วัยตัวละครด้วย สมมุติวัยรุ่นผู้ฉัน-นายก็คงแปลกๆ แต่มันโอเคกับวัยทำงานที่จะพูดแบบนั้นนะ
Last posted
Total of 1000 posts
วัยตัวละครด้วย สมมุติวัยรุ่นผู้ฉัน-นายก็คงแปลกๆ แต่มันโอเคกับวัยทำงานที่จะพูดแบบนั้นนะ
ปกติ นายคู่กับเรามากกว่านะ
ถามโม่งหน่อย พวกมึงคิดยังไงกับการคอมเม้นท์นิยายในเว็บวะ
กูไปเจอมานะ คือไรท์คนนึงมันบ่นลงในเพจตัวเองประมาณว่า ไอพวกที่อ่านนิยายแล้วไม่เม้นท์นี่ไม่ทราบว่าไม่ว่างกันหรือนั่งขี้แล้วตกส้วมตายไปแล้วจำได้ลางๆว่าด่าถึงพ่อถึงแม่พวกนักอ่านเงาด้วย(นางคงของขึ้นมากถถถ)
ปล.กูก็จำไม่ได้เพราะมันนานแล้วและดูเหมือนนางจะลบโพสไปแล้ว
กูก็อยากได้เมนต์ แต่ไม่เมนต์ก็ช่าง ตามศรัทธา
เขาอาจจะคิดว่าแต่งนิยายให้แม่งอ่าน เมนต์ตอบแทนกูหน่อยไม่ได้หรือไง
แต่พวกด่า แช่งนี่มันก็เอาแต่ใจเกินไป คนอ่านไม่ใช่ทาส ต้องทำตามใจแม่งทุกอย่าง
นักเขียนก็เช่นกัน ไม่ใช่ทาสนักอ่าน ต้องให้ถูกใจแม่งทุกอย่าง
พูดในฐานะคนไม่เมนต์คือกูอ่านจบดูไม่รู้จะพูดอะไรกับคนเขียน จะให้เขียนไปว่าเออสนุกดีนะทุกตอนก็ยังไงอยู่วะ
ในฐานะที่กูก็เขียนฟิคเหมือนกันนะ กูอัพไม่บ่อยหรอกเพราะกูขี้เกียจ+กูตันเขียนไม่ออกด้วย
แต่แค่ยอดวิวเพิ่มกูก็ดีใจชิบหายละใครมาเม้นฟิคกูก็ตอบหมดอะ
ถึงจะเป็นฟิคไม้จิ้มฟันผีที่ไม่ค่อยมีใครชิปแต่มีคนมาอ่านกูก็ปริ่มสัสๆ
กูเป็นพวกเขียนแล้วถ้าไม่มีคนเม้นแปลว่ากูห่วยเอง ทำให้คนอ่านไม่รู้สึกอยากเม้นหรืออยากพิมพ์อะไร ไอ้พวกเรียกร้องเม้นบางทีก็อยากให้แม่งพิจารณาแบบที่ >>332 เป็นเราเองหรือเปล่าเขียนให้คนอ่านคิดไม่ออกจะเม้นไรดี
แต่ถ้ามีคนมาเขียนสนุกดี ทุกตอน หรือ มาต่อเร็วๆ นะ กูดีใจนะ แปลว่ามันอยากอ่านที่เราเขียนต่อ กูไม่ได้ต้องการคำวิจารณ์มากมายได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
กูเป็นพวกงกเม้นว่ะ ถ้าไม่มีสาระคำสัญอะไรที่อยากพูดก็เป็นนักอ่านเงาตลอด จะโผล่ไปเม้นแค่พวกที่เนื้อเรื่องลึกๆ ที่ต้องวิเคราะห์ตีความถามความเห็นนักอ่านคนอื่นมานั่งถกกัน และไม่ใช่ทุกตอนด้วย กูเม้นเฉพาะบทที่ทิ้งเบาะแสมาให้เดาต่อ
หรือไม่อีกอย่างคือเจอจุดที่โคตรไม่สมเหตุสมผลในเรื่อง กูจะโผล่มาคอมเม้นท้วงนักเขียน จากนั้นเป็นไปได้ว่าจะไม่กลับมาอ่านอีกเลย
ว่าไปสมัยก่อนจะมีนักอ่านในตำนานอยู่คนหนึ่ง "สนุกมากค่ะ" ตอนนี้นางยังอยู่ป่ะวะ ใครรู้จักมั่ง
ตอนจบแบบ Good End กับ Happy End ต่างกันยังไงวะ คือกูจะเขียนนิยายเกี่ยวกับเกมพัลเซิลปริศนาการฆาตรกรรมในคฤหาสน์ปิดตาย แล้วจะมีฉากจบที่แย่(Bad) กับฉากจบที่ดี ซึ่งไอ้ฉากจบที่ดีนี่กูสงสัยว่าจะใช้ Good หรือ Happy ดี คือกูจะเขียนให้จบได้สามแบบอะมึง แบบแรกคือตัวเอกรอดตัวร้ายตาย แบบที่สองที่ตัวเอกตายตัวร้ายรอด แบบที่สามคือตัวเอกพิการตัวร้ายก็รอดแต่กลับใจยอมรับผิด
เรื่องคอมเม้นแม่งแล้วแต่ทัศนคติ กูแม่งก็เฟลนะที่คอมเม้นนิยายเรื่องเก่าๆ (จูนิเบียวมาก) แม่งเยอะ ในขณะที่เรื่องใหม่ๆ คอมเม้นก่อนจบคือร้อยกว่าๆ แต่มันก็แลกมาด้วยอะไรที่ดีขึ้นนะ คนอ่านกูแม่งดูโตขึ้น คอมเม้นมีสติมาก มันทำให้กูมองมุมที่ต่างออกไปได้มากขึ้น
>>337 Happy End - จบแบบตัวละครมีความสุข : พจมานเย็ดกับชายกลางในบ้านยทรายทอง
Good End - จบแบบมีหรือไม่มีความสุขก็ได้ : ราชากุหลาบแดงทำทุกอย่างสำเร็จ ปลดปล่อยตัวเองได้แล้วก็ตาย
Good End ที่ดีต้องเคลียปมทั้งหมดให้ด้ด้วยนะ จบแบบว่าต่อให้ตัวร้ายชนะแต่ก็เป็นตอนจบที่คู่ควร อย่าง Watchmen นั่นละ ทุกอย่างมันลงตัวหมด ที่ผ่านมาทั้งเรื่องสอดประสานเพื่อให้จบแบบสมบูรณ์ นี่คือ Good End
จบแบบเศร้าแต่สุขเรียกว่าอะไร Sappy End?
แล้วถ้าอย่างนี้คือจบแบบไหนเหรอมึง
ตัวเอกค้นพบความทรงจำของตัวเอง แต่ก็ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เคยเป็นนักโทษประหารคดีฆ่าข่มขืนมาก่อนจึงตัดสินใจจะฆ่าตัวตายตัดความรู้สึกผิดในใจ แต่พี่ของตัวเองมาเจอและช่วยเอาไว้ พี่สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งไปไหนอีกแล้ว ตัวเอกเลยยอมมีชีวิตต่อ แต่ก็ต้องทนกับเสียงด่าว่า การหักหลัง การด่าทอและอีกต่างๆนาๆมากมาย แต่เพราะมีพี่คอยให้กำลังใจอยู่ ตัวเอกจึงพยายามสู้ต่อไป
วันหนึ่ง ตัวเอกไปเจออัลบั้มภาพในลิ้นชักแถวห้องนอนพี่ อัลบั้มนั้นเต็มไปด้วยรูปการข่มขืนและฆาตกรรมที่โหดเหี้ยม และภาพสุดท้ายนั้น มีหน้าของคนๆนึงที่เขารู้จักดียืนชูสองนิ้วพร้อมเหยื่อที่ถูกเย็บตาอยู่ นั่นคือพี่ของเขานั่นเอง
เสียงพี่ชายเรียกชื่อตัวเอกดังขึ้น ตัวเอกปิดอัลบั้มลงแล้วเก็บไว้ที่เดิม เดินออกจากห้องไปทานข้าวพร้อมกับพี่เหมือนทุกๆวัน
มันจะเป็น True End หรืออะไรเนี่ย55(คือสำหรับกู ที่ปิดอัลบั้มคือตัวเอกช่างแม่งกับอดีต ขออยู่แค่ในปัจจุบันพร้อมกับพี่ตัวเองก็พอ แต่สิ่งที่อีพี่ทำ ตามปกติแล้วไม่น่ายอมรับได้ มันไม่ใช่ความจริงที่สวยงามน่ะสิ)
เพื่อนโม่งใครมีวิธีแก้เวลาเขียนๆแล้วตัน ไปต่อไม่ถูกบ้างวะ
ลงเหอะ เดี๋ยวมึงก็รีเราเตอร์ใหม่แล้ว
ไปเจอบทความเก่าๆ เรื่องแมรี่ซู กูเพิ่งรู้ว่ามันมาจากแฟนฟิคประชดแฟนฟิค (ฮา)
http://www.dek-d.com/writer/34128
กูไม่รู้ว่าคุยเรื่องนี้ที่นี่ได้ไหม แต่เมื่อวันก่อนกูไปอ่านนิยายแล้วเจอคอมเมนท์ที่ว่า เราอ่านแล้วใส่ฟิลเตอร์คู่ชิปเราลงไปค่ะ เราเลยอินมากอยากรู้เลยว่าจะเป็นยังไงต่อ บลา บลา บลา
เจองี้พวกมึงคิดไงวะ
ไปเจอคอมเมนท์ในนิยายที่เขียนจบแล้ว แต่ไม่ลงแค่ช่วงสุดท้ายของเล่มสุดท้ายให้อ่าน(จากที่ลงให้อ่านมาเกือบจบ)
งงว่า
บางเมนต์บอกไม่รู้ราวแล้วจะซื้อได้ไง (ทั้งๆที่ลงไปให้อ่านแล้ว 90 กว่าเปอร์เซนต์)
บางเมนต์บอกว่าไม่แน่ใจว่าจะจบมั้ยเลยไม่ซื้อ (ทั้งๆที่ประกาศว่าจบแล้ว)
บางเมนต์บอกว่านิยายสนุกดีตามอ่านมาตลอดแต่ลาก่อน (คนเขียนเขาจะอึ้งไหมนี่)
บางเมนต์บอกว่าอ่านมาตั้งนาน สุดท้ายก็เก็บชะงั้น(หมายถึงไม่ลงให้อ่าน) ดีนะที่ยังไม่ได้ซื้อ ปล. อุส่าเก็บตังจะซื้อทีเดียวเจองี้เงิบเลย (ทั้งๆที่ประกาศขายเล่มจบแล้ว)
นี่เป็นตัวอย่างของเรื่องหนึ่งที่คอมเมนต์แสดงว่าให้อ่านฟรีไม่มีปัญหา
แต่ให้ซื้อผลงานไม่มีทางหรอก ทั้งๆที่เป็นเรื่องยาวกลางๆเขียนจนจบด้วยนะ
คนเขียนที่ตั้งใจมาตลอดเจอเมนต์เล่านี้ไปคงอึ้งดี
สรุปถ้าแคร์คนอ่านมากไปก็มีสิทธิเจ็บตอนท้ายได้ง่ายๆเหมือนกัน
>>362 กลุ่มเป้าหมายอาจจะต่างกัน ส่วนตัวคือกูรู้จักคนที่ชอบอ่านนิยายในเน็ต อ่านไปเรื่อย แต่หนังสือเล่มไม่ค่อยจะซื้ออะ ปีๆ นึง
กับกูเอาในเน็ตไม่ค่อยจะอ่าน จะมาโปรยว่า ยอดวิวอันดับหนึ่งยังไงก็ดึงดูดกูไม่ได้ ถ้าจะรู้จักคือมีคนแนะนำ ซึ่งกูว่าในจุดนี้ อาจจะมองเป็นความคาดหวังสุดของการลงในเนต คือเพิ่มชื่อเสียง คนรู้จัก แต่ไอซื้อคนละกลุ่มกัน.....
>>363
ลงในเนทปกติคือนักเขียนหน้าใหม่ ที่ไม่ได้มีชื่อติดตลาด
แต่กลุ่มคนอ่านในเนทคือกลุ่มใหญ่ที่ชี้ผลของตลาดต่อไปได้
ถ้าคนอ่านเป็นแบบนี้
วงการหนังสือบ้านเราก็ซึมลงไปเรื่อยๆ เพราะไม่ต้องคาดหวังว่าจะพิมพ์ออกมาแล้วพอมีคนซื้อหรืออุดหนุมอยู่บ้าง
กูว่าต่อไป สนพ. ก็กำหนดยอดพิมพ์น้อยลงเรื่อยๆ นักเขียนก็หนีไปออกอีบุ๊คเป็นส่วนใหญ่ เพราะคงได้เงินพอๆ กับเซ็นสัญญายาวหลายปี
ลืมจุดสำคัญ
นักเขียนหน้าใหม่ ถ้ายังต้องการรายได้เลี้ยงตัว ก็หนีไปเขียนแนวตลาด ไม่ก็วาย หรือ nc กันไป
นี่แหละตลาดเมืองไทยละ
เพื่อนกูเอง เขียนนิยายปกติได้ตีพิมพ์ แต่ยอดไม่มา สุดท้าย สนพ. ลอยแพ
ตอนนี้เขียน nc ขายเลี้ยงชีพ มันบอกรายได้ดีกว่า สนพ. และออกผลงานได้ตลอดเวลา
กูว่าการลงนิยายที่มึงตั้งใจจะขายลงในอินเตอร์เน็ต แมร่งคือความหายนะชิบหาย โดยเฉพาะแนวที่ชายพวกวัยรุ่น แนวแฟตาซี เพราะพวกนี้ถ้าอ่านแล้วก็ไม่อยากเสียเงินซื้อแล้ว แล้วนิยายในเน็ตนี่กูว่ามันสร้างนิสัยแบบ ลงไม่จบก็ช่าง อ่านไม่จบก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่ลงต่อเดี๋ยวโดดไปอ่านเรื่องอื่นก็ได้
ส่วนคนที่จะซื้อนี่จะอารมณ์ไม่มั่นใจว่านิยายจะออกจนจบไหม รอให้ออกหลายๆ เล่มแล้วค่อยซื้อ แต่ถ้ายอดเล่มแรกมันไม่วิ่ง มันก็คงไม่มีเล่มต่อออกมาหรอก นึกแล้วปวดหัวว่ะกับการอยากเป็นนักเขียนของกู
มันก็ยากทั้งหมดแหละ นอกจากไม่คิดมาก พอใจหนีมาทำหนังสือทำมือ หรือ e-book เอง
นักเขียนหน้าใหม่ที่ส่ง สนพ. แบบตั้งใจเขียนส่งเลย ไม่ผ่านการลงเนท สมัยนี้โอกาสยากมาก
ลงในเนทส่วนหนึ่งคือการมีฐานแฟนคลับอยู่บ้าง ยังพอมีโอกาสมีคนอ่านช่วยซื้อบ้าง
บางเรื่องกูเห็น สนพ. ตีพิมพ์แล้ว ก็ยังต้องนำเอามาลงในเนทช่วงต้นเรื่องก่อนเสมอนะ
มึงดูบางสนพ. ดิ ให้แนบลิงค์นิยายที่ลงเว็บไปด้วย ถ้าแฟนคลับเยอะกูว่าก็คงพิจารณาเป็นพิเศษแหละวะ
เดือนๆ นึงออกกันไม่รู้กี่สิบปกถ้าจะให้คนเลือก ก็ต้องลงเนตก่อนล่ะ คนรู้จักประกอบกับทดลองอ่าน กูมองว่าที่มันซึมไม่ใช่เพราะลงให้อ่านในเนตเป็นหลัก แต่เพราะเรื่องไม่ดีพอจะโดนใจคนซื้อมากกว่า
กูเสริมอีกนิด ถ้าจะยกตัวอย่างเป็นวายนี่จะพอใช้เป็นกรณีสำเร็จได้รึเปล่า
นิยายวายเรื่องนึงแปลจีน แปลลงในเด็กดีครบจนจบประมาณ 80 ตอน ต่อมาสนพ ซื้อลิขสิทธิ์ เอาคนแปลเดิมไปออกหนังสือ และถึงแม้จะยังไม่ลบเรื่องในช่วงเปิดจอง แต่ยอดจองแม่งถล่มทลาย (เพิ่งมาลบเรื่องตอนปิดจอง) เรื่องมันดีก็มีคนอยากเก็บ แต่เรื่องที่อ่านจบรอบนึงก็หมดความ ก็ขายไม่ออก
ขอออกความเห็นในฐานะนักอ่าน ถ้าชอบกูก็ซื้อนะถึงจะลงจนจบแล้วก็เถอะ แต่ถ้าในเล่ม = ที่ลงเน็ตกูก็เซงอยากให้มีพวกตอนพิเศษเพิ่มมาจะดีมาก
>>370 ลูกค้าวายเป็นฐานที่คนอ่านในปัจจุบันกลุ่มนี้ซื้อง่ายกว่าทุกกลุ่ม
กูไม่อยากให้เทียบกับลูกค้าแนวอื่นๆ...
(แบบพอรู้ยอดการขายนิยายแนวนี้มาบ้าง)
เพราะกูรู้มาว่าขนาด สนพ. ที่ไม่เคยสนใจแนวนี้มาก่อน ยังซุ่มจะที่เปิดตัวกันหลายเจ้า
เพราะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อจะตัดสินใจง่ายกว่ากลุ่มอื่น...
นั่นทำให้สังเกตกระแสมีส่งอยู่ตลอดในแนวนี้ และทำให้ต่อไปคงเป็นเรื่องปกติที่ทุก สนพ. จะออกแนวนี้กัน
เพราะฐานลูกค้าคนอ่านนี่แหละ
เคยถามไปแล้วในมู้อื่น แต่ไม่ได้คำตอบจริงๆสักที
การใช้สรรพนามแทนตัวเวลาตัวละครพูดกับเพื่อนในบทสนทนา ถ้าไม่ต้องการใช้คำหยาบแบบ กู มึง จะใช้อะไรได้บ้าง เว้นแต่คำว่า ข้า กับ เอ็ง ซึ่งเยอะแล้ว คือคิดไม่ออกจริงๆถ้าไม่ใช้คำว่าข้า แทนอีกฝ่ายว่าแกพอได้ แต่แทนตัวเองนอกจากกูกับข้าแล้วนึกไม่ออกจริงๆ ไอ้ที่ใกล้เคียงหน่อยก็เป็นกัน แต่มันก็ดูแปลกๆ "กันว่าแกไปนอนเถอะ" ส่วนไอ้อั๊วกับลื้อนี่มันนักเลงไป ไม่โอ
ตัวละครหญิงก็ยาก ใช้กัน ข้า ไม่ได้ เข้าเค้าสุดเป็นฉัน แต่ดัดจริตเกินกว่าจะใช้คุยกับเพื่อน ช่วยคิดหน่อยจ้า
ที่เคยได้ยินนะ
ญ : ฉัน เค้า กู ชื่อตัวเอง
ช : กู เค้า
คนที่คุยด้วย > ชื่อ แก มึง
เอาจริงๆ กูแทบไม่เคยได้ยินคนแทนตัวอย่างที่มึงว่ามาเลยเวลาคุยกับเพื่อนอะ ผญ. แทนด้วยชื่อมีบ้าง ในที่ทำงานก็มี ชั้น แก แต่ผู้ชายนี่มึงกูตลอด ถ้าเป็นเพื่อนอะนะ ข้าเอ็งนี่แทบไม่ได้ยินแล้ว
มีคำอื่นอีกไหม
>>373 กู ญ นะ
ถ้าไม่ค่อยสนิทใช้ เรา/เค้า กับ เธอ/ชื่อ
ถ้าสนิท เค้า/กู กับ แก/มึง/ฉายา/เหี้ย+ชื่อ/ชื่อบุพการี
แต่ถ้ากับครอบครัวถึงจะใช้แทนตัวเองด้วยชื่อว่ะ
ปล.แต่กูเห็นเพื่อนกูส่วนใหญ่ถ้าไม่สนิทจริงๆก็จะไม่แทนตัวเองด้วยชื่อนะ ไม่งั้นมึงจะดูแอ๊บและทำให้ชาวบ้านคิดว่ามึงตอแหลไปเปล่าๆ
สำหรับกูถ้าใช้เค้าในนิยายมันก็ดูแปลกๆแฮะ ถึงเพื่อนทั่วไปรอบตัวกูก็ใช้งี้ก็เถอะ
ปล.ว่าไปกูพึ่งนึกได้ ว่าไอ้กูมึงเพื่อนไม่เคยใช้กับกูเลย... ถึงว่าทำไมอ่านนิยายใช้กูมึงแล้วกูถึงรู้สึกแปลกๆ
อยากแต่งแบบเน้นฉากตรั๊บๆ ช-ญ มีเว็ปไหนแนะนำบ้าง เอาแบบกันการก๊อปข้อความได้ระดับนึงก็ดี
กูเป็น ญ ปกติกูใช้แค่ เธอ ฉัน เค้า เรา กับเพื่อน เพื่อนกูก็จไม่กูมึงกับกู
กูแทบไม่พูด กู มึงกับใครเลย เว้นตอนโกรธกับในโม่ง
จะมีใครว่ากูกระแดะป่าววะ กูแค่ไม่ชอบพูดแบบนั้น
รู้สึกว่ากูจะเป็นพวกหยาบคายแฮะ ยกตัวอย่างประโยคปกติตอนเรียนมหาลัย
"ไอ้เหี้ย มึงจะทนไปทำเหี้ยอะไรวะ ควย กูว่ามึงเลิกกับแม่งเหอะสัส ผู้หญิงเหี้ยๆแบบนั้นเย็ดไปก็เปลืองควย"
ลองเขียนแบบกัน-แก ดู
"แกจะทนไปทำไมวะ กันว่าแกเลิกกับหล่อนเถอะ ผู้หญิงพรรค์นั้นไม่มีอะไรให้เสียดายหรอก"
เหี้ย ใสๆเลย
มึง ถ้าต้องการเขียนพาร์ทของตัวละครหลายๆตัวในหนังสือเล่มเดียว
กูต้องการเขียนนิยายในสรรพนามบุรุษที่ 1 เช่น ผมมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย อะไรงี้ แล้วในนิยาย 1 เล่ม กูต้องการให้มีทั้งพาร์ทพระเอก นางเอก พระรอง นางรอง ในเล่มเดียว กูควรเขียนแยกพาร์ทชัดเจนหรือยังไงดีวะ
ถามหน่อยกูมีความคิดจะเขียนนิยายประเภทจากหญิงเปลี่ยนเป็นชาย คือปกติในชีวิตประจำวันชายมีปัญหาอะไรมั่งวะ แบบหญิงก็มีพวกประจำเดือนอะไรพวกนี้อะ
ไม่แฟ็ปก็จะฝันเปียกไง ช่วงอัดอันก็จะรู้สึกร้อนไปทั้งกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ มันเคยมีหนังฝรั่งเรื่องนึงที่มีท่าพนันกับเพื่อนมันว่าจะไม่แฟ็ป 1 เดือน ดูเรื่องนั้นน่าจะเข้าใจ จำชื่อเรื่องไม่ได้และ
ย่อจากNetorare. เป็นแคทตากอรี่ของหนังเอวี แปลว่าเซกซ์แบบหลบซ่อนประมาณแอบไปเยสกัน ครูุ
-ลูกศิษย์,พ่อผัว-ลูกสะใภ้, ประธาน-เมียลูกน้อง, คุณนาย-คนส่งราเม็ง
ไอ้พวกรฃนี้มันจะใช้กับประโยค "คุณเอโดนเพื่อนร่วมงานNTR , ,หมายถึงเพื่อนร่วมงานมันแอบไปเย็ดกับเมียคุณเอ
ได้หมดแบบเป็นเรื่องนอกใจคู่รักของตน โดยที่คนรักไม่รู้เรื่อง
ไม่ว่าจะเรื่องมีกิ๊ก พลาดไปซั่มกับคนเรื่องที่ไม่ใช่แฟน ถูกบังคับข่มขู่
อยากรู้เพื่อนโม่ง manga มาอ่านก็ได้แนวนี้ ถ้าทำใจได้
แบบเป็นแนวเล่นกับอารมณ์ความรักที่อ่อนไหว แนวดาร์กดีๆ นี่เอง
ม่ายๆหลักๆคือการแอบไปเยสกันซึ่งบางครั้งมันไม่เน้นประเด็นนอกใจ บางทีนักเรียนหญิงชายแอบไปเยสในห้องสมุดในห้องเก็บอุปกรณ์พละก็รวมอยู่ในNTRแล้ว แบบว่าแอบแล้วตื่นเต้นแบบนั้น
http://pantip.com/topic/31063166/comment11-2
NTRโดยพื้นฐานแล้วแปลว่าในที่สุดผู้หญิงต้อง"รักชู้"มากกว่าแฟน แต่ความหมายดั้งเดิมจริงๆรู้สึกจะเป็นการผู้หญิง"ท้องกับชู้"นั่นละถึงจะเรียกว่าNTR หลังนี่ไม่จำเป็นต้องท้องก็ได้ แค่แสดงว่า"ต้องการท้อง"ก็ถือว่าเป็นNTRได้ และอ่อนมาหน่อยก็แค่ถูกแย่งแฟนแบบที่เข้าใจกันโดยทั่วไปนั่นละ
มึง ถามหน่อยกูจะพิมพ์หนังสือเป็นที่ระลึก ประมาณ20เล่ม ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ใช้บริการของโรงพิมพ์ไหนดีวะ
โปรโมทนิยายทำมือแบบนิยายรักสายขาว
(ขาวจริงๆ ขาวไม่ขุ่น ไม่ใช่ขาวกาม)
ได้ที่ไหนบ้างวะ กูลงเนื้อเรื่องในเด็กดีแล้ว
ตอนนี้จะพิมพ์แต่ยอดยังต่ำอยู่ว่ะ
ขอคำปรึกษาหน่อย ถ้าแต่งนิยายสืบสวนสอบสวนเนี่ย จะเอาไปลงเว็บไหนดีวะ ที่ๆมีคนอ่านแนวนี้อยู่
คือมีพลอตอยู่ในหัวแต่ไม่กล้าแต่งวะกลัวจะไม่มีคนอ่าน(ขอแค่คนสองคนก็ยังดี) เลยอยากลองแต่งลงเว็บดูเชิงไปก่อน เราควรเอาไปลงเว็บไหนดีวะ แบบมีคนมาอ่านมาติเราแน่ๆ (ยังไงก็เป็นเรื่องแรกนี่ข้อเสียคงเยอะเป็นธรรมดา)
เราคิดว่า เด็กดี มันไม่ใช่สักเท่าไหร่
เพื่อนโม่ง ถ้ากูจะเขียนนิยายแฟนตาซีที่สร้างโลกใหม่ขึ้นมา กูจะเอาพวกความเชื่อเก่าแก่ในคำภีร์ไบเบิ้ลมาใส่ด้วยได้ไหมวะ เช่นปีศาจซัคคิวบัสคือลูกหลานของลิลิธ แต่กูจะปรับแต่งนิดหน่อยคือ ลิลิธคือเทพที่เป็นลูกสาวของพระเจ้า แบบนี้จะได้ไหมวะ
อ๋อ เหมือนพวกเจ็ดบาปอะไรนั่นน่ะเหรอ
คือกูจะแต่งนิยายแฟนตาซีปนสยองขวัญ แล้วสร้างตัวละครหลักตัวหนึ่งเป็นผีอาฆาตที่ลวงคนมาฆ่าเพราะมีอดีตแย่ๆ แล้วอดีตแบบไหนมันถึงจะสมเหตุสมผลที่จะฆ่าคนได้ ระหว่างคนพวกนั้นคือศัตรูที่กลับชาติมาเกิด กับเป็นพวกคนไม่ดี โลภ ฆาตกรโรคจิต บลาๆ คือกูกำหนดจุดจบไว้ว่าจะมีคนมาปลดปล่อยผีตนนี้เพราะเป็นคนรู้จักในอดีตที่มีนิสัยดีไม่ถึงกับนักบุญจ๋า ประมาณว่าเป็นด้านสว่างของผีน่ะมึง
เฮ้ยพวกมึง ที่หนึ่งเอนเทอร์มีบทสัมภาษณ์แล้วว่ะ คิดยังไงกันมั่งวะ?
วาร์ป http://www.dek-d.com/writer/41214/
แสตมนี่ใครวะ กูหน้าใหม่อธิบายที
อ่อไอสัส นางคนนี้นี่เอง กุก็นึกไม่ออกซักทีว่าใคร ถถถถ ส่วนเรื่องนิยายแจ่มใสนี่กุว่าแล้วแต่รสนิยมนะ
KY นักเชิดหุ่นกับนักเชิดตุ๊กตาต่างกันยังไงวะ แล้วการแสดงการเชิดแบบเป็นเรื่องราวจะเรียกว่าละครหุ่นหรือละครตุ๊กตา?
>>432 คือกูจะสร้างโลกใบเล็กๆ เป็นเรื่องราวในอาณาจักรของพวกนักเชิด จะมีสองฝ่ายคือฝ่ายหนึ่งเชิดตุ๊กตาที่เป็นพวกตุ๊กตายัดนุ่น ตุ๊กตาผ้าบังคับด้วยมือ บลาๆ อีกพวกคือตุ๊กตาทำจากไม้ กระเบื้อง หรือวัสดุหลักอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผ้าไม่ใช่นุ่น แต่มีวิธีบังคับหลักๆ เหมือนกันคือใช้เส้นใยควบคุมการเคลื่อนไหว ซึ่งตรงนี้กูค่อนข้างงงเพราะไปค้นเจอมาว่าพวกหุ่นมันไม่ได้บังคับด้วยเส้นใย แต่ใช้วิธีจับไม้ขยับเอา ซึ่งก็ตามที่มึงว่านั่นแหละ แล้วแบบนี้กูจะใช้เกณฑ์อะไรในการแยกหุ่นกับตุ๊กตา วัสดุที่ทำหรือวิธีการเชิด?
>>433 ตามความรู้สึกกูคือแบ่งตามวิธีเชิดและถิ่นกำเนิดว่ะ ก็เป็น marionette กับ puppet นี่แหละ ต่างกันตรงที่ marionette ใช้เส้นใยผูกกับข้อต่อของตุ๊กตา แล้วควบคุมจากด้านบน เป็นสไตล์ของฝั่งยุโรป อย่างเช่นพวก french marionette หรือ พินอกคิโอ้ ส่วน puppet ใช้ไม้ควบคุม คนคุมจะเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงด้วย ต้องขยับตัวมากกว่า แต่คนดูจะเห็นหรือไม่เห็นก็ได้ อันนี้จะเป็นลักษณะการแสดงของเอเชีย อย่างเช่นหุ่นละครโรงเล็กของไทยอะ ที่มีหนุมานไรพวกนั้น แล้วก็ water puppet ของเวียดนาม
แต่อันนี้แบ่งตามความรู้สึกส่วนตัวกูล้วนๆ อาจจะผิดก็ได้
>>433 โลกแฟนตาซีที่สร้างเอง เพื่อนโม่งก็สร้างกฎของโลกนั้นเองสิ
อาจมีพื้นฐานจากโลกเราบ้างเล็กน้อย
เพราะทางให้ตรงทฤษฎีเป๊ะ หุ่นเชิดของเพื่อนโม่งคงทำอะไรเหมือนๆ โลกนี้
แล้วจะสร้างโลกใหม่ขึ้นมาทำไมกัน
โลกใหม่
แค่บอกว่าหุ่นแบบนุ่มใช้พลังจิตควบคุมก็ได้
ส่วนพวกชักใยต้องใช้พลังเวทในร่างไป แยกง่ายๆ อะไรประมาณแค่นี้
กูโกรธ ขอเอามาแปะหน่อยนะ ไม่รู้ถูกมู้ไหม
เวลาพวกเมิงอ่านนิยายแปลมึงชอบแบบไหนมากกว่ากันวะ แปลแบบทัพศัพท์ หรือแปลแบบแปลไทย
คือระหว่าง A.B (เอ.บี) กับ (อ.บ.) หรือ Camp Halfblood - (แคมป์ฮาลฟ์บลัด) กับ (ค่ายเลือดผสม) หรือชอบแบบแปลเป็นบางคำเหมือน (ค่ายฮาลฟ์บลัด) วะ
>>437 ติ่งหรือแอนตี้วะที่ไปตั้งกระทู้ กูละขำ บารามอสมันมีค่าพอให้ทำซีรี่ส์เชียวเหรอวะ แค่กลายเป็นตำนานบุกเบิกวงการนิยายแฟนตาซีไทยก็สูงพอละนั่น ถ้าจับมาชำแหละละเอียดมึงจะหาความออริจินอลและการก็อปปี้ เอ้ย! แรงบันดาลใจได้อย่างละกี่ส่วนล่ะ ถ้าอยากให้เป็นซี่รี่ส์มึงต้องทำให้บารามอสเป็นนิยายออริจินอลที่ไร้กลิ่นแรงบันดาลใจ มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเพราะมันดังมีแฟนคลับเยอะก็ใช้ได้แล้วนะ เรื่องแรงบันดาลใจนี่ยากจะล้างออกว่ะ เพราะพวกตัวละครหลักๆ ก็เด่นชัดมากว่าเอามาจากไหน ระบบโรงเรียนสี่หอมาจากเรื่องอะไร จะบอกว่ามีข้อคิดคำคมก็หรูแล้วสำหรับนิยายแฟนตาซีวัยรุ่นแบบนี้มันก็ไม่ใช่นะเฮ้ย ถึงจะมีข้อคิดดีๆ คำคมหรูๆ แต่มึงก็ตัดความจริงข้อหนึ่งไม่ได้ว่านิยายเรื่องนี้มัน "มีแรงบันดาลใจ" มาจากเรื่องอื่น (แถมไม่ได้มีแค่เรื่องสองเรื่อง) และมึงไปดูเรื่อง GOT ซิว่าเขามีกลิ่นแรงบันดาลใจมากไหม ความออริจินอลมีอยู่กี่เปอร์เซน และอื่นๆ อีกมากมายที่บารามอสไม่มีทางเทียบติดได้ เพราะความเป็นออริจินอลมึงก็แพ้หลุดลุ่ยตั้งแต่แรกล่ะโว้ย!
