทำนองนี้ตลาดหนังสือน่าจะดีขึ้นซัก 5%
ทำไมนิยายโรแมนซ์ไทยบบางเรื่องเอ้ยหลายเรื่องหน้าปกพระเอกกับนางเอกคนเดียวกะันหมดเลลยละ ที่ขึ้นต้นว่าบำเรอ ซาตาน ทาส เสน่ห์ ห่าเหวไรไม่รู้เต็มไปหมด อ่านด้านหลังละอยากปาทิ้งชิบหาย นิยายเหี้ยไรเนนี่ย
เหมือนนางเอกเป็นน้องโส
โสเภณี
ติดหนี้พระเอกบ้างล่ะ ขายตัวใช้หนี้พระเอกบ้างล่ะ ครอบครัวสร้างหนี้ต้องใช้ให้พระเอกบ้างล่ะ กระหรี่ชัดๆ
>>574 กูต่อให้ ตอนหลังนางเอกต้องท้องและมีเหตุให้หนีพระเอกไปอยู่คนเดียว พระเอกต้องหานางเอกจนเจอ ระหว่างทางอาจจะมีเศร้าบ้างดราม่าหน่อยๆ ตอนจบก็#แฮปปี้เอ็นดิ้งครอบครัวสุขสันต์
ปล. พระเอกต้องรวยมาก ก.ไก่ล้านตัว และต้องแบดบอยหน่อยๆไม่งั้นไม่ฟิน นางเอกต้องสวยดั่งนางฟ้าและแสนดีสุดๆ
ขอ ky แปป ไม่รู้ต้องถามมู้ไหน กุจำได้ว่ากาลครั้งหนึ่งสถาพรเคยจัดประกวดออกแบบบารามอสปกใหม่นี่ ใช่ป่ะ แล้วผลมันยังไงกันอะ กุไม่ได้ตามอีกเลย ไม่เห็นมีปกใหม่ หรือมีเรื่องอะไรเปล่าวะ
>>577 ไม่มีผลงานที่ถูกใจสำนักพิมพ์ เลยไม่รับซักอันและให้เงินชดเชยเป็นบัตรกำนัลหรือแต้มอะไรซักอย่างมูลค่าห้าร้อยบาท(ใช่เปล่าวะ กูก็จำไม่ค่อยได้ตรงนี้ ใช้ทำอะไรกูก็ลืม คงเป็นส่วนลดซื้อหนังสือสถาพรมั้ง) แต่ยืนยันว่าจะมีการรีปริ้นแน่นอน อดทนรออีกหน่อยนะจ๊ะเหล่าแฟนคลับทั้งหลาย~
ความเห็นกูนะ ชุดเก่ายังขายไม่หมดเลยไม่ใช่เรอะ เห็นเอามาลดราคาอยู่สามสี่รอบนี่ และสภาพการเงินการตลาดตอนนี้มันก็ร่อแร่ ปัญหาภายในเรื่องบก.ด ไล่บี้เด็ก บก.ป ก็ยังอยู่ นักเขียนถูกบังคับให้ตัดจบ กูว่าคงได้รอรากงอกไปอีกนานเลยล่ะว่ะ รึถ้าจะมีคงเป็นแบบพรีออเดอร์ พิมพ์ตามจำนวนคนสั่ง อาจจะมีสต็อกเผื่อไม่เกินพันเล่ม
>>581 คืนทุนเป็นกำไรหมดแล้ว ขายได้มากหรือน้อยก็เป็นกำไรอย่างเดียว
เอาไว้ขายเด็กรุ่นใหม่ได้เรื่อยๆ ในงานหนังสือ หรือทาางเว็บ
ส่วนที่จัดประกวดปก ลึกๆ กูมองว่าเป็นการโฆษณา การตลาดอย่างหนึ่ง
ที่ยังไงก็คงไม่มีใครชนะรางวัลใหญ่ นอกจากรางวัลปลอบใจ
เพราะตลาดหนังสือตอนนี้ ในกลุ่มแฟนตาซียังมีเรื่องไหนที่ได้ตีพิมพ์ซ้ำอยู่อีกหรือ
เห็นคนพูดกันว่าบารามอสแม่งเป็นแฟนตาซีที่ยิ่งใหญ่ เด็กไทยต้องอ่านอะไรงี้แล้วกูนี่อยากจะล้องห้ายเลยสัส
ต้องบอกไหมว่าทำไม T-T
สปอย ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว นิยายญี่ปุ่นที่จะทำเป็นหนัง
สรุปก่อน กาก กากแบบมาตรฐานนิยายญี่ปุ่น อ่านแล้วหงุดหงิด
ต่อไปนี้จะเป็นการสปอย
พระเอกเป็นบุรุษไปรษณีย์ แม่ตาย ทะเลาะกับพ่อ อาศัยอยู่กับแมว วันหนึ่งไปหาหมอ หมอบอกว่ามันกำลังจะตาย พระเอกก็หมดอาลัยตายอยากโทรไปลางาน พอดีกลับมาบ้านเจอยมฑูต ยมฑูตบอกว่า จะต่อชีวิตให้พระเอก 1 วัน แลกกับลบบางอย่างไปจากโลก พระเอกก็ตกลง ก็เริ่มลบไปวันละอย่าง โทรศัพท์ ภาพยนตร์ นาฬิกา สุดท้ายยมฑูตก็ขอลบแมว แต่พระเอกไม่ยอมลบ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าแม่อยากให้มันกับพ่อคืนดีกัน เลยจะส่งจดหมายไปหาพ่อ แต่คิดๆดูอีกทีก็ไม่ส่ง เปลี่ยนเป็นแต่งชุดบุรุษไปรษณีย์ปั่นจักรยานไปบ้านพ่อแทน จบ
สรุปอีกที หนังสือพยายามแฝงปรัชญากากๆลงไป แต่กูว่ามันกาก เหมือนหนังสือของวินทร์ เลียววาริน เวอร์ชั่นกากกว่า หรืออาจเป็นเพราะคนแปลมันห่วย? ไม่มั้ง กูว่ามันไม่มีอะไรเลยจริงๆ
>>589 เดี๋ยวนะ คือกูยังไม่เคยดูเคยอ่าน แต่กูนึกว่ามันจะเกี่ยวกับถ้าชีวิตคนเราขาดแมวไป จะเกิดอะไรขึ้น? ชีวิตที่ไม่แมวมาอ้อนหรือแสดงความหยิ่งให้เหล่าทาสต้องสยบ มันคงจะเงียบเหงาน่าดู แต่นี่กลับกลายเป็นชีวิตหนุ่มโสดกับแมวที่เรื่อยเปื่อยไปวันๆ และพยายามจะพีคว่าพระเอกกำลังจะตาย ยมทูตต่อชีวิตให้โดยการลบบางสิ่งในโลกออกไปจนเหลือแมว แต่พระเอกผู้มีความผูกพัน(?)กับแมวไม่ยอม จากนั้นพี่ท่านก็เพิ่งนึกได้แม่อยากให้ตัวเองคืนดีกับพ่อ เลยเขียนจดหมายส่งหาพ่อ แต่สุดท้ายเปลี่ยนใจไปหาพ่อเองด้วยชุดบุรุษไปรษณีย์ อืม...ตรงจุดนี้คือจะสื่อว่าเป็นการทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายด้วยการส่งสารหาพ่อรึเปล่าวะ ว่าแต่ทำไมชื่อเรื่องกับเนื้อเรื่องไปคนละทางเลยล่ะนั้น ตั้งขึ้นเพื่อให้มันมุ้งมิ้งหรือดึงดูดทาสแมว?
ไร้สาระสมกับเป็นญี่ปุ่นอะมึง ประมาณอยากให้ทุกคนไม่รีบเร่ง(ไม่มีนาฬิกา) อยากให้คนเลิกก้มหน้า(ไม่มีมือถือ) อะไรงี้
ยังมีตัวละครอีกตัวคือแฟนเก่าพระเอก เหมือนจะมีอะไรนะ แต่ใส่มาแล้วไม่มีเหี้ยอะไรเลย เหตุผลที่เลิกกันก็งงๆป่วยๆ ส่วนแมวที่สำคัญเพราะเป็นแมวที่แม่เก็บมาเลี้ยง(พระเอกรักแม่มาก)
คือแม่งเหี้ยตรงที่ว่า ไม่ยอมแลกแมวกับชีวิตเพราะคิดว่าแมวก็รักชีวิตของมันเหมือนกัน ห่านจิก ถ้ายมฑูตแม่งให้แลกกับหมากับปลาดุกอะไรงี้แม่งก็คงแลกสินะ ควย
เรื่องแมวกุดูแต่หนังนะ ในหนังน่ะตัวเอกตอนเด็กมันเก็บแมวมาเลี้ยง แล้วแบบแม่มันก็ดูชอบแมว ดูมีความสุข ทำให้มันกับแม่มีเรื่องคุยกันมากขึ้น พอแมวตัวนั้นตาย แม่มันก็เสียใจ มันก็เสียใจ แต่ว่าพ่อที่วันๆเอาแต่ทำงาน ดูเหมือนไม่สนใจมันกับแม่เลย กลับแอบเอาลูกแมวตัวใหม่มาให้ อารมณ์แบบพราะแมวทำให้สายสัมพันธ์ในครอบครัวของตัวเอกยังคงเป็นครอบครัวอยู่ มันได้รู้ด้านที่เอาใจใส่อ่อนโยนของพ่อเพราะแมว พ่อมันหันมาใส่ใจแม่กับมันมากขึ้น ไม่ได้เอาแต่ทำงาน ถ้าหากแมวหายไป---คือมันจะหายไปเลยทั้งในอดีตในปัจจุบันในอนาคต พ่อกับมันก็จะโคตรเหินห่าง มันก็จะไม่สนิทกับแม่ แม่ก็จะไม่มีความสุข ไม่ค่อยจะยิ้ม และมันในปัจจุบันก็โคตรจะโดดเดี่ยว มันเลยยอมตาย แต่ไม่ยอมให้แมวหายไป
เรื่องมันบีบให้ การสื่อสาร=แฟนเก่า หนัง=เพื่อน เวลา=ชีวิต,ประสบการณ์ แมว=ครอบครัว หายไปทีละอย่าง
มันแลกพวกนี้กับเวลาแค่หนึ่งวันไง โคตรจะไม่คุ้ม
พอแมวหรือสิ่งเดียวที่เชื่อมมันกับครอบครัวจะหายไป ซึ่งเป็นอย่างสุดท้ายในชีวิตมันแล้ว มันเลยยอมตายดีกว่า
กุอธิบายเข้าใจรึเปล่าวะเนี่ย
>>593 ตัวเอกมันก็เป็นคนธรรมดา เห็นแก่ตัวหน่อยจะแปลกอะไร เป็นถ้ายมทูตว่าให้ยุงหายไป ใครๆก็เอามะ ไม่สำคัญกับเรานี่ ตัวเอกมันยังเคยขอให้ผักที่มันเกลียดหายไปเลย แต่มันเลือกไม่ได้ แล้วแมวก็เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแรกที่จะหายไป ก่อนหน้านั้นมีแต่หนัง นาฬิกา มือถือ ซึ่งทำให้มันคิดฉุกเรื่องความสำคัญของชีวิตได้
>>596 ไม่เหมือนหนังสือ
>>595 มีความมึนๆงงๆ จะอธิบายเฉพาะที่กูเข้าใจ
คือมันไปเที่ยวอาเจนติน่าด้วยกัน แล้วก็ไปเจอนักเดินทางชาวญี่ปุ่นคนนึง มีการพูดคำคมห่าเหวไรก็ไม่รู้ เกี่ยวกับเวลา เกี่ยวกับชีวิตมั้ง แต่จู่ๆสองสามวันต่อมาไอ้นักเดินทางคนนั้นก็เกิดอุบัติเหตุตาย นางเอกพระเอกเศร้าใจมาก ตอนนั่นเครื่องบินกลับญี่ปุ่นก็นัางนอยด์กันทั้งคู่ ไม่พูดอะไรกันเลย พอถึงนาริตะก็แยกทางกัน แล้วก็เลิก
พระเอกก็ฟูมฟายประมาณว่าถ้าบนเครื่องบินชวนนางเอกคุย คงไม่ต้องเลิกกัน บลาๆ
ควย
คิดยังไงกัน กับคำที่ว่าอ่านมุราคามิแล้วกระแดะ คิดไม่ถึงเลยนะว่า สนพ.จะออกมาโพสเอง lol
จริงๆ ควรบอกว่าอ่านนพดลแล้วกระแดะและเวิ่นเว้อมากกว่าอ่านมุราคามินะ แต่สนพ.ท่าจะชอบแบบนี้
ไล่อ่านหมดแล้ว กังวลกับสนพนิยายในไทยแทนจริงๆ เราสายแฟนตาซีด้วย circle เรายังรออยู่นะ ฮือ rabbit saga ด้วย เสียใจจจจจจ enter หนังสือเก่าๆท่จบแล้ว เรากลับแอบอยากให้ลดราคามากกว่านี้ ไม่ใช่อะไร หนังสือมันสภาพมือสองมากกกก เลอะหมด สีจางแบบ ได้ลดนิดเดียว แต่ก็ซื้อเพราะอยากอ่าน
อยากให้สนพ ทำ limited เฉพาะคนซื้อรอบแรกมาก แบบให้รอบพรีออเดอร์ก็ได้ เดี๋ยวนี้เราเห็นหนังสือทำมือแบบพิมพ์รอบแรกหลายเจ้าทำแล้วนะ ว่าซื้อรอบนี้ ได้เล่มพิเศษแถม ได้พวกกุญแจ คือบางทีซื้อเพราะของแถมหลอกล่อกับปกงามอลังจริงๆ (เผลอตัว T^T) แบบต่อให้เขามาขายรอบต่อไปแบบลดราคา เราก็เชิดได้ว่าเรามีของแถมจำนวนจำกัดเชียวนะ มีบ๊อกเลยนะ กล่องเก็บก็สวยไรงี้ 5555 ไม่เคืองมากถ้าลดราคาเพราะเราได้ของที่ดีกว่ามาแล้ว มีคุณค่าทางจิตใจให้สะสม
ของแถมมีผลจริง โดยเฉพาะเรื่องวาย
ตามในกลุ่มเรื่องไหนเขาชอบเขาพร้อมจ่ายจริง ปกสวยถูกใจเขาก็ซื้อแฝดกันเลยค่ะซื้อแฝดสามก็เคยเห็น อ่านเล่มนึง เก็บเล่มนึง โชว์เล่มนึง แบบโหดมาก เรื่องไหนแรร์ก็ประมูลกันไม่ลืมหูลืมตา อัพราคาเกินปกไป สี่ห้าเท่าก็จ่ายกัน (อันนี้ไม่ดีไม่แนะนำ เพราะมีแม่ค้ามาปั่นราคา เงินไม่เข้านักเขียน)
พูดถึงหนังสือทำมือ ชายหญิงก็ขายดีนะ ถ้าเรื่องสนุกจริงและมีการประชาสัมพันธ์พอตัว เหมือนที่เราเจอนี่เป็นการ์ตูน เรื่องพนักงานราชทัณฑ์กับผู้ต้องขังหญิง พึ่งเปิดจองไปปลายเดือนนี้เอง ปิดจองก่อนเวลาด้วย เพราะคนจองเยอะมาก พันเล่มอัพ ถ้ามากกว่านั้นเขาทำเองไม่ไหว เลยปิดจองเร็ว (เปิดแค่ไม่กี่วันถ้าจำไม่ผิด สองสามวันนี่แหละ ยอดพุ่งเร็วมากๆ) เราก็เป็นหนึ่งในผู้เสียทรัพย์ โฮรรรร
กูอ่านGoTไทยเเล้วเสียดายตังค์สัส เเปลได้หีหมามาก เอาไปเผาเเล้วเก็บเงินซื้อeng
คนเเปลมันเอามาตรฐานไหนในการเเปลชื่อเฉพาะวะ บางชื่อเเปล บางชื่อทับศัพท์ มึงโยนหัวก้อยเอารึไง
เเปล Narrow Sea เป็นทะเลเเคบ อะไรเเบบนี้กูยังเข้าใจ เเต่มึงจะเเปลWhite Walker ไปทำไมวะ มันคำเฉพาะนะเว้ย
ฉายา King Slayer เเปล เเต่ชื่อดาบOathkeeper ทับศัพท์
Wtf nigga?
>>604 great sword แปลว่า มหาดาบ
My lord แปลว่า นายข้า <<<< กุสงสัยมากว่าตามหลักมันต้องแปลแบบนี้จริงๆเหรอ ตรงตัวไปมั้ย? เพราะรูปประโยคและการใช้งานจริงแล้ว แปลว่า นายท่าน จะเหมาะกว่ามั้ย เพราะต่อให้มึงคุยกับฝ่ายศัตรู มึงก็ใช้คำว่า my lord อยู่ดี มาแปลเป็น นายข้า แม่งตลก ศัตรูของมึงเป็นเจ้านายของมึงเนี่ยนะ?
กูไม่รู้แผ่นDVDของแคททาลิสได้รับอิทธิพลการแปลจากหนังสือรึเปล่า ตอนแรกๆบางคำยังทับศัพท์อยู่ หลังๆมึงแปลเป็นไทยเฉย
อย่าง เดอร์นารีส สตอร์มบอร์น หลังๆแม่งแปลเป็น เดอร์นารีส ธิดาพายุเหี้ยไรไม่รู้ มึงเอาสักอย่างสิวะครับ
สำนักพิมพ์ ยิปซี ดีเปล่าวะแม่งกูเห็นมีหนังสือประวัติศาตร์เยอะแต่ ราคาไมถูกจังวะ เคยอ่านใน pantip บอกว่าแม่งลอกจากพวก web มา
ตรงนี้คุยเรื่องพิษวาส. ป้าทมได้ไหมนิ มึงคิดว่าไงกับมาม่าแปลงพลอต?
นางซินของหนมปังนี่เป็นไงมั่งพวกมึง สนุกมากป่ะ พอดีเห็นบอกจะออกกับอรุณ กูอ่านราชบุตรเขยแล้วไม่โดนว่ะ
สมัยนั้นค่านิยมเรื่องนี้ยังชิวๆ ลอกก็ลอกไป ดัดแปลงให้เป็นของตัวเองได้ก็พอ เรื่องนี้เป็นทุกประเทศ พึ่งมายุคหลังนี่ละถึงเคร่งหน่อย เพราะระบบลิขสิทธิ์มันไปทั่วโลก
กูไม่บอกว่าป้าแกไม่ผิดนะ แต่มันเป็นเรื่องของยุคสมัย เมื่อยุคเปลี่ยนแล้วเราก็ไม่ควรเอาอย่าง
>>613 พูดยากอยู่นะ เราว่าขึ้นอยู่กับว่าแปลงมาทั้งดุ้นหรือยืมแค่บางส่วน ถ้าแค่ยืมบางส่วน เราคงเฉย ๆ อ่ะ แต่ถ้าลอกทั้งดุ้นก็คงรับไม่ได้ ประเด็นคือยังไม่เคยอ่านทั้งสองเรื่อง
>>614 สนุกต้นแผ่วปลายอ่ะ รู้สึกว่าเล่มสุดท้ายคลายปมแบบงง ๆ แต่อ่านแล้วเหมือนนิยายฝรั่งเขียนมากกว่าบางเรื่องที่โฆษณาว่ามีฝรั่งร่วมแต่งนะ
ถ้าป้าทมลอกมา ป้าทมก็ควรแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าตัวเองลอกมา จะอธิบายไปว่ามันเป็นเรื่องของยุคสมัยหรืออะไรก็ว่าไป แต่ไม่ใช่บอกว่าไม่เคยอ่าน ทั้ง ๆ ที่เห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่าเอาของเขามา ป้าแกไม่มีศักดิ์ศรีว่ะในความเห็นกู
กูเคยอ่านเรื่องนึง เรื่องที่นางเอก ไปเป็นเมียน้อยทหาร? รึเปล่าวะ ที่นางเอกเหมือนเป็นเมียคนอื่นแล้วมาเป็นเมียทหาร แล้วก็ท้อง ทหารก็มีเมียอยู่แล้วแต่เขียนเหมือนว่าไม่ได้รักเมียคนนั้น รักคนนี้มากตอนตายก็ส่งจดหมายหา บลาๆ ตอนกูอ่านแรกๆกูตะหงิดๆว่าป้าแกเขียนอะไรแปลกๆ ทำไมถึงชูเรื่องการนอกใจเด่นหราเลยวะงงง ตอนนันคาใจอยู่พอกูได้สดับข่าวบางอย่างเลย....อ้อเข้าใจ
ว่าแต่เรื่องมันชื่อไรนะ สิ้นสวาทป่ะวะ กูจำชื่อไม่ได้ อ่านนานมากละ. แต่มันคาใจเรื่องนอกใจครอบครัวระหว่างพระนางนี่ละ
นอกจากความสัมพันธ์กับฝ่ายทหารในด้านหน้าที่การงานแล้ว ในด้านความประพฤติส่วนตัวนั้น วิมล ขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ยังเคยถูกศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นชู้กับนายทหารซึ่งเป็นเพื่อนสมาชิกวุฒิสภาด้วยกัน และให้หย่าขาดจากสามีด้วย คดีนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ คดีทมยันตี หรือ คดีชู้รักบันลือโลก
เคส พลอตไรนี้ รุ่นเก่ามีโดนหลายคน
เยอะสุดก็..ป้า ว.ล. ที่บางอันเปลี่ยนชื่อกะสถานที่ให้ไทย แต่กุก็อ่านงานเขาสนุกดี...
เอาเป็นว่า กูค่อนข้างเกลียดผู้หญิงคนนี้ในแง่พฤติกรรมชู้สาว และทัศนคติสมัยเดือนตุลา
ส่วนเรื่องแรงบันดาลใจ แค่บอกออกมาว่าได้มาจากนิยายเรื่องโน้นเรื่องนี้ แกจะยังดูมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง
แต่ก็นะ หัวโขนมันใหญ่คงไม่อยากถอดออก
สนพ.เฟอร์นิเจอร์ แม่งลดราคาหนังสือ 80%
ขนาดกูไม่ได้ซื้อของมันมาหลายปี กูยังรู้สึกหน้าสั่น บางเล่มของนักเขียน ภ. และ ป. เหลือ39
กูควรรับมือกับสนพ.ขี้หักหลังแบบนี้ยังไงดี
เพื่อนกุเชื่อแรง เรื่องผีดอกไม้ในเรื่องเนี้ย
ป้าเขาก็ดูเป็นธรรมะธรรมโมนะ ศาสนามากๆ
แต่เขียนนิยายออกมานี่มันพุทธเหลือบพราหมณ์ชัดๆ
เรื่องพิษสวาท เราคิดว่ากรณีนี้มันเป็น appropriation อะ ไม่ใช่ plagiarism งานศิลปะส่วนใหญ่มันก็เป็นแบบนี้นะ
ลองดูคลิปนี้: https://youtu.be/jcvd5JZkUXY
เรื่องผี ๆ เผอ ๆ ระลึกชาติได้อะไรเนี่ย ป้าทมแกเป็นมานานแล้วนะ แล้วแกก็ไม่ได้มาประกาศให้คนอื่นเชื่อ ต้องเชื่ออย่างชั้น ไม่งั้นชั้นไม่ให้อ่าน ไม่ใช่ แกก็เชื่อของแกและเขียนของแกไป เราไม่ชอบอ่านแบบนั้นก็ไม่อ่าน แค่นั้นเอง สิ่งที่เด่นของแกคือภาษา แกใช้ภาษาบรรยายความรักได้สวยที่สุด จะเรียกว่าดีที่สุดในกลุ่มนักเขียนนิยายหญิงร่วมสมัยก็ว่าได้ แต่พล็อตของแกไม่ซับซ้อน ข้อมูลแกไม่ได้แน่นมาก แต่ตรงนี้เอามาว่ากันไม่ได้ เพราะแกเขียนนิยาย ไม่ใช่สารคดี ส่วนเรื่องลอก อย่างว่านะ ถ้าไม่ยอมรับก็พูดยาก และจะไปว่าใครเขาลอกได้เนี่ย ก็ต้องเอามาวางทีละส่วน ๆ ให้เห็นชัด ๆ ว่าเนี่ย ลอกชัด ๆ ถ้าจับไม่มั่นคั้นไม่ตายส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมรับว่าลอก สุดที่นักอ่านจะเชื่อกันไป
ในฝันของป้าทม แกโฆษณาว่าเขียนตอน 19 กูควรเชื่อมั้ยเนี่ย สงสัยตั้งแต่เริ่มอ่านครั้งแรกๆและ เด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะใช้ภาษาได้เทพขนาดนี้เชียว
(หรือจะโม้เรื่องอายุเพื่อโฆษณาสินค้า)
สมัยป้าแกใสใส แกเขียนได้ดีกว่าช่วงหลังๆว่ะ. หลังๆนี่แบบ...
