กระทู้เพื่อพูดคุยเทคนิคการเขียน และเรื่องการประกวดต่างๆเกี่ยวกับนิยาย
Last posted
Total of 1000 posts
กระทู้เพื่อพูดคุยเทคนิคการเขียน และเรื่องการประกวดต่างๆเกี่ยวกับนิยาย
เขียนไงให้จบ...
งั้นกูถามมั่ง ไม่ต้องพูดถึงตอนจบ เริ่มเรื่องยังไงดีวะ 555
พวกมึงแม่งถามคำถามโหดร้ายมาก มีกลางๆหัวท้ยไม่มี
ว่าแต่ในโม่งมีคนลงประกวด enter มั้ย
กุมีแต่หัวกะท้ายว่ะ อยากเริ่มเรื่องงี้ จบแบบนี้ แต่กลางเรื่องยึกยือไม่รู้จะเดินเรื่องยังไง 55555
กูสร้างฉากเริ่มและจบไว้แล้ว turn of eventที่สำคัญที่สุดก็กำหนดไว้แล้ว โปรไฟล์ของตลค.ก็กำหนดไว้แล้ว จินตนาการในหัวก็พร้อมสรรพ แต่เขียนออกมาไม่ได้วะ
ควรจะชื่อกระทู้ว่านักไม่เขียนนิยายชิบเป้ง
กูแค่"ยัง"ไม่เขียนเว้ย แบบเดียวกับล้างจาน เก็บผ้า หรือจัดห้องนั่นละ
>>4 กู มายกมือ และส่งไปแล้วด้วย อีแหม่เหยด กูอุตส่าห์รอบอร์ดโม่งมาคุยเรื่องนี้นานแระ ว่าจะปรึกษาซะหน่อยจะได้เขียนถูก เห็นอยู่ในประเด็นอื่นไม่มีคนเปิดซะที กูก็เกรงใจเขียนส่งหมดแล้วเพิ่งจะมาเห็น ฮ่วยบักก้วยเต้ด
เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆ มึงคิดว่ารอบนี้สนพ.จะเอาแบบไหนยังไงวะ? ไอ้คำประเภทแปลกใหม่ไม่เหมือนใครก็ดูกว้างไปหน่อยนะ แล้วอีกอย่างคือสนพ.มันจะเอาแต่วายเข้ารอบหรือเปล่าวะ กูแอบเครียดเรื่องนี้เพราะของกูแม่งไม่วายเลย แม้ว่าจะมีเพื่อนผู้ชายสองคนอยู่ในเรื่องแต่ก็ไม่ได้มีชงอะไรนะเว้ย คือเพื่อนแบบเพื่อนกันเลยไม่ร่างใหญ่ร่างบางอะไรทั้งนั้น กูว่าเขาอาจจะขยับปรับเปลี่ยนไม่ให้วายแล้วก็ได้นะตอนหลังๆ ไม่ได้ไปดูนิยายที่ชนะรอบสี่มาเลย ฟินด์อะไรนั่นเพื่อนโม่งว่าไงกันมั่งล่ะ ไม่ค่อยเห็นพูดถึงกันเลย มันโอหรือไม่โอ มาตรฐานถือว่าดีขึ้นยังวะ แฉ่งแต่ไอ้ที่ชนะรอบแรกๆตลอด
ก็มีeverYแล้วไม่ใช่เหรอ ทีนี้ก็ไม่ต้องพึ่งจิ้นวายจากเอนเทอร์ละ 555 กูก็พูดไปเรื่อย
จะเสล่อมาตั้งมู้ซ้ำทำไมวะ
กูอ่านเรื่องฟินด์มาแล้ว ถ้ามึงจิ้นแมงมุมกับพ่อมดให้วายได้ก็วาย แต่ถ้าไม่ก็ไม่วาย ปีนี้กรรมการเป็นลวิตร์กับดาวิษ(ปะวะ) กุว่าคงไม่วายหรอก
เห็นโม่งบ่นกันว่าปีก่อนๆ ตัวละครโครตส่อวายแล้วทำซึนว่าไม่วายนะเว้ย ทั้งๆที่เสนอมาซะพร้อมเคียงคู่ตุนาหงันขนาดนั้น หรือว่าเพราะปีนั้นยังไม่มี EverY วะ เลยไปลงกับแฟนตาซี กูไม่ได้ตามเป็นเรื่องเป็นราวอ่ะ แล้วคุณลวิตร์เพิ่งเป็นกรรมการปีนี้หรอวะ? ตายละหว่า ถึงจะฟังเสียงส่วนรวมแต่กูว่าสไตล์กรรมการมันก็มีส่วน ลืมศึกษาเบื้องหลังของกรรมการซะงั้น
ลวิตร์เป็นมาตั้งแต่ปีสองแล้วหรือเปล่าวะ แต่กูว่าไม่น่าห่วงมากหรอกมึง ก่อนหน้านี้ก็มีที่ดราม่าๆ เรื่องจิ้นวายตอนฟินด์ออก ที่แอดมินเพจออกมาโพสน่ะ สำนักพิมพ์ก็คงไม่เน้นวายมากเท่าปีก่อนๆ
ใช่ที่คนอ่านไปบ่นๆในโพสเพจใช่ป่ะว่า ทำไมเจอแต่แนววายๆเต็มไปหมด สนพ.ต้องการจะขายแต่แบบนี้จริงๆหรอครับ บางคนสาววายก็บ่นเอียนเหมือนกัน จนสนพ.ต้องออกมาชี้แจงว่าเราจะเปิดรับแนวอื่นๆมาด้วยแล้ว ชวนจิ้นจะเป็นส่วนนึงคือ Enter Here //แต่ในโพสประกาศกูก็เห็นสาววายมาพร่ำเพ้อว่าหนูชอบ Here ๆๆ นะค้าาา กูสาววายยังเบะปากหมั่นไส้ มึงให้พื้นที่คนไม่จิ้นมั่งเห้ออออ
โดนไล่มามู้นี้...
คือกูจะขอคำปรึกษานิดหน่อย
กูเป็นนักเขียนโนเนม ไม่มีชื่อเสียงอะไร เรื่องคือมีประกวดพล็อต แล้วกูชนะ เท่ากับว่ากูต้องขายพล็อตให้สนพ.
สนพ.ให้ทางเลือกว่ากูจะเขียนหรือไม่เขียนก็ได้ ถ้ากูเขียนเอง จะกลายเป็นจ้างวานเขียน ไม่ใช่เซ็นสัญญาแบบตามปกติ
ซึ่งก็พอเดาได้ว่าเงินที่ได้จะน้อยกว่า ลิขสิทธิ์ขายขาดเป็นของสนพ.ไปเลย กูเขียนจบก็จบกันไป
แล้วการเลือกเขียนเองก็ไม่ใช่ว่าจะได้ตีพิมพ์แน่นอน 100% นิยายที่เขียนเสร็จต้องผ่านกระบวนการพิจารณาตามปกติ
กูเลือกเขียนเองไป เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะได้ตีพิมพ์ กูเลือกทางโง่เกินไปหรือเปล่าวะ...
>>21 กูว่ามึงเลือกถูกว่ะ มั่นใจในตัวเองหน่อย เขียนเองต่อให้ไม่ได้รับเลือก แต่กูก็ว่าดีกว่าขายพล็อตไปแล้วกลายเป็นของสนพ. ลองนึกดูสิว่าทั้งที่ตัวมึงมีศักยภาพพอจะทำได้(รึอย่างน้อยก็อบากลองทำ) แต่ตัดสินใจไม่ทำ แล้วขายพล็อตไป ถ้ามันดังขึ้นมาจริงก็ได้มองตาปริบๆแบบนั้นมันน่าเจ็บใจออกว่ะ
>>21 >>21 เลือกเขียนเองแล้วจะส่งให้สนพ.พิจารณาอีกป่ะ แล้วถ้าผ่านนี่เรื่องนั้นก็ขายขาดอยู่ดีใช่ป่ะ กูเข้าใจถูกมั้ย? ถ้าแบบนั้นแล้วยังจะส่งสนพ.นี้ให้ได้จะว่าโง่ก็โง่ สัญญาขายขาดนี่ส่วนใหญ่หลอกเด็กทั้งนั้น
พวกเด็กๆที่อยากตีพิมพ์จนตัวสั่นก็ยอมให้โขกสับต่อไป เพราะกูเชื่อว่าถ้าส่งไปที่เดิมมึงก็คงผ่านแหละ สนพ.แม่งกำไรกว่าได้ขายขาด ได้ทั้งจ่ายเงินค่าสัญญาน้อย แต่ถ้ามึงเลือกที่จะเขียนเองเพื่อไปส่งที่อื่นนับว่ามึงฉลาด ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบ
ที่มึงว่านี่สนพ.1168ป่าววะ เห็นมีข่าวประกวดพลอตอยู่ช่วงนึง ไม่รู้นะ เดาเอา ฮ่าๆ
ขออธิบายอีกทีก่อน เห็นเพื่อนโม่งไม่ค่อยเข้าใจ
เกณฑ์ประกวดพล็อตคือ ถ้าชนะ ก็ได้ตังค์ สนพ.ก็ได้พล็อตไป = ตอนนี้พล็อตกูลิขสิทธิ์เป็นของสนพ.ไปแล้ว
สนพ. จะไปจ้างใครเขียนก็ได้ ซึ่งเขาก็เลยให้ทางเลือกมา ระหว่างให้นักเขียนในสังกัดเขาเขียน กับ กูเขียนเอง แต่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณา
เอาง่าย ๆ กูไม่มีสิทธิ์ฉลาด เหมือนที่ >>24 บอก มีทางเลือกแค่จะรับจ้างเขาเขียนเพื่อได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ (จะถึง 3000 มั้ยวะเนี่ย) หรือไม่ก็ขายพล็อต บาย จบ ปิ๊ง ไม่ต้องทำอะไรต่อ
กูก็เพิ่งมาตาสว่างว่าการประกวดพล็อตมัน It's a trap มาก ขนาดกูเขียนพล็อตแบบง่าว ๆ แล้วเสือกชนะยังเซ็งจิต กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเขียนต่อ เพราะว่าโง่อยากตีพิมพ์ (ก็กูไม่เคยตีพิมพ์มาก่อน) ใครที่ตั้งใจเขียนพล็อตแล้วพล็อตเจ๋ง คงจะกระอั่กกว่ากูแน่ ๆ
>>28 จริง ๆ เขาให้ส่งตั้งแต่เดือนกรกฎาแล้ว แต่กูไม่ว่างเขียนให้เขา เขาก็หายไปเลย เพิ่งมาคุยกันอีกรอบ 2-3 วันก่อนนี่เอง
กูถามเขาว่าให้ใครเขียนไปยัง เขาก็บอกว่ายัง กูเลยแบบ เออ เขียน ๆ ไปก็ได้มั้ง คือพวกระยะเวลาอะไรเขาก็ยังไม่ได้กำหนดมาอีกนะ
บอกแค่ว่าขอต้นฉบับแบบเต็มเล่มนาจา แต่อนุญาตให้อัพลงเด็กดีได้
ส่วนเรื่องแกล้งลืมไม่ส่ง กูไม่อยากทำเลย แม่งกลัวติดแบล็คลิสต์ว่าเป็นนักเขียนที่เหี้ย ยังไม่อยากตัดโอกาสชีวิตตัวเอง
จริง ๆ ตอนนี้โม่งน่าจะแตกแล้ว แต่ไม่ค่อยแคร์ คนไม่ค่อยรู้จักกูหรอก เพื่อนในเฟซกูก็รู้กันอยู่แล้วว่ากูสิงโม่ง ถถถถถ
>>30 ร้องไห้แรง ขอบคุณมึงมากนะเพื่อนโม่ง กูน่าจะลองมาปรึกษาในนี้ก่อน ถามคนรอบตัวก็บอกให้กูเขียนไป จะได้เป็นโอกาสในชีวิต
เอาเถอะ กูตัดสินใจไปแล้วว่าจะเขียน ก็คงต้องดันทุรังเขียนต่อไป สักวันหนึ่งนิยายมุก 5 บาท 10 บาท ของกูอาจจะได้มีโอกาสโดนด่าในโม่งก็ได้...
ส่วนใครที่คิดจะประกวดพล็อต แนะนำให้ทิ้งความคิดเหี้ย ๆ นี่ไปเลย เขียนแล้วส่งสนพ.เถอะ ชีวิตเจริญกว่า
ประกวดพล็อตกูว่ามันเหมาะกับพล็อตชั้นรองที่คิดมาแล้วว่าเอามาเขียนไม่เวิร์คแน่ จะได้รับรางวัลรึเปล่าก็ช่างมันเป็นพล็อตขยะไม่สนใจแต่ถ้ามารีไซเคิลเป็นตังได้ก็เอาอะไรแบบนี้วะ
มึงมาไม่ทันสิงโม่งช่วงมันจัดประกวดใช่ป่ะ ตอนนั้นโม่งด่าเละอ่ะแม่งโคตรเอาเปรียบ แต่อะไรผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไป เขียนแบบเอาเวลาว่างมาใช้ให้เกิดประโยชน์เป็นประสบการณ์ อย่าไปจริงจังจนเสียเวลาจะเจ็บตัวกว่าตอนนี้ เขียนให้จบ ต่อให้ขายขาดมึงก็เขียนจบเล่มนึงแล้วเล่มที่สองจะง่ายขึ้น สู้ๆนะมึง
มีแบบนี้ด้วยหรอวะ สนพ.อะไรอ่ะ ไม่ได้มาสิงโม่งตลอด ตกๆหายๆ
>>34 มึงพลาดไปจริงโม่ง อารมณ์เหมือนแคมเปญคิดรสชาติให้เลย์ สนพ.จ่ายค่ายพล็อตไม่กี่อัน ที่เหลือได้พล็อตใหม่ไปรียูสได้ เป็นแคมเปญที่เอาเปรียบมาก แต่ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ถือว่าตอนนี้มึงได้ตังค่ากินหนมมานิดหน่อยๆแล้วกัน
ส่วนเรื่องที่มึงจะเขียนเองดีมั้ย ต้องดูว่าตอนนี้มึงสามารถเขียนจากพล็อตที่มึงเขียนแค่ไหนดีกว่า ขนาดตัวมึงพูดเองว่า"เขียนพล็อตแบบง่าว ๆ แล้วเสือกชนะ" มึงคิดยังว่าจะเขียนยังไงจากพล็อตของมึง
พอดีกุไม่ได้เข้าไปอ่านพล็อตที่ชนะของมึงเลยไม่รู้ว่าพล็อตที่มึงส่งประกวดละเอียดแค่ไหน คือถ้ามึงเขียนดีแค่เสมอตัว เขียนแย่โดนด่าเละ ลองคิดดูแล้วกันว่าพล็อตมึงมีค่าแค่ไหน ขยำทิ้งเขียนใหม่คุ้มกว่าป่าว
กูมีปัญหากูคิดภาพในหัวเป็นการ์ตูนมากไป(อารมณ์อนิเมชั่น)จนกูจะเอาฉากที่อยู่ในหัวมาบรรยายไม่ได้กูควรทำไงดี
คือกูมีเรื่องในหัว(ขาดๆเกินๆ)แต่กูอยากแต่งมาก กูอยากเขียนมันลงไปแต่ก็ไม่รุ้จะบรรยายยังไงเรียบเรียงยังไง
อีกเรื่องคือจังหวะสนทนาคือกูอยากให้คุยสลับกันรัวๆคำสั้นๆ แต่แต่งแล้วไม่เหมือนคนคุยกันประโยคมันแข็งๆ กับการกระทำหรือสีหน้าท่าทางหลังพูดเสร็จไปประโยคกูรู้สึกมันอธิบายยาวไปบ้างสั้นไปบ้างแต่ก็อยากลงรายละเอียดการกระทำแต่ก็รู้สึกเหมือนมันเยอะและไร้ความจำเป็นเหมือนกัน กูไม่รู้จังหวะในการใส่มันลงไป
>>40 ถ้าเอาวิธีกูนะ กูก็คล้ายๆ มึงนั่นแหล่ะ กูใช้วิธีนึกฉากอะไรออกก็เขียน เขียนออกมาไม่ดี ไม่สนุกยังกูก็เขียนไปก่อน โยนๆ ไว้ เสร็จแล้วพอมีเวลาค่อยมานั่งเขียนแบบจริงจัง เริ่มตั้งแต่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ดึงไอ้ที่เขียนไว้มาเรียงใส่ไทม์ไลน์ตามความเหมาะสม เขียนไปเกลาไป ยังไม่พอใจก็ช่างแม่งก่อน พอหมดมุขกูก็หยุดอีกที ไปหาอย่างอื่นทำ แล้วค่อยกลับมานั่งรีไรท์ตั้งแต่ต้น ระหว่างนี้นึกฉากไหนออกก็เขียนกองไว้ แล้ววนลูปกลับไปทำตามวิธีแรกเรื่อยๆ จนจบเรื่อง กูใช้วิธีนี้ มึงพอเข้าใจปะวะ
>>39-40 อ่านเยอะๆ แล้วลองสังเกตดูว่าเขาเขียนอะไร บรรยายอะไร มันจะช่วยได้มากเรื่องการบรรยาย
ส่วนเรื่องประโยคสนทนาที่ต่อเนื่องกัน อันนี้สไตล์กูนะ ไม่ได้เขียนเก่งอะไรหรอก กูจะไม่ค่อยเขียน dialogue ที่มันสั้นๆ แต่จะรวบๆ เข้าด้วยกัน บรรยายท่าทางประกอบที่พอให้เห็นภาพว่าตัวละครทำหน้ายังไง คิดยังไง แต่ไม่ใช่บรรยายทุกอิริยาบถ แต่ถ้าคิดไม่ออก ลองพิมพ์ dialogue ไปก่อน แล้วค่อยเติมส่วนบรรยายก็ได้ กูทำงั้นเวลาง่วงนอน คิดบทบรรยายไม่ออก
ยกตัวอย่าง
แบบ dialogue สั้นๆ
"สุวรรณ มีคนจับภาพยมทูตของเราได้"
"ไม่จริงน่า"
"เรื่องจริง เจ้าเช็คสิว่าเป็นใคร โจงกระเบนแดงเสียด้วย"
"คงจะเป็นคืนก่อนที่มีงานเลี้ยงแฟนซีในนรกมั้งท่าน "
"พวกมันก็ไม่น่าจะโผล่ขึ้นไปบนโลกทั้งอย่างนั้น"
"งานด่วนเข้ามาเลยลืมเปลี่ยนชุด"
"เออ...นั่นล่ะ เจ้าไปหาตัวพวกมันมา แล้วสั่งสอนเสียด้วยว่าคราวหน้าถ้าจะออกสื่อให้แต่งเนื้อแต่งตัวดี ๆ หน่อย เดี๋ยวคนเขาจะหาว่านรกของเราเชยแหลก...ยุคนี้ยังต้องมานุ่งโจง ถือไม้เท้า ห้อยสร้อยสังวาลอีก!"
แบบปกติที่กูบรรยาย
"สุวรรณ มีคนจับภาพยมทูตของเราได้...เจ้าเช็คสิว่าเป็นใคร โจงกระเบนแดงเสียด้วย" เสียงสั่งจากท่านยมบาลดังขึ้นขณะที่ผมกำลังคีย์ข้อมูลคนตายประจำไตรมาสแรกของปีอยู่ จากน้ำเสียงแข็งกร้าวและดวงตาวาววับที่จ้องเขม็งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอารมณ์ไม่ดีขนาดไหน
"คงจะเป็นคืนก่อนที่มีงานเลี้ยงแฟนซีในนรกมั้งท่าน เจ้าพวกนั้นคงมีงานด่วนเข้ามาเลยลืมเปลี่ยนชุดเสียก่อน" ผมตอบคำถามพร้อมกับยกมือขึ้นดันแว่นด้วยความเคยชิน
"เออ...นั่นล่ะ" ริมฝีปากเบะออกอย่างไม่พอใจ "เจ้าไปหาตัวพวกมันมา แล้วสั่งสอนเสียด้วยว่าคราวหน้าถ้าจะออกสื่อให้แต่งเนื้อแต่งตัวดี ๆ หน่อย เดี๋ยวคนเขาจะหาว่านรกของเราเชยแหลก...ยุคนี้ยังต้องมานุ่งโจง ถือไม้เท้า ห้อยสร้อยสังวาลอีก!"
อ้าว...ไม่พอใจเรื่องนั้นหรอกเรอะ?