>>440 ถูกใจ ปรบมือให้แปะๆ คือชมได้แต่ขอร้องอย่าาอวยเยอะเกิน เท่าที่กูเห็นนอกจากในโม่งแล้ว ยังไม่เห็นมีใครติบารามอสเลยซักคนว่ะ แล้วไอ้ข้อคิดดีๆน่ะมีแน่ แต่กูไม่อินเลยว่ะ ไอ้คำคมนี่เหมือนยัดใส่ปากให้พูดเท่ๆไปงั้นแหละด้วยซ้ำ กลายเป็นแบบอย่างให้พวกนักเขียนคนอื่นทำตามกันไปหมด พูดแต่ละคำนี่โคตรประดิษฐ์ ไม่เป็นธรรมชาติ กูล่ะเบื่อ
>>440 อ่อ ลืมไป กูเคยเห็นในเด็กดีตั้งกระทู้คล้ายๆกัน แต่เป็นอยากให้บารามอสทำหนัง คือกูก็ไม่อะไรหรอกแต่รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่ดีอ่ะ ถึงสมัยนี้จะพัฒนาแล้ว แต่อะไรหลายๆอย่างก็ท่าจะทำให้เป็นจริงยากว่ะ คนไทยทำไม่ไหวแน่ ครั้นจะให้ฝรั่งทำเหรอ เค้าคงไม่อวยนิยายเรื่องนี้เท่าคนไทยหรอกมั้ง กูว่าเค้าคงมองว่าเป็นแค่นิยายแฟนตาซีธรรมดาๆด้วยซ้ำ ไม่ได้ดีจนต้องทำเป็นหนังซะขนาดนั้น
>>440 เอาจริง ๆ นะ ตัวนิยายออริจินัลมากแค่ไหนหรือเป็นหนังสือที่ดีมั้ยไม่เกี่ยวกับการได้สร้างเป็นหนังเลย สิ่งที่สำคัญคือความนิยมในโลกตะวันตกตะหากล่ะ นิยายที่เขียนมาจากแฟนฟิคแฮร์รี่ พอตเตอร์ยังได้สร้างเป็นหนังเลย ทไวไลท์เนื้อเรื่องก็ไม่ได้ดีเด่อะไรยังได้สร้างเป็นหนังเหมือนกัน แม้แต่ฮังเกอร์เกมเองก็มีส่วนคล้าย Battle Royal อยู่เหมือนกัน
ปัญหาคือการที่จขกท. เอามาเทียบกับ GOT มันออกจะปญอ. แล้วก็ล่อเป้าจนคิดว่าคนตั้งกระทู้นี่เป็นกองอวยหรือกองแช่งกันแน่ = ="
เอาจริง ๆ เราก็ไม่ได้ชอบ GOT นะ แต่เรื่องที่ต้องยอมรับเลยคือคนเขียนรีเสิร์ชก่อนสร้างโลกมาดี สร้างโลกมาได้น่าเชื่อถือ ภาษาเขียนสร้างบรรยากาศได้ดี เนื้อเรื่อง... เราเลิกตามไปแล้วดังนั้นไม่ขอคอมเมนต์ ส่วนบารามอสมันจับโน่นผสมนี่มากเกินไป เซ็ตติ้งโลกก็ยังไม่สมจริง ภาษากับมุกตลกในเรื่องก็ร่วมสมัยเกินไป ถ้าเอาไปเขียนเป็นมังงะยังพอว่า แต่ให้เอามาสร้างเป็นหนังหรือซีรีส์นี่ไม่มีทางอ่ะ
>>439 ส่วนตัวกูดูตามบริบทเรื่องวะพวกชื่อเฉพาะแบบฮาล์ฟบลัดนี้ส่วนตัวถ้ามันไม่ใช้ศัพท์ยาก(หรือเฉพาะหรือล้อ)อะไรจะทับหรือแปลก็ได้ แต่คำว่าCamp นี้สมควรแปลเพราะเป็นคำทั่วๆไป
ส่วน A.B กูไม่ค่อยเข้าใจว่าจุดนี้คือหมายถึงอะไรชื่อย่อคน?
>>437 เอาจริงกูว่าควรไปกระทู้วงการนิยายไทยไม่ก็กระทู้แฟนตาซีมากกว่ากระทู้นี้ไว้คุยเทคนิคการเขียนหรือข่าวสารการประกวดไรพวกนี้
การที่บารามอสกลายเป็นหนึ่งในตำนานแห่งวงการนิยายแฟนตาซีไทย สำหรับกูมันคือความฉิบหายครึ่งหนึ่งของวงการเลยว่ะ เพราะตัวต้นตำนานมันดันมีแรงบันดาลใจเยอะแยะเด่นชัด นักเขียนรุ่นต่อมาเลยเกิดแรงบันดาลใจต่อยอดสร้างนิยายตัวเองที่มีแรงบันดาลใจยำรวมกันมั่วและอัดคำคมหรูๆ ปกปิดไว้ (มิกซ์แฟนฟิคโรเซเนียคือตัวอย่างในปัจจุบันที่กูเห็นชัดมากเลยเรื่องนี้) นี่ยังไม่นับเรื่องผลการตลาดวงการนิยายที่ทำให้พวกสำนักพิมพ์เกิดค่านิยมไล่หานิยายที่ดังเพราะมันเบียวถูกใจเด็กน้อยเอามาขาย แฟนคลับเยอะน่าจะขายได้เยอะ แต่เสือกไม่คำนึงถึงคนซื้อเลยว่าเด็กวัยรุ่นวัยเรียนที่ไม่มีงานทำจะหาเงินมาจากไหน? นิยายเล่มละสองร้อยกว่าเด็กวัยนี้มันจะรีบซื้อทันทีที่ออกได้ไงถ้าไม่ขอตังพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ไม่ให้ก็ต้องเก็บตังค์ แต่กว่าจะเก็บตังค์ซื้อได้กระแสก็ซาสำนักพิมพ์ก็ลอยแพเล่มต่อเพราะเล่มแรกๆ ขายไม่ดี เพราะมันก็แพงเกินไปสำหรับพวกแฟนคลับเด็กน้อยที่ยังหาเงินเองไม่ได้ การไล่หานิยายดังๆ มาตีพิมพ์โดยไม่สนใจคุณภาพเนื้อหาแบบนี้กลายเป็นการสร้างค่านิยมให้พวกนักเขียนคิดว่าถ้ากูแต่งนิยายแนวนี้ต้องดังและได้ตีพิมพ์แน่นอน แค่แต่งตามกระแสดึงแรงบันดาลใจมาผสมนิดหน่อยก็เรียบร้อย หาคนอ่านให้เยอะๆ ปั่นวิวให้มากๆ จนติดท็อปเดี๋ยวสำนักพิมพ์ก็มาหาเอง เพราะฉะนั้นมึงอย่าแปลกใจว่าทำไมนิยายแฟนตาซีส่วนใหญ่ที่วางขายมันถึงแนวเดียวกันวะ ก็เพราะพอมีเรื่องหนึ่งในแนวนี้มันดังและขายได้ นักเขียนทั้งหลายก็จะเกิดแรงบันดาลใจผลิตนิยายส่งให้สำนักพิมพ์ และตัวสำนักพิมพ์ก็ถือหลักการตลาดเป็นหลัก หลักอุดมการณ์เป็นรอง มองหาแต่นิยายพล็อตนิยมในขณะนี้ที่ดังพอขายได้ คุณภาพเนื้อหาเป็นไงช่างมัน แค่ดังขายได้ก็พอ และมันก็คือจุดกำเนิดนิยายแนวการตลาดในบ้านเรา เขียนเพื่อขายไม่ใช่เขียนเพื่อความฝัน
กูว่าชื่อย่อนี่เขียนอังกฤษไปเลยดีกว่า เพราะตัวอักษรหนึ่งตัวมันก็ออกเสียงได้มากกว่าหนึ่งเสียงนะ เช่น เซลิก้า (Celica) ถ้ามึงย่อว่า ซ.ล.ก คนอ่านบางส่วนคงไม่คิดว่ามันจะย่อว่า C.L.C หรอกว่ะ แต่จะคิดเป็น S.L.C ,S.L.G ,C.L.G รึจะวงเล็บกำกับก็ได้ เช่น ซ.ล.ก (C.L.C)
แต้งกิ้วมากเพื่อนกูยังอยู่ๆ5555 คือมันเป็นเพลงกล่อมเด็กน่ะมึง จริงๆกูแปลเป็นกลอนแปดไปแหละแต่มันดูยืดๆ ตอนนี้กูเลยกะจะแปลแค่บทที่ตัวละครมันท่องกัน ส่วนตัวเต็มกูคงอังกฤษไว้งั้นเลย คนอ่านจะตงิดๆมั้ยวะ555
>>440 กูว่าเรื่องจะได้หรือไม่ได้แรงบันดาลใจมันไม่เกี่ยวว่ะ ขึ้นอยู่กับความดังและความชอบของคนล้วนๆ ถ้าคนชอบเยอะ มันก็เป็นไปได้ ไม่งั้นละครไทยมันจะซ้ำซากอยู่แบบนี้เหรอวะ (เอาจริงๆ ซีรีส์ฝรั่งหลายเรื่องแม่งก็เนื้อหาซ้ำๆ เหมือนกันเหอะ) อีจขกท มันจะผิดก็ตรงที่มันดันเอาไปเปรียบเทียบกับ GOT แค่นั้นแหละ สเกลมันใหญ่ไม่พอจะไปสู้
คุยเรื่องบารามอสไปกระทู้แฟนตาซีเถอะมึง
ปล้ำกับข่มขืนในนิยายนี่ต่างกันยังไงวะ
>>456 ปล้ำ=นางกับพระเอกได้เสียกัน ข่มขืน=ผู้ร้ายปล้ำตัวเอก
สมการจากละครไทยอะมึง ตัวเอกในที่นี้คือน้องหรือพี่สาวพระ/นาง เพื่อนสนิท นางรอง บลาๆ ส่วนนางเอกตัวจริงต้องเสียซิงให้พระเอกคนเดียวเท่านั้น เว้นแต่จะเคยแต่งงานมีลูกมาก่อนหรือเป็นสาวแรด(ที่จะเปลี่ยนเป็นสาวหวานเมื่อเจอพระเอกสไตล์คู่แข่งแรงพอกันหรือสุภาพชนคนแสนดี)
นิยายแนวต่างโลกกับต่างมิติมันต่างกันยังไงวะ คือกูเห็นนิยายที่มีชื่อทำนอง ถูกส่งไปต่างโลก ชีวิตของ(ชื่อตัวเอก)ในโลกต่างมิติ บลาๆ แต่เท่าที่กูอ่านมันก็คือพวกตัวเอกถูกส่ง/เรียก/เกิดใหม่ ในโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกเดิมของตัวเอง ก็แค่นั้น
ถ้ากูใช้การเล่ามุมมองที่ 3 แต่ช่วงย้อนอดีตหลักของพระเอกเป็นมุมมองที่ 1 นี่จะได้ป่าววะ
บางคนชอบ3ก็ต้อง3ตลอด 1ก็ต้อง1ตลอด ปนกันเดี๋ยวก็โดนติอีกนะละ
กูจะเขียนนิยายแนวตัวเอกไปต่างโลก แล้วทีนี้จะมีบทที่พระเจ้าคุยกับพระเอกเรื่องโลกของพระเอก ปัญหาคือกูควรจะใช้คำอะไรเรียกโลกของพระเอกที่เป็นโลกเดียวกันกับเรานี่แหละ ใช้คำว่า Blue Planet ได้ปะ ถ้าใช้เอิร์ธหรือ World สำหรับกูมันก็แคบไปนะ
มันมาแล้ว http://www.dek-d.com/writer/41670/
เบียวจนพลิกโฉมวงการ 55555+
กูว่าควรเสียใจว่ะ เบียวชิบหาย
ปกตินิยายตอนนึงนี่เขียนความยาวแค่ไหนกันอะ
แล้วแต่คน ของกูอย่างต่ำ 3,000 คำ/ตอน
กุแต่งเรื่องนึง เกี่ยวกะโลกอนาคตมี'เมืองหลวงใหม่' ของไทย ที่มาแทนกรุงเทพ
ถ้ากุตั้งชื่อเมืองว่า 'นิวบางกอก' จะสิ้นคิดไปมั้ยวะ
กุตัน คิดชื่ออื่นแล้วได้แต่ลิเกๆ ไม่ไซไฟเลยว่ะ
>>475 กู 479 นะ พอดีกดส่งแล้วลืมพิมพ์อีกนิด
แล้วไม่ใช่ว่า หน้านึงนี่กด enter เว้นบรรทัดมา 10 บรรทัดต่อ1 พารากราฟนะ
กูใช้ระยะห่าง 1 ส่วน enter ก็แค่ 1 ครั้งหลังจบพารากราฟอ่ะ
บางคนแม่งเขียนเหี้ยไรไม่รู้ enter เหี้ยไรมาตั้ง 6-10 บรรทัด
แล้วมันเหมือนตัดมู้ด คนเขียนคุมมู้ดเนื้อเรื่องไม่อยู่เพราะตัดบรรทัดผิดนี่แหละ
ตอนนี้กูกำลังจิตตกว่ะมึง เขียนอะไรก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ไม่ก็เขียนไม่ออกไปซะหมด รู้สึกตัวเองห่วยลงเรื่อยๆว่ะ กำลังคิดหาวิธีให้มีกำลังใจกลับมาอยากเขียนเหมือนเดิมอยู่เนี่ย กูเคยชอบเขียนแต่พอเจออะไรหลายอย่างๆ มันทำให้กูกดดันตัวเองจนบางทีก็ท้อว่ะว่าทำไปก็เท่านั้น สู้ใครเขาไม่ได้ซักที
มีใครเจอปัญหาจำพวกจะเขียนไรเวอร์ๆยิ่งใหญ่แล้วติดตรงทำไมแม่งต้องเมืองไทยวะบ้างมั้ย คือกูอยากเขียนแบบโรงเรียนเวอร์ๆ เหตุการณ์เวอร์ๆ(แบบ fate) องค์กรเวอร์ๆยิ่งใหญ่อลังการเป็นตำนานโลกแล้วมันก็ติดว่าไอ้พวกนี้ทำไมแม่งต้องอยู่ที่เมืองไทยวะ... ทำไมแม่งต้องอยู่ในประเทศโลกที่สามด้วย โคตรไม่สมเหตุสมผล(ทั้งๆที่ความเวอร์มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้วก็เถอะ)
ไม่แฮะ กุจะติดก็ต้องภาษามากกว่าแบบอยากตั้งชื่อให้อลังการแต่ใช้คำไทยแล้วลิเกมากไรงี้
มึงต้องรู้จักแหกความคิดนั้นออกมาให้ได้ ทุกที่มันสามารถเว่อร์ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นๆ
(เอาจริงๆญี่ปุ่นแม่งจะตายทำไมพวกมนุษย์ต่างดาวต้องอยากไปเริ่มครองโลกที่นั่นล่ะวะ ทำไมก๊อตซิลล่าต้องถล่มที่ญี่ปุ่น มาไทยนี่มีที่ให้วิ่งเล่นกว้างกว่าตั้งเยอะ)
- โรงเรียนเว่อร์ๆ - แถวบ้านกูมีโรงเรียนนานาชาติที่โคตรแพงจ่ายค่าเทอมทีเป็นแสนๆ เด็กนักเรียนแม่งก็อยู่แต่ในโรงเรียนแทบไม่ออกมาเดินข้างนอกให้เห็น ไม่แน่มันอาจจะเป็นโรงเรียนเวทมนตร์หรือมีประตูมิติอยู่ก็ได้ (จริงๆคือแม่งรวย มันมีคนขับรถรับ-ส่ง ไม่ขึ้นรถเมล์)
- เหตุการณ์เว่อร์แบบเฟท - มึงลองไปดูกลุ่มในเฟส fate/thailand เอาวีรชนไทยมาวาดแต่งกันสนุกสนาน (แต่กลุ่มนี้นานมากละตอนนี้ไม่อัพเดทแล้วมั้ง)
- องค์กรเว่อร์ๆ - มันมีองค์กรมนุษย์ต่างดาวที่ต้องการครองโลกมาลงยานจอดอยู่แถวปทุม ล้างสมองมนุษย์ให้เป็นผู้ศรัทธาจนกระทั่งกฏหมายก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ (แต่ตอนนี้แกล้งป่วยอยู่ เดี๋ยวค่อยมาดำเนินแผนครองโลกต่อ)
ตอนเด็กๆกุเคยโดนครูหลอกว่าใต้อนุสาวรีย์ชัยมีองค์กรลับใต้ดิน กุยังเชื่อเลย
อึ้งกับความคิดคนดัง 'บางคน'
☆☆☆☆
ยอมรับว่าอึ้งเล็กนัอยกับ นักเขียนนิยายคนหนึ่งที่นิยายถูกนำไปทำละครแล้วฟลุ๊คดังขึ้นมา ขณะที่นิยายของเธอนั้นยอดขายถือว่าไม่ดีเลยๆๆๆๆๆ
เธอว่า ไม่มาเรียนในคลาสผมเด็ดขาด ...ซึ่งผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว
และเหตุผลที่ไม่มาเรียนก็คือ กลัวผมเอาเครดิตเธอไปใช้เรียกแขกว่าเธอดังก็เพราะมาเรียนในคลาสกับผม
เป็นอะไรที่อึ้งจริงๆ...ยอมรับว่าเคยแนะนำงานของน.ร.ในคลาส แต่ไม่เคยคิดว่าเอาพวกเขามาแนะนำเพื่อสร้างเครดิตให้ตัวเองเลย
เมื่อคิดไปก็อาจเป็นเพราะช่วงหลัง การทำพีอาร์แสนเก่งของเธอนั้น ทำให้เธอได้รับการติดต่อให้ไปพูดคุยกับใครๆบ่อยครั้ง รวมทั้งเปิดคลาสสอนเขียนนิยายด้วย...โดยคนทีติดต่อไปนั้นก็ช่างไม่ดูเสียเลยว่าเธอเขียนนิยายเก่งจริงหรือเปล่า หรือว่าคนเขียนบท กับทีมละครเขาเก่งกันแน่
คิดแล้วได้แต่รู้สึกตกใจมาก
ไม่คิดเลยว่าเด็กสมัยนี้คิดอะไรกันได้แบบนี้
วงการหนังสือ ถึงแม้นจะเป็นวงการธุรกิจ
แต่ไหนแต่ไรมาเราอยู่กันแบบพี่น้อง ไม่ใช่แบบนี้
เอาเถอะ...เธอหรือใครจะคิดอะไรอย่างไรก็ช่างเธอ
สุดแต่ใจจะไขว่คว้าล่ะกัน
..และขอแผ่เมตตาให้เธอ.'ผู้แสนดัง'
จากเฟซบก.โป่ง เขาหมายถึงใครวะ กูถามถูกห้องมั้ย หรือกูควรไปถามห้องไหน?
กูกำลังจะมาโพสถามแบบเดียวกันเลย สงสัยเหมือนกันว่าแกพูดถึงใคร
มีคนดัดแปลงบทละครเก่งด้วยเหรอวะ กูเห็นนิยายไปทำละครนี่เรื่องไหนเรื่องนั้น พังทุกราย
ขอสอบถามโม่งที่เคยตีพิมพ์หน่อย เรื่องปกนิยายภาพประกอบนี่ถ้าจะจ้างวาดเองสนพ.มีงบให้ปะ แล้วถ้าให้สนพ.จัดการเลือกนักวาดเองคนเขียนจะมีสิทธิ์รีเควสกับคนวาดโดยตรงหรือผ่านบก.
>>490 ถ้านักเขียนจ้างคนอื่นวาด มันก็เหมือนกับการเสนองานให้สนพ สนพมีสิทธิ์จะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ บางสนพก็มีนักวาดประจำของเขาอยู่แล้ว ถ้านักเขียนต้องการต่อรองเลือกคนวาดเองก็ต้องคุยกัน และบอกเหตุผลกันว่าทำไม ถ้าภาพมันเยี่ยมจริง สนพก็อาจจะซื้อจ้ะ ราคาค่าจ้างก็จะอยู่ในอัตราเดียวกับที่สนพนั้น ๆ จ่าย ถ้าถูกกว่า สนพก็อาจจะชอบ แต่ถ้าแพงกว่า ยากกก เว้นแต่คนวาดจะดังขนาดช่วยฉุดยอดขายหนังสือได้เท่านั้น
เจ๊JK Rowling นี่หนังสือของเเกที่ไม่ใช่Harry Potterมันขายได้เปล่าวะ เห็นทำออกมาเเล้วก็เงียบ ช่วงนี้เจ๊เเกก็กลับไปหาเเดกกับHPต่อละ
เเบบนี้กูสงสัยมากเลยว่าHPมันเป็น one-hit wonderรึเปล่า
เเต่กูเลิกสนใจเจ๊เเกตั้งเเต่พยายามเอาใจพวกSJW feminist ละ ไร้สาระชิบหายเฮอร์ไมโอนี่ผิวดำ
lul
แฮรี่สนุกตรงไหนฟะ กูอ่านแล้วเมากาวชิบหาย
วั้ย มันอ่านว่า เกมออฟโทรน นี่หว่า ปล่อยโง่เลยกุ
เรื่องที่เอ่ย เพื่อนโม่งอ่านไปเถอะ
อย่างน้อยเป็นต้นทุนในงานเขียนที่มึงจะได้มีมุมมองแบบต่างๆ บ้าง
แบบเขียนยังไงให้คนอ่านทั่วโลกได้ เขียนยังไงให้ขายได้ จะซูจะแกรี่ยังไง
นักเขียนส่วนใหญ่เริ่มจากการอ่านนี่แหละ
แล้วงานมึงจะขายได้หรือไม่ได้ ก็ควรดูเป็นแนวไว้
ประเภทคิดว่าต้องแต่งให้ดี เพื่อมุนษย์ชาติ กูมองว่าเกิดยาก
นอกจากมึงเขียนเพื่อสนองความต้องการตัวเองล้วนๆ แล้วเก็บไว้อ่านคนเดียว
ลอร์ดกับเกมออฟโทรนนี่กูโอเคนะ แต่กูไม่ชอบแฮรี่ไม่รู้ทำไม
แฮร์รี่กุโอเคนะ ถึงจะอ่านไม่ครบทุกเล่มก็เหอะ
แต่ลอร์ด เล่มแรกยังไม่พ้นเลย ส่วนโทรนยังไม่ลอง
กุ 495 เอง กูก็พยายามลองอ่านแล้วนะ แต่ว่าไปไม่รอดอะ 10หน้าแรกกุก็หลับละ
ถ้าอยากเป็นนักเขียน ควรอ่านหนังสือเยอะๆ แล้วก็หลายๆแบบนะ ไม่งั้นจะโลกแคบ เลือกใช้คำไม่เก่ง การสร้างประโยควนเวียนอยู่แต่รูปแบบเดิมๆ
>>504 จริง กูเห็นด้วย อ่านไปบางทีก็ไม่ได้ชอบอะไรหรอก แต่อ่านเพื่อให้คิดว่ามันมีดีอะไร นักเขียนควรอ่านหนังสือให้หลากหลายเข้าไว้
แต่หลายครั้งกูก็สับสนเหมือนกันนะ =_=
คือพวกที่โดนด่าว่าเป็นขยะวรรณกรรมบางเรื่องดันเป็นงานที่อ่านสนุก
แต่วรรณกรรมคลาสสิก/วรรณกรรมรางวัลหลายเรื่องกลับเป็นงานที่ดีแต่อ่านไม่สนุก ในที่นี้กูหมายถึงน่าเบื่อชิบหาย ไม่มีแรงจูงใจให้อ่านต่อ
ex. LOTR, ความฝันในหอแดง, ซ้องกั๋ง บอกกูทีว่าหัวใจของคนที่อ่านแต่ต้นจนจบรวดเดียวมันทำด้วยอะไร = =
>>505 LOTR มันน่าเบื่อมากจนจะจบเล่มแรกถึงเฮ้ย... แล้วกูก็หยิบเล่ม 2 อ่านต่อ จนตอนนี้ถ้าแนวแฟนตาซีกูยก LOTR ว่าเป็นวรรณกรรมชั้นครูกูชอบมากกว่าแฮรี่
ความฝันในหอแดง มันเล่าถึงจารีตเก่า ประเพณีของจีนโบราณ มึงอ่านมึงต้องสนใจวิถีแนวคิดของคนยุคนั้นแล้ววิเคราะห์ตามมันสะท้อนหลายอย่างที่กูอ่านแล้วสงสารตัวละคร
ซ้องกั๋ง ไม่แปลกที่ส่วนใหญ่จะไม่ชอบ มันหมดยุควรรณกรรมปลกแอกมองหาสังคมการปกครองเพื่อชาติไปแล้ว เรื่องนี้กูจำชื่อตัวละครไม่ไหวพอๆ กับตอนอ่านสามก๊กอ่านไปกุมหัวไปตัวละครเยอะชิบหายแต่สามก๊กกูยังอ่านจบเรื่องซ้องกั๋งกูแพ้เหมือนกัน
ทำไมคนเชียร์เเดนี่ให้ได้บัลลังค์เยอะจังวะในGoT น้องเเกไม่ได้เก่งห่าอะไรเลย เอาเเต่ใจตัวเองเป็นหลักด้วย ถ้าเเค่เมืองเดียวยังปกครองไม่ได้ เเล้วจะปกครองเจ็ดอาณาจักรให้รอดได้ไงวะ ข้อได้เปรียบมีข้อเดียวคือมีมังกร อย่างอื่นติดลบ
หรือเชียร์เพราะ muh female empowerment ถถถถ
ขอถามสหายโม่ง มีใครส่งงานประกวด Young Thai Artist ของ SCG ปีนี้มั้ย? เห็นว่าใกล้หมดเขตแล้ว
>>508 กูก็ไม่ชอบแดนี่ เบื่อการโชว์อภินิหารหนังทนไฟของนาง ไม่ชอบจอนด้วย ฮีดูไม่มีสกิลของการเป็นผู้เล่นเกมที่ดี ใจจริงอยากให้ทีเรียนเป็นคิง แต่ทีเรียนก็ดันเป็นคนแคระ อาจจะโดนต่อต้านอีก ลุงมาร์ตินแม่งไม่เหลือทางที่ได้ดั่งใจไว้ให้เลย
นี่กูรอ ss หน้า ถ้าอีจอนฉลาดขึ้นกูอาจจะย้ายไปอยู่ทีมมัน
เพราะแม่มังกรมีเส้นทางฮีโร่มากที่สุดนะสิ จากเจ้าหญิงที่ถูกขับไล่กลับมาทวงบัลลังก์ด้วยสมบัติแห่งราชวงศ์=มังกร ระหว่างทางก็เพชิญอุปสรรคนานับประการแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเนื้อแท้อันดีงาม อา~ นี่ละวีรชนที่โลกรอ
ถ้านึกภาพไม่ออกก็ไปดูอัสลานซะ
ปล. ในแง่ตัวเลือกราชา ส่วนตัวกูชอบไทวินมากที่สุด รองมาก็ทีเรี่ยน ป้าสวนดอกไม้ก็พอไหว แต่ไม่เอาสตาร์ค พวกนี้ใจอ่อนเกินไป เป็นราชาที่ดีไม่ได้หรอก แย่กว่าเดนี่อีก
Stannis the mannis = best king option of Westeros
ซีรีส์ทำป๋าเเสตนนิสกูกลายเป็นตัวเหี้ยเลย ในหนังสือนี่โคตรฮีโร่ เป็นคนเดียวที่ปกป้องอาณาจักรอย่างเเท้จริงเเละมองเห็นภัยของจริงในอนาคต(whitewalker)
อีกอย่างคือสเเตนนิสมีอัศวินหัวหอมดาวอสอยู่ด้วย
ไปคุยกระทู้แฟนตาซีได้แล้วมึง
จอนไม่ได้โง่ มีการเรียนรู้พัฒนาไปเรื่อยๆ เป็นจอมวางแผน(ในหนังสือ) แตในซีรี่ย์มันดูบุ่มบ่ามไปหน่อย
แดนี่ยังไม่ถึงไหนในหนังสือ แต่ในซีรี่ย์โหดเกิน ยังกะเติมทรูอะ สกิลเต็ม มีสัตว์ขี่ ปาร์ตี้เทพ กิลด์เวลตัน แม่งไม่ได้มีความน่าลุ้นเลย
สรุป กูเชียร์สตาร์ค เชียร์จอน จอน สตาร์ค ไม่เอาจอน ทาแกเรี่ยน นั่นเป็นสิ่งเดียวที่กูภาวนา ขอให้คนอื่นๆอย่ารู้เลยว่าเรการ์เป็นพ่อจอน ให้ทุกคนเข้าใจแบบนี้ล่ะดีแล้ว
กูมีคำถาม พวกนิยายทัณฑ์สวาททาสซาตานเถื่อนมันมีหลักตั้งชื่อกันยังไงให้ไม่ซ้ำกันซักเรื่องวะ กูถามขำๆ ไรสาระนะ ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร พอดีกูว่างๆ แล้วกูก็ฮา 555
จำกัดความของนิยายยูริมันอยู่ตัวหลักอย่างเดียวปะวะ คือกูวางความสัมพันธ์ตัวละครไว้งี้ว่ะ
นางเอกแอบชอบรุ่นพี่ชาย-แต่น้องสาวของรุ่นพี่คนนั้นก็แอบชอบนางเอก(และเป็นเพื่อนกันด้วย)-แต่เพื่อนของนางเอก(หญิง)ก็แอบชอบน้องสาวด้วย
โดยกูจะจับคู่ นางเอก+น้องสาว เพื่อนนางเอก+รุ่นพี่ และนิยายเรื่องนี้มันเน้นเรื่องผจญภัยแฟนตาซีเป็นหลักรักเป็นรองนะ จะเรียกว่ายูริหรือแฟนตาซีดีวะ
>>519 เรียกว่ายูริแฟนตาซีกูว่ามันก็ได้นะมึง อย่างน้อยกูว่าจั่วหัวประกาศแนวไปก็ดีคนไม่ชอบจะได้ไม่อ่าน อย่างยาโอบางเรื่องที่กูเจอมีตัวคู่ชายชายก็จริงแต่เรื่องมันก็ไม่ได้โฟกัสรักเป็นเรื่องหลักวะ(ถึงมีดราม่าเรื่องนี้บ้าง) ก็จั่วหัวว่ายาโอXXXบอกแนวที่แต่งไปอะไรแบบนี้
ถ้ากลัวคนอ่านคาดหวังฉากรักมากไปก็อาจบอกหน่อยว่าไม่เน้นนะอะไรงี้
ปล.แต่งแล้วอย่าลืมลงลิงค์มาด้วย กูต้องการอ่าน
เออ กูไปนั่งดูคลิปเกมShadow of the colossusมาแล้วชอบการเล่าเรื่องเค้าว่ะ แบบไม่ต้องมีคนคอยบรรยาย ปล่อยให้ตลค.กระทำต่อไปเรื่อยๆจนเรื่องเผยออกมาเอง แต่พอเป็นงานเขียนกูยังนึกภาพไม่ค่อยออกว่ะ มีใครแนะนำอะไรให้กูไปลองศึกษาดูหน่อยได้ไหม
จอมมารผู้กล้า รับรู้เรื่องผ่านบทสนทนาอย่างเดียวก็พอได้นะ
เดี๋ยวนี้กูห่างจากการเขียนไปค่อนข้างนานเลยว่ะ เมื้อก่อนเขียนอะไรก็ยังลื่น เดี๋ยวนี้เขียนแค่ครึ่งหน้ายังคิดแทบไม่ออก กูอยากกลับมาฝึกตัวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มไงดี หลายครั้งที่กูมีไอเดียในหัวเป็นภาพๆฉากๆนะ แต่พอจะบรรยายกลับทำไม่ได้แล้วว่ะ เขียนอะไรก็ครึ่งๆกลางๆตลอด เซ็งตัวเองจัง พอหันไปทำอย่างอื่นแม่งก็หมดอารมณ์เขียนอีก กูมีอารมณ์อยากเขียนแต่พอจะเขียนก็ทำไม่ได้ว่ะ
พวกมึง นอกจากเด็กดีแล้วยังมีที่ไหนที่หาคนอ่านแฟนฟิคการ์ตูนได้บ้างวะ
>>531 กูก็เป็นโคตรบ่อย เพราะแบบนี้นักเขียนดังหลายๆ คนถึงได้แนะนำว่า "ต้องเขียนทุกวัน" การเขียนมันเป็นงานที่ต้องการความต่อเนื่อง ระหว่างที่กำลังตันๆ เขียนไม่ออก มึงควรลิสต์สิ่งที่มึงคิดจะเขียนไว้อย่างละเอียด แล้วหานิยายดีๆ มาอ่านสักสามเล่ม หลังจากนั้นค่อยกลับมาเขียนใหม่ คนอื่นทำไงไม่รู้แต่กูทำแบบนี้ ได้ผลนะ แต่ระวังการเผลอยืมภาษาจากนิยายที่มึงอ่านมาใส่งานตัวเองด้วย
ขอถามหน่อย ถ้าพวกมึงเขียนงานแนวแฟนตาซีดาร์กๆ พวกมึงอยากตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ไหนวะ?