ขอมอบเพลงนี้ให้ป้า https://www.youtube.com/watch?v=_7DYyKdSx90 กูไม่รู้ว่าผิดหรือเปล่าแต่กูฟังแล้วกูคิดถึงป้าว่ะ 555555
นิยายมึงไม่ต้องเป๊ะตามหลักความเป็นจริงทุกอย่างหรอก แค่ให้อ่านแล้วไม่สะดุดก็พอ อย่างล่าสุดก็ขบวนการหมาป่า กูชอบนะ แต่คความเว่อร์ของตลค.และฉากรบนี่ได้แต่ยิ้มๆ เทคบางอย่างในนั้นก็คล้อยตามไป แต่ยอมรับว่าหาข้อมูลดี
ถ้าอยากลองหานิยายที่เหมือนสารคดี กูแนะนำรหัสลับหลังคาโลก ในน้ำ (สาระ) ที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องมาเยอะมากๆ แต่ใส่มาเพื่อเสริมความสมจริงให้เห็นว่ามันเป็นแบบนี้ได้จริงๆ ในแง่หนึ่งกูชอบนะ แต่อีกแง่คือขี้เกียจอ่าน skip ไปซะเยอะ
>วินทร์
kek
>>646 กูก็ไม่ได้หมายความว่านิยายมันจะต้องเป๊ะ ต้องถูกต้องไปซะหมด พวกไม่สมเหตุสมผลกูก็อ่านได้ถ้ามันสนุกแล้วก็อ่านลื่นจริงๆ ก็แค่พยายามลืมๆ เหตุผลไปตอนอ่านบ้าง
แต่กูไม่ชอบข้ออ้างประเภทนี้ว่ะ สำหรับกู ถ้านักเขียนคนไหนหาข้อมูลมาดี ไม่ได้สักแต่เขียนๆ ไป จะได้ใจกูมากกว่าเดิมว่ะ เพราะถือว่าเค้าใส่ใจในสิ่งที่ตัวเองเขียนจริงๆ
เพราะคิดว่า มันแค่นิยาย ไม่ใช่สารคดี นี่ละนิยายแนวนั่งเทียน มันเลยเยอะแยะ เขียนเรื่องอินเดียแดง ก็ยังกับอยู่ชนเผาแอฟริกา เขียนพระเอกเป็นหมอ วันๆเอาแต่ขึ้นวอร์ดเถียงพยาบาล กะพาสาวกินข้าวว่างสัสๆ พวกนักธุรกิจ มาเฟียก็เอาแต่เซนงาน ประชุม พาสาวเที่ยวไปวันๆ กลายเป็นว่า การอ่านนิยายไม่ได้อะไรเลย ? นักเขียนไม่ต้องศึกษาอะไร? ภาษาสวยก็จริง แต่ใช้คำศัพท์ผิดๆถูกๆ ผิดบริบทเพราะเป็นนิยายได้งี้เรอะ //อันนี้กูไม่ได้ว่าป้านะ...
>>644 เพ่ย กลับตำหนัก
>>649 ใจเย็นๆเพื่อนโม่ง ไอ้ที่ >>639 บอกว่า ไม่ใช่สารคดี อาจจะไม่ได้หมายถึง ไม่มีอะไรเป็นจริง/สมจริงเลย แต่หมายถึง ไม่ได้เต็มไปด้วยเนื้อหาแน่นเหมือนเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ อะไรงี้ (แต่กูไม่ได้บอกว่าแบบนั้นไม่ดีนะ มันก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบแน่นๆ บางคนชอบพอประมาณ)
ส่วนไอ้ที่มึงยกมา มันรู้ๆกันอยู่แล้ว ว่าไม่ใช่นิยาย นั่นมันขยะ
กูคิดว่าหนังสือนิยายทุกเรื่องควรมีความสมจริงในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ยัดเข้ามาหมดทั้งยวง แบบนั้นมันดูสารคดีไป แบบที่ว่าใส่ข้อมูลมาแบบนี้ แล้วถ้าคนอ่านอยากรู้เพิ่มเติม สามารถนำข้อมูลนี้ไปค้นหาได้จริง ไม่ใช่สักแต่ใส่ลอยๆ คิดขึ้นมาเองมั่วๆ ว่ะ
ในfacebookกู มีเพื่อนหลายคนเป็นนักเขียนที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง(กูแอดไปเสือกเองแหละ) พูดไปก็ต้องมีคนเคยได้ยินชื่อ มันแม่งชอบอัพสเตตัสว่าหาข้อมูลเขียนนิยายจนเหนื่อย หาข้อมูลเยอะมาก กูเคยหยิบนิยายมันมาอ่าน
..อ้าว ขยะนี่หว่า
แล้วที่มันบอกหาข้อมูลคืออะไรวะแม่ง หลอกกู
>> กูเลยคิดอีกมุมนึงว่า บางคนแม่งหาข้อมูลแล้วแหละ มีความรู้อยู่ในหัว แต่ถ่ายทอดลงไปในนิยายไม่ได้ อันนี้เป็นความกากส่วนบุคคล
http://pantip.com/topic/35457583 สรุปว่าไม่ได้ลอกนะมึง ลองอ่านกันดู
ลอกไม่ลอกกูไม่รู้ว่ะ ที่กูไม่ชอบคือนักเขียน กูเกลียดผู้หญิงคนนี้มาก 555555
สรุปว่าลอก หรือ สรุปว่าไม่ได้ลอก อันนี้กูจะไม่ปักใจเชื่อใครทั้งสิ้น จนกว่ากูจะได้อ่านเอง ทั้ง2เรื่อง
แต่ที่แน่ๆ พอมันออกมาเป็นแบบนี้ พวกที่เชื่อและด่าเค้าไปแล้ว คงรีบกลับลำกันจนเรือแทบคว่ำ ทั้งที่>80%ของคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นนั้น แม่งยังไม่ได้อ่านเลย แค่ฟังเค้ามา
จะมีกี่คนที่อ่านหนังสือวะ? เห็น มีแต่คนดูหนังแล้วอิน ทวงความจริงให้คุณอุบล. =___=)
กูยังไม่ได้อ่านซิสก้ากะพิษวาสดังนั้นกูก็ยังไม่ฟันธงใดๆ
ไม่ได้ลอกแค่แรงบันดาลใจ อันนี้กูพอเดาได้นานละ แต่ที่กูไม่ชอบคือวิธีการตอบนาง บอกว่าเคยอ่าน ได้แรงบันดาลใจ มันจะเป็นไรมากมั้ยวะ
มันอาจจะไม่เคยอ่านจริงๆ ก็ได้ เพราะแค่โดนพระเอกฆ่า เป็นวิญญาณเฝ้า เป็นนางรำ คือมันเฟ้อมากอะ ไม่ใช่แค่ziskaเรื่องเดียวที่มี
กูไม่เข้าใจว่าในเมื่อประเด็นมันบอก พิษสวาท ลอก Ziska
ทำไมไม่เอาเนื้อหานิยายเทียบกันไปเลย
บทสัมภาษณ์จะย้อนแย้ง จะงงๆ (ส่วนตัวกูมองว่าการเขียนอะไรมันออกมาจากประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมา เขียนนิยายรักสะใภ้จนๆพระเอกรวยอาจจะนึกถึงซินเดอเรลล่าตอนเขียนก็ได้ เลยสัมออกมาแบบนั้น) มันก็ไม่เกี่ยวกับเนื้อหานี่หว่า
"กระแสซาไปแล้วเลยขอพูดหน่อย การมารุมด่า ทมยันตี เป็นเรื่องแปลกดี
โดยเฉพาะกลุ่มนักอ่านที่อวยนักเขียนไทยที่ได้รับแรงบันดาลใจมหาศาลจากพล็อตแบบมูราคามิ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>644 เราเอง 639 ที่เราบอกว่าเพราะป้าแกเขียนนิยาย ไม่ใช่สารคดี ก็เพราะเราบอกว่าข้อมูลป้าแกไม่ได้แน่น ซึ่งมันเป็นปกติของนิยายลักษณะที่ใช้จินตนาการของตัวคนเขียนเองสูงกว่าความเป็นจริง เช่น ไม่เคยไปเชียงใหม่ แต่เขียนถึงดอยสุเทพว่างามงั้นงี้ ถ้ามีความสามารถทางภาษาก็เขียนได้ ไม่ต้องโดนประนาม เพราะเขาเขียนนวนิยายไง แต่ถ้าเกิดเป็นนักเขียนสารคดีแล้วมาเขียนบรรยายเป็นตุเป็นตะว่าแหมบันไดขึ้นยากเหนื่อยชิบเป๋ง โดยที่ไม่เคยไปขึ้นเลย อย่างนี้ก็ต้องโดนติ นี่คือสิ่งที่เราจะบอก แต่ไม่ได้แปลว่า นักเขียนไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูล หรือนักเขียนจะมั่วอะไรขึ้นมาก็ได้ อย่างนั้นไม่ดีแน่ นิยายมันมีหลายประเภท นิยายของทมยันตีแก่นเรื่องมักอยู่ที่ความรักความโหยหาอาลัยของพระเอกนางเอก ข้อมูลด้านอื่นของป้าจึงไม่เคยมีใครสนใจ อย่างคู่กรรม ถ้าเอาข้อเท็จจริงของญี่ปุ่นไทยสมัยนั้นมาจำกัด ป้าแกก็มีข้อผิดมากมายก่ายกอง แต่ที่คนอ่านมองข้ามไปเพราะป้าแกเขียนนิยายรักไง ทำให้เรื่องอื่นเป็นการโม้ ถ้าเราจะอ่านแบบจริงจัง ของจริง นิยายที่เขียนด้วยเรื่องจริงไม่มีผิดเพี้ยน ผู้เขียนศึกษาประวัติอย่างเต็มที่ ก็ต้องเป็นคนอื่น จะไปเอานักเขียนนิยายแบบจินตนาการมาเทียบกับนักเขียนนิยายเชิงสารคดีไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน
เคสทมยันตีกูแค่สงสัยว่าถ้าเป็นนักเขียนโนเนมสมัยใหม่จะโดนกระทืบหนักกว่านี้มั้ยว่ะ?
ไม่หรอก ป้าแกศัตรูเยอะอยู่แล้ว แถมข่าวมาจากนักวิชาการ คนเลยเฮโลเข้าไปด่า พอเงิบมาก็ปล่อยผ่านไปชิวๆ ป้าแกงี่เง่าหลายเรื่องก็จริง แต่เคสนี้น่าสงสารแกเหมือนกันนะ โดนด่าทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด อายุแกก็ 80 เข้าไปแล้ว จะให้พูดจารู้เรื่องทุกคำก็ใช่ที่ จำซ้ายขวาได้ก็ถือว่าสุขภาพดีแล้ว
>>664 อย่างนั้นมึงใช้คำผิดแล้ว จะบรรยายความสวยงามสถานที่หรือจินตนาการไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหา ข้อมูล หรือความเป็นสารคดีเลยซักนิดเดียว มันคือการบรรยาย เพราะต่อให้เป็นสารคดีมันก็ไม่ได้มาอธิบายว่าขึ้นบันไดมันเหนื่อย มันยากอยู่แล้วเว่ย มันคือการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช่มโนอะไรมามั่วๆ เฉยๆ
แปลกใจที่คนออกมารุมด่าป้าแต่ไม่มีเห็นมีใครด่าคึกฤทธิ์ทั้งที่รายนั้นก๊อปหน้าด้านกว่าอีก
กูอยากเห็นนิยายของคนไทยแบบที่ให้ความรู้สึกเป็นเพียวออริจินัลจริงๆว่ะ แม่งต้องสุดยอดมากแน่ๆ
เพียวออริจินัลในความหมายของกูคือ เป็นอะไรที่ไม่มีใครเคยเขียนขึ้นมาก่อน ไม่ใช่แค่แนวสืบสวนที่มีพล็อตแปลกๆ นิยายย้อนยุค หรือแค่เดินเรื่องต่าง แต่ต้องเป็นอะไรที่แบบ เฮ้ย คิดได้ยังไง เหมือนกับนิยายเกมออนไลน์เรื่องแรกของโลก (คนเมื่อสามสิบปีก่อนคงคิดไม่ได้) นิยายอวกาศ (คนเมื่อสามร้อยปีก่อนคงคิดไม่ได้) อะไรแบบนี้อะ
ต่อเรื่องป้าทมหน่อยนึง คือเพจต้นเรื่อง (มั้ง) ที่กระพือข่าวว่าป้าทมลอกงาน
พอคดีพลิกมีคนไปถามว่าจะลงข่าวแก้ไหม ตอบว่าไม่แก้จ้า เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล
ใช้ได้เลยนะ แต่ไม่แปลก แอดมินเพจก็อยู่กลุ่มเดียวกับต้นเรื่องนี่ละ จะให้ด่าพวกตัวเองก็ยังไงอยู่
เห็นปกยุทธภพล่าสุดกูสงสัย นิยายขายดี(?)แบบนี้ไม่คิดจะหาคนวาดดีๆ หน่อยเรอะ หรือเขาใช้ภาพดราฟแบบพวกนิยายรักชีคเถื่อนซาตานสวาท
>>681 มันเป็นธีมปกมาตั้งแต่แรกแล้ว
คงเปลี่ยนลุคปกไปจากเดิมไม่ได้เพราะมันจะแปลกไปกว่าเล่มแรกๆ
เรื่องนี้มีคนติดตามเยอะนะ ไม่งั้นคงไม่ออกมาถึงเล่ม22หรอก
แต่กระแสวงการหนังสือที่เงียบลง ไม่รู้ว่าต่อไปยังไงนะกับเรื่องยาวๆ
กูยังเห็นแฟนตาซีของสถาพรเรื่องใหม่ก็จบไม่กี่เล่ม
ยังมีพวกสนพ. ใหม่ๆ ก็เห็นระบุประกาศรับงานที่จบไม่เกิน 3-4 เล่ม
เลยไม่แน่ใจกับเรื่องยาวๆ นักว่าจะถูกบีบตัดจบลงหรือเปล่า
นิยายของคาร่า ไรท์เวลอะไรนั่นคือมันเป็นไงวะ เห็นคนออกมาอวยกันแต่พอกูอ่านเรื่องย่อๆแล้วเหมือนนวนิยายตบจูบละครไทยไงไม่รู้ ที่เน้นพระเอกโหด ดิบ เถื่อน ทำร้ายนางเอกผู้ไม่มีทางสู้แต่ก็ยังรักกัน อ่านตัวอย่างแล้วหวิวแปลกๆ มันดีหรอวะ ทำไมฮิต มีคนบอกเขียนออกมาได้ดีมาก สนุกมาก มีใครเคยอ่านบ้าง
ไปอ่าน ziska มา มันเหมือนกันตรงวพระเอกเป็นแม่ทัพ นางเอก เป็นนางรำ และพระเอกแม่งฆ่านางเอก เท่านั้นแหละ
ที่เหลือไม่ได้เหมือนหรือเกดี่ยวข้องใด ๆ เลย จะเรียกว่าแรงบันดาลใจยังไม่ได้เลยนะ
ยุคใหม่คงกลับกัน เรื่องต้องหื่นนิดๆ
พระนางอะไรๆก็ไปคุยและจบกันบนเตียง
เห็นคนอ่านบางเรื่องยังต้องถามนักเขียนก่อนเลยว่ามีฉากxxxมั้ย
กูมีเรื่องอยากจะถามหน่อยดิ ตอนยุทธภพออนไลน์มันออกใหม่ๆยังตีพิมพ์แค่เล่มหลักหน่วย น้องชายกูอวยมาก ไซโคให้กูอ่าน บอกว่าฮาสัสๆ มันส์มาก แต่กูเปิดอ่านแค่ไม่กี่ตอนก็ไม่รอดแล้ว ชื่อพระเอกก็เหมือนก็อปราชาแห่งราชันย์ ชื่อผู้หญิงมึงจะเบิ้ลชื่อทุกคนเลยเหรอ พล็อตฮาเร็มแบบยังไงพระเอกก็โชคดี(กูอ่านแค่ตอนแรกๆนะ) แล้วกูก็เลิกอ่านเลิกสนใจไป พอหลังจากนั้นกูเจอเพื่อนกูติดแบบติดมาก ตามซื้อเป็นแฟนคลับ กูถึงรู้ว่าแม่งออกมาเป็น20กว่าเล่ม เพื่อนโม่งสักคนช่วยอธิบายให้กูฟังหน่อยว่ามันสนุกยังไง ตอนนั้นกูอ่านยังไงก็ไม่สนุกจริงๆแต่กูก็ไม่กล้าถามเพื่อน กลัวทะเลาะกัน
>>692 รสนิยมคนเราไม่เหมือนกัน ความสนุกในเนื้อเรื่องก้ต่างกัน
ถ้าเพื่อนโม่งจริงจังมากเกินไปและไม่ชอบพระเอกที่รวย หล่อ เวอร์ อ่านยังไงก้ไม่สนุก
แต่ถ้าจินตนาการว่าถ้าเป็นตัวเองแล้วได้รับประสบการณ์ที่มีเฉพาะในจินตนาการ มันก็จะรู้สึกสนุกตามเนื้อเรื่องไปเอง
ต่างคนต่างความคิด ไม่สามารถฝืนกันได้ จากที่เพื่อนโม่งพิมพ์มาเหมือนจะติดอยู่กับความจริงในชีวิตมากไป ควรหาแนวที่ชอบอ่านมากกว่า
กูเพิ่งเห็นว่าเรื่องไส้เดือนตาบอดฯที่พวกมึงเคยสับๆกันโดนเอาไปทำเป็นหนังด้วย คิดไงกันบ้างวะ//หน้าฟีดกูมีแต่คนอวย
>>695 กูไม่เคยอ่านนะ แต่เห็นที่บ่นกันส่วนใหญ่ เป็นเรื่องภาษาของคนเขียนรึเปล่าวะ
ฉะนั้นถ้าจะเอามาทำหนัง/ละคร ก็ไม่น่าจะมีส่วนสำคัญอะไร
เรื่องหนัง/ละคร การที่จะออกมาดีได้ มันก็มีองค์ประกอบหลายอย่างไง
ตอนเป็นหนังสือไม่ดี แต่พอทำหนัง/ละคร คนเขียนบทดี นักแสดงดี ผู้กำกับดี ช่างกล้องดี คอสตูมดี ตัดต่อดี มันก็ดีไง
อีกอย่างนึง มันเป็นนิยายน้ำเน่า คงขายไม่ยากหรอก
แต่ถ้ามันแย่ถึงโครงเรื่อง อันนี้น่าคิดหนัก
ขอถาม ซินเดอเรลล่า ขนมปัง ควรซื้อไหม
>>692 >>699 กูว่าเจมส์ บอนด์ยังชิดซ้ายว่ะ กูคงช่วยอะไรไม่ได้เพราะกูโคตรเกลียดเรื่องนี้ โดยเฉพาะเวลาเห็นคนอวยว่าเรื่องนี้เป็นออนไลน์ที่ดีที่สุด ดีกว่า monster soul ฯลฯ กูอยากกรอกตาเป็นเลขแปดเลย (กูติ่งมอนโซลอ่ะ เมื่อไหร่มันจะกลับมาอัพซักทีว่ะ)
สกิลพระเอกยังมีทำอาหาร พูด 8 ภาษา ว่าง ๆ ก็ไปเป็นจิตแพทย์ เพราะมันมีอาเป็นจิตแพทย์ชอบให้มันไปหาแล้วฝากเวร โคตรไร้สาระเลย
สาว ๆ เป็นฝูงแต่คาร์นางเหมือนกันหมด กูอ่านมาเป็นพันตอนกูยังแยกไม่ออกว่า 4 สาวใครเป็นใคร เพราะโผล่มาพร้อมกัน นิสัยก็เหมือนกันเด๊ะ ถึงตอนหลังจะมาใส่รายละเอียด คนนี้บ้านขายเพชร คนนั้นขายบ้าน ฯลฯ สัตว์เลี้ยง อาวุธในเกมต่างกัน แต่กูแยกไม่ออกจริง ๆ กูแยกออกแต่ภูตกับสาวที่มาเดี่ยวๆ
แต่ที่กูเกลียดสุดคือน้ำเยอะชิบหาย พันตอนถ้าตัดน้ำออกจะเหลือ 100 ตอนไหมสัส แถมจบสงครามกูนึกว่าจะจบ เสือกไม่จบอีก กูเลิกอ่านเลย
MSO เห็นว่าสยามไม่พิมพ์ต่อ คนเขียนเลยกึ่งเลิกเขียน แต่บอกว่าอาจจะทำมือเองนะ
สยามนี่ลอยแพหมดแล้วใช่มะ
เฉพาะนิยายไทย แต่ยกเว้นนิยายวายที่ยังรับของคนไทยอยู่
แต่ MSO น่าจะขายดีจริงนะ ไม่งั้นไม่ทำ spin-off ให้หรอก แบบเล่มยังขึ้นชื่อเรื่องดักควายคนอ่านบนเว็ปด้วย
จริงๆ น่าทำแบบญี่ปุ่นนะ พแตีพอมพ์ก็รีไรท์ใหม่ให้ต่างจากแบบเว็ป ทีนี้คนก็จะอ่านทั้ง 2 แบบ ทั้งเป็นการแก้ส่วนที่พลาดตอนลงเว็ปด้วย
>>707 คนอ่านยุคนี้ถ้าเพื่อนโม่งเจาะจริงๆ จะรู้ว่าไม่ค่อยซื้อ และยิ่งเรื่องไหนยาวไม่มีแววจบ ยิ่งซื้อกันยากใหญ่
สังเกตความเปลี่ยนแปลงช่วงนี้ก้ได้ สถาพรเปิดเรื่องใหม่ที่จบไม่กี่เล่ม ของค่ายใหม่อย่างเมจิคก้ประกาศชัดไม่เกิน 3-4 เล่ม
เรื่องยาวเก่าๆของสถาพรแบบยี่สิบเล่มขึ้นเริ่มตัดจบแล้วหลายเรื่อง
ยุคนี้เรื่องที่เขียนยาวๆ สนพ.เริ่มพิจารณายากขึ้น คือกระแสคนอ่านคงกลัวเรื่องไม่จบกับลอยแพด้วย
คนกลีวไม่จบนี่กูก็เป็น ถือคติว่าเรื่องไหนยังออกยังไม่จบกูไม่ซื้อเด็ดขาดว่ะ กูเลยโดนแพหลายเรื่องเลยเข็ด
MSO กูชอบภาคแรกมาก ถึงตอนท้ายจะขยายสเกลใหญ่ขึ้นเยอะจนกูเหวอไปหน่อยก็เถอะ ส่วนภาคสอง กูอ่านไม่จบว่ะ เนือยๆ เอื่อยๆ ยังไงไม่รู้
แฟนตาซีไทยยังหวังที่ไหนได้มั่งวะเนี่ย
>>712 แฟนตาซีไทยตายห่าไปแล้ว
world fantasy / enter / สถาพร ในเวลา 1 ปี มีนักเขียนใหม่รวมกันไม่เกิน 5 คนมั้ง ถ้าไม่นับพวกจัดประกวด
หนังสือออกใหม่จากที่เคยออกมันทุกเดือนเหลือตอนนี้เหลือเท่าไหร่
บางที่ที่เคยพิมพ์แต่แฟนตาซีไทยไปจับนิยายแฟนตาซีแปล
ลดราคามันทั้งปีแบบไม่ต้องรองานหนังสือ
ส่วนไอ้ที่ออกมากูเห็นโดนด่าทุกเรื่อง
ต่อไปถ้าออกไอ้ที่ออกค้างจบหมดแล้วพวกมึงอาจจะไม่เห็นนิยายที่เรียกว่า "แฟนตาซีไทย" แล้วก็ได้
>>713 มึงงงง ตอนนี้ก็ยังมีชุดนวหิมพานต์ของอลินาอยู่นะ กูอ่านอยู่ นิยายพงศกรจะว่าแฟนตาซีก็ได้นะ มีทั้งผีมีทั้งเทพญี่ปุ่น ระลึกชาติ เป็นแฟนตาซีแนวไทย ๆ กูว่าเราทำแล้วเจริญกว่าแฟนตาซีแนวฝรั่งอยู่ แฟนตาซีแบบฝรั่งลอกแนวคิดยังไงมันก็ไม่แจ่มเท่าต้นฉบับว่ะ
แต่แฟนตาซีแนวฝรั่งที่กูชอบก็ยังมีของ v.rondell อ่ะนะ ของกัลฐิดากูเลิกตามแล้ว เบื่อเซวีน่ารุ่นลูก
ถ้าวัดจากฐานลูกค้า
ผู้ชายก็เป็นโอตาคุไปซื้อ Light novel แนวแฟนตาซีอ่าน
ผู้หญิงก็คงชอบนิยายรักๆของแจ่มใสมากกว่าแนวแฟนตาซี ถ้าเป็นสาววายก็มีสนพเฉพาะทาง
กูคิดไม่ออกว่าตอนนี้คนกลุ่มไหนจะเป็นฐานลูกค้านิยายแฟนตาซีได้เลย
ลูกค้าแนวแฟนตาซีรุ่นใหม่ ซื้อกันยากกว่าเดิมด้วยส่วนหนึ่ง
กูดูจากส่วนที่ขายebookกันออกมาช่วงนี้
แนวออนไลค์ยังมีสอดแทรกขายดีบ้างอย่าง
Xtreme Online (คนแต่งsoso และชำนาญฉากเรต18+เป็นจุดขาย) อันนี้ทำมือเอง
Overheats online เกมเดือดล่าเทพอสูร อันนี้ทำมือเองเช่นกัน
ส่วนแนวเกิดใหม่มี
เซนจอมเวทอหังการ ที่ขายได้ (แต่เห็นออกตัวประกาศจบ4เล่ม)
ส่วนแนวไทย สายนวหิมพานต์ต่างๆ มี
ครีษมายัน อมันตรา ที่ได้โปรลดราคาแบบบิ๊กเซลกันอยู่
คือมันนับเรื่องกันได้เลย ในช่วงนี้ ไม่เหมือนยุคบูมแฮรรี่ที่ผ่านมา
ส่วนของนักเขียนอื่นๆ ที่จะออกเล่มใหม่คงรอช่วงงานหนังสือตุลานี้กัน ว่าจะมีออกมาเยอะขนาดไหน
แต่ดูแล้วสายแฟนตาซีไทย คงมีเปิดหัวเรื่องใหม่น้อยมากๆ
พูดถึง ครีษมายัน อมันตรา นี่กูเคยอ่านเจอฉากนึง เหมือนเอาวิธีการไต่ที่สูงในเพชรพระอุมากับฉากไต่หน้าผาของสุดขอบจักรวาลมาผสมกันว่ะ ไอ้ที่พระเอกตอกทอยแบกนางเอกไต่หน้าผานี่แหละ อ่านแล้วกูนึกถึงท่านราเอลเอาลินินขึ้นหลังตอกทอยไป ไต่หน้าผาไปเลยมึง เหมือนเบอร์นั้นเลย
>>702 มองเรื่องนี้แบบเปิดให้อ่านฟรีในเว็บทุกตอน ไม่มีลบตอนเก่าๆ เลย (ไรท์ใจกล้ามากในเรื่องการยอดการขาย)
มันเหมือนพิสูจน์แฟนคลับอยู่เหมือนกัน ใน 10000 กว่าคนว่ามีคนสนใจซื้อจริงเท่าไร
แต่ไปดูในเว็บขาย ebook แล้วไม่มีป้าย Bestseller เลยใน 10 กว่าเล่ม
ถ้าทำมือเองอาจต้องทำแบบนิยายที่เขาขายทั่วไป ปิดตอน ให้แฟนคลับตัดสินใจช่วยซื้อบ้าง ไม่งั้นเหนื่อยในยอดขาย แต่ดีในแง่ได้รับคำชมจากแฟนคลับ
เรื่องที่พิมพ์กเบสยามเปิดให้อ่านฟรีทุกเรื่อง ไม่มีนโยบายให้ลบ เรื่องนี้คนเขียนบอกเอง
สยามเองยอดขายสื่อสิ่งพิมพ์ลดลงเกือบ 30-40 เปอร์เซนต์ ในครึ่งปีที่ผ่านมา
เห็นห้องร้านค้าการ์ตูนยังถกกันเป็นสัปดาห์แล้ว
https://fanboi.ch/animanga/2908/recent/
ยังดีที่เป็น บ. หุ้นและมีความสัมพันธ์กับซีพี แต่ธรุกิจในด้านนี้ยังไงก้ต้องปรับตัวกันไป
>>725 ธุรกิจการ์ตูนเล่มรอดยากแล้วตอนนี้ ความหวังสุดท้ายคือ E book กับเน้นขายแต่เรื่องดังๆที่คิดว่าขายออกแน่ๆ เรื่องไหนไม่น่ารอดก็ไม่ต้องขาย
ส่วนวงการหนังสือไทยก็อาจจะดีกว่านิดหนึ่งตรงที่คนอ่านหนังสือยังต้องการรูปเล่ม เพราะบ้านเราไม่มี Ebook ที่อ่านด้วย E ink ได้ อ่านผ่านจอนานๆก็ปวดตาสู้ซื้อเล่มมาเลยดีกว่า
คิดยังไงกับการที่สำนักพิมพ์แปลงานหมดลิขสิทธิ์ออกมาไล่เลี่ยกัน ดราม่าใหม่มาละ กรณีของเกาะดรมอนโร ไต้ฝุ่นกะมจว
มจว คือที่ไหนวะ
มจว นี่เหมือนไม่มีสนพ.ไหนคบป่าววะ
ไม่ใช่มวจ. มาตรฐาน วรรณกรรม จำกัด เหรอ
มึงกูอยากรู้ว่าทำไมนักเขียนเก่าๆ ของแจ่มถึงเลิกออกงานกับแจ่มวะ อย่างปราณธรก็ไปออกกับคำต่อคำ
Talent 1 ไม่ออกหนังสือต่อแล้วเหรอวะ
>>739 ได้ยินข่าวจากห้อง LN (ปีที่แล้วมั้ง) ว่า T1 ขาดทุนหนักมาก จนผู้บริหารไม่พอใจ เพราะไปออกงานหนังสือตุลา 58 แต่ยอดไม่ถึงเป้าแบบขาดทุนหนักกว่าเจ้าอื่น
เอาจริงๆ T1ทำตลาดไม่ดีด้วยแหละ แทนที่จะเอาชื่อบลิสมาช่วยโฆษณา ปะลงหน้าปกไปเลยว่าจากทีมงานเก่าของบลิส แต่การตลาดเงียบมาก และอีกอย่าง แฟนๆบลิสอาจจะอิ่มตัวกับนิยายแนวสืบสวนด้วยว่ะ คินดะอิจิตอนจบแม่งก็อย่างแพงสองเล่มเกือบๆ700 ซายากะกับแมวสามสีก็ไม่ได้สนุกถึงขนาดต้องตามต่อ
เดี๋ยวนี้หนังสือแพงมากขึ้นจริงๆ เล่มละ 300-400 กว่าบาท ยอมรับว่าบางทีก็สู้ไม่ไหว
>>742 ราคาที่ขึ้นน่าจะบวกเผื่อจำนวนเล่มที่ขายได้ลดลงด้วยนะ จากเรื่องอื่นๆ
ยอดตีพิมพ์ลดลง แต่ราคาเพิ่มขึ้นพอให้นักเขียนและสนพ. ที่ได้ส่วนแบ่งพออยู่รอดได้ แบบว่าสูตรมันเป็นแบบนี้
ราคาเล่ม X จำนวนเล่มที่ลดลง x 10% (แบบมาตราฐาน)
สมมุติเมื่อก่อนที่ขายได้มากกว่านี้
นิยายเล่มหนึ่ง 200บ. พิมพ์ 3000 เล่ม นักเขียนก็จะได้ 60000บ.
