ขอถามนักเขียนที่ร่วมเล่มนิยายขายเอง คิดยังไงถึงกล้าเสี่ยงพิมพ์เอง ทำไมถึงคิดจะรวมเล่ม พิมพ์กี่เล่ม ฟีดแบกคนอ่าน-คนซื้อดีมั้ย กำไรเป็นไง
ขอบคุณล่วงหน้านะ
Last posted
Total of 1000 posts
ขอถามนักเขียนที่ร่วมเล่มนิยายขายเอง คิดยังไงถึงกล้าเสี่ยงพิมพ์เอง ทำไมถึงคิดจะรวมเล่ม พิมพ์กี่เล่ม ฟีดแบกคนอ่าน-คนซื้อดีมั้ย กำไรเป็นไง
ขอบคุณล่วงหน้านะ
>>785 ถ้าหมายถึงทำไมไม่ส่งต้นฉบับให้กับสนพ. เหตุผลเยอะค่ะ เช่น โดนบังคับขายขาดให้แค่ตอบแทนน้อยกว่าทำเองอีก เจอบีบไม่ให้ค่าตอบแทนอีบุ๊ค โดนแก้งานจนไม่ใช่งานตัวเอง ดองไม่เซ็นสัญญาเสียที แก้แล้วแก้อีก เร่งงานกดดันนักเขียนเกินพอดี สนพ.ไม่ดันงานให้ไม่ต่างจากลงในเน็ทเอง มีปัญหากับกองบก. และอื่นๆ เหล่านี้ทำให้นักเขียนที่พอมีฐานคนอ่านแล้วและมีรายได้จากทางอื่นด้วยมาทำหนังสือเอง
ถ้าเหตุผลการผลิต เช่น รูปเล่มปกทำไม่ถูกใจนักเขียน นักเขียนมีคนซื้อมากพอได้ค่าตอบแทนมากกว่าส่งสนพ. แล้วตอนนี้การพิมพ์เองใช้วิธีสั่งจองแต่ชำระเงินก่อน สั่งพิมพ์จำนวนน้อยๆ ได้ นักเขียนไม่ต้องเสี่ยงทุนจมแล้ว เลยทำเองถูกใจสบายใจกว่า
กูไปอ่านนิยายเรื่องนึงมา ไม่ขอบอกชื่อนะ เป็นแนวแฟนตาซี เรื่องกึ่งๆ ดราม่า แล้วให้ตัวเอกในปัจจุบันเติมเต็มอดีต ทีนี้เว้ยคนเขียนก็เขียนแบบให้พระนางคู่กันงั้นงี้ เดินเรื่องมากลางทางเริ่มมีแววพระนางไม่ได้คู่กันว่ะ พออ่านจนจบเท่านั้นแหละแม่มเอ้ย นอกจากนางเอกจะหายไป หายแบบลบจากความทรงจำทุกคน ตามเหตุผลห่านเหวทั้งหลายแหล่ พระเอกกูเสือกไปแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน ประมาณแต่งงานการเมือง ทั้งที่แม่งเหมือนจะนึกออกว่ามีนางเอกอยู่แล้ว กูก็แบบเฮ้ยทำงี้ไม่ให้นางเอกกูตายเลยวะ เป็นพวกมึงจะรู้สึกยังไง สำหรับกูแบดเอ้นด์สลัดอ่ะ มีโมเม้นต์ดีๆ ด้วยกันมาตั้งนานคือไรว้าาาา
>>787 ส่วนกูอ่านอีกเรื่องแนวแฟนตาซีเหมือนกัน
เรื่องนี้อออกมา 3 เล่มและยังลงเว็บให้อ่านอยู่เนื่องจากยังไม่จบ
คนเขียนเขียนได้คลุมเครือมากในเรื่องความรักของพระเอกนะว่าจะลงเอยกับใคร
จนแบ่งคนอ่านออกเป็นหลายฝั่งคือไม่เอานางเอก พระเอกรักเดียว พระเอกได้ฮาเร็ม
เนื่องจากคนเขียนให้พระเอกไม่แสดงท่าทีสนใจใคร แต่เสือกใจดีกับสาวหลายคนแต่ไม่ใช่แบบเชิงชู้สาว
ทำให้กูเข้าใจว่าการเขียนตอนจบของเรื่องหนึ่งๆ จะมีคนชอบกับคนไม่ชอบเสมอ
กูแต่งนิยายไปนิดนึง แล้วพักไว้เพราะว่าตัน วันนี้กะจะแต่งต่อ ปรากฏว่ากูลืมเรื่องที่จะต่อไปหมดละ ปริศนาที่ใส่ไว้มันคือไรอ่านเองไปสองรอบก็จำไม่ได้
ที่จดไว้ก็แบบโคตรคร่าวๆ ไหนจะพวกที่ใส่เข้าไปตามอารมณ์ระหว่างแต่งอีก เซ็งชิบ 55555
กำลังเขียนนิยายเรื่องหนึ่ง แล้วหาวิธีลงฉากอดีตให้น่าสนใจไม่ได้สักที ลบๆ แก้ๆ จะตายแล้ว จะลงเป็นตอนๆ ย้อนอดีตยาวๆ กันก็เกรงจะเยอะไป จะลงแทรกรำลึก บรรยายความรู้สึกว่าเคยอย่างนั้น เคยอย่างนี้ก็ดูไม่มีน้ำหนัก แบบว่าอดีตของคู่หลักมันสำคัญมากกกก พอๆ กับปัจจุบันเลยอะ มีหนังสือเรื่องไหนดีๆ พอให้กูศึกษาการย้อนความหลังบ้างวะ หรือช่วยแนะนำก็จะขอบใจมาก
เพื่อนโม่งกูอยากถามหน่อยว่าเวลาแต่งนิยายทั่วไป ถ้าอ้างอิงสถานที่จริงเช่นห้างหรือสถานศึกษาแบบใส่ชื่อลงไปเลยจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ แบบเจ้าของสถานที่ หรือคนที่อยู่ในที่นั่นๆจะคิดยังไง มีผลอะไรมั้ย
กูไม่ได้จะเม้น กูกดผิด ซอรี่
กูประหลาดเปล่าวะ เขียนนิยายโรแมนติกคอมเมดี้แต่ฟังเพลงรักอะไรแบบนี้ไม่มีสมาธิเลย ต้องเปิดเพลงที่มันกระแทกหูแบบ smells like teenage dream, creep อะไรทำนองนี้...
ขอคำแนะนำหน่อยถ้าจะเขียนถึงตัวเอกที่บ้านๆ ไม่ได้ฉลาดเทพทรูอะไร ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้าง ยังไงไม่ให้คนอื่นเขวี้ยงหนังสือทิ้งก่อนวะ เข้าใจอารมณ์คนอ่านเวลาอ่านนิยายถ้าเห็นตลค.ทำตัวไม่สมเหตุสมผล แกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้วมันหงุดหงิดนะ เป็นเหมือนกัน เลยมาถามหาไอเดียว่ามันแก้ไงดีวะจุดนี้
>>802 ทุกการกระทำมันต้องมีเหตุผลอะ ถึงจะดูไม่มีเหตุผลยังไงก็ตาม ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้างก็ได้ แต่คงต้องบอกให้ได้ว่าทำไมมันตัดสินใจอย่างนั้น จู่ๆคนเราจะหาเรื่องใคร ถึงดูไม่มีเหตุผลแต่ลึกๆมันก็มี ไม่ใช่แบบอยากมีเรื่องเพราะนิยายจะได้เดินหน้าอะมึง
ตัวละครอาจชอบเสือกเรื่องชอบบ้าน เสือกมากเข้าเลยเผลอไปอยู่กลางดงตีนไม่รู้ตัวงี้ ก็รับได้ เพราะเราบอกแล้วว่ามันขี้เสือก
ที่น่าหนักใจว่าน่าจะเป็น ทำยังไงไม่ให้มันน่ารำคาญอะ กุเห็นหลายคน บรรยายดี พลอตเก๋ แต่ตัวละครแม่งน่ารำคาญไม่ควรเอาใจช่วย
จนกุแอบคิดว่าจริงๆ คนเขียนมันอยากเล่นพวกตัวรองมากกว่า ตัวเอกมีไว้แค่ให้เรื่องเดิน
เห็นพวกมึงคุยกันเรื่องฮาเร็มแล้วสะดุ้งเลย คือกูกำลังคิดพล็อตนิยายฮาเร็มชาย 5 คนต่อนางเอกคนเดียว คือกูคิดตอนจบไว้ว่าหนุ่มที่ได้จูบแรกนางเอกตายเพื่อปกป้องนางเอก ที่เหลือก็คอยดูแลช่วยเหลือนางเอกอย่างห่าง ๆ เช่น นางเอกเปิดร้านขายดอกไม้ ก็มาช่วยงานเป็นลูกน้อง หรือย้ายมาอยู่บ้านข้าง ๆ รั้วติดกัน มีโมนเม้นทำอาหารให้กินทุกเช้า สรุปคือจบแบบปลายเปิดให้คนอ่านมโนเอง แบบนี้พอได้ปะวะ
>>802 แกว่งเท้าหาเสี้ยนเราว่าไม่ใช่ปัญหานะ ทำให้เรื่องสนุกด้วยซ้ำ แบบ...มันจะเอาความฉิบหายอะไรมาใส่ตัวได้อีก (ขึ้นอยู่กับว่าความฉิบหายที่ว่าอ่านแล้วสนุกรึเปล่าด้วยแหละ) แต่ที่แย่กว่าคือ เวลาคนเขียนกลัวคนอ่านเกลียดตัวละครแล้วพยายามลดความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของแม่ง หรือบังคับให้ตัวละครตัวอื่นพูดแก้ต่างให้อ่ะ หนักกว่าคืออธิบายยืดยาวว่าการกระทำนี้เห็นแบบนี้จริงๆแล้วผ่านกระบวนการความคิดแบบนี้(เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าพวกมรึงคนอ่านก็ทำเหมือนกันนั่นล่ะ) เห็นแล้วแบบ เหมือนโดนโน้มน้าวอะ ไม่อยากอ่านต่อแบบฉับพลัน 555
>>806 ประเด็นสุดท้ายนี่โคตรเห็นด้วย เวลาเจอแฟนๆที่อวยตลค.ไม่ลืมหูลืมตาแล้วหาทฤษฎีมโนมาสนับสนุนหาความชอบธรรมให้การกระทำของตลค.(ทั้งที่นักเขียนแม่งตั้งใจสร้างมาให้เป็นตัวกรียนชัดๆ)ว่าแย่แล้ว มาเจอคนเขียนที่เขียนให้(ดูเหมือน)เป็นตัวเกรียน การกระทำก็เกรียน แล้วทำมาอธิบายทีหลังว่าที่จริงทำเพื่อคนอื่น แนวๆแอนตี้ฮีโร่ไรงี้มันโคตรจะแย่กว่า ไม่ได้บอกว่าตลค.แนวนี้ไม่ดีนะเว้ย ชอบด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครจะเขียนช่วยทำให้เนียนหน่อยเห้อ
เอ้า ไหนๆ แม่งก็เป็นปัญหาแล้ว โม่งคิดว่าควรเขียนยังไงให้มันไม่ดูยัดเยียดวะ ส่วนตัวเราไม่เขียนนิยายนะ แต่จากปสก.อ่านที่ผ่านมาคิดว่าถ้าไอ้ตัวเกรียน(ที่มีเนื้อแท้สีทอง)ตัวนี้เป็นประเภทไม่แยแสโลก ไม่แก้ตัวในทุกสถานการณจริงๆ แล้วพอถึงบทจะแถลงความดีก็ให้ตลค.อื่นมันพูดเอา ทยอยยอมรับกันด้วยตัวเองไรงี้ เราพอจะถูไถไม่เหม็นหน้ามันมากว่ะ
>>808 เกรียนแบบไร้ข้ออ้างก็สนุกไปอีกแบบนะ คือเกิดมาแบบนี้ ชีวิตเป็นแบบนี้ คิดแบบนี้เลยเกรียนแบบนี้ ไหนๆก็จะให้เกรียนแล้ว จะครึ่งๆกลางๆลดแรงกระแทกไปไย ความเกลียดไม่ได้ตรงข้ามกับความรักเฟ้ย 555+
...ในฐานะคนหัดเขียน ถ้าจะเขียนตัวละครเกรียนๆสร้างปัญหาแบบไม่มีข้ออ้าง มันต้องมีแผนกู้ชื่อเตรียมไว้ทีหลังว่ะ ประมาณว่า act1 ก่อเรื่อง act 2 ใช้กรรม ...ถ้าซื้อใจคนอ่านคืนไม่ได้หรือโดนเลิกอ่านก่อนก็เงิบไป 5555+
แต่เอาจริงๆเราว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเขียนให้ใครอ่านด้วย ถ้าเขียนให้พวกนักอ่านมุ้งมิ้งกรี๊ดตัวละครอ่าน เขียนคำอธิบาย(หรือกลยุทธิ์โน้มน้าวอื่นๆ)แบบให้เข้าใจง่ายๆเอาไว้ให้แฟนๆใช้เวลาสนับสนุนตัวละครก็อาจจะเป็นวิธีเขียนที่ถูกต้องที่สุดแล้ว - w -'
กูไม่รู้ว่ากูควรมามู้ไหน แต่คิดว่าน่าจะมู้นี้ ว่าจะทำเพจแปลโดเเปลแก็กว่ะ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี กูไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่ากูเป็นคนแปลอ่ะ แต่แบบนั้นมันก็จะไม่มีคนเห้นอ่ะดิ ;__;
อย่างเพจดังๆ อย่างนายแมวหรือเคะเกรียนนี่ได้ขอก่อนไหมนะ
พวกมึงถามหน่อย ถ้ากูเขียนนิยายที่มีมุมมองแบบที่แพลนกล้องแค่พระเอกคนเดียว ความคิดความรู้สึกมีแต่ของพระเอก แต่กูใช้สรรพนามในบทบรรยายว่า เขา แบบนี้จะเรียกว่ามุมมองบุคคลที่ 1 ได้ไหม
>>817 แบบนั้นน่าจะบุรุษที่สามแบบแพนกล้องติดตามพระเอกมากกว่านะ บุรุษที่หนึ่งตราบใดที่พระเอกไม่ได้เป็นคนเล่าเรื่องเองมันก็ไม่ใช่อยู่ดี อีกอย่างบุรุษที่หนึ่งมันให้ความรู้สึกเฉพาะตัวของมันในการเล่าเรื่องนะ มีความคิดของคนเล่ามาเกี่ยวข้อง ใช้ปกปิดปมเรื่องบางอย่างได้ แต่ถ้าเราเป็นคนเล่าถึงจะรู้เรื่องของพระเอก รู้ความคิดแต่มันก็ต่างกัน เพราะเรารู้ทุกอย่างตามความจริงป่ะ?