>>535 เมื่อก่อนตอนเด็กๆกูอ่านเยอะอยู่นะ ถึงจะแนวแฟนซีเห่อหมอยแถมติดภาษาเขามาอีก 555 แต่ตอนนั้นแบบว่าเขียนลื่นชิบหาย คิดอะไรก็ออกมาเป็นคำหมด เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้อ่าน หาถูกใจยาก แถมค้องไปฝึกวาดรูปอีก กลายเปฌนตอนนี้คิดอะไรก็เป็นภาพหมดละ เขียนไม่ออก /ในเลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่...
ตอนนี้กูว่าจะลองฝึกเขียนวันละ10นาทีด้วยว่ะ อ่านจากเวบฝรั่งมา อย่างน้อยก็น่สจะช่วยอะไรได้บ้างแหละ
มึง นิยายที่กูแต่งอยู่กูวางตอนจบไว้ 2 แบบอ่ะ (จบเศร้ากะจบดี) กูอยากได้ทั้ง 2 แบบเลยจะทำไงวะ ส่งอันนึงให้สนพ.อันนึงลงเว็บก็คงไม่ได้อีก
>>536 กูแนะนำเอนเทอร์ ออลเวย์ หรือ 1168 เพราะที่เหลือกูเห็นดองงานคนไทยหันไปจับนิยายแปลกันครึกโครมละ เอนเทอร์ถึงจะมีนิยายแปลเหมือนกันแต่ก็ยังมีผลงานแต่ละเรื่องสม่ำเสมอเป็นรายปีไม่เหมือนสถาพรที่ดองข้ามปี แถมหมวดดาร์กแฟนตาซีก็เหมือนจะลอยแพไปแล้วนะ ส่วนออลเวย์กับ 1168 เป็นสนพ.เล็กๆ เลยไม่มีงบซื้อนิยายแปลล่ะมั้ง 1168 เองก็ดูจะเน้นขายของพรีเมี่ยม(เข็มกลัด ที่คั่นหนังสือ หรืออะไรจิปาถะที่เอาภาพปกนิยายมาใช้ได้ ซึ่งกูว่านักวาดคงรายได้ดีกว่านักเขียนเลยล่ะมั้ง) ออลเวย์ก็เพิ่งเปิดใหม่ ความจริงเขาก็รับแฟนตาซีทุกแนวนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีคนส่วนใหญ่ส่งนิยายสยองขวัญไป เลยกลายเป็นว่าสนพ.นี้มีแต่ผลงานแนวสืบสวนสยองขวัญแทน(ฮา) เปิดมาได้ครบปีแล้วมั้ง กูก็เห็นว่าน่าจะไปได้ดีกว่าเมจิคนะ
>>541 ดาร์กแฟนตาซี กระแสเฉพาะกลุ่มย่อยลงไปอีก
ขนาดแฟนตาซีธรรมดายอดขายยังลำบากมากเลยช่วงนี้
ที่ขายดีคงตามที่เพื่อนโม่งว่า นิยายแปล กับแนวเฉพาะกลุ่มวาย
อีกอย่างสังเกตว่าช่วงนี้ตลาดเงียบมาก
แฟนตาซีเปิดหัวใหม่ของแต่สนพ. แทบไม่มี ส่วนใหญ่เป็นเล่มต่อเดิม
ปัญหาใหญ่อีกอย่างมาจากร้านหนังสือ ซีเอ้ด b2s นายอินทร์ ค่อนข้างเคี่ยวในการเลือกหนังสือไปลงอีก ตามสภาพเศรษฐกิจ ถ้าไม่ใช่เครือข่ายของ สนพ. ของเขา หนังสือที่ไปวางจะถูกปลดออกจากชั้นวางเร็วขึ้น ยอดเรื่องไหนไม่เดินก็จะห้ามไปวางอีก
แต่เดี๋ยวนี้เด็กเบียวชอบแนวดาร์กแบบบ้าๆฆ่ากันเลือดสาด จูรอเบียว doesn't make anysense กันมากขึ้นนะ แบบทำเหมือนสังคมรอบตัวผิดไรประมาณนี้ กูขอท่ดสำหรับภาษากูพอดีกูรีบ
รู้สึกเหนื่อยว่ะ ลงนิยายไม่มีคนอ่านไม่มีคนเมนท์เลย หรือกูจะเขียนได้น่าเบื่อเกินไป จนคนอ่านไม่สนุกวะ
บางครั้งมันขึ้นอยู่กับการโฆษนาวะ นิยายในเว็ปมีเป็นพันเรื่อง ไม่มีใครไล่หาหมดหรอก กูไล่ top 50 ก็ขี้เกียจหาต่อแล้ว
นิยายบางเรื่องไม่ได้ดีอะไร แต่มันโฆษนาให้คนรู้จักได้ พอจุดนึงมันจะมีคนคอยตามเอง พอเราอัพทีก็ขึ้นดี ลอยลมไปเลย บางเรื่องจบไปแล้วยังติดท็อปก็มี
>>546
หลักๆของการติดท็อปในเด็กดี เพื่อนโม่งต้องลงสม่ำเสมอ
แนวฮิตในขณะนั้น จะเกรียน จะซู ยังไงต้องมีบ้าง เพื่อเรียกคนอ่านกลุ่มใหญ่ในเว็บ
กูเห็นหลายเรื่องวัดกันที่ไม่เกิน 20-25 ตอนแรกว่าติดท็อปได้ไหม ถ้าติดได้จะครองอันดับยาวเลย
เห้นคนเขียนบ้างคนบอกว่าวัดกันช่วงแรกนี้เลย ถ้าได้กระแสตอบรับก็ถือว่าไปได้ แต่ถ้ายังดึงคนอ่านมาไม่ได้ อาจต้องพิจารณาว่ารื้อรีไรท์ใหม่หรือขึ้นเรื่องใหม่ไปเลย
เรื่องสำนวนไม่ต้องคิดมาก แต่เนื้อเรื่องถ้าโดนใจ จะมีคนตามเองอย่างแน่นอน
จากประสบการณ์ที่กูเคยเขียนติดท็อปมาช่วงหนึ่ง
คณะกับภาคีต่างกันยังไงวะ คือกูจะสร้างกลุ่มสองกลุ่มที่ไม่ถูกกัน ลำดับสมาชิกในกลุ่มเรียงลำดับตามความแข็งแกร่งน้อยไปมาก จะใช้คณะเหมือนกันไปเลยได้เปล่าวะ
คณะใช่กับกลุ่มที่มีกฎหรือไม่มีกฎ/มีจุดหมายหรือไม่มีจุดหมาย"ร่วมกัน"ก็ได้ แต่มักใช้กับคนที่มีลักษณะเหมือนกัน เช่นคณะละครสัตว์ คณะเดินทาง
ภาคีคือกลุ่มคนที่มีกฎหรือจุดหมายร่วมกัน เช่นภาคีแห่งแหวนคือทำลายแหวน ภาคีนกฟีนิกซ์คือทำลายโวลดามอร์
กูสงสัยเรื่องการใช้ มึง-กู ในนิยายแฟนตาซีแนวยุโรปได้เปล่าวะ แบบตัวละครที่จะพูดก็ไม่ใช่คนไทย เป็นตัวละครที่สร้างใหม่พร้อมกับโลกนิยายนั่นแหละ ที่นี้จะมีช่วงหนึ่งที่ตัวละครนี้จะหลุดปากอุทานในช่วงคับขันหรือตกใจจนเผลอหลุดสำเนียงชาวบ้านออกมา (มันปลอมตัวเป็นลูกพ่อค้าใหญ่น่ะ ใช้ภาษามีระดับหน่อย) เช่น "กูไม่ได้ทำโว้ย!" แต่มันก็ฟังดูแปลกๆ แฮะ ถ้าเปลี่ยนเป็น "ตูไม่ได้ทำโว้ย!" จะโอเปล่าวะ ถ้าใช้ "ฉันไม่ได้ทำโว้ย!" มันก็ไม่ได้ฟีลว่ะ
ถามคนเคยเขียนจบ ปกติพวกมึงวางพล็อตทีละตอนเลยปะวะก่อนเริ่มแต่ง หรือว่าแต่งไปเขียนพล็อตไป
>>554 "ไม่ได้ทำโว้ย" แค่นี่ก็เข้าใจแล้ว ตัดสรรพนามไป แต่บรรยายให้ได้อารมณ์ช่วงนี้ดีว่า
เช่น "ไม่ได้ทำโว้ย" เขาตะโกนใส่เพื่อนด้วยอารมณ์ฉุน ขึงตากำหมัดแบบโมโหสุดขีด
อะไรประมาณนี่
>>557 เคยวางพล็อตแค่ต้น กลาง ท้าย เรื่องคร่าวๆ กันออกทะเลหาจุดกลับไม่เจอ ส่วนรายละเอียดต่างๆ ปรับไปตามที่หัวนึกเขียนได้ในช่วงนั้นๆ
เพื่อนๆ ถ้ากูจะเขียนตัวละครแฟนตาซีที่มีพื้นฐานจากมโนแทบล้วนๆ จะได้ป่ะวะ กูจะสร้างพื้นมารองรับอยู่ แต่กลัวคนอ่านหาว่าไม่เรียล ไม่อิงความจริงเลย
ไฮแฟนตาซีสินะ ทำได้สิ มีให้เห็นเยอะแยะไป ของพวกนี้เขาเรียกว่า world building/setting จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ขึ้นอยู่กับเสกลโลกและธีมของเรื่อง
ถ้าเป็นเรื่องตลกโปกฮาแบบตำนานเทพอัศวินก็ไม่มีใครสนใจอะไรมากหรอก เน้นขำๆ ไว้ก่อน ถ้าธีมจริงจังก็got สร้างศาสนาและพิธีขึ้นมาอย่างละเอียดเลย
>>565 ไม่มีปัญหา แต่ต้องบรรยาความร้ายกาจให้ดูน่ากลัวสุดๆ
เช่น เทพยุงคือเทพเจ้าที่มีความสามารถควบคุมฝูงยุงเพชรฆาตหลายหมื่นล้านตัวให้มารุมสูบเลือดชาวเมืองทุกคนจนแห้งเหือดตายได้ง่ายๆ เป็นซากศพได้
จนทำให้เมืองที่เขาเดินทางผ่านกลายเป็นเมืองร้างแดนอเวจี
บรา บรา บรา อะไรประมาณนี้
โอเคมาก ขอบใจนะเพื่อนๆทุกคน กูกำลังร่างคาแรกเตอร์อยู่ ก็นึกถึงพวกความเห็นแนวว่ามันไม่เรียล ไม่จริง จริงๆต้องเป็นแบบนี้นะ...บลาๆ เลยไม่กล้าเขียนต่อ
อีกเรื่องถ้าเป็นพื้นฐานจากตำนานดั้งเดิมแล้วเราเอามาแต่งต่อจะโดนพวกสายเรียลด่าป่ะ แบบนรกต้องมีไฟโลกันต์ มีกระทะทองแดง แต่กูแต่งเป็นนรกขนมหวาน ของกินเยอะแยะ
>>570 จะให้ดีก็มีจริงแค่เสี้ยวหนึ่งก็ได้ อย่างเทพยุงก้รู้กันดีในการดูดเลือดกับเป็นแมลง
ถ้าเป็นนรก อาจซ้อนกลว่าขนมมีให้กินเยอะแยะ แต่ไปเล่นซ้อนกลในเรื่องขนมนั้นที่จริงคือวิญญาณที่ตายในโลกนั้นจะกลายเป็นขนมหวานให้เหล่ายมทูตกิน อะไรประมาณนั้น จะได้ชวนดูว่ามันเลวร้ายเหมาะกับเป็นนรกดี
เทคนิดเขียนที่ดีต้องมีจริงเท็จเล็กน้อย เพื่อให้คนอ่านเก็จในเรื่องง่ายๆ
ปกติมีวิธีการตั้งชื่อเรื่องยังไงกันบ้างอะ กุมีเรื่องแต่งพล็อตไปนิดหน่อยละ แต่ตั้งชื่อไม่ออกเลยแฮะ
>>574 ตามแก่นหลักของเรื่อง ธีม หรือสั้นๆ ง่ายๆ ก็เอาชื่อตัวละครไปเลย เช่นแก่นหลักคือการเคลียดันเจี้ยน 100 ชั้น ที่อยู่ใต้ทะเลลึก ก็เป็น "Dungeon Sea ตะลุยดันเจี้ยนใต้ทะเล" ธีมคือการผจญภัยในดันเจี้ยน "ฝ่าทะเลลุยดันเจี้ยน" ชื่อตัวละคร "การผจญภัยในดันเจี้ยนของสมชาย"
มึง... ไอดีใน dek-d มันบึ้มทิ้งแบบลบไปเลยได้ไหมวะ
มีคำถามครับ
1.ในการเขียนนิยายที่พระนางมีความหลังต่อกัน ต้องย้อนฉากไปตอนนั้นเยอะขนาดไหนวะ กูกลัวว่าเขียนเยอะมันจะน่าเบื่อ น้อยไปคนอ่านก็ไม่อิน
2.ใส่รวดเดียวให้จบในพาร์ทแรกๆเลย หรือ ค่อยๆระลึกเป็นช่วงๆดี
>>581 มึงอย่ายัดมาเป็นสิบตอนรวดเลยละกัน เอาแค่ฉากสั้นๆ แทรกมาในปัจจุบันหรือพูดสั้นๆก็ "โหมดระลึกชาติย้อนความหลัง" เช่น รู้สึกคุ้นเคยกับนิสัยบางอย่าง ท่าทางตอนฟันดาบ ความชอบสิ่งของหรือความเกลียดสัตว์ พอเห็นแล้วก็นึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่เคยอยู่ด้วยกัน แล้วพอมาถึงจุดหนึ่งมึงจะเอาพวกฉากสั้นๆ มาสรุปเรียงเป็นความหลังในอดีตได้ภายในบทเดียวหรือสองบทจบ แต่ก่อนหน้านี้มึงต้องสร้างโหมดระลึกชาติให้หนักแน่นและปูทางให้คนอ่านซึมซับทีอย่างเหมือนต่อจิ๊กซออะมึง ไม่ใช่แค่มีโหมดระลึกชาติแค่สี่ห้าตอนก็เฉลยปมไปเลย มันไม่ค่อยลุ้น ไม่ค่อยอินอะมึง ปูทางมาซัก 50-70% ของเนื้อเรื่องแล้วค่อยเฉลยก็โอเค และระหว่างที่ปูทางมึงก็พยายามใส่รายละเอียดให้สั้นๆ เป็นช่วงๆ อย่ายาวมาก ตอนนึงก็โผล่มาแค่สามสี่บรรทัดพอ ยาวไปเดี๋ยวคนอ่านจะเดาทางง่ายและทำให้สับสนด้วยว่าช่วงอดีตกับปัจจุบันทำไมเนื้อเรื่องมันกลืนๆ
แต่ถ้าขี้เกียจปูทางโหมดระลึกชาติ ไม่อยากเกริ่นเยอะ เอารวดเดียวจบ มึงก็อย่าให้เกินสิบบท ห้าบทก็เยอะพอละ เกินกว่านี้เดี๋ยวลืมเนื้อเรื่องปัจจุบัน
ส่วนแบบไหนดี? กูว่าแล้วแต่ความถนัดว่ะ ถ้ามึงถนัดเกริ่นเป็นช่วงๆ ระลึกชาติหลอกคนออ่านหลงทาง ก็ใช้วิธีแรก แต่ถ้ามึงไม่ถนัดการแทรกย้อนอดีตในช่วงปัจจุบันหรือตัดเนื้อหาไม่เป็น ก็ใช้วิธีที่สองไปเลย รวดเดียวจบ แต่หลักสำคัญของการพูดถึงอดีตคืออย่าให้มีเยอะเกินไปจนปัจจุบันถูกลืม และอย่าพูดถึงน้อยเกินไปจนปะติดปะต่อไม่ได้
>>582 ไปที่หน้า my.id control หาคำว่า "ยกเลิก My.iD ถาวร" หรือ
http://my.dek-d.com/OOOOO/control/deletemember.php
ไอ้ตรง OOOOO เปลี่ยนเป็นชื่อ id ของมึง
ใครมีเทคนิคบรรยายช่วงที่ตัวละครมันยืนคุยกันเฉยๆไม่ให้น่าเบื่อบ้าง แบบกูเล่นมุกแสดงสีหน้า ท่าทางจนหมดก๊อกละ ไม่รู้จะใส่อะไรเพิ่มดี
>>585 เอาตามธรรมชาติ ไม่ต้องใส่บรรยายเลยก็ได้ ถ้าสองคนคุยกันก็ให้บทสนทนามันสลับกันไปเรื่อย ๆ ค่อยแทรกกิริยาท่าทางถ้าจำเป็นต้องแทรก
จริง ๆ มันมีงานเขียนที่ดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาเป็นหลัก อย่างงานของเจน ออสเตน อะไรแบบนี้ ซึ่งนักเขียนสไตล์นี้จะเขียนไดอาล็อกสนุกมาก
สำหรับเราตราบใดที่ไดอาล็อกสนุก ไดอาล็อกมีพลังพอที่จะให้คนเขียนจินตนาการถึงสีหน้าท่าทางตัวละครได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่สีหน้าตัวละครมาทุกจุดหรอก
เวลาแต่งแฟนตาซีเป็นโลกใหม่ แล้วบรรยายด้วยของที่มีชื่อในโลกมันจะแปลกๆมั้ยวะ
สมมุติ โลกแฟนตาซี แต่มีข้าวผัด'อเมริกัน', มีแมว'อียิปต์'
แบบชื่อพวกนี้ในโลกนั้นมันไม่ควรจะรู้จักกันปะ อะไรคือเมริกัน อะไรคืออียิปต์ หรือกูคิดมากไปเอง (ปกติกุจะใช้บรรยายให้มันใกล้เคียงกะสิ่งนั้น เช่น ข้าวผัดซอสมะเขือเทศที่มีไส้กรอกใส่ลูกเกดฯลฯ แต่บางทีกุก็ขี้เกียจบรรยายละอะ)
เรากำลังจะเขียนเรื่องของเผ่าพันธุ์ที่อยู่ด้วยกัน อย่างสันติ(ยกตัวอย่าง อ๊อกกับเอฟล์อยู่ร่วมกัน ทำงาน มีครอบครัวไรงี้) เเต่อธิบายที่มาว่าทำไมถึงเกิดเป็นยุคเเบบนี้นี้จะเเปลกไหม ในเรื่องจะมีพวกต่างดาวที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงกับจอมเวทย์อยู่ด้วย ว่าง่ายๆกำลังเขียนมหกรรมยำกันอยู่ตอนนี้กำลังดัดเเปลงบทอยู่ (ในเรื่องเป็นยุคหลังมหาสงครามเเล้ว เเต่เกิดเรื่องสงครามครั้งใหม่ขึ้น)
>>595 Space Fantasyนี่เคยเล่นเกมซีรีย์Warhammer 40k เปล่า ประมาณนั้นล่ะ ลองไปเล่นหรืออ่านLoreดู
เรื่องเผ่าที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันตินี่มันเเปลกขนาดนั้นเลยเหรอวะ หรือออร์คโดนยัดเป็นตัวร้ายตลอดจนคนนึกภาพออร์คสงบไม่ออกเเล้ว เรื่องเเฟนตาซีที่ออร์คพอจะอยู่ร่วมกะชาวบ้านได้นี่น่าจะเป็นThe Elder Scrolls มั้ง
>>593 เออ เห็นมึงทักกูก็สงสัย นอกจากพวกสิ่งของแล้ว พวกคำว่าปะป๊า หม่าม้า เจ้ นี่ใช้ได้ปะวะ หรือจะเปลี่ยนเป็นพ่อจ๋า แม่จ๋า คุณพี่ ตัวอย่าง
"ปะป๊า~ เมื่อไหร่หม่าม้าจะกลับมา" อลิซถามเสียงใส ดวงตาสีฟ้ากลมโตน่ารักจ้องมองผู้เป็นพ่ออย่างคาดหวัง
กับ
"คุณพ่อขา~ เมื่อไหร่แม่จ๋าจะกลับมา"
กูจะแต่งนิยายให้พระเอกออกแนวแต๋วๆหน่อย (ตุ๊ดอ่ะแหล่ะ) ไม่ได้ตุ้งติ้งแต่เป็นตุ๊ดแรดๆอ่ะ แล้วจะให้นางมีเมีย กลับใจเป็นชายภายหลัง เป็นพวกมึง มึงรับได้กันป่ะ
ถ้าชอบเกาหลี แนะนำให้ดูฮีชอล SJ เป็นต้นแบบ รายนั้นตุ้งติ้งแอ๊บแบ้วทุกช็อต หลงตัวเอง ชอบดูแลร่างกาย แต่แมนเกินใคร และหน้าหม้อสุดๆ ที่ทำตัวแบบนั้นมาจากนิสัย+วิธีเข้าหาผู้หญิง
ถามหน่อยได้มั้ย เราเขียนแนวที่ให้ตัวเอกมีนิสัยเด็กๆก่อนแล้วค่อยๆพัฒนาให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่การพัฒนาที่ว่าต้องใช้เวลาเป็นหลายสิบตอน เพราะแพลนไว้หลายภาค
ปรากฏว่าคนอ่านทนอ่านต่อไม่ได้เพราะนางเอกยังนิสัยน่ารำคาญและไม่เก่งอย่างที่เค้าชอบ
เราควรจะแก้ดีมั้ย แล้วแก้ยังไงดี
เพื่อนโม่งช่วยแนะนำกูหน่อย คือกูเป็นประเภทที่ยิ่งเขียนเรื่องยิ่งไม่น่าสนใจวะ งงมะ? แรกๆนี่ดูมีอะไรให้น่าติดตามดีแต่พอยิ่งแต่งยิ่งออกทะเล พล็อตไม่น่าสนใจ ดูยืดเยื้อ คนอ่านเขาบอกกูงี้
เสียจุย
>>611 เรื่องยาวแฟนตาซี?
ถ้าตรงไหนยืดมึงต้องตัดหรือรวบรัดปิดประเด็นไปเลย
สมัยนี้ถ้าเขียนแล้วกะส่ง สนพ. หรือขายทำมือ ต้องเน้นไม่มากเล่มแบบก่อนแล้ว
ช่วงนี้เรื่องยาวบางเรื่องของ สนพ.ยังถูกตัดจบได้ง่ายๆ
สรุปเขียนสนองตัวเองก็ลากยาวได้เรื่อยๆ แต่ถ้าหวังมากกว่านั้นต้องกระชับลง
กูห่างงานเขียนไปประมาณหลายปีว่ะ พอจะกลับมาเขียนแบบว่ามีไอเดียในหัวนะเว้ย มันลื่นปรู๊ดปร๊าดไปหมด แต่พอลงมือจะเขียนจริงๆ อ่าว เฮ้ย ทำไมเขียนไม่ออกเลยวะ รู้สึกหัวแม่งตันไปหมดเลยว่ะ ขนาดพยายามคิดอะไรออกก็เขียนไปก่อนก็ยังคิดไม่ออกอ่ะมึง มีอะไรจะแนะนำมั้ยวะ
>>591 ไม่ควรทำ อันที่จริงอยากจะพูดว่าห้ามทำเลยดีกว่า เหมือนจงใจทำให้เรื่องตัวเองมีช่องโหว่ไปเปล่าๆ
ต้องถามตัวเองก่อนว่าของพวกนั้นจำเป็นต่อเนื้อเรื่องที่จะต้องยัดใส่ลงไปหรือเปล่า ถ้าจำเป็นจริงๆก็น่าจะใช้การบรรยายเสริมช่วยแทน เช่น แทนที่จะบอกว่าแจนกินข้าวผัดอเมริกัน ก็เขียนไปว่า แจนกำลังกินอาหารที่หน้าตาเหมือนข้าวผัดกับซอสมะเขือเทศ โป๊ะหน้าด้วยไข่ดาวและไส้กรอก หรืออย่างแมวอียิปต์ ก็อธิบายเป็น มีแมวหน้าตาประหลาดปราศจากขนตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมาบนโต๊ะ ผิวหนังของมันเหี่ยวย่นราวกับคนแก่ดูน่าชัง
เออ ถ้ามีช่องมาขอซื้อนิยายมึงไปทำละคร มีเหตุผลอะไรที่มึงจะยอม/ไม่ยอมบ้างวะ อยากรู้
กูสงสัยเรื่องการแบ่งเนื้อหานิยายเป็นภาคกับซี่รี่ส์ว่ะ คือกูวางพล็อตไว้ว่าจะเขียนนิยายเป็นซีรี่ส์ที่มีจุดร่วมกันคือท้องฟ้า และจะแบ่งเป็นสามเรื่องคือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว มันเป็นแฟนตาซีอะมึง ก็มีเนื้อหาทำนองว่าของวิเศษที่เทพทั้งสามสร้างขึ้น เกิดในโลกใบเดียวแค่เปลี่ยนตัวเอกแต่ละเรื่อง ปัญหาคือ แค่เรื่องแรก(พระอาทิตย์) กูก็ขยายได้เป็นสามภาคละ เรื่องที่สองก็สองภาค แบบนี้มันยังเรียกรวมกันว่าเป็นซีรี่ส์ได้ปะวะ หรือกูต้องทำแบบไลต์โนเวล เปลี่ยนจากภาคเป็นบท
ปัญหาระดับชาติชัดๆ!!
ถามเรื่องสรรพนามแทนผู้หญิงในนิยายหน่อย ถ้ากูจะใช้ทั้งหล่อนและเธอผสมๆกันไปมันจะเป็นไรป่ะ หรือต้องเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
บางทีก็ก็ครึ้มๆแต่งเธอบ้างหล่อนบ้างงี้
กูควรจะเขียนในสถานการณ์ที่มีบทคนเยอะๆยังไงไม่ให้งงดีวะเพื่อน
อยากบรรยายบทหนีตายออกมาได้ระทึกกว่านี้ รู้สึกว่าคลังศัพท์และความสามารถมีไม่พอที่จะดึงความรู้สึกออกมา ใครก็ได้ช่วยแนะนำหนังสือที่บรรยายได้ระทึกๆ อ่านแล้วกดดันหรือรู้สึกอึดอัด อยากเอาใจช่วยตามตัวละครทีสิ จะเอามาศึกษา
ลองอ่านนิยายแนวพจญภัยหรือขุดสุสานดูสิ น่าจะใช้อ้างอิงได้
แนะนำรหัสลับหลังคาโลกกับคนขุดสุสาน 2 เรื่องนี้บรรยายการฝ่ากลไกตื่นเต้นดี มีหนีสัตว์ประหลาดด้วย
นี่เพื่อนโม่ง ถ้ากูตั้งชื่อเรื่องเป็นภาษาเยอรมัน กูจำเป็นต้องตั้งชื่อตัวละครเป็นภาษาเยอรมันตามปะ แบบว่าเป็นโลกสมมุติอะมึง
คนปกติจะคิดว่า re แปลว่าอีกครั้ง เพราะเป็นภาค 2 แต่ re ในหลายภาษาแปลว่าราชา
ถ้าตั้งแบบเยอรมึงก็จะออกแนวhintให้คนอ่านอ่ะ เก็บเป็นกิมมิคเล็กๆเล่นไปให้เขาเดากันงี้ก็น่ารักดีนะ
เขียนเรื่องตลกยังไงให้ขำวะ ลองเขียนดูแม่งแป้กชิบหาย เขียนดราม่าน้ำเน่าง่ายกว่ากันมาก
ตลกเขียนยากนะ ถ้าเซนส์ไม่ถึงจริงๆ เขียนยังไงก็ไม่ขำ
ส่วนมากคนเขียนจะขำเอง ส่วนคนอ่าน....
มึงเขียนเหี้ยอะไรของมึ๊งงงงง
ประมาณนี้...
อยากเขียนภาษาสวยๆบ้างทำไงวะ ไม่ก็แค่อ่านลื่นไหลก็ได้ กูอ่านมาเยอะแต่ไม่ได้ซึมซับเข้าสู่หัวสมองเลย หรือกูเอาดีด้านนักอ่านน่ะดีแล้ว ?