ตอนนี้ขายแย่ต้องลดยอดก็ประมาณ
นิยายเล่มหนึ่งขึ้นราคาไป 300บ. ยอดพิมพ์ลดลงเหลือ 2000เล่ม นักเขียนก็จะได้ 60000บ. เท่ากัน
ปล.
แบบนิยายทั่วๆ ที่ไม่ได้ขายดิบขายดีเพราะได้กระแสละครหรือเรื่องอื่นๆ มาช่วย
ยอดคนซื้อน้อยลงมากกว่าก่อนเยอะมากๆ สนพ.ต้องปรับราคาจุดคุ้มทุนขึ้นไปเผื่อในส่วนนี้ด้วย ไม่งั้นไม่รอด นี่เป็นเรื่องจริงที่ต้องยอมรับว่ามันเป้นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังสือในบ้านเราแพงขึ้น
สนพ.ลงทุนไปยังคาดหวังยอดขายแค่ครึ่งเดียวในช่วงแรกๆ ก่อน พอค้างสต็อกมากๆ ก้เทราคาลง
นี่แหละปัญหาที่มันเกี่ยวพันมา เมื่อคนซื้อลดลงแต่จำเป้นต้องเพิ่มราคาขึ้น
เดี๋ยวนี้สนพใหญ่ๆ หน้าใหม่เขาพิมพ์ขั้นต่ำเท่าไร 2000 หรือ 3000 กูเคยได้ยินว่าเริ่มเปลี่ยน แต่ไม่รู้เปลี่ยนยัง
กูเชื่อว่านักอ่านไม่ได้ลดลงนะ แต่เศรษฐกิจไม่ดีจะซื้ออะไรต้องคิดก่อน และพฤติกรรมการอ่านเปลี่ยน เห็นนิยายBLทำมือก็เยอะแยะ ระบบหน้าร้านออนไลน์อย่างพวก Readeryก็โตขึ้น
Se-ed เริ่มขาดทุนช่วงนโยบายรถคันแรก แล้วลากยาว มติชน สยาม เนชั่น ขายหนังสือพิมพ์เป็นหลักจะขาดทุนก็ไม่แปลก สยามมีปัญหากับสมาคมบอลไทยด้วย ส่วนธุรกิจนิยายกูว่ายังอยู่ได้แต่ต้องตัดคนกลางออกไป ช่องทางขายควรเป็นนักเขียนเปิดขายเองไม่ก็ใช้ระบบออนไลน์อย่างของเด็กดีหรือFictionlog ลดส่วนแบ่งที่ต้องเสียให้กับสายส่งให้เหลือน้อยที่สุด
มึงคือกูไม่รู้ว่าถามในนี้ผิดไหมนะ แต่กูอยากรู้ว่าเรื่องพักตร์อสูรที่นักเขียนจะรีปริ๊นใหม่อ่ะ ปกแข็งสองเล่ม ถ้ายอดได้ 100 ชุดจะตกอยู่ 1590 + box 400 (แต่ถ้ายอดจองเยอะก็ลดลงอีกนะ) ส่วนปกอ่อนราคาประมาณ 980 กูอยากรู้ว่าปกติทำมือมันราคานี้เลยหรอวะ ปกติกูไม่ได้ตามพวกทำมือด้วย คือสำหรับกูมันแพงมากอ่ะ
"เห็นเขาแชร์ๆ กันเรื่องนิตยสารหัวใหม่กับความฝันหอมหวานในวัยเยาว์ กับคนทำนิตยสารโลกสวยๆ แหม่ อยากให้มีคน tag จังเลย คันปากอยากเล่าเรื่องโลกลับดำมืด ตั้งแต่ความขี้ขลาดของบรรณาธิการ ความตอแหลของนักเขียน มิตรภาพกับการแทงข้างหลัง และความเน่าเฟะของวงการนี้ อีกมากมาย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>752 แต่มันคุ้มกว่าไงถ้างานขายได้ เพราะถ้าพิมพ์กับสนพ. 100บาทนักเขียนได้ไม่กี่บาทเอง ที่เหลือสายส่งกินไป 40 ค่าหน้าร้านค่าสนพ. บลาๆๆๆ
แต่อันนี้คือแบ่งกันครึ่งๆไปเลย
แต่กูดูแล้วมันหวังสูงเกินไปว่ะ จากที่โฆษณาว่ารายได้หลักหมื่นเกือบๆแสน จำนวนนี้คือต้องมีคนจ่ายเงินเพื่ออ่านต่อเล่มไม่น้อยกว่าพันคนเลยนะ ดูจากยอดอ่านตอนนี้มีแค่ 1500เองที่เป็นยอดสูงสุดที่กูเจอ
นักเขียนถ้ามีฐานแฟนคลับกูว่าพิมพ์ขายแบบทำมือสะดวกกว่า คนอ่านก็พอใจกว่าด้วยเพราะได้หนังสือแบบรูปเล่ม
แล้วธัญวลัยล่ะมึง อันนี้กูเห็นใช้ระบบคอยล์ก่อนเด็กดีนะ แต่มันต่างกับเด็กดีไงวะ
นิตยสารหัวใหม่ที่ตอนโมกับนิ้วเหลี่ยมร่วมกันทำ ระดมทุน1200บาทถึงจะได้สามเล่ม (มันบอกจะทำแค่สามเล่ม) ตกเล่มละสี่ร้อย แล้วเป้ามัน 2,000เล่ม เยอะเอาเรื่องอยู่นะ แต่ดูรายชื่อคอลัมน์นิสต์อต่ละคนแล้วก็ว่าน่าเก็บอยุ่ แต่ปัญหาคือไม่ชอบนิ้วกลม ทำใจช่วยสนับสนุนไม่ได้เท่าไหร่
เห็นกระทู้นิยายเด็กดีคุยเรื่องสนพกันอยู่
พึ่งรู้ว่ามียังงี้ด้วย
https://fanboi.ch/webnovel/2907/recent/521
นักเขียนหน้าใหม่โดนไปนี่กระอักเลือด เสียความรู้สึกน่าดู
ตอนนี้มีสนพ.ไหนพิมพ์นิยายแนวจีนโบราณที่คนไทยแต่งมั่ง?
กูช๊อก สกุลไทยจะปิดตัวแล้ว
https://www.marketingoops.com/media-ads/thai-media-ads/sakulthai-close/
งานหนังสือปีนี้มีประกวดหนังสือปกสวยด้วย http://www.100abcd.org/
http://pantip.com/topic/35595850 มีใครตามกรณีมูลนิธิหนังสือเพื่อสังคมบ้าง อีห่า ได้เงินภาษีประชาชนสนับสนุนด้วยแท้ๆ แต่ขายหนังสือโคตรแพง นี่เบี้ยวค่าจ้างคนทำงานอีก
"เจ้าทุกข์โผล่มาเรื่อยๆ นอกจากนักแปลแล้ว ยังมีทั้งบรรณาธิการ ทั้งโรงพิมพ์ที่โดนเบี้ยวเงิน จากมูลนิธิหนังสือที่สสส.ให้งบมาทำหนังสือแปลปีละหลายล้านด้วย... เงินทุนซัพพอร์ตก็ได้ หนังสือก็ขายแพง ลิขสิทธิ์ส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องซื้อ แต่เงินไม่ยอมจ่ายคนทำงาน ดีจริงๆเลยเนอะ หึๆๆ"
ก๊อปจากเฟสคนในแวดวงหนังสือท่านหนึ่งมา
ถามพวกมึงหน่อยดิ มึงคิดยังไงพวกหนังสือทำมือ ที่ให้อ่านลงเว็บ แล้วพอรวมเล่มขายเอง ก็ลงในเว็บไม่จบ ให้ซื้อรวมเล่มเอา
คือกุถกประเด็นกับเพื่อนเรื่องนี้ ก็เห็นว่าแบ่งเป็น2พวก คือ
1. ไม่เห็นด้วย เหมือนนักเขียนหน้าเงิน ไม่ได้ทำด้วยใจรัก หวังจะขายให้ยอดสูงๆ
2. เห็นด้วย เพราะนักเขียนก็ต้องมีทุนในการแต่ง ต้องใช้เงิน จะให้อ่านฟรีจนจบก็กระไรอยู่ ดีซะอีก จะได้ไม่ถูกพวกอ่านฟรี/พวกทำไฟล์pdf ปล่อยโหลดฟรีในเน็ตเอาเปรียบ
สำหรับกุ กุอยู่ข้อ 2 ว่ะ คือกุเคยคุยกับนักเขียนคนนึง เขาบอกยอดแบบสอบถามการรวมเล่มก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจลงจนจบเพราะแฟนๆขอ กับยอดรวมเล่มจริงมันลดลง กุสงสารเขาว่ะ
แต่เทียบเสียงในกลุ่มที่ถกกัน จากที่นับคร่าวๆ กลุ่ม1ชนะเสียงไป แต่กุอยากได้ความเห็นหลายๆ แบบไงเลยมาถามในนี้ (กลุ่มกุเป็นกลุ่มเฉพาะ แบบมีแต่สาวๆ ไรงี้)
เพื่อนโม่งคิดว่าไงกันวะ เอาเลย ไม่มีใครถูกผิด
ยอดขายคือของจริงที่จับต้องได้
ความจริงเปิดฟรีออร์เดอร์ก่อนเลย รับเงินจองทำเล่มมา แล้วประกาศกันจะๆ กับแฟนคลับว่ามีคนซื้อจริงๆเท่าไร
กูว่าคนที่โว้ยจะได้เงียบเสียงลง
แต่ถ้าได้ยอดที่น่าพอใจก็ค่อยเอาลงก็ได้
จากประสบการ์ณ ไม่ว่าจะมียอดแฟนคลับเท่าไร หวังได้ไม่ถึง 1 ใน 10
สมมุติมี 2000 คน กูว่าซื้อจริงไม่เกิน 200 เล่ม
ลืมไป คอมเมนต์ที่โว้ยวายส่วนใหญ่คือคนไม่ซื้อนะมึง
ถ้ามึงสนใจคนอ่านแบบนี้มากเกินไป พอนิยายที่ลงจบ พวกนี้ก้สะบัดก้นไม่กลับมาสนใจอะไรในนิยายของมึงอีกแล้ว
>>769
ถ้านข.บอกตั้งแต่แรกว่าจะลงไม่จบนะ จะออกรวมเล่ม อยากอ่านให้ซื้ออ่าน >> กูโอเค กูซื้อ(ถ้าสนุก)
ถ้านักเขียนไม่บอกอะไร ให้ตามอ่านไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆบอกว่า ลงให้อ่านแค่นี้นะ อยากอ่านต่อไปซื้อเล่มอ่าน >> กูไม่โอเค ถึงสนุกกูก็ไม่ซื้อ
ถ้านักเขียนลงให้อ่านจนจบ แล้วมีตอนพิเศษในเล่ม >> โอเค ซื้อ
ถ้านักเขียนลงให้อ่านจนจบ ไม่มีตอนพิเศษในเล่ม >> โอเค ซื้อ (กูซื้อแบบนี้มาหลายเล่มแล้ว)
เอาจริงๆพวกที่โวยว่าลงไม่จบไม่ซื้อ จะบอกก่อนบอกหลังหรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นพวกเห็นแก่ได้ในสายตากู อยากได้ฟรีอ่านฟรีจนเคยตัว คนพวกนี้ต่อให้ลงจบก็น้อยมากที่จะซื้อ เพราะพวกนี้ไม่คิดว่าคนผลิตก็ต้องจ่ายอะไรไง คิดว่าแค่พิมพ์ลง ไม่ต้องกินต้องใช้ ก็มองแต่มุมเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ทั้งนั้นแหละ อย่าหาเหตุผลมาพูดให้ดูดีหรือยกตัวเองให้สูงเลยว่านักเขียนหน้าเงิน
กูเป็นพวกลงจบหรือไม่จบถ้าชอบก็ซื้อนะ แต่ถ้าลงจบทุกอย่างเท่าบนเว็บไม่มีอะไรพิเศษแถมกูก็เซงๆวะ
>>769 กูเฉยๆนะไม่ถึงขั้นไม่เห็นด้วย แต่ก่อนซื้อกูชอบอ่านก่อนบางทีอ่านไม่จบหรอก กูจองเลยถ้าชอบ หรือถ้าเป็นนข.ที่เคยซื้อเคยตามกูซื้อเลยไม่ต้องอ่าน แต่ถ้านข.ที่ไม่เคยอ่านจะไปอ่านก่อนไงว่าถูกจริตกูหรือเปล่า
แต่บางทีจะไปอ่านแต่เรื่องลงไม่จบ หรือลงจบแต่ลบแล้วกูก็ไม่ค่อยอยากอ่าน พอไม่ได้อ่านกูก็เลยไม่จองอาจจะปล่อยผ่านๆไปอ่ะมึง ช่วงนี้ออกกันเยอะเกินก็ต้องเซฟไตบ้างอะไรบ้างมึงเข้าใจกูนะ
ตอบตามความจริง
ถ้านักเขียนลงจนจบ อ่านแล้วชอบมาก ยังไงก็ซื้อว่ะ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีตอนพิเศษ ยกเว้นแต่ว่าปกมันไม่สวยจริงๆ
ถ้าอ่านแล้วชอบ แต่ไม่ได้ชอบมาก การลงให้อ่านไม่จบ ก็มีส่วนกระตุ้นให้ลงทุนซื้อ เพราะอยากอ่านต่อ แต่ถ้าลงให้อ่านจนจบ ก็อาจจะไม่ซื้อ
กูว่าถ้านักเขียนลงให้อ่านเกินครึ่งเรื่อง ก็หยวนๆเค้าไปเหอะว่ะ เค้าก็ต้องกินต้องใช้ เพราะเวลาที่เราซื้อหนังสือตามแผงโดยที่แค่อ่านคำโปรยอย่างเดียว เสี่ยงกว่าอีก ว่าจะถูกจริตหรือเปล่า เงินก็จ่ายไปแล้ว
ขึ้นอยู่กับว่ากูพอใจเนื้อเรื่องแค่ไหน ถ้าสนุก ไม่ว่าจะลงจบหรือไม่กูก็ซื้อ แต่ถ้าไม่ ต่อให้ลงจบกูก็ไม่ซื้ออยู่ดี
แล้วกูว่าก็ไม่ใช่เรื่องของนักเขียนที่ต้องมานั่งบอกด้วยว่าจะลงจบหรือไม่ ในเมื่อพวกที่อ่านๆกันมีสิทธิเลือกว่าจะซื้อหรือไม่ นักเขียนก็มีสิทธิเท่าเทียมว่าจะลงจบหรือไม่
ความเป็นจริง ไปสังเกตดูในเว็บเด็กดีเอาก็ได้
นักเขียนที่มีผลงานได้ตีพิมพ์แทบทั้งหมด เพื่อนโม่งจะเห็นถึงความแตกต่าง ในจำนวนยอดวิว ยอดเมนต์ ยอดแฟนคลับ
ที่จะมีน้อยกว่าพวกนักเขียนที่เปิดให้อ่านฟรี
นั่นเพราะคนอ่านในเว็บรู้ว่า นิยายเรื่องนั้นจะลงไม่จบหรือลงตอนจบได้ช้ากว่าที่รูปเล่มจะตีพิมพ์ออกมาขายไปช่วงเวลาหนึ่ง
คนอ่านในเว็บจะไม่ค่อยเข้าไปอ่านกันนักหรอก
แปลไทยเป็นไทยคือ กลุ่มคนที่ไม่มีความประสงค์จะซื้ออย่างแน่นอนจะไม่เข้าไปอ่านให้เสียเวลา นอกจากพื้นฐานแฟนคลับเดิมๆ ที่ตามผลงานอยู่
ตัวอย่างเรื่องนี้ที่เห็นได้ชัดและเปรียบเทียบได้ก็วงการการ์ตูนไง
เอาเป็นมีสแกนเถื่อนออกมามากมาย เทียบได้แบบมีนิยายให้อ่านฟรีจนจบเรื่อง
ถามกลับว่าทำไมร้านการ์ตูนเจ้ง สนพ.ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ยอดขายน้อยลงจนต้องกลายเป็นลดยอดพิมพืแต่ต้องเพิ่มราคาขึ้นไปเนื่องจากต้นทุนหารมีน้อย
เพราะคนที่อ่านสแกนเถื่อนเสร็จแล้วก็ไม่เคยซื้อการ์ตูนเล่มเลยไง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะโด่งดังขนาดไหนก็ตาม แบบโครตดังเลยนะ
สุดท้ายวงการการ์ตูนก็รู้ๆว่ากำลังแย่แค่ไหน
เทียบกันก็เหมือนเปิดนิยายจบแล้ว จะมีเพียงบางส่วนที่ชอบจริงๆซื้อเท่านั้น
เพื่อนโม่งสามารถบอกเพื่อนได้เลยว่า ดูวงการการ์ตูนเล่มเป็นตัวอย่างนะแหละ
กูข้อ 2 ใจเขาใจเรานะ คนเขาก็ต้องกินต้องใช้ เขาเอาลงเว็บให้อ่านฟรีจะลงจนจบไหมก็เรื่องของคนเขียน ใครไม่ชอบสไตล์นี้ก็ไม่ต้องอ่าน พวกโวยวายอ่านฟรีซะเป็นส่วนมากแหล่ะว่ะ
ส่วนจะซื้อไหม ขึ้นกับความสนุกและการทิ้งช่วงในการออกเล่ม ไม่สนุกจะลงจบไม่จบก็ไม่ซื้อ
แต่บางเรื่องถึงสนุกมาก แต่ทิ้งช่วงนานกว่าเล่มจะออกกูก็ลืมๆอารมณ์ตอนอินไปล่ะ ความอยากได้หายหมด
>>782 กูเลือกข้อ 1 และบ้านกูอบอุ่นมีความสุขดีค่ะ
ก่อนที่กูจะซื้อของกูต้องแน่ใจก่อนว่าของที่กูจะซื้อ มันถูกใจกูจริงๆ ไม่ใช่ต้นสนุกแผ่วปลาย
แต่ก่อนกูซื้อหมดอ่ะ ลงจบไม่จบกูก็ซื้อ อ่านไปแค่ไม่กี่ตอนกูก็ซื้อ แล้วเป็นไง ปลายตัดจบ ห่วยชิบหาย กองไว้เป็นตั้งๆ จะขายก็ไม่มีเวลา
ตอนนี้จะซื้อนิยายเรื่องนึงกูจะอ่านสปอยก่อน สปอยแบบโคตรๆถึงลูกถึงคน สปอยยันตอนจบ ถ้ากูชอบกูซื้อ ถ้าไม่ชอบก็ก็ไม่ซื้อ
ส่วนนิยายที่ไม่ลงจนจบ กูไม่พรี กูรอคนได้แล้วมาสปอย
>>792 นิยายก็คือสินค้ามั้ย ขายแลกเงิน กูพอใจกูถึงจะโยน'เศษเงินอันล่ำค่า'ให้
กูต้องแน่ใจว่ากูซื้อสิ่งที่กูพอใจที่สุด (ก็คือกูพอใจทั้งเรื่อง พอใจตอนจบด้วย) ไม่ใช่ซื้อมาแล้วก็ไม่ชอบ เสียดายเงิน เสียดายเวลา
แล้วก็นะ กูไม่ได้บังคับข่มเหงให้นักเขียนเขียนให้อ่าน เค้าจะเขียนหรือไม่เขียนก็เรื่องของเค้า เค้าจะลงไม่จบก็เรื่องของเค้า กูเทไปคนเค้าไม่ล้มละลายหรอก ก็ขายให้คนที่รับได้ไปดิ ใครบังคับ
เถียงกันเรื่องนี้ก็ไม่มีวันจบหรอก เหมือนวงการการ์ตูนเล่มของไทยนะแหละ
หน้าใหม่ทำมือหวังขายกันหลัก 100 เล่ม
หน้าใหม่สนพ.หวังขายกันหลัก 1000 เล่ม
ต่อไปงานก็ตามกลุ่มที่ช่วยซื้อนะแหละ
กลุ่มไหนแฟนคลับแข็งแกร่งก็มีงานออกมามากกันไป
จึงไม่น่าแปลกใจกลุ่มวายทำไมถึงมียอดพิมพ์ในเรื่องใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกที สวนทางกับสายธรรมดา
ต่อไปนิยายที่ขายต้องมีคู่จิ้นให้กลุ่มนี้ด้วย กูไม่แปลกใจเพราะกลุ่มนี้ค่อนข้างจะน่ารักกับนักเขียนมากกว่ากลุ่มอื่นๆ (หมายถึงยอดขายโดยตรงนะ)
กับกลุ่ม NC18+ 20+ 25+ ที่ค่อนข้างมีคนซื้อแน่นอนกว่าในทุกกลุ่ม
สำหรับกุนะ กุเจอแบบส่วนน้อย คือนักเขียนที่ลงให้อ่านจนจบแล้วค่อยรวมเล่ม ทีนี้ในเล่มก็จะมีตอนพิเศษที่ไม่ลงในเว็บ แต่คือเนื้อเรื่องหลักมันลงจนจบ ถ้าแบบนี้กุอุดหนุนนะ กุถือว่านขก็ลงเรื่องหลักให้อ่านจนจบแบบไม่ค้างคาแล้ว ตอนพิเศษก็แค่ตอนพิเศษ ใครใคร่ซื้อก็ซื้อ ซึ่งกุซื้อตลอดเพราะกุคิดว่าดีกว่าพวกที่แม่งมาลงให้อ่านยั่วน้ำลาย พอถึงจุดพีคปุ๊บ อ้าว อิสัส ต้องซื้อเล่มต่อเท่านั้น แบบนั้นกุไม่อุดหนุนเด็ดขาดดดด
>>769 กูอยู่ฝ่ายข้อ2ว่ะ นักเขียนก็คนนะ ความรู้ จินตนาการของนักเขียนก็ถือเป็นทุนประเภทหนึ่งแล้ว จะเปิดให้อ่านฟรีอย่างเดียว ถ้าเกิดเป็นนักเขียนอาชีพอย่างเดียวจะเอาอะไรกิน กูว่าเดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่เสพติดของฟรีจนกลายเป็นนิสัยไปแล้วว่ะ ไม่ใช่แค่นิยายในเด็กดี ยังมีแสกนมังงะกับอนิเมะอีก พอมีให้อ่านฟรีให้ดูฟรีในเน็ตก็ไม่อยากเสียเงินซื้อหรอก ยอดขายCD กับหนังสือถึงได้ตกฮวบเหมือนดิ่งเหว กูเชื่อว่าหลายคนคิดแบบนี้ คนส่วนใหญ่ที่ตอบข้อ1ก็น่าจะเข้าข่ายเสพฟรีจนติดนิสัย อย่าว่านักเขียนหน้าเงินเลยแต่ย้อนกลับไปมองตัวเองดีกว่าว่าทำไมถึงเลือกข้อ1 นักเขียนเป็นเทวดาสามารถอิ่มทิพย์ได้ไม่ต้องใช้เงินซื้อข้าวกินหรือไง ใจรักก็ส่วนหนึ่งแต่รักแล้วไส้แห้งนี่ก็ไม่ใช่ว่ะ
กูว่าถ้าจะเปิดให้อ่านก็เปิดได้แต่อย่าเไม่ปิดให้อ่านฟรีหมดเก็บไว้สัก50-30%ของเล่ม คนอยากอ่านต่อก็ไปซื้อเอา อย่างที่มึงว่าถ้าเปิดให้อ่านฟรีครบทุกตอนไม่ค่อยมีคนซื้อ ส่วนใหญ่ขาจรแวะอ่านฟรีในเว็บก็ได้เพราะ ไม่เสียตังค์ ประหยัดเงินอีก โอ้โหวววว ไม่เสียตังค์ก็มีให้อ่านจนจบสบายจุง เอาเงินไปทำอย่างอื่นได้อีก
ถ้านักเขียนตัดสินใจอะไรที่คิดว่าทำดีแล้วก็ทำไปเหอะ ถามความเห็นนักอ่านมากบางทีก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์เขวหมด
ถ้าอยากเลือกข้อ1ก็ในกรณีที่นักเขียนไม่คิดจะรวมเล่มขายหาเงินเลี้ยงปากท้อง แบบเขียนนิยายเป็นงานอดิเรก ชิวๆ เขียนก็ได้ไม่เขียนก็ได้ไม่เดือดร้อน หาเวลามาอ่านคอมเม้นสนุกๆ
ไม่ผิดไม่ถูก คหสต.