กูขอปรึกษาปัญหาพล็อตกับตัวละครหน่อยนะ คือกูวางบทให้นางเอกเป็นพวกแอนตี้ฮีโร่ ฆาตกรต่อเนื่อง 10 ศพ แล้วตอนจบคือหลังช่วยพวกพ้องที่เป็นพวกแอนตี้เหมือนกันบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็แยกย้ายไปใช้ชีวิตแบบคนปกติ เปลื่อนชื่อเปลี่ยนหน้าตาสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่โดยไม่ได้รับโทษทางกฎหมายอะไรเลย นิยายกูเป็นแนวดาร์กแฟนตาซีผสมดิสโทเปียหน่อยๆ อะมึง จบแบบนี้จะดีเปล่าวะ คือกูไม่ได้แต่งเพื่อจรรโลงสังคมหรือมีสาระอะไรมากหรอกนะมึง แต่กลัวว่าถ้าจบแบบนี้จะถูกว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่เยาวชน สมควรโดนแบน บลาๆ คือมันจะมีประเด็นเรื่องทาส มุมมืดของกฎหมาย การทดลองที่ใช้เด็กกำพร้ามาดัดแปลงร่างกายเป็นอาวุธชีวภาพเพื่อใช้ในสงคราม และตัวละครหลักตายเป็นสิบ ถึงธีมเรื่องจะเน้นดาร์กเป็นหลักแต่ก็ยังแอบกังวลอยู่นะว่าจะเกินไปรึเปล่า
ปล.นิยายกูนับว่าเป็นแนว YA ไม่เหมาะสำหรับเยาวชนแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นผู้ใหญ่เท่านั้นที่อ่านได้
>>45 มันอยู่ที่วิธีการนำเสนอของมึงด้วยว่าจะออกมาในรูปแบบไหน เหตุผลของตัวละครคืออะไร ดำเนินเรื่องด้วยวิธีไหน คือถ้ามาตรงๆโต้งๆ ฆ่าๆๆ เอาสะใจ ไม่ได้มีอะไรที่ลงลึกให้เห็นถึงการที่นางเอกต้องทำแบบนี้ อันนี้โดนด่าแน่
ถ้าเขียนนิยายดิสโทเปียส่วนตัวกูว่านักเขียนต้องพาจนไปถึงระบบโครงสร้าง ระบบอำนาจ เหมือนแบบเป้าหมายคือการโค่นล้มโครงสร้างที่กดทับอยู่ แต่ประเด็นคือนักเขียนในไทยที่เห็นพยายามดิสโทเปียกัน พากันไปไม่ถึงจุดนั้น ได้แค่ตื้นๆ ว่าโลกเนี่ยเลวร้ายนะ ดิสโทเปียนะ ซึ่งแบบ...แล้วไงอ่ะ
ดิสโทเปียไม่ต้องจบสวย แฮปปี้เอนดิ้งก็ได้ มันทำได้ทั้งล้มระบบ หรือให้หดหู่หนักกว่าเดิมด้วยการตอกย้ำว่าระบบมันต้องเป็นแบบนี้ต่อไป บอกตรงๆ ยังมองไม่ค่อยเห็นนักเขียนที่เก่งๆแบบนี้เท่าไร
สำหรับกู ธีมดิสโทเปียมาคู่กับการเมือง ดิสโทเปียไม่ได้มาคู่กับแฟนตาซี ต่อให้โลกจะบรรเจิดแฟนตาซีแค่ไหนมันก็เป็นเรื่องการเมือง เรื่องการใช้อำนาจอยู่ดี
เหมือนจะพานอกเรื่อง ซอรี่
>>46 คือ นางเอกเคยเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทดลองแล้วหนีมาได้เพราะความผิดพลาดบางอย่างในการทดลองที่ทำให้เพื่อนระเบิดพลังทำลายศูนย์วิจัยซะราบ พอนางเอกหนีมาได้ก็ไปเจอกับพวกตัวเอกที่รวมกลุ่มกันหาทางเปิดโปงโปรเจคลับของรัฐบาล(ที่นางเอกถูกทดลองนั่นแหละ) เพราะไอ้พวกรัฐบาลก็ฆ่าล้างโคตรพวกตัวเอกที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองเอาเกาะที่อยู่กันมาหลายร้อยปีมาเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของประเทศ นางเอกเลยผันตัวเป็นนักฆ่ายามจำเป็น เวลาสืบข้อมูลถ้าถูกจับได้แล้วจวนตัวหาทางหนีอื่นไม่ได้ืก็เชือดคนจับทิ้ง หรือถูกพวกตัวเอกที่เลี้ยงดูมาสั่งให้ไปเก็บคนที่มีพลังจิตมากพอที่จะถูกพวกรัฐบาลจับตัวไปร่วมโปรเจคเพื่อพัฒนาอาวุธชีวภาพ
>>47 ต่อนะ มือมันลั่น เหตุผลที่กูเขียนคือได้แรงบันดาลใจจากนิยายดาร์กแฟนตาซีเรื่องหนึ่งที่มีเรื่องความเชื่อมาเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตตัวละคร มนุษย์คนไหนที่วันดีคืนดีมีเขางอกออกมาจะถูกตราหน้าว่าเป็นปีศาจแล้วถูกฆ่าทิ้งบ้าง ถูกครอบครัวรังเกียจ ฯลฯ แต่มีประเทศหนึ่งเอาคนพวกนี้มาจับไปทดลองซะ ซึ่งบางคนจากที่เป็นคนดีก็กลายเป็นคนเลวหนีไปเข้ากับพวกกบฏช่วยล้มล้างประเทศนี้ซะเลย บางคนที่ดีอยู่แล้วก็ยังดีต่อไป แต่แนวคิดหลายอย่างเปลี่ยนไป และอีกเหตุผลคือกูอยากอ่านนิยายแนวนี้แต่ไม่มีใครเขียน ก็เลยเขียนเองแม่งเลย ไม่ค่อยเน้นการเมืองเท่าไหร่ เน้นพวกสงครามและเรื่องการแบ่งชนชั้นในสังคมที่ตัดสินจากฐานะและอำนาจความฉลาด แบบนี้พอจะได้รึเปล่าวะ
>>47-48 กูพูดว่ามึงจะหาเหตุผลการกระทำของตัวละครมึงได้มั้ย กูไม่ได้ถามเหตุผลที่มึงเขียน โธ่ //ล้อเล่นนะ
ดูเหมือนมึงจะเข้าใจคำว่าการเมืองผิดไปหน่อย การเมืองมันไม่ใช่แค่แบบใครจะได้เป็นรัฐบาลอะไรแบบนี้นะเว้ย การเมืองเกี่ยวกับอำนาจ สงคราม การแบ่งชนชน อะไรนี่ก็การเมืองทั้งนั้น เพียงแต่มึงจะเอาทฤษฎีไหนเป็นหลัก มาร์กซิส สังคมนิยมแบบเหมา-สตาลิน ทุนนิยม ประชาธิปไตย อะไรก็ว่าไป
นิยายมึง ได้ไม่ได้ กูตัดสินให้ไม่ได้หรอกนะ มึงต้องลองเขียนดู ลองร่างพล็อตคร่าวๆก็ได้ ดูความสมเหตุสมผลของเรื่อง ดูว่ามึงจะพามันไปได้ไกลแค่ไหน ฐานที่แน่นจะทำให้มึงสานเรื่องต่อได้ง่ายขึ้น พยายามยึดหลักความคิดที่เป็นแก่นของเรื่องเอาไว้ จะได้ไม่หลงทาง ไม่เขว
อย่างกูเงี้ยะ สมมติว่านิยายมีแก่นหลักคือการทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์ ถึงจะเล่าเรื่องแบบบั่นทอนสติปัญญา แต่สุดท้ายกูก็ต้องดึงเข้าแก่นเรื่องอยู่ดี
งงมะ
>>49 งงตอนท้ายๆ แต่ก็เข้าใจนะ
เหตุผลก็ทำตามคำสั่งอะมึง บวกกับความแค้นส่วนตัวด้วย แต่จากที่อ่านความเห็นมึงแล้วสงสัยกูต้องปรับเหตุผลเพิ่มหน่อยว่ะ
แก่นของเรื่องก็คือการแบ่งชนชั้นทางสังคม คนที่ฉลาด มีอำนาจ รวย ชาติกำเนิดดี ก็จะเป็นชนชั้นสูงๆ อยู่ในลำดับต้นๆ ของสังคม คนที่โง่ จน ไม่มีอำนาจ ชาติกำเนิดธรรมดา ก็จะถูกลดตำแหน่งต่ำลงมา แล้วพวกชนชั้นล่างสุดก็จะถูกพวกชนชั้นสูงกว่ามองในฐานะต่ำกว่าสัตว์ ไร้ประโยชน์ต่อสังคม เลยเอาไปพัฒนาให้มีประโยชน์ด้วยการเป็นอาวุธชีวภาพ ถูกใช้เป็นเบี้ยในสงครามตายไปก็ถูกเผาไม่มีหลุมศพให้ฝัง ผลงานในสงครามก็ถูกพวกยศสูงๆ ฮุบไปอวดเอาหน้าแทน
อืม เหมือนมึงยังมองไม่เห็นภาพรวมของเรื่อง กูแนะนำให้ทำตามนี้
www.dek-d.com/writer/36811/
https://www.scribendi.com/advice/goldenrulesforagoodplot.en.html
แล้วก็เริ่มเขียนไปเลยอย่ารอช้า หลักการแค่ทำให้ไม่หลงทาง-วนเรือในอ่าง
มึง กูขอความเห็นหน่อย คือกูอยากลองเขียนนิยายอินเซสท์พี่น้องดู แต่กำลังตันมากว่าจะให้มันมาเริ่มความรู้สึกเชิงรักกันได้ยังไง ตามปกติแล้วพี่น้องท้องเดียวกันมันไม่น่าจะเกิดความรู้สึกแบบนี้ได้ เพราะงั้นเลยคิดว่าจะปูจากการที่พี่น้องสองคนนี้มันเหลือกันอยู่สองคนแบบโดดเดี่ยวมากจนคนที่คิดว่าสำคัญที่สุดของชีวิตคือพี่น้องกันเองนี่แหละ แล้วก็เกิดเหตุให้แยกจากกันไป จนสุดท้ายก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง ในสถานาการณ์ที่ทุกอย่างรอบตัวบีบคั้นจนเหลือคนที่ไว้ใจได้แค่พี่น้องเท่านั้น ความสำคัญเลยเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นจนความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไป
แต่กูคิดไปคิดมากูก็ยังว่าระหว่างครอบครัวมันจะมีเส้นแบ่งของความรักอยู่ เป็นเส้นแบ่งแบบที่ไม่ว่ายังไงกูก็ยังคิดหาสาเหตุที่มันไปรักกันไม่ได้ หรือกูไม่ต้องสนอะไรมาก รักก็คือรัก ห้ามกันไม่ได้อะไรงี้ไปเลย? คิดไม่ออกว่ะ..กูไปอ่านเคสอินเซสท์ในชีวิตจริงมาแล้วเหมือนกันนะ แต่ก็ยังไม่เห็นสิ่งที่จะเอามารองรับความรักแบบนี้ในนิยายกูได้เลย..
ความรักคืออะไร....คำถามจากโม่งที่อยากลองเขียนนิยายรักแต่ไม่เคยรู้สึกพิเศษกับใคร....
>>54 ใช่..กูก็รู้สึกอย่างนั้นแหละ..เลยแบบ มันรักตรงไหนเนี่ย แล้วถ้าจะรักได้ มันจะรักกันยังไงวะ orz แต่จริงๆคือ สำหรับกูอะ อันนี้ความคิดส่วนตัวนะ กูมองว่ารักแบบอินเซสต์ส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการที่พึ่งพิงที่เราเชื่อใจได้ตลอดไปอะ มันเหมือนจะแตกต่างจากความรักแบบชู้สาวปกติซักหน่อย เพราะงั้น ด้วยทัศนคติกูมันก็เลยคิดออกมาเป็นแบบนี้ orz
>>56 ทัศนคติของกูเลวร้ายกว่ามึงแน่นอน เพราะกูมองว่าคนที่ incest คือคนที่มีความผิดปรกติทางจิตไม่มากก็น้อย เพราะว่าแหกกรอบพวกศีลธรรมของมนุษย์ในยุคปัจจุบันที่ถูกปลูกฝังว่ามันเป็นรักต้องห้าม กูก็ไม่รู้ว่าตัวละครมึงมันมีความจิตหรือเปล่า เลยให้คำปรึกษาไม่ได้
ส่วนตัวกูกูว่าถ้าเป็นพล็อตแบบอีกคนรักคลั่งแบบจิตๆ แต่อีกคนคิดว่ารักมากๆ แต่จริงๆแล้วมันกลับเป็นแค่ความโหยหา ความผูกผัน ไม่ใช่ความรัก มันคงจะเจ็บปวดดี
>>55 คำถามมึงเด็กดวกมาก เห็นแล้วไม่ค่อยอยากตอบ บางทีคนเขียนนิยายรักก็ไม่ต้องเคยรู้สึกพิเศษกับใครก็ได้มั้ง
>>53 ความสัมพันธ์แบบเซซาเรกับลูเครเซีย บอร์เจียไง คนน้องถูกพ่อจับแต่งงานสานสัมพันธ์กับคนอื่นเพื่ออำนาจตัวเองไปเรื่อย คนพี่ถูกใช้ให้รบเพื่อพ่อ แต่ตัวเซซาเรเองก็ทะเยอทะยานมากเหมือนกัน คนที่ถูกเลี้ยงมาในครอบครัวขาดๆเกินๆแบบนี้ น่าจะมีนิสัยบิดเบี้ยวไปในระดับหนึ่ง หรือเอาแบบแลนนิสเตอร์ที่ฝาแฝดอินเชสต์กันเอง นี่ก็น่าจะโอเค
เรื่องการบรรยายเห็นก่อนหน้าโม่งเด็กดีมาสับนิยายพิมพ์ขายเองเล่มหนึ่ง(ไม่รู้จักเหมือนกัน)ลองเอาไปอ่านปรับใช้ดู ยกตัวอย่างโม่งคนนี้พูดได้ดีมากๆ >>>netwatch/2202/687
ใจจริงกุไม่อยากจะบอกหรอกนะ(ถ้าเปิดโมงคุย)ว่านิยายแนวตัวเอกมีปัญหาคนนี้ๆเลว กุโครตเกลียด เพราะนิยายพวกนี้พวกวัยรุ่นแต่งเห็นมีแต่เหตุผลเบี้ยวๆ ไม่ก็พ่นคำหล่อๆทั้งนั้นเลย ไม่ต้องในไทยนะนอกก็มี
มึงต้องบอกให้ได้ว่าทำไมตัวร้ายต้องทำวิธีที่เสี่ยงตารางแทนวิธีปกติ อย่างอ้างแค่ผลประโยชน์ส่วนบุคคล เพราะประเด็นนี้คนเล่นจนเบื่อแล้ว
ในกรณีที่มึงอยากหาอ้างอิงเข้ากับทีมเรื่องของมึงดู ลองอ่านเรื่องของสิทธิมนุษยที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับ การเกิดกบฎในที่ต่างๆ อย่าง isis ยูเครน ที่แบ่งได้กันค่อนข้างสงบสุขอย่างที่อินโดก็ได้
จะให้ดีลองศึกษาสงครามโลกครั้งที่2+สงครามเย็นก็ได้ การเมืองสมัยใหม่มันต่างจากสมัยอินเดียแดงที่เป็นยุคล่าอนานิคม
จุดอ่อนของเรื่องมึงยังมีเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลของรัฐ แหล่งเงินทุน กำลังและอำนาจของกบฎ สเกลโลกที่ดูไม่คล้ายการมีปัญหาในพื้นที่ๆหนึ่ง(ที่ไม่เป็นประเทศด้วยซ้ำ)
เห็นพูดถึงลูเครเซียกับเชซาเลย์ขึ้นมา
ถามจริง เชื่อมั้ยวะว่าพี่น้องคู่นี้มีอะไรกัน? กูว่าโดนใส่ไข่จากฝ่ายที่ไม่ชอบว่ะ
>>61 กุว่าเหมือนเป็นข่าวลือมากกว่าว่ะ ซึ่งเป็นข่าวลือที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือเพราะตระกูลนี้มันชื่อเสียงไม่ดีอยู่แล้ว คนก็พร้อมที่จะเชื่อแหละ มันเลยถูกบันทึกมาในรูปแบบนี้
หรือบางทีแม่งอาจแสดงความรักแบบพี่น้องที่คนนอกดูแล้วรู้สึกว่ามากไป บวกกับการที่สามีลูเครเซียตายห่าด้วยเลยเหมือนแบบถูกฆ่าเพราะแย่งลูเครเซียกันอ่ะ
เพื่อนโม่ง กูห่างหายจากการเขียนไปพักใหญ่ แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้อ่านนิยายอะไรเลยด้วย พอมาลองกลับมาเขียนเล่นๆดูกลายเป็นว่ากูบรรยายสั้นลงว่ะ ไม่รู้ว่าห้วนไปป่ะ 555 สมัยก่อนกูติดพวกสำนวนสวยๆยาวๆพรรณาเยอะๆอารมณ์บารามอสไรงี้ นึกออกนะ เช่น "เสียงหวานใสราวระฆังแก้วบรรเลงบทเพลงถูกเอ่ยเอื้อนออกจากปากของหญิงสาว" แต่เดี๋ยวนี้จะเป็นแบบแค่ "หญิงสาวเอ่ยเสียงหวาน"ว่ะ กูเขียนคำวิเศษณ์ขยายความเยอะๆไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ก๊าก
มึง ขอถามอะไร ปกติเวลากำหนดให้ตัวละครทำอาชีพต่างๆ นี่ หาข้อมูลกันยังไง จากเน็ตอย่างเดียวไหม หรือถามจากคนรู้จักที่ทำอาชีพนั้นด้วย คือกูกำหนดให้ตัวเอกเป็นหมอ แต่กูกลัวมันไม่ค่อยสมจริงสักเท่าไหร่ จะถามจากตัวจริงกูก็ไม่กล้า ในเน็ตข้อมูลไม่ค่อยพอ จริงๆ ก็มีเพื่อนในเน็ตบางคนเป็นนศ.แพทย์ จะถามจากเขาได้ไหมวะ หรือจะบุกไปถามหมอตัวจริงดี?
>>66 อาจไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่ แต่กูเพิ่งดูช่องnhkเมื่อวาน รายการกำลังนำเสนอมังกะเรื่องนึงเกี่ยวกับนางเอกทำงานเป็นดีเจในสถานีวิทยุพอดี เห็นมีติดต่อโทรคุยกับเจ้าของสถานีวิทยุจริงๆด้วยกับไปขอถ่ายสถานที่จริงมาเก็บอัลบั้มไว้เลย แหม่ กูเห็นแล้วอยากให้คนไทยแต่งอะไรแล้วหาข้อมูลจริงจังให้ถูกต้องแบบนี้จัง แต่ก็นะมันยุ่งยาก เท่านั้นยังไม่พอ ยิ่งเด็กแต่งล่ะยิ่งคิดเองเออเองอีก
>>69 เมื่อก่อนกูโคตรชอบแบบนั้นเลย บรรยากาศเพ้อๆฟุ้ง ประมาณพระเอกนางเอกคุยกันที บรรยากาศเหมือนการ์ตูนตาหวาน มีละอองฟุ้งๆ ดอกไม้บานเต็มช่อง แต่เดี๋ยวนี้แม่งโคตีเบื่อ มึงจะเดิน จะหันหน้า จะเขินที อ่านแล้วรำสุดๆ
เออ เพิ่งเห็นในเด็กดี เวลาทายอายุใช้ยังงี้ได้ด้วยเหรอวะ 20...4อะ มันต้องยี่สิบ...สี่ไม่ใช่เรอะ กูว่าสมัยก่อนวิบัติเยอะแล้วนะแต่ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าปัจจุบันมันยิ่งวิบัติกว่าเดิมน่ะ...
20...4อ่ะ แบบมันควรใช้คำเขียนมากกว่าป่ะวะ
ตัวเขียนคือคำพูด ข้อความ ตัวเลข คือ ข้อความไว้โชว์ พวกหน้าจอ หรือป้้าย กูว่าใช้แบบนี้เหมาะกว่า
กูเรียนมหาลัยที่ชอบอ้างว่าตัวเองเป็นเสาหลักของแผ่นดิน ยังต้องมีวิชาเขียนย่อหน้าไว้ให้ลงเรียนเลย...นิสิตบางคนเขียนให้อ่านยังอ่านไม่รู้เรื่อง
ส่วนตัวเลข ส่วนใหญ่กูใช้ตัวเขียน ยกเว้นมาแบบ 12,498 อันนี้เขียนแล้วสงสารคนอ่าน
ในฐานะคนอ่านถ้าเรื่องไหนคุยตัวเลขเยอะๆบ่อยๆก็ชอบให้เป็นตัวเลขมากกว่า
กูรู้สึกท้อๆแบบบอกไม่ถูกว่ะ กูกลับมาเขียนนิยายแฟนตาซีลงเด็กดีใหม่แบบเปลี่ยนนามปากกาเริ่มต้นจาก 0 แต่คงเพราะเริ่มใหม่นิยายกูก็เลยไม่มีคนอ่าน ลง 4 ตอน วิว 100 นึง เห็นแล้วมันปวดใจแปลบๆ ทั้งที่ก็รู้ว่ากูกำลังเริ่มใหม่ กูต้องทำใจ ต้องค่อยๆพยายามไต่ระดับไป สักวันนิยายกูคงจะมียอดวิวสัก 1,000 แต่สุดท้ายแล้วมันก็อดเศร้าไม่ได้อยู่ดี การเริ่มใหม่มันยากจริงๆ
กูขอโทษที่เอามาระบายในนี้ กูสับสน ตอนนี้กูไม่มีใครเลย แม้กระทั่งเพื่อนที่เคยอ่านนิยายให้ ตอนนี้ก็เอาแต่พร่ำเพ้อชีวิตดราม่าใส่กูจนกูเครียดตาม กูเองก็มีเรื่องที่เครียดเหมือนกัน ตอนนี้กูอยากร้องไห้ ร้องเสร็จแม่งจะได้ไปเขียนนิยายต่อ
ถามหน่อย ถ้านิยายทำมือของมึงขายออกเพราะภาพประกอบ (ลูกค้าบอก) จะรู้สึกยังไงกันบ้างวะ
กูเขียนแล้วตลค.ดูแบบเป็นคนคิดมากนี่จะน่ารำคาญป่าววะ โดยนิสัยแล้วตลค.เป็นคนคิดมากสุดๆ ชอบคอมเม้น ชอบโยงอะไรต่อมิอะไรเข้าหากันในหัว
เวลาบรรยายออกมากูเลยเอาความคิดในหัวมาแทรกตลอด ทำเป็นตัวเอียงแทรกบทบรรยาย พอมาอ่านเองแล้วรำคาญไงไม่รู้ กูเซ็ตคาร์.ไว่แบบนี้ก็จริง แต่เขียนแล้วรำคาญมากเลยวะ
คงกูควรคงการเขียนแบบนี้ไว้หรือเปลี่ยนดี แต่กูอยากสื่อให้เห็นว่ามันเป็นคนคิดมากคิดไร้สาระตลอดเวลานะ กูควรทำไงดี
ถามหน่อยครับผู้เขียนทุกท่าน ทุกท่านชอบอ่านบทวิเคราะห์ของคนอ่านไหม
ถ้าคอมเม้นท์คนอ่านมันลึกล้ำกว่าเนื้อเรื่องจริงๆจะรู้สึกยังไง
ถ้าท่านขมวดปมหรือตั้งใจเซอร์ไพรซ์แล้วมีคนอ่านที่วิเคราะห์และทำนายถูก ท่านรู้สึกยังไง จะเขียนตามที่ตั้งใจไว้ต่อไหม
ถ้าคุณอ่านบอกสิ่งที่อยู่ในหัวคุณออกมาเป็นฉากๆได้ พูดง่ายๆคือมีคนอ่านที่รู้ว่าคุณจะเขียนอะไรต่อไป คุณจะรู้สึกดีหรือแย่
ผมเป็นคนอ่านคนนึงที่กลัวคนเขียนได้รับตัวแปรจากคนอ่านมากไป จึงไม่กล้าคอมเม้นท์หรือวิเคราะห์ตอนต่อไปตรงๆ
จึงมักจะแค่วิเคราะห์ตอนเก่าๆ หรือชมเชยให้กำลังใจว่ารอตอนต่อไปงี้ เพราะผมกลัวคนเขียนเป๋จากสิ่งที่ตั้งใจ
นึกภาพว่ามีคนดักทางคุณถูกแล้วคุณพยายามไปทางอื่น มันกลับกลายเป็นหลงทางไปกันใหญ่
มีครั้งนึงผมเคยเผลอวิเคราะห์ออกไป แล้วเนื้อเรื่องต่อๆไปมันออกมาตื้นและโดดมาก
ผมเลยคิดว่าเป็นเพราะเราเปิดเผยมันออกไปรึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริงจะได้ไม่บอกออกมาอีก
เพราะสิ่งที่ผมวิเคราะห์ได้ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ผมอยากให้มันเกิด เพราะมันสมควรที่จะเกิดแบบนั้น
"ถ้ากูบอกออกไปมันก็เขียนแบบอื่นสิวะ แบบนั้นมันก็ไม่ถูกต้องดิ ฉะนั้น กูเงียบๆไว้ดีกว่า" ผมจะคิดประมาณนี้
ลองนึกดู ถ้าสมมติมีคนทำนายอะไรคือวันพีซตามที่โอดะตั้งใจไว้แต่เดิมได้เป๊ะๆเป็นฉากๆ
แล้วทฤษฎีนี้ดังมากจนกลายเป็นกระแสหลักของนักอ่านทั่วโลก โอดะจะเขียนตามที่คิดไว้หรือพยายามฉีกออกไป?