กำลังเขียนนิยายที่แบบ ต่อมาจากคอมมูอ่ะ (ไม่รู้ว่ารู้จักกันไหม มันเป็นอารมณ์แบบ ให้คนหลายๆคนสร้างตัวละครขึ้นมาในธีมเดียวกัน แล้วก็เหมือนมาแต่งนิยายต่อกัน อะไรงี้) คือมันเป็นคอมมูเนื้อเรื่อง แล้วคนเล่นเปิดเนื้อเรื่องไม่หมด เขาเลยอยากให้เราเขียนสรุปเนื้อเรื่องให้
ทีนี้อ่ะ เนื้อเรื่องของเรามันมีตัวละครหลัก 2 ตัว ฝั่งดีกับฝั่งร้าย แล้วเนื้อเรื่องของ 2 ตัวนี้มันดำเนินไปบนไทมไลน์เดียวกัน เราควรจะเขียนแยกเล่มในมุมมองของทั้งสองคนนี้ไปเลย หรือว่าเขียนในเล่มเดียวกันแล้วตัดไปตัดมาดี เราว่าอย่างหลังมันมึนๆอะ
>>649 แล้วแต่ว่าอยากจะพรีเซนต์แบบไหนนะ ถ้าอยากให้ทุกอย่างบรรจบกันม้วนเดียวก็ดำเนินไปบนไทม์ไลน์เดียวกัน แต่ถ้าอยากให้คนอ่านได้รู้มุมมองอีกด้านทีหลังก็เขียนแยกเล่มไป
ตัดไปตัดมาต้องใช้ฝีมือหน่อย ข้อดีคือคนอ่านจะมีโอกาสคิดในหลายๆมุมก่อนที่จะไปถึงบทสรุป อ่านจบแล้วรู้สึกอิ่มเต็มที่มากกว่าแยกเล่ม ความเสี่ยงคือถ้าไม่ถนัดวิธีเขียนแบบนี้อาจจะทำให้คนอ่านงงจน Rage quit
ส่วนแบบแยกเล่มมีข้อดีคือให้ดูทีละมุมมอง คนเขียนไม่ต้องใช้ลูกเล่นมาก คนอ่านก็จะได้โฟกัสที่มุมมองเดียวไปจนจบ แต่ก็แอบเสี่ยงคือถ้าฉากจบเป็นฉากจบที่"ไม่โอเคเมื่อมองจากมุมเดียว" ถึงเราจะบอกว่า "เฮ้ย มีอีกเล่มนะ! เป็นอีกมุมมองนึง!" คนอ่านก็อาจไม่สนใจแล้ว
คือกำลังจะไปนอนเลยพิมพ์เพลิน ถ้าแต่งเอาสนุกก็ไม่ต้องคิดมาก เอาตามความถนัดโลด ^^'
ปล. รู้จักแต่นิยายรับสมัคร สมัยนี้ยังมีอยู่รึเปล่าเนี่ย
มีใครเป็นเหมือนกูมั่งวะ กูเป็นพวกชอบรื้อพล็อต เขียนไปได้ 3-4 บท และไล่อ่านเล่นๆ เวลาไม่มีอารมณ์แล้วแบบมันไม่ใช่ นี่กูคิดจะเขียนอะไรฟระ สุดท้ายก็รื้อ แต่ท็อปปิคน่ะยังคงไว้อยู่ วางพล็อตใหม่ เขียนใหม่หมดเลย ห่าาาา เกลียดตัวเองฉิบหาย
ของกูจะแบบเขียนตอน 4 ไปแล้วกลับมาเขียนตอน 1-3 ให้สอดคล้องกับตอน 4 วะ ไม่เชิงเขียนใหม่นะ แต่เพิ่มเติมตัดแต่งให้เข้ากับตอนล่าสุดมากกว่า
ไม่รู้ถามถูกที่รึเปล่า แต่กูมีข้อสงสัยเรื่องระบบเหรียญขายนิยายว่ะ
คือกูจะขายนิยายในเว็บด้วยระบบนี้ แต่กูสงสัยว่าลงที่เด็กดีหรือธัญวลัยดีกว่า? แล้วสองที่นี่มันต่างกันยังไง มีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไง โม่งไหนมีประสบการณ์แล้วช่วยบอกกูที
ควรเริ่มเรื่องยังไงให้น่าสนใจดี
>>662 เป็นเหมือนกัน ทางแก้ของกูตอนนี้คือแต่งแล้วอัพตอนต่อตอนไปเลยอะ แบบพออัพไปแล้วมีคนอ่านก็ไม่อยากจะไปเปลี่ยนไปแก้ไขอะไรบ่อยๆแล้ว คืออยากจะแก้แต่ก็กลัวโดนคนอ่านบ่น กลัวเขาอ่านไม่รู้เรื่อง กลัวเขาไม่ได้ย้อนกลับไปอ่านไอ้ที่แต่งเพิ่ม ตอนต่อๆไปเขาจะอ่านไม่รู้เรื่อง ฯลฯ
อาจจะแต่งไปสักสิบตอน ค่อยรีไรททีเดียวไรงี้ไปเลย
กูอัพไม่ได้ เพราะไม่มีวินัยว่ะ เคยตั้งใจว่าจะลงทุกวันที่ 10 20 30 อะไรงี้ แล้วทำไม่ได้ เลยเขียนเก็บไว้เอง แล้วก็ endless loop เหมือนความเห็นบนๆ แหละ
กูเคยผ่านสี่ห้าตอนมาได้สมัยที่เขียนใส่สมุดว่ะ มันกลับไปอ่านไปแก้ยาก เลยเขียนไปเรื่อยๆ ได้ ไม่คิดมาก แต่พอมาใช้คอมฯ อยากแก้ตรงไหนก็สะดวกดี เลยรื้อๆ แก้ๆ ไม่เสร็จที กูเลยสรุปว่าตัวเองไม่เหมาะจะเขียนนิยายด้วยคอมฯ แต่ให้กลับไปเขียนใส่สมุดตอนนี้ก็ไม่ไหวนะ ไม่ได้ฟีลเดิมแล้ว
กูแต่งนิยายแล้วมีฉากเยกันตั้งแต่แรกจะเหี้ยป่าววะ แต่มันสมเหคตุสมผลในเรื่องนะ ไม่ใช่ว่ากูอยากให้พวกมันเยกัน
เห็นคุยเรื่องระบบคอยแล้วกูสงสัย ไอ้พวกนิยายที่เข้าระบบคอลย์แล้วใช้รูปโปรไฟล์จากเว็บคาร์แรคเตอร์กับภาพวาดปล่อยฟรีในเน็ตนี่ไม่ผิดกฎหมายอะไรเหรอวะ
สวัสดีทุกคน เราไม่รู้ว่าผิดห้องหรือเปล่านะ เพราะปกติเราไม่ได้เข้าเว็บโม่ง ไม่ใช่ขาประจำบอร์ด
คือ เราเป็นนักเขียนคนนึง ไม่ได้ดัง แต่ก็พอมีคนติดตามประมาณนึง ยอดวิวนิยายที่ลงเว็บก็หลักแสนขึ้นแหละนะ ช่วงนี้เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะไม่ไหวแล้ว
ปกติกับคนอ่านเราไม่พูดไม่บ่น ดูโลกสวยไปวันๆ แต่เราก็มีความเครียดของเราแหละ เราก็มีความกดดันของเรา
คือ เราเป็นพวกสายแต่งนิยายไปแปะเน็ตไป ความที่เราเชื่อว่าคนเราถ้ารักกันหรือชอบนิยายเรื่องนี้จริงๆ ก็คงสนับสนุน เราก็เลยลงนิยายทุกเรื่องจบ ไม่ได้มีกั๊กไว้ประมาณว่าอีกสักสามสิบเปอร์เซนต์ให้ไปอ่านต่อในเล่มอะไรแบบนี้ เวลาออกเล่มเราก็จะเพิ่มตอนพิเศษให้
แต่ทีนี้ เราสังเกตดู พอนิยายออกมา ยอดขายมันกลับได้ไม่ถึงเป้าทั้งที่มันควรถึง เรายอมรับว่าเราเฟล เราเครียด ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะโดนสำนักพิมพ์เทหรือเปล่า เพราะยุคนี้ต้องยอมรับว่านักเขียนคนไหนออกมาแล้วขายงานได้ไม่ดีพอ สำนักพิมพ์เขาก็ไม่ค่อยจะอยากให้ออกผลงานใหม่หรอก ถ้าไม่ปังจริงๆ
ตอนนี้เรากำลังลงนิยายอีกเรื่อง คนอ่านก็ตามอ่านกันอีกนั่นแหละ ก็เหมือนเดิม แต่มันเหมือนเกิดความรู้สึกวูบๆ ขึ้นมาในใจเรา เวลาเราเห็นคนอ่านเร่ง เหน็บ ประชด ในเวลาที่เราลงเรื่องช้า เรายอมรับว่าเราเครียดและน้อยใจมาก เพราะเราอดเอามาเชื่อมโยงกับนิยายเรื่องก่อนๆ หน้าไม่ได้ เราอดคิดไม่ได้ว่าเขาก็แค่อยากอ่านของฟรีก็เลยมาเร่ง เรารู้สึกว่าเรากำลังเผาวันเวลาของตัวเองเพื่อดูแลความบันเทิงให้คนอื่นในขณะที่ตัวเราต้องแบกรับความเครียดมากขึ้นทุกวัน เงินก็ได้ในมูลค่าที่น้อยกว่าที่ควรจะได้เมื่อเทียบกับยอดคนที่มารออ่าน
เรารักนักอ่านของเรามากนะ เราไม่เคยอยากคิดแบบนี้ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งตรงนี้เรารู้สึกว่าความรักของเรามันไม่มีค่า ยอดขายไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็นนี่มันกระทบกับชีวิตเราและครอบครัวที่เราต้องดูแลด้วย เพราะตอนนี้เราดำรงชีพด้วยการเขียน ความที่สภาพมันเป็นแบบนี้ เราคิดวูบขึ้นมาหลายครั้งมากว่าจะเลิกอัพเดทนิยายที่ลงค้างไว้บนเว็บไซต์ดีไหม เพราะนักเขียนส่วนใหญ่ของสำนักพิมพ์ที่ลงเรื่องให้อ่านไม่จบเขาก็ไม่เห็นจะโดนว่า กลับกัน งานกลับขายได้เยอะแยะ
เราเครียดเรากดดันเราอึดอัด ยิ่งเห็นกระทู้บ่นนักเขียนโน่นนี่นั่นบ่อยๆ เรายิ่งเครียด เรารู้สึกว่า ขอโทษนะ "ทำไมกูต้องมาทนกับอะไรแบบนี้" แต่เราพูดออกไปไม่ได้ไง เรารู้สึกว่าถ้าเราพูดออกไปมันจะกระทบความรู้สึกคนอื่น เราไม่ได้อยากจะทำร้ายความรู้สึกคนอ่านแม้แต่คนเดียว ไอ้ที่กลัวที่สุดคือมันจะทำให้คนที่เราแคร์ก็คือพวกเขาไม่สบายใจนี่แหละ
เราเครียดไง บางทีเราก็อยากวิ่งหนีไง อยากระเบิดทุกสิ่งทุกอย่าง ลบแม่งทิ้งไปให้หมด
แต่เราหนีไม่ได้ เพราะเรารู้ว่ามีคนรอ ไม่ใช่แค่คนอ่านแต่ยังเป็นคนอื่นๆ ที่คาดหวังกับเรา
เราเป็นแค่คนธรรมดาไง ไม่ว่าจะทำใจให้กว้าง ทำใจเย็น มองโลกในแง่ดี ไม่ว่าจะพยายามในทุกๆ วันแค่ไหน แต่เราติดอยู่ตรงกลางของอะไรบางอย่างที่เราก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่ามันจะพันกันยุ่งขนาดนี้ ต้องพยายามทำลายความเครียด แล้วตอบสนองคนที่รอให้ได้ เราต้องเขียนงานให้คนอื่นอ่านแล้วสนุก อ่านแล้วรู้สึกดี ในขณะที่บางทีเราเครียดจนร้องไห้
เราคิดว่าเรากำลังป่วย เราเหมือนกำลังจะเป็นบ้า
เหมือนที่ใครสักคนเคยพูด เรื่องของตัวเลข ยิ่งมากบางทีก็ยิ่งกดดัน ยิ่งมากความคาดหวังมันก็ยิ่งมาก บางทีสิ่งที่คนอื่นคาดหวังอาจจะมากกว่าที่เราคาดหวังหรือน้อยกว่าเราก็ไม่รู้ แต่เราไม่อยากให้ใครผิดหวังหรือรู้สึกว่าเราทำให้ผิดหวังไง
เราไม่รู้ว่ามันผิดห้องไหม แต่เราแค่อยากหาใครสักคนมารับฟัง เราอยากระบาย ก่อนที่เราจะเป็นบ้าตายไปซะก่อน
ถ้าผิดที่ผิดทาง เราขอโทษนะ
>>670 ขอแสดงความเห็นแบบไม่สุภาพตามสไตล์โม่งๆแล้วกันนะมึง อยู่ในนี้สุภาพแล้วครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ 55+
เมื่อก่อนกูเคยเขียนนิยายลงเน็ตแหละ เคยได้พิมพ์ด้วย แต่หันเหมาทำอย่างอื่นเสียก่อน เพราะอยู่ในช่วงที่ต้องเลือกพอดี คือเขียนช้าน่ะ ยึดเป็นอาชีพหาไม่พอแดกแน่ๆ
ตอนเขียนแปะลงเน็ตมันก็สนุกดีนะ รออ่านเมนต์ รอดูคนเข้ามา ทำให้เกิดความกระตือรือร้น มีแรงผลักดันเขียนต่อ คือถ้าทำเป็นงานอดิเรกมันก็แฮปปี้ดี สมัยก่อนมันไม่เหมือนสมัยนี้ด้วย คนอ่านยังน่ารัก มีความเกรงใจ รู้ว่าเป็นการอ่านฟรี จะมาเร่งนั่นนี่หรือวีนใส่ไม่ได้ แต่ทันทีที่มันกลายเป็นอาชีพ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปว่ะ
ถ้ารักจะยึดเป็นอาชีพ อย่าไปใส่ใจคอมเมนต์ในเน็ตมากเลย ไม่ใช่ว่าจะให้เมินใส่คนอ่านในเว็บนะ แต่มันต้องมีลิมิทประมาณหนึ่ง เพราะเอาเข้าจริง จำนวนคนอ่านในเน็ต ไม่ได้รับประกันว่าหนังสือจะขายได้เลย เป็นแค่นักอ่านกลุ่มหนึ่งที่เข้าถึงนิยายได้ก่อนรอบไฟนอลที่จะกลายเป็นหนังสือน่ะ
กูว่าประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ลงจนจบหรือไม่จบ จะมีผลต่อการขายหนังสือได้ว่ะ แต่มันอยู่ที่มึงเขียนเรื่องอะไร แนวไหน ดึงกลุ่มลูกค้า (คนอ่าน) แบบไหนเข้ามาหามึงต่างหาก ต้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วยว่าคนที่อ่านเป็นพวกที่ชอบอ่านฟรีอย่างเดียวหรือเปล่า มีกำลังซื้อมากน้อยแค่ไหน และเรื่องของมึงคุ้มค่ากับการเสียเงินให้โดยไม่เสียดายทีหลังหรือเปล่า
หลังๆนี่กูได้ยินคนรู้จักเขาพูดๆกันว่า เศรษฐกิจไม่ดี สนพ.ลดยอดพิมพ์ยอดขายลด ถูกตัดจบบ้าง เรื่องไม่ผ่านบ้าง เลยลำบากกันจนต้องทำขายเอง มันก็จริงที่ว่าเศรษฐกิจมีผลต่อรายได้ แต่ที่สำคัญจริงๆคือ ไอ้ที่เขียนๆขายกันนี่ ได้ดูตัวเองกันบ้างมั้ยว่าเรื่องมันสนุกหรือเปล่า สนพ.ลงทุนแล้วจะขาดทุนเพราะขายไม่ออกมั้ย เงินลงทุนจะจมไปมากแค่ไหน ดูจะไม่คิดกันว่ามันเป็นธุรกิจที่ต้องพึงพาอาศัยกันเลยน่ะ
พูดแบบนี้อาจจะดูไม่เกี่ยวอะไรกับมึง แต่ประเด็นที่มึงควรรู้คือ งานเขียนมึงกลายเป็นงานตั้งแต่ตอนที่มึงใช้มันหากินแล้ว รักได้ แต่ทุ่มให้ทั้งหมดก็ไม่ไหว เพราะมันมีปัจจัยอีกหลายๆอย่างที่ต้องคำนึงถึง ถ้าจะใช้มันเป็นอาชีพน่ะ มึงทำตามใจตัวตลอดไม่ได้ มึงต้องรู้ลักษณะของลูกค้า มึงต้องดูกระแส/ความต้องการของตลาดและลูกค้า คอมเมนต์ในเน็ตไม่ได้ช่วยการันตียอดขายว่ะ
ว่าง่ายๆคือ ถ้ามึงมองรอบๆ วิเคราะห์หลายๆอย่าง ไม่ใช่แค่เขียนเพราะใจอยากเพื่อหาเงินหรือสนองนี๊ดคนอ่านในเว็บ มองว่ามันเป็นอาชีพที่มีปัจจัยหลายๆอย่างให้คำนึงถึง มึงก็จะไม่ชีช้ำแบบนี้
ลองคิดดูละกันนะ
สำหรับกุนะเพื่อนโม่ง เรื่องงานขายได้ไม่ถึงเป้าเนี่ยไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลยโดยเฉพาะในยุคนี้ บอกเลยจะมีสำนักพิมพ์ไหนล้มในปีสองปีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะอะไรต่างๆที่มันสั่งสมมาทั้งเรื่องเศรษฐกิจ วัฒนธรรมการอ่าน เทคโนโลยี ทำให้เราอยู่บนฐานที่ง่อนแง่นชิบหาย
ที่น่าเจ็บปวดคือสำนักพิมพ์กับนักเขียนก็มีส่วนมาก ฟองสบู่แฟนตาซีที่ชื่อแนวโลกเรียน กับออนไลน์ ก็แตกไปแล้ว แนวรักหวานแหววก็เคยแตกไปแล้ว เพราะพอเราเห็นว่าขายได้ก็แห่ไปทำ ผลของแม่งคือมีงานที่ไม่ได้มาตรฐานออกมาเยอะมาก ผลต่อมาคือแม่งพลอยทำให้คนอ่านแม่งไม่เชื่อถืองานคนไทยเลย
กุไม่รู้ว่างานมึงดีไม่ดี แต่สำหรับคนอ่านที่ตังค์ก็ไม่ค่อยมี ระหว่างงานแปล กับ งานไทยที่มีแววไม่สนุก แล้วเขาจะเอาเงินไปลงที่ไหนล่ะเพื่อน เพราะงั้นขายไม่ได้ โคตรไม่แปลก ควรทำใจ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับมึงแล้วว่าจะยึดอุดมการณ์เขียนอย่างที่เคยเขียนแต่ขายไม่ได้ต่อไปไหม หรือเปลี่ยนไปเขียนไอ้ที่มันขายได้
ส่วนเรื่องคนอ่านที่ตามทวง กุว่ามึงควรจัดลำดับความสำคัญใหม่นะ คนที่สำคัญที่สุดของเรื่อง คือมึง
ไม่มีคนอ่านงานมึง มึงก็ยังอยู่ ส่วนคนอ่านไม่มีมึง เขาก็ไปหาคนอื่น (เหี้ย อย่างกับศิรานีพูดเรื่องความรัก)
ที่แน่ๆ มึงคงไม่อยากเขียนหนังสือแล้วฆ่าตัวตายใช่มะ (โคตรช้ำ ประเทศนี้แม่ง ฆ่าตัวตายไปงานก็ไม่ดัง)
กุเข้าใจว่ามึงอยากยึดอาชีพนักเขียนนะ แต่เมื่อแบบนี้มันอยู่ยาก ก็คงต้องปรับตัว
>>670 กูอยู่สายแฟนตาซีนะเพื่อน สายนี่คนอ่านเยอะแต่ค่อนข้างซื้อน้อยมาก
ของกูทำมือหวังยอดแค่ 100-200 เล่ม + ebook นิดหน่อยหลักหลายสิบเล่มก็พอใจแล้ว
สายนี้จะออกแนวเรื่องยาวหลายเล่มเป็นส่วนใหญ่
เรื่องยอดขายเป็นปัญหาใหญ่ ทำให้กูนึกได้คล้ายสถานการณ์แบบเพื่อนโม่งเล่าลงมา
กูเห็นเรื่องหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์กับ สนพ. เปิดใหม่ และได้มีดราม่าจัดๆ กับคนอ่านในเว็บมาแล้ว
คอมเมนต์ด่าหลายร้อยคอมเมนต์จนขึ้นติดอันดับสูงได้ทั้งที่ไม่ได้ลงตอนใหม่ แต่เรื่องนี่ปกติลงตอนใหม่ก็จะติดอันดับท็อปทุกครั้ง
เป็นเรื่องการปิดตอนท้ายเล่ม และ ลบตอนเก่าๆออกเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว คล้ายให้ไปซื้ออ่านอุดหนุนเขาหน่อย
คนอ่านนี่ถล่มด่าคนเขียนชนิดสามวันสามคืนต่อเนื่องเป็นเดือนๆกันเลยทีเดียว
แต่คนเขียนดูค่อนข้างอินดี้ค่อนข้างมาก ประมาณไม่เป็นไรด่ามาเถอะ
พอช่วงออกเล่ม 2 ต่อ นักเขียนก็ลบตอนไม่ลงช่วงสุดท้ายให้เพื่อบังคับกันกลายๆ ให้อุดหนุน ซึ่งน่าจะมีปัญหาหลักกดดันจากเรื่องลอยแพนี่แหละ
ขนาดเป็นเรื่องที่ขายในเมพจนได้ป้ายแดงเบสเซลเลอร์ติดอย่างรวดเร็ว ทั้งยังติดอันดับยอดขายต้นๆหมวดแฟนตาซี
ยังต้องทำแบบนี้เลย
ทำให้กูรู้ว่าแต่ละคนที่ได้ตีพิมพ์นี่แม่งกดดันจริงๆ
สุดท้ายอยู่ที่ความมั่นใจของเพื่อนโม่งนั่นแหละ ที่อาจต้องมองข้ามคอมเมนต์ไปบ้าง
ปล.แต่กูรู้มาว่าไม่ปิดตอนท้ายให้ช่วยอุดหนุมนี่ยอดขายไม่ได้ตามเป้าจริงๆ นอกจากเรื่องนั้นปังมากๆ
>>670 ขอตอบในฐานะนักอ่านนะ ส่วนตัวกู จะซื้อหนังสือเรื่องนี่ขึ้นอยู่กับปัจจัยสามอย่างนี้ อย่างน้อยซักปัจจัยนึง คือ1.อยากได้ตอนพิเศษ+ราคาไม่แพงเกินจำนวนหน้า/รูปเล่มสวยงาม+นักเขียนดูพูดจาดี ชวนให้น่าอุดหนุน 2.ชอบเนื้อเรื่อง/บรรยากาศในเรื่อง อยากได้มาเป็นรูปเล่มเก็บไว้กับตัว เอาไว้อ่านเมื่อไหร่ก็ได้ 3.ตัวละครในเรื่องถูกสเปค อยากได้มาอ่านอวยเล่น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็แค่ปัจจัยของกู สำหรับนักอ่านคนอื่นๆของมึงก็อาจจะมีปัจจัยนอกเหนือจากนั้นก็ได้ บางคนถ้าแค่ตอนช่วงต้นสนุก ช่วงกลางอืดก็ไม่ตามกันต่อแล้ว เพราะงั้นกูคิดว่าการที่มึงแอคทีฟไว้ตลอดน่ะดีแล้ว แต่ก็ต้องดูฐานคนอ่านอย่างที่โม่งบนๆว่ามาเหมือนกัน
นิยายมึงอาจจะสนุก แต่คนอ่านเองก็มีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะทางความรู้สึกหรือทางกาย ที่ทำให้ไม่ซื้อนิยายได้ และการจะเอาใจให้คนทุกคนที่อ่านซื้อนิยายมึงก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พอๆกับการทำให้ทุกคนพอใจน่ะแหละ ถ้ารอบที่ผ่านมานั้นยอดขายไม่ถึงเป้า ก็ลองดูว่ากับครั้งนี้จะแก้ไขอะไรได้บ้าง ลองจับจุดไปเรื่อยๆ ยังไงมึงเป็นนักเขียน มึงก็ต้องรู้แหละน่าว่านักอ่านของมึงเป็นยังไง เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก สู้ต่อนะมึง
เรา 670 เอง >>671 >>672 >>673 >>674 ขอบคุณมากๆ ที่รับฟังเรา
ประเด็นกลุ่มคนอ่านที่ตามอ่านอยู่นเป็นแบบไหนนี้ อันนี้เราไม่เคยคิดเลยจริงๆ มันเป็นจุดที่เรามองข้ามไป บางทีปัญหามันอาจจะอยู่ตรงนี้ก็ได้ อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องที่เราลงให้อ่านจนจบเรื่องอย่างเดียว
ราคา ใช่เลย อันนี้แทงใจมาก หนังสือเราราคาจัดว่าแพง ตอนรู้ราคาเราก็ยังตกใจเหมือนกัน แต่หนังสือมันค่อนข้างหนา ถ้าไม่ใช่ราคานี้ก็จะไม่เหมาะสม เรื่องนี้เราทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ตอนนี้เลยได้แต่คิดว่า ต่อไปจะลองพยายามเขียนให้เล่มบางๆ ลงดู
ประเด็นผลงานที่ไม่ได้มาตรฐานนี้ ล่าสุด เหมือนเราจะซวยที่นิยายแนวที่เราเขียนดันมีคนมาทำเสียเรื่อง ทำให้คนอ่านในกลุ่มนักอ่านกลุ่มนึงที่เราเองก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วยขยาดงานของนักเขียนไทยในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งไปเลย บางคนก็บ่นลามมาถึงงานแนวนั้นที่เขียนโดยนักเขียนไทย เรายังคิดอยู่เลยว่าพอมันเป็นแบบนี้เราจะเป็นยังไง สำนักพิมพ์จะยังอยากพิมพ์งานแนวนี้อีกไหม แล้วถ้าพิมพ์ออกมาคนอ่านเขาจะกล้าจ่ายเงินซื้ออ่านไหม
เราเคยคุยกับเพื่อนนักเขียนด้วยกันนะ ว่าในสภาพที่มันเป็นอยู่แบบนี้ ความที่พวกเราก็ต้องใช้เงิน เราเปลี่ยนไปเขียนแนวที่มันขายง่ายคนอ่านพร้อมเปย์ดีกว่าไหม อย่างพวกแนวอีโรติกสุดโต่ง วาย อะไรแบบนี้ พวกนั้นคือ ยอดขายอีบุ๊ครายเดือนเป็นแสน ยอดจองทำเล่มบางคนได้เป็นล้าน แต่มันก็ไม่ใช่เราอีกนั่นแหละ บางทีเราสงสัยว่าหรือเราควรเปลี่ยนเส้นทางไปเดินทางสายนั้น ที่มันจะทำเงินเป็นจำนวนมากๆ กว่าสายที่ตัวเองเดิน
สมัยก่อนตอนเราเป็นนักอ่านอย่างเดียว เราแอนตี้นักเขียนที่ไม่ใส่ใจนักอ่าน เราไม่ชอบนักเขียนที่พูดจามะนาวไม่มีน้ำไม่แคร์ความรู้สึกคนอ่านที่จ่ายเงินสนับสนุน เราเคยไม่ชอบมากๆ เวลาที่เจอนักเขียนที่บอกว่าจะลงเรื่องจบแต่พองานผ่านพิจารณาก็ไม่ลงเรื่องต่ออีกเลย พอมาเป็นทุกวันนี้ เราก็รู้สึกเหมือนว่าจะเข้าใจนักเขียนกลุ่มนั้น รวมถึงเข้าใจความจำเป็นในชีวิตของนักเขียนกลุ่มที่เขียนแนวอะไรก็ตาม เช่น อีโรติกแรงๆ เพื่อเน้นทำเงิน คือ ไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี แต่เราแค่รู้สึกว่าจนถึงตอนนี้เราเข้าใจแล้ว
ตอนนี้คือ จากที่เราอ่านที่พวกเธอบอกมาแล้วลองคิดทบทวนดู เราพอมองเห็นอะไรบางอย่างแล้ว ขอบคุณมากๆ
ช่วงนี้เราเครียดเป็นพิเศษ อาจเพราะมันใกล้งานหนังสือด้วยแล้วแหละนะ เรื่องที่เรากำลังลงเว็บอยู่นี้ อีกแป๊บๆ ยอดแอดเฟบก็จะห้าพันแล้ว แต่เรากลับไม่มีความมั่นใจเลยว่าพอเป็นเล่มมันจะขายได้สักเท่าไหร่ เราได้แต่ภาวนาว่าสำนักพิมพ์จะยังอยากลงทุนกับเราและเรื่องใหม่นี้จะไปได้สวย ไม่อย่างนั้น ต่อให้สำนักพิมพ์ไม่เทเรา เราก็คงจะหมดศรัทธาในอะไรบางอย่างไปแล้วเหมือนกัน เรากลัวตัวเองจะเป็นแบบนั้น เราไม่อยากเป็นแบบนั้นเลยจริงๆ
เรื่องเซน กูเคยส่งข้อความถามพี่นักเขียนนะ เขาบอกว่าต่างมีเหตุผลของตัวไม่เป็นไร
แต่เห็นไม่มีเฟซบุ๊คนักเขียนไว้ติดต่อเลยในหน้านิยายนอกจากของสนพ.
กูว่าพี่เขาคงไม่อยากเปิดให้คนตามสักเท่าไรเหมือนกัน
ตอนเด็กๆ รร.เวทกำลังดังเพราะอิทธิพลจากบารามอส มันจึงทำให้กูมาสนใจด้านนี้แต่พอโตขึ้น ได้เห็นอะไรหลายอย่างๆก็รู้สึกว่ามันไม่ง่ายและสวยงามอย่างที่คิดว่ะ แบบว่าเด็กก็ฝันๆไปอ่ะนะ พอเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เก่งอะไรเลยว่าขอเก็บเป็นงานอดิเรกดีกว่า กูชอบเขียนแต่ไม่ถึงขนาดทุ่มทั้งชีวิตให้ได้ว่ะ
>>670 กูก็เคยผ่านอารมณ์แบบนี้มาก่อนนะ เรื่องยอดขายคือทำใจแหละ หมายถึงถ้าขยันโปรโมทแล้วยังไม่ได้ตามหวัง แต่งานดีจริงมันก็ช่วยได้เยอะนะ ยอดขายมันก็ไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องคนอ่าน กูแคร์นักอ่านมากนะมึง แต่กูก็เลือกรับคห.เหมือนกัน อะไรที่ก้าวก่ายงานกูมากไปกูก็จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้าง ส่วนพวกที่หวังอ่านฟรี พอลบในเว็บแล้วมาโวยวาย อันนี้กูไม่แคร์ค่ะ กูทำเป็นอาชีพไม่ได้ทำการกุศล กูต้องแดกข้าวเป็นอาหารค่ะ แต่กูไม่ทำอะไรกับเม้นท์พวกนี้ กูปล่อยผ่าน
ตลาดไม่ใหญ่ด้วยแหละ ถ้าเป็นอังกฤษหรือจีน ที่มีคนอ่านแทบทั่วโลก หรือญี่ปุ่นที่มีกำลังซื้อและชอบอ่านหนังสือ คงพอเลี้ยงตัวได้แหละ
>>681 เรื่องโปรโมทไม่เก่ง อาจจะเป็นปัญหาของเราด้วย ที่ผ่านมาเราไม่เคยทำการตลาดอะไรเลย เอาเข้าจริงเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องทำกันยังไง เราเห็นคนอื่นเขาแชร์ไปขายของในกลุ่มต่างๆ ก็อยากจะทำบ้าง แต่เรากลับรู้สึกเขินๆ
ถ้ายังไงหลังจากนี้เราจะลองพยายามดู
มีแนวทางการโปรโมทอะไรแนะนำบ้างไหมอะ
เพื่อนโม่ง ถ้ากูจะถามเรื่องการจัดหน้าหนังสือให้สำนักพิมพ์ถามกระทู้นี้ถูกมั้ยวะ?
>>684 หมายถึงจัดต้นฉบับยังไงใช่ป่ะ
มันแล้วแต่สนพ.นะ บางสนพ.ก็เอาฟอนต์ cordia บางสนพ.ก็ อังสนา บางที่ขนาดตัวหนังสือ 16 บางที่ขอที่ 14
ช่องว่างระหว่างบรรทัด จัดเป็น 0
ตั้งค่าขอบหน้ากระดาษของเวิร์ดเอาตามปกติที่เวิร์ดให้มา
เวลาขึ้นย่อหน้าใหม่ กด tab หนึ่งครั้ง เวลาเว้นช่องไฟกด space bar หนึ่งครั้ง
พื้นฐานก็ประมาณนี้
ขอบคุณมากเพิ่ลๆ กูหมายถึงจัดหนังสืออ่ะ สนใจอยากลองทำพิสูจน์อักษรดู สนพ.ที่กูจ้องอยู่เขาจะเอาคนที่จัดหน้าได้ด้วย กูบรู๊ฟคำเคยทำมาบ้างแต่จัดหน้านี่ไม่มีประสบการณ์เลย จะลองเสี่ยงดีไหมวะ
>>689 แปลว่าเขาอยากได้คนที่เล่นอินดีไซน์เป็น แล้วก็ปรุ๊ฟได้ด้วย
มึงต้องออกแบบเลเอาท์ได้ประมาณนึง ตั้งมาจิน บลีดดิ้ง โปรยเท็กซ์ เคาะคำตัดตกเอง
ถ้ามีพื้นฐานโปรแกรมตระกูลโฟโต้ช็อป อิลาส ก็พอจะเล่นจับๆคลำๆอนดีไซน์ได้ประมาณนึง
ถ้าไม่มีเลย ก็เรียนรู้ได้ไม่ยาก ถ้ามีคนสอนดีๆ
>>690 เท่าที่รู้ให้บรู๊ฟคำกับจัดหน้านะ ฟรีแลนซ์อ่ะเมิงของสนพ.แซลมอน เข้าไปในหน้าเพจแล้วเลื่อนๆลงหน่อยเขามีประกาศไว้ว่าให้สมัครไง
>>691 อินดีไซน์กูพอเป็นบ้าง แต่ตอนนี้หาวิธีเรียนจัดหน้าอยู่ ศัพท์ที่เมิงว่าอย่างมาจิน บลีดดิ้ง โปรยเท็กซ์กูไม่รู้เรื่องเลยทำเป็นอย่างเดียว ขอถือโอกาสถามเลยแล้วกัน มันคืออะไรวะ?