>>802 นิยายแม่งกากแค่ไหน ตัวละครต้องซ่อนปม ตัวละครต้องมีปมในอดีต แล้วค่อยๆ ปล่อย แล้วคนจะตาม เพราะนิสัยของมนุษย์ทุกคนคือชอบเสือกและอยากรู้อยากเห็น ดังนั้น คนอ่านแม่งก็อยากจะรู้ว่าทำไมพระเอกแม่งเป็นงี้ นางเอกแม่งทำงี้ แต่มึงต้องแน่ใจว่าปมมึงดีงามนะเว้ย ไม่งั้น สภาพจะแม่งเหี้ยเหมือนละครสงครามนางงามอะไรที่ตอนจบ นางเอกเป็นกระเทย เคยฆ่าคน และเป็นเบาหวาน อีคนเขียนบททิ้งปมเยอะจัด จบไม่ลง
คือกุพึ่งไปอ่าน fbfy ตามที่โม่งมู้นู้นแนะนำมา อบอุ่นละมุนละไมจริงว่ะ(กุอ่านอิ้งนะ) เอาแค่คำโปรย to meet or not... กุก้น้ำตารื้นละสึส พอดีอินง่าย 5555 แต่กุอ่านไปก้เริ่มหนักใจว่ะ คือกุกำลังแต่งแนวย้อนอดีตเหมือนกัน แต่พอมาอ่านแล้วพบว่าตัวเองคิดซ้ำกับเรื่องนี้เยอะเลยว่ะ ไม่ใช่ตรงพุทธศาสนานะ แต่เป็นกฎเกณต่างๆ ลำดับการคิดของนางเอก อิปิรามิดของมาสโลวนี่ก็เหมือนอีกพาลเอากุไม่อยากแต่งต่อเลย ตอนนี้กุเลยหยุดการอ่านไว้ตอนที่5ก่อนกลัวได้รับอิทธิพลเข้าไปในงานเขียนของตัวเอง+จิตตกว่าจะไปซ้ำกับเขาตรงไหนอีกจนต้องฝืนหาทางลงที่แปลกใหม่ เขียนจบแล้วกุค่อยไปอ่านต่อ ขออย่าให้คุณฮารุลบหรือเกิดอะไรขึ้นก่อนเล้ยย เพราะกุแต่งสปีดหอยทากมาก
เพื่อนโม่ง แนะนำวิธีเขียนนิยายประวัติศาสตร์หน่อยสิ อาจารย์สั่งงานกูไว้นานแล้วให้เขียนนิยายสั้นไปส่ง กูกะจะเอาเรื่อง
Christmas truce สงครามโลกครั้งที่ 1เพราะส่งเดือนธันวาก่อนคริสมาต์พอดี พระนางเป็นเยอรมันกับอังกฤษ เจอกันวันสงบศึกคริสมาสต์อีฟ หลังปีใหม่ก็กลับมาฆ่ากันต่อ แต่แม่งติดตรงกูเขียนให้เห็นถึงบรรยากาศไม่เก่งควรบรรยายเยอะๆดีมั้ยวะ? แต่ก็ติดที่มันเป็นนิยายเรื่องสั้นนี่ล่ะ มีเทคนิคอะไรเขียนให้มันดูกระชับบ้าง แล้วบทตัวละครร้องเพลงควรจะทำยังไงดีอ่ะ? ช่วยแนะนำหน่อย
ถามในนี้ได้มั้ย เห็นมีแต่คนมีความรู้ด้านนี้ คือกูสงสัยว่า นิยาย ไลท์โนเวล ฟิคชั่น สามคำนี้ต่างกันยังไง
>>833 Fiction คือนิยายนั่นแหละตามความเข้าใจมึง Light novelเป็นคำที่ญี่ปุ่นบัญญัติขึ้นใช้เรียกนิยายที่ใช้คำเบาๆ ง่ายๆ ไม่เน้นบรรยายเท่าไหร่เน้นการไหลของเนื้อเรื่อง ส่วนnovelเป็นคำที่สื่อคือความยาวของfiction novelคือนิยายที่แต่งยาวๆ ถ้านิยายเล่มนึงจบหรือบางๆสั้นๆจะเรียกnovella
กูเขียนนิยายไม่ออกว่ะมึง คือกูชอบวางพลอตไว้หลวมๆแล้วหาข้อมูลทีหลัง
เวลาได้ข้อมูลก็เอาไปเขียน แต่คิดบทพูดตัวละครไม่ค่อยออกเลย แล้วอารมณ์แต่งกูก็ไม่ค่อยมีเหมือนเริ่มใหม่ๆ
เพราะนิยายกูเริ่มเละ จะลบทิ้งก็ทำไม่ลง 50กว่าตอนแล้วไง เห้อออ
เพื่อนโม่งถามหน่อย ระหว่างเขียนโดยไม่ให้คนอ่านรู้ว่าตัวละครนี้จะตายไหม กับให้คนอ่านรู้แต่แรกเลยว่าจะตายแน่ๆ แบบไหนจะขยี้ได้ดีกว่ากัน พอดีอ่านนิยายมาเรื่องนึง มันเผยตั้งแต่เล่มแรกว่าตายห่ากันหมดแน่นอน แล้วก็รู้สึกว่าแบบนี้มันเล่นกับเวลาได้ดีเหมือนกัน ยิ่งท้ายเล่มยิ่งลุ้นว่าตายตอนไหน เพื่อนโม่งว่าไงมั่ง
หาข้อมูลแต่งนิยายนะ ถ้าเราไปเจอคนความจำเสื่อมแล้วเอามันไปส่งตำรวจเขาจะช่วยยังไงวะ
>>841 จากประสบการณ์ตอนญาติกูหายแล้วต้องแจ้งความตามหานะ ตำรวจจะค้นหาหลักฐานที่ติดตัว สืบถามจากผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณที่พบเจอบุคคลนั้นว่ามีใครรู้จักหรือพบเห็นหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมอะไรได้บ้าง สืบจากฐานข้อมูลคนหายเดี๋ยวนี้ดีหน่อยมีฐานข้อมูลออนไลน์แล้ว เมื่อก่อนต้องโทรเช็คที่ละรพ.หรือหน่วยฉุกเฉินหรือโรงพักเลย ถ้าไม่มีที่พักนอนโรงพักไปก่อน ติดต่อรพ. ตรวจหาอาการว่าความน่าเชื่อถือแค่ไหนที่ความจำเสื่อม หรือติดต่อสถานสงเคราะห์เข้าช่วยเหลือให้ที่พักพิงเริ่มต้น แต่บ้านกูตามตัวญาติเจอจากเอากระเช้าของขวัญไปหาเจ้าพ่อแถบนั้นวันรุ่งขึ้นมีโทรศัพท์มาบอกเลยว่าเจออยู่ที่ไหน
>>843 เรื่องจริงนะแต่จะว่าไปโคตรเหมือนนิยาย บ้านกูติดต่อตำรวจสองสามอาทิตย์ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยบอกกำลังติดตามผลให้ ทั้งบ้านนึกว่าตายกันหมดแล้ว ป้ากูสั่งให้กูนั่งกดโทรถามตามรพ.ว่ามีเคสคนไข้หน้าตาแบบญาติกูเข้ารักษาหรือเปล่า ให้โทรถามตามวัดด้วยมีศพไม่มีญาติหรือเปล่า จนพ่อกูหิ้วกระเช้าไปกราบเท้าคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง ไปเล่าให้เขาฟังว่ารู้แค่ก่อนหายไปญาติกูบอกว่าจะไปชลบุรี กลับมาวันรุ่งขึ้นมีโทรศัพท์มาเลยว่ารู้แล้วญาติกูใฝ่ต่ำหนีตามผู้ชายไปหลบอยู่แถวนิคมที่ชลบุรีจริงๆ ด้วย พ่อกูก็เอาคนงานไปกับคนที่นำทางไปลากญาติกูกลับมา อายชาวบ้านทั้งซอย โคตรงามหน้า แล้วทำให้กูรู้ว่าตำรวจทำห่าอะไรไม่ได้เลย
>>845 กูไม่ได้ไปกับพ่อ ตอนไปกราบพ่อกูไปกับญาติผู้ชายที่เป็นพี่ชายตัวก่อเรื่อง พ่อไม่ได้บอกว่าไปหาใครแต่กระเช้าของแพงมากเหล้านอกพวกเอ็กซ์โอแล้วพวกขวดทรงตัวโอที่กูไม่คุ้น มีบุหรี่แบบใส่กล่องโลหะด้วย ผลไม้นอกก็แบบที่ห่อเป็นลูกๆ องุ่นลูกใหญ่มาก แล้วก็มีซองด้วยแต่กูไม่รู้ว่าในซองมีเท่าไร แต่ตอนไปเอาตัวญาติกูกลับ พ่อกูไปกับลุงที่เป็นพ่อตัวก่อเรื่องแล้วก็คนงานอีกสองคน นอกนั้นกูก็ไม่รู้แล้ว ผู้ใหญ่ไม่เล่าให้กูรู้ ป้ากูก็บอกให้กูเงียบเวลามีใครถามให้บอกว่าญาติกูเข้ารพ.ตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดพึ่งไปรับกลับ แต่เขารู้กันทั้งซอยว่าญาติกูหนีตามผู้ชาย กูโคตรอายอ่ะช่วงนั้นกลับบ้านไปโรงเรียนไม่แวะเดินร้านปากซอยเลยจนน่าจะครึ่งปีคนถึงเลิกพูดเลิกถามกู ไม่ใช่โม่งกูไม่กล้าเล่าว่ะ
>>846 มึงโทรตามรพ.กับวัดไม่สนุกเลยว่ะ มึงคิดดูเน็ตสมัยก่อนข้อมูลไม่เยอะแบบนี้ กูต้องโทรไป 13 จดเบอร์รพ.กับวัดที่ละเขตที่คอลเซ็นเซอร์บอก คิดดูมึงกี่เบอร์ แล้วโทรไปเรื่อยๆ ติดบ้างไม่ติดบ้าง คนรับไม่รู้เรื่องเลยโยนให้โทรไปเบอร์อื่น แล้วกูกลับมาจากโรงเรียนก็ต้องมาผลัดเวรกับป้ากูโทรถาม หนังสือไม่ต้องอ่าน เกมไม่ต้องเล่น ตอนนี้อีตัวต้นเหตุมันยังไม่คิดว่ามันทำผิดเลยแต่งผัวแล้วก็หย่าหาผัวใหม่ โคตรสงสารลุงกู
เออ เคยมีประสบการณ์ญาติหายเหมือนกันแต่ที่เมืองนอก ผัวน้าอยู่ๆก็เดินหายไปจากบ้านเฉย หายไปเป็นเดือนเลย น้ากูไปเที่ยวตามหาไม่ได้กินไม่ได้นอน แถมต้องเลี้ยงลูกอีก พอไปแจ้งคนหายเสือกตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าผัวตัวเองเปล่า เพราะเหมือนมีปัญหากันอยู่
อยู่ๆก็กลับมาบ้านแบบงงๆ บอกตอนแรกปัญหาเยอะกะไปตายเอาเงินประกัน แต่ไม่ตายสักทีเลยกลับบ้าน WTF?