โอเค วันพีซมันยิ่งใหญ่ไป แล้วทฤษฎีจริงๆลวงๆมันก็เยอะ มันอาจไม่มีผลอะไรมาก แต่ถ้าเรื่องเล็กๆที่มีคนตามหลักพันหลักหมื่นคนหล่ะ?
ผมไม่ใช่คนแบบไล่พ่นซึ่งที่ตัวเองคิดออกมานะ ทุกครั้งส่วนใหญ่เวลาปิ๊งเห็นแพทเทิร์นของเนื้อเรื่องผมเลือกที่จะเงียบมากกว่า
คือถ้าเงียบไว้ส่วนใหญ่ 80% ออกมาตรงกับที่คิดไว้ คือผมเป็นพวกที่ดักทางมุขตลกได้ทุกครั้ง แต่ชอบฟังมุขตลกไปเรื่อยๆแม้จะเดาได้ก็ตาม
ฉะนั้น ต่อให้เดาได้ผมก็ไม่บอกออกมา ลองนึกดูว่าจู่ๆคนในวงเฉลยมุขที่คุณกำลังจะเล่า คุณคงไม่มีอารมณ์เล่าต่อ
สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือเผลอไปชี้นำคนเขียน ซึ่งนิสัยคนเขียนทั่วไปย่อมไม่ชอบถูกชี้นำจึงมักพยายามขบถออกมา แล้วถ้าไม่เทพจริงมันจะเฟลกว่าเดิม
อยากทราบมุมมองความรู้สึกของนักเขียนที่เจอจริงๆครับ ใครยังไม่เคยเขียนหรือไม่มีประสบการณ์เจอแบบนี้รบกวนวงเล็บบอกก่อนนะ
enter ประกาศแล้วว่ะ พวกเมิงคิดว่าไง
ปลอบกูที กูไม่ผ่านเว้ย สงสัยเรื่องมันหนักไป ปีหน้าส่งแบบแฟนตาซีเอาใจสาวแต่ไม่วายไปซะดีมั้ย
กูไม่ผ่านเหมือนกัน อุตส่าห์ตั้งใจกว่าปีที่แล้ว ปีนี้ดันไม่เข้ารอดเฉย 555//หรือปีนี้เรื่องกูมืดมนไปวะ ก็ไม่น่าใช่...
เพื่อนโม่งที่ไม่ติด อย่าเสียใจไปเลยมึง มันก็แค่การประกวด มึงเขียนให้จบแล้วส่งสนพ. ผ่านการพิจารณาก็ได้ตีพิมพ์เหมือนกัน เก็บความเสียใจไว้ไปลงกับฉากดราม่าในนิยายดีกว่า ปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าก็ยังมี
แต่เดี๋ยวนี้กูว่ามึงเขียนพอให้มีฐานลูกค้าแล้วพิมพ์ขายเองเหอะ ดูทรงจากสนพ.หลายๆที่แล้ว
Enterปีนี้ย้อนเวลาเยอะจังเลย
>>90 มาตอบให้ว่า "แล้วแต่คน" นะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะฟัง ไม่ใช่ทุกคนที่จะโอเคเวลามีใครมาบอก
แตมันก็ประเภทฟังแล้วเก็บไปคิดมาก พูดได้แล้วแต่คนจริงๆ ถ้าคนฟังแล้วใจอ่อนก็เป๋
แต่ถ้าคนไม่ฟังบวกเพิ่มอีโก้พี่ก็มา โอ้โห ไม่ฟังหรอก เผลอๆอาจจะได้บวก
แต่การคอมเม้นแบบเปิดเผยพล๊อตมากเกินไป ทำให้คนเขียนกังวลนะ
บางคนก็ไม่ได้ถนัดแนวล้ำๆมาก บางคนก็เขียนเอาหนุกๆแบบขนบพล๊อตทั่วๆไป
ถ้าถามว่าควรคอมเม้นท์ไหม อันนี้สิทธิ์ขึ้นกับตัวเราว่ะ เห็นใจเขาเราก็ไม่โพสก็ได้
ส่วนตัวเคยเจอคอมเม้นวิเคราะห์งานเขียนเชิงลึก ถึงกับก๊ากเลย ตอนเขียนไม่ได้คิดงั้นไง
แค่ ก็มันแบบนี้ไง มันเป็นแบบนี้ แต่ถ้ากับนักเขียนสายวางพล๊อตเขาจะกังวลงิ
ชอบคนมามีส่วนร่วมกับงานเรานะ แต่บางทีก็ตอบไม่ได้ไง ว่าทำไมเป็นงั้นงี้ล่ะ นี่ติดคำตอบพี่คนหนึ่งจะปีแล้ว
เป็นสายคาแรคเตอร์นำ เลยไม่รู้สึกอะไร ความผันผวนงานเราสูงกว่าสายพล๊อตด้วย
>>90 ถ้าอ่านของผมตั้งแต่ต้นจนจบแล้ววิจารณ์ จะไม่ว่าสักคำ แต่ถ้าอ่านแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วมาบอกว่าเดาพล็อตต่างๆ ออกหมดแล้ว นี่ผมขำ เพราะผลของมันจะออกมาแค่สองแบบ
1. เป็นอย่างที่ถูกเดาเอาไว้ > เทพเดาถูก
2. ไม่เป็นอย่างที่เดาเอาไว้ > นักเขียนเปลี่ยนพล็อตถูกเดาเอาไว้ - ก็เทพอยู่ดี
ไม่ว่ายังไงมันก็เหมือนกัน ดังนั้นส่วนใหญ่ถ้าเจอพวกนักอ่านแบบ 90 จะอ่านผ่านๆ พอ เพราะคำวิจารณ์แบบนี้ไม่ได้ช่วยให้ผมแต่งเรื่องได้สนุกขึ้นหรือดีขึ้นเลย ก็แค่ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองเพิ่มขึ้นเท่านั้น
พึ่งเห็นว่าenterเปิดให้อ่านตอน1แล้ว
เรื่องไหนโอเคมั่ง
กูไม่รู้ควรบอกว่ากูโอเคไหม แต่ตอนนี้กูเริ่มตัดลิสต์นิยายที่จะอ่านทิ้งแล้วว่ะ เรื่องแรกที่จะตัดก็คือเรื่องที่คนเขียนบอกว่าส่งภาคต่อเข้าประกวด(ไม่ใช่หน้าที่ที่กูต้องตามอ่านภาคก่อนหน้าอีดอก)
/นอกเรื่อง เข้าไปดูในเฟสเห็นมีลงคลิปเล่นเปียโนด้วยว่ะ แต่กูไม่ได้กดดูนะ ทำเอาเกิดสงสัย มีเปียโนในบ้านได้นี่ต้องมีฐานะระดับนึงป่าววะ อันนี้สงสัยเฉยๆนะ
>>116 โชคดีที่จขกท.ไม่ได้ลบตามที่ฝั่งนั้นบอก กระทู้เลยยังอยู่ http://www.dek-d.com/board/view/3536996/
KY เพจ มมล คืบหน้านิดหน่อย แต่โดนรุมด่าเละ
และวันนี้ผู้เสียหายจะมารวมตัวกันที่กองปราบ พร้อมนัดนักข่าวเอาไว้ด้วย
>>121 กูเห็นจากอันนี้ว่ะ แล้วก็ห้องฟุเขาคุยกัน https://twitter.com/HarunaKung/status/702503104516730880
>>119 แข่งของกลุ่มทะเล้นจัดกันเอง(ถ้าเอาตามที่ทางนั้นพูด) แต่เหตุการณ์แย่ตรงที่โค้ชออกมาปกป้องเด็กที่ทำผิด ทั้งๆที่ผิดระดับแจ้งความแพ่งข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์งานได้ ในมู้นั้นมีแต่คนบอกว่าใจร้าย ลองให้เขาเอาไปแจ้งความสักรอบดูไหม จะได้รู้ไปเลยว่าของจริงเป็นไง มีคดีติดตัวนี่ไม่รู้นะว่ามีผลกับการเข้ามหาวิทยาลัยมั้ย
เพื่อนโม่ง ปรึกษาเรื่องแต่งนิยายหน่อย บทคุยกันคนละภาษาอะ (ต่างชาติ) เราต้องแปลให้คนอ่านป่าววะ วงเล็บไปเหรอ หรือปล่อยให้แปลเอง หรือบรรยายว่าคุยเป็นภาษาอังกฤษแล้วเขียนแปลให้เลย แบบไม่ต้องเขียนปะกิดมา ขอบคุณล่วงหน้า
เขียนตัวเอียงแยกไว้สมมติว่าอิ้งได้มั้ยวะ
KY กูมีปัญหาเรื่องตั้งชื่อนิยายว่ะ คือกูจะตั้งชื่อสองภาษาทั้งที่มีความหมายเดียวกัน แต่กูรู้สึกว่ามันยืดยาวไปเลยอยากตัดเหลือภาษาเดียว แต่ไปๆ มาๆ กูก็ไม่อยากตัดว่ะ แบบว่ากูชอบการตั้งชื่อที่คล้องจองหรือเรียงตัวอักษรเหมือนๆ กันไง เช่น ตั้งชื่อว่า "Story's Seven Servant เรื่องราวของเจ็ดข้ารับใช้" ตัวย่อก็ SSS (ชื่อสมมุตินะ) แบบนี้อะมึง คือกูเกิดลังเลเสียดายไม่อยากตัดสักภาษา แต่คิดอีกทีมันก็ควรจะตัดว่ะ ถ้าในมุมคนอ่าน มึงว่าควรยัดใส่ทั้งสองภาษาหรือภาษาเดียวดีวะ
>>131 Seven Servants' Story แค่นี้พอมึงไม่ต้องมี s อีกตัว
แต่ story ควรเป็น stories นะเพราะหลายเรื่องราว (Seven Servant's stories) กูแนะไว้อีกแบบว่าเป็น The story of seven servants น่าจะโอเค
ทั้งนี้ทั้งนั้นกูแนะนำอีกแบบไว้เฉยๆ จะทำยังไงต่อก็ตามสะดวกนะ ไม่ได้แกรมม่านาซีแต่อย่างใด 55555 ขื่อเรื่องเป็นความพอใจของคนแต่งด้วย เพราะของเดิมไม่ได้ผผิดอะไรแค่ story ควรเป็น stories
เอสเยอะแล้วกูชักงง 55
>>126 ถ้าสั้นๆ ก็ใส่ประโยคอิ๊งมาแล้วแปล แต่ถ้าจะคุยยาว ใส่เป็นตัวเอียงแล้วลงไว้ในบทบรรยายดีกว่า
ส่วนถ้าตัวเอกฟังแล้วไม่เข้าใจ กูไม่แนะนำให้ใช้สัญลักษณ์แบบที่ >>127 ว่าแฮะ กูว่ามันแปลกๆ ไม่ได้จะบลัฟมึงนะ 127 แค่ความรู้สึกกูเฉยๆ ใส่เป็นบทบรรยายประมาณอีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่างที่ฟังไม่เข้าใจดีกว่า หรืถ้าอยากได้เป็นประโยคๆ เลยกูว่าใส่ประโยคอังกฤษไปเลยนั่นแหละ
>>136 มาแว่บแก้นิดนึงพอดีในคอมเม้นตัวเองพิมพ์พลาดไปนิด
ที่โอเคและตรงกับของดั้งเดิมสุดต้องเวอร์ชัน Seven Servants' Stories นะ พอดีไอ้ที่กูพิมพ์ไปว่า Seven servant's stories รอบหลังกดพลาด
คือกรณีถ้าเป็นนามพูพจน์เติม s (servants, students etc.)
เวลาแสดงความเป็นเจ้าของใส่เครื่องหมาย ' ต่อท้ายพอน่ะ
เผื่อเอาไว้ปรับๆใช้กับชื่อเรื่องจริงแล้วกันเน่อ ถ้าชื่อเรื่องจริงมีนามพหูพจน์นะ 55555
เพื่อนโม่ง กูขอระบายหน่อย พวกมึงเคยเขียนหรือแปลนิยายอะไรไปแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวมึงป่ะ แบบไม่ได้บอกไม่ดี แต่มันคนละแนวกับกูอะไรงี้ แต่คนอ่านชอบ ......คือกูสับสนมาก มันทำให้กูรู้สึกรักนิยายเรื่องนี้น้อยลงเรื่อย ๆ อ้ะแต่กูก็ต้องไปต่อ ขอโทษนะมึง ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร กูแค่อยากพูด 5555 ขอโทษถ้ากูมาผิดห้อง
เฮ้ยขำ 555555
คนดีต้องรับผิดชอบว่ะ
กูไม่กวนละ พวกมึงคุยกันตามสบาย
กูว่าประกวด Enter งวดนี้ EN09 เรื่องมากิอาร์น่าจะได้ ความจริงก็ชอบเรื่อง Dragonic Chronicle มากกว่า แต่คนโหวตน้อย มากิอาร์นี่น่าจะเข้าเสป็คกรรมการมากกว่า
กูเคยคิดว่าเขียนบทบู๊ไม่เป็นนะ แต่เขียนออกมาแล้วลื่นมากเลยวะ หัวกูจินตนาการได้เป็นฉากๆ เขียนออกมาก็ใช้คำให้สั้น กระชับ ตรงประเด็น เขียนแล้วตื่นเต้นดีวะ เหมือนดูหนังจอนวูเลย
KY หน่อย ตอนๆนึงต้องใช้ประมาณกี่หน้า A4 วะ แล้วที่เป็นหนังสือหนาๆเนี่ยเขียนกี่หน้า a4 ถึงได้หนาขนาดนั้น
มันคำนวณยังไง
กูว่ามึงโดนแบนเพราะพูดไม่รู้เรื่องมากกว่ามั้ง
พวกฉากบู๊แบบสงครามงี้ หรือฉากรุมๆกันหลายคนนี้จะเขียนแบบไหนให้ลื่นดีวะมึง
กุติดเกมจนเขียนนิยายไม่ได้มา2สัปดาห์แล้ว ตั้งใจจะเขียนๆแม่งเปิดเกมเล่นแล้ววาร์ปยาว เสาร์อาทิตย์รู้ตัวว่าต้องเลิกคือฟ้าสาง กูควรทำไงดีวะ
เวทย์มนต์ เวทมนต์ เวทย์มนตร์ แบบไหนสะกดถูกวะ แล้วมันใช้ต่างกันยังไง
เวทมนต์ป้ะมึง กูเคยอ่านจากที่ไหนสักที่เนี่ยแหละว่าคำว่า มนต์ ไม่มี ร มาต่อท้าย
เวท ไม่มี ย์
>>172 กูเข้าใจว่า มนต์>พุทธ ส่วน มนตร์>ศาสนาอื่น ไสยศาสตร์ พราหมณ์ ฯลฯ
ส่วนเวทย์ = ว. พึงรู้, ควรรู้. (ส.).
เวท = น. ความรู้, ความรู้ทางศาสนา; ถ้อยคําศักดิ์สิทธิ์ที่ผูก ขึ้นเป็นมนตร์หรือคาถาอาคมเมื่อนํามาเสกเป่าหรือบริกรรมตาม ลัทธิวิธีที่มีกําหนดไว้ สามารถให้ร้ายหรือดี หรือป้องกันอันตราย ต่าง ๆ ตามคติไสยศาสตร์ได้ เช่น ร่ายเวท, บางทีก็ใช้เข้าคู่กับคำ มนตร์ เป็น เวทมนตร์
สองคำสุดท้ายเอามาจากราชบัณฑิต
>>175 เออมึงเข้าใจถูกละ กูลองหามาดู
มนต์ " มาจากคำบาลี และ " มนตร์ " มาจากคำสันสกฤต ......
ทว่า เวลาใช้กลับใช้ต่างกัน คือ ......
ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จะใช้ " มนต์ " เช่น เจริญพระพุทธมนต์
น้ำพระพุทธมนต์ หรือหนังสือสวดมนต์ฉบับหลวง ......
แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาอื่น อย่างศาสนาพราหมณ์ ก็จะใช้ " มนตร์ "
เช่น น้ำเทพมนตร์ เวทมนตร์คาถา น้ำมันมนตร์ เป็นต้น .....
ตามนี้
กูขอถามมั่ง สงสัยปนสบสันเหมือนกัน อาคม มนตรา คาถา ต่างกันยังไงวะ ที่กูเข้าใจคืออาคมเป็นเวทมนตร์แนวไสยศาสตร์ มนตราก็เกี่ยวกับเรื่องจิตใจลับลวงพรางเน้นการป้องกัน คาถาคือบทเวทมนตร์สั้นๆ พูดสองสามประโยคจบการร่ายมนตร์ เน้นโจมตีหรือย่นเวลาร่ายเวท
ที่กูเข้าใจถูกเปล่าวะ แล้วถ้าเรียงลำดับเก่งสุดเรียงยังไง บางทีกูแต่งนิยายตอนสู้กันด้วยเวทมนตร์ก็มึนๆ งงๆ นะว่าตัวเอกเขียนวงเวทมันต้องเรียกว่าคาถาหรืออาคมวะ สุดท้ายเลยดัดแปลงเป็นบู๊ด้วยอาวุธเวทมนตร์แทน(ฮา)
พวกมึง kyแป้บ มีใครอยู่กลุ่มThai fantasy writer ในเฟสอะไรนี่ป่ะ คือกูเข้ากลุ่มแต่ไม่เคยไลค์หรือเม้นท์หรือแนะนำตัวอะไรเลย คือมันไม่เห็นมีอะไรถูกใจกูจริงๆซักทีน่ะ ทีนี้ตอนนี้แอดมินก็มีกฏออกมาว่าใครที่เข้าแล้วไม่เคยแสดงตัวหรือไลค์แม้แต่ครั้งเดียวจะถูกลบออกจากกลุ่มว่ะ เอาจริงๆ กูเห็นชื่อน่าสนใจหรอกถึงเข้าน่ะ แต่เอาเข้าจริงก็แทบไม่ได้สนใจเข้าไปดูเลย รู้สึกมันไม่มีอะไรใหม่ว่ะ กูเลยว่าจะปล่อยให้ลบๆไปอยู่เนี่ย อยากรู้ว่ากรุ๊ปมันมีอะไรดีมั้ยเผื่ออยู่ต่อ
คาถา น. ถ้อยคำที่ร้อยกรอง ถ้อยคำที่ผูกไว้ ถ้อยคำที่ขับร้อง ท่อง สวด
น. คําเสกที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์.