ว่าตามประสบการณ์ของนักอ่านคนหนึ่ง คือกูไปเจอเรื่องหนึ่งแต่เจอช้าไปเขาไม่ลงตอนจบแล้วปิดส่งหนังสือไปนาน(เป็นชาติ)แล้ว...อ่านไปแล้วพึ่งรู้ก็เสียใจอยู่เหมือนกัน
จริงๆแล้วจะลงแบบจำกัดเวลาก็ได้มั่ง คนที่ตามๆแล้วอยากรู้คุณภาพตอนจบก็จะได้เช็ค ส่วนพวกอ่านฟรีพอผ่านไปสักพักก็จะอดอ่าน
ผมทำด้วยใจครับอาจารย์
ใจเหี้ยอะไรแดกไม่ได้ กูชอบงานมึงเอาเงินไป
หยะแหยงอ่ะ ของซื้อของขายแต่จะอ้างความพอใจของตัวเองเพื่ออ่านฟรี 55555
>>801 บอกนักเขียนหน้าเงิน ตัวเองจะได้ประหยัดเงิน ของฟรีอ่ะ ปกติมีให้อ่านในเว็บอยู่แล้วจะเสียตังค์ซื้อทำไม ถถถถ
นักเขียนจะพิมพ์นิยายขายนะเออ เขียนมาเหมือนเสกได้ ความรู้ความคิดที่ใส่ลงไปเนี่ยไม่มีทุนเล๊ยยยยยย
knowledge capital คืออะไรไม่รู้จัก รู้แค่ว่าฟรีเท่านั้น ไม่ฟรีไม่พอใจ ถถถถถถ
รูปแบบที่กุโอเคที่สุดคือลงจบ ถือว่าไม่ติดค้างอะไรกัน คนอ่านได้อ่าน เราได้ฟีดแบ็คกับกำลังใจ ถ้าทำเล่มแล้วจะมีตอนพิเศษบวกของที่ระลึกให้ ทำแบบให้พรีออเดอร์เท่านั้น
แต่รุปแบบที่กุอยากทำคือพรีออเดอร์แบบจำนวนจำกัด อาจจะร้อยชุดหรือน้อยกว่าเผื่อขายไม่ได้ (งบน่าจะไม่ถึงสามหมื่นหรอกมั้ง)
มีของที่ระลึกให้ กับตอนพิเศษ ถ้ามีการขอทำเพิ่ม ก็เปลี่ยนปกเปลี่ยนของที่ระลึก บีบให้ชุดแรกเป็นลิมิเต็ด
>>806
ร้อยชุดนี่ทำมือถือว่าลากเลือดพอควรนะ
ระดับนี้ต้องมีแฟนคลับ 1000-2000 คนติดตาม
คนอ่านพูดง่าย แต่โลกความจริงโครตโหดร้าย พิมพ์หนังสือทำนู๊นทำนี่กว่าจะทำเล่มเสร็จ เวลารวมทั้งหมด 4-5 เดือน ได้กำไร20000-30000 บ. น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำอีก
(ส่วนใหญ่คือนักเขียนที่ขายได้น้อยนะ)
มึงต้องเขียนนิยายเป็นงานอดิเรกจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะขายได้รึเปล่า มีคนซื้อแค่ไหนก็แค่นั้น เปิดพรีให้ครบตามยอดถึงจะพิมพ์ ถ้าไม่ถึงก็คืนเงิน ไม่เสียหาย
>>808 ใช่ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้นะเพื่อนโม่ง
แต่พอคนเขียนจะขอให้ช่วยอุดหนุนเขาบ้างในเรื่องที่เขียนมาใกล้จบ
ก็เห็นง้อแงบ่นกัน บอกว่าไม่รู้ว่าตอนจบดียังไง บางคนทวงบุญคุณอีกว่ายอดวิวสูงเพราะเข้ามาช่วยอ่าน
แบบว่า ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องบ่นด่าอะไรกันมาก
ก็แค่ไปอ่านเรื่องอื่นๆ ก็บน่าจะจบใช่มั้ยเพื่อนโม่ง
แต่มันไม่จบแค่นั้นนะสิ กลายเป็นต่อว่าคนเขียน กดดันต่างๆ แบบเห็นยังงี้บ่อยมาก
ตอนแรกที่กูไม่เคยเขียนหนังสือก็คิดเห็นแบบนั้นนะแหละ พอได้เขียนและทำมือขายเองถึงรู้ซึ้งอะไรในสัจธรรมโลก
สรุปมุมมองเปลี่ยนไปจริงๆ ในเรื่องนี้
กูก็เคยลงจบ นอกจากคำขอบคุณแล้วกุได้อะไร ใครที่บอกจะอุดหนุนก็หายหัว
กุอดหลับอดนอนคิดหัวแทบแตกแหกตาเขียน ค่าเน็ตค่าไฟค่ากาแฟมานั่งแต่งนิยายให้คนอ่าน ใครช่วยจ่าย
จำเป็นไหมที่กูต้องแถมตอนพิเศษให้ ในเมื่อกูเขียนเรื่องจบสมบูรณ์แล้ว เอาเวลาไปเขียนเรื่องต่อไปดีไหม บางคนไม่สนใจตอนพิเศษ มันอ่านจบแล้วจะซื้อทำไม
กูเข้าใจว่าคนชอบ ลงจบก็ซื้ออยู่ดี แต่นั่นมันส่วนน้อยไง มึงคิดว่านักเขียนไม่อยากขายได้เยอะๆ เหรอ
มันเขียนให้ถูกใจทุกคนไม่ได้อยู่แล้ว
กูเข็ดว่ะ กูเคยคิดถึงคนอ่านมากไป กูไม่ลงจบแล้ว ทำด้วยใจรักก็ไม่ได้หมายความว่ากูไม่อยากได้สิ่งตอบแทนป่ะวะ
มึงให้นักเขียนเปย์ทั้งตัวอ่านจนจบเรื่อง แต่มึงจะเลือกซื้อก็ได้ไม่ซื้อก็ได้ มันไม่แฟร์เกินไปปะวะ ในเมื่อเห็นสินค้าหมดแล้ว
กูอัดอั้นกูขอระบายหน่อย ไปเห็นกระทู้เรื่องนักเขียนไม่ลงให้อ่านจบเรื่อง อ่านแต่ละความเห็นที่ใช้รองรับความต้องการของตัวเองแม่งไม่คิดถึงคนเขียนเลย กูกระอักมาก น้ำตาแทบไหล ช้ำในตาย
ปัญหานี้อีกสิบปีก็แก้ไม่หาย
>>810 เคยเป็นแบบหนึ่ง จากนั้นกูก็ไม่เคยลงฉบับเต็มให้คนอ่านในเน็ทอ่านอีกเลย
กูจะแบ่งเนื้อหาหลักกับรายละเอียด ในเน็ทกูลงแต่เนื้อหาหลักให้พออ่านรู้เรื่อง ส่วนรายละเอียดกูจะมีเฉพาะเล่มขาย ซึ่งกูจะแก้สำนวนและคำผิด รีไรท์ด้วย อย่างในเน็ทกูลงส่วน 1 2 3 5 6 8 10.... คนอ่านบางส่วนจะบ่นแต่กูจงใจเพราะส่วนที่เอาออกไม่ทำให้ถึงขนาดอ่านไม่รู้เรื่อง พวกที่ตามอ่านงานกูจะรู้ถ้าอยากได้รายละเอียดหมดต้องซื้อ ตอนที่อ่านแล้วฟินกรี๊ดอยู่ในเล่ม กูลงให้จนจบด้วยแต่เป็นรวบสรุปจบ จบแบบเต็มอยู่ในเล่ม
ถ้าคนอ่านช่วยซื้อให้กูอยู่ได้กูก็ไม่คิดจะลงงานแบบนี้หรอกแต่เพราะพวกไม่ซื้อมันเยอะกว่าก็ต้องบังคับทางอ้อม
เราควรตั้งกฏแต่แรกสินะ แบบรับไม่ได้ก็เชิญ
ควรบอกแต่แรกว่ะ ว่ากูลงไม่จบนะ เพราะแม่งเรื่องมากเม้งใส่คนเขียนกันประดุจคนใช้เขียนนิยายให้อ่านขนาดนี้
>>813 สรุปเหมือนเล่าเรื่องย่อ ตัดพวกสำนวนบรรยาย บทสนทนาออกเลย ปกติกูจะสรุปจบช่วง 3-5 บทสุดท้ายเป็นตอนจบ 1-2 ตอนในเน็ท ใครไม่ชอบบทจบจะได้ไม่ต้องมาซื้อแล้วมาด่ากูอีก
>>816 กูเบื่อคนอ่านพวกนี้แต่ก็ต้องง้อเอาวิว โคตรเซ็ง เมื่อไรจะอัพ อัพช้าจัง ลงเยอะกว่านี้สิ ทำไมไม่แบบนี้ๆ อยากพิมพ์ตอบ มึงมาเขียนเอง มึงจะอ่านงานกูหรือมึงจะอ่านงานมึงแต่ให้กูพิมพ์ดีดให้
กูเริ่มองก์ลง อัดอั้นมานาน เป็นนักเขียนห้ามด่าคนอ่านเหรอวะ แล้วคนอ่านมันเคยเห็นใจนักเขียนบ้างมั้ยวะ
Ky นะ อยากถามว่าถ้าเราลงงานให้อ่านฟรีใน Meb แล้วจะโดนเว็บเขาเรียกเก็บค่าอะไรไหม
พอเข้าใจแต่งานขาย แต่งานปล่อยฟรีนี่ไม่รู้เลย
555+
ช่วงระบาย ไม่มีใครว่าหรอก แต่เหมือนเป็นช่วงรวมตัวนักเขียนที่โดนคนอ่านเกรียนใส่เลยว่ะ
ส่วนตัวโดนคอมเมนต์แซะประจำเรื่องมีแต่น้ำไม่มีเนื้อ
กูอยากสวน บอกจริงๆว่าไม่ปูเรื่องไว้แล้วจะอ่านเข้าใจที่สื่อในตอนสำคัญมั้ย
ไม่ใช่อยู่ๆจะมาปิ้งๆท้องชนกันได้เลยเหมือนปลากัด
Robin
มันมีช่วงนึงนะ ช่วงก่อนหน้านี้ไม่ถึงสองสัปดาห์เอง เราอ่านคอมเมนต์คนอ่านแล้วเครียดมาก ยอดขายแม่งก็ไม่ดี เล่มต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าสนพ.จะอยากพิมพ์ต่อไหม ยังจะมีคนมาตั้งกระทู้เหน็บคนเขียนอย่างงั้นอย่างงี้
เรานี่แม่งรู้สึกขึ้นมาวูบนึง กูตายๆ ไปเลยดีไหม ะเบิดแม่งทิ้งทุกอย่าง ไม่เขียนแม่งละ รถก็ต้องผ่อน พ่อแม่ก็ต้องเลี้ยง หมาแมวอีกเป็นพรวน ค่าน้ำค่าไฟค่าลิขสิทธิ์ซอทฟ์แวร์ ค่าโน่นค่านี่ที่กินเข้าไป
โมโห
ยอดแฟนเยอะๆ ไม่ใช่ว่าจะดีเลย เครียดกว่าเดิม กดดันกว่าเดิม เพราะตัวเลขแม่งไม่สัมพันธ์กับยอดขาย ถ้าด่าคนเขียนอีงกอีไม่มีน้ำใจเราก็อยากให้คิดมุมกลับบ้าง ว่าใครกันแน่ที่งกที่ไม่มีน้ำใจ ไม่ช่วยห่าอะไรกูเลยยังตั้งกระทู้บั่นทอนจิตใจ บางคนก็ตามมาคุกคามถึงพื้นที่ส่วนตัว เร่งกูจัง แม่ง
มึง มีใครเคยอ่านหนังสือของสำนักพิมพ์ Pearl มั้ย ที่แม่งล้มละลายอะ
แล้วแบบ มีแต่หนังสือที่กูติด แบบ คู่มือท่องกาแล็กซี่ฉบับนักโบกงี้ โรงเรียนเหล่าร้ายงี้ และอีกหลายเรื่องเลย โคตรเซ็ง
เห็นทั้งซีเอ็ดทั้งนายอินทร์จัดโปรกันรัวๆแล้วสงสารเหมือนกันนะ คิดว่ามันคงขายไม่ค่อยดีถึงได้เอาส่วนลดเข้าล่อให้คนมาซื้อเยอะๆ อ่านคอมเมนท์ในเพจร้านแล้วก็เหนื่อยใจแทน บางทีมันไม่ใช่ว่าคนไม่มีเงินซื้อ แต่เขาอยากได้ส่วนลดกันมากกว่า (คืออยากได้ของถูกอะละ) เห็นหลายคนแล้วที่บอก ลดมากกว่านี้สิอีกเจ้ายังลดมากกว่าเลย อืมมม พูดงั้นงี้แต่ตัวเองก็ซื้ออะนะ
เอ่อ ขอโทษว่ะ ตอนแรกกูจะเข้ามาบ่นในฐานะคนอ่าน แต่เจอพวกมึงเป็นคนเขียนกันเยอะ ปัญหาคนเขียนมันเยอะจริงๆ ว่ะ นี่ไม่เคยติดตามห้องนี้ กูขอถามหน่อยนะ คือแหล่งที่พวกมึงไปลงนิยายมันเป็นแหล่งที่คนอ่านไม่ค่อยมีกำลังซื้อป่าววะ? คือกูเห็นพวกมึงบางคนบ่นว่าคนอ่านกดดันแถมที่เคยบอกจะซื้อๆ สุดท้ายก็ไม่ซื้อ ไรงี้ กูเห็นใจเลยว่ะ แต่คือกูอ่ะ ไม่ค่อยอ่านนิยายลงเน็ตเท่าไหร่ นานๆ อ่านที กูอ่านแต่นักเขียนที่กูติดตามอยู่ คือถ้าเรื่องไหนชอบกูอ่านแค่ไม่กี่ตอนกูลงลิสต์ไว้เลยนะว่ากูจะซื้อเรื่องนี้แน่(ในกรณีที่เค้ามีรวมเล่มขาย) คือกูก็ยอมรับว่ากูทำงานแล้วแล้วกูไม่มีภาระไรมากมาย กูพอใจกูก็ซื้อ แต่ก็มีนักเขียนที่กูเทนะ ส่วนใหญ่เป็นพวกที่เคยเกิดดราม่าในพันดริฟท์ว่ะ ยังไงก็ให้กำลังใจพวกมึงละกันว่ะ คนที่ทำงานเขียนหลักๆ กูว่าก็หางานอื่นร่วมด้วยก็ดีนะมึง ตั้งใจจะเข้ามาบ่นนักเขียนหน่อย เจอพวกมึงบ่นไป กูคลานกลับออกไปเงียบๆ ดีกว่า
เดี๋ยวนี้ทุกคนที่เป็นนักอ่านเข้าถึงเน็ตไปทั่วถึงมากกว่าก่อนเยอะ ปกติทุกคนจะรู้แหล่งที่ลงนิยายกันดีอยู่แล้ว
ทำให้เกิดปัญหาคือคนอ่านซื้อได้ยากมากขึ้น เพื่อนโม่งสังเกตเห็นนิตรสารนิยายหัวใหญ่ๆ ล้มกันไปจวนหมดเช่นรายล่าสุดก็ สกุลไทย
เพราะคนไม่ค่อยซื้อนิยายอ่านกันแล้ว
บอกตรงๆ สนพ.ทำสัญญากับนักเขียนยังเหลือยอด 2000 เล่มเอง ในรายทั่วไปไม่ใช่บิ๊กเนม
หน้าใหม่บางทียิ่งกว่าอีกคือกดเหลือ 1000 เล่มเอง
บางทีคนอ่านได้สแกนเถื่อนในนิยายเรื่องนั้นไปอีก ยอดขายแทบไม่มีทางรุ่งหวังได้แบบสมัยเก่าอีกแล้ว
นอกจากบางเรื่องที่ดังขึ้นมาได้จริงๆ และได้ไปทำละคร ซึ่งปีๆ มีไม่กี่เรื่องเอง
ปกติพองานหนังสือ หนังสือใหม่จะออกมาเต็มเยอะกว่านี้ว่ะ 3-4 ปีที่แล้วยังเยอะกว่านี้ หรือกูรู้สึกไปเองเพราะไม่ค่อยมีเวลาตามแล้วไม่รู้
>>834 บ่นมาเถอะ ถือว่าแลกเปลี่ยนมุมมอง กูมีงานอื่นทำนะ แต่กูชอบเขียน เขียนจบแล้วรวมเล่มคือความรักของกู
แต่พอดีกูอินดี้ ไม่เขียนแนวที่ตลาดต้องการ ณ เวลานั้นเท่าไหร่ ถ้าไม่อัพลงเน็ตเรียกคนกูก็ไม่รู้จะไปโฆษณาที่ไหน
ไอ้ที่เฟลอพราะคนอ่านชอบหาว่านักเขียนหน้าเงิน แอนตี้นิยายไม่ลงจบ อยากขายก็ทำตอนพิเศษมาแบบที่กูบ่นใน 810 นั่นล่ะ
กูได้ระบายแล้ว ตอนนี้กูหัวโล่งละ
>>836 กูตกใจเรื่องสกุลไทย!!!! คือกูไม่ตามไรในโซเชี่ยลว่ะ เฟซกูยังไม่มีเลย กูก็ตกข่าวอะไรเยอะ บางทีมานึกขึ้นได้ลองไปเสิร์ชหาถึงได้รู้ว่าผู้ผลิตหลายๆ รายก็ล้มหายตายจากไปจากวงการว่ะ น่าเห็นใจจริงๆ กูว่าตอนนี้พวกนิยายแปลจีนมาแรงมากกกก นี่กูก็มาจากสีเผือก กะเผือกฝั่งนิยายไทยบ้าง กูไปอ่านต้นๆ กระทู้มึงเจอว่า LN ของแจ่มก็ปิดไลน์ไปแล้ว เฮ้อ
อ้อ แล้วเรื่องที่กูจะบ่น คือนักเขียนอ่ะ ออกนิยายกับสนพ.ใหม่แต่เรื่องเดิมก็รีไรท์ใหม่ไม่พอ ดันเพิ่มตอนพิเศษด้วย กูแบบ คือกูก็ซื้อนะ ซื้อเพราะรักตัวงานของนักเขียนคนนั้น แต่หลังๆ ทำไมกูเจอนักเขียนทำแบบนี้เยอะจัง เจอแบบนี้กูก็เซ็งนะ เอาตรงๆ กูรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง กูมาชั่งใจกับการเสียเงินซื้อหนังสือปกละ 300 กว่าเพื่อตอนพิเศษไม่กี่หน้า กูก็เริ่มทำใจได้ว่า เออ กูไม่เอาละ ใครออกรีไรท์เรื่องเดิมเปลี่ยนปกไรมากูขอบาย ตอนพิเศษไม่กี่หน้ากูไม่อ่านก็ไม่ตาย กูอยากถามแค่ว่า แล้วนักอ่านที่อุดหนุนนักเขียนตั้งแต่ปกแรก ให้กำลังใจกันมาตั้งแต่แรก ก็ต้องให้กูไปซื้อซ้ำแบบนี้วนไปอีกเหรอวะ? คือมันมีไงนักเขียนเก่าๆ บางคนที่ออกหนังสือมาพิมพ์ครั้งต่อๆ มาเนื้อหาเหมือนเดิมเป๊ะ แต่หน้าปกสวยกว่าเดิมมาก นักอ่านจะเสียเงินซื้ออีกมันก็เพราะนักอ่านตัดสินใจเองว่าอยากเก็บปกนี้ กูเป็นนะกะงานของอ.วินิตาอ่ะ กูชอบอ. กูชอบปกสีน้ำ เพื่อนดีออกมาใหม่กูก็บ้าซื้ออีก แต่กูบอกเลยว่ากูรู้สึกว่าการซื้อแบบนี้ของกูกูไม่รู้สึกว่าโดนหักหลังเท่ากับการพิมพ์ใหม่แล้วเพิ่มตอนพิเศษเหมือนนักเขียนรุ่นหลังๆ ว่ะ //กราบขอบคุณสำหรับพื้นที่บ่นค่ะ