เห็นมีโม่งพูดถึงการบรรยายใช้มุมมองบุคคล กุขอคำแนะนำหน่อย
คือกุต้องการบรรยายให้ได้อารมณ์แบบบุคคลที่ 1 ที่กุสามารถบรรยายตรรกะอารมณ์ความคิดเห็นของตัวละครนั้นๆ
แต่คือกุต้องการให้คนอ่านมันฟังตรรกะจากตัวละครอื่นได้แบบเดียวกับบุคคลที่ 1 เพราะกุกลัวตรรกะจากบุคคลที่1ทำคนอ่านเป๋เพราะเชื่อในสิ่งที่ตัวละครบุคคลที่1คิด
กุควรทำไงดีวะ
-บรรยายแบบบุคคลที่1ผ่านตัวละครหลายๆตัว
ข้อดี: ได้คลอบคลุมตามที่กุต้องการ
ข้อเสีย: คนอ่านมึน และเป็นแบบที่กุเคยอ่านเรื่องอื่นบางเรื่องไม่ชอบด้วย เหมือนเปลี่ยนตัวนักแสดงกลางทาง
-บรรยายแบบบุคคลที่3แทนชนิดเจาะความคิดได้ด้วย
ข้อดี: บรรยายได้หมดทุกสิ่งอย่าง
ข้อเสีย: เจาะความคิดตัวละครได้ไม่ลึกเท่าที่ควรเพราะต้องเกลี่ยบท แนวทางการคิดของตัวละครจะหายไปด้วย
-แบบบุคคลที่1ผ่านตัวละครเดียวแบบเดิม
ข้อดี: เข้าถึงได้ลึก แสดงสิ่งต่างๆชัดเจนผ่านตัวละคร
ข้อเสีย: มันเป็นการมองโลกผ่านคนๆเดียว มันจะเป็นยังไงก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวละคร ซึ่งจริงๆอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้
หรือกุควรปล่อยคนอ่านไว้กลางทางให้วิเคราะห์เอาเอง ว่างนี่ไม่ใช่สิ่งที่กุต้องการสื่อ แต่นั่นมันคือสิ่งที่ตัวละครต้องการดีวะ
>>851 เรื่องหลายคนแม้แต่ตัวประกอบนี่ กุว่าเยอะกุก็เขียนไม่ไหวว่ะ กุกะใช้แค่2ก็พอเพื่อถ่วงสมดุลของอีกฝ่าย เท่าที่เห็นเยอะผุดๆก็ อย่างเพอร์ซี่ภาค 2 ไม่งั้นกุก็เห็นแบบดารารับเชิญ
นี่กุต้องเลือกระหว่างเขียนให้คนอ่านย่อยง่ายๆ กับเขียนให้สุดโต่งไปเลยซินะTT
กุไม่อยากต้องมาย่อยให้คนอ่านฟังนอกรอบว่าที่กุเขียนไปมึงต้องมองนี่ๆนะถึงจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมันเหมือนเขียนเรื่องไม่สำเร็จไงไม่รู้ หรือกุไม่ควรดูถูกสติปัญญาคนอ่าน ปล่อยให้แม่งงมกันเองดีวะ
>>850 ทำไม บค.3 ต้องเกลี่ยบท บค.3 มุมมองคนเดียวก็มีเยอะแยะ อย่างแฮรี่ แต่นิยายรักก็จะมี พระ-นาง
อคติของกูก็คือกูรู้สึกว่าคนที่ชอบสลับมุมมอง บค.1 กับ บค.3 และหมุนมุมมองตามสะดวกเป็นพวกไม่เก่งจริง ไม่สามารถเขียนมุมมองเดียวให้รู้เรื่องได้ แต่บางเรื่องที่ตัดได้ smooth กูก็โอเคอยู่นะ อย่าง I am ex-demon king หรือจะเพราะเรื่องมันสนุกมากไม่รู้ แต่ส่วนมากกูเห็นตัดเหี้ยเยอะกว่าว่ะ มันทำให้กูรำคาญว่ามึงตัดสลับอะไรกันนักหนา กูไม่ต้องรู้ความคิดของทุกตัวละครก็ได้ไหม อย่างมากสุดในฉากนึงควรเขียนมุมเดียวว่ะ
ในที่นี้กูหมายถึงตัดตามใจฉันนะ ถ้าเป็นเรื่องที่ระบุอยู่แล้วว่าจะหมุนมันทุกบท แต่ในบทเดียวกันมีคนเดียว แบบเพอร์ซี่กูก็ว่าเจ๋งดี
ส่วนที่มึงกลัวจะทำให้คนอ่านเป๋ กูว่านั่นเป็นเสน่ห์ของเรื่อง บค.1 นะ คือ ฉันคิดกับคนคนนึงแบบนึง มองมาด้วยอคติตลอด จนท้ายเรื่องค่อยเข้าใจ ดูแฮรี่กับสเนปดิ ตอนเฉลยโคตรพีคอ่ะ ก่อนนี้สิบหน้าถึงไม่ได้เกลียดสเนปเท่าเล่มแรกก็ไม่ได้ชอบ พอเฉลยปุ๊บ โคตรสงสารเลย ถ้ารู้ความคิดทุกคนตั้งแต่เริ่มต้นมันจะขาดความน่าสนใจไปนะ แต่ถ้ามึงอยากให้คนอ่านเก็ทมึงก็ใส่ hint ไปเยอะ ๆ มองคนนี้แล้วเห็นกำมือแน่น เม้มปาก กลั้นหายใจ เกร็ง ในแววตามี ฯลฯ ถ้ามึงอยากให้ ตลค.หลักไม่เข้าใจก็ตบท้ายไปว่าเขามองงง ๆ สงสัย ไม่เข้าใจ อะไรก็ว่าไปได้
>>>850ที่กูพึ่งอ่าน(สนวม.อิคุเซย์) คือเรื่องมันมีตัวละครเยอะมาก+ไม่ได้เจาะจงตัวเอกชัดเจน เขาก็ใช้มุมมองบค.3 เดินเรื่องแต่เจาะมุมมองของคนเดียว มีบรรยายความคิด อารมณ์ของคนที่โฟกัส เช่น xxx เป็นห่วงว่านู้นนี้นั่น
จะเปลี่ยนมุมมองไปที่คนใหม่ก็ขึ้นชื่อบุคคลที่จะโฟกัสแล้วก็บรรยายไป อีกเรื่องที่เห็นทำงี้คือเพอร์ซี่ภาค2 แต่จะไม่เปลี่ยนบ่อยเท่าเรื่องนี้
กุคือ>>850 ขอบคุณโม่งๆช่วยมาตอบกุมาก ฮือๆ
>>854 โทดที่บุคคลที่3ในที่นี้กุไม่ได้พูดถึง3แบบจำกัดนะ แต่เป็นแบบตามนิยามอ่ะ
ที่โม่งแนะนำอีกอย่างคือแนวบุคคลที่3แบบแพนกล้องตามตัวเอกหรือ"บุคคลที่3แบบจำกัด"ที่เคยมีโม่งมาถามใช่มะ
กุก็อยากลองเล่นดูนะว่าจะเล่าแบบบุคคลที่3แบบจำกัดจากคนนึงไปคนนึงยังไงให้ไม่สะดุด
แต่คืออารมณ์แบบบุคคลที่3เลย มันก็ได้อรรถรสไม่เหมือนบุคคลที่1ไง กุยังอยากได้รสชาติแบบบุคคลที่1แต่ไม่เสียภาพรวมไป บุคคลที่3แบบจำกัดคือคำตอบของกุใช่ป่ะ
ตอนนี้กุกะว่าจะลองเป็นแบบบุคคลที่1(แบบที่ไม่ใช้ทำว่าฉันแทนตัวเองอ่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง) แล้วค่อยๆซูมกล้องออกเป็นบุคคลที่ 3 สลับกับบุคคลที่1 แต่กลัวอารมณ์สะดุดนี่สิ
แต่กุคิดว่ากุยังไม่บ้าเล่าฉากเดิมซ้ำๆผ่านคนละมุมมองตลอดอย่างที่>>853 ว่ามาหรอกอ่ะ ว่าเก็บแนวคิดไว้เฝื่อเป็นลูกเล่นตอนสำคัญๆ
ให้เดินเรื่องแบบเพอร์ซี่ภาค2 คือตอนแรกเวลาอ่านกุขัดใจมาก คือพออ่านไปเรื่อยกุรู้สึกเหมือนผูกพันกับตัวละครนั้นๆ แต่พอขึ้นบทคนใหม่ๆเหมือนมึงต้องทำความรู้จักกับตัวละครใหม่ อารมณ์มันสะดุด
>>856 ถ้าเป็นสลับจาก บค.1 -> บค.3 เกม Visual Novel ที่เล่นอยู่พักนึงก็ทำนะ คือเนื้อเรื่องหลักใช้บรรยายบุคคลที่ 1 (มุมมองพระเอก) พอจบเหตุการณ์ช่วงนึงก็ปิดด้วยบุคคลที่สาม ขึ้นชื่อตัวละคร เวลา สถานที่ แล้วก็ด้นเลย ไม่มีงง (บางตอนที่ตัดแบบ Cliffhanger ก็ไม่งงอยู่ดี เพราะมันให้สัญญาณชัดเจนอยู่แล้ว) ส่วนตัวคิดว่ามันทำให้เรื่องน่าสนใจขึ้น คือระหว่างที่พระเอกงมหาเบาะแส ตัวละครที่เป็นกุญแจของเรื่องก็ไปก่อหวอดอยู่ที่ไหนสักแห่ง ชวนให้ลุ้นว่ามันจะมาบรรจบกันยังไง (ปรากฏว่าจบแบบปาหมอน เอาเวลากุคืนมา T _ T)
>>857 อันนั้นมันเปลี่ยนท้ายบทไง แล้วเราเข้าใจว่าเขาเปลี่ยนทุกตอนเลยใช่เปล่า เหมือนเป็นกิมมิค แต่ 856 บอกจะตัดสลับกูไม่ชอบว่ะ คนอื่นอาจจะโอเคแต่กูบอกเลยว่ากูไม่อ่านต่อแน่ (นอกจากกูอยากเม้นด่าตอนจบกูก็จะอ่านให้จบจะได้เม้นได้) ขนาดมังกรเนียร์สนุก ๆ ไรท์เตอร์อยู่ ๆ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนมุมมองกลางเรื่องกูยังไม่อยากอ่านต่อเลยตอนนั้น
รู้เรื่องอ่ะมันรู้เรื่องอยู่หรอก แต่มันสะดุด มันรำคาญ
กูเขียนนิยายที่ใช้ตัวละครอยู่ต่างประเทศ เป็นฝรั่งกันทั้งหมด มันมีตัวละครชายตัวนึงที่กำลังจะเรียนจบและอยู่ในวัยออกหางานแล้ว แต่บ้านมันรวยมาก เป็นคุณชายอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่เบ้อเริ่ม เด็กฝรั่งส่วนใหญ่ก็จะแยกบ้านไปอยู่กับแฟนบ้างอะไรบ้างตั้งแต่อายุ 18 อย่างนี้ใช่มะ กูก็คิดจะให้ตัวละครนี้แยกบ้านออกไปอยู่เองคนเดียวเหมือนกัน แต่ปัญหาที่คิดตามมาคือ บ้านของอีนี่ นอกจากเมดกับพ่อบ้านแล้วก็ไม่มีคนอยู่ พ่อกับแม่ก็ทำงานต่างประเทศไม่ค่อยกลับบ้านด้วย กูควรจะให้มันอยู่บ้านเดิมของมันต่อไป หรือแยกออกไปอยู่เองข้างนอกดีวะ คนรวยฝรั่งนี่เขาทำตัวกันยังไงอะ
ถามหน่อยได้ไหมชาวโม่ง คิดยังไงกับการบรรยายแบบร่างสูง ร่างบาง ร่างอรชร เสียงแหลม เสียงเล็ก เสียงทุ้ม กุเห็นบางคนบ่นกัน อยากรู้ว่าแทนตัวละครแบบนี้มันแย่มากเลยอ่อ ถ้าไม่แทนแบบนี้แทนแบบไหนดี บอกกุที..