อาคม น. บทและมนตร์ในศาสนา, คาถาที่จำสืบเนื่องกันมา, เดิมหมายถึงมนตร์ ซึ่งอยู่ในคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ ต่อมาหมายถึงคัมภีร์ที่เป็นสูตรคาถาต่างๆ
มนตรา อันนี้มาจากคำว่า มนตร์,มนต์ (ความหมายเดียวกัน)
สรุป 3 คำนี้ใกล้เคียงกัน
*(ในมุมมองกูนะ) คาถา ให้ความรู้สึกประมาณว่าต้องมีการท่องเป็นคำๆ มากกว่า
อาคมมันให้ความรู้สึกทางไสยศาสตร์กว่า (พวกที่มีอุปกรณ์เสริม อย่างยันต์ เขียนเขตอาคม อะไรอย่างนั้น)
ส่วนมนตรา รู้สึกว่ามันจะเกียวข้องกับจิตใจมากกว่าอันอื่น
มันเป็นกลุ่มแลกเปลี่ยนข่าวสาร แลกความคิดเห็น
ถ้ามึงไม่สนใจจริงๆ ก็กดออกจากกลุ่มไปเองเลยสิ เขาก็บอกเหตุผลอยู่ จะเข้ากลุ่มแล้วก็หัดดูข้อมูล หรือกฏที่เขาตั้งบ้าง จะรอแต่ให้คนอื่นมาป้อนข้อมูลหรือไง
ปล.กูเป็นสายซุ่มในกลุ่มนั่น
เมื่อก่อนกูอ่านิยายแฟนซีเห่อหมอยเยอะอยู่เลยติดสำนวนแนวบารามอสมาบ้าง แม้จะไม่เลิศเลออะไรแต่อย่างน้อยก็ทำให้กูเขียนลื่นดีว่ะ พอมาปัจจุบันยังชอบแนวนี้นะแต่อ่านน้อยลงจนแทบไม่อ่านเลย มันทำใจอ่านเหมือนตอนเด็กไม่ไหวว่ะ ในใจมันตีกันตลอด ยิ่งเรียนมาด้านนี้ด้วย ยิ่งคอยจับผิดเข้าไปใหญ่ จากที่อ่านแล้วสนุกกลายเป็นอ่านแล้วไม่สนุกอีกแล้วว่ะ แถมเขียนไม่ออกด้วย สำนวนตอนนี้นี่ทั้งห้วนทั้งสั้นเลยว่ะแม่ง ครั้นจะหานิยายมาอ่านก็อย่างว่า กูชอบแนวเห่อหมอยแต่ทนอ่านไม่ได้จริงๆ
>>186 กอดมึงงงง เหมือนกู กูยังชอบนิยายแบบนั้นอยู่แต่พอโตมันสมเหตุสมผลเอย ภาษาเอยเข้ามาจนไม่สนุก
ปล.ำไม่รู้จะเข้าแนวรึเปล่าแต่แนะนำเรื่องนี้ http://my.dek-d.com/yong_le/writer/view.php?id=1420302
เวลาคิดพล็อตอะไรได้ รู้สึกมันสนุกมากเลย แต่คิดยังไม่ว่างแต่ง เก็บพล็อตไว้ก่อน แล้วก็เขียนพล็อตทิ้งไว้
ผ่านไป ผ่านไป ว่างจะแต่งแล้ว กลับมาดูพล็อตที่เขียน ....
...มันน่าสนุกตรงไหนวะ อะไรดลใจทำให้กูอยากเขียนเรื่องแนวนี้วะ อ่านพล็อตไม่อินเหมือนใหม่ๆเลยล้มเลิกไปซะงั้น
กูเพิ่งเห็นเอนเธอร์ประกาศเข้ารอบ 3 เรื่องแรกแล้ว เป็นยังไงบ้างวะ
วันก่อนจัดตู้หนังสือ เจอนิยายแฟนตาซีที่บ้าซื้อมาช่วงรรเวทมนตร์ ...อิเหี้ยกูเปิดอ่านละกูนิ่งเลย ตอนเด็กกูเป็นยังไงวะเนี่ย55555
>>191 คนที่เข้ารอบไม่ค่อยโอสำหรับกูว่ะ คหสต.นะ
EN7 บู๊เลือดสาด ตัวละครแบนอีก แต่กูมีความรู้สึกว่าเอนเธอร์แมร่งชอบวะ อ่านๆไปแมร่งเริ่มเหมือนไฟนอลเจ็ดผสมอะไรต่อมิอะไร แต่มันจะไปชนกับ Dear Noir ที่เพิ่งออกใหม่นะมึง
EN11 บุรุษไปรษณีย์โอเคเลยมึงแต่กูว่าไม่น่าจะชนะ
EN15 กูเฉยยยยย มีงงๆ
เรื่องที่กูชอบไม่เข้ารอบสักเรื่องเลยว่ะ
EN5 Draconic คนเขียนแมร่งประกาศถอนตัวจากการแข่งขัน กูต้องไปตามอ่านในเด็กดี เซ็งเลยมึง
EN6 จางซื่อฉวน ข้อมูลแน่นนะมึง เหมือนอ่านนิยายแปลของจีนอ่ะมึง ทำได้ดีเลย
EN16 Botanica ตอนแรกฟอร์มดีนะ แต่กูรู้สึกว่าคนเขียนเร่งไปนิด ตัวละครเลยโผล่มาเยอะไป ถ้าเขาแข่งแบบลงสิบตอน กูว่าเขาอาจจะชนะ
EN17 กามเทพ กับ EN2 หนุ่มน้อยเวทย์มนตร์ ถ้าอ่านแล้วไม่คิดอะไรมากก็สนุกดี โดยเฉพาะ EN2 กูขำไม่หยุดเลยมึง
EN18 มาสคอตต์ เเรกๆกูตกใจมากเพราะแมร่งไม่เหมือนในคำโปรย เกือบจะเลิกอ่านแล้วมรึง แต่อ่านๆไปกูว่่าเรื่องนี้เจ๋งว่ะ ไม่ค่อยเห็นแนวนี้ เหมือนเอาลุงมุมาเขียนนิยายบู๊อ่ะมึง ปรัชญาจัดหนักแต่บทล่าสุดแมร่งพีค
EN19 หนึ่งหน้ากระดาษ กูนับถือจินตนาการของคนแต่งนะ บทแรกๆอาจจะกระตุกบ้างไรบ้าง แต่บทสนทนากูว่าทำได้ดีเลยมึง
>>193
ตอนเด็ก จินตนาการ ความนึกคิด ยังมองโลกได้สนุกไปกับมันจริงๆ
พอเข้าวัยทำงาน พบโลกแห่งความจริงและการกดดันจากหน้าที่การงาน เงิน หรือครอบครัว
มึงก็จะคิดว่าโลกจริงๆ มันช่างโหดร้าย
แต่กูเชื่อนะว่า มนุษย์ทุกคนยังมีวัยเด็กติดตัวกันอยู่ทุกคน
รอเวลาที่มึงมีอารมณ์อยากผ่อนคลาย มีความเผลอฝันในความคิดจินตนา มึงจะกลับมาอ่านแนวนี้สนุกได้เอง
หรือถ้ามึงอาจจะจริงจังกับชีวิตมาก
คงต้องอาศัยแนวรักตบตีแย่งชิงสามี พระเอกโครตหล่อ รวย คอยปล้ำนางเอกอย่างเดียว
เป็นคำตอบก็ได้
>>194 มึงคิดเหมือนกูเลยว่ะ เหมือนff7 แถมมีอะไรที่คล้ายๆกับพลังหมี่หยกด้วย
แล้วอันที่นางเคยมีปัญหาเรื่องดัดแปลงยังมีอยู่ในเรื่องอีกไหม ถ้ายังมีส่วนนั้นอยู่ก็ด้านมากนะ
พาพวกมารุมถล่มเขาแล้วยังเอาไปใช้ต่อ เจ้าตัวเขาไม่อัพนิยายต่อละแม่งเดี๋ยวโดนลักไปแล้วยกพวกรุมข่มขู่อีก
กูเอง จาก 194
>>196 กูเห็นด้วยกับ >>200 กูว่าปีนี้ไม่ค่อยวาย ถึงจะวาย กูก็จิ้นไม่ค่อยออกว่ะบางเรื่อง อย่างเรื่องกามเทพเนี่ย หนุ่มๆเยอะอยู่แต่กูจิ้นไม่ออกจริงๆเพราะเอาแต่ยิงบึ้มกับปล่อยมุขกันทั้งบท ไม่มีฉากชวนจิ้นอ่ะมึง แต่อ่านเอาฮากูก็แนะนำนะ มุขอารมณ์ชายโสดอ่ะมึง เรื่องไทม์กูก็จิ้นไม่ค่อยออกเพราะมันอึนๆ เรื่องพฤกษานี่หนุ่มๆเยอะอยุ่มึง พอจิ้นได้ จิ้นได้หลายคู่ด้วย มีสาวๆอีก ได้ทั้งนอร์มอลทั้งวายเลยมึง เรื่องเจ้าชายกับจอมมารทั้งเจ็ดกูยังไม่ได้อ่านแต่กูเชื่อว่าต้องจิ้นได้เยอะเเน่
>>198 อาจจะจริงของมึง แต่กูเชื่อว่านิยายดิสโทเปีย ยังสามารถเขียนให้แตกต่างได้มากกว่านี้ว่ะ มันไม่ได้เหมือนนิยายเกมออนไลน์หรือโรงเรียนเวทมนตร์ที่เป็นสูตรสำเร็จมากขนาดนั้นว่ะ อันนี้คหสต.นะ เหมือนทั้งสองเรื่องจะพูดถึงเรื่องการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ มาสคอตต์ ก็เหมือนกัน แต่ถ้ามึงลองไปอ่านดู มึงจะเห็นว่าคนเขียนเรื่องไทม์คิดโลกมาดีก็จริงแต่คอนเซ็ปต์ตื้นว่ะ มิวแทนต์โดนเหยียดแล้วก็จะปฏิวัติให้เกิดความเท่าเทียมไรงี้ ตัวเอกสับสนว่าเป็นไรกันแน่ระหว่างคนกับมิวเเทนต์เพราะมีหัวใจที่เป็นจักรกล (คือมันเป็นประเด็นที่สำคัญมั้ย กูถามหน่อย) ส่วนเรื่อง Dear Noir กูขอยังไม่พูดถึงเพราะกูยังอ่านไม่จบแต่กูอ่านแล้วสนุกว่าไทม์มาก มาสคอตต์ตอนแรกกูก็นึกว่าคงจะมาแนวเดียวกับไทม์แต่ไม่ใช่ว่ะ เหมือนคนเขียนเขาต้องการเสียดสีเรื่องอื่นๆว่าการปฏิวัติอะไรพวกนั้นแมร่งไม่สมจริงและเป็นไปไม่ได้ กูชอบความคิดเขานะ สวนกระแสดี แต่จะว่าคนเขียนไทม์ก็ไม่ได้ว่ะมึง กูลองไปอ่านคอมเม้นต์มา คนเขียนยังเด็กอยู่เลย เห็นเรียกคนอื่นว่าพี่ตลอด คงจะประสบการณ์ไม่เยอะว่ะ
>>201 ใช่ๆ กูเห็นมีคนทักคนเขียนด้วยเว้ยว่าเหมือนไฟนอลเจ็ดแต่คนเขียนก็ออกมาค้านหัวชนฝาว่าไม่เหมือน เรื่องที่นางลอกนี่ ใช่เรื่องนี้เหรอวะ กูนึกว่าเป็นอีกเรื่อง แต่กูเชื่อนะว่าคนไหนที่มีพรสวรรค์จริงๆ ต่อให้โดนลอกแค่ไหน เขาก็จะนำหน้าคนขี้ลอกหนึ่งก้าวตลอด เพราะทุกอย่างอยู่ในหัวของเขา เขาสามารถสร้างสรรค์งานใหม่ๆได้เสมอ ในขณะที่คนลอกก็เอาแต่ลอกไปว่ะ
>>202 กูอ่านเกือบหมดล่ะ พอดีคนรู้จักกูก็แข่งอยู่(แต่กูว่าไม่ชนะแน่ๆ กูอ่านแล้วกูเฉยยยย) แต่บางเรื่องกูก็เว้นเอาไว้บ้าง อย่าง EN20 เดี๋ยวกูอ่านแน่ เห็นเพื่อนบอกว่าดีแต่ยาว มากิอาร์ กับ จอมมาทั้งเจ็ดก็เหมือนกัน รอกูเคลียร์งานก่อน
บุรุษไปรษณีย์กูว่าบรรยายดีเลยมึง แต่บางทีอาจจะไม่ใช่แนวกูว่ะ คงน่าจะเป็นความชอบส่วนตัว
พูดถึงประกวดเอนเธอร์ มีปีนึงที่ใช้รามเกียรติ์มาเล่นกับเนื้อเรื่องอะ ที่พระเอกมีเชื้อสายทศกัณฐ์ น้องชายสองคน(คนละแม่กับพระเอก) คนนึงได้พลังของพระราม อีกคนได้พลังของหนุมานอ่ะ กูอยากอ่านต่อมาก พูดตรงๆ คือกูชอบพระเอกคนนี้ม๊ากมาก คนเขียนเขาไปแต่งที่ไหนเพิ่มป่าววะ หรือใครในนี้รู้จักคนเขียน ช่วยบอกเขาทีว่ามีคนรออ่านตรงนี้อยู่คนนึง
ถ้ากูตั้งชื่อนิยายแล้วดันไปซ้ำกับคนที่แต่งก่อนหน้าต้องเปลี่ยนไหมวะ คือเขายังไม่ได้ตีพิมพ์นะ แต่แต่งมาก่อนกูเกือบสองปีแล้วแต่ยังไม่จบหายเงียบ แต่กูเองก็แต่งมาปีกว่าก็เกือบจะจบแล้ว ไม่อยากเปลี่ยนอะมึง แค่ซ้ำกันตรงชื่ออังกฤษแต่ชื่อไทยไม่เหมือนนี่ยังพอผ่านได้เปล่าวะ
โอเค งั้นกูก็ใช้ชื่อเดิมไม่ต้องเปลี่ยนละ ขอบใจนะเพื่อนโม่ง
มึงว่า Enter ปีนี้ใครจะชนะ
ตอนเด็กๆกูสนุกกับการเขียน พอโตเลยหันมาเรียนด้านนี้ ก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะขึ้นและเจอคนที่เก่งกว่า ตั้งแต่นั้นมากูก็ยิ่งกดดันว่ะ กูไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เอาแต่คิดว่าต้องเขียนออกมาให้เพอเฟคที่สุด ให้ดีที่สุดไรงี้ จนสุดท้ายก็เครียดจนห่างหายจากการเขียนไปพักใหญ่ทีเดียว ตอนนี้กลับมาเขียนเหมือนเดิมแล้วเพราะตัดไม่ขาดจริงๆ กูปลงแล้ว กะว่าจะกลับไปสนุกกัยการเขียนเหมือนเดิม ใจนึงก็อยากได้คำวิจารณ์นะ แต่อีกใจก็คิดว่ายังไม่พร้อมว่ะ กูว่าจะรับฟังแล้วเก็บไว้ใช้ทีหลังตอนกูมั่นใจกว่านี้ว่ะ แต่ก็กลัวอีกว่ามันจะกลายเป็นกูเอาแต่หนีนี่สิ ก็กลับมากดดันอีกรอบเลยแม่ง สรุปคือกูยังอยากสนุกกับการเขียน เขียนช้าๆไปเรื่อยๆจนได้ความมั่นใจกลับมาก่อนว่ะ หลังจากนั้นตงค่อยว่ากันอีกที ถึงไม่รู้ว่าจะสำเร็จมั้ยหรือใช้เวลานานแค่ไหนก็เถอะ...
ปกติถ้าเขียนแล้ว ตัวเองรู้สึกไม่สนุก
ไม่หยุดเขียนเรื่องนั้น ก็ต้องกลับมาปรับปรุงให้เข้ารูปเข้ารอย
กูยอมรับอย่างหนึ่งคืออารมณ์ในการเขียน ถ้าไม่มีเนี่ย ยังไงเรื่องก็ไม่ไป
ซ้ำรู้สึกทรมารตัวเองยังไงก็ไม่รู้
กูมีปัญหากับการบรรยายฉากแนวๆโรแมนติคว่ะ พอถามได้ไหม? ไม่รู้เก่าๆมีถามไว้ยัง แต่อ่านๆดุแล้วไม่เจอนะ ถ้ากูไม่เห้นก็ขอโทษด้วย ตาลายสัสๆ
เอนเทอร์ประกาศผลคนเข้ารอบหกคนแล้วเว้ย พวกเมริงงงงง
>>223 สามเรื่องแรกที่เข้ารอบเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็เรื่อง ไทม์ บุรุษไปรษณีย์ วันวาล
สามเรื่องที่เข้ารอบสัปดาห์นี้ก็ อาร์ติซาน จางซื่อซวน นิทานหายนะ
กูไม่รู้จะเชียร์ใครเลยมึง ไม่ชอบซักเรื่อง กูว่าถ้าหนึ่งในหกเรื่องนี้ชนะ กูก็คงไม่ซื้อหนังสือเค้าว่ะ
บางเรื่องที่ตกรอบไป กูยังชอบมากกว่า กูอยากให้พวกเขาลงต่อในเด็กดีว่ะ
กูถามห้องนี้ได้ไหม กรุ๊ปปล่อยของบึ้มไปแล้วหรือวะ กูไม่ได้เข้าไปพักนึงอยู่ๆก็หายไป
พดดีแต่งนิยายอยู่เรื่องหนึ่ง จีนโบราณนะ เพื่อนโม่ง
แล้วคิดในใจไว้ว่าตอนจบพระเอกน่าจะมีกับนางเอกหลายคน ( 6-7 คน)
กับแบบคิดว่าใช่ที่สุดคนเดียว (คนอื่นๆ แบบอกหักไปตามๆ กัน)
คนอ่านระบุเพศว่า คนอ่านผู้หญิง แบบไหนจะชอบมากกว่ากัน
ส่วน คนอ่านผู้ชาย ที่ลองเกริ่นๆ คงชอบแบบฮาเร็มอยู่แล้ว
ถ้าจะมีหลายเมียตามยุคสมัยกูก็เข้าใจ แต่ยังไงกูก็ยี้ฮาเร็มอยู่ดี
เออมึง คืองี้นะ กูพล้อตนิยายคร่าวๆไว้ 2 เรื่อง ซึ่งนิสัยพระเอกนางเอก 2 เรื่องนี้แม่งคล้ายกัน ประเด็นคือกูจะให้สองเรื่องนี้ใช้นามปากกาคนละอันกันมัน สมมุติถ้าคนอ่านได้อ่านทั้ง 2 เรื่องจะมันจะมองว่าก้อปรึเปล่าวะ หรือนี่คิดมากไปเอง ;-;
ประกาศรางวัลชนะเลิศแล้วนะเมิง เอนเธอร์
ที่1 INCOGNITO
ที่2 จางซื่อชวน
ที่3 หลุยส์
ถ้ากูวางคาแรคเตอร์สาวๆในนิยายแบบตามสูตร เช่นสาวห้าว สาวคูล สาวร่าเริง สาวซึนไรอย่างนี้มันจะดูคิโม่ยเป่าวะ ถ้าให้ลักษณะนิสัยคล้ายๆกันหรือเรียลไปมันจะทำให้นิยายดูจืดมั้ย
กูไม่รู้ว่าต้องไปมู้ไหน แต่ขอพื้นที่มู้นี้แล้วกัน กูอัดอั้นตันใจจริงๆ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=815674155178248&set=a.803123763099954.1073741866.100002070135583&type=3&theater
อีห่านี่แชร์กันเป็นพัน แต่แม่งมั่วชิบหาย กูหงุดหงิดที่แม่งเขียนอะไรมั่วๆเหมือนให้ความรู้คนอื่น แต่จริงๆแม่งไม่ได้รู้จริง หลักฐานมีตรงไหนเหรอที่บอกว่าอันนี้เป็นต้นฉบับของฝรั่งเศสจริงๆ แค่ชื่อ Blanchette อ่านเป็นบลันเชตเต้ก็ผิดแล้วอีสัส ยังจะมีน้ำหน้ามาแถอีก
จริงอยู่ว่าต้นฉบับของหนูน้อยหมวกแดงตีพิมพ์ครั้งแรกที่ฝรั่งเศสโดยชาร์ล แปร์โรต์ ก่อนที่พี่น้องตระกูลกริมม์จะเอาไปรวบรวมใหม่แล้วเปลี่ยนบางส่วน แต่เนื้อหามันไม่ใช่แบบนี้ค่ะอีดอก แค่มึงหาว่า Le petit chaperon rouge Perreux แม่งก็มีมาให้อ่านแล้วว่าเป็นเรื่องราวยังไง อ่านฝรั่งเศสไม่ออกก็มีแปลอังกฤษให้อ่าน ไม่มีหนูน้อยหมวกแดงขี้ หรือว่าหมาป่าเป็นพระเอกเหี้ยอะไรหรอก เพราะตัวแปร์โรต์ก็เขียนสรุปให้เองด้วยซ้ำว่าเนื้อเรื่องมันต้องการสื่อว่าเด็กสาวไม่ควรไว้ใจคนแปลกหน้า นี่เหี้ยอะไรก็ไม่รู้
เวอร์ชั่นอื่นๆถึงจะเนื้อหาแตกต่างกันบ้างแต่ก็จะคล้ายๆกัน บางเวอร์ชั่นของฝรั่งเศสหมาป่าเหี้ยขนาดเอาเนื้อยายให้หนูน้อยหมวกแดงกิน กริมม์เพิ่มคนตัดไม้/นายพราน มาช่วยหนูน้อยหมวกแดง ถ้าเป็นเวอร์ชั่นที่เล่าในอิตาลีก็จะเฟมินิสต์หน่อยแบบว่าหนูน้อยหมวกแดงฉลาดสามารถจัดการหมาป่าได้ด้วยตัวเอง แต่อันนี้คือไรอ่ะมึงงงง เหี้ยเอ๊ยยยย
>>248 มันจะไปมีได้ยังไง กูว่ามันมั่ว ทำนองเขียนมั่วๆแล้วไม่คิดว่าจะดังขนาดนั้นมั้ง มันบอกมันเคยได้ยินมา เดี๋ยวจะหาหลักฐานมาประกอบ แถมบอกว่าให้ลองไปกูเกิ้ลหาดูมีแน่ๆ กูนี่อุตส่าห์ไปหากูเกิ้ลว่า blanchette le petit chaperon rouge แม่งไม่มีข้อมูลเหี้ยนี่ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเป็นต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสบ้านไหนที่หาเป็นภาษาฝรั่งเศสยังค้นไม่เจอ
กุว่าน่าจะหมายถึง Blanchette ที่มาจากนิทาน The True History of Little Golden-Hood ของ Charles Marelles มากกว่า เป็นหนูน้อยหมวกแดงอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ซึ่งเนื้อเรื่องแม่งคนละเรื่องกับไอ้ที่แชร์ๆ กันมาเลย เวอร์ชั่นที่เขาแชร์ กุไม่เคยอ่านเจอที่ไหนเหมือนกัน
มึง กูมีอะไรจะบ่น คือตอนนี้กูเอียนความที่คนแม่งบอกนิยายกูดีว่ะ กูแม่งเขียนนิยายรักใช่ปะ แล้วกูไม่ใช่สายหลัก พระเอกกูบ้าน นางเอกกูก็บ้าน เขียนนิยายวาย กูก็ไม่ใช่สายโหดเถื่อนเป็นสายดราม่าเล่นกับความรู้สึก ปมวัยเด็กที่เคยผ่านความรุนแรงในครอบครัวมาแบบนี้