>>842 ขอแชร์ในมุมนักเขียนไทป์ที่พูดถึงนะ การที่ต้องรีไรท์ใหม่ก็เพราะตัวเองไปอ่านนิยายที่เขียนเมื่อสี่ซ้าห้าปีขึ้นไปแล้วรู้สึกว่ามันยังไม่โอเค คนเราทัศนคติสำนวนอะไรต่อมิอะไรมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ส่วนเรื่องตอนพิเศษ เคสคนอื่นไม่รู้ แต่เคสเรา มันเป็นเพราะตอนที่ตีพิมพ์ไปรอบแรกออกกับสนพ. จำนวนหน้ามันจำกัด ไม่สามารถจะขอยัดตอนพิเศษทั้งหมดลงไปได้ พอมาพิมพ์เองทีหลังก็เลยใส่รวมไว้ให้ครบๆ เพราะไม่อยากจะทำเล่มตอนพิเศษแยกออกมา ถ้ารู้ว่าจะมีคนไม่ชอบอะไรแบบนี้ ก็คงเอาตอนพิเศษเยอะแยะนั่นมาทำมาหากินขายแยกเป็นอีกเล่มไปแล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ
>>843 เฮ้ย เข้าใจนะ เคยอ่านความเห็นนักเขียนเค้าก็บอกแบบนี้ แบบว่า มาอ่านงานเก่าของตัวเองแล้วพบข้อผิดพลาดมากมายก็อยากจะแก้ไข แต่กูในฐานะคนอ่านที่เคยอุดหนุนตั้งแต่แรก กูมองอีกแง่ว่า เอ๊ย งานมันก็มีสไตล์ในแบบของเค้า ณ เวลานั้น เหมือนนักเขียนต่างชาติป่าววะ ไม่รู้จะยกตัวอย่างยังไง แบบแฟนๆ มาวิจารณ์กันก็จะมีพูดถึงว่า เออ งานเรื่องนู้นเรื่องนี้เค้าไง เป็นงานรุ่นแรกๆ สำนวนแบบนี้ ทัศนคติแบบนี้ คือมันเห็นพัฒนาการออกนะ ถ้ามึงออกผลงานมาเรื่อยๆ กูรู้สึกดีกับแบบนั้นมากกว่า กูรู้สึกว่ากูได้เติบโตไปกับนักเขียน มันจำเป็นด้วยเหรอวะที่ต้องให้งานทุกอย่าง "มีภาพแบบ ณ ตอนนี้" ในทุกเรื่องอ่ะ กูสงสัย ถ้ามึงอายุ 60 มาอ่านงานของตัวเองตอนที่รีไรท์ไปตอนอายุ 35 จากตอนแรกเขียนตอนอายุ 15 รีไรท์แก้ใหม่เพิ่มตอนพิเศษมาเรื่อยๆ จนตอนนี้มึง 60 แล้ว มันต้องมีเวอร์ชั่นรีไรท์เพิ่มตอนพิเศษตอนมึงอายุ 60 อีกเหรอ? ทัศนคติมุมมองต่อโลกมันย่อมเปลี่ยนไปตามอายุอยู่แล้ว แล้วกูต้องมองนักเขียนรีไรท์ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจเหรอ? เขียนเรื่องใหม่ไปเลยดีกว่ากูว่าแฟนๆ อุดหนุนนะถ้ารักกันจริงติดตามกันมาตลอดอ่ะ อันนี้ความคิดคนอ่านอย่างกูนะ ไม่โกรธกันนะคะมึง จุ๊ฟ
ไม่เลวนะ ถ้าเอางานที่เคยได้พิมพ์กะ สนพ. มาพิมพ์เอง แล้วทำตอนพิเศษเป็นเล่มแยกอีกเล่ม(แค่ต้องของดีจริง) ไม่เอามาบวกเป็นเล่มเดียว
ให้คนอ่านเลือกว่าจะซื้อคู่ หรือเดี่ยวก็ได้ ถ้ากลัวคนไม่ซื้อเล่มตอนพิเศษก็ทำโปรไป ว่าใครเคยซื้อเล่มหลักแล้วถ่ายรูปตัวเองคู่กับหนังสือมาโพส แล้วจะลดราคาเล่มตอนพิเศษให้ หรือแถมของอะไรให้ในฐานะแฟนคลับเก่า
>>845 ในมุมมองคนเขียน เราก็อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคนอ่านแหละนะ อะไรที่เรารู้สึกว่ามันยังดีไม่พอ ก็อยากจะทำให้มันดี
อันที่จริงก็เคยคุยกับเพื่อนนักเขียนเรื่องนี้เหมือนกัน ว่า การที่มารีไรท์หรือปรับเปลี่ยนอะไร มันจะไม่เป็นการทรยศต่อความรู้สึกของคนอ่านที่ขาชอบแบบเดิมเหรอ แต่สุดท้ายก็ขอเลือกความสบายใจดีกว่า
งานบางชิ้นผ่านไปสี่ห้าปีแล้ว เราก็ไม่ได้คิดจะไปรีไรท์อะไรมัน บางเรื่องที่รีไรท์ก็เพราะเรามองเห็นปัญหาจริงๆ น่ะนะ
เรื่องตอนพิเศษนี่คิดมาสักพักแล้วแหละ เคยมีนักอ่านถามตั้งแต่นิยายออกแรกๆ เลยว่าจะรวมเล่มขายแยกไหม แต่เกรงใจคนอ่านไง ไม่อยากจะให้เสียเงินเยอะ เลยลงไว้ในเว็บให้อ่านฟรีๆ
แบบแก้ไขต้นฉบับหรือเปลี่ยนปกเป็นเรื่องปกติของนิยาย
เพื่อนโม่งอยู่ในวงนิยายจีนกำลังภายในก็จะเห็นปรมาจารย์กิมย้งยังแก้ไขเนื้อหาและตอนจบหลายครั้ง
และสยามก้พิมพ์ซ้ำเปลี่ยนปกไปบ่อยๆเช่นกัน
ของไทยเรา คุณลุงพนมเทียน เพชรพระอุมา ยังเปลี่ยนไซส์หน้าอกของคุณหญิงดารินให้เหมาะสมตั้งสองครั้งเลย
>>849 มึงงงง ถ้าเปลี่ยนในรายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อยมันรับได้นะ แต่บางคนมันรีไรท์ใหม่แทบจะกลายเป็นเรื่องใหม่เลย คือพอรีไรท์ไปเรื่อยเรื่องมันบรรยากาศเปลี่ยนป่าววะ ยิ่งอายุเยอะขึ้นนักเขียนย่อมมีมุมมองชีวิตเปลี่ยน มันมากกว่าเรื่องเปลี่ยนขนาดนมคุณหญิงดารินนะมึง แต่ไม่เป็นไร กูอาจจะมองในมุมมองใจแคบไปนิด กูจะพยายามเข้าใจละกัน แต่ยังไงๆ ตอนนี้กูก็รู้สึกอยู่ในใจว่ะว่ามันไม่ใช่สำหรับกูอ่ะ ขอบคุณที่เพื่อนโม่งนักเขียนมาพูดคุยนะ //ไหว้ย่อเข่ารอบวง
ขอถามหน่อย มีใครเคยเจอคนอ่านรู้ดีกว่าคนเขียนมั่งมั้ยวะ กูยังไม่ทันเฉลยเลยว่าทำไมตัวละครถึงทำแบบนี้ เสือกมารู้ดีบอกว่าไม่สมเหตุสมผล
ขอโทษที บ่นผิดห้องหว่ะ ลืมมอง
รอ A day ล่ม ถ้าเจ้านี้ล่มถือว่าวิกฤตจริง
>>859
นิตรสารสมัยนี้ไม่ได้ขึ้นกับยอดขายอย่างเดียว แต่ขึ้นกับยอดโฆษณาที่ยังสนับสนุนหรือไม่
สังเกตบางทีราคาหนังสือแพงกว่าต้นทุนจริงๆ เสียอีก แต่นิตรสารอยู่ได้เพราะยอดโฆษณา สปอนเซอร์ที่หามาจุนเจือนิตรสารได้
สรุปแนวทางหลักของกลุ่มนิตรสาร ถ้าไม่มีโฆษณา สปอนเซอร์มาช่วยก็เตรียมปิดกันได้เลย กลายเป็นไม่เน้นยอดขายเท่าไรนัก
ต่างกับพวกเน้นความรู้หรือนิยายที่ต้องอาศัยยอดขายจริงๆ เป็นหลัก
เพื่อนโม่งต้องแยกกันนิด
ถถถ มันคือการเอาพล็อตนิยมนิยายจีนรักมาเขียนร่วมกันโดยคนไทยนี่่หว่า สรุปว่าตอนนี้นิยายแนวนี้มาแรงสินะ
>>861 A day สมัยเปิดตัวมันดูแปลกใหม่และไอเดียโดดเด่นกว่านิตยสารเล่มอื่นๆ ประมาณว่าวัยรุ่นชอบกัน
แต่หลังๆแม่งขายโฆษณา ทำตัว Hipster wannabe เนื้อหาในเล่มไม่มีอะไรน่าสนใจเหมือนยุคแรกๆแล้วด้วย
กูงงว่าทุกวันนี้ทำไมเอเจนซี่โฆษณายังซื้อหน้าโฆษณาใน A day ไปโฆษณาตามสื่ออินเตอร์เน็ตน่าจะง่ายกว่า
และตรงเป้าหมายกว่า เพราะเป้าหมาย A day มันก็เด็กวัยรุ่น
นิยายแปลพิมพ์เยอะเพราะคิดว่าขายได้ง่ายกว่ารึเปล่า นิยายไทยพิมพ์น้อยเลยขายแพงเอาทุนคืนไวๆ
ปัจจัยเดี๋ยวคือคนไทยซื้อหนังสือน้อย
ราคาปกที่เห็นบอกถึง
1.รายได้ต่อเล่มที่นักเขียนจะอยู่ได้เพราะทั่วๆไปนักเขียนออกหนังสือปีหนึ่งไม่กี่เล่มเอง คือ1-2เล่ม
นอกจากคนได้ออกหลายเล่มอันนั้นระดับบิ๊กๆ
(10% xราคาปกxจำนวนเล่ม ตอนนี้สตาร์ยอดพิมพ์ 2000 เล่ม ราคา 350 บ. สรุปนักเขียนได้เงินราว 70000)
2.ที่ออกมาหวังขายพอมีกำไรคือราว 1000 เล่มขึ้นไป สนพ.พอจะได้กำไรบ้าง สถานการณ์หืดขึ้นคอ ไม่ได้หวังขายได้เยอะ
ส่วนราคาหนังสือที่ถูกเมืองนอก
เพราะต้นทุนหารพิมพ์ต่อเล่มของเขาสูงมากๆ ราคาต่ำกว่าเราได้เยอะ (กฎราคาต่อจำนวน พิมพ์ยิ่งมากยิ่งถูก พิมพ์น้อยลงยิ่งแพง)
ด้านแปลไทย เดี๋ยวนี่เล่มใหม่ๆ ตกอยู่ในสถานการณ์คนซื้อน้อย
สังเกตราคาก็ใกล้เคียงกับหนังสือไทยหมดแล้ว เมื่อเทียบความหนาจำนวนหน้านะ
อย่าง อัคนีพยัคฆ์ 360บ. 512 หน้า
ราคาหนังสือแปลที่หนาเท่ากันรุ่นใหม่ๆ
ผลาญเล่ม 1 ราคา 369บ. 511 หน้า
อสุรากับยาใจเล่ม1 ราคา 350บ. 437หน้า
ส่วนค่ายใหญ่สีส้ม ยอดพิมพ์น่าจะครั้ง 3000 เล่ม ทำให้มีตัวหารราคาเยอะ แต่ก็ราคาไม่หนีกันเท่าไรในยุคนี้
เช่น บุพเพอลวนเล่ม1 ราคา 369บ. 590หน้า
สรุปมันมีปัจจัย เพื่อให้นักเขียนอยู่ได้ สนพ.พอมีกำไร ในสถานการณ์ที่คนซื้อแม่งน้อยลงด้วยนะเพื่อนโม่ง
ราคาหนังสือจะถูกลงเมื่อผลิตออกมาเยอะ เมื่อคนซื้อเยอะ ประมาณระดับหมื่นถึงแสนเล่มก็จะยิ่งโครตถูกแบบที่เห็นในเมืองนอกนั่นแหละ
แต่เมืองไทยอย่าได้หวัง เพราะคนซื้อน้อยสุดๆ ไง
>>868 ที่คนไทยซื้อน้อย กูว่าส่วนนึงเพราะมี pdf เถื่อนให้อ่านฟรีอย่างกราดเกรื่อนว่ะ แม่งคิดแต่ว่าอ่านฟรีเอาก็ได้ทำไมต้องเสียเงินซื้อ ไม่มีก็ไม่อ่านไรงี้ แต่กูเป็นพวกซื้อเก็บซื้ออ่านว่ะ กูยังอยากให้มีหนังสือให้อ่านต่อไปนะ กูไม่ชอบอีบุ๊คด้วยกูอยากได้เป็นเล่มๆอ่าน
>>869 ตัวอย่างคือนิยายจีนของสยามนั่นแหละ
สแกนเถื่อนก็ออกหลังสยามวางขายนิยายได้ไม่กี่วัน แถมโดนทุกเรื่อง
ยอดขายลดลงระดับ 40% ในรายไตรมาส หรือก็คือขายได้น้อยลงเรื่อยๆ เกือบครึ่ง
ถ้าไม่ใช่ บ. ในตลาดหุ้น+ ดีที่มีแบล็กอัพแข็งหน่อยอย่างคนที่เขียนคำนำในเล่ม
อาจต้องปิดตัวไปแล้ว
สยามโดนโหดจริงๆ สแกนแม่งทุกเล่มจนสงสัยว่าคนทำแม่งว่างขนาดนั้นเลยเรอะ
โดนทุกเล่มจริง แต่หลังๆ โดนปล่อยช้านะ สงสัยไม่สนุก ตอนพี่เสือนี่มาไวมาก
ส่วนหนึ่งที่ตกเพราะตามใจท่านผู้นั้นด้วยละ รสนิยมไม่ตรงกับชาวบ้านเท่าไหร่ แนะนำมากี่เรื่องก็แป้กทั้งนั้น เรื่องที่ไม่ชอบอย่างพี่เสือดันขายดีแซงหน้าเรื่องที่แกแนะนำอีก
กูเคยเจอคนประกาศโต้งๆเลยนะว่า เพราะกระจายของช้าเลยทำให้ต้องไปอ่านแสกน คนจะอ่านแล้วทนไม่ไหวของมาถึงมือช้าเลยโหลดอ่านฟรีดีกว่า กูนี่อึ้งเลย แต่ของสนพ.นี้โหดจริงแสกนมันทุกเรื่อง อย่างตอนเต้ามู่เล่มเพิ่งวางขายสองวันถัดมาแสกนมาแล้วงี้ กูนับถือคนแสกนมากว่าว่างขนาดไหน จนบางทีกูยังคิดเลยว่าหรือคนในปล่อยออกมาเองเลยวะ
แล้วสยามไม่จัดการหน่อยเหรอ
เอ่อ กูเห็นอีบุ๊คของนักเขียนคนนึงมีออกเฉพาะตอนพิเศษมาให้อ่านฟรี กูนั้มตาไหลเลย เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่กูคิดจะตัดใจไม่ซื้อฉบับรีไรท์อยู่ ขอบคุณนักเขียนที่ช่วยรักษาไต(และใจ)ข่ะ
กูเข้าใจแล้ว ว่าทำไมนักเขียนที่เคยเขียนนิยายแปะเน็ต พอเป็นนักเขียนอาชีพก็เลิกแปะเน็ต เลิกลงจบ
กูเข้าใจว่าเคยซื้อหนังสือมาแล้ว นักเขียนรีไรท์เพิ่มตอนพิเศษ มึงอยากได้ แต่ตัดใจไม่ซื้อ พอดีนักเขียนออกอีบุ๊คตอนพิเศษแยกให้อ่านฟรี มึงเลยดีใจใช่มั้ย
ถ้าไม่ใช่อย่างที่ว่ามา กูจะสงสารนักเขียนมาก
ของปราณธรหรอวะ
ทำไมดูเหมือนเพื่อนโม่งนักอ่านบางคนแอนตี้นักเขียนที่เอานิยายเรื่องเก่าๆ มารีไรท์ขายจังวะ อ่านๆ แล้วมันดูเหมือนเกินกว่าการอยากซื้อเล่มใหม่ที่รีไรท์เขียนเพิ่มและเติมตอนพิเศษให้ แต่ตัวเองดันเคยซื้อเวอร์ชั่นก่อนหน้ามาแล้วเลยไม่พอใจ มันเหมือนการพูดถึงแบบมีเป้าในใจเลยว่ะ นักเขียนที่มึงรักเขาไปทำะไรให้มึงเหรอวะ
กูไม่ซีหรอกนะเรื่องรีไรท์ ไม่ค่อยคิดมากด้วยต่อให้เป็นนักเขียนที่ชอบจริงจัง เพราะโดยส่วนตัวแล้วกูไม่คลั่งปก ไม่คลั่งตอนพิเศษที่เขียนมาเซอร์วิส และก็ไม่อ่านอะไรซ้ำหลายรอบ แม้เนื้อหาต่างกันสองสามหน้า กูก็ยังถือว่ามันเป็นเรื่องเดิมอยู่ดี ถ้ากูมีพิมพ์เก่า ถึงพิมพ์ใหม่ออกกูก็ไม่ซื้อ แต่ถ้าเรื่องใหม่กูเอาอยู่
เป็นพวกเน้นปริมาณ มากกว่าคุณภาพว่างั้นเถอะ ตังค์ที่จะเอาไปเปย์ให้ปกใหม่ กูเก็บไว้รอซื้อเล่มใหม่เขาได้ ไม่ก็เรื่องใหม่ได้เลย หนังสือดีๆ มันออกมาเยอะ ลดอะไรได้ก็ลด
อารมณ์ประมาณ กูเป็นแฟนมึงมาตั้งแต่มึงยังไม่มีชื่อเสียง พอมึงดังมึงเปลี่ยนปกเพิ่มเพลง คนที่ไม่ได้เป็นแฟนจริงๆของมึงมาซื้อทีหลังได้ของดี แต่แฟนมึงจริง ๆ เสือกต้องซื้อซ้ำ...เมืองนอกเค้ามีแต่ลอตแรกเป็น special edition มีของแถมสำหรับแฟนพันธุ์แท้ แต่นี่ลอตหลังดันได้ดีกว่าลอตแรกซะงั้น ละมั้งนะ
คนซื้อรอบแรกผิดอะไรวะ กูก็ไม่อยากซื้อใหม่เหมือนกัน. กูไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่า มีตอนพิเศษเพิ่มไหมเนี่ย.
ถึงเพิ่มมากูก็ไม่ซื้อเพราะโครงเรื่องมันก็เหมือนๆเดิมอาจจะมีเกลาๆบ้าง
เอาเงินไปลงกับเรื่องใหม่ที่ไม่เคยอ่านดีกว่า
>>881 ใช่แบบที่มึงว่า แต่! กูไม่ได้อยากได้ตอนพิเศษถึงขนาดจะลงแดงขนาดนั้น ถ้าได้อ่านก็ดีแต่ถ้าจะได้อ่านแล้วต้องไปเสียเงินกูก็ยอมนะ... สำหรับตอนแรกๆ เพราะกูไม่ได้ซื้อหนังสือของนักเขียนคนเดียวไง มันมีหลายคนที่ออกมาแนวๆ นี้ พิมพ์ใหม่เปลี่ยนปกเพิ่มตอนพิเศษ มันเริ่มดูมากขึ้นหลายคนขึ้นที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ กูไม่สามารถตามซื้อได้ทุกคนทุกเล่ม
ถ้ากูจะซื้อฉบับรีไรท์ก็เพราะปกสวยหรืออะไรก็ว่าไป แต่ถ้าปกไม่สวยกูก็ไม่ซื้อเพราะกูมีอยู่แล้ว กูจะซื้อเรื่องซ้ำๆ มาไว้ให้รกชั้นหนังสือกูทำไม แค่นั้นประเด็นกู แล้วกูแปลกใจว่ากูเคยซื้อตั้งแต่พิมพ์แรกแล้ว เค้ารีไรท์ใหม่เพื่อให้นักอ่านใหม่ๆ ได้อ่าน แต่ทำไมนักอ่านรุ่นใหม่ที่เค้าตั้งใจขายนิยายรีไรท์ให้ถึงได้อ่านมากกว่านักอ่านรุ่นแรก แปลว่ากูต้องซื้อนิยายเค้า 2 เล่ม บนชั้นหนังสือกูจะมีทั้งแบบพิมพ์ใหม่พิมพ์เก่า? เรื่องตอนพิเศษกูไม่ซีเรียสนะพูดจากใจ ไม่อ่านก็ได้ แต่กูเสียใจตรงที่กูก็อุดหนุนเค้าตั้งแต่แรกน่ะแต่ในสายตานักเขียนฉบับที่กูมีมันไม่ดีพอ...