ขอพื้นที่ระบายนิดนึง มันคาใจมานานละ 555 คือก็บอกตัวเองว่าเขียนสนองนี้ด จะสั้นยาวก็ช่าง แค่มีความสุขก็พอ แต่บางทีเห็นงานคนอื่นก็อดเปรียบเทียบไม่ได้บ่อยๆ ไหนจะคอมเม้นท์ที่สุดแสนจะเงียบเหงาอีกล่ะ แต่เอาเหอะ ลงทีก็มีคนแวะเวียนมาอ่านบ้างก็พอไหว ถึงเขาจะแค่มาแล้วผ่านไปก็เถอะ เหอะๆ ปลอบใจตัวเองต่อไป
กูว่าที่คนเขารำคาญเพราะมันเป็นการใช้คำที่ไม่ใช่เอกลักษณ์ของตัวละครด้วย
ผู้หญิงก็ ร่างบาง ร่างเล็ก ร่างน้อย ปากบาง คิ้วเรียว เสียงเล็ก เสียงหวาน ตาหวาน
ผู้ชายก็ ร่างหนา ร่างใหญ่ ร่างโต ปากหนา คิ้วหนา คิ้วเข้ม เสียงทุ้ม เสียงนุ่ม ตาคม
คือพระนาง 90% มันก็แบบนี้อยู่แล้วไง แต่ถ้ามึงมีนางเอกสูงเปรต จะใช้ร่างสูงคงไม่มีใครว่า หรือ ตลค อ้วน จะร่างท้วม ร่างจ่ำม่ำ หน้ากลม คนก็คงโอเค เพราะมันเป็นจุดเด่นของ ตลค
อีกอย่างคือแม่งใช้บ่อยเกินด้วย ถ้าเป็นลักษณะที่ไม่ใช่เอกลักษณ์ออกมาบทละครั้ง (ต่อ 1 ตลค) ก็บ่อยแล้วนะกูว่า กูได้ยินว่ามันมีพวกโปรแกรมที่นับคำซ้ำใช่ป่ะ กูว่านักเขียนควรจะใช้กัน พวกมึงได้รู้ว่าใช้ร่างบางกันบ่อยแค่ไหน
ปล. อย่างเช่นพารากราฟที่กูเขียนมานี้ใช้ กูว่า เยอะไปหน่อย แต่กูขี้เกียจแก้
กูว่าใช้ชื่อแทน หรือใช้เธอ เขา หล่อน ดีกว่าร่างทั้งหลายว่ะ ใช้ร่างแล้วให้ความรู้สึกเหมือนนิยายทัณฑ์พิศวาสทาสซาตานเถื่อน
กูเคยอ่านแบบแทนแค่ชื่อตัวละคร ชายหนุ่ม หญิงสาว เขา เธอ แค่นี้จริงๆ ก็อ่านได้ไม่ขัดนะ
ร่างสูง ร่างบางก็พอรับได้บ้าง แต่ถ้ากูเจอปากหนา....ใดๆก็ตามแล้วหลุดหัวเราะทุกที ขอหน่อยเหอะ 5555555555555
>>870 กูจะยกตัวอย่างให้ดูนะ (อาจจะไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี แต่คิดว่าน่าจะได้แนวทาง)
โม่งศรีกลั้นหายใจเมื่อเห็นหลังคาสีม่วงเข้ม รู้สึกปั่นป่วนในท้องขึ้นมาเสียดื้อๆ หล่อนเลียริมฝีปากที่แห้งแล้วถอนหายใจ พอเหลือบมองคนข้างๆ ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่กำลังขับรถยนต์เขามีสีหน้าเรียบเฉย แทบไม่สนใจความกระวนกระวายของหล่อนแม้แต่น้อย ไม่นานรถยนต์ก็แล่นช้าลงกระทั่งจอดสนิทเทียบทางเท้า
หญิงสาวปลดเข็มขัดนิรภัยออกพยายามจะอ้อยอิ่งอยู่ในรถในนานขึ้นสักวินาทีเดียวก็ยังดี แต่ดูท่าคนข้างๆ จะไม่คิดอย่างนั้น พอเปิดประตูรถได้ก็เดินอ้อมมากระชากประตูด้านข้างที่หล่อนนั่งให้เปิดออก สายตาคมกริบดั่งนกเหยี่ยวจ้องมองหล่อน
อะนับดู ว่ามีสรรพนามเท่าไร
ปล.ถ้าไม่ดี ไม่ต้องด่า กูไม่สู้คน
ไหนๆก็ว่างมาสิงนี่ล่ะกุขอคำปรึกษาที คืองี้กุพยายามเขียนนิยายหลายรอบละไม่จบ ทีนี้ไปนั่งเล่าพล็อตๆกับคนนึง เขาบอกพล็อตคล้ายๆกันเว้ย สรุปช่วยกันแต่ง แต่มันก็ขัดๆบางทีนะ แต่กุก็ไม่อยากแต่งคนเดียวว่ะ เพราะเดี๋ยวอู้ กุจะถามทำงานกันสองคนทำไงให้หายอึดอัดและนิยายไปรอดวะ บางทีความคิดก็ไม่ตรงกันงี้
>>879 กุก็เคยตกลงจะร่วมเขียนกับเพื่อน สุดท้ายไม่รอดว่ะมึง แค่พล็อตเหมือนไม่ได้แปลว่ารายละเอียดจะเหมือนตาม เวลาเขาเสนอไรมากุก็ไม่ค่อยชอบ รู้สึกว่านิยายกุควรเอาตามกุสิ กุเสนออะไรไป เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน คิดคล้าย ๆ กุ แล้วก็มีปัญหาเวลาไม่ตรงกันด้วย สุดท้ายก็แยกย้ายตามประสา
>>879 ลองนั่งนิ่งๆแล้วคิดว่าอึดอัดเพราะอะไร ถ้าอึดอัดเพราะเถียงสู้ไม่ได้นี่อาจจะเป็นเพราะ...
1. ในใจรู้สึกว่าความคิดเขาเป๊ะกว่า : เปิดใจให้กว้างๆ แล้วเรียนรู้จากอีกฝ่าย (วิเคราะห์ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าเป๊ะด้วยก็ช่วยได้)
2. รู้สึกว่าเราถูก แต่เถียงไม่ออก : สัญญาณวงแตก คือจะร่วมงานกับใครอันดับแรกคือต้องเถียงได้ ไม่งั้นตัวตนของเราจะค่อยๆหายไป เผลอๆ อีกฝ่ายก็อึดอัดเหมือนกัน แบบ อะไรวะ กูว่าอะไรเอาหมด
3. เถียงสู้ไม่ได้ : ถ้าจุดที่เถียงแพ้คือจุดที่เรายอมรับได้ว่าความคิดนั้นดีกว่าย้อนไปข้อหนึ่ง ถ้ายอมรับไม่ได้ควรเถียงต่อไม่งั้นก็...
4. ไม่อยากเถียง : แต่งนิยายคนเดียวเหอะ
....นั่นแหละ แต่หลายคนช่วยกันแต่งก็มีข้อดีนะ ข้อบกพร่องพวกplot hole บางอย่างคนเดียวมันมองไม่เห็น แล้วก็เวลาเถียง 2 คน 2 ความคิดแต่พอเถียงจบอาจจะได้ความคิดที่ 3 ที่ 4 มาใช้ (เวลาเถียงควรเกิดไอเดียเพิ่มนะ ถ้าไอเดียเท่ากับก่อนเถียงนี่น่ากลัวว่าจะฟัดอีโก้กันอย่างเดียว ไม่ได้ต่อเติมความคิดกันเลย)
แล้วก็ไม่เหงาด้วย (แต่พล็อตคล้ายไม่ควรเป็นเหตุผลในการร่วมโปรเจกต์นะ ถ้าเรื่องราวมี message ที่อยากสื่อตรงกันก็ว่าไปอย่าง พอๆ ยาวแล้ว นอนล่ะ - -'')
เขียนไม่ออกแต่อยากเขียน อยากเขียนมากๆ แต่ตอนนี้แม้แต่ประโยคยาวๆก็เขียนไม่ได้มาสี่เดือนแล้ว...