คือจริงๆ กูควรดีใจนะที่เขาบอกนิยายดี แต่คือกูเริ่มเอียน กูโดนบก. ดองเพราะบอกว่านิยายกูดีแต่ไม่ใช่กระแส พอกูถามว่ามีปัญหาอะไรให้แก้ไข พวกพล็อตเรื่องหรือภาษา แม่งก็บอกกูว่าไม่มี แต่มันเป็นเรื่องกระแส ไม่อยากให้แก้ไขเลย ดีแล้ว แต่กระแสมันไม่ดี กูแบบ เอ้า... สรุปกูต้องทำยังไงไหนบอกกูสิ
คือกูก็ดีใจนะที่นิยายโดนเรียกว่าดี แต่แม่งแบบ... เฮ้ย นิยายกูดีแล้วก็ดอง แม่งเป็นความรู้สึกที่เจ็บใจเสียฉิบ กูแม่งขาดความมั่นใจมากตอนนี้ กูมีความสุขมากตอนที่เขียนนิยายที่เขาบอกว่าดี ชอบมากที่จะศึกษา ใส่ปมเล็กๆ น้อยๆ หรือเรื่องที่ไม่เพ้อฝัน ชอบใส่ปมด้านจิตวิทยา แต่แม่ง กูรู้สึกเหมือนที่กูทำมาไร้ค่า สมัยกูเป็นเด็กจูนิเบียว กูเขียนเหี้ยอะไรไม่รู้ ภาษาก็ห่วย อีโมติคอนก็มี พล็อตแม่งกลวงๆ แต่เสือกคนชอบ คนอ่านเยอะ อยู่ในกระแส คือกูก็โตขึ้นแล้ว กูกลับไปเขียนอะไรแบบนั้นแล้วแม่งมีความขัดแย้งในตัวว่ะ แล้วกูก็ทำใจไม่ได้ถ้ากูจะไปเขียนแนวพระเอกเป็นมาเฟียปล้ำนางเอกโดยไม่ได้รับความผิดด้วย กูควรทำยังไงดีวะ ตอนนี้ลึกๆ ในใจกูอยากได้จุดยืนในชั้นหนังสือหรือในวงการบ้าง ไม่ใช่แบบ ชมกูแต่ฉุดกูให้เจอเรื่องเหี้ยๆ ทิ้งกูไว้กลางทางแบบนี้อ่ะ แม่ง
กูว่าลงเน็ตมึงก็ต้องหาวิธีโปรโมทหน่อยนะแบบถ้าลง dek-d กูก็ไม่ไปขุดหาหรอก ไปเสนอหน้าเอาลิงค์ไปโฆษณาในกลุ่มที่ดูแล้วน่าจะอ่านงานมึง(ก็คงไม่ใช้กลุ่มเด็กๆ)อะไรแบบนี้วะ
มึงก็พิมพ์ขายเองเลย เปิดพรีออเดอร์แล้วจัดไป จะได้ไม่ต้องรอกระแส กูบอกเลยการรอให้กระแสมาทางมึงไม่ทำให้มึงมีจุดยืนได้หรอก เพราะถึงตอนนั้นพวกที่มีแฟนคลับมากๆ มันก็เอาไปแดกหมดแล้ว มึงต้องเดินไปข้างหน้าถึงมันจะลำบากก็ตาม ถ้านิยายมึงดีคนอ่านแล้วติด เดี๋ยวมันก็ขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ เอง เดี๋ยวมึงก็มีจุดยืนที่มึงอยากมี
ขอบคุณทุกคนมาก กูกำลังหาทางอื่นในการลงนอกจากเด็กดีอยู่ เรื่องพิมพ์เอง กูเคยพิมพ์เองอยู่สามสี่เล่ม ยิ่งเปลี่ยนมาแนวโตขึ้น ดราม่าขึ้นยิ่งไปไม่รอดว่ะ คนอ่านน้อย แล้วนิยายรักทั่วไป (ไม่วาย,ไม่สายเถื่อน,ไม่สายหื่น) แฟนคลับที่จะซื้อก็น้อยด้วย กูจะพยายาม
มึง เอ่อ กูไม่รู้ตรงนี้ถูกรึเปล่า แต่ถ้าใครรู้ ช่วยรบกวนแนะนำหนังสือที่มีบทบรรยายรูปลักษณ์ นิสัยตัวละครแบบที่คิดว่าดีสำหรับตอนอ่านมาให้หน่อยได้มั้ย(คือกูชอบบทบรรยายแบบไม่เวิ่นเว้อ เห็นภาพชัดเจน แล้วก็ไม่เลี่ยนน่ะนะ) จะเอาไปให้เพื่อนอ่าน
[บ่นนิด(ไม่ใช่นินทานะเพราะกูบอกเพื่อนกูไปตรงๆละ) คือ ถ้าพวกมึงนึกภาพการบรรยายแบบแจ่มใสออก อย่างแบบ ผมสีถ่านชาโคลผสมกับสีมอคค่า ไล่โคนด้วยสีสันแสบตาอย่างส้มซันคิสต์ ริมฝีปากทาด้วยลิปของชาแนล ดวงตาอ่อนหวานของเธอหรี่ลงอย่างอ่อนโยน เม็ดอัลมอนด์สีน้ำตาลอ่อนหวานซึ้งกลอกไปมาราวจะยั่วยวน ร่างบาง แขนบาง ตัวบาง ข้อเท้าบาง ข้อศอกบาง(อันนี้กูงงแล้วนะ แต่แม่งมีตาบางด้วย..มันเป็นไงวะ..) คือแบบ บางคำก็โอเคอยู่นะ แต่โผล่มาบ่อยเกินไปมั้ย อย่างอ่านสามบรรทัดจบ ร่างบางมา สองบรรทัดจบ ใบหน้าหวานอมเปรี้ยว(?)มาอีกเป็นชุด บางทีก็แบบ บรรยายความงามตลอด แบบจะเดินจะยืนยังต้องพรรณนาความสวยแทบจะทุกวินาทีจนกูเอากระดาษตบหัวมัน นี่มึงจะเเต่งบทนารีปราโมทย์รึไงคะสัส]
>>267 โอ๊ย กูมารอด้วย แค่บรรยายผมสีธรรมดาก็ว่ายากแล้วนะ อย่างผมสีดำรัตติกาลกูยังพอทน แต่ไอ้ผมสีชาโคลห่านี่มันอาร๊ายยย!! แล้วข้อเท้าบางกับข้อศอกบางคือ? เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินวุ้ย ตาบางนี่ตารีเล็กไรงี้ป่ะ แต่แบบ... /กุมขมับ
กูสายนิยายแฟนตาซี ตอนเด็กชอบนะเว้ย การบรรยายความงามตลอดเวลาน่ะ แบบแต่งเก่งว่ะ แต่พอโตมา เอิ่ม รำคาญสุดๆ
>>268 ฮือ เนอะมึง...เมื่อก่อนกูก็อ่านของกัลฐิดาและบลาๆอย่างไม่ขัดตานะ แต่พอโตขึ้นมาแล้วแบบ อ่านสะดุด อ่านสะดุด นี่จะเดินไปตลาดรึไปงานพรอมกันคะเนี่ย555//ชาโคลรู้สึกจะเป็นถ่านดำๆ แต่พอกูขอให้มันอธิบาย มันก็บอกให้กูไปกูเกิ้ลเอาเอง..แต่ตาบางนี่มันไม่ได้อธิบายกู..ข้อศอกบางด้วย แต่กูเกินจะทนกับบรรดาแบรนด์เนมทั้งหลายที่มันยกขโยงมา..เพราะตัวเอกแม่งเป็นนักเรียนโรงเรียนรัฐ บ้านจนด้วย นางเลยขอทุนโรงเรียนอยู่ แล้วแบบ แชนเนล? แอร์เมส? ดิออร์ ?ไนกี้? เวอร์ซาเช่?(คือกูไม่ค่อยสนพวกของแบรนด์เท่าไหร่ แต่ดูมันจะสนชิบหายจนกูสงสัยว่านี่มึงได้ค่าโฆษณามาปะวะ) แม่งโคตรจะไม่ดูบริบทเล้ยย
>>267 มันก็เยอะนะถ้าไม่ใช่นิยายรักๆ หรือแฟนตาซีเด็กเขียน คิดว่ามันอยู่ที่นิยายแต่ละเรื่องด้วยมั้ยนะ อย่างกูอ่านพวกนิยายทั่วไป สืบสวน มันมีตัวละครหลากหลายประเภท ทั้งคนแก่ คนหนุ่ม คนอ้วน คนผอม จมูกบี้แบน จมูกโด่ง ใบหน้ากลม ใบหน้ารูปไข่ คนหน้าตาดีในเรื่องก็เลยจะไม่พร่ำเพรื่อก็จะบรรยายผ่านจากมีสาวๆ หรือหนุ่มเข้ามาทัก หรือมีบริบทที่ทำให้เข้าใจว่าคนนี้มีเสน่หฺ์และเจ้าชู้ บลาๆ ก็ว่าไป
ขณะที่นิยายที่เน้นว่าทุกคนหน้าตาดีหมด แบบนี้แหละจะปวดหัวเพราะมึงจะเจอชุดคำซ้ำซาก (มึงบอกเขาแก้มตอบ ผิวซีด หรือมีกระก็ไม่ได้ จะบอกตัวอ้วนเผละหรือผอมเป็นไม่เสียบผีก็ลำบาก) เลยออกมาเป็นการเปรียบเปรยอะไรประหลาดๆ เยอะมาก คือสีตา/สีผมสารพัดจะหาพืชพันธุ์บนโลกมาเปรียบ ตาแม่งก็กลมหรือคมได้อย่างเดียว มีช่วงนึงนิยายรักกูนี่เห็นเอะอะก็ทรงรากไทรๆ โวะ ไม่มีทรงอื่นกันหรือไงวะ หัวล้านได้มั้ย รองทรงก็ยังดีเป็นต้น
ส่วนแบรนด์กูไม่ชอบการบรรยายแบบประโคมแบรนด์มาก คือบางทีพอใส่ไปเยอะๆ กูว่าคนเขียนดูแบบสงสัยตอนเขียนเพิ่งเคยรวยเหรอเขียนมารัวๆ นึกภาพแล้วมันออกมาไม่น่าจะเข้ากันเท่าไรว่ะ อันที่จริงชอบพวกบรรยายเสื้อแบบไหนๆ ไปมากกว่า จะสเวตเตอร์ จะเดนิม แจ๊คเกต หรือนุ่งผ้าซิ่นก็ว่ามา อันนี้ทำได้หลากหลายกว่าบรรยายหน้าตาอีก
ไปๆมาๆ เหมือนแค่มาบ่นมากกว่าเลย 55+
>>269 คืออย่างน้อยขอให้อ่านแล้วนึกภาพในหัวเลยได้ป่ะ เผื่อกูอ่านนอกบ้านไม่มีเนท หาอากู๋ไม่ได้ให้ทำไง ต้องจำกลับมาหาที่บ้านเหรอ แล้วอ่านไปค้นไปเนี่ยนะมึ้ง ไม่ใช่นะเว้ย
>>270 เออว่ะ บรรยายเสื้อผ้ายี่กูค่อนข้างชอบนะ ต้องมาหาว่าไอ้นี่เรียกยังไงๆ ไหนจะต้องตามแฟชั่นอีก 555 แต่กูไม่ใส่แบรนด์เพราะมันก็แค่ชื่อเนอะ อย่างลิปชาแนลที่ว่า ลิปเนื้ออะไร? ลิปสีไหน? ก็ไม่บอก บอกแต่ยี่ห้อ...
>>271 เป็นเหตุผลนึงที่ไม่ชอบการบรรยายด้วยยี่ห้อว่ะ คือแฟชั่นมันตามกระแสด้วย ให้ความรู้สึกไม่กี่ปีมาอ่านใหม่ความรู้สึกมันก็เปลี่ยนว่ะ และอย่างที่มึงบอกคือมันบรรยายแค่ ฉันถือกระเป๋าแอร์เมสโก้หรู แต่มึงไม่สามารถบอกรุ่นมันได้ ใส่ได้แค่ limited กูว่ามันดูทื่อพิลึก
ว่าไปเลยนึกออก การบรรยายพวกแบรนด์เนม นึกถึง คำสารภาพของสาวนักช๊อป ว่ะ กูว่าเรื่องนี้ถือว่ามึงจะได้เห็นความคลั่งแบรนด์ของอีนางเอก มีการพูดถึงแบรนด์ต่างๆ หรือเวลามันพล่ามเสื้อผ้าดีอยู่นะ แต่ต้องทนความเหี้ยของอีนางเอกได้หน่อย เพราะมันเป็นพวก chic lit น่ะ 555+
เทียบกับนิยายฝรั่งนะ แทบไม่มีบรรยายสีผมสีตาเลย ยกเว้นตัวหลักจริง ๆ บางเรื่องน้องนางเอกผมสีไรยังจำไม่ได้ เพราะเขาไม่ค่อยบรรยาย ทั้ง ๆ ที่เขามีผม/ตาหลากสีนะ ของไทยมันก็มีแค่ดำกะน้ำตาลเข้มป่ะ จะบรรยายไรมากมาย
แต่พอเป็นแฟนตาซีนะ เล่นสีเป็นลูกกวาดกันเลยว่ะ สงสัยเก็บกดที่ประเทศเราไม่หลากสี
กูเคยอ่านเรื่องนึงมีตาแดง 2 คน นางเอกตอนแรกว่าแดงอาทิตย์ตก อีกคนแดงเชอร์รี่ แต่อ่าน ๆ ไปแม่งกลายเป็นแดงสตอเบอรรี่มั้ง กุหลาบมั้ง เลือดมั้ง กูเริ่มงง ว่าสรุปยังไงเลยเลิกอ่านมันเลย รำคาญ
>>276 ติดมาจากบารามอสมั่ง แต่แฟนตาซี(ที่อิงการ์ตูน)มันมีความหลากหลายทางธรรมชาติ ต้องบรรยายสิ่งที่มันไม่ปกติในโลกกูก็พอให้อภัยนะ แต่ถ้าไม่เด่นจริงอย่าย้ำทุกๆรอบเถอะ พูดรอบสองรอบตอนช่วงเปิดตัวหรือบรรยายความงามก็พอ เกลียดมากเลยไอ้จำพวกใช้ลักษณะทางร่างกายเป็นสัพนามจำพวกเจ้าของดวงตาสีXXX ผมสีYYY บรรยายด้วยชื่อหรืออย่างน้อยก็ฉายาเถอะ
แล้วแต่คนนะ แต่กูไม่แนะนำให้มึงใส่ฉากดราม่ามากเกินความจำเป็นวะ ยิงศีลธรรมแบบตายตัว
ดัดจริตในละครไทยนี่อย่าใส่เด็ดขาดวะ แล้วฐานข้อมูลทำให้แน่นด้วย
ถ้าแฟนตาซี ชอบแบบให้ใช้คำแทน บุตรแห่ง(ชื่อวงศ์) หรือจะ ผู้แทนเผ่าบลาๆ ผู้พิทักษ์จากนครบลาๆ ถ้าเป็นสีผมสารพัดสี กูว่าสู้สร้างเอกลักษณ์ไปเลย เหมือนอย่างคำสาปฟาโรห์ นังแครอลโดดเด้งด้วยการให้คนฮือฮาผมทอง ก็คือจะใช้สีอะไรก็เอาให้มันพิเศษ ไม่ใช่ ทุกคนมีสีผมโดดเด้งกันหมด อ่านไปปวดหัวเปล่าๆ ว่ะ
>>277 บรรยายด้วยชื่ออย่างเดียวก็เจอคำซ้ำกันบานเบอะน่ะสิ แล้วยิ่งถ้าเป็นฉากที่ตัวละครชายสองคนอยู่ด้วยกันก็ยิ่งยาก จะมาชายหนุ่มๆก็งงว่าหนุ่มคนไหน จะเรียกแต่ชื่อก็เยอะไป มันก็จำเป็นที่จะต้องมีลูกเล่นบ้างแบบคนตัวสูง หนุ่มร่างบาง ซึ่งไอ้สีผมเนี่ยเล่นง่ายที่สุดแล้วสำหรับเหตุการณ์คับขันแบบนี้
>>276 แฮรี่มีนะ เรื่องสีนี่เป็นจุดเด่นจุดนึงของการบรรยายเลย อย่างสีม่วงดอกไลแลคที่ล็อคฮาร์ทชอบ สีน้ำเงินเข้มของท้องฟ้ายามค่ำ สีแดงทับทิมของดัมเบิ้ลดอร์ ฯลฯ เรียกได้ว่าบรรยายเรื่องสีจนเป็นเอกลักษณ์เลย
นิยายฝรั่งเรื่องอื่นก็มีการบรรยายเรื่องสี แต่จะบอกผ่านๆ เช่น โซฟีมีผมสีบรูเน็ตกับตาสีดำเหมือนแม่ของเธอ ซึ่งรับกับทรงผมสาวทำงานของเธอ ส่วนฟรองซัวนั้นมีผมบลอนอ่อนและตาสีฟ้าสดใสตามแบบสแกนดิเนเวียน ฯลฯ
เขาจะบรรยายครั้งแรกให้เป็น first impression ไว้ว่าตลค.นี้มีลักษณะแบบนี้เพื่อให้จินตนาการถูก อย่างมากก็สองสามประโยค แล้วค่อยขยายขึ้นเมื่อรู้จักตลค.มากขึ้น แต่ของไทยคือใส่มาทีเดียวหมด มันเลยดูเฟ้อไง
ขอบเขตนิยายแฟนตาซีวัดจากอะไรวะเพื่อนโม่ง นอกเรื่องจินตนาการเหนือธรรมชาติที่มีเวทมนตร์มอนสเตอร์ พวกภูตผีวิญญาณนี่นับด้วยปะ คือกูจะแต่งนิยายที่มีพล็อตเป็นไขปริศนาที่มีวิญญาณมาข้องเกี่ยวด้วย 70% อีก 30% คือคนเป็นที่เล่นเกมไขปริศนาอดีตของวิญญาณ จะมีปีศาจมาเกี่ยวด้วยนิดหน่อยในตอนท้าย แบบนี้จะนับว่าเป็นแฟนตาซีหรือไขปริศนาดีวะ
แล้วพารานอมอลมันจัดเป็นแฟนตาซีป่ะวะ
>>284 ขอบใจ กูกระจ่างละ แต่ถ้ามีเล่นเกมทายปริศนาแนวไล่เชือด ใบ้ผิดถูกเชือดใบ้ถูกก็รอด มีผีโผล่มาพอให้รู้ว่ามีตัวตนและเป็นกุญแจสำคัญของเกม จะจัดว่าเป็นแนวระทึกขวัญหรือปริศนาดีวะ
>>285 ขึ้นอยู่กับธีมเรื่องนะมึง พารานอมอลคือสาย แต่ธีมคือรูปแบบเนื้อหา ถ้าเนื้อแนวเหนือธรรมชาติก็รักแฟนตาซี ถ้ายังอยู่ในขอบเขตปกติพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ก็ปกติ
เพื่อนโม่ง คำว่าเซเลสเทียลกับเฮเว่นที่แปลว่าเกี่ยวกับท้องฟ้า/สวรรค์ มันต่างกันยังไงวะ คือกูจะตั้งชื่อเมืองลอยฟ้าที่มนุษย์พยายามทำให้เป็นสวรรค์เทียม โดยมีพวกเทพในสวรรค์แท้คอยมาแกล้งป่วนอยู่พักๆ จะเรียกสวรรค์เทียมว่าเฮเว่นหรือเซเลสเทียลดีล่ะ
ขอบใจว่ะ ตกลงจะใช้อะไรก็ได้สินะ
ชื่ออะไรก็ได้ ขอให้บรรยายเมืองให้ตรงกับที่ต้องการสื่อก็พอ
ใครช่วยแนะนำการเขียนนิยายตอนที่มีเหตุการณ์และตัวละครเยอะๆหน่อยจะได้ไหม ประมาณฉากสงคราม หรือฉากที่มีตัวละครหลายๆกลุ่มอยู่คนละที่กัน เงี้ย
>>295 ปัญหาคือเรื่องกลัวคนอ่านแยกว่าใครเป็นใครไม่ค่อยออกเวลามากันหลายๆตัวป่ะ? ถ้าใช่ กูว่าต้องปูเรื่องมาดีๆ ให้ตัวละครแต่ละตัวมีลักษณะการพูดที่มีเอกลักษณ์พออ่ะ ไอ้ประเภทบรรยายด้วยการ เจ้าของดวงตาสีม่วงเอ่ย คนผมแดงว่า ไรงี้ไม่น่าเวิร์ค เพราะคนอ่านอาจไม่มานั่งจำสีพวกนั้น(โดยเฉพาะเรื่องที่ตลค.เยอะๆ) แล้วก็ถ้าจำเป็นต้องตัดฉากสลับไปมาระหว่างคนหลายกลุ่ม ควรเขียนด้วยมุมมองบุคคลที่สาม น่าจะรู้อยู่แล้วอ่ะเนอะ สรุปกูแนะนำอะไรได้มั่งเนี่ย ฮือ
ขอบใจมากสหายโม่งทั้งสอง กุเพิ่งหัดเขียนอะไรแบบนี้เลยกลัวคนอ่านงง กะว่าจะเขียนแบบยึดตัวละครนึงไปก่อนแล้วค่อยบรรยายภาพรวมในภายหลังเอา
ปล. มีหนัง ตย. แนะนำอีกไหม กุอยากได้เยอะๆเลย ขอบคุณ
ขึ้นอยู่กับว่าเธออยากมีตัวเอกเดี่ยวหรือกลุ่มด้วย คิดว่าจะมีมุมมองกี่คน ถ้า harry จะเป็นมุมมองคนเดียวนะ แต่ถ้าหลายคนเรื่องที่เราแนะนำก็ percy jackson ภาคสอง ที่หมุนมุมมอง eragon ก็หมุนมุมมองแต่เป็นบุคคลที่ 3 ปล. ถ้าไม่เทพจริงไม่แนะนำบุคคลที่ 1 แบบหมุนมุมมอง เน่าตายกันมาหลายคนแล้ว
ยึดตัวละครนึงไปก่อนแล้วค่อยบรรยายภาพรวมในภายหลังนี่แปลว่าไร ตอนแรก บค1 แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นบค3 เหรอ เราไม่เห็นด้วยนะ อารมณ์มันจะสะดุด แล้ว ก็แสดงถึงความไม่เก่งของคนเขียนด้วย ว่าไม่สามารถเขียนแบบเดียวได้เลยต้องเปลี่ยนไปมา (ข้อยกเว้นเดียวคือเขียนบทนำหรือส่งท้ายเป็นอีกมุมมอง แล้วก็พวกตอนพิเศษ)
อ้อแล้วก็ไม่ควรเขียนฉากนึงหลาย ๆ มุมมอง เช่น ก. พูดก็มองจาก มุม ก. พอ ข. ตอบก็เปลี่ยนเป็น ข. มันทำให้คนเขียนมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครยากมากเพราะสับสนไม่รู้จะร่วมกับใครดี
ไม่ค่อยอยากประจานแต่เราขอแนะนำเรื่องที่เราคิดว่าหมุนมุมมองแย่มากนะคะ เคยบอกนักเขียน เขาบอกเป็นสไตล์เขา แถมอ้างถึงปิกัสโซอีกต่างหาก http://writer.dek-d.com/oongga/story/view.php?id=1048031 แต่รู้สึกเราจะเป็นคนเดียวที่คิดมากเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าคนอื่นสะดุดเหมือนเราบ้างรึเปล่า
เรา 299 ต่อนะ เรื่องที่มีหลายมุมมองแต่เราคิดว่าทำได้ค่อนข้างดีก็ http://writer.dek-d.com/rondell/story/view.php?id=802494
บทแรกกับท้ายจะเป็นบค1 ของตัวเอกคือ เซลริคตลอด แต่ที่เหลือจะเป็นบค3 ส่วนมากเป็นเซลริคแต่ก็จะมีบางฉากที่เป็นตัวอื่นเหมือนกัน แต่ทำได้ค่อนข้างแนบเนียนอ่ะ ที่สำคัญคือสนุกด้วย
>>305 ก็อันที่เราพูดมะกี้แหละ http://writer.dek-d.com/oongga/story/view.php?id=1048031 555
ถามคนเขียนว่าทำไมไม่เช็คคำผิดบ้างไรบ้าง เขาบอกถ้ากลับมาเช็คเขาจะสะดุดเลยไม่เช็คเลย....