>>692 แค่พิสูจน์อักษรต้องจัดหน้าหนังสือด้วยเหรอวะ จ้างเกินหน้าที่ไปมั้ยเนี่ย
margin คือขอบเนื้อหาหน้ากระดาษ กำหนดว่าเนื้อหาเมิงไม่ควรเกินขอบนี้ออกไป ไม่งั้นมันจะชิดหน้ากระดาษเกิน
bleeding คือเส้นที่เกินหน้ากระดาษออกไป เอาไว้เผื่อโรงพิมพ์ตัดกระดาษเกิน
สมมติเป็นหน้าปกนิตยสารรูปสีเต็มหน้าเลยก็วางรูปให้ถึงขอบ bleeding เผื่อโรงพิมพ์ตัด มันจะได้ไม่เป็นขอบขาวๆเห็นเนื้อกระดาษ
bleeding ส่วนมากจะกำหนดไว้ประมาณ 3mm
>>693 บางที่ปรู๊ฟกับอาร์ตจะแยกฝ่ายกัน แบบปรุ๊ฟของสนพ แต่จ้างอาร์ตนอก
กุเคยนั่งปรู๊ฟ เสร็จแล้วก็ส่งให้อาร์ตนอกที่เขารับจัดหน้าแก้
ตรงนี้มันมีข้อเสียคือ อาร์ตอาจจะไม่สนใจว่าเคาะแล้วคำมันจะตกไหม
แบบแก้แล้วอักษรเพิ่ม ไปเบียดท้ายตก สุดท้ายเละทั้งย่อหน้า
ส่งกลับมาก็ต้องแก้ใหม่ เพราะอาร์ตกับปรู๊ฟไม่ได้โคกัน
แต่แซลมอนคงใช้รวมซึ่งกุก็ว่าดี (ถ้ามีเงินเพิ่มด้วยก็ดีมาก)
แต่อย่างน้อยแม่งคงไม่น่าหงุดหงิด แบบแก้คำตกรอบแรก
ส่งกลับมารอบสองบรรทัดอื่นเลื่อน สั่งแก้ใหม่ กลับไปตกแบบรอบแรก
วัฎจักรนี้อย่างเหี้ย
>>694 มาตรฐานจัดหน้าของแต่ละสนพ.มีนะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับที่ไหน สมมติ สนพ.ส้ม มึงก็จะใช้ขนาด16 พิเศษ มาจิน กริด เดิมๆไปตลอดกาล เพราะเป็นนิยาย ไม่เปลี่ยนรูปแบบ แต่พวกแซลม่อน มันชอบมีลูกเล่นต่างไปในแต่ละเล่ม หนังสือใหญ่บ้างเล็กบ้าง มาตรฐานอะไรเลยไม่ตายตัว แต่เวลาสั่งงาน บางทีเขาจะบอกมึงว่า เอาขนาดพ็อคเก็ตบุ๊ต เอาไซด์แมกกาซีน เอา 16 ธรรมดา หรือพิเศษ ถ้าไม่เก็ทศัพท์นี่คุยยากพอตัว โม่งที่อยากจัดหน้า ต้องลองวัดเก็บขนาดหนังสือของแต่ละที่ไว้ มีประโยชน์ตอนบรีฟงาน
กูคิดว่าตัวเองจะเพอร์เฟคชั่นนิสต์กับตัวเองมากไปว่ะ พอเห็นคนอื่นเขียนก็แบบเฮ้ย ถึงสำนวนไม่ดียังเขียนได้ เราก็ต้องทำได้ดิ แต่พอทำจริงกูก็จะแบบตรงนี้ก็ไม่ใช่ ตรงนั้นก็ไม่โดน บลาๆ แล้วกูก็มีปัญหากับการทำให้มีงานสม่ำเสมอว่ะ เขาบอกกันว่าอยากให้คนจำต้องมีงานออกสม่ำเสมอ แต่กูขี้เกียจด้วยแหละ แถมเพราะเพอร์เฟคเกินเลยเขียนอะไรแทบไม่ออกซักอย่าง ยิ่งมีเวลามากำหนดยิ่งกดดันเข้าไปอีก กูเหนื่อยตรงจุดนี้จังว่ะ
ยิ่งเขียนตอนมากเรื่อยๆ เนื้อเรื่องยิ่งเริ่มไม่เข้ากัน ตอนนี้แต่งมาได้สี่ตอน ตอนที่สี่มีแต่น้้ำและไม่น่าสนใจ ดูไม่เกี่ยวกันเลย ฮือ
พวกมึงมึวิธีร่างพล็อตมั้ย กูรู้สึกกูแต่งไปตรงๆไม่รอดกูต้องสรุปความคิดร่างมาก่อน แต่พอมาเขียนกูกลับเขียนไม่ออกกล่ยเป็นแต่งไปเลย
ก่อนจะเขียนนิยายได้ทีไรใจกูฟุ้งซ่านทุกที อยากเขียน แต่ก็ไม่อยากเขียนไปพร้อมๆกัน เครียดยังไงก็ไม่รู้ หรือว่ากูกดดันตัวเองมากเกินไปวะ
กูเขียนตามพล็อตไปเรื่อยๆ แต่พอพบว่ามีช่องว่าง กูจะหมดอารมณ์เขียนไปในทันที นานมากกว่าจะตบๆ ให้มันเข้าที่แล้วกลับมาเขียนต่อได้
ทีนี้ปัญหาของกูคือ กูเป็นพวกยอมรับความไม่สมเหตุสมผลไม่ค่อยได้ ทั้งที่อ่านกระทู้แนวๆ ศาลาคนเศร้า อ่านข่าวศึกษา สะสมไว้ก็พอตัว พอให้ยึดไว้ว่า เคสประหลาดๆ หรือการแต่งงานแบบประดักประเดิดแบบนี้มันก็มีอยู่นะเว้ยในชีวิตจริง แต่พอกูจะเอาเคสนั้นมาใช้กับนิยายที่กำลังเขียนบ้าง กูกลับทำใจไม่ได้ มันมีในชีวิตจริง (ของใครบางคน) แต่มันขัดกับความเชื่อกูมาก แล้วก็ลำบากตัวเองสิทีนี้ เราอยากให้ตัวละครเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น แต่หาทางเข้าดีๆ แบบไม่ขัดกับความเชื่อตัวเองให้ตัวละครไม่ได้ นี่ก็ตบทางเข้าให้มันมาหลายรอบแล้วยังไม่เข้าที่ที
คนอ่านเขายอมรับความสมเหตุสมผลได้แค่ไหนวะ กูว่ากูเป็นพวกตั้งอยู่บนความจริงมากเกินไป รับความรักแฟนตาซีไม่ค่อยได้เลยว่ะ เวลาอ่านงานแบบนั้นแล้วก็อึดอัดฉิบหาย
เราว่ามันสำคัญที่ว่า ทำยังไงตัวเองจะเชื่อและอินไปกับเรื่องราว เพราะถ้าคนเขียนยังไม่เชื่อ มันก็จะทำให้เล่าเรื่องไปจนจบลำบาก หรือต่อให้ด้นๆ เขียนไปจนจบได้ เรื่องที่เขียนมันจะขาดอารมณ์ขาดความสมเหตุสมผลบางอย่างในรายละเอียด และส่วนนี้มันจะทำให้คนอ่านจับความรู้สึกได้อะ
เพราะงั้น เขียนอะไรที่ตัวเองเชื่อและมั่นใจ ไม่ต้องไปฝืน เล่าไปตามที่คิดว่าน่าจะเป็นและควรจะเป็นน่าจะดีที่สุด เรื่องอื่นอย่างเรื่องที่ว่าคนอ่านจะอินหรือไม่อินไหม เราไม่ต้องไปเครียด เพราะถือว่าเราทำในส่วนของเราเต็มที่แล้วอะ ปล่อยให้คนอ่านตัดสินไป
เขียนงานออกมาแล้วโดนด่าว่างานอ่านไม่รู้เรื่อง ง่วงนอน เสียใจ ฮือ
แจ่มใสเปิดรับสมัครนักเขียนหน้าใสละ ไปสมัครกันเร้ว
>>720 เขียนแนววกวนนี่ต้องไปเกิดเป็นนักเขียนเยอรมันหรือเบลเยี่ยม เขียนให้วกวนดูฉลาด ถึงจะขายดี
ของไทยสมัยนี้เหมือนต้องเน้นเขียนให้กระชับ คนไม่ค่อยทนอ่านบรรยายยาวๆ ไม่สิ ต้องบอกว่า พวกอ่านบรรยายดึงอารมณ์กับพวกที่อ่านนิยายเน้นรับรู้เรื่องราวเอาบันเทิงอย่างเดียวไม่สนใจวรรณศิลป์ทางภาษา เป็นคนอ่านคนละกลุ่มกัน
>>720 ไม่เห็นตัวงานคอมเมนต์อะไรมากไม่ได้ พูดแบบรวมๆนะ
ความรู้สึกวกวนมันจะเกิดเวลาคนเขียนพยายามบรรยายแบบย้ำคิดย้ำทำ เหมือนในความคิดคนเขียนคิดว่านี่แหละวลีสำคัญ หัวใจหลัก ต้องย้ำบ่อยๆ หรือไม่ก็คิดว่าเล่นคำแล้วจะน่าสนใจ (ความจริงคือถ้าเล่นแล้วไม่ช่วยให้อ่านง่ายขึ้นหรือนำเสนออะไรเพิ่มขึ้น มันจะทำให้คนอ่านเขว)
ปล. ถ้าซีเรียสจริงๆ ควรหาคนที่วิจารณ์งานแบบขีดปากกาแดงเป็นรายประโยคได้ ไม่งั้นก็มีทางเดียวคือนอนพักลบ bias ก่อนกลับมาอ่านซ้ำแล้วหวังว่าจะเจอปัญหา เคยเจอแบบนี้เหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนโดนถีบตกทะเลเลย - -''
พูดถึงนิยายใสๆ นี้กูเคยอ่านแค่สองสามเล่มสมัยเด็กๆ ทุกวันนี้เวลาเห็นตามร้านก็ลองหยิบมาอ่านดู ถึงกับกุมขมับ นี่กูอ่านไปได้ยังไง ขนาดไม่ใช่ติ่งนะ
กูจะเขียนนิยายพาโรดี้สาวน้อยเวทมนตร์(ได้ไอเดียจากการ์ตูนพริตตี้เคียวที่แม่งฉายวนไม่จบซักที กูเบื่อ) ปัญหาคือกูยังคิดไม่ตกว่าจะใช้โลกในเรื่องเป็นญี่ปุ่นหรือประเทศสมมุติตัวละครชื่อฝรั่งจ๋าดี คือมันเป็นโลกในอนาคตอะมึง หรือจะยำรวมกันเอาตัวเอกคนญี่ปุ่นมาใข้ชีวิตในประเทศสมมุติได้ปะวะ แบบว่ามันมีบางเรื่องที่ค่อนข้างล่อแหลมเรื่องเพศ เช่นเกย์ ที่ฝรั่งดูจะเปิดกว้างแต่เอเชียยังปิดกั้นอยู่ กูกลัวดราม่าว่ะ
>>729 ก็เหมือนไรเดอร์เซนไตละมึง ต้องมีรุ่นใหม่เป็นประจำทุกปี 555 กูลงพนันว่าจะจบหลังโคนันรายนี้มีสปอนเซอร์+ขายของเล่นได้
จริงๆมึงไม่ต้องแคร์ว่าประเทศอะไรก็ได้(กูว่าคนอ่านแม่งก็ไม่ได้แคร์หรอก) ขอแค่อย่ามาญี่ปุ่นแต่ชื่อแต่เนื้อในคนไทยใช้มุกไทยๆละกัน เอาจริงยิ่งเรื่องเกย์กูว่าไม่น่าห่วงเลย พรีเคียวนี้แหล่งโดยูริเลยนะมึง...ภาคล่าสุด มาโฮพรีเคียวนี้กูสำลักยูริคู่หลักตายมากๆ
นิยายกูโดนบอกว่าภาษาสละสลวยแต่เข้าใจยาก ต้องพยายามทำความเข้าใจ กูก็ไม่รู้จะทำไงดีเพราะตั้งใจให้เป็นกิมมิคนิยายตัวเองที่กระแดะใช้ศัพท์สูงใช้คำไวพจน์เพื่อความพีเรียดจักรๆ วงศ์ๆ อย่างแบบ ฤทัยขาดห้วงสิเน่หา ลุ่มหลงดำฤษณาเกินยั้งสติ ไรเงี้ยะ อยากบอกเขาว่ามันไม่ต้องแปลทุกประโยคก็ได้อ่า
จะให้ปรับมันก็ได้แค่ระดับหนึ่ง พวกประโยคไม่ให้ยาวเกิน ไม่ให้คำศัพท์ปีนกระไดมันอยู่ติดๆกัน ก็พยายามปรับแล้วในตอนหลังๆ แต่ยังโดนบอกว่าเข้าใจยากอยู่ดี กูไม่รู้แล้วเนี่ยว่าต้องปรับขนาดไหน
>>731 เราว่าลองดูตัวอย่างของพวกชั้นครูที่เขียนสละสลวยเช่นลักษณาวดี แล้วปรับภาษาอย่าให้ยากเกินกว่านั้น เชื่อเราเถอะ ตอนเราอ่านธุวตาราเราใช้เวลานานมากกว่าจะชินกับความยากของภาษาได้
ภาษาที่อ่านยากมันต้องใช้พลังสมองในการอ่านตีความ คงไม่มีใครอยากใช้พลังสมองในการนั่งตีความนิยายทุกบรรทัดหรอก นอกจากว่าจะเป็นคนที่ชอบวรรณศิลป์จริง ๆ แล้วมีความสุขกับการละเลียดความงามของสำนวน ซึ่งคนกลุ่มนั้นมันค่อนข้าง niche
คนธรรมดาทั่วไปจริง ๆ ไม่ได้สนใจความงามของภาษาขนาดนั้นอยู่แล้ว จุดสำคัญคือสำนวนเขียนสามารถเล่าเรื่องเข้าใจ เล่าเรื่องแล้วดึงอารมณ์ร่วมได้มากกว่าน่ะ
>>731 สละสลวยมีศัพท์ยากกับ เวอร์วังอ่านไม่รู้เรื่องมันต่างกันนะ ของมึงกูว่าว่าอยู่ในพวกเวอร์เกิน ไม่รู้เรื่องยังเรื่องเล็กเพราะถ้าพยายามก็เข้าใจได้ แต่อ่านแล้วมันโคตรน่ารำคาญนี่สิ คนจะพาลกดปิดเอา นอกจากมึงไม่แคร์ว่าจะมีคนอ่านเปล่า ถ้าอย่างนั้นมึงก็บรรเลงได้ตามใจเลย
มึงทำให้กูนึกถึงรายการทีวีอันนึงช่อง thaipbs นานแล้วแหละ เกี่ยวกับพาเที่ยวไทยเก่าดั้งเดิม แม่งชอบใช้คำฟุ่มเฟือย ตย. วิจิตรพิศดารโอฬารตระการตาสวยงามเหลือคณา เทือกนั้น แล้วแม่งมาบ่อย ๆ แทบทุกประโยค ถึงรายการมันดีแค่ไหนกูก็ทนดูต่อไม่ได้ว่ะ
อีกอย่าง "ไม่ต้องแปลทุกประโยคก็ได้" นี่เป็นความคิดที่ผิดนะโว้ย คนอ่านนิยายเขาก็อยากละเมียดละไมกับเนื้อหาภาษา ป่ะว่ะ ไม่ได้สอบภาษาไทยนะมึงจะได้อ่านข้าม ๆ เอาแค่เนื้อหาไปตอบข้อสอบ มึงอย่าไปหลุดความคิดนี้ในนิยายมึงเชียว โดนเกลียดแน่นอน
ส่วนแนะนำกูเห็นด้วยกับ >>731 คุณหญิงวิมลน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีได้ หรือถ้ามึงอยากได้ภาษาแบบเก่า ๆ กูแนะนำ ไม้ เมืองเดิม
กูเจอปัญหาสำนวนแกว่งว่ะเพื่อนโม่ง คือกูเขียนนิยายรักธรรมดา ใสๆ
แต่เสือกไปอ่านนิยายจีนมา ชิบหาย รักวัยเรียนกลายเป็นหนังจอมยุทธ์เลยสัด
กูต้องหาอะไรมาถอนวะเนี่ย
>>731-733 ทุกวันนี้กูยังงงว่าไส้เดือนตาบอดในเขาวงกตชนะซีไรต์ได้ไงวะ คนเขียนเคยพูดเองเลยว่าอยากแต่งนิยายให้มันอ่านยากๆอ่านแล้วงงๆ คนอ่านจะได้มีสมาธิกับการอ่าน เนื้อหา1หน้ากระดาษสามารถสรุปได้ใน2บรรทัดที่เหลือมีแต่น้ำ แบบนี้นักเขียนบางคนเขี่ยๆงานให้มันเวิ้นเว้อก็ชนะรางวัลได้แล้วดิ
>>734 รีเซทสมองด้วยนิยายของด็อกเตอร์ป็อบกับสแตมเบอรี่
มีใครเคยคิดพล๊อตที่ทำร้ายตัวละครที่เรารักมากๆ มากจนสุดท้ายไม่กล้าเขียนบ้างมั้ย (คือวางแผนไว้แล้วว่าจะให้มันเกิดเหตุการณ์นี้กับตัวละครที่จะมีบทนี้ แต่พอให้อุปนิสัยใจคอเค้าขึ้นมากลับสงสารจนอยากแก้เมนพล๊อตหรือไม่ก็ถอนรากถอนโคนตัวละครนี้ทิ้งแล้วสร้างเขาใหม่เลย) โอยเศร้า
>>735 เป็นการรีเซ็ตสมองที่อาจจะสมองหายไปทั้งยวงเลยทีเดียว
>>736 มาตอบว่าเคย แต่กูสนุกมากเวลาทำร้ายตัวละคร... กูถือว่าตัวเองเป็นผู้ชมมากกว่า ใส่ปมเนื้อเรื่องให้ ใส่นิสัยกับประวัติให้ จากนั้นแค่นั่งดูว่าตัวละครจะเดินไปทิศทางไหน กูไม่ค่อยแก้อนาคตให้พี่แกเท่าไร ถ้าตัวละครเลือกจะทางเดินนี้ แก้ให้ไปก็เท่านั้น เผลอๆจะหลุดคาร์อีกต่างหาก คิดถึงเขาค่อยย้อนความคิดกลับไปเอา สำหรับกูอ่ะนะ คนอื่นไม่รู้เหมือนกัน
สรุปคือทำใจเหี้ยมแล้วเชือดทิ้งเลย เอ้ย ไม่ใช่ ถ้ามึงอยากแก้จริงๆก็แก้เถอะ เพื่อความสบายใจของตัวเอง ไม่งั้นก็หาเงื่อนไขอะไรสักอย่างเพิ่ม อาจจะพลิกอะไรได้บ้างล่ะมั้ง
>>736 เคย แต่กูทำอะ แต่ส่วนตัวกูว่ามันไม่ขนาดนัั้้น..ถึงคนอ่านจะบอกว่ากูโหดร้ายก็เหอะ(ตัวเอกกูโดนรถชนตาย กลายเป็นวิญญาณมาสิงพ่อของคนที่ขับรถชน แล้ววางแผนให้ครอบครัวแตกแยก คนที่ขับชนตอนแรกก็นิสัยกเฬวราก แต่พอผ่านวิกฤติที่ตัวเอกแม่งทำมาเรื่อยๆก็เริ่มจะกลายเป็นคนไม่เอาอารมณ์เป็นใหญ่ รักครอบครัว พยายามแก้ไข ชดใช้สิ่งไม่ดีที่เคยทำเอาไว้ แต่อนิจจา ตัวเอกดันวางแผนพลาด เลยกลายเป็นว่าไอ่คนที่ขับรถชนตอนแรกแม่งทนรับคำด่าทอของสังคมไม่ไหวจนชิ่งฆ่าตัวตาย ตัวเอกตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดละ แต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่กล้าฆ่าตัวตายเพราะเริ่มผูกพันกับครอบครัวนี้ จนสุดท้ายก็ใช้ชีวิตในฐานะพ่อของคนที่ขับรถชนไปจนตาย)
สำหรับกู กูคิดว่าทุกตัวละครควรมีโอกาสนะ อย่างน้อยก็โอกาสที่จะทำให้มองเขาในด้านดีๆขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับมึงแหละ ว่าจะเหี้ยมพอที่จะสร้างคนๆหนึ่งที่บัดซบในหลายๆความหมายขึ้นมาได้รึเปล่า
วันนี้กูมีไฟ คิดเรื่องคิดพล็อตที่อยากเขียน เสร็จแล้วลงมือเขียนจบไปตอนนึง เหลืออีกสามตอนที่วางพล็อตคร่าวๆไว้แล้ว
จากที่ผ่านมา ยุ่งนู้นนี่นั่น สมองตันไม่มีเรื่องน่าสนใจ อ่านที่ตัวเองกลับมาเขียนรู้สึกมันฝืดๆ ยังต้องเกลาอีกเยอะ
แต่ได้เขียนออกมาหลังจากหยุดไปนาน ดีใจจัง
ถามหน่อยเวลาหาข้อมูลจำพวกมีรูปน่ากลัวเช่นผี วิธีทรมาณ โรค ฯลฯ ทำยังไงให้รูปมันไม่ขึ้นอะ
>>742 https://www.textise.net/ วางURLลงไป จะมาแต่เท็กซ์ล้วนๆ
หรือถ้าใช้ chrome ก็ลง extension "Text Mode" (ไม่แน่ใจว่า firefox มีมั้ย ไม่ได้ใช้)
ทำยังไงดี เขียนแต่เรื่องสั้นกับไลท์โนเวลบ่อยจนเขียนนิยายเรื่องยาวๆไม่ได้แล้ว ฮือออ มีแต่คนบอกกูเขียนรวบรัดเร่งเกินไป
กูอยากระบายว่ะ
ตอนแรกกูเขียนเพราะอยากเขียน แต่พอกูเขียนแล้วขายพอได้มีคนตามอ่านได้พิมพ์กับสนพ. กูก็มายึดเป็นอาชีพหลัก ช่วงแรกกูเขียนตามใจกูเลยยอดขายไม่ดีเรียกว่าถึงอดตาย กูเลยเปลี่ยนแนวเขียนตามที่คนอ่านอยากได้มันก็ได้ผลกูได้เงินกับคนติดตามมากขึ้น แต่การที่คนติดตามมากขึ้นกูเจอแต่ความคิดเห็นที่บังคับทางให้กูเขียนตลอด ขนาดถ้านางเอกไม่เป็นไปตามที่คนอ่านส่วนใหญ่อยากให้เป็นก็ขู่จะเลิกตามงานกู พอกูลองไม่เขียนตามคนอ่านก็ฮวบครึ่งๆ บก.ก็เริ่มบ่นๆ กับกูแล้ว แล้วพอกูตามใจบก.กับคนอ่านเขียนตามที่ส่วนใหญ่อยากอ่านกระแสก็กลับมาแต่ก็เรียกร้องกับกูมากขึ้นอีก บางคนเรียกว่าแทบจะมาคิดเรื่องแทนกูแล้ว
กูเกลียดระบบที่ต้องลงงานในเน็ทเรียกคนอ่านมากต้องให้มีกระแสคนอ่านเยอะๆ กูถึงจะได้เงิน ตอนนี้กูทำตามที่ตัวเองอยากทำก็ไม่ได้ พอทำตามคนอ่านคนอ่านก็เรียกร้องกับกูเพิ่มขึ้นจนมันไม่ใช่งานเขียนกูแล้ว บก.ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ดูกระแสบนเน็ทก่อนอีก กูท้อแล้วเหนื่อยมากตอนนี้
>>748 เราเข้าใจความรู้สึกเธอ แข็งใจไว้นะ ถ้าตั้งหลักได้ มีทุนสำรองมากหน่อย ก็ผันตัวไปเขียนนิยายแนวที่อยากเขียนจริงๆ ดีกว่า พอมีฐานแฟนแล้วมันก็ขยับตัวง่ายขึ้น จริงอู่ว่าจะมีเรื่องความกดดันความคาดหวังที่มันจะตามติดตัวพวกเราไม่หายไปไหนหรอก แต่มองในแง่ดี การมีคนรักมีคนรอตามผลงาน ก็หมายความว่างานเราจะยังขายได้นะเพื่อนโม่งนักเขียน
>>751 ไม่ต้องไปออกหน้าบอกใครว่ามึงมีสองนามปากกา ยกเว้นถ้าเขาถามจัง ๆ มึงจะบอกหรือโกหกก็สิทธิของมึง แต่มึงต้องทำใจว่านามปากกาใหม่เท่ากับเริ่มก้าวแรกใหม่ ถ้ามึงติดชื่อเสียง ติดมีคนเม้น มีคนซื้อเยอะแล้ว มึงอาจจะเฟลกับนามปากกาใหม่ ที่ทั้งใหม่ ทั้งไม่ตามใจตลาดจนเลิกเขียนในนามปากกาใหม่ไปเลยก็ได้ แต่ถ้ามึงแค่จะเขียนสนองนี้ด แล้วหาคนที่จะชอบงานแนวมึงจริง ๆ ซะทีก็โอเค
>>749 ใจมาก
>>750-752 กูลองทำนามปากกาใหม่แล้วนามปากกาใหม่คืออันที่ขายได้ กูเปลี่ยนเมล์เปลี่ยนเฟซทวิตใหม่ด้วย แต่สุดท้ายคนอ่านก็รู้อยู่ดีซึ่งกูก็ไม่รู้ว่าตามไปสืบจากไหนจนรู้ แล้วกูเขียนช้าเขียนได้ทีละงานทำให้ถ้าจะเขียนงานตามใจตัวเองช่วงนั้นต้องมีเงินเก็บ เพื่อนกูแนะนำให้กูย้ายสนพ. แล้วบอกว่าถ้าบ.ก.เป็นแบบนี้กูจะโดนจับขายไปเรื่อยจนกูหมดประโยชน์ บ.ก.ก็จะทิ้งไม่เห็นใจเข้าใจกูแน่นอน
>>753 ย้ายสนพ อาจจะเป็นทางออกนึง แต่มึงต้องทำใจก่อนนะว่าสนพ สมัยนี้ก็อาจจะแนวๆ เดียวกันหมด มันเป็นเรื่องของธุรกิจ เค้าก็ต้องเน้นงานที่ขายได้ไว้ก่อนอยู่แล้ว ยิ่งช่วงนี้ตลาดหนังสือมันแผ่วลงยิ่งแล้วใหญ่ กูว่าสนพ ส่วนมากคงเพลย์เซฟ เลือกแต่แนวที่ขายได้แน่ๆ มาทำนั่นแหละ
กูไม่แน่ใจว่าแนวที่มึงอยากเขียนกับที่นักอ่านอยากอ่านมันต่างขนาดไหน จะเป็นไปได้มั้ยวะถ้ามึงจะเขียนแนวตลาด แต่ว่าก็มีสไตล์ของตัวเองไปด้วยอะ
เอาชัดสุดนะเรื่องบทเลิฟซีน นามปากกาแรกกูแค่เริ่มแล้วตัดไปเลยให้คนอ่านแค่พอรู้ว่ามีอะไรกันแล้วแค่นั้น นามปากกาใหม่กูผิดเองอยากขายได้ใส่มันเข้าไปเยอะ บรรยายชัดขึ้น ตอนเริ่มเขียนกูบ้าด้วยเห่อเขียนแล้วมันได้ผล ตอนออกเล่มแรก บ.ก. ก็โอเค กูก็โอเค คนอ่านก็โอเค เหมือนกันจะฟินไปหมด แต่พอเล่มถัดมาคนอ่านก็จะเอาเพิ่มจนตอนนี้หนักมากขนาดต้องให้ใส่ทุกตอนถ้าไม่มีอะไรกันอย่างน้อยก็ต้องมีกอดมีจูบตอนไหนไม่มีเลยยอดอ่านฮวบ กูรู้แล้วว่าคนอ่านไม่อ่านเรื่องกูแล้วจะอ่านต่อตอนเอากัน กูไม่อยากเขียนเซ็กส์เซล พอกูถามบ.ก.เขาตอบว่าเขียนไปเถอะคนอ่านชอบก็พอ คือกูเขียนจัดให้ได้ ตอน 50สีเทาดังบ.ก.อยากได้ BDSM กูก็เขียนให้ได้ ช่วงก่อนเห่อ NTR กูก็จัดให้ได้ อยากได้แนวเครื่องแบบกูก็เขียนให้ได้ อยากได้ BL GL กูเขียนให้ได้
แต่ตอนนี้กูเขียนไม่ออกแล้ว กูรู้ตัวกูไม่ได้อยากเขียนเรื่องเอากัน ถ้ากูไม่เขียนกูก็ไม่มีเงินที่บ้านกูก็โอเคกับการที่กูเขียนแล้วได้เงินแต่ไม่ได้มาสนใจว่ากูจะเขียนอะไร แล้วตอนนี้ยอดพิมพ์ลดลง กูต้องเขียนเรื่องมากขึ้นให้รายได้เท่าเดิมแต่กูเขียนไม่ได้มาเป็นเดือนแล้ว จนนี่พ้นเดทไลน์งานหนังสือ บ.ก.ก็เหมือนว่ากู ว่าทำกำหนดการเขาเสียกูก็บอกแล้วว่ากูเขียนไม่ทันแน่
ตอนนี้กูเสียใจมากที่ลาออกจากงานประจำ
>>755 โอ๊ะโอว .. สนพ มึงนี่ ใช่ที่หน้าปกเป็นรูปคนมั้ยวะ ...
ถ้าเป็นแบบนี้กูไม่โอเคนะ กูจะเขียนเรื่องอะไรซักเรื่องนึงมากูก็อยากให้คนสนใจเนื้อเรื่อง ไม่ใช่ฉากเย ในฐานะคนอ่าน กูก็ไม่ได้อยากให้มันมีฉากแนวๆ นี้ทุกตอนอะมึง แล้วเอาจริงกูว่ายอดวิวในเว็บมันไม่ได้แปลว่าคนอ่านจะซื้อจริงๆ รึเปล่าวะ อาจจะตามอ่านตามกรี๊ดในเว็บก็จบละ ไม่สนใจจะซื้อเก็บ แถมคนอ่านที่อ่านหนังสือดีๆ มาเจอแนวนี้เยอะๆ ก็ไม่เก็บอีกว่ะ
เป็นกูกูคงย้ายสนพ ว่ะ
>>756 มึงอย่าทายเลย ขอกูระบายเถอะ
ยอดวิวมันทำให้เจ้าของเห็นแล้วจะยอมให้พิมพ์หรือไม่ให้ เรื่องที่กูคิดว่าดีคอมเมนท์พอมีแต่วิวน้อยเขาไม่แลเลย เรื่องเขี่ยๆ ใสแต่เอากันวิวเยอะเมนท์กากได้พิมพ์
แล้วหลังจากนั้นเรื่องที่วิวเยอะหลายๆ เรื่องที่ได้พิมพ์จากหลายคนเขียน เขาจะดูอันที่เข้าตาหลักๆ คือวิวอีก เลือกเอาไปอัดฉีดต่อ เลือกคนทำปกเก่งๆ โฆษณา ทำโปสเตอร์ ของแจก ออกบูทแจกลายเซ็น เขาไม่ได้เลือกเนื้อหาเรื่องดีหรือไม่ดีหรอก ซึ่งการอัดฉีดพวกนี้ทำให้ขายได้มากกว่าคนรู้จักมากกว่าเรื่องที่ได้พิมพ์เหมือนกันแต่เงียบๆ
KY แปป พวกมึงเคยเจอปัญหาจนพล็อตทิ้งไว้นานมากๆ แล้วพอกลับมาอีกทีอ่านลายมือตัวเองไม่ออกมั้ยวะ
คือกุจดไว้เวลาว่างๆในกระดาษ แล้วไม่มีเวลาลงคอมซักที พอผ่านการเวลามานานก็เริ่มขี้เกียจ พอหายขี้เกียจเสือกอ่านลายมือตัวเองไม่ออก
แล้วก็นึกไม่ค่อยออกด้วยว่ากุเพ้อเจ้ออะไร 55555555555555555 เศร้าชิบหาย
กุจดไว้สั้นๆ พอกลับไปอ่านกลับนึกไม่ออกว่าวางพล็อตอะไร T T
กุพิมพ์เก็บไว้ในกูเกิ้ลไดรฟ์อะ
>read this
>get mad as fuck
>mad at the bitch
>mad at old fag
>mad at OP being beta fuck
http://imgur.com/gallery/7hwxI1s
literally nothing make me mad as this.