มันไม่เคยเป็นงี้มาก่อนเลย เฮ้อ...ตอนแรกก็ไม่เอะใจอะไรเพราะงานยุ่ง แต่พอไปอ่านการ์ตูนเรื่องนึงเข้าก็รู้สึกว่าเออว่ะ นอกจากบ่นแล้วกูก็เขียนบทบรรยายหรือเรื่องสั้นไม่ได้แล้วนี่หว่าในช่่วงสี่เดือนนี้
น่าจะลองหาไหมว่าเขียนไม่ออกเพราะอะไร ตั้งมาตรฐานตัวเองสูงไป ไม่รู้จะเขียนออกมายังไง ฯลฯ
อย่างของกูคือไม่ค่อยมีสมาธิ อันนี้ปกติกูเขียนไปสักพักก็จะติดลมบน ช่วงแรกๆ ก็ห้ามวอกแวก ไม่งั้นก็ไม่รู้จะเขียนอะไรต่อดีเลยเขียนไม่ออก ถ้าเป็นอย่างนี้ กูจะกลับมาร่างก่อนนิดหน่อย อย่างจะคุยเรื่องอะไร ใครมา หรือบางทีก็เขียนคร่าวๆ เลยว่าตรงนี้จะบรรยายฉาก และจะเชื่อมไปตรงนี้ ตรงนี้จะแฟลชแบ็กอะไรก็ว่าไป หรือเพราะว่ากูอยากเขียนให้ดีจริงๆ น่ะนะ พอเขียนก็จะมีเสียงวิจารณ์ในใจโผล่มา เลยเขียนๆ แก้ๆ จนเขียนไม่ออก ถ้าเป็นอย่างนี้กูจะพยายามนึกไว้ว่า เขียนๆ ไปก่อน เดี๋ยวกลับมาแก้ทีหลังก็ได้ อย่าเพิ่งมาวิจารณ์เฟ้ย
พูดถึงเรื่องนี้ เข้าใจว่าพวก free writing ก็น่าจะช่วยนะ หรือลองเขียน morning pages ดู
สู้ๆ เน้อ
>>887 กู885นะ ของกูนี่เหมือนปกติกูจะเป็นพวกเขียนตามอารมณ์อยู่แล้วอะ คือถ้าอารมณ์มา พล็อตได้ กูก็จะนั่งเขียนอยู่อย่างนั้นจนจบภายในรวดเดียวเลย อย่างเรื่องยาวประมาณสองร้อยกว่าหน้า กูก็เขียนรวดเดียวจบแบบไม่ทำการทำงานอะไรเลยจนกว่าจะรู้สึกพอใจ แต่สี่เดือนกว่าที่ผ่านมานี่ กูทำแต่งานที่ไม่ได้ใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์หรือทางศิล์ปเลย สี่เดือนที่ผ่านมามีแต่การคิดอะไรแบบระบบเหตุผล ต่างจากระบบความคิดปกติของกูที่ทำตามความรู้สึก พอรู้สึกอยากเขียนขึ้นมา มันเลยเหมือนขึ้นสนิทแปลกๆ55
ky กูแต่งนิยายที่มีตัวประกอบเป็นหุ่นยนต์อารมณ์แบบนุ้งเดวิดที่เป็นหุ่นมีความรู้สึกจากหนังเรื่อง A.I. อ่ะ ทีนี้เขียนๆไปไม่รู้จะแทนสรรพนามให้หลากหลายยังไงดี แนะนำทีเด้อ
กูก็เขียนไม่ออกเหมือนกัน ทั้งที่มีพล็อต วางโครงเรื่องไปจนจบได้แล้ว แต่พอจะเริ่มเขียน กูดันเริ่มเรื่องไม่ได้ว่ะ ใครมีประสบการณ์ช่วยแนะนำที
>>891 ก็เขียนมั่วๆ ไปเลย แล้วก็แก้ซ้ำไปซ้ำมา เดี๋ยวมันก็ดีเอง
ตอนกูเขียนไม่ออกเพราะหาทางทำให้ตรงพล็อตไม่ได้ก็แบบนี้ละ เขียนไปแล้วเดี๋ยวมันก็แล่นขึ้นในหัวเอง แล้วก็รีไรท์ใหม่บ่อยๆ สุดท้ายมันจะออกมาใกล้เคียงกับในพล็อตเรื่อยๆ แต่ถ้ายังไม่พอใจก็รีไรท์จนกว่าจะพอในนั่นละ
>>893 ขอบคุณจ้ะมึง กู>>889>>885เอง
แต่ตอนนี้กูเขียนออกแล้วนะ...ทำไงก็...กูเขียนเรื่องเกี่ยวกับคนที่เขียนนิยายไม่ออกไป พอได้พพรณนาความรู้สึกตัวเองออกมาแล้ว ก็เหมือนว่สทุกอย่างมันจะไหลลื่นขึ้น
มึงคิดอะไรไม่ออกก็ลองเขียนเรื่องว่ามึงเขียนไม่ออกก็ได้ บางทีการทำอะไรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเองอาจทำให้รู้สึกคุ้นชิน ไฟติดง่ายกว่า
และตอนนี้กูรู้เลยว่า เขียนไม่ออกก็ต้องเขียนให้ออกล่ะวะ ถ้ามึงไม่เขียนอยู่เรื่อยๆ ซักวันมึงก็จะลืมไปว่ามึงเคยเขียนมายังไง
เขียนไม่จบซักเรื่องนี่ต้องทำไงวะ
>>890 ถ้าหุ่นแบบมีความรู้สึกเหมือนคนกุว่าก็ใช้สรรพนามเหมือนคนไปได้เลยนะ ถ้าอยากให้อินเรื่องมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ก็ควรมีวิถีเหมือนมนุษย์มากที่สุด ยกเว้นต้องการแยกชัดเจนว่านี่คือหุ่นยนต์ ก็อาจจะใช้เป็นพวก ตัว มัน ชื่อหุ่น ชื่อรุ่น บลาๆ ได้เยอะอยู่ ถ้าแทนตัวหุ่นเองก็แล้วแต่ชอบ ที่เจอบ่อยก็ ผม ฉัน ข้าพเจ้า กระผม ดิฉัน หรือเป็นชื่อหุ่นเองเลยก็น่ารักดี ส่วนใหญ่ก็เป็นคำที่ปกติในเรื่องไม่ใช้กัน ให้ดูออกว่ามันแปลกแยกมาอะนะ นึกง่ายๆก็อย่างเรื่องสตาร์วอร์น่าจะเห็นชัดมะ อย่างหุ่นกระป๋องเงี้ย หุ่นบ้าไรพูดไม่รู้เรื่องแต่กุชอบ น่ารัก
เมื่อวานในทวิตมีประเด็นเขียนฟิคควรจะคีพคาร์หรือไม่คีพคาร์ดี
พวกมึงคิดว่ายังไงกันบ้างวะ กูอยากรู้ความเห็นคนในนี้บ้าง
>>898 ในฐานะคนเขียนฟิค กูว่ายังไงมันก็ต้องคีปว่ะ อย่างกูติ่งทั้งผช.2Dและ3D เวลาจะเขียนฟิคที มันต้องมีจุดนึงในตัวตลค.นั้นๆที่เป็นจุดที่อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าเป็นคนนี้/เป็นตลค.นี้อ่ะ ไม่งั้นแม่งก็ไม่ต่างอะไรกับออริอย่างที่ >>900 ว่า ต่อให้มึงจะเขียนเซตติ้งAUไกลความเป็นจริงสามร้อยโยชน์มึงก็ควรจะคีปคาร์ไว้บ้างอยู่ดี
ขอบ่นหน่อย กูเป็นคนอ่านนะ ตอนนี้กำลังไล่อ่าน Gradence อยู่
กูงงมากกับจักรวาล AU ที่ใช้ชื่อตัวละครเป็นครีเดนซ์ แต่นิสัยกลายเป็นเอซร่า หรือชื่อเอซร่า แต่นิสัยเสือกเป็นครีเดนซ์ ถ้าจะ AU อยู่แล้ว มึงใช้ชื่อให้มันตรงกับนิสัยซะไม่ได้เหรอวะ ไม่นับที่นิสัยไม่ใช่ทั้งครีเดนซ์ทั้งเอซร่า ไม่รู้มาจากไหนอีก ไม่ต้องรีบเขียนกันมากนักก็ได้ปะวะ มึงศึกษาคาร์ก่อนก็ได้
ไม่รู้ถามมู้ไหนอ่ะ เอานี่ละกัน พวกนักเขียนที่เขาขายนิยายให้ทีมละครนี่มีสิทธิ์เลือกคนแคสเองได้ไหมวะ กูเห็นบางเรื่องดีๆเอามาทำละครแล้วนักแสดงมันไม่เข้ากับบทจนแป้ก มันน่าเสียดายอ่ะ ยังไม่นับเรื่องบิดเบือนบทประพันธ์เละเทะอีกนะ ถึงจะบอกว่าเป็นลิขสิทธิ์ของมันแล้วก็เหอะ กูว่าแม่งไม่ค่อยให้เกียรติกันเลย
>>908 ที่เคยรู้มาคือนอกมีสิทธิ์มีเสียงบ้าง แต่สุดท้ายคนเลือกก็ผู้กำกับ ถ้าในไทยยากโคตรๆ ยกเว้นผู้กำกับดีงามเวอร์มาถามความเห็นนักเขียน เพราะเห็นบางคนก็ได้ไปดูฟีดติ้งได้ไปคุยกับคนเขียนบท อีกอย่างในไทยน่ะ พวกสายทำละคร เค้ามีรายชื่อในมือเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ด้วยเรื่องเส้นสาย มันเลยเหมือนล๊อคกลายๆเลือกคนของตัวก่อน นี่เป็นอีกสาเหตุที่กุไม่ดูละครที่ทำจากนิยายใหม่ๆละ ไม่อยากผิดหวัง ยกเว้นผู้กำกับฝีมือจริงก็พอมีลุ้น
ky หน่อย https://www.dek-d.com/board/view/3715976/