เดี๋ยวจะหาว่าโกหก โคสก>> http://writer.dek-d.com/oongga/story/viewlongc.php?id=1048031&chapter=19
มึง ใครมีนิยายแฟนตาซี ไม่สิ นิยายอะไรก็ได้แนะนำบ้างวะ กูจะเขียนนิยายเขียนฟิคอะไรช่วงนี้รู้สึกภาษาดรอปชิบหายมาก
>>308 นิยายแฟนตาซีมีห้องนี้ >>>/literature/2419/
ถามหน่อยดิวะ
กูกำลังพิมพ์นิยายช-ญ เป็นเล่ม เอาไปโปรโมทได้ที่ไหนบ้างวะ ตอนนี้ยังสั่งไม่ถึงสิบคนเลย
>>310
ลงให้อ่านก่อนสักครึ่งเล่ม ทะยอยลงนะ ทีละตอน
http://www.tunwalai.com/
ถ้าไม่มี NC หรือคำหยาบหนักๆ
ก็ลงที่เว็บเด็กดี
เอาตรงๆ นะมึง ช-ญ แบบนิยายสีขาวเนี่ย เป็นอะไรที่ขายยากที่สุดแล้ว สู้ๆ นะ
ลองลงเป็นอีบุ้คด้วย น่าจะพอขายได้
เอาจริงๆ กูว่าขายยากจริงนะ คือมีคนอ่านถามว่ามีเอ็นซีไหม เราก็บอกเลยว่าไม่มี คนอ่านหายจ๋อย นี่งงเลยว่าเขาต้องการเอ็นซีกันขนาดนั้นเลยเหรอ
กูเขียนรักแฟนตาซีทำมือ ระหว่างเกือบสามร้อยเล่มเดียวจบ กับซอยสองเล่ม เล่มละร้อย+ เอาให้ไม่เกินสองร้อย แบบไหนดีกว่ากันวะ
แต่ถ้าสองเล่ม กูก็ต้องจ่ายค่าวาดปกเพิ่ม
ขายสามร้อย มีคนมาถามบ่อยแต่ก็ไม่ซื้อว่ะ T T
>>317 แล้วแต่ฐานแฟนคลับและเงินทุน ถ้าส่วนมากคนอ่านเป็นเด็กนักเรียนขายสองเล่มดีกว่า เล่มร้อยกว่าเก็บตังซื้อง่ายกว่าเล่มเกือบสามร้อย แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานก็เล่มเดียวไปเลย ส่วนค่าปกลองทำภาพเดียวที่แยกได้สองส่วนสิมึง แบบตรงกลางเป็นวิวทิวทัศน์อะไรก็ว่าไป แต่ริมขอบภาพก็เป็นตัวละคร ผ่าครึ่งก็ได้หน้าปกสองเล่มพอดี หน้าปกแรกตัวละครฝั่งขวา หลังปกคือวิว ปกหน้าสองก็เอาฝั่งขวา หลังคือวิวอีกส่วน แต่ถ้าอยากประหยัดงบมึงก็ไม่ต้องเอาภาพหลัง ปกพื้นขาวมีแต่ตัวอักษรและรูปตัวละครไปเลย แบบพวกไลท์โนเวลอะ ค่อยไปแต่งสันปกให้สีหรือลายเพิ่มอะไรก็ว่าไป
กูว่าเล่มเดียวจบดีกว่านะ ในสายตากูคือ เพราะยังไงๆ ก็ต้องขายพร้อมกันอยู่แล้วปะวะ ถ้าหั่นเล่มแล้วราคาบวกกันกูว่าอาจจะโดนคนคิดว่าซอยทำไมเล่มแค่นี้ แต่ถ้าจะขายแยกเป็นภาคต่างเวลาก็โอเคนะ (แต่เล่มแรกคนคงซื้อน้อยกว่าเพราะเขาก็จะรอซื้อสองเล่มพร้อมกันเลยอยู่ดี)
อีกหนทางเลยก็คือ ให้คนอ่านเลือกแบบเอา ถ้าคนอ่านมีเยอะ อาจจะแบบ มี2แบบให้ซื้อ ราคาประมาณกัน คือเล่มเดียวไปเลยปกแข็ง แยกเล่มปกต่อกันได้ อะไรงีเ
แต่ถ้าคนอ่านไม่เยอะอย่าเลย กำลังซื้อไม่มี รั้งแต่จะขาดทุนเอา
คนที่มาลงชื่อจองมีประมาณเท่าไหร่ล่ะ ?
โอเค ขอบคุณ กูถามหลายทางแล้วว่าเอาเล่มเดียวดีกว่า
โม่งว่าถ้าเขียนตัวละครชายหญิงเป็นเพื่อนสนิทกันแล้วมารักกันตอนหลังเนี่ย ใช้สรรพนาม "ฉัน-แก" หรือ "ฉัน-นาย" ดีกว่ากัน orz
เราว่าได้ทั้งสองอย่าง
วัยตัวละครด้วย สมมุติวัยรุ่นผู้ฉัน-นายก็คงแปลกๆ แต่มันโอเคกับวัยทำงานที่จะพูดแบบนั้นนะ
ปกติ นายคู่กับเรามากกว่านะ
ถามโม่งหน่อย พวกมึงคิดยังไงกับการคอมเม้นท์นิยายในเว็บวะ
กูไปเจอมานะ คือไรท์คนนึงมันบ่นลงในเพจตัวเองประมาณว่า ไอพวกที่อ่านนิยายแล้วไม่เม้นท์นี่ไม่ทราบว่าไม่ว่างกันหรือนั่งขี้แล้วตกส้วมตายไปแล้วจำได้ลางๆว่าด่าถึงพ่อถึงแม่พวกนักอ่านเงาด้วย(นางคงของขึ้นมากถถถ)
ปล.กูก็จำไม่ได้เพราะมันนานแล้วและดูเหมือนนางจะลบโพสไปแล้ว
กูก็อยากได้เมนต์ แต่ไม่เมนต์ก็ช่าง ตามศรัทธา
เขาอาจจะคิดว่าแต่งนิยายให้แม่งอ่าน เมนต์ตอบแทนกูหน่อยไม่ได้หรือไง
แต่พวกด่า แช่งนี่มันก็เอาแต่ใจเกินไป คนอ่านไม่ใช่ทาส ต้องทำตามใจแม่งทุกอย่าง
นักเขียนก็เช่นกัน ไม่ใช่ทาสนักอ่าน ต้องให้ถูกใจแม่งทุกอย่าง
พูดในฐานะคนไม่เมนต์คือกูอ่านจบดูไม่รู้จะพูดอะไรกับคนเขียน จะให้เขียนไปว่าเออสนุกดีนะทุกตอนก็ยังไงอยู่วะ
ในฐานะที่กูก็เขียนฟิคเหมือนกันนะ กูอัพไม่บ่อยหรอกเพราะกูขี้เกียจ+กูตันเขียนไม่ออกด้วย
แต่แค่ยอดวิวเพิ่มกูก็ดีใจชิบหายละใครมาเม้นฟิคกูก็ตอบหมดอะ
ถึงจะเป็นฟิคไม้จิ้มฟันผีที่ไม่ค่อยมีใครชิปแต่มีคนมาอ่านกูก็ปริ่มสัสๆ
กูเป็นพวกเขียนแล้วถ้าไม่มีคนเม้นแปลว่ากูห่วยเอง ทำให้คนอ่านไม่รู้สึกอยากเม้นหรืออยากพิมพ์อะไร ไอ้พวกเรียกร้องเม้นบางทีก็อยากให้แม่งพิจารณาแบบที่ >>332 เป็นเราเองหรือเปล่าเขียนให้คนอ่านคิดไม่ออกจะเม้นไรดี
แต่ถ้ามีคนมาเขียนสนุกดี ทุกตอน หรือ มาต่อเร็วๆ นะ กูดีใจนะ แปลว่ามันอยากอ่านที่เราเขียนต่อ กูไม่ได้ต้องการคำวิจารณ์มากมายได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
กูเป็นพวกงกเม้นว่ะ ถ้าไม่มีสาระคำสัญอะไรที่อยากพูดก็เป็นนักอ่านเงาตลอด จะโผล่ไปเม้นแค่พวกที่เนื้อเรื่องลึกๆ ที่ต้องวิเคราะห์ตีความถามความเห็นนักอ่านคนอื่นมานั่งถกกัน และไม่ใช่ทุกตอนด้วย กูเม้นเฉพาะบทที่ทิ้งเบาะแสมาให้เดาต่อ
หรือไม่อีกอย่างคือเจอจุดที่โคตรไม่สมเหตุสมผลในเรื่อง กูจะโผล่มาคอมเม้นท้วงนักเขียน จากนั้นเป็นไปได้ว่าจะไม่กลับมาอ่านอีกเลย
ว่าไปสมัยก่อนจะมีนักอ่านในตำนานอยู่คนหนึ่ง "สนุกมากค่ะ" ตอนนี้นางยังอยู่ป่ะวะ ใครรู้จักมั่ง
ตอนจบแบบ Good End กับ Happy End ต่างกันยังไงวะ คือกูจะเขียนนิยายเกี่ยวกับเกมพัลเซิลปริศนาการฆาตรกรรมในคฤหาสน์ปิดตาย แล้วจะมีฉากจบที่แย่(Bad) กับฉากจบที่ดี ซึ่งไอ้ฉากจบที่ดีนี่กูสงสัยว่าจะใช้ Good หรือ Happy ดี คือกูจะเขียนให้จบได้สามแบบอะมึง แบบแรกคือตัวเอกรอดตัวร้ายตาย แบบที่สองที่ตัวเอกตายตัวร้ายรอด แบบที่สามคือตัวเอกพิการตัวร้ายก็รอดแต่กลับใจยอมรับผิด
เรื่องคอมเม้นแม่งแล้วแต่ทัศนคติ กูแม่งก็เฟลนะที่คอมเม้นนิยายเรื่องเก่าๆ (จูนิเบียวมาก) แม่งเยอะ ในขณะที่เรื่องใหม่ๆ คอมเม้นก่อนจบคือร้อยกว่าๆ แต่มันก็แลกมาด้วยอะไรที่ดีขึ้นนะ คนอ่านกูแม่งดูโตขึ้น คอมเม้นมีสติมาก มันทำให้กูมองมุมที่ต่างออกไปได้มากขึ้น
>>337 Happy End - จบแบบตัวละครมีความสุข : พจมานเย็ดกับชายกลางในบ้านยทรายทอง
Good End - จบแบบมีหรือไม่มีความสุขก็ได้ : ราชากุหลาบแดงทำทุกอย่างสำเร็จ ปลดปล่อยตัวเองได้แล้วก็ตาย
Good End ที่ดีต้องเคลียปมทั้งหมดให้ด้ด้วยนะ จบแบบว่าต่อให้ตัวร้ายชนะแต่ก็เป็นตอนจบที่คู่ควร อย่าง Watchmen นั่นละ ทุกอย่างมันลงตัวหมด ที่ผ่านมาทั้งเรื่องสอดประสานเพื่อให้จบแบบสมบูรณ์ นี่คือ Good End
จบแบบเศร้าแต่สุขเรียกว่าอะไร Sappy End?
แล้วถ้าอย่างนี้คือจบแบบไหนเหรอมึง
ตัวเอกค้นพบความทรงจำของตัวเอง แต่ก็ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เคยเป็นนักโทษประหารคดีฆ่าข่มขืนมาก่อนจึงตัดสินใจจะฆ่าตัวตายตัดความรู้สึกผิดในใจ แต่พี่ของตัวเองมาเจอและช่วยเอาไว้ พี่สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งไปไหนอีกแล้ว ตัวเอกเลยยอมมีชีวิตต่อ แต่ก็ต้องทนกับเสียงด่าว่า การหักหลัง การด่าทอและอีกต่างๆนาๆมากมาย แต่เพราะมีพี่คอยให้กำลังใจอยู่ ตัวเอกจึงพยายามสู้ต่อไป
วันหนึ่ง ตัวเอกไปเจออัลบั้มภาพในลิ้นชักแถวห้องนอนพี่ อัลบั้มนั้นเต็มไปด้วยรูปการข่มขืนและฆาตกรรมที่โหดเหี้ยม และภาพสุดท้ายนั้น มีหน้าของคนๆนึงที่เขารู้จักดียืนชูสองนิ้วพร้อมเหยื่อที่ถูกเย็บตาอยู่ นั่นคือพี่ของเขานั่นเอง
เสียงพี่ชายเรียกชื่อตัวเอกดังขึ้น ตัวเอกปิดอัลบั้มลงแล้วเก็บไว้ที่เดิม เดินออกจากห้องไปทานข้าวพร้อมกับพี่เหมือนทุกๆวัน
มันจะเป็น True End หรืออะไรเนี่ย55(คือสำหรับกู ที่ปิดอัลบั้มคือตัวเอกช่างแม่งกับอดีต ขออยู่แค่ในปัจจุบันพร้อมกับพี่ตัวเองก็พอ แต่สิ่งที่อีพี่ทำ ตามปกติแล้วไม่น่ายอมรับได้ มันไม่ใช่ความจริงที่สวยงามน่ะสิ)
เพื่อนโม่งใครมีวิธีแก้เวลาเขียนๆแล้วตัน ไปต่อไม่ถูกบ้างวะ
ลงเหอะ เดี๋ยวมึงก็รีเราเตอร์ใหม่แล้ว
ไปเจอบทความเก่าๆ เรื่องแมรี่ซู กูเพิ่งรู้ว่ามันมาจากแฟนฟิคประชดแฟนฟิค (ฮา)
http://www.dek-d.com/writer/34128
กูไม่รู้ว่าคุยเรื่องนี้ที่นี่ได้ไหม แต่เมื่อวันก่อนกูไปอ่านนิยายแล้วเจอคอมเมนท์ที่ว่า เราอ่านแล้วใส่ฟิลเตอร์คู่ชิปเราลงไปค่ะ เราเลยอินมากอยากรู้เลยว่าจะเป็นยังไงต่อ บลา บลา บลา
เจองี้พวกมึงคิดไงวะ
ไปเจอคอมเมนท์ในนิยายที่เขียนจบแล้ว แต่ไม่ลงแค่ช่วงสุดท้ายของเล่มสุดท้ายให้อ่าน(จากที่ลงให้อ่านมาเกือบจบ)
งงว่า
บางเมนต์บอกไม่รู้ราวแล้วจะซื้อได้ไง (ทั้งๆที่ลงไปให้อ่านแล้ว 90 กว่าเปอร์เซนต์)
บางเมนต์บอกว่าไม่แน่ใจว่าจะจบมั้ยเลยไม่ซื้อ (ทั้งๆที่ประกาศว่าจบแล้ว)
บางเมนต์บอกว่านิยายสนุกดีตามอ่านมาตลอดแต่ลาก่อน (คนเขียนเขาจะอึ้งไหมนี่)
บางเมนต์บอกว่าอ่านมาตั้งนาน สุดท้ายก็เก็บชะงั้น(หมายถึงไม่ลงให้อ่าน) ดีนะที่ยังไม่ได้ซื้อ ปล. อุส่าเก็บตังจะซื้อทีเดียวเจองี้เงิบเลย (ทั้งๆที่ประกาศขายเล่มจบแล้ว)
นี่เป็นตัวอย่างของเรื่องหนึ่งที่คอมเมนต์แสดงว่าให้อ่านฟรีไม่มีปัญหา
แต่ให้ซื้อผลงานไม่มีทางหรอก ทั้งๆที่เป็นเรื่องยาวกลางๆเขียนจนจบด้วยนะ
คนเขียนที่ตั้งใจมาตลอดเจอเมนต์เล่านี้ไปคงอึ้งดี
สรุปถ้าแคร์คนอ่านมากไปก็มีสิทธิเจ็บตอนท้ายได้ง่ายๆเหมือนกัน
>>362 กลุ่มเป้าหมายอาจจะต่างกัน ส่วนตัวคือกูรู้จักคนที่ชอบอ่านนิยายในเน็ต อ่านไปเรื่อย แต่หนังสือเล่มไม่ค่อยจะซื้ออะ ปีๆ นึง
กับกูเอาในเน็ตไม่ค่อยจะอ่าน จะมาโปรยว่า ยอดวิวอันดับหนึ่งยังไงก็ดึงดูดกูไม่ได้ ถ้าจะรู้จักคือมีคนแนะนำ ซึ่งกูว่าในจุดนี้ อาจจะมองเป็นความคาดหวังสุดของการลงในเนต คือเพิ่มชื่อเสียง คนรู้จัก แต่ไอซื้อคนละกลุ่มกัน.....