Red Wedding from GoT cant make me this mad.
moral of the story(?) : The most powerful tale is the one that seems real, yes or no?
อยากศึกษาเรื่องที่บรรยายด้วยมุมมองบุคคลที่สอง อะเพื่อนโม่ง หายากจัง มีเรื่องไหนแนะนำบ้าง
มึงมีนิยายแฟนตาซีแนวไทยๆป่าวว่ะ แบบเรื่องตำนาน ครุท นาค จักๆวงๆ เอาโครงเรื่องวรรณคดีมาแต่งแนวๆนี้อ่ะ กุอยากลองแต่งดู แต่หัวว่างมากเลยว่าจะลองอ่านก่อนขอเรื่องภาษาสวยๆมีไหมว่ะ
ล่องไพร เพชรพระอุมา
เยอะ เรื่องแนวความเชื่อ แต่ต้องเป็นนักเขียนเก่าๆหน่อยภาษาถึงจะสวย สมัยนี้ภาษาหวือหวาไปหน่อย เน้นแต่เขียนให้อ่านโต้งๆ ไอ้จะบรรยายใช้คำให้ลื่นๆไพเราะน่ะ ยากกก
แฟนตาซีแนวไทย ๆกูชอบเรื่องลำนำหกพิภพว่ะ
ชื่ออย่างกะนิยายกำลังภายใน
ถามหน่อยปกติเอานิยายแฟนตาซีไปฝากบูธไหนในงานหนังสือกัน
ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์นิยายยูริความจริงมันต้องเขียนว่า ลิลี่(Lily) หรือ ลิลลี่(Lilly) วะ กูถูกนักอ่านท้วงมาว่ะว่าต้องเขียนแบบแรก แบบหลังมันผิด ซึ่งกูลองหาข้อมูลดูปรากฏว่าใช้ร่วมกันมั่วเลยว่ะ ใครพอมีแหล่งอ้างอิงที่พอเชื่อถือได้บ้าง
Lily คือชื่อดอกไม้น่ะถูกแล้ว แต่ Lilly นี่ไม่รู้ว่ะ อาจจะเป็นชื่อคนที่มีความหมายว่าดอกลิลี่เหมือนชื่อซูซานล่ะมั้ง
มึง กูมีปัญหาว่ะ คืองี้นะ กูเขียนนิยายเป็นเซ็ทๆจะเอาไปส่งสนพ.แล้ววันดีคืนดีนึกครึ้มอะไรไม่รู้เปิดเรื่องใหม่โดยพระนางของคนละเรื่องกันให้มาคู่กัน (ใช้ตีมพาราเรลเวิร์ลอ่ะ) กุก็เขียนเอาสนุกเฉยๆไว้อ่านคนเดียวอ่ะ พอทีนี้ปัญหามันมีอยู่ว่า กูเสือกอินกะอีเรื่องสองคนนี้ชิบหาย ไอ้ที่อินไม่เท่าไหร่ ประเด็นคือพอจะกลับไปเขียนสองเล่มนั้น กูไม่มีอารมณ์เขียนอ่ะ เหมือนสลับพระนางกันไปแล้ว จะให้แยกมาเหมือนเก่าอารมณ์มันไม่ได้แล้วว่ะ
จากที่ต้องส่งสองเล่มกลายเป็นหายทั้งคู่เลย เสียงานเสียการกูหมด มีวิธีแก้ยังไบ้างวะ ช่วยกูที
เออ ลืมบอก ถ้ามึงจะแนะนำว่าเอาเรื่องใหม่ที่ได้ไปส่งเลย กูตอบไว้ก่อนว่าทำไม่ได้ เพราะพล็อตมันเหี้ย ผิดศีลธรรมและเรทมาก ....
กูเขียนนิยายสร้างโลกใหม่ขึ้นมา ออกแนวแฟนตาซียุคกลางหน่อยๆ กูจะใช้คำที่เป็นแนวเอเชียอย่างชุดกิโมโน นินจา ได้ไหมวะ แบบมันมีจะพื้นที่หนึ่งที่ประชากรเป็นเผ่าที่กูอิงมาจากญี่ปุ่น ให้มีชื่อญี่ปุ่นหรือผสม เช่น เบลริว แบบนี้ได้ปะวะ
กูติดอยู่ในกำแพงเขียนนิยายไม่ได้มานานมากเลยเพื่อนโม่ง ห้าปีได้ กูกดดันตัวเองจนเขียนได้แค่สั้นๆ ไม่มีความสุข พล็อตดีแค่ไหนก็เขียนไม่ได้ กลายเป็นการบังคับตัวเองให้เขียนนิยาย วันหนึ่งหน้าหนึ่งยังเขียนไม่ได้เลย ตอนนี้กูกลับมาเขียนนิยายไม่มีพล็อต ไม่มีสาระ อยากเขียนอะไรก็เขียน จับแพะชนแกะไปเรื่อย พยายามเขียนให้ได้ทุกวัน วันละตอน ตอนสั้นๆเอง 2,000 กว่าคำ ตอนนี้เขียนมาเกือบจะหนึ่งเดือน ได้ 26,000 คำแล้ว...ไม่รู้ว่ากูก้าวข้ามผ่านกำแพงของตัวเองหรือยัง แต่กูภูมิใจว่ะ รู้สึกดียังไงก็ไม่รู้
พวกมึงเคยเป็นกันไหม คิดเซ็ตติ้งแฟนตาซีได้เป็นวรรคเป็นเวร แต่ดันแต่งเรื่องไม่ออก
ขอถามนักเขียนที่ร่วมเล่มนิยายขายเอง คิดยังไงถึงกล้าเสี่ยงพิมพ์เอง ทำไมถึงคิดจะรวมเล่ม พิมพ์กี่เล่ม ฟีดแบกคนอ่าน-คนซื้อดีมั้ย กำไรเป็นไง
ขอบคุณล่วงหน้านะ
>>785 ถ้าหมายถึงทำไมไม่ส่งต้นฉบับให้กับสนพ. เหตุผลเยอะค่ะ เช่น โดนบังคับขายขาดให้แค่ตอบแทนน้อยกว่าทำเองอีก เจอบีบไม่ให้ค่าตอบแทนอีบุ๊ค โดนแก้งานจนไม่ใช่งานตัวเอง ดองไม่เซ็นสัญญาเสียที แก้แล้วแก้อีก เร่งงานกดดันนักเขียนเกินพอดี สนพ.ไม่ดันงานให้ไม่ต่างจากลงในเน็ทเอง มีปัญหากับกองบก. และอื่นๆ เหล่านี้ทำให้นักเขียนที่พอมีฐานคนอ่านแล้วและมีรายได้จากทางอื่นด้วยมาทำหนังสือเอง
ถ้าเหตุผลการผลิต เช่น รูปเล่มปกทำไม่ถูกใจนักเขียน นักเขียนมีคนซื้อมากพอได้ค่าตอบแทนมากกว่าส่งสนพ. แล้วตอนนี้การพิมพ์เองใช้วิธีสั่งจองแต่ชำระเงินก่อน สั่งพิมพ์จำนวนน้อยๆ ได้ นักเขียนไม่ต้องเสี่ยงทุนจมแล้ว เลยทำเองถูกใจสบายใจกว่า
กูไปอ่านนิยายเรื่องนึงมา ไม่ขอบอกชื่อนะ เป็นแนวแฟนตาซี เรื่องกึ่งๆ ดราม่า แล้วให้ตัวเอกในปัจจุบันเติมเต็มอดีต ทีนี้เว้ยคนเขียนก็เขียนแบบให้พระนางคู่กันงั้นงี้ เดินเรื่องมากลางทางเริ่มมีแววพระนางไม่ได้คู่กันว่ะ พออ่านจนจบเท่านั้นแหละแม่มเอ้ย นอกจากนางเอกจะหายไป หายแบบลบจากความทรงจำทุกคน ตามเหตุผลห่านเหวทั้งหลายแหล่ พระเอกกูเสือกไปแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน ประมาณแต่งงานการเมือง ทั้งที่แม่งเหมือนจะนึกออกว่ามีนางเอกอยู่แล้ว กูก็แบบเฮ้ยทำงี้ไม่ให้นางเอกกูตายเลยวะ เป็นพวกมึงจะรู้สึกยังไง สำหรับกูแบดเอ้นด์สลัดอ่ะ มีโมเม้นต์ดีๆ ด้วยกันมาตั้งนานคือไรว้าาาา
>>787 ส่วนกูอ่านอีกเรื่องแนวแฟนตาซีเหมือนกัน
เรื่องนี้อออกมา 3 เล่มและยังลงเว็บให้อ่านอยู่เนื่องจากยังไม่จบ
คนเขียนเขียนได้คลุมเครือมากในเรื่องความรักของพระเอกนะว่าจะลงเอยกับใคร
จนแบ่งคนอ่านออกเป็นหลายฝั่งคือไม่เอานางเอก พระเอกรักเดียว พระเอกได้ฮาเร็ม
เนื่องจากคนเขียนให้พระเอกไม่แสดงท่าทีสนใจใคร แต่เสือกใจดีกับสาวหลายคนแต่ไม่ใช่แบบเชิงชู้สาว
ทำให้กูเข้าใจว่าการเขียนตอนจบของเรื่องหนึ่งๆ จะมีคนชอบกับคนไม่ชอบเสมอ
กูแต่งนิยายไปนิดนึง แล้วพักไว้เพราะว่าตัน วันนี้กะจะแต่งต่อ ปรากฏว่ากูลืมเรื่องที่จะต่อไปหมดละ ปริศนาที่ใส่ไว้มันคือไรอ่านเองไปสองรอบก็จำไม่ได้
ที่จดไว้ก็แบบโคตรคร่าวๆ ไหนจะพวกที่ใส่เข้าไปตามอารมณ์ระหว่างแต่งอีก เซ็งชิบ 55555
กำลังเขียนนิยายเรื่องหนึ่ง แล้วหาวิธีลงฉากอดีตให้น่าสนใจไม่ได้สักที ลบๆ แก้ๆ จะตายแล้ว จะลงเป็นตอนๆ ย้อนอดีตยาวๆ กันก็เกรงจะเยอะไป จะลงแทรกรำลึก บรรยายความรู้สึกว่าเคยอย่างนั้น เคยอย่างนี้ก็ดูไม่มีน้ำหนัก แบบว่าอดีตของคู่หลักมันสำคัญมากกกก พอๆ กับปัจจุบันเลยอะ มีหนังสือเรื่องไหนดีๆ พอให้กูศึกษาการย้อนความหลังบ้างวะ หรือช่วยแนะนำก็จะขอบใจมาก
เพื่อนโม่งกูอยากถามหน่อยว่าเวลาแต่งนิยายทั่วไป ถ้าอ้างอิงสถานที่จริงเช่นห้างหรือสถานศึกษาแบบใส่ชื่อลงไปเลยจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ แบบเจ้าของสถานที่ หรือคนที่อยู่ในที่นั่นๆจะคิดยังไง มีผลอะไรมั้ย
กูไม่ได้จะเม้น กูกดผิด ซอรี่
กูประหลาดเปล่าวะ เขียนนิยายโรแมนติกคอมเมดี้แต่ฟังเพลงรักอะไรแบบนี้ไม่มีสมาธิเลย ต้องเปิดเพลงที่มันกระแทกหูแบบ smells like teenage dream, creep อะไรทำนองนี้...
ขอคำแนะนำหน่อยถ้าจะเขียนถึงตัวเอกที่บ้านๆ ไม่ได้ฉลาดเทพทรูอะไร ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้าง ยังไงไม่ให้คนอื่นเขวี้ยงหนังสือทิ้งก่อนวะ เข้าใจอารมณ์คนอ่านเวลาอ่านนิยายถ้าเห็นตลค.ทำตัวไม่สมเหตุสมผล แกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้วมันหงุดหงิดนะ เป็นเหมือนกัน เลยมาถามหาไอเดียว่ามันแก้ไงดีวะจุดนี้
>>802 ทุกการกระทำมันต้องมีเหตุผลอะ ถึงจะดูไม่มีเหตุผลยังไงก็ตาม ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้างก็ได้ แต่คงต้องบอกให้ได้ว่าทำไมมันตัดสินใจอย่างนั้น จู่ๆคนเราจะหาเรื่องใคร ถึงดูไม่มีเหตุผลแต่ลึกๆมันก็มี ไม่ใช่แบบอยากมีเรื่องเพราะนิยายจะได้เดินหน้าอะมึง
ตัวละครอาจชอบเสือกเรื่องชอบบ้าน เสือกมากเข้าเลยเผลอไปอยู่กลางดงตีนไม่รู้ตัวงี้ ก็รับได้ เพราะเราบอกแล้วว่ามันขี้เสือก
ที่น่าหนักใจว่าน่าจะเป็น ทำยังไงไม่ให้มันน่ารำคาญอะ กุเห็นหลายคน บรรยายดี พลอตเก๋ แต่ตัวละครแม่งน่ารำคาญไม่ควรเอาใจช่วย
จนกุแอบคิดว่าจริงๆ คนเขียนมันอยากเล่นพวกตัวรองมากกว่า ตัวเอกมีไว้แค่ให้เรื่องเดิน
เห็นพวกมึงคุยกันเรื่องฮาเร็มแล้วสะดุ้งเลย คือกูกำลังคิดพล็อตนิยายฮาเร็มชาย 5 คนต่อนางเอกคนเดียว คือกูคิดตอนจบไว้ว่าหนุ่มที่ได้จูบแรกนางเอกตายเพื่อปกป้องนางเอก ที่เหลือก็คอยดูแลช่วยเหลือนางเอกอย่างห่าง ๆ เช่น นางเอกเปิดร้านขายดอกไม้ ก็มาช่วยงานเป็นลูกน้อง หรือย้ายมาอยู่บ้านข้าง ๆ รั้วติดกัน มีโมนเม้นทำอาหารให้กินทุกเช้า สรุปคือจบแบบปลายเปิดให้คนอ่านมโนเอง แบบนี้พอได้ปะวะ
>>802 แกว่งเท้าหาเสี้ยนเราว่าไม่ใช่ปัญหานะ ทำให้เรื่องสนุกด้วยซ้ำ แบบ...มันจะเอาความฉิบหายอะไรมาใส่ตัวได้อีก (ขึ้นอยู่กับว่าความฉิบหายที่ว่าอ่านแล้วสนุกรึเปล่าด้วยแหละ) แต่ที่แย่กว่าคือ เวลาคนเขียนกลัวคนอ่านเกลียดตัวละครแล้วพยายามลดความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของแม่ง หรือบังคับให้ตัวละครตัวอื่นพูดแก้ต่างให้อ่ะ หนักกว่าคืออธิบายยืดยาวว่าการกระทำนี้เห็นแบบนี้จริงๆแล้วผ่านกระบวนการความคิดแบบนี้(เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าพวกมรึงคนอ่านก็ทำเหมือนกันนั่นล่ะ) เห็นแล้วแบบ เหมือนโดนโน้มน้าวอะ ไม่อยากอ่านต่อแบบฉับพลัน 555
>>806 ประเด็นสุดท้ายนี่โคตรเห็นด้วย เวลาเจอแฟนๆที่อวยตลค.ไม่ลืมหูลืมตาแล้วหาทฤษฎีมโนมาสนับสนุนหาความชอบธรรมให้การกระทำของตลค.(ทั้งที่นักเขียนแม่งตั้งใจสร้างมาให้เป็นตัวกรียนชัดๆ)ว่าแย่แล้ว มาเจอคนเขียนที่เขียนให้(ดูเหมือน)เป็นตัวเกรียน การกระทำก็เกรียน แล้วทำมาอธิบายทีหลังว่าที่จริงทำเพื่อคนอื่น แนวๆแอนตี้ฮีโร่ไรงี้มันโคตรจะแย่กว่า ไม่ได้บอกว่าตลค.แนวนี้ไม่ดีนะเว้ย ชอบด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครจะเขียนช่วยทำให้เนียนหน่อยเห้อ
เอ้า ไหนๆ แม่งก็เป็นปัญหาแล้ว โม่งคิดว่าควรเขียนยังไงให้มันไม่ดูยัดเยียดวะ ส่วนตัวเราไม่เขียนนิยายนะ แต่จากปสก.อ่านที่ผ่านมาคิดว่าถ้าไอ้ตัวเกรียน(ที่มีเนื้อแท้สีทอง)ตัวนี้เป็นประเภทไม่แยแสโลก ไม่แก้ตัวในทุกสถานการณจริงๆ แล้วพอถึงบทจะแถลงความดีก็ให้ตลค.อื่นมันพูดเอา ทยอยยอมรับกันด้วยตัวเองไรงี้ เราพอจะถูไถไม่เหม็นหน้ามันมากว่ะ
>>808 เกรียนแบบไร้ข้ออ้างก็สนุกไปอีกแบบนะ คือเกิดมาแบบนี้ ชีวิตเป็นแบบนี้ คิดแบบนี้เลยเกรียนแบบนี้ ไหนๆก็จะให้เกรียนแล้ว จะครึ่งๆกลางๆลดแรงกระแทกไปไย ความเกลียดไม่ได้ตรงข้ามกับความรักเฟ้ย 555+
...ในฐานะคนหัดเขียน ถ้าจะเขียนตัวละครเกรียนๆสร้างปัญหาแบบไม่มีข้ออ้าง มันต้องมีแผนกู้ชื่อเตรียมไว้ทีหลังว่ะ ประมาณว่า act1 ก่อเรื่อง act 2 ใช้กรรม ...ถ้าซื้อใจคนอ่านคืนไม่ได้หรือโดนเลิกอ่านก่อนก็เงิบไป 5555+
แต่เอาจริงๆเราว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเขียนให้ใครอ่านด้วย ถ้าเขียนให้พวกนักอ่านมุ้งมิ้งกรี๊ดตัวละครอ่าน เขียนคำอธิบาย(หรือกลยุทธิ์โน้มน้าวอื่นๆ)แบบให้เข้าใจง่ายๆเอาไว้ให้แฟนๆใช้เวลาสนับสนุนตัวละครก็อาจจะเป็นวิธีเขียนที่ถูกต้องที่สุดแล้ว - w -'
กูไม่รู้ว่ากูควรมามู้ไหน แต่คิดว่าน่าจะมู้นี้ ว่าจะทำเพจแปลโดเเปลแก็กว่ะ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี กูไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่ากูเป็นคนแปลอ่ะ แต่แบบนั้นมันก็จะไม่มีคนเห้นอ่ะดิ ;__;
อย่างเพจดังๆ อย่างนายแมวหรือเคะเกรียนนี่ได้ขอก่อนไหมนะ
พวกมึงถามหน่อย ถ้ากูเขียนนิยายที่มีมุมมองแบบที่แพลนกล้องแค่พระเอกคนเดียว ความคิดความรู้สึกมีแต่ของพระเอก แต่กูใช้สรรพนามในบทบรรยายว่า เขา แบบนี้จะเรียกว่ามุมมองบุคคลที่ 1 ได้ไหม
>>817 แบบนั้นน่าจะบุรุษที่สามแบบแพนกล้องติดตามพระเอกมากกว่านะ บุรุษที่หนึ่งตราบใดที่พระเอกไม่ได้เป็นคนเล่าเรื่องเองมันก็ไม่ใช่อยู่ดี อีกอย่างบุรุษที่หนึ่งมันให้ความรู้สึกเฉพาะตัวของมันในการเล่าเรื่องนะ มีความคิดของคนเล่ามาเกี่ยวข้อง ใช้ปกปิดปมเรื่องบางอย่างได้ แต่ถ้าเราเป็นคนเล่าถึงจะรู้เรื่องของพระเอก รู้ความคิดแต่มันก็ต่างกัน เพราะเรารู้ทุกอย่างตามความจริงป่ะ?
>>802 นิยายแม่งกากแค่ไหน ตัวละครต้องซ่อนปม ตัวละครต้องมีปมในอดีต แล้วค่อยๆ ปล่อย แล้วคนจะตาม เพราะนิสัยของมนุษย์ทุกคนคือชอบเสือกและอยากรู้อยากเห็น ดังนั้น คนอ่านแม่งก็อยากจะรู้ว่าทำไมพระเอกแม่งเป็นงี้ นางเอกแม่งทำงี้ แต่มึงต้องแน่ใจว่าปมมึงดีงามนะเว้ย ไม่งั้น สภาพจะแม่งเหี้ยเหมือนละครสงครามนางงามอะไรที่ตอนจบ นางเอกเป็นกระเทย เคยฆ่าคน และเป็นเบาหวาน อีคนเขียนบททิ้งปมเยอะจัด จบไม่ลง
คือกุพึ่งไปอ่าน fbfy ตามที่โม่งมู้นู้นแนะนำมา อบอุ่นละมุนละไมจริงว่ะ(กุอ่านอิ้งนะ) เอาแค่คำโปรย to meet or not... กุก้น้ำตารื้นละสึส พอดีอินง่าย 5555 แต่กุอ่านไปก้เริ่มหนักใจว่ะ คือกุกำลังแต่งแนวย้อนอดีตเหมือนกัน แต่พอมาอ่านแล้วพบว่าตัวเองคิดซ้ำกับเรื่องนี้เยอะเลยว่ะ ไม่ใช่ตรงพุทธศาสนานะ แต่เป็นกฎเกณต่างๆ ลำดับการคิดของนางเอก อิปิรามิดของมาสโลวนี่ก็เหมือนอีกพาลเอากุไม่อยากแต่งต่อเลย ตอนนี้กุเลยหยุดการอ่านไว้ตอนที่5ก่อนกลัวได้รับอิทธิพลเข้าไปในงานเขียนของตัวเอง+จิตตกว่าจะไปซ้ำกับเขาตรงไหนอีกจนต้องฝืนหาทางลงที่แปลกใหม่ เขียนจบแล้วกุค่อยไปอ่านต่อ ขออย่าให้คุณฮารุลบหรือเกิดอะไรขึ้นก่อนเล้ยย เพราะกุแต่งสปีดหอยทากมาก
เพื่อนโม่ง แนะนำวิธีเขียนนิยายประวัติศาสตร์หน่อยสิ อาจารย์สั่งงานกูไว้นานแล้วให้เขียนนิยายสั้นไปส่ง กูกะจะเอาเรื่อง
Christmas truce สงครามโลกครั้งที่ 1เพราะส่งเดือนธันวาก่อนคริสมาต์พอดี พระนางเป็นเยอรมันกับอังกฤษ เจอกันวันสงบศึกคริสมาสต์อีฟ หลังปีใหม่ก็กลับมาฆ่ากันต่อ แต่แม่งติดตรงกูเขียนให้เห็นถึงบรรยากาศไม่เก่งควรบรรยายเยอะๆดีมั้ยวะ? แต่ก็ติดที่มันเป็นนิยายเรื่องสั้นนี่ล่ะ มีเทคนิคอะไรเขียนให้มันดูกระชับบ้าง แล้วบทตัวละครร้องเพลงควรจะทำยังไงดีอ่ะ? ช่วยแนะนำหน่อย
ถามในนี้ได้มั้ย เห็นมีแต่คนมีความรู้ด้านนี้ คือกูสงสัยว่า นิยาย ไลท์โนเวล ฟิคชั่น สามคำนี้ต่างกันยังไง
>>833 Fiction คือนิยายนั่นแหละตามความเข้าใจมึง Light novelเป็นคำที่ญี่ปุ่นบัญญัติขึ้นใช้เรียกนิยายที่ใช้คำเบาๆ ง่ายๆ ไม่เน้นบรรยายเท่าไหร่เน้นการไหลของเนื้อเรื่อง ส่วนnovelเป็นคำที่สื่อคือความยาวของfiction novelคือนิยายที่แต่งยาวๆ ถ้านิยายเล่มนึงจบหรือบางๆสั้นๆจะเรียกnovella
กูเขียนนิยายไม่ออกว่ะมึง คือกูชอบวางพลอตไว้หลวมๆแล้วหาข้อมูลทีหลัง
เวลาได้ข้อมูลก็เอาไปเขียน แต่คิดบทพูดตัวละครไม่ค่อยออกเลย แล้วอารมณ์แต่งกูก็ไม่ค่อยมีเหมือนเริ่มใหม่ๆ
เพราะนิยายกูเริ่มเละ จะลบทิ้งก็ทำไม่ลง 50กว่าตอนแล้วไง เห้อออ
เพื่อนโม่งถามหน่อย ระหว่างเขียนโดยไม่ให้คนอ่านรู้ว่าตัวละครนี้จะตายไหม กับให้คนอ่านรู้แต่แรกเลยว่าจะตายแน่ๆ แบบไหนจะขยี้ได้ดีกว่ากัน พอดีอ่านนิยายมาเรื่องนึง มันเผยตั้งแต่เล่มแรกว่าตายห่ากันหมดแน่นอน แล้วก็รู้สึกว่าแบบนี้มันเล่นกับเวลาได้ดีเหมือนกัน ยิ่งท้ายเล่มยิ่งลุ้นว่าตายตอนไหน เพื่อนโม่งว่าไงมั่ง
หาข้อมูลแต่งนิยายนะ ถ้าเราไปเจอคนความจำเสื่อมแล้วเอามันไปส่งตำรวจเขาจะช่วยยังไงวะ
>>841 จากประสบการณ์ตอนญาติกูหายแล้วต้องแจ้งความตามหานะ ตำรวจจะค้นหาหลักฐานที่ติดตัว สืบถามจากผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณที่พบเจอบุคคลนั้นว่ามีใครรู้จักหรือพบเห็นหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมอะไรได้บ้าง สืบจากฐานข้อมูลคนหายเดี๋ยวนี้ดีหน่อยมีฐานข้อมูลออนไลน์แล้ว เมื่อก่อนต้องโทรเช็คที่ละรพ.หรือหน่วยฉุกเฉินหรือโรงพักเลย ถ้าไม่มีที่พักนอนโรงพักไปก่อน ติดต่อรพ. ตรวจหาอาการว่าความน่าเชื่อถือแค่ไหนที่ความจำเสื่อม หรือติดต่อสถานสงเคราะห์เข้าช่วยเหลือให้ที่พักพิงเริ่มต้น แต่บ้านกูตามตัวญาติเจอจากเอากระเช้าของขวัญไปหาเจ้าพ่อแถบนั้นวันรุ่งขึ้นมีโทรศัพท์มาบอกเลยว่าเจออยู่ที่ไหน
>>843 เรื่องจริงนะแต่จะว่าไปโคตรเหมือนนิยาย บ้านกูติดต่อตำรวจสองสามอาทิตย์ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยบอกกำลังติดตามผลให้ ทั้งบ้านนึกว่าตายกันหมดแล้ว ป้ากูสั่งให้กูนั่งกดโทรถามตามรพ.ว่ามีเคสคนไข้หน้าตาแบบญาติกูเข้ารักษาหรือเปล่า ให้โทรถามตามวัดด้วยมีศพไม่มีญาติหรือเปล่า จนพ่อกูหิ้วกระเช้าไปกราบเท้าคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง ไปเล่าให้เขาฟังว่ารู้แค่ก่อนหายไปญาติกูบอกว่าจะไปชลบุรี กลับมาวันรุ่งขึ้นมีโทรศัพท์มาเลยว่ารู้แล้วญาติกูใฝ่ต่ำหนีตามผู้ชายไปหลบอยู่แถวนิคมที่ชลบุรีจริงๆ ด้วย พ่อกูก็เอาคนงานไปกับคนที่นำทางไปลากญาติกูกลับมา อายชาวบ้านทั้งซอย โคตรงามหน้า แล้วทำให้กูรู้ว่าตำรวจทำห่าอะไรไม่ได้เลย
>>845 กูไม่ได้ไปกับพ่อ ตอนไปกราบพ่อกูไปกับญาติผู้ชายที่เป็นพี่ชายตัวก่อเรื่อง พ่อไม่ได้บอกว่าไปหาใครแต่กระเช้าของแพงมากเหล้านอกพวกเอ็กซ์โอแล้วพวกขวดทรงตัวโอที่กูไม่คุ้น มีบุหรี่แบบใส่กล่องโลหะด้วย ผลไม้นอกก็แบบที่ห่อเป็นลูกๆ องุ่นลูกใหญ่มาก แล้วก็มีซองด้วยแต่กูไม่รู้ว่าในซองมีเท่าไร แต่ตอนไปเอาตัวญาติกูกลับ พ่อกูไปกับลุงที่เป็นพ่อตัวก่อเรื่องแล้วก็คนงานอีกสองคน นอกนั้นกูก็ไม่รู้แล้ว ผู้ใหญ่ไม่เล่าให้กูรู้ ป้ากูก็บอกให้กูเงียบเวลามีใครถามให้บอกว่าญาติกูเข้ารพ.ตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดพึ่งไปรับกลับ แต่เขารู้กันทั้งซอยว่าญาติกูหนีตามผู้ชาย กูโคตรอายอ่ะช่วงนั้นกลับบ้านไปโรงเรียนไม่แวะเดินร้านปากซอยเลยจนน่าจะครึ่งปีคนถึงเลิกพูดเลิกถามกู ไม่ใช่โม่งกูไม่กล้าเล่าว่ะ
>>846 มึงโทรตามรพ.กับวัดไม่สนุกเลยว่ะ มึงคิดดูเน็ตสมัยก่อนข้อมูลไม่เยอะแบบนี้ กูต้องโทรไป 13 จดเบอร์รพ.กับวัดที่ละเขตที่คอลเซ็นเซอร์บอก คิดดูมึงกี่เบอร์ แล้วโทรไปเรื่อยๆ ติดบ้างไม่ติดบ้าง คนรับไม่รู้เรื่องเลยโยนให้โทรไปเบอร์อื่น แล้วกูกลับมาจากโรงเรียนก็ต้องมาผลัดเวรกับป้ากูโทรถาม หนังสือไม่ต้องอ่าน เกมไม่ต้องเล่น ตอนนี้อีตัวต้นเหตุมันยังไม่คิดว่ามันทำผิดเลยแต่งผัวแล้วก็หย่าหาผัวใหม่ โคตรสงสารลุงกู
เออ เคยมีประสบการณ์ญาติหายเหมือนกันแต่ที่เมืองนอก ผัวน้าอยู่ๆก็เดินหายไปจากบ้านเฉย หายไปเป็นเดือนเลย น้ากูไปเที่ยวตามหาไม่ได้กินไม่ได้นอน แถมต้องเลี้ยงลูกอีก พอไปแจ้งคนหายเสือกตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าผัวตัวเองเปล่า เพราะเหมือนมีปัญหากันอยู่
อยู่ๆก็กลับมาบ้านแบบงงๆ บอกตอนแรกปัญหาเยอะกะไปตายเอาเงินประกัน แต่ไม่ตายสักทีเลยกลับบ้าน WTF?