พวกมึงใช้อ่ะกันไหม กูขอยกมือว่าเป็นคนนึงที่ใช้ผิดเลย และไม่เคยรู้ตัวจนวันนี้ว่าผิด
>>908 ไม่ว่ะ คนเขียนเจ้าของต้นฉบับแทบไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ขนาดป้าทมยังไม่มีสิทธิ์พูดอะไรมากเท่าไหร่ ละครออกมาแย่ ออกทะเล ไม่ตรงใจก็บ่นมากไม่ได้ ทำได้แค่ไม่ดูเท่านั้นเอง อย่างตอนดั่งดวงหฤทัยที่ช่องเจ็ดเอาไปทำใหม่ ใส่นั่นใส่นี่มาเยอะแยะจนเละเทะ ป้าแกก็ไม่ได้มีส่วนยุ่งด้วยมากมายเพราะขายไปแล้ว
แต่กูเคยได้ยินว่าตอนเรือนมยุราจะทำละคร มีหลายช่องแย่งกันซื้อ แต่ผู้แต่งบอกว่าใครเอาแหม่มมาเป็นนางเอกได้ก็ให้คนนั้นนะ แล้วไม่นานมานี้ก็เหมือนจะมีคนอยากรีเมคคนเขียนก็รีเควสนางเอกเหมือนกัน ประมาณว่าไม่ได้คนนี้ไม่ขายอ่ะ แต่ก็คงเป็นเคส 1 ในล้านล่ะมั้ง
>>912 ป้าโจเป็นระดับที่ไม่จำเป็นต้องง้อผู้อำนวยการสร้างเลยสักนิด แถมมีสิทธิ์เรียกร้องส่วนแบ่งได้เลย ไม่ใช่แบบเหมาจ่าย
เพราะทำเป็นหนังออกมามีแต่กำไรที่เห็นๆ จากแฟนคลับมหาศาลทั้งโลก
ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่ทำได้
นอกนั่นแทบไชโยโห่ฮิ้วที่ได้เป็นบทละครหรือหนังใหญ่ ไม่ใช่แค่คนไทยนั่นเป็นกันทั้งโลก
>>912 แหม่ ป้าโจระดับไหนกัน อยู่ระดับทุกคนต้องง้อนะมึง บนโลกมีกี่คนล่ะที่ทำได้แบบนั้น แทบจะนับนิ้วได้ ในไทยขนาดป้าทมยังไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในงานตัวเองเวลาไปทำละครเลย มึงดูคู่กรรมเวอร์ชั่นหนังโรงซะก่อน ขนาดเป็นบทประพันธ์ที่แทบทุกคนในประเทศรู้จัก ออกมาเละเทะขนาดไหนยังพูดวิจารณ์ไม่ได้เลย
กูจะเขียนนิยายยูริสักเรื่องแต่พอไปอ่านนิยายท๊อปๆของสายนี้แม่งเบื่อพล็อตมากเลยว่ะ กูเลยอยากเขียนเป็นยูริแฝง แต่พล็อตหลักเป็นแนวสืบสวน ไรงี้ ดีไหม๊วะ กูเขียนเอาความบันเทิง สนองนิ้ดตัวเอง ไม่ได้ตั้งเป้าจะทำขายว่ะ
เพิ่งเขียนนิยายจบไปเรื่องนึง คนอ่านก็บอกว่าชอบงานที่กูเขียนแล้วก็ถามว่ามีภาคต่อมั้ย เพราะกูทิ้งปมไว้ตอนสุดท้ายให้มันดูมีทางไปต่องี้ จริงๆกูวางลำดับเรื่องต่อที่จะเขียนละ /ก็ไม่เชิงภาคต่อหรอก มันเป็นspin-offของตัวประกอบในเรื่องแรกอ่ะ แต่แบบ ครส.กูตอนนี้เหมือนกูทุ่มกับเรื่องแรกไปเต็มสูบ ตอนนี้เลยหมดแรงหมดมุกยังไงชอบกล ไม่มั่นใจว่าเขียนเรื่องใหม่ตอนนี้แล้วมันจะออกมาดีมั้ย ควรพักห่างไปก่อนหรือลุยต่อไปเลยดีวะ
มึงจะตั้งทู้ใหม่กันป่าววะ จะ1000 ละ
อยากเปิดกระทู้ด่าคนอ่านบ้างจะได้มั้ย เอาไว้ด่าคนอ่านอย่างเดียวเลย เก็บกดว่ะ พวกไม่พอใจอ่านแต่ไม่ยอมเลิกอ่านขยันเข้ามาพิมพ์ด่าทุกครั้งที่อัพ จะด่าตอบก็ไม่ได้ จะด่าในเฟซหรือทวิตก็ต้องรักษาภาพอีก
กูขอเริ่มคนแนกได้ไหม แม่งจะกดเฟป ทำไมวะ มึงมาอ่านเฉยๆ เม้นก็ไม่เม้นให้ พอไม่ถูกใจมึงก็ถอนเฟบ ใจดำฉิบหาย ไม่ให้กำลังใจเสือกบั่นทอนกูอีก กูตั้งใจแต่งไม่เคยดองอัพวันเว้นวัน แต่มึงไม่ทำห่าไรเลย กูเสียใจนะเว้ย
>>930 กูระบายเพราะอยากได้กำลังใจ อยากได้แนวคิดดีๆ จากโม่งบางคน เพื่อเรียกกำลังใจ เพราะ กูแต่งนิยายอ่านฟรี กูไม่ใช่นักเขียนดังจะได้ไม่แคร์อะไร ถ้ามึงมีโอกาสได้โหวตต่ำนิยายกู กูก็ขอบอกว่ากูไม่แคร์ยอดโหวต แต่กูกะอยู่แล้วล่ะว่าถ้าระบายก็มีพวกร้อนหัว นาวเบิร์นเบบี้เบิร์น มาแซะกูจนได้ อ่านใหม่ดีๆนะคะซิส ว่าจริงๆแล้วกูเสียใจ ไม่ใช่กูจะด่านักอ่านเอามันส์ แล้วมันจริงไหม นิยายอ่านฟรีนักอ่านจะทำไงก็ได้สินะ สงสารกูบ้างกูซื่อสัตย์กับคนอ่านตลอด แม่งพิมพ์เยอะไม่ไหว กูกลัวมึงไม่อ่าน รักนะคะซิส
>>931 ถ้ามันเวิ่นเว้อมโนไปไกลก็ควรตบกลับมาโลกจริงบ้างนะ เอาแต่ปลอบกันในกะลามันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก
ไม่แคร์ยอดโหวตแต่แคร์ยอดแฟบ แล้วกูว่ามึงด่าเอามันนะ แค่ไม่เม้นต์คือนักอ่านใจดำ อะไรของมึง
มันไม่เกี่ยวกับนักอ่านฟรีอะไรหรอก แค่คนอยากอ่านเขาก็อ่าน มึงจะไปบังคับลำเลิกบุญคุณอะไรนักหนา
ถ้าโดนด่างี่เง่ากูก็เห็นใจมึงนะ แต่นี่คือหัวร้อนเอง มโนเอง ด่านักอ่านเอง ถ้ามันลำบากขนาดนั้นก็เลิกเขียนเถอะ
สุดท้าย การซื่อสัตย์กับนักอ่านคือการเอา"นักอ่านฟรี"มาด่าลับหลัง กูนี่กด"ว้าว"ให้เลย
กุเป็นคนอ่านแล้วไม่เคยกดห่าไรเลย เข้าอ่านอย่างเดียว ไม่เม้นด้วยซ้ำ คือไม่ชอบให้มันเด้งเตือน ไม่ชอบเม้นประเภทว่า รออ่านนะคะ ไรงี้ ดูสิ้นคิดเกินไป เลยไม่เม้นแม่ง แล้วกุก็ประเภทนึกได้ค่อยไปตามอ่าน เบื่อมานั่งรอทีละตอนๆ
กุว่าถ้ารักจะแต่งอย่าไปแคร์พวกสถิติเลยประสาทจะกินเอาก่อนแต่งจบนะกุว่า อย่างกุตอนนี้แต่งเองอ่านเองคนเดียวยังไม่ลง เพราะยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจในผลงานเท่าไหร่ กลัวลงแล้วตามแก้บ่อยๆคนอ่านด่าอีก แถมสปีดแต่งนี่ช้ามากอู้มาก 555+ กุชมคนที่ลงได้ตามเวลาเลยนะว่าอย่างน้อยก็มีความรับผิดชอบดี
ถ้าเมิงอยากได้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการแต่งไม่กลัวโม่งแหกก็ลงลิ้งค์ไว้ก็ได้เดี๋ยวจะช่วยเข้าไปอ่านติชมให้
ส่วนถ้าเจอพวกนักอ่านสักแต่ด่าเอามันส์ไม่บอกจุดที่ควรแก้กุว่าก็อย่าไปแคร์ นักอ่านหลายคนก็นิสัยเสียจริงก็ปล่อยเบลอไป
แหม่ กูละชอบจริงๆเวลาเห็นคนเขียนปัญญานิ่มออกมาเรียกร้องแล้วเผาตัวเองตายไปเอง เบิร์นหัวมึงไปเหอะออกมาดิ้นๆอยู่คนเดียว
คนเขาอ่านข้อความมึงยังไงเข้าใจว่าเป็นการด่า ไม่ใช่เป็นประโยคขอกำลังใจ (ถ้าเป็นขอกำลังใจจริงการเขียนมึงมีปัญหาการสื่อสารแล้ว ที่เขาไม่เม้นท์ให้เพราะห่วยอ่านไม่จบตอนเปล่าวะ...)
มีคนมาแย้งหน่อยมึงทั้งแถทั้งประชด คนมาเม้นท์ตินิยายให้ปรับปรุงมึงไม่ออกงิ้วไล่ลบเม้นท์เขาเลยเหรอ....
ต่อมเผือกทำงานหนักชิปหาไม่เจอเลยที่นี้
ไหนๆแต่งเรื่องไหน จะตามไปกดติดดาวให้ ถามจริงมรึงจะเอาดาวไปแลกข้าวกินหรอ เม้นนักอ่านมรึงเอาไปแลกเงินได้ช๊ะ!!