>>363
ลงในเนทปกติคือนักเขียนหน้าใหม่ ที่ไม่ได้มีชื่อติดตลาด
แต่กลุ่มคนอ่านในเนทคือกลุ่มใหญ่ที่ชี้ผลของตลาดต่อไปได้
ถ้าคนอ่านเป็นแบบนี้
วงการหนังสือบ้านเราก็ซึมลงไปเรื่อยๆ เพราะไม่ต้องคาดหวังว่าจะพิมพ์ออกมาแล้วพอมีคนซื้อหรืออุดหนุมอยู่บ้าง
กูว่าต่อไป สนพ. ก็กำหนดยอดพิมพ์น้อยลงเรื่อยๆ นักเขียนก็หนีไปออกอีบุ๊คเป็นส่วนใหญ่ เพราะคงได้เงินพอๆ กับเซ็นสัญญายาวหลายปี
ลืมจุดสำคัญ
นักเขียนหน้าใหม่ ถ้ายังต้องการรายได้เลี้ยงตัว ก็หนีไปเขียนแนวตลาด ไม่ก็วาย หรือ nc กันไป
นี่แหละตลาดเมืองไทยละ
เพื่อนกูเอง เขียนนิยายปกติได้ตีพิมพ์ แต่ยอดไม่มา สุดท้าย สนพ. ลอยแพ
ตอนนี้เขียน nc ขายเลี้ยงชีพ มันบอกรายได้ดีกว่า สนพ. และออกผลงานได้ตลอดเวลา
กูว่าการลงนิยายที่มึงตั้งใจจะขายลงในอินเตอร์เน็ต แมร่งคือความหายนะชิบหาย โดยเฉพาะแนวที่ชายพวกวัยรุ่น แนวแฟตาซี เพราะพวกนี้ถ้าอ่านแล้วก็ไม่อยากเสียเงินซื้อแล้ว แล้วนิยายในเน็ตนี่กูว่ามันสร้างนิสัยแบบ ลงไม่จบก็ช่าง อ่านไม่จบก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่ลงต่อเดี๋ยวโดดไปอ่านเรื่องอื่นก็ได้
ส่วนคนที่จะซื้อนี่จะอารมณ์ไม่มั่นใจว่านิยายจะออกจนจบไหม รอให้ออกหลายๆ เล่มแล้วค่อยซื้อ แต่ถ้ายอดเล่มแรกมันไม่วิ่ง มันก็คงไม่มีเล่มต่อออกมาหรอก นึกแล้วปวดหัวว่ะกับการอยากเป็นนักเขียนของกู
มันก็ยากทั้งหมดแหละ นอกจากไม่คิดมาก พอใจหนีมาทำหนังสือทำมือ หรือ e-book เอง
นักเขียนหน้าใหม่ที่ส่ง สนพ. แบบตั้งใจเขียนส่งเลย ไม่ผ่านการลงเนท สมัยนี้โอกาสยากมาก
ลงในเนทส่วนหนึ่งคือการมีฐานแฟนคลับอยู่บ้าง ยังพอมีโอกาสมีคนอ่านช่วยซื้อบ้าง
บางเรื่องกูเห็น สนพ. ตีพิมพ์แล้ว ก็ยังต้องนำเอามาลงในเนทช่วงต้นเรื่องก่อนเสมอนะ
มึงดูบางสนพ. ดิ ให้แนบลิงค์นิยายที่ลงเว็บไปด้วย ถ้าแฟนคลับเยอะกูว่าก็คงพิจารณาเป็นพิเศษแหละวะ
เดือนๆ นึงออกกันไม่รู้กี่สิบปกถ้าจะให้คนเลือก ก็ต้องลงเนตก่อนล่ะ คนรู้จักประกอบกับทดลองอ่าน กูมองว่าที่มันซึมไม่ใช่เพราะลงให้อ่านในเนตเป็นหลัก แต่เพราะเรื่องไม่ดีพอจะโดนใจคนซื้อมากกว่า
กูเสริมอีกนิด ถ้าจะยกตัวอย่างเป็นวายนี่จะพอใช้เป็นกรณีสำเร็จได้รึเปล่า
นิยายวายเรื่องนึงแปลจีน แปลลงในเด็กดีครบจนจบประมาณ 80 ตอน ต่อมาสนพ ซื้อลิขสิทธิ์ เอาคนแปลเดิมไปออกหนังสือ และถึงแม้จะยังไม่ลบเรื่องในช่วงเปิดจอง แต่ยอดจองแม่งถล่มทลาย (เพิ่งมาลบเรื่องตอนปิดจอง) เรื่องมันดีก็มีคนอยากเก็บ แต่เรื่องที่อ่านจบรอบนึงก็หมดความ ก็ขายไม่ออก
ขอออกความเห็นในฐานะนักอ่าน ถ้าชอบกูก็ซื้อนะถึงจะลงจนจบแล้วก็เถอะ แต่ถ้าในเล่ม = ที่ลงเน็ตกูก็เซงอยากให้มีพวกตอนพิเศษเพิ่มมาจะดีมาก
>>370 ลูกค้าวายเป็นฐานที่คนอ่านในปัจจุบันกลุ่มนี้ซื้อง่ายกว่าทุกกลุ่ม
กูไม่อยากให้เทียบกับลูกค้าแนวอื่นๆ...
(แบบพอรู้ยอดการขายนิยายแนวนี้มาบ้าง)
เพราะกูรู้มาว่าขนาด สนพ. ที่ไม่เคยสนใจแนวนี้มาก่อน ยังซุ่มจะที่เปิดตัวกันหลายเจ้า
เพราะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อจะตัดสินใจง่ายกว่ากลุ่มอื่น...
นั่นทำให้สังเกตกระแสมีส่งอยู่ตลอดในแนวนี้ และทำให้ต่อไปคงเป็นเรื่องปกติที่ทุก สนพ. จะออกแนวนี้กัน
เพราะฐานลูกค้าคนอ่านนี่แหละ
เคยถามไปแล้วในมู้อื่น แต่ไม่ได้คำตอบจริงๆสักที
การใช้สรรพนามแทนตัวเวลาตัวละครพูดกับเพื่อนในบทสนทนา ถ้าไม่ต้องการใช้คำหยาบแบบ กู มึง จะใช้อะไรได้บ้าง เว้นแต่คำว่า ข้า กับ เอ็ง ซึ่งเยอะแล้ว คือคิดไม่ออกจริงๆถ้าไม่ใช้คำว่าข้า แทนอีกฝ่ายว่าแกพอได้ แต่แทนตัวเองนอกจากกูกับข้าแล้วนึกไม่ออกจริงๆ ไอ้ที่ใกล้เคียงหน่อยก็เป็นกัน แต่มันก็ดูแปลกๆ "กันว่าแกไปนอนเถอะ" ส่วนไอ้อั๊วกับลื้อนี่มันนักเลงไป ไม่โอ
ตัวละครหญิงก็ยาก ใช้กัน ข้า ไม่ได้ เข้าเค้าสุดเป็นฉัน แต่ดัดจริตเกินกว่าจะใช้คุยกับเพื่อน ช่วยคิดหน่อยจ้า
ที่เคยได้ยินนะ
ญ : ฉัน เค้า กู ชื่อตัวเอง
ช : กู เค้า
คนที่คุยด้วย > ชื่อ แก มึง
เอาจริงๆ กูแทบไม่เคยได้ยินคนแทนตัวอย่างที่มึงว่ามาเลยเวลาคุยกับเพื่อนอะ ผญ. แทนด้วยชื่อมีบ้าง ในที่ทำงานก็มี ชั้น แก แต่ผู้ชายนี่มึงกูตลอด ถ้าเป็นเพื่อนอะนะ ข้าเอ็งนี่แทบไม่ได้ยินแล้ว
มีคำอื่นอีกไหม
>>373 กู ญ นะ
ถ้าไม่ค่อยสนิทใช้ เรา/เค้า กับ เธอ/ชื่อ
ถ้าสนิท เค้า/กู กับ แก/มึง/ฉายา/เหี้ย+ชื่อ/ชื่อบุพการี
แต่ถ้ากับครอบครัวถึงจะใช้แทนตัวเองด้วยชื่อว่ะ
ปล.แต่กูเห็นเพื่อนกูส่วนใหญ่ถ้าไม่สนิทจริงๆก็จะไม่แทนตัวเองด้วยชื่อนะ ไม่งั้นมึงจะดูแอ๊บและทำให้ชาวบ้านคิดว่ามึงตอแหลไปเปล่าๆ
สำหรับกูถ้าใช้เค้าในนิยายมันก็ดูแปลกๆแฮะ ถึงเพื่อนทั่วไปรอบตัวกูก็ใช้งี้ก็เถอะ
ปล.ว่าไปกูพึ่งนึกได้ ว่าไอ้กูมึงเพื่อนไม่เคยใช้กับกูเลย... ถึงว่าทำไมอ่านนิยายใช้กูมึงแล้วกูถึงรู้สึกแปลกๆ
อยากแต่งแบบเน้นฉากตรั๊บๆ ช-ญ มีเว็ปไหนแนะนำบ้าง เอาแบบกันการก๊อปข้อความได้ระดับนึงก็ดี
กูเป็น ญ ปกติกูใช้แค่ เธอ ฉัน เค้า เรา กับเพื่อน เพื่อนกูก็จไม่กูมึงกับกู
กูแทบไม่พูด กู มึงกับใครเลย เว้นตอนโกรธกับในโม่ง
จะมีใครว่ากูกระแดะป่าววะ กูแค่ไม่ชอบพูดแบบนั้น
รู้สึกว่ากูจะเป็นพวกหยาบคายแฮะ ยกตัวอย่างประโยคปกติตอนเรียนมหาลัย
"ไอ้เหี้ย มึงจะทนไปทำเหี้ยอะไรวะ ควย กูว่ามึงเลิกกับแม่งเหอะสัส ผู้หญิงเหี้ยๆแบบนั้นเย็ดไปก็เปลืองควย"
ลองเขียนแบบกัน-แก ดู
"แกจะทนไปทำไมวะ กันว่าแกเลิกกับหล่อนเถอะ ผู้หญิงพรรค์นั้นไม่มีอะไรให้เสียดายหรอก"
เหี้ย ใสๆเลย
มึง ถ้าต้องการเขียนพาร์ทของตัวละครหลายๆตัวในหนังสือเล่มเดียว
กูต้องการเขียนนิยายในสรรพนามบุรุษที่ 1 เช่น ผมมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย อะไรงี้ แล้วในนิยาย 1 เล่ม กูต้องการให้มีทั้งพาร์ทพระเอก นางเอก พระรอง นางรอง ในเล่มเดียว กูควรเขียนแยกพาร์ทชัดเจนหรือยังไงดีวะ
ถามหน่อยกูมีความคิดจะเขียนนิยายประเภทจากหญิงเปลี่ยนเป็นชาย คือปกติในชีวิตประจำวันชายมีปัญหาอะไรมั่งวะ แบบหญิงก็มีพวกประจำเดือนอะไรพวกนี้อะ
ไม่แฟ็ปก็จะฝันเปียกไง ช่วงอัดอันก็จะรู้สึกร้อนไปทั้งกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ มันเคยมีหนังฝรั่งเรื่องนึงที่มีท่าพนันกับเพื่อนมันว่าจะไม่แฟ็ป 1 เดือน ดูเรื่องนั้นน่าจะเข้าใจ จำชื่อเรื่องไม่ได้และ
ย่อจากNetorare. เป็นแคทตากอรี่ของหนังเอวี แปลว่าเซกซ์แบบหลบซ่อนประมาณแอบไปเยสกัน ครูุ
-ลูกศิษย์,พ่อผัว-ลูกสะใภ้, ประธาน-เมียลูกน้อง, คุณนาย-คนส่งราเม็ง
ไอ้พวกรฃนี้มันจะใช้กับประโยค "คุณเอโดนเพื่อนร่วมงานNTR , ,หมายถึงเพื่อนร่วมงานมันแอบไปเย็ดกับเมียคุณเอ
ได้หมดแบบเป็นเรื่องนอกใจคู่รักของตน โดยที่คนรักไม่รู้เรื่อง
ไม่ว่าจะเรื่องมีกิ๊ก พลาดไปซั่มกับคนเรื่องที่ไม่ใช่แฟน ถูกบังคับข่มขู่
อยากรู้เพื่อนโม่ง manga มาอ่านก็ได้แนวนี้ ถ้าทำใจได้
แบบเป็นแนวเล่นกับอารมณ์ความรักที่อ่อนไหว แนวดาร์กดีๆ นี่เอง
ม่ายๆหลักๆคือการแอบไปเยสกันซึ่งบางครั้งมันไม่เน้นประเด็นนอกใจ บางทีนักเรียนหญิงชายแอบไปเยสในห้องสมุดในห้องเก็บอุปกรณ์พละก็รวมอยู่ในNTRแล้ว แบบว่าแอบแล้วตื่นเต้นแบบนั้น
http://pantip.com/topic/31063166/comment11-2
NTRโดยพื้นฐานแล้วแปลว่าในที่สุดผู้หญิงต้อง"รักชู้"มากกว่าแฟน แต่ความหมายดั้งเดิมจริงๆรู้สึกจะเป็นการผู้หญิง"ท้องกับชู้"นั่นละถึงจะเรียกว่าNTR หลังนี่ไม่จำเป็นต้องท้องก็ได้ แค่แสดงว่า"ต้องการท้อง"ก็ถือว่าเป็นNTRได้ และอ่อนมาหน่อยก็แค่ถูกแย่งแฟนแบบที่เข้าใจกันโดยทั่วไปนั่นละ
มึง ถามหน่อยกูจะพิมพ์หนังสือเป็นที่ระลึก ประมาณ20เล่ม ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ใช้บริการของโรงพิมพ์ไหนดีวะ
โปรโมทนิยายทำมือแบบนิยายรักสายขาว
(ขาวจริงๆ ขาวไม่ขุ่น ไม่ใช่ขาวกาม)
ได้ที่ไหนบ้างวะ กูลงเนื้อเรื่องในเด็กดีแล้ว
ตอนนี้จะพิมพ์แต่ยอดยังต่ำอยู่ว่ะ
ขอคำปรึกษาหน่อย ถ้าแต่งนิยายสืบสวนสอบสวนเนี่ย จะเอาไปลงเว็บไหนดีวะ ที่ๆมีคนอ่านแนวนี้อยู่
คือมีพลอตอยู่ในหัวแต่ไม่กล้าแต่งวะกลัวจะไม่มีคนอ่าน(ขอแค่คนสองคนก็ยังดี) เลยอยากลองแต่งลงเว็บดูเชิงไปก่อน เราควรเอาไปลงเว็บไหนดีวะ แบบมีคนมาอ่านมาติเราแน่ๆ (ยังไงก็เป็นเรื่องแรกนี่ข้อเสียคงเยอะเป็นธรรมดา)
เราคิดว่า เด็กดี มันไม่ใช่สักเท่าไหร่
เพื่อนโม่ง ถ้ากูจะเขียนนิยายแฟนตาซีที่สร้างโลกใหม่ขึ้นมา กูจะเอาพวกความเชื่อเก่าแก่ในคำภีร์ไบเบิ้ลมาใส่ด้วยได้ไหมวะ เช่นปีศาจซัคคิวบัสคือลูกหลานของลิลิธ แต่กูจะปรับแต่งนิดหน่อยคือ ลิลิธคือเทพที่เป็นลูกสาวของพระเจ้า แบบนี้จะได้ไหมวะ
อ๋อ เหมือนพวกเจ็ดบาปอะไรนั่นน่ะเหรอ
คือกูจะแต่งนิยายแฟนตาซีปนสยองขวัญ แล้วสร้างตัวละครหลักตัวหนึ่งเป็นผีอาฆาตที่ลวงคนมาฆ่าเพราะมีอดีตแย่ๆ แล้วอดีตแบบไหนมันถึงจะสมเหตุสมผลที่จะฆ่าคนได้ ระหว่างคนพวกนั้นคือศัตรูที่กลับชาติมาเกิด กับเป็นพวกคนไม่ดี โลภ ฆาตกรโรคจิต บลาๆ คือกูกำหนดจุดจบไว้ว่าจะมีคนมาปลดปล่อยผีตนนี้เพราะเป็นคนรู้จักในอดีตที่มีนิสัยดีไม่ถึงกับนักบุญจ๋า ประมาณว่าเป็นด้านสว่างของผีน่ะมึง
เฮ้ยพวกมึง ที่หนึ่งเอนเทอร์มีบทสัมภาษณ์แล้วว่ะ คิดยังไงกันมั่งวะ?
วาร์ป http://www.dek-d.com/writer/41214/
แสตมนี่ใครวะ กูหน้าใหม่อธิบายที
อ่อไอสัส นางคนนี้นี่เอง กุก็นึกไม่ออกซักทีว่าใคร ถถถถ ส่วนเรื่องนิยายแจ่มใสนี่กุว่าแล้วแต่รสนิยมนะ
KY นักเชิดหุ่นกับนักเชิดตุ๊กตาต่างกันยังไงวะ แล้วการแสดงการเชิดแบบเป็นเรื่องราวจะเรียกว่าละครหุ่นหรือละครตุ๊กตา?
>>432 คือกูจะสร้างโลกใบเล็กๆ เป็นเรื่องราวในอาณาจักรของพวกนักเชิด จะมีสองฝ่ายคือฝ่ายหนึ่งเชิดตุ๊กตาที่เป็นพวกตุ๊กตายัดนุ่น ตุ๊กตาผ้าบังคับด้วยมือ บลาๆ อีกพวกคือตุ๊กตาทำจากไม้ กระเบื้อง หรือวัสดุหลักอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผ้าไม่ใช่นุ่น แต่มีวิธีบังคับหลักๆ เหมือนกันคือใช้เส้นใยควบคุมการเคลื่อนไหว ซึ่งตรงนี้กูค่อนข้างงงเพราะไปค้นเจอมาว่าพวกหุ่นมันไม่ได้บังคับด้วยเส้นใย แต่ใช้วิธีจับไม้ขยับเอา ซึ่งก็ตามที่มึงว่านั่นแหละ แล้วแบบนี้กูจะใช้เกณฑ์อะไรในการแยกหุ่นกับตุ๊กตา วัสดุที่ทำหรือวิธีการเชิด?
>>433 ตามความรู้สึกกูคือแบ่งตามวิธีเชิดและถิ่นกำเนิดว่ะ ก็เป็น marionette กับ puppet นี่แหละ ต่างกันตรงที่ marionette ใช้เส้นใยผูกกับข้อต่อของตุ๊กตา แล้วควบคุมจากด้านบน เป็นสไตล์ของฝั่งยุโรป อย่างเช่นพวก french marionette หรือ พินอกคิโอ้ ส่วน puppet ใช้ไม้ควบคุม คนคุมจะเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงด้วย ต้องขยับตัวมากกว่า แต่คนดูจะเห็นหรือไม่เห็นก็ได้ อันนี้จะเป็นลักษณะการแสดงของเอเชีย อย่างเช่นหุ่นละครโรงเล็กของไทยอะ ที่มีหนุมานไรพวกนั้น แล้วก็ water puppet ของเวียดนาม
แต่อันนี้แบ่งตามความรู้สึกส่วนตัวกูล้วนๆ อาจจะผิดก็ได้
>>433 โลกแฟนตาซีที่สร้างเอง เพื่อนโม่งก็สร้างกฎของโลกนั้นเองสิ
อาจมีพื้นฐานจากโลกเราบ้างเล็กน้อย
เพราะทางให้ตรงทฤษฎีเป๊ะ หุ่นเชิดของเพื่อนโม่งคงทำอะไรเหมือนๆ โลกนี้
แล้วจะสร้างโลกใหม่ขึ้นมาทำไมกัน
โลกใหม่
แค่บอกว่าหุ่นแบบนุ่มใช้พลังจิตควบคุมก็ได้
ส่วนพวกชักใยต้องใช้พลังเวทในร่างไป แยกง่ายๆ อะไรประมาณแค่นี้
กูโกรธ ขอเอามาแปะหน่อยนะ ไม่รู้ถูกมู้ไหม
เวลาพวกเมิงอ่านนิยายแปลมึงชอบแบบไหนมากกว่ากันวะ แปลแบบทัพศัพท์ หรือแปลแบบแปลไทย
คือระหว่าง A.B (เอ.บี) กับ (อ.บ.) หรือ Camp Halfblood - (แคมป์ฮาลฟ์บลัด) กับ (ค่ายเลือดผสม) หรือชอบแบบแปลเป็นบางคำเหมือน (ค่ายฮาลฟ์บลัด) วะ
>>437 ติ่งหรือแอนตี้วะที่ไปตั้งกระทู้ กูละขำ บารามอสมันมีค่าพอให้ทำซีรี่ส์เชียวเหรอวะ แค่กลายเป็นตำนานบุกเบิกวงการนิยายแฟนตาซีไทยก็สูงพอละนั่น ถ้าจับมาชำแหละละเอียดมึงจะหาความออริจินอลและการก็อปปี้ เอ้ย! แรงบันดาลใจได้อย่างละกี่ส่วนล่ะ ถ้าอยากให้เป็นซี่รี่ส์มึงต้องทำให้บารามอสเป็นนิยายออริจินอลที่ไร้กลิ่นแรงบันดาลใจ มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเพราะมันดังมีแฟนคลับเยอะก็ใช้ได้แล้วนะ เรื่องแรงบันดาลใจนี่ยากจะล้างออกว่ะ เพราะพวกตัวละครหลักๆ ก็เด่นชัดมากว่าเอามาจากไหน ระบบโรงเรียนสี่หอมาจากเรื่องอะไร จะบอกว่ามีข้อคิดคำคมก็หรูแล้วสำหรับนิยายแฟนตาซีวัยรุ่นแบบนี้มันก็ไม่ใช่นะเฮ้ย ถึงจะมีข้อคิดดีๆ คำคมหรูๆ แต่มึงก็ตัดความจริงข้อหนึ่งไม่ได้ว่านิยายเรื่องนี้มัน "มีแรงบันดาลใจ" มาจากเรื่องอื่น (แถมไม่ได้มีแค่เรื่องสองเรื่อง) และมึงไปดูเรื่อง GOT ซิว่าเขามีกลิ่นแรงบันดาลใจมากไหม ความออริจินอลมีอยู่กี่เปอร์เซน และอื่นๆ อีกมากมายที่บารามอสไม่มีทางเทียบติดได้ เพราะความเป็นออริจินอลมึงก็แพ้หลุดลุ่ยตั้งแต่แรกล่ะโว้ย!