เห็นมีโม่งพูดถึงการบรรยายใช้มุมมองบุคคล กุขอคำแนะนำหน่อย
คือกุต้องการบรรยายให้ได้อารมณ์แบบบุคคลที่ 1 ที่กุสามารถบรรยายตรรกะอารมณ์ความคิดเห็นของตัวละครนั้นๆ
แต่คือกุต้องการให้คนอ่านมันฟังตรรกะจากตัวละครอื่นได้แบบเดียวกับบุคคลที่ 1 เพราะกุกลัวตรรกะจากบุคคลที่1ทำคนอ่านเป๋เพราะเชื่อในสิ่งที่ตัวละครบุคคลที่1คิด
กุควรทำไงดีวะ
-บรรยายแบบบุคคลที่1ผ่านตัวละครหลายๆตัว
ข้อดี: ได้คลอบคลุมตามที่กุต้องการ
ข้อเสีย: คนอ่านมึน และเป็นแบบที่กุเคยอ่านเรื่องอื่นบางเรื่องไม่ชอบด้วย เหมือนเปลี่ยนตัวนักแสดงกลางทาง
-บรรยายแบบบุคคลที่3แทนชนิดเจาะความคิดได้ด้วย
ข้อดี: บรรยายได้หมดทุกสิ่งอย่าง
ข้อเสีย: เจาะความคิดตัวละครได้ไม่ลึกเท่าที่ควรเพราะต้องเกลี่ยบท แนวทางการคิดของตัวละครจะหายไปด้วย
-แบบบุคคลที่1ผ่านตัวละครเดียวแบบเดิม
ข้อดี: เข้าถึงได้ลึก แสดงสิ่งต่างๆชัดเจนผ่านตัวละคร
ข้อเสีย: มันเป็นการมองโลกผ่านคนๆเดียว มันจะเป็นยังไงก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวละคร ซึ่งจริงๆอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้
หรือกุควรปล่อยคนอ่านไว้กลางทางให้วิเคราะห์เอาเอง ว่างนี่ไม่ใช่สิ่งที่กุต้องการสื่อ แต่นั่นมันคือสิ่งที่ตัวละครต้องการดีวะ
>>851 เรื่องหลายคนแม้แต่ตัวประกอบนี่ กุว่าเยอะกุก็เขียนไม่ไหวว่ะ กุกะใช้แค่2ก็พอเพื่อถ่วงสมดุลของอีกฝ่าย เท่าที่เห็นเยอะผุดๆก็ อย่างเพอร์ซี่ภาค 2 ไม่งั้นกุก็เห็นแบบดารารับเชิญ
นี่กุต้องเลือกระหว่างเขียนให้คนอ่านย่อยง่ายๆ กับเขียนให้สุดโต่งไปเลยซินะTT
กุไม่อยากต้องมาย่อยให้คนอ่านฟังนอกรอบว่าที่กุเขียนไปมึงต้องมองนี่ๆนะถึงจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมันเหมือนเขียนเรื่องไม่สำเร็จไงไม่รู้ หรือกุไม่ควรดูถูกสติปัญญาคนอ่าน ปล่อยให้แม่งงมกันเองดีวะ
>>850 ทำไม บค.3 ต้องเกลี่ยบท บค.3 มุมมองคนเดียวก็มีเยอะแยะ อย่างแฮรี่ แต่นิยายรักก็จะมี พระ-นาง
อคติของกูก็คือกูรู้สึกว่าคนที่ชอบสลับมุมมอง บค.1 กับ บค.3 และหมุนมุมมองตามสะดวกเป็นพวกไม่เก่งจริง ไม่สามารถเขียนมุมมองเดียวให้รู้เรื่องได้ แต่บางเรื่องที่ตัดได้ smooth กูก็โอเคอยู่นะ อย่าง I am ex-demon king หรือจะเพราะเรื่องมันสนุกมากไม่รู้ แต่ส่วนมากกูเห็นตัดเหี้ยเยอะกว่าว่ะ มันทำให้กูรำคาญว่ามึงตัดสลับอะไรกันนักหนา กูไม่ต้องรู้ความคิดของทุกตัวละครก็ได้ไหม อย่างมากสุดในฉากนึงควรเขียนมุมเดียวว่ะ
ในที่นี้กูหมายถึงตัดตามใจฉันนะ ถ้าเป็นเรื่องที่ระบุอยู่แล้วว่าจะหมุนมันทุกบท แต่ในบทเดียวกันมีคนเดียว แบบเพอร์ซี่กูก็ว่าเจ๋งดี
ส่วนที่มึงกลัวจะทำให้คนอ่านเป๋ กูว่านั่นเป็นเสน่ห์ของเรื่อง บค.1 นะ คือ ฉันคิดกับคนคนนึงแบบนึง มองมาด้วยอคติตลอด จนท้ายเรื่องค่อยเข้าใจ ดูแฮรี่กับสเนปดิ ตอนเฉลยโคตรพีคอ่ะ ก่อนนี้สิบหน้าถึงไม่ได้เกลียดสเนปเท่าเล่มแรกก็ไม่ได้ชอบ พอเฉลยปุ๊บ โคตรสงสารเลย ถ้ารู้ความคิดทุกคนตั้งแต่เริ่มต้นมันจะขาดความน่าสนใจไปนะ แต่ถ้ามึงอยากให้คนอ่านเก็ทมึงก็ใส่ hint ไปเยอะ ๆ มองคนนี้แล้วเห็นกำมือแน่น เม้มปาก กลั้นหายใจ เกร็ง ในแววตามี ฯลฯ ถ้ามึงอยากให้ ตลค.หลักไม่เข้าใจก็ตบท้ายไปว่าเขามองงง ๆ สงสัย ไม่เข้าใจ อะไรก็ว่าไปได้
>>>850ที่กูพึ่งอ่าน(สนวม.อิคุเซย์) คือเรื่องมันมีตัวละครเยอะมาก+ไม่ได้เจาะจงตัวเอกชัดเจน เขาก็ใช้มุมมองบค.3 เดินเรื่องแต่เจาะมุมมองของคนเดียว มีบรรยายความคิด อารมณ์ของคนที่โฟกัส เช่น xxx เป็นห่วงว่านู้นนี้นั่น
จะเปลี่ยนมุมมองไปที่คนใหม่ก็ขึ้นชื่อบุคคลที่จะโฟกัสแล้วก็บรรยายไป อีกเรื่องที่เห็นทำงี้คือเพอร์ซี่ภาค2 แต่จะไม่เปลี่ยนบ่อยเท่าเรื่องนี้
กุคือ>>850 ขอบคุณโม่งๆช่วยมาตอบกุมาก ฮือๆ
>>854 โทดที่บุคคลที่3ในที่นี้กุไม่ได้พูดถึง3แบบจำกัดนะ แต่เป็นแบบตามนิยามอ่ะ
ที่โม่งแนะนำอีกอย่างคือแนวบุคคลที่3แบบแพนกล้องตามตัวเอกหรือ"บุคคลที่3แบบจำกัด"ที่เคยมีโม่งมาถามใช่มะ
กุก็อยากลองเล่นดูนะว่าจะเล่าแบบบุคคลที่3แบบจำกัดจากคนนึงไปคนนึงยังไงให้ไม่สะดุด
แต่คืออารมณ์แบบบุคคลที่3เลย มันก็ได้อรรถรสไม่เหมือนบุคคลที่1ไง กุยังอยากได้รสชาติแบบบุคคลที่1แต่ไม่เสียภาพรวมไป บุคคลที่3แบบจำกัดคือคำตอบของกุใช่ป่ะ
ตอนนี้กุกะว่าจะลองเป็นแบบบุคคลที่1(แบบที่ไม่ใช้ทำว่าฉันแทนตัวเองอ่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง) แล้วค่อยๆซูมกล้องออกเป็นบุคคลที่ 3 สลับกับบุคคลที่1 แต่กลัวอารมณ์สะดุดนี่สิ
แต่กุคิดว่ากุยังไม่บ้าเล่าฉากเดิมซ้ำๆผ่านคนละมุมมองตลอดอย่างที่>>853 ว่ามาหรอกอ่ะ ว่าเก็บแนวคิดไว้เฝื่อเป็นลูกเล่นตอนสำคัญๆ
ให้เดินเรื่องแบบเพอร์ซี่ภาค2 คือตอนแรกเวลาอ่านกุขัดใจมาก คือพออ่านไปเรื่อยกุรู้สึกเหมือนผูกพันกับตัวละครนั้นๆ แต่พอขึ้นบทคนใหม่ๆเหมือนมึงต้องทำความรู้จักกับตัวละครใหม่ อารมณ์มันสะดุด
>>856 ถ้าเป็นสลับจาก บค.1 -> บค.3 เกม Visual Novel ที่เล่นอยู่พักนึงก็ทำนะ คือเนื้อเรื่องหลักใช้บรรยายบุคคลที่ 1 (มุมมองพระเอก) พอจบเหตุการณ์ช่วงนึงก็ปิดด้วยบุคคลที่สาม ขึ้นชื่อตัวละคร เวลา สถานที่ แล้วก็ด้นเลย ไม่มีงง (บางตอนที่ตัดแบบ Cliffhanger ก็ไม่งงอยู่ดี เพราะมันให้สัญญาณชัดเจนอยู่แล้ว) ส่วนตัวคิดว่ามันทำให้เรื่องน่าสนใจขึ้น คือระหว่างที่พระเอกงมหาเบาะแส ตัวละครที่เป็นกุญแจของเรื่องก็ไปก่อหวอดอยู่ที่ไหนสักแห่ง ชวนให้ลุ้นว่ามันจะมาบรรจบกันยังไง (ปรากฏว่าจบแบบปาหมอน เอาเวลากุคืนมา T _ T)
>>857 อันนั้นมันเปลี่ยนท้ายบทไง แล้วเราเข้าใจว่าเขาเปลี่ยนทุกตอนเลยใช่เปล่า เหมือนเป็นกิมมิค แต่ 856 บอกจะตัดสลับกูไม่ชอบว่ะ คนอื่นอาจจะโอเคแต่กูบอกเลยว่ากูไม่อ่านต่อแน่ (นอกจากกูอยากเม้นด่าตอนจบกูก็จะอ่านให้จบจะได้เม้นได้) ขนาดมังกรเนียร์สนุก ๆ ไรท์เตอร์อยู่ ๆ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนมุมมองกลางเรื่องกูยังไม่อยากอ่านต่อเลยตอนนั้น
รู้เรื่องอ่ะมันรู้เรื่องอยู่หรอก แต่มันสะดุด มันรำคาญ
กูเขียนนิยายที่ใช้ตัวละครอยู่ต่างประเทศ เป็นฝรั่งกันทั้งหมด มันมีตัวละครชายตัวนึงที่กำลังจะเรียนจบและอยู่ในวัยออกหางานแล้ว แต่บ้านมันรวยมาก เป็นคุณชายอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่เบ้อเริ่ม เด็กฝรั่งส่วนใหญ่ก็จะแยกบ้านไปอยู่กับแฟนบ้างอะไรบ้างตั้งแต่อายุ 18 อย่างนี้ใช่มะ กูก็คิดจะให้ตัวละครนี้แยกบ้านออกไปอยู่เองคนเดียวเหมือนกัน แต่ปัญหาที่คิดตามมาคือ บ้านของอีนี่ นอกจากเมดกับพ่อบ้านแล้วก็ไม่มีคนอยู่ พ่อกับแม่ก็ทำงานต่างประเทศไม่ค่อยกลับบ้านด้วย กูควรจะให้มันอยู่บ้านเดิมของมันต่อไป หรือแยกออกไปอยู่เองข้างนอกดีวะ คนรวยฝรั่งนี่เขาทำตัวกันยังไงอะ
ถามหน่อยได้ไหมชาวโม่ง คิดยังไงกับการบรรยายแบบร่างสูง ร่างบาง ร่างอรชร เสียงแหลม เสียงเล็ก เสียงทุ้ม กุเห็นบางคนบ่นกัน อยากรู้ว่าแทนตัวละครแบบนี้มันแย่มากเลยอ่อ ถ้าไม่แทนแบบนี้แทนแบบไหนดี บอกกุที..
ขอพื้นที่ระบายนิดนึง มันคาใจมานานละ 555 คือก็บอกตัวเองว่าเขียนสนองนี้ด จะสั้นยาวก็ช่าง แค่มีความสุขก็พอ แต่บางทีเห็นงานคนอื่นก็อดเปรียบเทียบไม่ได้บ่อยๆ ไหนจะคอมเม้นท์ที่สุดแสนจะเงียบเหงาอีกล่ะ แต่เอาเหอะ ลงทีก็มีคนแวะเวียนมาอ่านบ้างก็พอไหว ถึงเขาจะแค่มาแล้วผ่านไปก็เถอะ เหอะๆ ปลอบใจตัวเองต่อไป
กูว่าที่คนเขารำคาญเพราะมันเป็นการใช้คำที่ไม่ใช่เอกลักษณ์ของตัวละครด้วย
ผู้หญิงก็ ร่างบาง ร่างเล็ก ร่างน้อย ปากบาง คิ้วเรียว เสียงเล็ก เสียงหวาน ตาหวาน
ผู้ชายก็ ร่างหนา ร่างใหญ่ ร่างโต ปากหนา คิ้วหนา คิ้วเข้ม เสียงทุ้ม เสียงนุ่ม ตาคม
คือพระนาง 90% มันก็แบบนี้อยู่แล้วไง แต่ถ้ามึงมีนางเอกสูงเปรต จะใช้ร่างสูงคงไม่มีใครว่า หรือ ตลค อ้วน จะร่างท้วม ร่างจ่ำม่ำ หน้ากลม คนก็คงโอเค เพราะมันเป็นจุดเด่นของ ตลค
อีกอย่างคือแม่งใช้บ่อยเกินด้วย ถ้าเป็นลักษณะที่ไม่ใช่เอกลักษณ์ออกมาบทละครั้ง (ต่อ 1 ตลค) ก็บ่อยแล้วนะกูว่า กูได้ยินว่ามันมีพวกโปรแกรมที่นับคำซ้ำใช่ป่ะ กูว่านักเขียนควรจะใช้กัน พวกมึงได้รู้ว่าใช้ร่างบางกันบ่อยแค่ไหน
ปล. อย่างเช่นพารากราฟที่กูเขียนมานี้ใช้ กูว่า เยอะไปหน่อย แต่กูขี้เกียจแก้
กูว่าใช้ชื่อแทน หรือใช้เธอ เขา หล่อน ดีกว่าร่างทั้งหลายว่ะ ใช้ร่างแล้วให้ความรู้สึกเหมือนนิยายทัณฑ์พิศวาสทาสซาตานเถื่อน
กูเคยอ่านแบบแทนแค่ชื่อตัวละคร ชายหนุ่ม หญิงสาว เขา เธอ แค่นี้จริงๆ ก็อ่านได้ไม่ขัดนะ
ร่างสูง ร่างบางก็พอรับได้บ้าง แต่ถ้ากูเจอปากหนา....ใดๆก็ตามแล้วหลุดหัวเราะทุกที ขอหน่อยเหอะ 5555555555555
>>870 กูจะยกตัวอย่างให้ดูนะ (อาจจะไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี แต่คิดว่าน่าจะได้แนวทาง)
โม่งศรีกลั้นหายใจเมื่อเห็นหลังคาสีม่วงเข้ม รู้สึกปั่นป่วนในท้องขึ้นมาเสียดื้อๆ หล่อนเลียริมฝีปากที่แห้งแล้วถอนหายใจ พอเหลือบมองคนข้างๆ ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่กำลังขับรถยนต์เขามีสีหน้าเรียบเฉย แทบไม่สนใจความกระวนกระวายของหล่อนแม้แต่น้อย ไม่นานรถยนต์ก็แล่นช้าลงกระทั่งจอดสนิทเทียบทางเท้า
หญิงสาวปลดเข็มขัดนิรภัยออกพยายามจะอ้อยอิ่งอยู่ในรถในนานขึ้นสักวินาทีเดียวก็ยังดี แต่ดูท่าคนข้างๆ จะไม่คิดอย่างนั้น พอเปิดประตูรถได้ก็เดินอ้อมมากระชากประตูด้านข้างที่หล่อนนั่งให้เปิดออก สายตาคมกริบดั่งนกเหยี่ยวจ้องมองหล่อน
อะนับดู ว่ามีสรรพนามเท่าไร
ปล.ถ้าไม่ดี ไม่ต้องด่า กูไม่สู้คน
ไหนๆก็ว่างมาสิงนี่ล่ะกุขอคำปรึกษาที คืองี้กุพยายามเขียนนิยายหลายรอบละไม่จบ ทีนี้ไปนั่งเล่าพล็อตๆกับคนนึง เขาบอกพล็อตคล้ายๆกันเว้ย สรุปช่วยกันแต่ง แต่มันก็ขัดๆบางทีนะ แต่กุก็ไม่อยากแต่งคนเดียวว่ะ เพราะเดี๋ยวอู้ กุจะถามทำงานกันสองคนทำไงให้หายอึดอัดและนิยายไปรอดวะ บางทีความคิดก็ไม่ตรงกันงี้
>>879 กุก็เคยตกลงจะร่วมเขียนกับเพื่อน สุดท้ายไม่รอดว่ะมึง แค่พล็อตเหมือนไม่ได้แปลว่ารายละเอียดจะเหมือนตาม เวลาเขาเสนอไรมากุก็ไม่ค่อยชอบ รู้สึกว่านิยายกุควรเอาตามกุสิ กุเสนออะไรไป เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน คิดคล้าย ๆ กุ แล้วก็มีปัญหาเวลาไม่ตรงกันด้วย สุดท้ายก็แยกย้ายตามประสา
>>879 ลองนั่งนิ่งๆแล้วคิดว่าอึดอัดเพราะอะไร ถ้าอึดอัดเพราะเถียงสู้ไม่ได้นี่อาจจะเป็นเพราะ...
1. ในใจรู้สึกว่าความคิดเขาเป๊ะกว่า : เปิดใจให้กว้างๆ แล้วเรียนรู้จากอีกฝ่าย (วิเคราะห์ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าเป๊ะด้วยก็ช่วยได้)
2. รู้สึกว่าเราถูก แต่เถียงไม่ออก : สัญญาณวงแตก คือจะร่วมงานกับใครอันดับแรกคือต้องเถียงได้ ไม่งั้นตัวตนของเราจะค่อยๆหายไป เผลอๆ อีกฝ่ายก็อึดอัดเหมือนกัน แบบ อะไรวะ กูว่าอะไรเอาหมด
3. เถียงสู้ไม่ได้ : ถ้าจุดที่เถียงแพ้คือจุดที่เรายอมรับได้ว่าความคิดนั้นดีกว่าย้อนไปข้อหนึ่ง ถ้ายอมรับไม่ได้ควรเถียงต่อไม่งั้นก็...
4. ไม่อยากเถียง : แต่งนิยายคนเดียวเหอะ
....นั่นแหละ แต่หลายคนช่วยกันแต่งก็มีข้อดีนะ ข้อบกพร่องพวกplot hole บางอย่างคนเดียวมันมองไม่เห็น แล้วก็เวลาเถียง 2 คน 2 ความคิดแต่พอเถียงจบอาจจะได้ความคิดที่ 3 ที่ 4 มาใช้ (เวลาเถียงควรเกิดไอเดียเพิ่มนะ ถ้าไอเดียเท่ากับก่อนเถียงนี่น่ากลัวว่าจะฟัดอีโก้กันอย่างเดียว ไม่ได้ต่อเติมความคิดกันเลย)
แล้วก็ไม่เหงาด้วย (แต่พล็อตคล้ายไม่ควรเป็นเหตุผลในการร่วมโปรเจกต์นะ ถ้าเรื่องราวมี message ที่อยากสื่อตรงกันก็ว่าไปอย่าง พอๆ ยาวแล้ว นอนล่ะ - -'')
เขียนไม่ออกแต่อยากเขียน อยากเขียนมากๆ แต่ตอนนี้แม้แต่ประโยคยาวๆก็เขียนไม่ได้มาสี่เดือนแล้ว...
มันไม่เคยเป็นงี้มาก่อนเลย เฮ้อ...ตอนแรกก็ไม่เอะใจอะไรเพราะงานยุ่ง แต่พอไปอ่านการ์ตูนเรื่องนึงเข้าก็รู้สึกว่าเออว่ะ นอกจากบ่นแล้วกูก็เขียนบทบรรยายหรือเรื่องสั้นไม่ได้แล้วนี่หว่าในช่่วงสี่เดือนนี้
น่าจะลองหาไหมว่าเขียนไม่ออกเพราะอะไร ตั้งมาตรฐานตัวเองสูงไป ไม่รู้จะเขียนออกมายังไง ฯลฯ
อย่างของกูคือไม่ค่อยมีสมาธิ อันนี้ปกติกูเขียนไปสักพักก็จะติดลมบน ช่วงแรกๆ ก็ห้ามวอกแวก ไม่งั้นก็ไม่รู้จะเขียนอะไรต่อดีเลยเขียนไม่ออก ถ้าเป็นอย่างนี้ กูจะกลับมาร่างก่อนนิดหน่อย อย่างจะคุยเรื่องอะไร ใครมา หรือบางทีก็เขียนคร่าวๆ เลยว่าตรงนี้จะบรรยายฉาก และจะเชื่อมไปตรงนี้ ตรงนี้จะแฟลชแบ็กอะไรก็ว่าไป หรือเพราะว่ากูอยากเขียนให้ดีจริงๆ น่ะนะ พอเขียนก็จะมีเสียงวิจารณ์ในใจโผล่มา เลยเขียนๆ แก้ๆ จนเขียนไม่ออก ถ้าเป็นอย่างนี้กูจะพยายามนึกไว้ว่า เขียนๆ ไปก่อน เดี๋ยวกลับมาแก้ทีหลังก็ได้ อย่าเพิ่งมาวิจารณ์เฟ้ย
พูดถึงเรื่องนี้ เข้าใจว่าพวก free writing ก็น่าจะช่วยนะ หรือลองเขียน morning pages ดู
สู้ๆ เน้อ
>>887 กู885นะ ของกูนี่เหมือนปกติกูจะเป็นพวกเขียนตามอารมณ์อยู่แล้วอะ คือถ้าอารมณ์มา พล็อตได้ กูก็จะนั่งเขียนอยู่อย่างนั้นจนจบภายในรวดเดียวเลย อย่างเรื่องยาวประมาณสองร้อยกว่าหน้า กูก็เขียนรวดเดียวจบแบบไม่ทำการทำงานอะไรเลยจนกว่าจะรู้สึกพอใจ แต่สี่เดือนกว่าที่ผ่านมานี่ กูทำแต่งานที่ไม่ได้ใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์หรือทางศิล์ปเลย สี่เดือนที่ผ่านมามีแต่การคิดอะไรแบบระบบเหตุผล ต่างจากระบบความคิดปกติของกูที่ทำตามความรู้สึก พอรู้สึกอยากเขียนขึ้นมา มันเลยเหมือนขึ้นสนิทแปลกๆ55
ky กูแต่งนิยายที่มีตัวประกอบเป็นหุ่นยนต์อารมณ์แบบนุ้งเดวิดที่เป็นหุ่นมีความรู้สึกจากหนังเรื่อง A.I. อ่ะ ทีนี้เขียนๆไปไม่รู้จะแทนสรรพนามให้หลากหลายยังไงดี แนะนำทีเด้อ
กูก็เขียนไม่ออกเหมือนกัน ทั้งที่มีพล็อต วางโครงเรื่องไปจนจบได้แล้ว แต่พอจะเริ่มเขียน กูดันเริ่มเรื่องไม่ได้ว่ะ ใครมีประสบการณ์ช่วยแนะนำที
>>891 ก็เขียนมั่วๆ ไปเลย แล้วก็แก้ซ้ำไปซ้ำมา เดี๋ยวมันก็ดีเอง
ตอนกูเขียนไม่ออกเพราะหาทางทำให้ตรงพล็อตไม่ได้ก็แบบนี้ละ เขียนไปแล้วเดี๋ยวมันก็แล่นขึ้นในหัวเอง แล้วก็รีไรท์ใหม่บ่อยๆ สุดท้ายมันจะออกมาใกล้เคียงกับในพล็อตเรื่อยๆ แต่ถ้ายังไม่พอใจก็รีไรท์จนกว่าจะพอในนั่นละ
>>893 ขอบคุณจ้ะมึง กู>>889>>885เอง
แต่ตอนนี้กูเขียนออกแล้วนะ...ทำไงก็...กูเขียนเรื่องเกี่ยวกับคนที่เขียนนิยายไม่ออกไป พอได้พพรณนาความรู้สึกตัวเองออกมาแล้ว ก็เหมือนว่สทุกอย่างมันจะไหลลื่นขึ้น
มึงคิดอะไรไม่ออกก็ลองเขียนเรื่องว่ามึงเขียนไม่ออกก็ได้ บางทีการทำอะไรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเองอาจทำให้รู้สึกคุ้นชิน ไฟติดง่ายกว่า
และตอนนี้กูรู้เลยว่า เขียนไม่ออกก็ต้องเขียนให้ออกล่ะวะ ถ้ามึงไม่เขียนอยู่เรื่อยๆ ซักวันมึงก็จะลืมไปว่ามึงเคยเขียนมายังไง
เขียนไม่จบซักเรื่องนี่ต้องทำไงวะ
>>890 ถ้าหุ่นแบบมีความรู้สึกเหมือนคนกุว่าก็ใช้สรรพนามเหมือนคนไปได้เลยนะ ถ้าอยากให้อินเรื่องมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ก็ควรมีวิถีเหมือนมนุษย์มากที่สุด ยกเว้นต้องการแยกชัดเจนว่านี่คือหุ่นยนต์ ก็อาจจะใช้เป็นพวก ตัว มัน ชื่อหุ่น ชื่อรุ่น บลาๆ ได้เยอะอยู่ ถ้าแทนตัวหุ่นเองก็แล้วแต่ชอบ ที่เจอบ่อยก็ ผม ฉัน ข้าพเจ้า กระผม ดิฉัน หรือเป็นชื่อหุ่นเองเลยก็น่ารักดี ส่วนใหญ่ก็เป็นคำที่ปกติในเรื่องไม่ใช้กัน ให้ดูออกว่ามันแปลกแยกมาอะนะ นึกง่ายๆก็อย่างเรื่องสตาร์วอร์น่าจะเห็นชัดมะ อย่างหุ่นกระป๋องเงี้ย หุ่นบ้าไรพูดไม่รู้เรื่องแต่กุชอบ น่ารัก
เมื่อวานในทวิตมีประเด็นเขียนฟิคควรจะคีพคาร์หรือไม่คีพคาร์ดี
พวกมึงคิดว่ายังไงกันบ้างวะ กูอยากรู้ความเห็นคนในนี้บ้าง
>>898 ในฐานะคนเขียนฟิค กูว่ายังไงมันก็ต้องคีปว่ะ อย่างกูติ่งทั้งผช.2Dและ3D เวลาจะเขียนฟิคที มันต้องมีจุดนึงในตัวตลค.นั้นๆที่เป็นจุดที่อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าเป็นคนนี้/เป็นตลค.นี้อ่ะ ไม่งั้นแม่งก็ไม่ต่างอะไรกับออริอย่างที่ >>900 ว่า ต่อให้มึงจะเขียนเซตติ้งAUไกลความเป็นจริงสามร้อยโยชน์มึงก็ควรจะคีปคาร์ไว้บ้างอยู่ดี
ขอบ่นหน่อย กูเป็นคนอ่านนะ ตอนนี้กำลังไล่อ่าน Gradence อยู่
กูงงมากกับจักรวาล AU ที่ใช้ชื่อตัวละครเป็นครีเดนซ์ แต่นิสัยกลายเป็นเอซร่า หรือชื่อเอซร่า แต่นิสัยเสือกเป็นครีเดนซ์ ถ้าจะ AU อยู่แล้ว มึงใช้ชื่อให้มันตรงกับนิสัยซะไม่ได้เหรอวะ ไม่นับที่นิสัยไม่ใช่ทั้งครีเดนซ์ทั้งเอซร่า ไม่รู้มาจากไหนอีก ไม่ต้องรีบเขียนกันมากนักก็ได้ปะวะ มึงศึกษาคาร์ก่อนก็ได้
ไม่รู้ถามมู้ไหนอ่ะ เอานี่ละกัน พวกนักเขียนที่เขาขายนิยายให้ทีมละครนี่มีสิทธิ์เลือกคนแคสเองได้ไหมวะ กูเห็นบางเรื่องดีๆเอามาทำละครแล้วนักแสดงมันไม่เข้ากับบทจนแป้ก มันน่าเสียดายอ่ะ ยังไม่นับเรื่องบิดเบือนบทประพันธ์เละเทะอีกนะ ถึงจะบอกว่าเป็นลิขสิทธิ์ของมันแล้วก็เหอะ กูว่าแม่งไม่ค่อยให้เกียรติกันเลย
>>908 ที่เคยรู้มาคือนอกมีสิทธิ์มีเสียงบ้าง แต่สุดท้ายคนเลือกก็ผู้กำกับ ถ้าในไทยยากโคตรๆ ยกเว้นผู้กำกับดีงามเวอร์มาถามความเห็นนักเขียน เพราะเห็นบางคนก็ได้ไปดูฟีดติ้งได้ไปคุยกับคนเขียนบท อีกอย่างในไทยน่ะ พวกสายทำละคร เค้ามีรายชื่อในมือเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ด้วยเรื่องเส้นสาย มันเลยเหมือนล๊อคกลายๆเลือกคนของตัวก่อน นี่เป็นอีกสาเหตุที่กุไม่ดูละครที่ทำจากนิยายใหม่ๆละ ไม่อยากผิดหวัง ยกเว้นผู้กำกับฝีมือจริงก็พอมีลุ้น
ky หน่อย https://www.dek-d.com/board/view/3715976/
พวกมึงใช้อ่ะกันไหม กูขอยกมือว่าเป็นคนนึงที่ใช้ผิดเลย และไม่เคยรู้ตัวจนวันนี้ว่าผิด
>>908 ไม่ว่ะ คนเขียนเจ้าของต้นฉบับแทบไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ขนาดป้าทมยังไม่มีสิทธิ์พูดอะไรมากเท่าไหร่ ละครออกมาแย่ ออกทะเล ไม่ตรงใจก็บ่นมากไม่ได้ ทำได้แค่ไม่ดูเท่านั้นเอง อย่างตอนดั่งดวงหฤทัยที่ช่องเจ็ดเอาไปทำใหม่ ใส่นั่นใส่นี่มาเยอะแยะจนเละเทะ ป้าแกก็ไม่ได้มีส่วนยุ่งด้วยมากมายเพราะขายไปแล้ว
แต่กูเคยได้ยินว่าตอนเรือนมยุราจะทำละคร มีหลายช่องแย่งกันซื้อ แต่ผู้แต่งบอกว่าใครเอาแหม่มมาเป็นนางเอกได้ก็ให้คนนั้นนะ แล้วไม่นานมานี้ก็เหมือนจะมีคนอยากรีเมคคนเขียนก็รีเควสนางเอกเหมือนกัน ประมาณว่าไม่ได้คนนี้ไม่ขายอ่ะ แต่ก็คงเป็นเคส 1 ในล้านล่ะมั้ง
>>912 ป้าโจเป็นระดับที่ไม่จำเป็นต้องง้อผู้อำนวยการสร้างเลยสักนิด แถมมีสิทธิ์เรียกร้องส่วนแบ่งได้เลย ไม่ใช่แบบเหมาจ่าย
เพราะทำเป็นหนังออกมามีแต่กำไรที่เห็นๆ จากแฟนคลับมหาศาลทั้งโลก
ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่ทำได้
นอกนั่นแทบไชโยโห่ฮิ้วที่ได้เป็นบทละครหรือหนังใหญ่ ไม่ใช่แค่คนไทยนั่นเป็นกันทั้งโลก
>>912 แหม่ ป้าโจระดับไหนกัน อยู่ระดับทุกคนต้องง้อนะมึง บนโลกมีกี่คนล่ะที่ทำได้แบบนั้น แทบจะนับนิ้วได้ ในไทยขนาดป้าทมยังไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในงานตัวเองเวลาไปทำละครเลย มึงดูคู่กรรมเวอร์ชั่นหนังโรงซะก่อน ขนาดเป็นบทประพันธ์ที่แทบทุกคนในประเทศรู้จัก ออกมาเละเทะขนาดไหนยังพูดวิจารณ์ไม่ได้เลย
กูจะเขียนนิยายยูริสักเรื่องแต่พอไปอ่านนิยายท๊อปๆของสายนี้แม่งเบื่อพล็อตมากเลยว่ะ กูเลยอยากเขียนเป็นยูริแฝง แต่พล็อตหลักเป็นแนวสืบสวน ไรงี้ ดีไหม๊วะ กูเขียนเอาความบันเทิง สนองนิ้ดตัวเอง ไม่ได้ตั้งเป้าจะทำขายว่ะ
เพิ่งเขียนนิยายจบไปเรื่องนึง คนอ่านก็บอกว่าชอบงานที่กูเขียนแล้วก็ถามว่ามีภาคต่อมั้ย เพราะกูทิ้งปมไว้ตอนสุดท้ายให้มันดูมีทางไปต่องี้ จริงๆกูวางลำดับเรื่องต่อที่จะเขียนละ /ก็ไม่เชิงภาคต่อหรอก มันเป็นspin-offของตัวประกอบในเรื่องแรกอ่ะ แต่แบบ ครส.กูตอนนี้เหมือนกูทุ่มกับเรื่องแรกไปเต็มสูบ ตอนนี้เลยหมดแรงหมดมุกยังไงชอบกล ไม่มั่นใจว่าเขียนเรื่องใหม่ตอนนี้แล้วมันจะออกมาดีมั้ย ควรพักห่างไปก่อนหรือลุยต่อไปเลยดีวะ
มึงจะตั้งทู้ใหม่กันป่าววะ จะ1000 ละ
อยากเปิดกระทู้ด่าคนอ่านบ้างจะได้มั้ย เอาไว้ด่าคนอ่านอย่างเดียวเลย เก็บกดว่ะ พวกไม่พอใจอ่านแต่ไม่ยอมเลิกอ่านขยันเข้ามาพิมพ์ด่าทุกครั้งที่อัพ จะด่าตอบก็ไม่ได้ จะด่าในเฟซหรือทวิตก็ต้องรักษาภาพอีก
กูขอเริ่มคนแนกได้ไหม แม่งจะกดเฟป ทำไมวะ มึงมาอ่านเฉยๆ เม้นก็ไม่เม้นให้ พอไม่ถูกใจมึงก็ถอนเฟบ ใจดำฉิบหาย ไม่ให้กำลังใจเสือกบั่นทอนกูอีก กูตั้งใจแต่งไม่เคยดองอัพวันเว้นวัน แต่มึงไม่ทำห่าไรเลย กูเสียใจนะเว้ย
>>930 กูระบายเพราะอยากได้กำลังใจ อยากได้แนวคิดดีๆ จากโม่งบางคน เพื่อเรียกกำลังใจ เพราะ กูแต่งนิยายอ่านฟรี กูไม่ใช่นักเขียนดังจะได้ไม่แคร์อะไร ถ้ามึงมีโอกาสได้โหวตต่ำนิยายกู กูก็ขอบอกว่ากูไม่แคร์ยอดโหวต แต่กูกะอยู่แล้วล่ะว่าถ้าระบายก็มีพวกร้อนหัว นาวเบิร์นเบบี้เบิร์น มาแซะกูจนได้ อ่านใหม่ดีๆนะคะซิส ว่าจริงๆแล้วกูเสียใจ ไม่ใช่กูจะด่านักอ่านเอามันส์ แล้วมันจริงไหม นิยายอ่านฟรีนักอ่านจะทำไงก็ได้สินะ สงสารกูบ้างกูซื่อสัตย์กับคนอ่านตลอด แม่งพิมพ์เยอะไม่ไหว กูกลัวมึงไม่อ่าน รักนะคะซิส
>>931 ถ้ามันเวิ่นเว้อมโนไปไกลก็ควรตบกลับมาโลกจริงบ้างนะ เอาแต่ปลอบกันในกะลามันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก
ไม่แคร์ยอดโหวตแต่แคร์ยอดแฟบ แล้วกูว่ามึงด่าเอามันนะ แค่ไม่เม้นต์คือนักอ่านใจดำ อะไรของมึง
มันไม่เกี่ยวกับนักอ่านฟรีอะไรหรอก แค่คนอยากอ่านเขาก็อ่าน มึงจะไปบังคับลำเลิกบุญคุณอะไรนักหนา
ถ้าโดนด่างี่เง่ากูก็เห็นใจมึงนะ แต่นี่คือหัวร้อนเอง มโนเอง ด่านักอ่านเอง ถ้ามันลำบากขนาดนั้นก็เลิกเขียนเถอะ
สุดท้าย การซื่อสัตย์กับนักอ่านคือการเอา"นักอ่านฟรี"มาด่าลับหลัง กูนี่กด"ว้าว"ให้เลย
กุเป็นคนอ่านแล้วไม่เคยกดห่าไรเลย เข้าอ่านอย่างเดียว ไม่เม้นด้วยซ้ำ คือไม่ชอบให้มันเด้งเตือน ไม่ชอบเม้นประเภทว่า รออ่านนะคะ ไรงี้ ดูสิ้นคิดเกินไป เลยไม่เม้นแม่ง แล้วกุก็ประเภทนึกได้ค่อยไปตามอ่าน เบื่อมานั่งรอทีละตอนๆ
กุว่าถ้ารักจะแต่งอย่าไปแคร์พวกสถิติเลยประสาทจะกินเอาก่อนแต่งจบนะกุว่า อย่างกุตอนนี้แต่งเองอ่านเองคนเดียวยังไม่ลง เพราะยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจในผลงานเท่าไหร่ กลัวลงแล้วตามแก้บ่อยๆคนอ่านด่าอีก แถมสปีดแต่งนี่ช้ามากอู้มาก 555+ กุชมคนที่ลงได้ตามเวลาเลยนะว่าอย่างน้อยก็มีความรับผิดชอบดี
ถ้าเมิงอยากได้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการแต่งไม่กลัวโม่งแหกก็ลงลิ้งค์ไว้ก็ได้เดี๋ยวจะช่วยเข้าไปอ่านติชมให้
ส่วนถ้าเจอพวกนักอ่านสักแต่ด่าเอามันส์ไม่บอกจุดที่ควรแก้กุว่าก็อย่าไปแคร์ นักอ่านหลายคนก็นิสัยเสียจริงก็ปล่อยเบลอไป
แหม่ กูละชอบจริงๆเวลาเห็นคนเขียนปัญญานิ่มออกมาเรียกร้องแล้วเผาตัวเองตายไปเอง เบิร์นหัวมึงไปเหอะออกมาดิ้นๆอยู่คนเดียว
คนเขาอ่านข้อความมึงยังไงเข้าใจว่าเป็นการด่า ไม่ใช่เป็นประโยคขอกำลังใจ (ถ้าเป็นขอกำลังใจจริงการเขียนมึงมีปัญหาการสื่อสารแล้ว ที่เขาไม่เม้นท์ให้เพราะห่วยอ่านไม่จบตอนเปล่าวะ...)