ที่มรึงเขียนคือ นินทาหว่ะ บ้านกรูเค้าเรียกนินทา ไอ้ที่แถบอกขอกำลังใจเค้าเรียกตอแหล
กูเป็นนักอ่านคนหนึ่งนะ กดเฟบไว้แจ้งเตือน นานๆ เจอเรื่องถูกใจหรือมีอะไรให้เม้นก็จะเม้นที ที่ไม่เม้นเพราะมันไม่มีอะไรให้เม้นว่ะ
กูไม่สามารถให้ตัวเองเวิ่นได้ขนาดนั้น เห็นบางคนอ่านแล้วเม้นยาวเป็นพรืดกับเรื่องที่กูเฉยๆ ก็รู้สึกนับถือจริงๆ หรือจะให้เม้นว่า รออ่านนะคะ เป็นกำลังใจให้
สมัยนี้ ใครเขียนแล้วหวังทำเป็นอีบุ๊คสร้างรายได้
แนะนำว่าอย่าลงเว็บจนหมดเรื่องละมึงเอย
คนอ่านรุ่นใหม่ๆ เขาใช้แอ็ปก็อปเนื้อเรื่องที่ลงไว้ในเว็บได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเว็บไหน ดด. วล. หรือที่อื่นๆ
พวกนี้ก็อปอ่านเก็บไว้ในเครื่องเสร็จ จะไม่มีทางไปอุดหนุนนิยายเรื่องนั้นได้ง่ายๆเลย ไม่ว่าหน้าปกหรือรีไรท์ใหม่เพิ่มตอนพิเศษเข้าไป
ถ้าเผลอลงครบเรื่อง เป็นได้จบ ขายไม่เดินในทันที
ปล.เข้ามาบ่น
Ky สมมติกูเขียนนิยายแล้วนางเอกคู่กะพระเอกแล้วก็พิมพ์ทำมือไป แต่ทีนี้กูสายจิ้น ชอบเคมีนางเอกกะตลค.อื่นแล้วเขียนเอยูที่สองคนนี้คู่กันขึ้นมา(นอร์มอลนะ)แล้วพิมพ์เป็นโดจินนี่ถือเป็นการทรยศคนอ่านมั้ยวะ อย่างถ้าใครไม่จิ้นไม่ชอบไรงี้ เขาอาจจะมองว่าทำไมไม่แต่งคู่กะคนใหม่ไปเลยวะ แทนที่จะใช้นางเอกเดิมฝห้เสียค.รู้สึก
>>938 เห้ย ปัญหานี้กูกำลังเป็นเหมือนกัน แต่ถ้ากูจะทำจริงๆกูไม่รู้สึกทรยศคนอ่านนะ รู้สึกเหมือนเป็นทรยศพระเอกคนเดิมมากกว่าอ่ะ Zกูสงสารมัน 5555555555555) คืองี้ กูเขียนเรื่องนึงมาได้แล้วไปให้นางเอกมีคู่ใหม่ช้ะ แล้วกูดันชอบคสพ.เรื่องใหม่มากกว่า พอกลับไปอ่านเรื่องเก่ามันก็ไม่อินแล้ว เกลียดตัวเองชิบหายเลยแม่ง
>>938 สำหรับกุไม่โอเคนะ มันดูแบบนางเอกโลเลทันที ถ้าจะจบแบบนี้ไม่จบกะใครเลยจิ้นเองไปง่ายกว่า กุเบื่อพวกแบบมามีเรือหลายๆลำมาก ลงผิดลำทีมันหมดอารมณ์จะอ่านต่อ ทำให้มีความรู้สึกเกลียดนิยายเรื่องนั้นขึ้นมาทันทีเลย ทั้งที่จุดอื่นๆที่ดีๆมันก็มีให้จำนะ แต่พอความคิดเรื่องลงผิดลำมันมาก็แบบเซง
กู >>938 เอง ขอบใจสำหรับความคิดเห็นนะทุกคน คือเอยูของกูที่คิดเนี่ยเป็นโลกที่ไม่เคยมีตลค.พระเอกคนเก่าอยู่เลยเว้ย กูคงเขียนแหละแต่ไม่โพสไม่พิม กูป๊อดคนด่ากูไม่สู้ เขียนเองอ่านเองสนองตัณหาแม่ม555 นางเอกกูกระด้างไง พระเอกกูสายอ่อนโยน ทีนี้มีลูกน้องนางเอกที่นิสัยทื่อมะลื่อเหมือนกัน อยู่ด้วยกันมักแดกจุด .......ยาวๆ ไป กูเลยคิดว่าถ้าแข็งเจอแข็งบ้างคงน่าสนุกดี เหมือนเอาก้อนหินสองก้อนมาวางข้างกันอะ
เออ กูสงสัย มาถามมู้นี้ได้มั้ย คือเวลาเข้าทวิต กูจะเห็นบางคนเขาแต่งฟิคแล้วลงเป็นรูปไง นึกออกใช่ป่ะ เลยอยากรู้ว่าเขาทำยังไง เขียนลงอะไรวะ กูจะได้ลองมั่ง
กูพยายามหาอันธรรมดาสุดๆละ แต่หายากชิบ เอาเป็นยังงี้ไปละกัน กูสงสัยว่าพิมพ์ลงอะไรแล้วแคบยังไงถึงพื้นขาวงี้ได้วะ
https://twitter.com/hiyuura/status/817567382461812736
ถามในฐานะคนเขียนนะ
สมมุติว่าพวกมึงอ่านนิยายเรื่องนึงแล้วเจอว่านางเอกมันไม่ได้ท้องกับพระเอกแต่โดนข่มขืนจนท้องกับตัวร้ายแทน
รับได้กันไหมวะ Q^Q
มีวิธีพัฒนาสำนวนกันยังไงบ้างวะ ของกูอ่านแล้วมันรู้สึกขัดๆไม่ไหลลื่นยังไงก็ไม่รู้
กูยิ่งเขียนสำนวนยิ่งเหี้ยลงด้วยซ้ำ คืออ่านมากขึ้น คำเยอะขึ้นก็จริง
แต่เข้าไม่ถึงตัวละครของตัวเอง เขียนออกมาทีแม่งก็ฝืดหมด
>>952 ถ้าแนวดราม่าอยู่แล้วธรรมดามากเลยนะ อยู่ที่เนื้อหาโดยรวมมากกว่าว่าเป็นยังไง บอกแค่นี้ตอบยาก
>>954 กุยังขัดๆกับตัวเองอยู่เลยว่ะ บางทีเขียนๆลบๆแก้ๆบ่อยมาก บางทีกุชอบเขียนยืดยาวพอมาอ่านก็แบบเห้ยมันยาวไปว่ะแก้ พอแก้เสร็จเห้ยมันสั้นไปแก้อีก จะบ้าตาย แล้วเลือกใช้คำนี่ลังเลหนักมาก คิดแล้วคิดอีกใช้คำไหนดี กุเข้าใจคนแต่งนิยายมากขึ้นเยอะเลย หลังจากอ่านอย่างเดียวมานาน แต่ก็ยังบ่นพวกไม่หาข้อมูลเลยแล้วแต่งมั่วซั่วนะ เพราะกุค่อยๆแต่ง คาใจตรงไหนก็หาข้อมูลก่อนตลอด เห็นพวกแปบๆแต่งได้เป็นเล่มๆนี่ก็แบบบางทีก็หมั่นไส้ว่ะ เป็นกันมะ อิจฉาพวกแต่งเร็วๆ
>>957 อิจฉาคนอื่นมันก็ธรรมดาอยู่ละสำหรับกู ไม่ได้ตาร้อนบ้าคลั่งอะไรแบบนั้น แค่แบบ โห จะสตรองอะไรขนาดนั้น แล้วของตัวกูเองเมื่อไรจะทำได้บ้างวะ
กูมีปัญหาเรื่องเข้าไม่ถึงตัวละครว่ะ กูสร้างมันให้มีปมจนคนอื่นในเรื่องเข้าถึงยาก แต่สุดท้ายก็กู-คนเขียนนี่แหละที่เข้าไม่ถึงซะเอง เวรจริงๆ
ของกูติดปัญหาคาร์แกว่ง เขียนไปเขียนมาจะได้ครึ่งเรื่องแล้วมาแก้นิสัยตลค. เสริมนู่นตัดนี่จนรำคาญตัวเอง เพิ่งรู้ข้อเสียของการไม่ปูพื้นมาดีๆก็ตอนนี้แหละ
เสียงสำนักพิมพ์
สัมภาษณ์ผู้บริหารไฟแรงจาก-สำนักพิมพ์คำต่อคำ
ลองดูแนวทางของสนพ. แนวนิยายรัก
http://www.writenowmag.com/content/13100/เสียงสำนักพิมพ์---สัมภาษณ์ผู้บริหารไฟแรงจาก-สำนักพิมพ์คำต่อคำ
จับเข่าคุย
นักเขียนตัวเล็กแต่มากฝีมือ...ดวงตะวัน
http://www.writenowmag.com/content/14020/จับเข่าคุย---นักเขียนตัวเล็กแต่มากฝีมือ...ดวงตะวัน
เคยเจอปัญหาคาร์ซ้ำกันไหมวะ กูเป็นประเภทแต่งหลายเรื่องพร้อมกันอ่ะ กลายเป็นว่านิสัยพระเอกสองเรื่องมันคล้ายกันซะงั้นถ้าเจอแบบนี้ทำไงอ่ะ
สงสัยนานแล้วเวลาอ่านนิยายจะต้องคาดหวังมีพระเอกนางเอกกันเหรอ เห็นบางเรื่องพวกเด็กเมนต์อย่างเอาเป็นเอาตายต้องรู้ให้ได้เช่น ใครเป็นพระเอก ใครเป็นนางเอก แฮปปี้เอนมั้ย ถ้าไม่ตอบไม่รู้จะเลิกอ่าน
ถ้าเป็นตัวเองเวลาอ่านจะสนใจว่าจะคนเขียนจะเรื่องอะไร แนวไหน สื่ออะไร หักมุกหรือมีมุกอะไรแปลกใหม่ สำหรับตัวละครก็แค่พอรู้ว่าตัวไหนเป็นตัวนำเรื่องก็พอ ถ้าจบแบบคู่นำได้อยู่ด้วยกันก็แฮปปี้เอนดิ้งเป็นพระนางไป ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นอะไร หรือมีคู่รักในเรื่องเป็นคู่รองก็แฮปปี้เอนดิ้งได้ ตัวนำดำเนินเรื่องเป็นตัวอื่นที่ไม่ใช่พระเอกนางเอกก็ได้ แค่น่าสนใจอ่านจนจบแล้วสนุกชอบก็พอ
บางทีกูก็งงว่าทำไมถึงชอบถามว่าใครพระเอกนางเอกเหมือนกัน กูรู้สึกว่าพวกนั้นจะได้เลือกเชียร์ถูกคนอ่ะ มีความเห่อหมอยเบาๆ
อย่างเกมออฟทรอน จนป่านนี้กูก็ยังงงว่าใครเป็นพระเอก(แต่กูว่ามันเป็นประเภทหลายตัวเอก) คนชอบบอกว่าจอนเป็นพระเอก แดนี่เป็นนางเอก แต่สำหรับกูกูว่าทีเรียนกับเซอร์ซี่เป็นตัวที่เด่นสุดเลยว่ะ ถึงเซอร์ซี่จะบิชและโง่และโง่แต่นางเด่นมากจริงๆจนกูเชียร์นางทั้งๆที่รู้ว่าปลายทางคือปากเหว5555
สำหรับกูกูสนใจเนื้อเรื่องมากกว่า ตลค.มันเป็นตัวขับให้เนื้อเรื่องเดินไปได้ ส่วนถ้าคาร์มันมีสเน่ห์ก็ถือว่าเป็นกำไรไป ถ้าเนื้อเรื่องสนุก ไม่จำเป็นต้องหวือหวาหรือหักมุมก็ได้ ถ้ามันดำเนินเรื่องสนุกก็คือสนุก แค่นั้นเอง
อย่างเราเป็นพวกถ้าเขียนตัวละครมาดีพอหรือ relate กับเรามาก ๆ หรือเขียนจนเราชอบเราจะอวยตัวนั้น บางทีถ้าต้องเอาตัวละครตัวนั้นไปดราม่ามาก ๆ เราก็จะช้ำใจตายน่ะ คือ คนอ่านนิยายมันมีหลายแบบ แบบอ่านเอาพล็อตจะไม่แคร์เรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าอ่านแล้วผูกพันตัวละครง่าย รู้เรื่องแบบนี้ก่อนมันก็ช่วยให้เตรียมใจหรือคาดเดาแนวทางเรื่องล่วงหน้าได้ว่าเรื่องที่อ่านจะไม่เฮิร์ตตัวเองเกินไปน่ะ
ถ้าไม่บอกว่ามีพระนางแล้วมาเจอตอนหลังว่าสุดท้ายพระเอกแต่งงานกับคนที่กูไม่ถูกใจนี่กูโคตรเสียความรู้สึก ประเภทนางเอกบทไม่เด่น ถึงแกนหลักมันจะไม่ใช่เรื่องรัก บางเรื่องกูอ่านไม่ต้องการให้ตัวเอกมีคู่ด้วย อ่านอยู่ดีๆ มีเรื่องรักเข้ามาเอี่ยวนี่ก็เท
นิยายรักก็ไม่อวยตัวละครนะ อ่านๆ ไปถ้าคนเขียนทำให้รู้สึกตัวละครรักกันได้ก็โอเค แต่ถ้ายัดบทกำหนดว่านี่พระนางคู่นี่ต้องมาลงเอยกันก็ไม่ว่าอะไรขึ้นกับคนเขียนคงจะเฮ้ๆ หน่อยว่ามันรักได้ไงอย่างอนิเมที่ดังตอนนี้ยังสงสัยรักกันได้ไง หรืออย่างแฮรี่ตอนแรกนึกว่าแฮรี่คู่กับเฮอร์ไมโอนี่แต่อ้าวกลายมาคู่กับรอนก็โอเคไม่ได้เสียความรู้สึก ถึงไม่ค่อยเข้าใจคนที่ไม่พอใจขนาดพิมพ์ด่าคนเขียนอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถ้าแปล all's fair in love and war ว่าทุกสิ่งล้วนขาวสะอาดในสงครามและความรัก น่าจะเข้าใจง่ายกว่าแปลว่า ทุกสิ่งล้วนยุติธรรมในความรักและสงคราม นะ ว่าไหม
>>974 คำอธิบายจะประมาณ
- People in love and soldiers in wartime are not bound by the rules of fair play.