เอาล่ะ มันคงจะดูน่ารำคาญเกินไปสำหรับเพื่อนโม่งหลายๆ คนแล้วล่ะที่กูดูไม่จบไม่สิ้นกับประเด็นนี้ แต่กูมาตอบเพราะเพื่อนโม่งบางคนเหมือนจะคิดว่ากูเยอะสิ่ง กูยืนยันว่ากูไม่ได้โกรธเกลียดอะไรนักเขียนเลยยยยยยยยย ถ้าเค้าออกเรื่องใหม่มากูอุดหนุนเหมือนเดิมแน่นอน แต่ไม่ใช่กับการซื้อเรื่องเก่าๆ เอามารีไรท์ใหม่ เพิ่มตอนพิเศษ แก้นั่นแก้นี่ มันเปลืองเงินกูและที่สำคัญมันรกชั้นหนังสือ อันนี้ก็ขอโทษหลายๆ คนนะ เหมือนกูทำให้รู้สึกว่าการที่กูออกมาบ่นเรื่องนี้ทำให้เพื่อนโม่งบางคนมองคนอ่านว่าเรื่องมากเรื่องเยอะกับอีแค่นักเขียนเค้าออกรีไรท์ คือตอนนี้ถ้ามีใครรีไรท์ใหม่กูไม่โกรธแน่นอนแต่กูแค่ไม่ซื้อ เพราะกูเคยมีเล่มฉบับพิมพ์แรกของเค้าแล้ว แค่นั้นแหละ แล้วกูขอยืนยันตรงนี้ ว่ากูเป็นโม่งคนนึงที่ไม่ได้เล่นเฟซเล่นโซเชี่ยลใดๆ นอกจากในโม่ง กูไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปบ่นที่ไหน ไม่เคยเชียร์ใครว่า อย่าไปซื้อเลยค่ะฉบับรีไรท์ คือโม่งนักเขียนทั้งหลายสบายใจได้ กูไม่ได้บ้าขนาดนั้น
>>883 ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน มึงอย่าเข้าใจกูผิด นักเขียนจะเคยทำไรกูได้ไง กูไม่เคยคุยกับเค้าเลย กูอ่านแต่งานเค้า กูไม่ลงลึกรายละเอียดตัวตนนักเขียน และกูไม่ได้แอนตี้นักเขียนที่รีไรท์พิมพ์ใหม่ แต่กูก็แค่ไม่ซื้อเพราะกูมีของเค้าอยู่แล้ว กูจะเกลียดเค้าทำไมก็กูมีงานของเค้าทุกเรื่อง และที่สำคัญ กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับ "ตัวตน" ของนักเขียน ดังนั้นกูไม่จำเป็นต้อง "รู้สึก" รักหรือเกลียดนักเขียน กูชอบงานเค้า กูโฟกัสแค่งานเค้า กูมาบ่นเท่านั้น กูไม่มีเป้าในใจอะไร โอเคมั้ยมึงประเด็นนี้
>>885 คิดว่าเป็นความรู้สึกแบบนั้นนะ ในวูบแรกที่เห็น แต่มันก็จะรู้สึกว่า เออๆ ไม่ไรนะ ซื้อก็ได้ คือเงินมีพร้อมเพย์ แต่ทีนี้นักเขียนมันไม่ได้มีแค่คนสองคนที่ตาม มันมีมากมายหลายสิบคน กูไม่สามารถพูดว่ากู "พร้อมเพย์" ได้แล้ว ถ้าต้องซื้อทุกคนกู "พร้อมตาย" ดังนั้นกูเลยมาบ่นในโม่งนี่แหละ แต่มันก็คือการบ่น กูไม่รู้ว่าจะเกิดเสียงสะท้อนอะไรยังไง กูไม่ได้หวังผล กูหวังแค่กูในฐานะคนอ่านได้ระบายเท่านั้น
จากความเห็นแรกจนถึงความเห็นนี้ของกู กูสาบานต่อหน้าชาเขียวลาเต้ว่ากูไม่โกรธหรืองอนอะไรเลย รู้สึกดีใจที่ได้พูดคุยนะ เพราะอย่างที่บอกกูก็ไม่ได้ติดตามใครเป็นการส่วนตัว แบบกูไม่มีเล่นเฟซคุยหลังไมค์นู่นนี่ ได้ฟังความเห็นนักเขียนบ้างก็ดี แต่ก็เข้าใจแหละ ทุกคนแม่งก็ต้องกินต้องใช้ นักเขียนก็ต้องกิน กูคนอ่านก็ต้องกิน เงินไม่พอก็คงไม่พร้อมเพย์เหมือนเดิม แค่ขอพื้นที่บ่น ซึ่งกูคงจะบ่นมากไปแล้ว ยังไงก็ขอบคุณอีกทีที่แสดงความเห็นกันนะคะ //ไหว้ย่อเข่า
>>887 กอด เห็นด้วยกับมึงทุกคำ กูเห็นใจนักเขียน แต่กูก็เห็นใจตัวเองด้วย
คหสต. ถ้านักเขียนอัธยาศัยดี กูพร้อมทดในใจ ถ้ามีตังค์และพร้อมเมื่อไหร่ กูสนับสนุนแน่นอน อาจไม่ใช่ทางตรงทางเดียว แต่บอกต่อเพื่อนพี่น้องให้มาอ่าน
ชีวิตก็แบบนี้ ต้องเรียนรู้ เข้าใจตัวเองและคนอื่น
>>887 ที่กูถามใน 881 เพราะคิดว่ามึงโดนด่าเพราะคนอื่นคิดว่ามึงจ้องจะอ่านฟรี ไม่คิดอุดหนุนนักเขียนเลย มึงเองก็โพสไม่เคลียร์แต่แรกว่าเคยซื้อหนังสือเล่มนั้นมาแล้ว จนมาอ่านคห.ต่อๆ ไป ถึงพอเดาได้ว่าเคยซื้อแล้ว กูว่าโม่งจะด่ามึงเรื่องนี้
ถ้ามึงมีแล้วไม่อยากซื้อใหม่ก็ไม่มีใครว่ามึงหรอก
ที่นี้ขอโพสในมุมนักเขียนที่เป็นความคิดของกูคนเดียวบ้าง ถ้ากูพิมพ์ซ้ำ แล้วดันมีตอนพิเศษงอกออกมากูก็เอาไปใส่ในเล่มว่ะ แต่ไม่ได้ต้องการให้คนซื้อเล่มแรกมาซื้อซ้ำหรอกนะ จะให้พิมพ์แจกก็ไม่ไหว ก็ต้องแจกให้อ่านฟรีทางอีบุคนี่แหละ ไม่ใช่ว่าไม่รักไม่แคร์นักอ่านที่ติดตามกันมานาน ก็เรื่องมันเพิ่งคิดได้นี่หว่า
ส่วนเล่มพิมพ์ใหม่มีตอนเพิ่ม จำนวนหน้าก็เพิ่ม ราคามันก็ต้องเพิ่ม มันจะเสียเปรียบกว่ากันเท่าไหร่
ส่วนเล่มพิมพ์
เพิ่มอีกนิด กูว่านักเขียนไม่ได้อยากให้ใครซื้อเรื่องเดิมซ้ำๆ หรอก
แต่สนพ.คงอยากเพิ่มยอดขาย
>>889 อ้อ ไม่เคลียร์เหรอ โทษที เพราะกูคิดว่าเพื่อนโม่งอ่านแต่แรกแล้วรู้อยู่แล้วว่าเป็นกูที่มาบ่นเรื่องพิมพ์ตอนพิเศษใน >>842 ซึ่งกูก็บอกไปแล้วว่ากูซื้องานเค้าแต่แรกอ่ะ กูถึงได้มาบ่นตอนเค้ารีไรท์แล้วปรับเนื้อหาไง
แล้วมึงบอก ราคาเพิ่มกว่ากันไม่เท่าไหร่ ใช่เลย ราคาเพิ่มไม่เยอะ แต่นักเขียนที่ทำแบบนี้ไม่ได้มีคนเดียวไง ที่กูบอกไปอ่ะ แรกๆ รีไรท์มาก็ซื้อนะ ช่วยอุดหนุน แต่หลังๆ ชักจะหลายคนที่ทำแบบนี้ กูก็อุดหนุนไม่ไหว กูมาบ่นเพราะกูเป็นคนอ่าน และกูไม่ได้ซื้อของนักเขียนคนเดียว ถ้ากูตามนักเขียนคนเดียวมันก็ไม่มีปัญหาหรอก
แล้วนักเขียนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกรีไรท์กับสนพ. เดิมนะ จะบอกสนพ. อยากเพิ่มยอดกูว่ามันก็ใช้ไม่ได้กับทุกกรณีหรอก
>>890 ไม่น่าใช่นะเพื่อนโม่ง
สนพ. ที่นำมาพิมพ์ใหม่เปลี่ยนปกเหมือนลงทุนในนิยายเรื่องนั่นขึ้นมาใหม่เรื่องหนึ่งเลย
และทำให้นักเขียนมีรายได้เท่ากับเขียนเรื่องใหม่ขึ้นมา
ประเด็นเพื่อนโม่งจะบ่นยังไงก็แล้วแต่จะว่ากันไป
แต่โลกความจริง นักเขียนคือคนธรรมดาที่จะกินต้องใช้ การมีรายได้สำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิต
กูว่ามีแต่นักเขียนดีใจมากที่แฟนคลับยังนิยมซื้อซ้ำ ถ้าเพื่อนโม่งเป็นนักเขียนแล้วมีแฟนคลับตามเก็บทุกเวอร์ชั่นที่พิมพ์ตั้งแต่ครั้งที่ 1 ถึงครั้ง 5-6-7
มันจะยิ่งเป็นความรู้สึกดีมากกว่าเดิมว่านิยายเรามีคนชอบจริงๆ
แต่ปัจจัยใหญ่คือเงินมาหล่อเลี้ยงชีวิตวะเพื่อนโม่ง งานสุจริตไม่ลอกเลียนใคร เพื่อนโม่งชอบก็ซื้อ
ไม่ชอบก็บ่นได้แต่นักเขียนจะมองความคิดเพื่อนโม่งไปอีกแบบ
บอกตรง ๆ พิมพ์ใหม่เพิ่มตอนพิเศษกูก็เคืองนะ ของกูเป็นเซรีญาพิมพ์ครั้งแรก อยู่ ๆ ไปอยู่ดี ๆ กูก็เห็นว่ามีฉบับพิมพ์ใหม่ออกมา มีตอนพิเศษด้วย กูก็เคือง ๆ กูไม่ซื้อใหม่หรอกนะ กูรู้สึกว่าซื้อเบิ้ลเพื่อตอนพิเศษมันไม่คุ้มสำหรับกู แต่กูอยากอ่านตอนพิเศษอ่า.... ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าตอนพิเศษมันคืออะไร
อารมณ์เดียวกับตอนเห็นมังกรคู่ฉบับปรับปรุงด้วย เจ็บใจ
จนตอนนี้กูเริ่มถามตัวเองแล้วว่า นอกจากกูจะต้องรอจนหนังสือออกครบค่อยซื้อ (กันปาหมอนตอนจบกับโดนดอง) กูยังต้องรอนักเขียนรีไรท์จนเสร็จค่อยซื้อด้วยใช่ไหม?
>>892 เออ กูคิดแบบนั้นแหละ กูถึงได้มาบ่น แต่อย่างที่ว่า เงินก็ต้องใช้ทั้งนักเขียนทั้งคนอ่าน กูก็ขอแสดงจุดยืนในฐานะคนอ่านคนหนึ่งว่ากูไม่ซื้อซ้ำฉบับรีไรท์ แค่นั้นแหละ ไม่รู้กลายเป็นว่าเพื่อนโม่งนักเขียนคนอื่นมองว่ากูอยากอ่านตอนพิเศษฟรีโดยไม่คิดจะซื้อรวมเล่มแม้แต่เวอร์ชั่นไหนของเค้าเลย อะไรไปนู่น
ปล. >>890 ไม่ใช่ความเห็นกูที่เป็นโม่งมาบ่นนะ ทำไมกูอ่านแล้วรู้สึกเหมือนเพื่อนโม่ง >>892 คิดว่าเป็นความคิดกูเลย
>>893 นิยายทำสัญญาลิขสิทธิ์ 5 ปี กว่าจะรอกระบวนการพิมพ์ใหม่ได้ไปอีก 1-2 ปี รวม 7ปี (ไม่คิดเรื่องที่ขายดีพิมพ์ติดตลอดนะ)
ราคาหนังสือหารจำนวนปี บวกค่าลิขสิทธิ์ใหม่ที่นักเขียนจะได้ ราคาน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำอีก
เพื่อนโม่งลองมุมนี้ดู
ถ้าไม่มีตอนพิเศษออกมา จะเรียกแฟนคลับมาซื้อได้หรือ เพื่อนโม่งซื้อและได้อ่านก่อนก็คุ้มแล้วตั้งกี่ปี ไม่มีตอนพิเศษให้คงไม่มีใครจ่ายออกมาหรอกเพราะตลาดวายไปตั้งนานแล้ว
ถึงได้บอกว่ามองโลกความจริงดูบ้าง ไม่ใช้มุมกูอย่างเดียว
>>895 ไม่เห็นใจว่ะ จากเฉยๆตอนนี้กูรำแล้ว
กะจะขายแค่นักอ่านเก่าๆอย่างเดียวงั้นสิ ไม่คิดจะขายคนใหม่ๆแล้วหรือไง งี้อีก7ปีมึงพิมพ์ใหม่ มึงก็คิดงี้แล้วก็เพิ่มตอนพิเศษอีกตอนหรอ กลายเป็นสเปเชี่ยวอเวรี่เซเว่นเยีย?
มีแต่เขาคิดสมนาคุณให้นักอ่านดั้งเดิมที่ติดตามมาตั้งแต่คุณยังไม่มีใคร เกาะติดมาตั้งแต่ไข่ยังไม่ตั้ง วันนี้คุณเดินได้แล้วคุณกลับทิ้งนักอ่านกลุ่มนี้เหรอ
งี้ว.วินิจ ทม พนม ปิยะ กิ่งฉ ที่เขาพิมพ์ใหม่ไม่รู้กี่ครั้ง ทำไมเขาทำได้
ไม่ต้องมาเถียงว่าเขาดัง ยิ่งคนรู้จักงานเขาเยอะ มันหมายความว่าคนที่ซื้องานเก่าเขาไปก็ยิ่งเยอะ แล้วทำไมเขาขายได้
รู้จักเคสทางเทวดาเทวาวาดหรือเปล่า ตอนนั้นคนเขียนถึงกับคิดเพื่อคนที่เคยซื้อทางเทวดาเล่มเก่าที่ไม่สมบูรณ์ไป(ไม่ใช่ความผิดนักเขียนด้วย ความผิดสนพ.) ด้วยการเขียนเทวาวาด (ยาวกว่าทางเทวดา) กลายเป็นเล่มใหม่ ชื่อทางเทวดาเทวาวาด
คิดและทำเพื่ิอนักอ่านกลุ่มเก่ามากแค่ไหน ตรองดู
>>897 เขาทำเขาไม่ได้มองกลุ่มคนซื้อเก่านะ การตลาดเพื่อนโม่งรู้มั้ย ไม่ได้หวังยอดขายจากแฟนคลับเก่านะ
ตามหลักธรุกิจเขามองไปที่กลุ่มใหม่ที่ยังไม่เคยซื้อ หรือเคยซื้อแล้วหนังสือชำรุดเสียหายไป อันนี้คือกลุ่มใหญ่
สินค้ามาขายใหม่ มีที่ไหนไม่เพิ่มอะไรให้ดูแปลกไปบ้างหรือ
การตลาด การรอดทางธรุกิจ ไม่มีบทนักบุญ
นี่คือโลกความจริง ถ้าไม่เก็จก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
แถมยังไม่รวมเรื่องโดนสแกนอีก
เพื่อนโม่งคิดว่าหนังสือทั่วไปขายได้เท่าไร
หลักพันเองนะ หลักพันสองพันเล่มเอง
จำเอาไว้เพื่อนโม่ง
เงินกูน้อย กูไม่ซื้อนิยายทำมือแล้วว่ะ กูว่าซักวันมันก็ต้องมาขายสำนักพิมพ์ เปลี่ยนปก สวยกว่า เพิ่มตอนพิเศษ บางเรื่องราคาถูกกว่าอีก รอไปซื้อตอนนั้นเอา หรือถ้าไม่ทำ กูก็ถือว่าทุ่นไป กูไม่เสียตังซื้อก็ดีแล้วเหมือนกัน
นิยายไทยมีดีๆที่น่าจะคุ้มเงินกูไหม เรื่องที่กูชอบก็พวก จดหมายจากเมืองไทย อยู่กับก๋ง (และเรื่องอื่นๆของหยก บูรพา ที่มีก๋งในเรื่อง) สมัยนี้ยังมีนิยายระดับนี้ผลิตออกมามั่งไหมวะ
นิยายไทยดีๆ มันก็มีเยอะนะเพื่อนโม่ง แต่ถ้ายังมองหานิยายแนวที่ตัวเองคิดว่าดีผิดที่ผิดทาง ก็ยากจะมองเห็นว่ะ
>>902 แนวที่เพื่อนโม่งหา สนพ.มาทำตลาดในยุคนี้ บอกตรงเข้าเนื้อว่ะ
คนอ่านเน้นรัก ตบจูบ nc สนุกสนานเกรียนและซู รวมไปถึงวาย
ต้องบอกคนอ่านได้เลือกแนวที่จะทำให้ สนพ. จะอยู่รอดแล้ว
คนอ่านที่หาสาระเหลือน้อยลงเท่าหยบมือ
วงการหนังสือประเทศไทยถึงเป็นแบบนี้ไง
สรุปถ้าหวังและฝันโลกสวยมากไป สนพ. เจ้งวะ ตอนนี้คือยุคตลาดอยู่ในมือคนซื้อที่จะกำหนด แบบสะท้อนคุณค่าสังคมมากสอนให้คนดีงาม แต่กลายเป็นคนอ่านไม่สนันสนุน ผลงานต่อมาก็แพเท่านั้น
อ้อลืมไป
ยังพอมีที่บ้างที่ สนพ. ออกแนวนี้มาเพื่อให้ดูดีในวงการว่าเป็น สนพ. น้ำดีอยู่
แต่แบบนั้นคือเข้าเนื้อ บวก อีโก้ของบก.หรือมีสปอนเซอร์ดีที่ช่วยสนับสนุน โดยไม่สนยอดขายยอดพิมพ์
>>911 ที่จริงคือหวังให้มีชื่อและผลประสบด้วยนะเพื่อนโม่ง
ไหนๆ ก้พูดกันแล้ว
ในวงการพอจะรู้กันคือหนังสือไหนได้ซีไรต์
ผลที่ตามมาคือ ห้องสมุดทุกแห่งในประเทศไทย จะมีลิสรายชื่อหนังสือนั้นที่ต้องซื้อเข้าไปไว้ในห้องสมุดไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
สรุปเรื่องไหนได้รางวัล คือเกรียติยศและเงินก้อนโตของนักเขียนและสนพ. เลยทีเดียว
ยอดพิมพ์ระดับหลักหมื่นมีแน่ๆ หรือก็คือเบสเซอร์เลอร์ เพราะห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดดรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือห้องสมุดตามหน่วยงานต้องมีครอบครองกัน
หลังๆมากูรู้สึกว่างานซีไรต์อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง สู้งานสมัยแรกๆไม่ได้ ยิ่งไส้เดือนตาบอดนี่กูว่าให้เด็กอ่านมันจะไปสร้างนิสัยเกลียดการอ่านนิยายไปเลย
กูชอบซีไรต์ยุคแรกๆมากกว่าว่ะ อ่านสนุก ได้สาระ มีข้อคิดแฝงแบบเนียนๆ แต่ยุคหลังๆนี่...เหี้ยอะไรก็ไม่รู้ พยายามจะอาร์ต พยายามจะแหวกแนวแต่ไม่มีอะไรเลย แถมอ่านไม่รู้เรื่องอีก
คนเค้าเมาธ์กันว่า เป็นเพราะเอาอาจารย์มหาลัยมาเป็นกรรมการ กรรมการพวกนี้จะอ่านงานแบบพยายามตีความ งานที่ตีความยากๆ สิบแปดตลบ วกวนๆ จะโคตรชอบ บอกว่ามีกึ๋น
ผลก็คือ งานมันไม่ตอบสนองคนอ่านส่วนใหญ่ของประเทศ
>>917 กูว่ายุคแรกมันดีนะ คือทั้งอ่านสนุกและแฝงข้อคิด หลังๆมาเริ่มออกแนวอ่านไม่รู้เรื่องข้อคิดก็ไม่รู้จะสื่ออะไรคนอ่านตีความไม่ออก
ที่เหี้ยสุดคือไส้เดือนตาบอดนี่แหละ เขียนได้อ่านไม่รู้เรื่อง แถมคนเขียนให้สัมภาษณ์ว่าจั้งใจเขียนแบบงงๆให้คนอ่านจดจ่อกับงานตัวเอง แม่งเอ้ยกรรมการที่ให้รางวัลคงรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าเลยว่ะ แบบเอาตีนเขี่ยๆส่งงานแล้วกรรมการมองว่าเออดีเข้าใจอยากแบบนี้ต้องตีความเยอะสมควรได้รางวัล
ตลิ่งสูงซุงหนัก เป็นซีไรต์ที่ใช้ภาษาบ้านๆ เนื่อเรื่องก็ไม่ยาวเล่าเรื่องคนกับช้าง ปีนั้นกูว่าแม่เบี้ยเด่นกว่าเยอะ ทั้งภาษาทั้งพล็อต แต่ตลิ่งสูงชนะรางวัล กูว่าปีนั้นกรรมการคงเน้นความเรียบง่ายแต่สื่อได้ตรงไปตรงมา พอมาอ่านไส้เดือนแล้วกูแอบคิดในใจว่ากรรมการเบื่อนิยายแบบเรียบง่ายเลยให้รางวัลนิยายแหวกแนวที่สุดของปีนั้น
>>895 ใครมันคิดรายได้อย่างนั้นว่ะมึง นี่มึงกะว่าหนังสือเล่มเดียวมึงจะขายตลอดชาติไม่ทำอย่างอื่นไม่เขียนเล่มใหม่หรือไงว่ะ ถ้ามึงจะคิดเป็นรายได้ต่อเดือน มึงต้องคิดหนังสือที่มึงเขียนทุกเล่มรวมกันในช่วงนึงมาหารเวลาโว้ย แต่ถ้ามึงเขียนเรื่องเดียวขายเรื่องเดียวมึงก็ไม่ใช่นักเขียนอาชีพป่ะวะ รายได้แบบนั้นกูว่าเหมือนได้โบนัสมากกว่าไม่ใช่รายได้หลัก
ไม่มีตอนพิเศษไม่มีคนซื้อ...ถ้ามึงเขียนเรื่อย ๆ มีแฟนคลับใหม่ ๆ เขาก็ต้องตามเล่มเก่าที่ยังไม่มีรึเปล่าว่ะ เติมตอนพิเศษเพื่อดึงนักอ่านเก่ามาซื้อซ้ำกูโคตรไม่ชอบว่ะ อ่านก่อนนานกูไม่เห็นว่าเป็นกำไร ในเมื่อมันมีของใหม่กว่าครบกว่ามาให้กูเจ็บใจภายหลัง
โลกความจริงของมึงมันไม่ตรงความจริงว่ะ คิดถึงรายได้จากหนังสือเล่มเดียวบอกว่ารายได้ต่ำ ไม่ได้รวมรายได้ทุกทางมันจะเรียกรายได้ได้ยังไงว่ะ ขนาดชาวนาหมดหน้านายังต้องเข้าเมืองมาหางาน ไม่ก็เลี้ยงควาย เลี้ยงปลา เพาะเห็ดฟางกันเลย
>>920 นักเขียนทั่วไปไม่ใช่บิ๊กเนม เพื่อนโม่งว่าปีหนึ่งได้โอกาสออกกี่เล่ม
บางคนมีปัญหาเรื่องคิดพล็อตเขียนออกมา บางทีก็เป็นปีๆ จึงเขียนจบได้หนึ่งเล่ม
ที่เปรียบนี้รู้ไหมว่าตลาดนักเขียนเป็นยังไง
กลุ่มบิ๊กเนมครองตลาดไปมากกว่า 70-80% กลุ่มนี้มีนักเขียนรวมกันไม่เท่าไร
แต่ตลาดที่เหลือส่วนน้อย นักเขียนจำนวนมากมายหลายสิบเท่าต้องแก่งแย่งตบตีแย่งยอดขายกัน