มีคนมาแย้งหน่อยมึงทั้งแถทั้งประชด คนมาเม้นท์ตินิยายให้ปรับปรุงมึงไม่ออกงิ้วไล่ลบเม้นท์เขาเลยเหรอ....
ต่อมเผือกทำงานหนักชิปหาไม่เจอเลยที่นี้
ไหนๆแต่งเรื่องไหน จะตามไปกดติดดาวให้ ถามจริงมรึงจะเอาดาวไปแลกข้าวกินหรอ เม้นนักอ่านมรึงเอาไปแลกเงินได้ช๊ะ!!
ที่มรึงเขียนคือ นินทาหว่ะ บ้านกรูเค้าเรียกนินทา ไอ้ที่แถบอกขอกำลังใจเค้าเรียกตอแหล
กูเป็นนักอ่านคนหนึ่งนะ กดเฟบไว้แจ้งเตือน นานๆ เจอเรื่องถูกใจหรือมีอะไรให้เม้นก็จะเม้นที ที่ไม่เม้นเพราะมันไม่มีอะไรให้เม้นว่ะ
กูไม่สามารถให้ตัวเองเวิ่นได้ขนาดนั้น เห็นบางคนอ่านแล้วเม้นยาวเป็นพรืดกับเรื่องที่กูเฉยๆ ก็รู้สึกนับถือจริงๆ หรือจะให้เม้นว่า รออ่านนะคะ เป็นกำลังใจให้
สมัยนี้ ใครเขียนแล้วหวังทำเป็นอีบุ๊คสร้างรายได้
แนะนำว่าอย่าลงเว็บจนหมดเรื่องละมึงเอย
คนอ่านรุ่นใหม่ๆ เขาใช้แอ็ปก็อปเนื้อเรื่องที่ลงไว้ในเว็บได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเว็บไหน ดด. วล. หรือที่อื่นๆ
พวกนี้ก็อปอ่านเก็บไว้ในเครื่องเสร็จ จะไม่มีทางไปอุดหนุนนิยายเรื่องนั้นได้ง่ายๆเลย ไม่ว่าหน้าปกหรือรีไรท์ใหม่เพิ่มตอนพิเศษเข้าไป
ถ้าเผลอลงครบเรื่อง เป็นได้จบ ขายไม่เดินในทันที
ปล.เข้ามาบ่น
Ky สมมติกูเขียนนิยายแล้วนางเอกคู่กะพระเอกแล้วก็พิมพ์ทำมือไป แต่ทีนี้กูสายจิ้น ชอบเคมีนางเอกกะตลค.อื่นแล้วเขียนเอยูที่สองคนนี้คู่กันขึ้นมา(นอร์มอลนะ)แล้วพิมพ์เป็นโดจินนี่ถือเป็นการทรยศคนอ่านมั้ยวะ อย่างถ้าใครไม่จิ้นไม่ชอบไรงี้ เขาอาจจะมองว่าทำไมไม่แต่งคู่กะคนใหม่ไปเลยวะ แทนที่จะใช้นางเอกเดิมฝห้เสียค.รู้สึก
>>938 เห้ย ปัญหานี้กูกำลังเป็นเหมือนกัน แต่ถ้ากูจะทำจริงๆกูไม่รู้สึกทรยศคนอ่านนะ รู้สึกเหมือนเป็นทรยศพระเอกคนเดิมมากกว่าอ่ะ Zกูสงสารมัน 5555555555555) คืองี้ กูเขียนเรื่องนึงมาได้แล้วไปให้นางเอกมีคู่ใหม่ช้ะ แล้วกูดันชอบคสพ.เรื่องใหม่มากกว่า พอกลับไปอ่านเรื่องเก่ามันก็ไม่อินแล้ว เกลียดตัวเองชิบหายเลยแม่ง
>>938 สำหรับกุไม่โอเคนะ มันดูแบบนางเอกโลเลทันที ถ้าจะจบแบบนี้ไม่จบกะใครเลยจิ้นเองไปง่ายกว่า กุเบื่อพวกแบบมามีเรือหลายๆลำมาก ลงผิดลำทีมันหมดอารมณ์จะอ่านต่อ ทำให้มีความรู้สึกเกลียดนิยายเรื่องนั้นขึ้นมาทันทีเลย ทั้งที่จุดอื่นๆที่ดีๆมันก็มีให้จำนะ แต่พอความคิดเรื่องลงผิดลำมันมาก็แบบเซง
กู >>938 เอง ขอบใจสำหรับความคิดเห็นนะทุกคน คือเอยูของกูที่คิดเนี่ยเป็นโลกที่ไม่เคยมีตลค.พระเอกคนเก่าอยู่เลยเว้ย กูคงเขียนแหละแต่ไม่โพสไม่พิม กูป๊อดคนด่ากูไม่สู้ เขียนเองอ่านเองสนองตัณหาแม่ม555 นางเอกกูกระด้างไง พระเอกกูสายอ่อนโยน ทีนี้มีลูกน้องนางเอกที่นิสัยทื่อมะลื่อเหมือนกัน อยู่ด้วยกันมักแดกจุด .......ยาวๆ ไป กูเลยคิดว่าถ้าแข็งเจอแข็งบ้างคงน่าสนุกดี เหมือนเอาก้อนหินสองก้อนมาวางข้างกันอะ
เออ กูสงสัย มาถามมู้นี้ได้มั้ย คือเวลาเข้าทวิต กูจะเห็นบางคนเขาแต่งฟิคแล้วลงเป็นรูปไง นึกออกใช่ป่ะ เลยอยากรู้ว่าเขาทำยังไง เขียนลงอะไรวะ กูจะได้ลองมั่ง
กูพยายามหาอันธรรมดาสุดๆละ แต่หายากชิบ เอาเป็นยังงี้ไปละกัน กูสงสัยว่าพิมพ์ลงอะไรแล้วแคบยังไงถึงพื้นขาวงี้ได้วะ
https://twitter.com/hiyuura/status/817567382461812736
ถามในฐานะคนเขียนนะ
สมมุติว่าพวกมึงอ่านนิยายเรื่องนึงแล้วเจอว่านางเอกมันไม่ได้ท้องกับพระเอกแต่โดนข่มขืนจนท้องกับตัวร้ายแทน
รับได้กันไหมวะ Q^Q
มีวิธีพัฒนาสำนวนกันยังไงบ้างวะ ของกูอ่านแล้วมันรู้สึกขัดๆไม่ไหลลื่นยังไงก็ไม่รู้
กูยิ่งเขียนสำนวนยิ่งเหี้ยลงด้วยซ้ำ คืออ่านมากขึ้น คำเยอะขึ้นก็จริง
แต่เข้าไม่ถึงตัวละครของตัวเอง เขียนออกมาทีแม่งก็ฝืดหมด
>>952 ถ้าแนวดราม่าอยู่แล้วธรรมดามากเลยนะ อยู่ที่เนื้อหาโดยรวมมากกว่าว่าเป็นยังไง บอกแค่นี้ตอบยาก
>>954 กุยังขัดๆกับตัวเองอยู่เลยว่ะ บางทีเขียนๆลบๆแก้ๆบ่อยมาก บางทีกุชอบเขียนยืดยาวพอมาอ่านก็แบบเห้ยมันยาวไปว่ะแก้ พอแก้เสร็จเห้ยมันสั้นไปแก้อีก จะบ้าตาย แล้วเลือกใช้คำนี่ลังเลหนักมาก คิดแล้วคิดอีกใช้คำไหนดี กุเข้าใจคนแต่งนิยายมากขึ้นเยอะเลย หลังจากอ่านอย่างเดียวมานาน แต่ก็ยังบ่นพวกไม่หาข้อมูลเลยแล้วแต่งมั่วซั่วนะ เพราะกุค่อยๆแต่ง คาใจตรงไหนก็หาข้อมูลก่อนตลอด เห็นพวกแปบๆแต่งได้เป็นเล่มๆนี่ก็แบบบางทีก็หมั่นไส้ว่ะ เป็นกันมะ อิจฉาพวกแต่งเร็วๆ
>>957 อิจฉาคนอื่นมันก็ธรรมดาอยู่ละสำหรับกู ไม่ได้ตาร้อนบ้าคลั่งอะไรแบบนั้น แค่แบบ โห จะสตรองอะไรขนาดนั้น แล้วของตัวกูเองเมื่อไรจะทำได้บ้างวะ
กูมีปัญหาเรื่องเข้าไม่ถึงตัวละครว่ะ กูสร้างมันให้มีปมจนคนอื่นในเรื่องเข้าถึงยาก แต่สุดท้ายก็กู-คนเขียนนี่แหละที่เข้าไม่ถึงซะเอง เวรจริงๆ
ของกูติดปัญหาคาร์แกว่ง เขียนไปเขียนมาจะได้ครึ่งเรื่องแล้วมาแก้นิสัยตลค. เสริมนู่นตัดนี่จนรำคาญตัวเอง เพิ่งรู้ข้อเสียของการไม่ปูพื้นมาดีๆก็ตอนนี้แหละ
เสียงสำนักพิมพ์
สัมภาษณ์ผู้บริหารไฟแรงจาก-สำนักพิมพ์คำต่อคำ
ลองดูแนวทางของสนพ. แนวนิยายรัก
http://www.writenowmag.com/content/13100/เสียงสำนักพิมพ์---สัมภาษณ์ผู้บริหารไฟแรงจาก-สำนักพิมพ์คำต่อคำ
จับเข่าคุย
นักเขียนตัวเล็กแต่มากฝีมือ...ดวงตะวัน
http://www.writenowmag.com/content/14020/จับเข่าคุย---นักเขียนตัวเล็กแต่มากฝีมือ...ดวงตะวัน
เคยเจอปัญหาคาร์ซ้ำกันไหมวะ กูเป็นประเภทแต่งหลายเรื่องพร้อมกันอ่ะ กลายเป็นว่านิสัยพระเอกสองเรื่องมันคล้ายกันซะงั้นถ้าเจอแบบนี้ทำไงอ่ะ
สงสัยนานแล้วเวลาอ่านนิยายจะต้องคาดหวังมีพระเอกนางเอกกันเหรอ เห็นบางเรื่องพวกเด็กเมนต์อย่างเอาเป็นเอาตายต้องรู้ให้ได้เช่น ใครเป็นพระเอก ใครเป็นนางเอก แฮปปี้เอนมั้ย ถ้าไม่ตอบไม่รู้จะเลิกอ่าน
ถ้าเป็นตัวเองเวลาอ่านจะสนใจว่าจะคนเขียนจะเรื่องอะไร แนวไหน สื่ออะไร หักมุกหรือมีมุกอะไรแปลกใหม่ สำหรับตัวละครก็แค่พอรู้ว่าตัวไหนเป็นตัวนำเรื่องก็พอ ถ้าจบแบบคู่นำได้อยู่ด้วยกันก็แฮปปี้เอนดิ้งเป็นพระนางไป ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นอะไร หรือมีคู่รักในเรื่องเป็นคู่รองก็แฮปปี้เอนดิ้งได้ ตัวนำดำเนินเรื่องเป็นตัวอื่นที่ไม่ใช่พระเอกนางเอกก็ได้ แค่น่าสนใจอ่านจนจบแล้วสนุกชอบก็พอ
บางทีกูก็งงว่าทำไมถึงชอบถามว่าใครพระเอกนางเอกเหมือนกัน กูรู้สึกว่าพวกนั้นจะได้เลือกเชียร์ถูกคนอ่ะ มีความเห่อหมอยเบาๆ
อย่างเกมออฟทรอน จนป่านนี้กูก็ยังงงว่าใครเป็นพระเอก(แต่กูว่ามันเป็นประเภทหลายตัวเอก) คนชอบบอกว่าจอนเป็นพระเอก แดนี่เป็นนางเอก แต่สำหรับกูกูว่าทีเรียนกับเซอร์ซี่เป็นตัวที่เด่นสุดเลยว่ะ ถึงเซอร์ซี่จะบิชและโง่และโง่แต่นางเด่นมากจริงๆจนกูเชียร์นางทั้งๆที่รู้ว่าปลายทางคือปากเหว5555
สำหรับกูกูสนใจเนื้อเรื่องมากกว่า ตลค.มันเป็นตัวขับให้เนื้อเรื่องเดินไปได้ ส่วนถ้าคาร์มันมีสเน่ห์ก็ถือว่าเป็นกำไรไป ถ้าเนื้อเรื่องสนุก ไม่จำเป็นต้องหวือหวาหรือหักมุมก็ได้ ถ้ามันดำเนินเรื่องสนุกก็คือสนุก แค่นั้นเอง
อย่างเราเป็นพวกถ้าเขียนตัวละครมาดีพอหรือ relate กับเรามาก ๆ หรือเขียนจนเราชอบเราจะอวยตัวนั้น บางทีถ้าต้องเอาตัวละครตัวนั้นไปดราม่ามาก ๆ เราก็จะช้ำใจตายน่ะ คือ คนอ่านนิยายมันมีหลายแบบ แบบอ่านเอาพล็อตจะไม่แคร์เรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าอ่านแล้วผูกพันตัวละครง่าย รู้เรื่องแบบนี้ก่อนมันก็ช่วยให้เตรียมใจหรือคาดเดาแนวทางเรื่องล่วงหน้าได้ว่าเรื่องที่อ่านจะไม่เฮิร์ตตัวเองเกินไปน่ะ
ถ้าไม่บอกว่ามีพระนางแล้วมาเจอตอนหลังว่าสุดท้ายพระเอกแต่งงานกับคนที่กูไม่ถูกใจนี่กูโคตรเสียความรู้สึก ประเภทนางเอกบทไม่เด่น ถึงแกนหลักมันจะไม่ใช่เรื่องรัก บางเรื่องกูอ่านไม่ต้องการให้ตัวเอกมีคู่ด้วย อ่านอยู่ดีๆ มีเรื่องรักเข้ามาเอี่ยวนี่ก็เท
นิยายรักก็ไม่อวยตัวละครนะ อ่านๆ ไปถ้าคนเขียนทำให้รู้สึกตัวละครรักกันได้ก็โอเค แต่ถ้ายัดบทกำหนดว่านี่พระนางคู่นี่ต้องมาลงเอยกันก็ไม่ว่าอะไรขึ้นกับคนเขียนคงจะเฮ้ๆ หน่อยว่ามันรักได้ไงอย่างอนิเมที่ดังตอนนี้ยังสงสัยรักกันได้ไง หรืออย่างแฮรี่ตอนแรกนึกว่าแฮรี่คู่กับเฮอร์ไมโอนี่แต่อ้าวกลายมาคู่กับรอนก็โอเคไม่ได้เสียความรู้สึก ถึงไม่ค่อยเข้าใจคนที่ไม่พอใจขนาดพิมพ์ด่าคนเขียนอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถ้าแปล all's fair in love and war ว่าทุกสิ่งล้วนขาวสะอาดในสงครามและความรัก น่าจะเข้าใจง่ายกว่าแปลว่า ทุกสิ่งล้วนยุติธรรมในความรักและสงคราม นะ ว่าไหม
>>974 คำอธิบายจะประมาณ
- People in love and soldiers in wartime are not bound by the rules of fair play.
- in love and war you do not have to obey the usual rules about reasonable behaviour
ประมาณคือ ในเรื่องของความรักและสงครามไม่เลือกวิธีการที่จะเอาชนะ (ซึ่งมันมีทั้งที่ถูกต้อง แฟร์ๆ และใช้เล่ห์เหลี่ยม คดโกง)
ตอนที่เราเขียนประโยค "ไม่มีใครได้เปรียบใครในเรื่องสงครามและความรัก" คือตั้งใจให้ตัวละครบอกอีกตัวละครว่า ไม่เกี่ยวว่าคู่แข่งตัวละครจะเป็นใคร ความรักมันอยู่ที่ตัวละครสองตัวที่จะตัดสินใจกันเอง
แวะมาบ่น(?)ตัวเอง 555 เห็นคนอื่นเขียนก็แบบเฮ้ย แบบนี้เราก็เขียนได้ บางทีมีพลอตในหัวเรียบร้อยด้วยนะ แต่พอลงมือเขียนจริง เอิ่ม ทำไมมันติดๆขัดๆจังวะ รู้สึกสมองมึนงง เขียนวกไปวนมา (คิดไปเองรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ) สมองไม่ค่อยแล่นชอบกล คงห่างไปนานด้วยแหละ เฮ้อ บ่นจบแล้ว ไปละ
ห้องนี้รับปรึกษาปัญหานักเขียนไหมนิ อยากหาคนคุยปรึกษาหน่อย
คือบรรยายได้เป็นประโยคบอกเล่ามากกว่านิยายอะ มีคนบอกว่ามันแข็งๆทื่อๆไม่สื่ออารมณ์เท่าไหร่ มีวิธีช่วยไหมครับ
>>980 วิริยาวิ่งเข้าไปพยุงร่างของคุณพินิจที่ซวนเซไปมาแต่ก็คานน้ำหนักไม่ไหวจึงล้มไปกองกับพื้นหญ้าทั้งคู่
"ขอบใจนะ แต่เธอควรไปเรียกยามตรงนั้นมาช่วยจะดีกว่า"
"ขอโทษด้วยค่ะ" หญิงสาวสะบัดเศษวัชพืชเล็กๆออกจากหัวแล้วรีบลุกขึ้นไปเรียกยามที่ป้อมมาช่วยชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พินิจซึ่งทนอาการเจ็บป่วยไม่ไหวก็ได้หมดสติไป
วิริยาหน้าตาตื่นวิ่งเข้าไปพยุงร่างของคุณพินิจที่ซวนเซไปมา แต่ร่างเล็กของเธอต้านรับน้ำหนักไม่ไหว จึงพากันล้มหงายไปกองกับพื้นหญ้าทั้งคู่
"ขอบใจ เธอควรไปเรียกยามตรงนั้นมาช่วยจะดีกว่า" พินิจกัดฟันพูดข่มอาการเจ็บปวด
"ขอโทษค่ะ" หญิงสาวรีบลุกขึ้นโดยไม่ได้สะบัดเศษวัชพืชเล็กๆออกจากหัว แววตาร้อนรนเป็นห่วงเขาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนก้าวเท้าวิ่งออกไปเรียกยามที่ป้อมมาช่วยชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พินิจฝืนทนอาการเจ็บต่อไปไม่ไหว เขาเพียงเห็นภาพลางๆ ที่หญิงสาวร้องเรียกคนมาช่วย ก่อนหมดสตินอนแน่นิ่งไป
ปล.กูคิดว่าน่าจะเพิ่มอารมณ์ระหว่างคู่นี้อีกนิด ประมาณนี่ละมั้ง
มีใครขยันอ่าน แต่ไม่ขยันเขียนแบบกูไหม แรกๆ กูก็อ่านไปเขียนไปด้วยแหละ ก็แบ่งเวลาดีอยู่ แต่หลังๆ มานี่ขี้เกียจเขียนชะมัด ทั้งที่พล็อตก็พร้อม ทรีตเมนท์ก็ร่างเรียบร้อย เอาแต่อ่านๆ อย่างเพลิน กูเปิดไฟล์งานดูทุกวัน และก็ถอนใจทุกวัน
เรา >>977 นะคือตอนนี้มันเกิดความรู้สึกแปลกๆอย่างหนึ่งซึ่งบอกตัวเองไม่ถูกว่ามันยังไง
เรื่องคือเมื่อก่อนเวลาเขียนเราจะเน้นบรรยายกับเล่นคำให้มันอ่านแล้วลื่นไม่ติดไม่ขัดแล้วพอมาตอนหลังนี่เริ่มไม่ค่อยมีเวลากับไม่อยากให้คนอ่านรอนานก็เลยยอมเขียนแบบไม่ต้องใส่ความสละสลวยทางภาษาอะไรเอาแบบห้วนๆ บรรยายแบบรวบรัดๆไปเลย ทีนี้พอมีเวลากะจะกลับมารีไรท์ใหม่ดันเกิดโลเลขึ้นมาว่าจะไปทำให้บทบรรยายมันยาวขึ้นมาทำไมเพราะคนอ่านดันเมนท์บอกว่าชอบที่บรรยายแบบรวบรัดมากกว่า
เลยเริ่มคิดขึ้นมาว่า หรือเมื่อก่อนจะบรรยายน้ำท่วมทุ่งจริงๆ แต่แบบเห็นที่ตัวเองเขียนไปแบบห้วนๆแล้วมันรู้สึกว่ามันไม่ใช่อ่ะช่วยบอกทีว่าไอที่รเาเป็นตอนนี้มันเป็นอะไรกันแน่
>>987 กุคล้ายๆเมิงนะ แต่ของกุยังไม่ลงให้อ่านนะ แต่แบบชอบไปเทียบชาวบ้านอะ แบบเออของกุนับตัวอักษรนี่ไปเยอะมากแต่เนื้อหาไม่ไปไหนเลย แล้วก็มักเจอพวกคอมเม้นมู้ต่างๆที่บ่นๆพวกที่ยาวๆแล้วเนื้อหาไม่ไปไหนก็เลยจิตตกนิดหน่อย คือของกุบรรยายเยอะ บทพูดจะน้อย แต่ก็ชอบที่จะเขียนแบบนี้มากกว่า ในใจก็อยากจะตัดให้มันสั้นๆกระชับ แต่สุดท้ายกุก็ไม่ตัดนะ กุว่าเอาตามที่ใจตัวเองชอบดีกว่า แต่งๆไปมันตามใจทุกคนไม่ได้อยู่ละ กุเลยตามใจตัวเองนี่แหละ มันเป็นปกติว่ะ แบบแคร์คนอ่านไรงี้อ่ะ ส่วนคนอ่านชอบรวบรัดไม่แปลกมั้ง ปกติก็อ่านก็อยากรู้ฉากต่อไป เนื้อหาถัดไปกันอยู่แล้ว ถ้าบรรยายเยอะส่วนใหญ่อ่านไปไม่ขยับไปไหน เมื่อก่อนกุก็ชอบรวบรัดนะ แต่พอโตขึ้นชอบแบบค่อยๆเป็นค่อยไปมากกว่า รู้สึกอินกับเนื้อหาได้มากกว่า เห็นภาพกว่า
Ky เป็นนักเขียนมือใหม่ ช่วยแนะนำเว็บลงนิยายที่คนเล่นกันเยอะๆให้หน่อยสิ
นิยายที่แต่งมันเป็นแฟนตาซี ผจญภัยไม่เน้นความรักเท่าไหร่ ไปลงที่ไหนถึงจะเหมาะนอกจากเด็กดี
ช่วงนี้เว็บ เด็กดี กับ Fictionlog เขามีอะไรกันป่าวอ่ะยอดแฟบพุ่งแปลกๆ กับ มีคนเข้ามาคอมเมนท์บ่อยขึ้น คือแบบดีใจนะแต่สงสัยว่าทำไมจู่ๆก็เป็นแบบนี้ทั้งที่ปกติเงียบสนิทมันมีมหกรรมหรือ Event อะไรกระตุ้นคนอ่านกันรึเปล่า?
ขอความเห็นจากโม่งหน่อยสิ สมมุตเรากำลังเขียนนิยายเรื่องนึงแล้วเรื่องๆนั้นมันมีที่ตั้งอยู่ในจุดที่มีแค่เพศๆเดียวมารวมกัน เช่นเขียนเรื่องราวในค่ายทหารงี้ นักเดินเรืองี้ที่แม่งมีแต่ผู้ชายอะ มันจะแปลกๆป่าววะถ้าในเรื่องมันไม่มีผู้หญิงเลยซักคน ไม่วายนะ ไม่มีเรื่องรักๆเลย หรือเราควรยัดตัวละครหญิงลงไปด้วย แต่ปัญหาก็คือไม่รู้จะยัดไปยังไงเพราะวางเนื้อเรื่องไปแล้วแล้วมันไม่ได้มีฉากที่ตัวละครหญิงจะเข้ามามีส่วนได้อะ มันจะเลี่ยนผู้ชายไปปะ
>>990 เมื่อก่อนจะแนะนำ
พันทิพ - แต่ตอนนี้ระบบลงนิยายมันเละมากแล้วถ้านิยายผ่านต้องมานั่งไล่ลบเองแบบ edit กดลบกระทู้ไม่ได้ เจ้าพ่อเจ้าแม่เยอะ คนเลยเริ่มเบื่อถอยห่างกัน
ห้องสมุด - ตอนนี้เน่ามาก
ธัญวลัย - นิยายเยกัน
เด็กดี - น่าจะรู้ว่าเป็นยังไง
fiction log - เพราะเป็นของอุ๊คบี กลัวจะกลายสภาพเป็นอุ๊คบีบุฟเฟ่ต์ 2 เว็บร้างมาก
เล้าเป็ด - เฉพาะยาโอย
คัมออน - เฉพาะยูริ
ที่อื่นๆ ก็ไม่ค่อยนิยม ส่วนใหญ่จะลงเด็กดี เฟซตัวเอง แล้วก็เอาไปรวมเล่มขาย MEB เลย
ใครรู้ช่วยเสริมให้หน่อยล่ะกัน
>>994 ในค่ายทหารปกติ ทหารหญิงฝ่ายหมอ พยาบาล มีมากไป ฝ่ายกองบังคับบังชาก็ต้องมีเหรัญญิก ไปจนถึงฝ่ายติดต่อประสานงาน ผู้ช่วยทูต อยู่ที่จะแทรกยังไง
เดินทางก็มีฝ่ายสื่อสาร ฝ่ายโภชนาการ ที่พอแทรกได้
ทุกที่มีบทให้แทรกได้หมด รวมถึงบุคลิกอีกว่าจะห้าว ทอมบอย ขนาดไหน
อยู่ที่จะเล่นบทยังไง
มีไปถึงน้องสาว พี่สาวเพื่อนๆ ที่มีโอกาสเข้ามายุ่งเกี่ยว จนไปถึงงานสายลับของศัตรูที่จะส่งเข้ามาแทรกซึม
บทมีเล่นเยอะไป แต่ปกตินิยายเพศเดียวล้วนๆ มันส่อไปทางวายมากไปจนกลิ่นฟุ้งจริงๆ น่าจะมีเบี่ยงเบนบทบ้าง
ปล. นี่เป็นความคิดส่วนตัว แบบสายธรรมดาทั่วไปนะ
>>990 ลงที่นั้นแหละ คนอ่านหลากหลายดี
มองจุดประสงค์หลักที่แต่งของตัวเองด้วย
แต่งไม่คิดมาก ก็ลงที่ไหนก็ได้
แต่งแบบหวังผล ใช้เด็กดีวัดกระแสนิยมทางแนวตลาดได้ ถ้ายังจับใจคนอ่านไม่ได้ในเรื่องที่เขียนลงไป
ก็ควรรีไรท์ใหม่ หรือ ไม่ก็จบ เปลี่ยนเรื่องใหม่เลย เพราะถ้ามุ่งหวังให้งานขายได้ ถ้า 10-20 บทแรก ยังจับแฟนคลับไม่ได้ ก็ควรถอยในเรื่องนั้นนะ แต่งใหม่คิดพล็อตใหม่ไปเลยดีกว่าฝืนเรื่องเดิมๆ
1000
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.