- in love and war you do not have to obey the usual rules about reasonable behaviour
ประมาณคือ ในเรื่องของความรักและสงครามไม่เลือกวิธีการที่จะเอาชนะ (ซึ่งมันมีทั้งที่ถูกต้อง แฟร์ๆ และใช้เล่ห์เหลี่ยม คดโกง)
ตอนที่เราเขียนประโยค "ไม่มีใครได้เปรียบใครในเรื่องสงครามและความรัก" คือตั้งใจให้ตัวละครบอกอีกตัวละครว่า ไม่เกี่ยวว่าคู่แข่งตัวละครจะเป็นใคร ความรักมันอยู่ที่ตัวละครสองตัวที่จะตัดสินใจกันเอง
แวะมาบ่น(?)ตัวเอง 555 เห็นคนอื่นเขียนก็แบบเฮ้ย แบบนี้เราก็เขียนได้ บางทีมีพลอตในหัวเรียบร้อยด้วยนะ แต่พอลงมือเขียนจริง เอิ่ม ทำไมมันติดๆขัดๆจังวะ รู้สึกสมองมึนงง เขียนวกไปวนมา (คิดไปเองรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ) สมองไม่ค่อยแล่นชอบกล คงห่างไปนานด้วยแหละ เฮ้อ บ่นจบแล้ว ไปละ
ห้องนี้รับปรึกษาปัญหานักเขียนไหมนิ อยากหาคนคุยปรึกษาหน่อย
คือบรรยายได้เป็นประโยคบอกเล่ามากกว่านิยายอะ มีคนบอกว่ามันแข็งๆทื่อๆไม่สื่ออารมณ์เท่าไหร่ มีวิธีช่วยไหมครับ
>>980 วิริยาวิ่งเข้าไปพยุงร่างของคุณพินิจที่ซวนเซไปมาแต่ก็คานน้ำหนักไม่ไหวจึงล้มไปกองกับพื้นหญ้าทั้งคู่
"ขอบใจนะ แต่เธอควรไปเรียกยามตรงนั้นมาช่วยจะดีกว่า"
"ขอโทษด้วยค่ะ" หญิงสาวสะบัดเศษวัชพืชเล็กๆออกจากหัวแล้วรีบลุกขึ้นไปเรียกยามที่ป้อมมาช่วยชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พินิจซึ่งทนอาการเจ็บป่วยไม่ไหวก็ได้หมดสติไป
วิริยาหน้าตาตื่นวิ่งเข้าไปพยุงร่างของคุณพินิจที่ซวนเซไปมา แต่ร่างเล็กของเธอต้านรับน้ำหนักไม่ไหว จึงพากันล้มหงายไปกองกับพื้นหญ้าทั้งคู่
"ขอบใจ เธอควรไปเรียกยามตรงนั้นมาช่วยจะดีกว่า" พินิจกัดฟันพูดข่มอาการเจ็บปวด
"ขอโทษค่ะ" หญิงสาวรีบลุกขึ้นโดยไม่ได้สะบัดเศษวัชพืชเล็กๆออกจากหัว แววตาร้อนรนเป็นห่วงเขาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนก้าวเท้าวิ่งออกไปเรียกยามที่ป้อมมาช่วยชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พินิจฝืนทนอาการเจ็บต่อไปไม่ไหว เขาเพียงเห็นภาพลางๆ ที่หญิงสาวร้องเรียกคนมาช่วย ก่อนหมดสตินอนแน่นิ่งไป
ปล.กูคิดว่าน่าจะเพิ่มอารมณ์ระหว่างคู่นี้อีกนิด ประมาณนี่ละมั้ง
มีใครขยันอ่าน แต่ไม่ขยันเขียนแบบกูไหม แรกๆ กูก็อ่านไปเขียนไปด้วยแหละ ก็แบ่งเวลาดีอยู่ แต่หลังๆ มานี่ขี้เกียจเขียนชะมัด ทั้งที่พล็อตก็พร้อม ทรีตเมนท์ก็ร่างเรียบร้อย เอาแต่อ่านๆ อย่างเพลิน กูเปิดไฟล์งานดูทุกวัน และก็ถอนใจทุกวัน
เรา >>977 นะคือตอนนี้มันเกิดความรู้สึกแปลกๆอย่างหนึ่งซึ่งบอกตัวเองไม่ถูกว่ามันยังไง
เรื่องคือเมื่อก่อนเวลาเขียนเราจะเน้นบรรยายกับเล่นคำให้มันอ่านแล้วลื่นไม่ติดไม่ขัดแล้วพอมาตอนหลังนี่เริ่มไม่ค่อยมีเวลากับไม่อยากให้คนอ่านรอนานก็เลยยอมเขียนแบบไม่ต้องใส่ความสละสลวยทางภาษาอะไรเอาแบบห้วนๆ บรรยายแบบรวบรัดๆไปเลย ทีนี้พอมีเวลากะจะกลับมารีไรท์ใหม่ดันเกิดโลเลขึ้นมาว่าจะไปทำให้บทบรรยายมันยาวขึ้นมาทำไมเพราะคนอ่านดันเมนท์บอกว่าชอบที่บรรยายแบบรวบรัดมากกว่า
เลยเริ่มคิดขึ้นมาว่า หรือเมื่อก่อนจะบรรยายน้ำท่วมทุ่งจริงๆ แต่แบบเห็นที่ตัวเองเขียนไปแบบห้วนๆแล้วมันรู้สึกว่ามันไม่ใช่อ่ะช่วยบอกทีว่าไอที่รเาเป็นตอนนี้มันเป็นอะไรกันแน่
>>987 กุคล้ายๆเมิงนะ แต่ของกุยังไม่ลงให้อ่านนะ แต่แบบชอบไปเทียบชาวบ้านอะ แบบเออของกุนับตัวอักษรนี่ไปเยอะมากแต่เนื้อหาไม่ไปไหนเลย แล้วก็มักเจอพวกคอมเม้นมู้ต่างๆที่บ่นๆพวกที่ยาวๆแล้วเนื้อหาไม่ไปไหนก็เลยจิตตกนิดหน่อย คือของกุบรรยายเยอะ บทพูดจะน้อย แต่ก็ชอบที่จะเขียนแบบนี้มากกว่า ในใจก็อยากจะตัดให้มันสั้นๆกระชับ แต่สุดท้ายกุก็ไม่ตัดนะ กุว่าเอาตามที่ใจตัวเองชอบดีกว่า แต่งๆไปมันตามใจทุกคนไม่ได้อยู่ละ กุเลยตามใจตัวเองนี่แหละ มันเป็นปกติว่ะ แบบแคร์คนอ่านไรงี้อ่ะ ส่วนคนอ่านชอบรวบรัดไม่แปลกมั้ง ปกติก็อ่านก็อยากรู้ฉากต่อไป เนื้อหาถัดไปกันอยู่แล้ว ถ้าบรรยายเยอะส่วนใหญ่อ่านไปไม่ขยับไปไหน เมื่อก่อนกุก็ชอบรวบรัดนะ แต่พอโตขึ้นชอบแบบค่อยๆเป็นค่อยไปมากกว่า รู้สึกอินกับเนื้อหาได้มากกว่า เห็นภาพกว่า
Ky เป็นนักเขียนมือใหม่ ช่วยแนะนำเว็บลงนิยายที่คนเล่นกันเยอะๆให้หน่อยสิ
นิยายที่แต่งมันเป็นแฟนตาซี ผจญภัยไม่เน้นความรักเท่าไหร่ ไปลงที่ไหนถึงจะเหมาะนอกจากเด็กดี
ช่วงนี้เว็บ เด็กดี กับ Fictionlog เขามีอะไรกันป่าวอ่ะยอดแฟบพุ่งแปลกๆ กับ มีคนเข้ามาคอมเมนท์บ่อยขึ้น คือแบบดีใจนะแต่สงสัยว่าทำไมจู่ๆก็เป็นแบบนี้ทั้งที่ปกติเงียบสนิทมันมีมหกรรมหรือ Event อะไรกระตุ้นคนอ่านกันรึเปล่า?
ขอความเห็นจากโม่งหน่อยสิ สมมุตเรากำลังเขียนนิยายเรื่องนึงแล้วเรื่องๆนั้นมันมีที่ตั้งอยู่ในจุดที่มีแค่เพศๆเดียวมารวมกัน เช่นเขียนเรื่องราวในค่ายทหารงี้ นักเดินเรืองี้ที่แม่งมีแต่ผู้ชายอะ มันจะแปลกๆป่าววะถ้าในเรื่องมันไม่มีผู้หญิงเลยซักคน ไม่วายนะ ไม่มีเรื่องรักๆเลย หรือเราควรยัดตัวละครหญิงลงไปด้วย แต่ปัญหาก็คือไม่รู้จะยัดไปยังไงเพราะวางเนื้อเรื่องไปแล้วแล้วมันไม่ได้มีฉากที่ตัวละครหญิงจะเข้ามามีส่วนได้อะ มันจะเลี่ยนผู้ชายไปปะ
>>990 เมื่อก่อนจะแนะนำ
พันทิพ - แต่ตอนนี้ระบบลงนิยายมันเละมากแล้วถ้านิยายผ่านต้องมานั่งไล่ลบเองแบบ edit กดลบกระทู้ไม่ได้ เจ้าพ่อเจ้าแม่เยอะ คนเลยเริ่มเบื่อถอยห่างกัน
ห้องสมุด - ตอนนี้เน่ามาก
ธัญวลัย - นิยายเยกัน
เด็กดี - น่าจะรู้ว่าเป็นยังไง
fiction log - เพราะเป็นของอุ๊คบี กลัวจะกลายสภาพเป็นอุ๊คบีบุฟเฟ่ต์ 2 เว็บร้างมาก
เล้าเป็ด - เฉพาะยาโอย
คัมออน - เฉพาะยูริ
ที่อื่นๆ ก็ไม่ค่อยนิยม ส่วนใหญ่จะลงเด็กดี เฟซตัวเอง แล้วก็เอาไปรวมเล่มขาย MEB เลย
ใครรู้ช่วยเสริมให้หน่อยล่ะกัน
>>994 ในค่ายทหารปกติ ทหารหญิงฝ่ายหมอ พยาบาล มีมากไป ฝ่ายกองบังคับบังชาก็ต้องมีเหรัญญิก ไปจนถึงฝ่ายติดต่อประสานงาน ผู้ช่วยทูต อยู่ที่จะแทรกยังไง
เดินทางก็มีฝ่ายสื่อสาร ฝ่ายโภชนาการ ที่พอแทรกได้
ทุกที่มีบทให้แทรกได้หมด รวมถึงบุคลิกอีกว่าจะห้าว ทอมบอย ขนาดไหน
อยู่ที่จะเล่นบทยังไง
มีไปถึงน้องสาว พี่สาวเพื่อนๆ ที่มีโอกาสเข้ามายุ่งเกี่ยว จนไปถึงงานสายลับของศัตรูที่จะส่งเข้ามาแทรกซึม
บทมีเล่นเยอะไป แต่ปกตินิยายเพศเดียวล้วนๆ มันส่อไปทางวายมากไปจนกลิ่นฟุ้งจริงๆ น่าจะมีเบี่ยงเบนบทบ้าง
ปล. นี่เป็นความคิดส่วนตัว แบบสายธรรมดาทั่วไปนะ
>>990 ลงที่นั้นแหละ คนอ่านหลากหลายดี
มองจุดประสงค์หลักที่แต่งของตัวเองด้วย
แต่งไม่คิดมาก ก็ลงที่ไหนก็ได้
แต่งแบบหวังผล ใช้เด็กดีวัดกระแสนิยมทางแนวตลาดได้ ถ้ายังจับใจคนอ่านไม่ได้ในเรื่องที่เขียนลงไป
ก็ควรรีไรท์ใหม่ หรือ ไม่ก็จบ เปลี่ยนเรื่องใหม่เลย เพราะถ้ามุ่งหวังให้งานขายได้ ถ้า 10-20 บทแรก ยังจับแฟนคลับไม่ได้ ก็ควรถอยในเรื่องนั้นนะ แต่งใหม่คิดพล็อตใหม่ไปเลยดีกว่าฝืนเรื่องเดิมๆ
1000
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.