อย่ามองแต่บิ๊กเนมไม่กี่คนสิ
โลกความจริง ระดับนักเขียนทั่วไปต่างหากที่ยากลำบาก บางคนออกงานได้แค่เรื่องสองเรื่อง ก็โดนเทลอยแพแล้ว เพราะยอดไม่เดิน
อย่าโลกสวยคิดว่านั่นของเก่าเก็บมาหากินอีก แล้วก็เขียนเรื่องใหม่ขึ้นมาสิ ไม่ใช่นักเขียน เพื่อนโม่งไม่เข้าใจหรอกว่าเล่มหนึ่งนี่มันเขียนออกมาได้ยากขนาดไหน
มีชื่อแล้วก้ดีไป แต่นักเขียนส่วนใหญ่ไม่ใช่ยังนั้นที่จะเขียนได้ปีหนึ่งหลายเล่ม
เพื่อนโม่งต้องมีมุมมองมาระดับทั่วไปบ้าง ไม่ใช่อัตตากูอย่างเดียว
>>921 อัตตาอะไร ประเด็นกูคือถ้ามึงเขียนได้น้อยขนาดนั้นมึงไม่ใช่นักเขียนอาชีพที่หากินกับการเขียนอย่างเดียวป่ะ มึงต้องมีรายได้ทางอื่น ซึ่งต้องเอามารวมเป็น "รายได้" ด้วย หรือว่ามึงเขียนไม่ออกมึงก็นอนอยู่บ้านตีพุงจนกว่าจะเขียนออก โดนลอยแพมึงก็ไม่คิดทำอย่างอื่นขายของเก่ากินอย่างเดียว? ถ้าทำอย่างนั้นก็อดตายป่ะวะ
>>921 มึงย้อนแย้งแล้วมั้ง ถ้าไม่ใช่บิ๊กเนม ใครเค้าจะเอาหนังสือมึงมาพิมพ์ซ้ำๆ แล้วเพิ่มตอนพิเศษเอาล่ะ เค้าก็เทมึงไปตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกแล้ว พวกที่เอามาพิมพ์ซ้ำก็มีแต่เรื่องที่ขายดีๆ ทั้งนั้นแหละ อยู่ที่การตลาดสนพ ว่าแม่งจะใช้วิธีเพิ่มตอนพิเศษหรือเปลี่ยนปกด้วยมั้ย จะนักเขียนดังไม่ดังเค้าก็พยายามเขียนเรื่องใหม่กันทั้งนั้นแหละ ยิ่งถ้าคิดจะยึดการเขียนเป็นอาชีพ จะช้าจะเร็วมันก็ต้องเขียน ไม่มีสนพ ไหนเค้ารอเป็นปีๆ ให้มึงเขียนจบซักเล่มก่อนแล้วค่อยตีพิมพ์ของมึงหรอก ถ้ามึงไม่ดังจริงใครเค้าจะมั่นใจได้ว่ารอแล้วจะขายดีมั้ย ไปหางานคนอื่นที่ขายได้แน่ๆ มีต้นฉบับพร้อมแล้วมาตีพิมพ์ขายไม่ดีกว่ารึไง
ปัญหามันอยู่ที่ว่าถ้าสนพ มันไม่คิดจะหาเรื่องใหม่มาตีพิมพ์เลย (จะนักเขียนหน้าเก่า ชื่อดัง หน้าใหม่ อะไรก็ช่างแม่งเหอะ) แล้วมาวนเวียนอยู่กับการตีพิมพ์เรื่องเก่าที่ขายได้อยู่ซ้ำๆ สุดท้ายหนังสือแม่งก็จะขายไม่ออก จมอยู่ในคลังอยู่ดี คนที่คอยตามซื้อฉบับพิมพ์ใหม่ซ้ำๆ แม่งจะมีกี่คน ยิ่งเป็นหนังสือเก่ามีมานานแล้วคนก็ยิ่งมีโอกาสอ่านกันไปแล้วเยอะ ถ้าสนพ ยังไม่คิดดจะแก้ปัญหาตรงนี้ก็ทำใจยอมรับปัญหาที่จะตามมาได้เลย
>>922 เด็กน้อย มึงพูดง่ายดีนะ
นักเขียนที่ยึดเป้นอาชีพคือพวกบิ๊กเนม
ส่วนนักเขียนทั่วไปเขาไม่คาดหวังว่าจะยึดเป็นอาชีพหลัก เขารู้ดีกันอยู่แล้ว เพราะมันไม่พอค่าดำเนินชีวิตประจำวันจำได้หรอก
มึงก็รู้ดีนี่
แล้วทำไมพอเขารีไรท์ออกมาขายใหม่บ้าง จึงมาบ่นแบบเด็กอนุบาลไร้สาระแบบนี้
นั่นก้เพราะมึงไม่พอใจเรื่องอะไรของมึงใช่มั้ย กูถึงเน้นว่าโลกความจริง ซึ่งมึงก็รู้ว่านักเขียนนี่รายได้ต่ำขนาดไหน เขาจึงต้องทำแบบนี้
คำตอบมันอยู่ในข้อความที่มึงเขียนมานี่แหละ
โลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า "หนังสือทำมือ" อยู่นะเพื่อนโม่ง
นักเขียนส่วนนึงที่ไม่ใช่ตัวแม่ของสนพ. เลาเค้าเอางานเก่ามารีไรท์ขาย เขาก็ทำมือกัน เพราะมันมีเปอร์เซนต์น้อยที่สนพ.จะอยากเอาไปตีพิมพ์ซ้ำ
>>926 กูว่าไม่มีใครพูดเลยนะว่าวงการหนังสือมันสวยหรู มึงจะบอกว่ามึงลำบากเลยจะทำอะไรก็ได้ให้ได้ตังมากขึ้นก็แล้วแต่มึงเลยจ้า กูก็็แค่ไม่ซื้อ
แต่กูอยากจะบอกว่ามีหนังสือหลายเรื่องมากที่กูอยากซื้อ แต่กูไม่ซื้อ กูรอรีไรท์ เพราะฉะนั้นกูก็ไม่รู้นะว่าที่มึงรีไรท์ เติมตอนพิเศษกันมากๆ เนี่ยมันจะทำให้มึงมีรายได้มากขึ้นเพราะคนซื้อเบิ้ล หรือตายไปตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกเลยเพราะคนรอฉบับสมบูรณ์แบบกู
>>929 เห็นมึงบ่นแต่เรื่องไร้สาระ แบบไม่เคยรู้โลกความจริง กูก็ช่วยกระตุกความคิดมึงเท่านั้น
งานนักเขียน เขาภูมิใจในงานของตัวเองกันทั้งนั้น
มันเป็นสิทธิที่เขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรในผลงานของเขาขึ้น
ความจริงเขาขายผลงานได้ก็ถือว่ามึงที่ช่วยซื้อหนึ่งเล่มก็พอเหมาะกับราคาที่จ่ายแล้ว
ถ้ามัวแต่คิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบอยู่แบบนี้ ในเรื่องนิยาย
กำไรของความสนุกและบันเทิงของมึงจะมีแต่ขาดทุนลงเรื่อยๆ
>>930 ทำไมกูว่ามึงลากออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แล้ววะ ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ ตกลงมึงเข้าใจประเด็นที่คนอื่นเค้าจะสื่อจริงๆ ใช่มั้ย ไม่มีใครบอกว่าวงการนี้มันสวยหรูดูดี แม่งก็ธุรกิจดีๆ นี่เอง ใครๆ ก็รู้ ไม่ได้มีใครคิดจะเอาเปรียบนักเขียนด้วยซ้ำ มึงบอกนักเขียนมีสิทธิ์ขาย จะขายซ้ำก็มีสิทธิ์ ก็ไม่มีคนเถียงไง เค้าไม่ได้พูดว่ามีหรือไม่มีสิทธิ์ เค้าก็แค่รู้สึกว่าการที่สำนักพิมพ์ (หรือจะอีบุ๊ค จะทำมืออะไรก็ตาม) เอาหนังสือเรื่องเดิมมาพิมพ์ซ้ำแล้วเพิ่มตอนพิเศษเข้าไปเรื่อยๆ มันไม่แฟร์กับคนซื้อที่ซื้อตั้งแต่รอบแรกๆ และในฐานะ "คนซื้อ" กูมีสิทธิ์บ่น
ถ้านักเขียนปล่อยงานไม่สมบูรณ์ออกมา จนต้องมารีไรท์ให้มันดีขึ้นในรอบหลัง ก็ถูกแล้วที่คนอ่านจะรอรีไรท์หรือไม่ก็ไม่ซื้อเลย งานไม่สมบูรณ์แบบมึงกล้าปล่อยออกมาหาเงินเข้ากระเป๋าได้ยังไง ดูถูกคนอ่านเกินไปรึเปล่า
กูคนนึงละที่ถ้ามีหนังสือเล่มนั้นแล้ว ต่อให้นักเขียนรีไรท์ไปพิมพ์สนพ.ใหม่ปกใหม่กูก็ไม่มีทางซื้อว่ะ กูเป็นผู้บริโภค กูจะบ่นจะด่าใครจะทำไม
กูเสียตังซื้อนะจ๊ะ มึงเขียนหนังสือหาเงินไม่ได้แล้วเกี่ยวอะไรกับกูวะ กูแค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดที่กูพอใจให้กับตัวเอง
ปล. กูไม่ใช่พวกที่ไปบอกให้นักเขียนเปลี่ยนพล็อตนะจ๊ะ อันนั้นก็เกินไป
บ่นได้ไม่มีใครว่าหรอก แต่มันลากยาวเหมือนไม่รู้เหตุผลของอีกฝ่าย เอาเป็นความจริงคนส่วนใหญ่รู้ว่ามีสิทธิของตนก็แล้วกัน (ทั้งสองฝ่าย)
ส่วนเรื่องนี่กูแทรกประเด็นอะไรนิด ไม่ได้เถียงความคิดเห็นของเพื่อนโม่งนะ บอกก่อน
เรื่อง
นิยายเรื่องเดียวจบ เพื่อนโม่งคิดเห็นยังนี้ไม่ค่อยกระทบเท่าไร เพราะถือว่าหนึ่งเล่มจบ
แต่ถ้าเป็นเรื่องยาว ความคิดแบบนี้แหละกระทบมากที่สุดในเรื่องนั้นๆ
เพราะเล่มต่อจะออกมาได้ไม่ได้ก้เพราะเรื่องยอดขายเป็นสำคัญ
กูเห็นมาเยอะมาก ที่จู่ๆ เรื่องยาวนั้นก็ถูกแพกันตั้งแต่เล่มแรกๆ แล้วคนอ่านที่ซื้อก็บ่นต่อว่า สนพ.
ทั้งๆ ที่ปัญหาเกิดขึ้นที่เรื่องยอดขาย ผลคือแพไปในเรื่องยาวนั้น เพราะความคิดที่อาจรอให้จบก่อน รอให้มีบ็อก รอรู้เรื่องตอนท้ายที่จบว่าตรงใจไหม บราบรา
ซึ่งมันกลายเป็นทำให้เรื่องยาวๆ นั้น ถูกแพหรือตัดจบ ลงอย่างรวดเร็ว
อันนี้เป็นสิทธิที่นักเขียนอยากบ่นเหมือนกัน
>>934 ถ้าเรื่องมันยาวทำไมไม่เขียนให้จบก่อนค่อยส่งสนพ. หรือพิมพ์เอง คนอ่านยุคนี้กูว่าชอบซื้ออะไรที่มันจบแล้วนะ ออกมาทีละเล่มมันไม่มีหลักประกันว่าจะจบเมื่อไหร่ ที่กูเคยเห็นไอ้เรื่องยาวๆ พอดขียนไปได้จุดหนึ่ง นักเขียนออกมาประกาศแจ้งหยุดอัพ ติดเรียน ติดทำงาน จะรีไรท์ใหม่ ติดนู่นติดนี่ แล้วก็หายไปกับสายลม บางคนกลับมาบอกจะอัพก็ไม่อัพเพราะไม่ได้แตะนานคงเขียนไม่ออก เป็นนักเขียนนี่ต้องมีวินัยประมาณหนึ่งแหละ เห็นสมัยนี้เปิดเรื่องพร้อมกันหลายเรื่อง ไม่จบซักเรื่อง
>>934 เดี๋ยวนะ กูเริ่มไม่เข้าใจมึงละ ความคิดแบบนี้ หมายถึงความคิดแบบไหนอะ ที่มีโม่งบอกรอซื้อทีเดียวยกเซ็ตน่ะเหรอ อันนี้ปัญหาเกิดจากอะไร เกิดจากเรื่องยาวแล้วทยอยพิมพ์ พอยอดไม่สูงสนพ ก็ลอยแพ ? หรือว่าพิมพ์เล่มแรกๆ ซ้ำแล้วเพิ่มตอนพิเศษ ? ถ้าแบบแรก อันนี้กูเห็นใจนักเขียน เป็นนักอ่านเจอเรื่องที่ตัวเองตามถูกลอยแพไปหลายเรื่องละ กูก็เซ็งเหมือนกันแหละ กรณีนี้แม่งขึ้นอยู่กับสนพ ล้วนๆ ไม่มีใครเค้าว่านักเขียนอยู่แล้วมั้ง มีแต่คนเห็นใจ
แต่ถ้ามันเป็นกรณีที่พิมพ์มาครั้งนึงแล้วมีการแก้หรือเพิ่มตอนพิเศษ ถ้าสนพ ทำบ่อยๆ เข้า คนก็ไม่ซื้อ รอซื้อรอบรีไรท์ทีเดียว ก็เลยกลายเป็นว่าไม่มีให้ซื้อไปเลยเพราะสนพ เห็นว่ายอดน้อยเลยไม่แก้ .. อันนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนอ่านแล้วมั้ง ก็ถ้ารู้ว่าเดี๋ยวแม่งต้องมีฉบับปรับปรุง ใครจะรอซื้อฉบับเก่า ที่ไม่รู้ว่าผิดถูกเยอะแค่ไหน พอแก้แล้วจะต่างจากเดิมยังไงบ้างหรอกมั้ง มึงคงต้องไปเคลียร์กับสนพ เองแล้วแหละ
ยังไงสนพ ก็ควรจะทำให้มันออกมาดีตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาสได้ตีพิมพ์ใหม่แล้วถือโอกาสนั้นแก้ไขคำผิด เปลี่ยนหน้าปกไปในตัว อันนี้กูโอเค แต่ยังไงๆ กูก็มองว่าถ้าปรับปรุงใหม่แล้วเพิ่มตอนเข้าไปมันไม่แฟร์กับผู้บริโภคเก่าๆ ว่ะ ขนาดสนพ วายบางที่ยังพิมพ์ออกมาเป็นเล่มพิเศษแยกได้ นักเขียนทำมือบางคนก็ทำได้ แล้วทำไมสำนักพิมพ์ใหญ่จะทำไม่ได้มั่งล่ะ
ไม่ชอบที่บอกว่านักเขียนหิวเงินเลยว่ะ นักเขียนไม่ได้กินลมเป็นอาหารนะมึง
ถ้านักเขียนรักอาชีพนี้จริง ต่อให้ไม่มีคนอ่านหรือซื้อหนังสือของตัวเอง ก็ไม่มาบ่นอย่างนี้หรอก ที่บ่นเพราะอยากได้ผลตอบแทนจากสิ่งที่ตัวเองคิดขึ้นมามากกว่า กูถึงถามว่าทำไมถึงเขียนหนังสือเป็นอาชีพหลัก แทนที่จะเขียนเป็นอาชีพเสริม ขายไม่ได้ยอดไม่ดีก็ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเครียดด้วย
นอกเรื่องแป๊ป ขอบ่นหน่อย..
เดี๋ยวนี้เห็นแอดมินเพจสนพ.ไม่มืออาชีพเท่าไหร่ กุล่ะเพลียและเซ็ง
ในโพสขาย รายละเอียดหนังสือไม่ชัดเจน กุก็แค่สงสัย ตอบกลับมาแค่ใช่จ้าก็จบแล้ว ทำไมต้องพูดแนวย้อนด้วยคำถามด้วยวะ? มันไม่หยาบ เออ แต่คนฟังรู้สึกไม่ดีโว๊ยยยยยยยยย
จากตอนแรกกุลังเลจะซื้อดีมั้ย แอดมินทำกุเสียรมณ์ กุไม่ซื้อแม่งแล้ว โว๊ยยยยยย หงุดหงิดดด
ปล. แอดมินสนพ.ไหนน่ารักบ้าง กุชอบ sic, enter กับนายอินทร์ กุว่าแอดตลกแบบไม่เฟคดี
นักเขียนที่ลงทะเบียนเสียภาษีอย่างถูกต้องมีประมาณ 3000 กว่าคนในประเทศนี้
นักเขียนมืออาชีพที่ปีหนึ่งมีผลงานออกหลายเล่มได้ มีไม่กี่สิบคน
นักเขียนใจรักในงานตัวเองทุกคน ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง แต่ปัจจุบันพวกกินอุดมการณ์เป็นข้าวเหลือไม่เท่าไร
สังคมเศรษฐกิจมันบีบขนาดไหน ถ้าทำงานหาเงินเองแล้วจะรู้
นักเขียนที่มีรายได้หลักจากงานเขียนเพียวๆ แทบนับหัวคนได้
=== นักเขียนทั่วไปเขาทำเป็นอาชีพเสริม ทุกคนรู้แก่ใจดี เพื่อนโม่ง ไม่ต้องบอกเรื่องนี้===
เพื่อนโม่งเคยเห็นการ์ตูนล้อเรียนเรื่องนักเขียนยอม สนพ. เขียนฉากตบจูบ nc ว่าเป็นสุนัขไหม เพราะต้องการรายได้
เมื่อก่อนกูก็ว่า เอ้อ มันจริงว่ะ เขาเขียนล้อได้ดี
แต่พอเข้ามาวงการนี้จริงๆ มึงไม่ยอมมึงก็ไม่ได้ออกงานมีเงิน (ไม่มีใครอิ่มทิพย์ได้) มันเจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจเมื่อนึกถึงการ์ตูนนั้น
คนเราไม่ใช่แค่นักเขียนเท่านั้น
เงินจากรายได้หลักแทบไม่พอใช้กันแล้วในสมัยนี้ ส่วนใหญ่คาดหวังมีเงินจากงานเขียนเล็กน้อยกันทุกคน
ผลที่รูปธรรมที่เห็นชัด
ก็หนังสือที่วางขายนั่นแหละ ขายดีที่สุดก็รักตบจูบมีฉากเยิ้มกัน ที่บางคนบอกว่าเป็นขยะ แต่เสือกขายดิบขายดีตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป
โลกนี้มันโหดร้าย ประเภทเพ้อฝันว่านักเขียนต้องให้อะไรสังคม ทุกคนคาดหวังกันจริงจังแต่ไม่อุดหนุนเท่าไรเลย
มีบางคนเท่านั้นที่เขียนออกมาได้รับการยอมรับแต่นับรายชื่อได้เลย
นักเขียนปกติ บอกตรง ว่ายากแบบหืดขึ้นคอ บวกสังคมเศรษกิฐตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
สนพ. เจ้งไปเท่าไร นิตรสารปิดไปเท่าไร
คนอ่านที่ซื้อตอบให้ได้หมดแล้ว
>>941 นักอ่านก็ทำงานหาเงินเอง เสียเงินกินข้าวเหมือนกัน อย่าคิดว่าพวกมึงลำบากเป็นอยู่คนเดียว เมื่อพวกมึงเขียนงานให้เขารู้สึกว่าไม่คุ้มที่เขาต้องจ่ายก่อน รอverสมบูรณ์ดีกว่า เขาก็ไม่ซื้อมึงหรือรอซื้อทีหลัง มันก็ส่วนนึงของโลกความจริงที่ว่าโหดร้ายนั่นแหละ นักอ่านไม่มีหน้าที่มาช่วยเงินค่าข้าวพวกมึงหรอก
>>941 แล้วยังไงอ่ะมึง อะไรไม่แกร่งพอก็ต้องหายไปเป็นธรรมดา ไม่เห็นมีอะไรให้เห็นต้องใจนักเขียน ตลาดหนังสือกว้างจะตายห่า ยิ่งคนได้หลายภาษายิ่งกว้าง กูจะมาอะไรกับนักเขียนไม่กี่คนบนโลกวะ บอกไว้เลยว่ามึงจะไม่เขียนหนังสือ ไม่ขายหนังสือก็เรื่องของมึง มีคนแทนมึงได้อีกเยอะ อย่าสำคัญตัวผิด คหสต.
โคตรตลก โคตรวงจรอุบาทว์ 555555
>>942 ถึงได้บอกไง มึงบ่นได้ นักเขียนก็บ่นได้ เพราะไม่มีใครอิ่มทิพย์ด้วยกันทั้งนั้น
โลกนี้ต่างต้องทำมาหากินด้วยกันทั้งนั้น อย่างหวังกินอุดมการณ์
ขึ้นอยู่กับความพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย มึงบ่นว่าไม่อยากซื้องานรีไรท์ นักเขียนก็บ่นว่านี่สิทธิของตรู
เข้าใจในผลประโยชน์แล้วใช่มั้ย
สรุปพอใจก็ซื้อไป ไม่พอใจก็บ่นมา แต่นักเขียนก็คนที่ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน ถ้าไม่ทำก็ไม่มีรายได้กิน
>>939 เดี๋ยวนะ ย้อนแย้งมาก อะไรของมึง สมมติคนเป็นแอร์โฮสเตท รักอาชีพแอร์ แต่สวัสดิการไม่ดีเหี้ยๆ ลูกค้าสารเลวไม่พอใจสั่งให้กราบ ไม่พอใจท่าเดินท่ายิ้มมึงก็นั่งติ แอร์ที่ภูมิใจในอาชีพต้องทำไงคะ กราบลูกค้าแล้วยิ้มเชิดหน้าทำงานต่อไปโดยไม่รู้สึกใดใดเหรอวะ โอ้พระสงฆ์ นี่มันตรรกะเหี้ยอะไร
แค่พูดว่าอาชีพก็ต้องเป็นสิ่งที่ทำมาหาได้เลี้ยงครอบครัวได้แล้ว มึงจะให้อาชีพหนึ่งๆ รักษาภาพในแบบที่มึงต้องการสักแค่ไหนกันเชียว คนเหมือนกันนะมึง มึงบ่นได้คนอื่นก็บ่นได้หรือเปล่า กูว่าอันนี้เริ่มไม่เป็นธรรมแล้วว่ะ อย่าคิดแทนกันจะดีที่สุดนะ
กูสรุปให้
นักเขียน อยากได้เงินจากนักอ่านคนเดิม มึงควรเขียนเรื่องใหม่
ไม่ใข่เอาเรื่องเดิมมารีไรท์ เปลี่ยนปกเพิ่มตอนแล้วคาดหวังให้คนซื้อคนเดิมมาซื้ออีก
อย่าตอแหลว่าไม่ได้อยากให้คนเดิมซื้อ อยากได้คนใหม่ซื้อ เพราะถ้าเป็นงั้น มึงไม่ต้องเพิ่มตอนพิเศษก็ได้
จบนะ
>>943 โลกมันคัดเลือกผู้อยู่รอดให้อยู่แล้วเพื่อนโม่ง
นักเขียนรู้กันดี ไม่มีการสำคัญตัวทั้งนั้น ถ้านักเขียนแบบนั้นก็รอวันเจ็บได้เลย นักเขียนรู้ดีเข้าไส้ว่ะ
ตลาดหนังสือในไทยไม่ได้กว้าง บก.สนพ.รู้จักกันหมด
พวกหือหรือมีเรื่องมาก ก็จะรู้กันไปทั่วสนพ.ทุกที่
สรุปว่านักอ่านเรื่องเยอะ กว่าคนเขียนมากกว่า นักเขียนที่งานขายไม่ได้
เขาก็รู้ตัวไปทำงานอย่างงานกันหมดแหละ เขียนเป็นงานอดิเอกที่หาเงินค่าน้ำค่าไฟกัน
>>941 มึงคือคนเดียวกันกับข้างบนๆ ที่ผ่านมาทั้งหมด ใช่มั้ย ?
คือกูก็เข้าใจอะนะว่าอาชีพนักเขียนมันก็ค่อนข้างปากกัดจีนถีบพอสมควร ต้องตบตีกับสนพ กับคนอ่าน บางทีก็ตบตีกับตัวเอง อยากอธิบายให้คนเข้าใจมุมมองของตัวเอง ได้ ไม่ผิด แต่ก็อย่าลืมว่ามึงก็ต้องมองจากมุมอื่นเหมือนกัน
มึงมองว่าสนพ กับนักอ่านบีบมึงให้ต้องเขียนตามที่ตลาดอยากได้ ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ แต่โลกความจริงที่โหดร้ายกว่าที่มึงดราม่าคือ "ถ้ามึงความสามารถไม่พอ มึงก็จมไป" มันไม่ใช่ว่ามึงต้องยอมเพราะไม่งั้นมึงจะไม่ได้เงิน ที่มึงต้องยอมเพราะมึงความสามารถไม่ถึงรึเปล่า มึงยอมเพราะอยากได้เงินเยอะขึ้นเองรึเปล่า ถ้าคิดว่าสนพ ที่อยู่ตอนนี้ไม่สามารถตอบโจทย์มึงได้ ทำให้มึงเขียนแบบที่ต้องการไม่ได้ งั้นมึงก็ต้องหาที่ใหม่ที่เหมาะกับมึงมากกว่า ถ้ามึงไม่หา ไม่ยอมเปลี่ยน มึงก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนตอนนี้นั่นแหละ
สนพ เดี๋ยวนี้มีเยอะแยะ หนังสือทำมือ ลงอีบุ๊คอีกเพียบ ถ้ามึงไม่สามารถถีบตัวเองขึ้นมาได้ มึงจะบอกว่าโลกนี้มันโหดร้ายอย่างเดียวไม่ได้มั้ง
กุกำลังนึกภาพ สมมติ แฮร์รี่ รีปริ๊น เพิ่มตอนพิเศษท้ายเล่ม ทุกเล่ม จะเป็นไง
กุว่างานสเแกนจะเฟื่องฟูมาก
แต่ถ้านักเขียนที่เอาต้นฉบับที่หมดสัญญาแล้ว มารีไรท์เพื่อพิมพ์ใหม่เอง อันนี้กุว่าทำได้นะ
เพราะนักเขียนเอาต้นฉบับ ที่ บก. รีไรท์มาพิมพ์ไม่ได้ มันเป็นของ สนพ. ต้องใช้ตัวออริ
แต่อย่าไปเพิ่มตอนพิเศษบ้าบออะไร
>>950 ใช่เลย
บอกให้รู้อีกว่า บก.สนพ.นี่โลกมันแคบว่าที่มึงคิด
นักเขียนทำอะไรไว้ทุกที่จะรู้หมด
และกูก็พยายามอธิบายให้เข้าใจถึงความจริง แต่เหมือนยังเถียงไปเรื่อยๆ
ทั้งๆ ที่มันแค่ พอใจก็ซื้อ ไม่พอใจก้บ่น
แต่นักเขียนเขาก็มีสิทธิบ่นเหมือนกันใช่มั้ย และเขารู้ดีในช่องการขาย ทั้งทำมือ ลงอีบุ๊ก
แต่ประเด็นมันก็กลับมาอยู่ที่กูจะบ่นในเรื่องงานรีไรท์ว่าเอาเปรียบกู ตามความเห็นที่ผ่่านมา ซึ่งตรรกะมันป่วยมาก
มองแคบไปป่ะวะ ที่มองว่าคนเขียนรีไรท์ เพิ่มตอนพิเศษ คือ อยากได้เงินจากลูกค้าเก่า
ไม่มองว่าเขาทำเพื่อความสมบูรณ์ของนิยายมั่งเหรอวะ มึงจะเอาตรรกะนี้มาอธิบายครอบคลุมไปทั่วทั้งวงการไม่ได้ ของแบบนี้เคสบายเคส สรุปแบบนี้โคตรไม่เป็นธรรม
ที่บอกว่า ถ้ารู้ว่ามันไม่พอแดก ได้เงินน้อย แล้วมาทำทำไม โอ้ยยยยยยย กูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนักเขียนอาชีพพอดังแล้วเลิกแปะนิยายในเน็ต กูเข้าใจแล้วจริงๆ
ก็เพราะมันมีคนประเภทไม่ช่วยห่าอะไรยังบั่นทอนจิตใจเยอะไงล่ะ ความเข้าใจเหี้ยอะไรไม่มีเลยสักนิด แต่อันนี้กูเข้าใจนะ คนไม่เคยยืนอยู่จุดเดียวกันจะให้เข้าใจมันก็ยาก
คนเขียนแม่งต้องสตรองเบอร์ไหนคะนั่น ลงเว็บทีก็ต้องเจอปัญหาคนอ่านจะอ่านฟรี พอลบเรื่องหลังลงจบแบบลบไวเกินไปปลิงอ่านไม่ทันก็โวย งอแง ถ้าลงช้าปลิงไม่ทันใจก็มาดราม่าใส่ ลงจบยอดขายก็ตกเพราะต่อให้เล่มมีตอนพิศษพวกคนอ่านที่ถือว่า "กูอ่านจบแล้ว" บางทีกูก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วพวกประเภทนี้แม่งไม่สนใจกันหรอกว่าคนเขียนจะทำห่าอะไรยังไง ไม่ใส่ใจหรอกว่าจะรีไรท์ จะเพิ่มตอนพิเศษอะไรไหม สุดท้ายก็ไม่สนใจเหี้ยอะไรนอกจากของฟรีไม่ใช่เหรอวะ
กูยิ่งอ่านที่เพื่อนโม่งสายแอนตี้คนเขียนรีไรท์แบบสุดตรีนเขียนมาแล้ว กูยิ่งรู้สึกว่าบางทีก็ตรรกะเหี้ยพิสดารเกินไป นี่เจตนายั่วยุคนเขียนที่สิงตัวอยู่ในนี้หรือคิดแบบนี้จริงๆ วะ(ไม่ว่ามึงจะคิดแบบไหนก็น่าสงสารคนเขียนว่ะ) ไม่แข็งแกร่งก็แพ้ไปเหรอวะ โอ้ย พระเจ้าช่วย เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น มึงใช่เพื่อนโม่งที่พยายามพูดมาตลอดว่าซื้อเวอร์ชั่นแรกโน่นนี่นั่นป่ะวะ ถ้าใช่ ตกลงที่สร้างภาพว่าเป็นนักอ่านจ่ายเงินซื้อมาตลอดนี่แจกสตอเบอรี่เหรอวะ จริงๆ แล้วมึงไม่ได้มีปัญหากับคนเขียนที่รีไรท์เพิ่มตอนใช่ไหม มึงแค่อยากด่าป่ะวะ? อ่านข้อความหลังๆ แล้วแม่งยิ่งส่อ มึงบอกให้คนเขียนซื่อสัตย์กับตัวเอง มึงก็ซื่อสัตย์กับตัวเองหน่อยเว้ย
>>956 ไม่ใช่กูที่มาบ่นคนแรก แต่หลังจากนั้นกูอ่านอยู่ตลอด ในนี้ไม่มีล็อคอิน มึงไม่ต้องพยายามเดาหรอกว่าใครเป็นใคร มาเม้าในนี้ก็เพราะไม่อยากแสดงตัวตน มึงจะมาจงเกลียดจงชังอะไรในเมื่อทุกคนเข้ามาเป็นโม่งก็อยากระบายทั้งนั้น กูว่ามึงมาด่าแบบนี้เกินไปว่ะ แปลว่ากูเริ่มบ่นคนแรก ความเห็นต่อๆ มาจะเป็นกูคนเดียวสินะ??? มึงเอาไรคิด มึงต่างหากที่อคติ แล้วที่กูอ่านๆ มาตลอดนี่โม่งคนอ่านหลายๆ คนก็พูดเหมือนใจกูเป๊ะๆ เลย มึงก็คงคิดว่าเป็นกูอีกสิที่มาตอบ
อย่าสวมหัวโขนเลยว่าฝ่ายนี้ต้องเป็นอุดมคติอะไรแบบนี้
นักเขียนก็คนธรรมดา นักอ่านก็คนธรรมดา
เพราะนักเขียนก็เป็นคนอ่านเสมอ คนอ่านบางคนมีไฟก็ลุกขึ้นมาเขียนเป็นนักเขียนได้เสมอ
>>952 >>952 กูกำลังพยายามทำความเข้าใจมึงอะ นั่นคือเหตุผลที่กูกำลังเถียงกับมึงอยู่ .. เออ แปลกๆ ว่ะ แต่กูคิดแบบนั้นจริงๆ นะ มึงมองว่ากูไม่รับฟังก็ได้อะ เพราะที่มึงบอกว่า ตรรกะป่วยมาก ก็แสดงว่าตอนนี้มึงก็กำลังทำแบบเดียวกัน
กูว่าตั้งแต่ต้นที่กูบ่นเรื่องตีพิมพ์ใหม่มา กูไม่เคยว่านักเขียนเลยนะ กูมองว่าเป็นปัญหาที่สนพ ล้วนๆ แล้วถ้ากูมองว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโถคนี่มันผิดตรงไหนวะ ตัดเรื่องการรีไรท์แล้วแก้คำผิดหรือเปลี่ยนหน้าปกออกไปนะ แก้คำผิดก็ดีแล้ว เป็นการปรับปรุงผลงาน เปลี่ยนปก อันนี้ก็ความพอใจส่วนบุคคลว่าอยากจะเก็บปกใหม่มั้ย มันเลือกได้เพราะเนื้อหาเหมือนเดิม แต่ เฮ้ย ถ้าเพิ่มตอนล่ะ มึงอาจจะบอกว่าก็เท่าเทียมสิ กูได้อ่านก่อน... อ้าว เดี๋ยวนะ ถ้าตอนนั้นกูรู้ว่ามันจะมีฉบับเพิ่มตอนพิเศษมา กูอาจจะรอก็ได้นี่หว่า ในเมื่อตอนนั้นมันไม่ได้มีตัวเลือกให้กู กูก็ซื้อเท่าที่มีสิ หรือจะบอกว่า ค่าหนังสือสมัยนั้นถูกกว่านะเว้ย (คงไม่มีคนใช้เหตุผลนี้หรอกใช่มั้ยวะ) ... มันก็ต้องมองค่าครองชีพโดยรวมมั้ยอะ
การที่กูมองว่ากูต้องจ่ายเงินซื้อหนังสือราคาเต็มเพื่ออ่านเฉพาะตอนพิเศษ มันไม่แฟร์สำหรับกู กูไม่คุ้มนี่ ก็กูอ่านเนื้อเรื่องหลักไปแล้วอะ มันตรรกะป่วยตรงไหน อธิบายซิ
>>956 ไม่รู้หมายถึงกูรึเปล่า แต่ก่อนหน้านี้กูไม่เคยมาเถียงเรื่องนี้เลยอะ เรื่องลงจบไม่จบนี่ก็ไม่เคยเถียง กูพึ่งโผล่มาเช้านี้นี่แหละ ปกติกูจะซื้อเรื่องที่กูชอบว่ะ ลงจบหรือไม่จบไม่เกี่ยวกัน ถ้าลงจบแล้วใส่ตอนพิเศษไปในเล่มตั้งแต่ตีพิมพ์รอบแรก กูก็ซื้อถ้ากูชอบ แต่ถ้ากูไม่ชอบตั้งแต่แรก แล้วกูไม่ซื้อ มันผิดเหรอ ?
>>960 เดี๋ยวนะมึง ก็มึงมาเมนชั่นกู มึงถามกูใน >>956 มีสตรอเบอร์ร่งเบอร์รี่ไรด้วย กูก็ออกมาให้ข้อมูลว่าไม่ใช่กู กูไม่ได้ร้อนตัว แต่มึงต่างหากที่หัวร้อน กูไม่ได้แค่อยากเข้ามาด่า กูก็มาตอบดีๆ มึงยังเขียนเลยนี่ว่าข้อความหลังๆ ยิ่งเขียนยิ่งส่อ แต่ข้อความหลังๆ ไม่ใช่กู กูไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าไม่ใช่กู แต่กูก็ได้แต่บอกตรงนี้ว่าไม่ใช่กูแค่นั้น
>>962 ผลงานที่ออกมา เพื่อนโม่งได้อ่านไปจนจบใช่มั้ย ในราคาหนังสือที่ซื้อมา ซึ่งมันสร้างความสนุกความบันเทิงไปแล้วจะกี่ปีมาแล้วก็ตาม
ต่อมานักเขียน หรือสนพ. ต้องการพิมพ์ใหม่เพื่อสร้างรายได้หาเลี้ยงชีวิตของเขาหรือสนพ.เขา
ก็จะให้ออกมาแบบเดิมเป๊ะๆ บอกได้เลยว่าเข้าเนื้อแน่ๆ ซึ่งเรื่องนี้เพื่อนโม่งเข้าใจใช่มั้ยว่าสนพ.ไม่ใช่องค์กรการกุศล
เข้าใจเรื่องการตลาดไหม ถึงได้เน้นย้ำนักหนา
จะออกมาใหม่ก็ต้องมีอะไรพิเศษในสินค้า ไม่เช่นนั้นมันจะขายได้หรือ (คิดสิคิด)
เด็กเรียนประถมยังรู้เลยว่าของเก่าเดิมๆ กับของใหม่ที่ปรับโฉมขึ้นมา อะไรจะน่าซื้อกว่ากัน
ไม่รวมไปถึงแก้ไขจุดบกพร่องในคราวก่อนด้วย
ฉะนั้นจะรีไรท์พิมพ์ใหม่ มันก็ควรจะเป็นแบบนี้ใช่มั้ย (จะเก็จมั้ยนี่)
จะให้ออกมาเดิมๆ แล้วมันจะมีอะไรดึงดูดนักอ่านล่ะ (พิมพ์แบบนี้ออกมาก็กินทุนนะสิ)
อย่ามาใช้คำว่าศิลปินต้องใส่ใจนักอ่านอะไรทุกอย่าง
ซึ่งก็อุตสาพิมพ์ว่านักเขียนก็เป็นคนธรรมดา ที่ต้องกินต้องใช้ถูกมั้ย (มันเข้าใจยากหรือไง)
สรุปเป็นพื้นฐานจนไม่รู้จะพื้นฐานยังไงแล้ว ในการตลาด (ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีหรือไง)
>>963 กูว่าไม่ได้ทำลายขวัญนักเขียนอะไรเลย
เพราะเจอคอมเมนต์ โหด เลว ดี มากกว่านี้เยอะในหน้านิยาย
ไม่ว่าจะด่าเนื้อเรื่อง ไม่ว่าจะบอกว่าจะเอาไปสแกนแจก (ไม่ได้หมายถึงเพื่อนโม่งนะ)
บ้างทีลามปามด่าแบบ พ่องมึงตาย อะไรยังงี้
แต่ในนั้นนักเขียนมาตอบโต้นักอ่านเกรียนๆ แบบนั้นไม่ได้
ส่วนที่นี้เด็กๆ วะ จะบ่นมายังไง มันเล็กน้อยมาก ที่เปรียบกับที่เจอในหน้านิยาย
>>965 หัวร้อนมาแต่ไกลเชียว คุยกันดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องแขวะ มึงบอกว่ากูไม่เข้าใจ? กูเข้าใจ ทั้งหมดที่มึงว่ามานั่นแหละ กูว่ากูเคยเขียนด้วยว่ามันคือปัญหาด้านการตลาดของสนพ ว่ะ อย่างแรก ถ้าสนพ หรือนักเขียนจำเป็นต้องเอางานเก่ามาขาย "เพื่อกินเพื่อใช้" แสดงว่าทั้งชีวิตมีขายได้แค่นี้งั้นสิ
มึงลืมไปรึเปล่าว่าการเอางานเก่าๆ มาขายกินแปลได้สองอย่าง เรื่องนั้นดัง หรือไม่ก็ สนพ หรือนักเขียนไม่มีปัญญาหางานใหม่ที่ดีกว่ามาทำ แล้วก็วนขายเรื่องเดิมอยู่อย่างเดียว นี่คือวิธีการทำมาหากินที่ดีและได้กำไรสินะ สาบานเถอะว่าเข้าใจเรื่องการตลาด ทั้งๆ ที่อ้างเรื่องการตลาดขึ้นมาแท้ๆ
กูเห็นบางเจ้าเค้าก็ตีพิมพ์เรื่องเดิม ไม่เพิ่มเนื้อหาก็ขายได้นะ ที่มึงบอกว่ามีฉบับเก่ากับใหม่ อันไหนจะขายได้มากกว่า ถ้าฉบับใหม่มีการปรับปรุง นั่นก็แปลว่ามึงมีสองอีดิชั่นอยู่ในตลาดสิวะ ถ้ามีอีดิชั่นเดียวแล้วมันดีจริง ยังไงก็ขายลูกค้าใหม่ได้ แต่ถ้ามีให้เลือกคนก็เลือกอันใหม่อยู่แล้ว อย่างนี้ก็แปลว่ามึงทำอีกแบบออกมาเพื่อดึงดูดลูกค้าเดิมที่มีหนังสือมึงอยู่แล้วให้กลับไปซื้อฉบับใหม่ด้วยสิ ? ไม่งั้นทำเป็นเรื่องใหม่ ภาคใหม่ออกมาเลย ยังไงก็ขายได้ทั้งลูกค้าเก่าและใหม่มั้ย
>>967
ไขความกระจ่างให้ นักเขียนคนหนึ่งจะมีมาสเตอร์พีทผลงานอยู่ไม่กี่เรื่องที่นักอ่านจะจดจำได้
ยามเมื่อออกเรื่องใหม่ๆ มา
คนอ่านที่เพิ่งรู้ก็จะย้อนกลับไปซื้อผลงานที่เป็นมาสเตอร์พีทของนักเขียนคนนี้ด้วย
สนพ.จึงยอมลงทุนพิมพ์ซ้ำขึ้นมาใหม่เพราะเล็งผลถึงเรื่องนี้
ต่อมาในมุมหนังสือเก่าเรื่องนี้จะถูกนำไปเป็นหนังสือเช่าในร้านหนังสือทั่วประเทศแล้วใช่มั้ย สำหรับคนอ่านที่เคยเช่าอ่านและชอบขึ้นมาจริงๆ
เมื่อเห็นหน้าปกหรือคำว่ารีไรท์ใหม่ขึ้นมา ก็จะตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นไปอีก
นี่การตลาดที่สูงขึ้นมาหน่อย ตามหลักจิตวิทยา
ยังไม่รวมประเถทที่อ่านแล้วยังไม่ได้ซื้อในครั้งแรกๆ พอประกาศว่าจะเพิ่มอะไรให้หรือไม่ถูกใจปกในครั้งแรกๆ การตัดสินใจจะง่ายขึ้นกว่าเดิม
สรุปว่า สนพ. ต้องการรายได้ที่ชัวร์ๆ มีกำไร นี่เขียนลงรายละเอียดปลีกย่อยให้เข้าใจขึ้นแล้วนะ
คือบอกตรงๆ ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อทำให้หนังสือขายออกไปได้ยังไง ไม่ขาดทุน น่าจะเข้าใจได้มากขึ้นนะ
(เป็นเรื่องของเงินและกำไร เงินและกำไร เงินและกำไร)
เป็นมู้ที่มันสัดๆ อย่างกะฉลองท้ายห้อง
>>972 อ่ะ กูขออธิบายว่ากูคือคนแรกที่มาบ่น แล้วกูก็ตอบคำถามมึงที่มึงเขียนใน >>956 มึงเขียนมาว่า "มึงใช่เพื่อนโม่งที่พยายามพูดมาตลอดว่าซื้อเวอร์ชั่นแรกโน่นนี่นั่นป่ะวะ ถ้าใช่ ตกลงที่สร้างภาพว่าเป็นนักอ่านจ่ายเงินซื้อมาตลอดนี่แจกสตอเบอรี่เหรอวะ" กูเข้าใจว่ามันเป็นคำถามนะ กูถึงเข้ามาตอบ พอกูมาตอบมึงก็ว่ากูร้อนตัว กูไม่ได้ร้อนตัวไง ก็มึงถามกูก็มาตอบดีๆ แล้วนี่มึงยังจะถามต่ออีกว่า "แสดงว่ามึงคือคนต้นข้อความทำนองอ่อนแอก็แพ้ไปเหรอวะ" ใน >>972 มันเป็นประโยคคำถามมั้ย ก็มึงลงท้ายด้วยคำว่าเหรอวะๆๆๆ กูก็เข้ามาตอบ และกูก็จะตอบตรงนี้อีกว่า กูไม่ใช่คนที่พูดว่า "อ่อนแอก็แพ้ไป" มึง นี่มันโม่ง กูบอกอีกที มึงไม่ต้องไปหาว่าใครพูดไร เพราะมันสวมโม่งกัน แต่กูรู้สึกว่ากูโดนด่าตั้งแต่สตอเบอรี่อะไรแล้ว กูก็มาแสดงตัวว่ากูไม่ใช่อย่างที่มึงกล่าวหา ทำไมการที่กูออกอธิบายสิ่งที่กูทำ/ไม่ได้ทำมึงถึงมองว่ากูร้อนตัวไปได้วะ
อ้อ แล้วนี่เลขข้างหลังกูเปลี่ยนเพราะกูเล่นจากมือถือนะ เดี๋ยวมึงจะหาว่ากูเป็นคนนู้นคนนี้อีก
กูไม่รู้จะคุยมู้ไหนดี คืองี้นะ กูลองไปดูใบเมนูของงานคอมิคอเวนิวดูเห็นมีบูธของวีรอนเดลกับกัณฑิดาด้วย เห็นมีตอนพิเศษของเซวีน่ากับแผนผังตระกูลขาย กูเลยงงๆว่าลิขสิทธิ์มันอยู่กับสนพ.แต่ตัวนักเขียนสามารถทำงี้ได้เหรอวะ
เฮือก กูเพิ่งเห็นในทวิต นิตยสารI likeจะเลิกแล้วว่ะ เห็นว่าTwilightของค่ายเดียวกันที่เน้นเรื่องผีก็เลิกไปก่อนแล้วด้วย
เมื่อก่อนกูซื้อตลอดอะ I like ซื้อมาบางทีอ่านไม่ครบทุกคอลัมน์ ก็ยังซื้อมาเก็บไว้
ถึงจะปรับเปลี่ยนอะไรใหม่แล้วกูว่ามันขาดเสน่ห์เดิมไป ก็คิดเอาน่า...มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้าง
จนวันนึงคอลัมน์ที่กูอ่านประจำ(เรื่องสั้น)เพิ่งซื้อมาฉบับใหม่กริ๊บเลย อ่านไปอ่านมามันคุ้นๆว่ะ
เลยลองไปค้นเล่มเก่าๆดู แม่ง...เอาของเดิมมาพิมพ์ซ้ำ
กูก็พยายามหาว่าคนเขียนคอลัมน์เขาป่วย/ไม่ว่าง/หยุดหรือเปล่าวะ (ยัง ยังจะเข้าข้าง) ก็ไม่มีบอกเตือนอะไร
เอ๊า กูจะให้โอกาส ลองซื้อเล่มต่อมาอีกเล่มนึงดู พบว่าเอาเรื่องที่เคยตีพิมพ์ไปแล้วมาพิมพ์ซ้ำใหม่อีกแล้วขรั่บทั่น
คอลัมน์ที่ไม่เคยอ่านพอเทียบดูก็ซ้ำเดิมเยอะมาก ฟ้าคคคคคค อิเชี่ยมมมมมมมมม เหมือนถูกหักหลัง
ต่อไปเธอจะไม่ได้แดกเงินกูอีกนะ เล่มที่แล้วมาก็ถุงกล้วยแขกแล้วกัน....
เล่มที่เคยพิมพ์กับเล่มนั้นห่างกันประมาณ 150 เล่มได้ ยุคนั้นเน็ตยังไม่แพร่หลายหรือยังไงนี่แหละ กูได้แต่สงสัยว่าไม่มีใครรู้แล้วร้องเรียนเลยเหรอวะ กูเลิกอ่านก็ลืมๆเรื่องนี้ไปแล้ว จนเห็นประกาศหยุดทำนี่แหละ(แต่เห็นมีหยอดๆเล่มสุดท้ายขายดี จะมีเล่มพิเศษ ....พอเถอะ มึงไปเถอะนะ)
กรณีอย่างนี้เป็นความผิดของใครวะ คนเขียน(เนียนส่งเรื่องเดิม) บ.ก.(ไม่ตรวจหน่อยเหรอ หรือจำไม่ได้) หรือมีหน้าที่อื่น
บางทีบอร์ดนี้ก็ไปไวไปนะ กุตกข่าว/ พวกมึงด้านบนใจเย็นๆนะ
เดี๋ยวนี้อรุณทำสัญญากับนักเขียนแค่ปีเดียวหรอวะ กูเห็นเรื่องรักษ์ ราตรี อธิษฐาน ขายในmeb ทั้งที่เพิ่งออกกับสนพ. เมื่อปีที่แล้วเอง อรุณก็มีebookเรื่องนี้ เพิ่งจะมาถอดออก
อยากส่งต้นฉบับให้สนพดู แต่ไม่เคยลงใเว็บที่ไหน ไม่มีแฟนคลับ ใครเค้าจะมาตีพิมพ์ให้กู เฮ้อ
มีใครอ่านแถลงการสำนักพิมพ์ฉบับนี้แล้วมั่งวะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1583535968619972&id=1570592673247635
คืออ่านแล้วกูงง เรื่องที่เคยพิมพ์แบบไม่มีลิขสิทธิ์ก่อนตะมีกฎหมายลิขสิทธิ์ เอามาพิมพ์ใหม่อีกทีหลังมีกฎหมายแล้ว ก็ยังยกเว้นอยู่เหรอวะ? แล้วสำนักพิมพ์ที่ไปซื้อลิขสิทธิ์มาทำ ไม่ได้มีสิทธิทำคนเดียวจนกว่าจะหมดสัญญาหรอกเหรอวะ
แม่งเอ้ย เป็นอะไรกันหมดวะ ดร.มอโร ก็ชน มาโควัลโดก็ชน นี่ยังไม่รู้ว่าเจคลาสกับเจลิสจะเอารัมโปมาชนกันอีกรายรึเปล่า
>>992 ตามต้นเรื่องจากเฟสคนแปล เจ้าของอีกสนพพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องอะ คือตัวเราก็ไม่เข้าใจตัวบทกฎหมายดีด้วยเลยไม่อยากพูดมาก แต่ตามมารยาท พอรู้ว่าอีกเจ้าจะทำเรื่องเดียวกัน ทำไมไม่ไปคุยกันก่อนบ้าง นี่เหมือนไม่เคยคุยกันเลย
พูดถึงงานรัมโป ช่วงนี้คงจะได้เห็นแปลออกมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะวรรณกรรมญี่ปุ่นหลายเรื่องกลายเป็น public domain แล้ว
>>997 มาร์โควัลโดไม่ใช่งาน public domain ย้ำว่าไม่ใช่ เพราะคัลวิโนตายปี 1985 มันต้องห้าสิบปีหลังผู้ประพันธ์เสียถึงจะกลายเป็นงานปลอดลิขสิทธิ์ แต่นี่มันถึงยังล่ะ ก็ยัง เจ้าของสนพน่ะตอแหล ใจจริงคงอยากปล่อยมาชนมากกว่า ต่อเผอิญมันมีช่องโหว่ส่วนนี้อยู่ เขาคงนึกไม่ถึงแหละ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.