>>440 ถูกใจ ปรบมือให้แปะๆ คือชมได้แต่ขอร้องอย่าาอวยเยอะเกิน เท่าที่กูเห็นนอกจากในโม่งแล้ว ยังไม่เห็นมีใครติบารามอสเลยซักคนว่ะ แล้วไอ้ข้อคิดดีๆน่ะมีแน่ แต่กูไม่อินเลยว่ะ ไอ้คำคมนี่เหมือนยัดใส่ปากให้พูดเท่ๆไปงั้นแหละด้วยซ้ำ กลายเป็นแบบอย่างให้พวกนักเขียนคนอื่นทำตามกันไปหมด พูดแต่ละคำนี่โคตรประดิษฐ์ ไม่เป็นธรรมชาติ กูล่ะเบื่อ
>>440 อ่อ ลืมไป กูเคยเห็นในเด็กดีตั้งกระทู้คล้ายๆกัน แต่เป็นอยากให้บารามอสทำหนัง คือกูก็ไม่อะไรหรอกแต่รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่ดีอ่ะ ถึงสมัยนี้จะพัฒนาแล้ว แต่อะไรหลายๆอย่างก็ท่าจะทำให้เป็นจริงยากว่ะ คนไทยทำไม่ไหวแน่ ครั้นจะให้ฝรั่งทำเหรอ เค้าคงไม่อวยนิยายเรื่องนี้เท่าคนไทยหรอกมั้ง กูว่าเค้าคงมองว่าเป็นแค่นิยายแฟนตาซีธรรมดาๆด้วยซ้ำ ไม่ได้ดีจนต้องทำเป็นหนังซะขนาดนั้น
>>440 เอาจริง ๆ นะ ตัวนิยายออริจินัลมากแค่ไหนหรือเป็นหนังสือที่ดีมั้ยไม่เกี่ยวกับการได้สร้างเป็นหนังเลย สิ่งที่สำคัญคือความนิยมในโลกตะวันตกตะหากล่ะ นิยายที่เขียนมาจากแฟนฟิคแฮร์รี่ พอตเตอร์ยังได้สร้างเป็นหนังเลย ทไวไลท์เนื้อเรื่องก็ไม่ได้ดีเด่อะไรยังได้สร้างเป็นหนังเหมือนกัน แม้แต่ฮังเกอร์เกมเองก็มีส่วนคล้าย Battle Royal อยู่เหมือนกัน
ปัญหาคือการที่จขกท. เอามาเทียบกับ GOT มันออกจะปญอ. แล้วก็ล่อเป้าจนคิดว่าคนตั้งกระทู้นี่เป็นกองอวยหรือกองแช่งกันแน่ = ="
เอาจริง ๆ เราก็ไม่ได้ชอบ GOT นะ แต่เรื่องที่ต้องยอมรับเลยคือคนเขียนรีเสิร์ชก่อนสร้างโลกมาดี สร้างโลกมาได้น่าเชื่อถือ ภาษาเขียนสร้างบรรยากาศได้ดี เนื้อเรื่อง... เราเลิกตามไปแล้วดังนั้นไม่ขอคอมเมนต์ ส่วนบารามอสมันจับโน่นผสมนี่มากเกินไป เซ็ตติ้งโลกก็ยังไม่สมจริง ภาษากับมุกตลกในเรื่องก็ร่วมสมัยเกินไป ถ้าเอาไปเขียนเป็นมังงะยังพอว่า แต่ให้เอามาสร้างเป็นหนังหรือซีรีส์นี่ไม่มีทางอ่ะ
>>439 ส่วนตัวกูดูตามบริบทเรื่องวะพวกชื่อเฉพาะแบบฮาล์ฟบลัดนี้ส่วนตัวถ้ามันไม่ใช้ศัพท์ยาก(หรือเฉพาะหรือล้อ)อะไรจะทับหรือแปลก็ได้ แต่คำว่าCamp นี้สมควรแปลเพราะเป็นคำทั่วๆไป
ส่วน A.B กูไม่ค่อยเข้าใจว่าจุดนี้คือหมายถึงอะไรชื่อย่อคน?
>>437 เอาจริงกูว่าควรไปกระทู้วงการนิยายไทยไม่ก็กระทู้แฟนตาซีมากกว่ากระทู้นี้ไว้คุยเทคนิคการเขียนหรือข่าวสารการประกวดไรพวกนี้
การที่บารามอสกลายเป็นหนึ่งในตำนานแห่งวงการนิยายแฟนตาซีไทย สำหรับกูมันคือความฉิบหายครึ่งหนึ่งของวงการเลยว่ะ เพราะตัวต้นตำนานมันดันมีแรงบันดาลใจเยอะแยะเด่นชัด นักเขียนรุ่นต่อมาเลยเกิดแรงบันดาลใจต่อยอดสร้างนิยายตัวเองที่มีแรงบันดาลใจยำรวมกันมั่วและอัดคำคมหรูๆ ปกปิดไว้ (มิกซ์แฟนฟิคโรเซเนียคือตัวอย่างในปัจจุบันที่กูเห็นชัดมากเลยเรื่องนี้) นี่ยังไม่นับเรื่องผลการตลาดวงการนิยายที่ทำให้พวกสำนักพิมพ์เกิดค่านิยมไล่หานิยายที่ดังเพราะมันเบียวถูกใจเด็กน้อยเอามาขาย แฟนคลับเยอะน่าจะขายได้เยอะ แต่เสือกไม่คำนึงถึงคนซื้อเลยว่าเด็กวัยรุ่นวัยเรียนที่ไม่มีงานทำจะหาเงินมาจากไหน? นิยายเล่มละสองร้อยกว่าเด็กวัยนี้มันจะรีบซื้อทันทีที่ออกได้ไงถ้าไม่ขอตังพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ไม่ให้ก็ต้องเก็บตังค์ แต่กว่าจะเก็บตังค์ซื้อได้กระแสก็ซาสำนักพิมพ์ก็ลอยแพเล่มต่อเพราะเล่มแรกๆ ขายไม่ดี เพราะมันก็แพงเกินไปสำหรับพวกแฟนคลับเด็กน้อยที่ยังหาเงินเองไม่ได้ การไล่หานิยายดังๆ มาตีพิมพ์โดยไม่สนใจคุณภาพเนื้อหาแบบนี้กลายเป็นการสร้างค่านิยมให้พวกนักเขียนคิดว่าถ้ากูแต่งนิยายแนวนี้ต้องดังและได้ตีพิมพ์แน่นอน แค่แต่งตามกระแสดึงแรงบันดาลใจมาผสมนิดหน่อยก็เรียบร้อย หาคนอ่านให้เยอะๆ ปั่นวิวให้มากๆ จนติดท็อปเดี๋ยวสำนักพิมพ์ก็มาหาเอง เพราะฉะนั้นมึงอย่าแปลกใจว่าทำไมนิยายแฟนตาซีส่วนใหญ่ที่วางขายมันถึงแนวเดียวกันวะ ก็เพราะพอมีเรื่องหนึ่งในแนวนี้มันดังและขายได้ นักเขียนทั้งหลายก็จะเกิดแรงบันดาลใจผลิตนิยายส่งให้สำนักพิมพ์ และตัวสำนักพิมพ์ก็ถือหลักการตลาดเป็นหลัก หลักอุดมการณ์เป็นรอง มองหาแต่นิยายพล็อตนิยมในขณะนี้ที่ดังพอขายได้ คุณภาพเนื้อหาเป็นไงช่างมัน แค่ดังขายได้ก็พอ และมันก็คือจุดกำเนิดนิยายแนวการตลาดในบ้านเรา เขียนเพื่อขายไม่ใช่เขียนเพื่อความฝัน
กูว่าชื่อย่อนี่เขียนอังกฤษไปเลยดีกว่า เพราะตัวอักษรหนึ่งตัวมันก็ออกเสียงได้มากกว่าหนึ่งเสียงนะ เช่น เซลิก้า (Celica) ถ้ามึงย่อว่า ซ.ล.ก คนอ่านบางส่วนคงไม่คิดว่ามันจะย่อว่า C.L.C หรอกว่ะ แต่จะคิดเป็น S.L.C ,S.L.G ,C.L.G รึจะวงเล็บกำกับก็ได้ เช่น ซ.ล.ก (C.L.C)
แต้งกิ้วมากเพื่อนกูยังอยู่ๆ5555 คือมันเป็นเพลงกล่อมเด็กน่ะมึง จริงๆกูแปลเป็นกลอนแปดไปแหละแต่มันดูยืดๆ ตอนนี้กูเลยกะจะแปลแค่บทที่ตัวละครมันท่องกัน ส่วนตัวเต็มกูคงอังกฤษไว้งั้นเลย คนอ่านจะตงิดๆมั้ยวะ555
>>440 กูว่าเรื่องจะได้หรือไม่ได้แรงบันดาลใจมันไม่เกี่ยวว่ะ ขึ้นอยู่กับความดังและความชอบของคนล้วนๆ ถ้าคนชอบเยอะ มันก็เป็นไปได้ ไม่งั้นละครไทยมันจะซ้ำซากอยู่แบบนี้เหรอวะ (เอาจริงๆ ซีรีส์ฝรั่งหลายเรื่องแม่งก็เนื้อหาซ้ำๆ เหมือนกันเหอะ) อีจขกท มันจะผิดก็ตรงที่มันดันเอาไปเปรียบเทียบกับ GOT แค่นั้นแหละ สเกลมันใหญ่ไม่พอจะไปสู้
คุยเรื่องบารามอสไปกระทู้แฟนตาซีเถอะมึง
ปล้ำกับข่มขืนในนิยายนี่ต่างกันยังไงวะ
>>456 ปล้ำ=นางกับพระเอกได้เสียกัน ข่มขืน=ผู้ร้ายปล้ำตัวเอก
สมการจากละครไทยอะมึง ตัวเอกในที่นี้คือน้องหรือพี่สาวพระ/นาง เพื่อนสนิท นางรอง บลาๆ ส่วนนางเอกตัวจริงต้องเสียซิงให้พระเอกคนเดียวเท่านั้น เว้นแต่จะเคยแต่งงานมีลูกมาก่อนหรือเป็นสาวแรด(ที่จะเปลี่ยนเป็นสาวหวานเมื่อเจอพระเอกสไตล์คู่แข่งแรงพอกันหรือสุภาพชนคนแสนดี)
นิยายแนวต่างโลกกับต่างมิติมันต่างกันยังไงวะ คือกูเห็นนิยายที่มีชื่อทำนอง ถูกส่งไปต่างโลก ชีวิตของ(ชื่อตัวเอก)ในโลกต่างมิติ บลาๆ แต่เท่าที่กูอ่านมันก็คือพวกตัวเอกถูกส่ง/เรียก/เกิดใหม่ ในโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกเดิมของตัวเอง ก็แค่นั้น
ถ้ากูใช้การเล่ามุมมองที่ 3 แต่ช่วงย้อนอดีตหลักของพระเอกเป็นมุมมองที่ 1 นี่จะได้ป่าววะ
บางคนชอบ3ก็ต้อง3ตลอด 1ก็ต้อง1ตลอด ปนกันเดี๋ยวก็โดนติอีกนะละ
กูจะเขียนนิยายแนวตัวเอกไปต่างโลก แล้วทีนี้จะมีบทที่พระเจ้าคุยกับพระเอกเรื่องโลกของพระเอก ปัญหาคือกูควรจะใช้คำอะไรเรียกโลกของพระเอกที่เป็นโลกเดียวกันกับเรานี่แหละ ใช้คำว่า Blue Planet ได้ปะ ถ้าใช้เอิร์ธหรือ World สำหรับกูมันก็แคบไปนะ
มันมาแล้ว http://www.dek-d.com/writer/41670/
เบียวจนพลิกโฉมวงการ 55555+
กูว่าควรเสียใจว่ะ เบียวชิบหาย
ปกตินิยายตอนนึงนี่เขียนความยาวแค่ไหนกันอะ
แล้วแต่คน ของกูอย่างต่ำ 3,000 คำ/ตอน
กุแต่งเรื่องนึง เกี่ยวกะโลกอนาคตมี'เมืองหลวงใหม่' ของไทย ที่มาแทนกรุงเทพ
ถ้ากุตั้งชื่อเมืองว่า 'นิวบางกอก' จะสิ้นคิดไปมั้ยวะ
กุตัน คิดชื่ออื่นแล้วได้แต่ลิเกๆ ไม่ไซไฟเลยว่ะ
>>475 กู 479 นะ พอดีกดส่งแล้วลืมพิมพ์อีกนิด
แล้วไม่ใช่ว่า หน้านึงนี่กด enter เว้นบรรทัดมา 10 บรรทัดต่อ1 พารากราฟนะ
กูใช้ระยะห่าง 1 ส่วน enter ก็แค่ 1 ครั้งหลังจบพารากราฟอ่ะ
บางคนแม่งเขียนเหี้ยไรไม่รู้ enter เหี้ยไรมาตั้ง 6-10 บรรทัด
แล้วมันเหมือนตัดมู้ด คนเขียนคุมมู้ดเนื้อเรื่องไม่อยู่เพราะตัดบรรทัดผิดนี่แหละ
ตอนนี้กูกำลังจิตตกว่ะมึง เขียนอะไรก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ไม่ก็เขียนไม่ออกไปซะหมด รู้สึกตัวเองห่วยลงเรื่อยๆว่ะ กำลังคิดหาวิธีให้มีกำลังใจกลับมาอยากเขียนเหมือนเดิมอยู่เนี่ย กูเคยชอบเขียนแต่พอเจออะไรหลายอย่างๆ มันทำให้กูกดดันตัวเองจนบางทีก็ท้อว่ะว่าทำไปก็เท่านั้น สู้ใครเขาไม่ได้ซักที
มีใครเจอปัญหาจำพวกจะเขียนไรเวอร์ๆยิ่งใหญ่แล้วติดตรงทำไมแม่งต้องเมืองไทยวะบ้างมั้ย คือกูอยากเขียนแบบโรงเรียนเวอร์ๆ เหตุการณ์เวอร์ๆ(แบบ fate) องค์กรเวอร์ๆยิ่งใหญ่อลังการเป็นตำนานโลกแล้วมันก็ติดว่าไอ้พวกนี้ทำไมแม่งต้องอยู่ที่เมืองไทยวะ... ทำไมแม่งต้องอยู่ในประเทศโลกที่สามด้วย โคตรไม่สมเหตุสมผล(ทั้งๆที่ความเวอร์มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้วก็เถอะ)
ไม่แฮะ กุจะติดก็ต้องภาษามากกว่าแบบอยากตั้งชื่อให้อลังการแต่ใช้คำไทยแล้วลิเกมากไรงี้
มึงต้องรู้จักแหกความคิดนั้นออกมาให้ได้ ทุกที่มันสามารถเว่อร์ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นๆ
(เอาจริงๆญี่ปุ่นแม่งจะตายทำไมพวกมนุษย์ต่างดาวต้องอยากไปเริ่มครองโลกที่นั่นล่ะวะ ทำไมก๊อตซิลล่าต้องถล่มที่ญี่ปุ่น มาไทยนี่มีที่ให้วิ่งเล่นกว้างกว่าตั้งเยอะ)
- โรงเรียนเว่อร์ๆ - แถวบ้านกูมีโรงเรียนนานาชาติที่โคตรแพงจ่ายค่าเทอมทีเป็นแสนๆ เด็กนักเรียนแม่งก็อยู่แต่ในโรงเรียนแทบไม่ออกมาเดินข้างนอกให้เห็น ไม่แน่มันอาจจะเป็นโรงเรียนเวทมนตร์หรือมีประตูมิติอยู่ก็ได้ (จริงๆคือแม่งรวย มันมีคนขับรถรับ-ส่ง ไม่ขึ้นรถเมล์)
- เหตุการณ์เว่อร์แบบเฟท - มึงลองไปดูกลุ่มในเฟส fate/thailand เอาวีรชนไทยมาวาดแต่งกันสนุกสนาน (แต่กลุ่มนี้นานมากละตอนนี้ไม่อัพเดทแล้วมั้ง)
- องค์กรเว่อร์ๆ - มันมีองค์กรมนุษย์ต่างดาวที่ต้องการครองโลกมาลงยานจอดอยู่แถวปทุม ล้างสมองมนุษย์ให้เป็นผู้ศรัทธาจนกระทั่งกฏหมายก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ (แต่ตอนนี้แกล้งป่วยอยู่ เดี๋ยวค่อยมาดำเนินแผนครองโลกต่อ)
ตอนเด็กๆกุเคยโดนครูหลอกว่าใต้อนุสาวรีย์ชัยมีองค์กรลับใต้ดิน กุยังเชื่อเลย
อึ้งกับความคิดคนดัง 'บางคน'
☆☆☆☆
ยอมรับว่าอึ้งเล็กนัอยกับ นักเขียนนิยายคนหนึ่งที่นิยายถูกนำไปทำละครแล้วฟลุ๊คดังขึ้นมา ขณะที่นิยายของเธอนั้นยอดขายถือว่าไม่ดีเลยๆๆๆๆๆ
เธอว่า ไม่มาเรียนในคลาสผมเด็ดขาด ...ซึ่งผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว
และเหตุผลที่ไม่มาเรียนก็คือ กลัวผมเอาเครดิตเธอไปใช้เรียกแขกว่าเธอดังก็เพราะมาเรียนในคลาสกับผม
เป็นอะไรที่อึ้งจริงๆ...ยอมรับว่าเคยแนะนำงานของน.ร.ในคลาส แต่ไม่เคยคิดว่าเอาพวกเขามาแนะนำเพื่อสร้างเครดิตให้ตัวเองเลย
เมื่อคิดไปก็อาจเป็นเพราะช่วงหลัง การทำพีอาร์แสนเก่งของเธอนั้น ทำให้เธอได้รับการติดต่อให้ไปพูดคุยกับใครๆบ่อยครั้ง รวมทั้งเปิดคลาสสอนเขียนนิยายด้วย...โดยคนทีติดต่อไปนั้นก็ช่างไม่ดูเสียเลยว่าเธอเขียนนิยายเก่งจริงหรือเปล่า หรือว่าคนเขียนบท กับทีมละครเขาเก่งกันแน่
คิดแล้วได้แต่รู้สึกตกใจมาก
ไม่คิดเลยว่าเด็กสมัยนี้คิดอะไรกันได้แบบนี้
วงการหนังสือ ถึงแม้นจะเป็นวงการธุรกิจ
แต่ไหนแต่ไรมาเราอยู่กันแบบพี่น้อง ไม่ใช่แบบนี้
เอาเถอะ...เธอหรือใครจะคิดอะไรอย่างไรก็ช่างเธอ
สุดแต่ใจจะไขว่คว้าล่ะกัน
..และขอแผ่เมตตาให้เธอ.'ผู้แสนดัง'
จากเฟซบก.โป่ง เขาหมายถึงใครวะ กูถามถูกห้องมั้ย หรือกูควรไปถามห้องไหน?
กูกำลังจะมาโพสถามแบบเดียวกันเลย สงสัยเหมือนกันว่าแกพูดถึงใคร
มีคนดัดแปลงบทละครเก่งด้วยเหรอวะ กูเห็นนิยายไปทำละครนี่เรื่องไหนเรื่องนั้น พังทุกราย
ขอสอบถามโม่งที่เคยตีพิมพ์หน่อย เรื่องปกนิยายภาพประกอบนี่ถ้าจะจ้างวาดเองสนพ.มีงบให้ปะ แล้วถ้าให้สนพ.จัดการเลือกนักวาดเองคนเขียนจะมีสิทธิ์รีเควสกับคนวาดโดยตรงหรือผ่านบก.
>>490 ถ้านักเขียนจ้างคนอื่นวาด มันก็เหมือนกับการเสนองานให้สนพ สนพมีสิทธิ์จะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ บางสนพก็มีนักวาดประจำของเขาอยู่แล้ว ถ้านักเขียนต้องการต่อรองเลือกคนวาดเองก็ต้องคุยกัน และบอกเหตุผลกันว่าทำไม ถ้าภาพมันเยี่ยมจริง สนพก็อาจจะซื้อจ้ะ ราคาค่าจ้างก็จะอยู่ในอัตราเดียวกับที่สนพนั้น ๆ จ่าย ถ้าถูกกว่า สนพก็อาจจะชอบ แต่ถ้าแพงกว่า ยากกก เว้นแต่คนวาดจะดังขนาดช่วยฉุดยอดขายหนังสือได้เท่านั้น
เจ๊JK Rowling นี่หนังสือของเเกที่ไม่ใช่Harry Potterมันขายได้เปล่าวะ เห็นทำออกมาเเล้วก็เงียบ ช่วงนี้เจ๊เเกก็กลับไปหาเเดกกับHPต่อละ
เเบบนี้กูสงสัยมากเลยว่าHPมันเป็น one-hit wonderรึเปล่า
เเต่กูเลิกสนใจเจ๊เเกตั้งเเต่พยายามเอาใจพวกSJW feminist ละ ไร้สาระชิบหายเฮอร์ไมโอนี่ผิวดำ
lul
แฮรี่สนุกตรงไหนฟะ กูอ่านแล้วเมากาวชิบหาย
วั้ย มันอ่านว่า เกมออฟโทรน นี่หว่า ปล่อยโง่เลยกุ
เรื่องที่เอ่ย เพื่อนโม่งอ่านไปเถอะ
อย่างน้อยเป็นต้นทุนในงานเขียนที่มึงจะได้มีมุมมองแบบต่างๆ บ้าง
แบบเขียนยังไงให้คนอ่านทั่วโลกได้ เขียนยังไงให้ขายได้ จะซูจะแกรี่ยังไง
นักเขียนส่วนใหญ่เริ่มจากการอ่านนี่แหละ
แล้วงานมึงจะขายได้หรือไม่ได้ ก็ควรดูเป็นแนวไว้
ประเภทคิดว่าต้องแต่งให้ดี เพื่อมุนษย์ชาติ กูมองว่าเกิดยาก
นอกจากมึงเขียนเพื่อสนองความต้องการตัวเองล้วนๆ แล้วเก็บไว้อ่านคนเดียว
ลอร์ดกับเกมออฟโทรนนี่กูโอเคนะ แต่กูไม่ชอบแฮรี่ไม่รู้ทำไม
แฮร์รี่กุโอเคนะ ถึงจะอ่านไม่ครบทุกเล่มก็เหอะ
แต่ลอร์ด เล่มแรกยังไม่พ้นเลย ส่วนโทรนยังไม่ลอง
กุ 495 เอง กูก็พยายามลองอ่านแล้วนะ แต่ว่าไปไม่รอดอะ 10หน้าแรกกุก็หลับละ
ถ้าอยากเป็นนักเขียน ควรอ่านหนังสือเยอะๆ แล้วก็หลายๆแบบนะ ไม่งั้นจะโลกแคบ เลือกใช้คำไม่เก่ง การสร้างประโยควนเวียนอยู่แต่รูปแบบเดิมๆ
>>504 จริง กูเห็นด้วย อ่านไปบางทีก็ไม่ได้ชอบอะไรหรอก แต่อ่านเพื่อให้คิดว่ามันมีดีอะไร นักเขียนควรอ่านหนังสือให้หลากหลายเข้าไว้
แต่หลายครั้งกูก็สับสนเหมือนกันนะ =_=
คือพวกที่โดนด่าว่าเป็นขยะวรรณกรรมบางเรื่องดันเป็นงานที่อ่านสนุก
แต่วรรณกรรมคลาสสิก/วรรณกรรมรางวัลหลายเรื่องกลับเป็นงานที่ดีแต่อ่านไม่สนุก ในที่นี้กูหมายถึงน่าเบื่อชิบหาย ไม่มีแรงจูงใจให้อ่านต่อ
ex. LOTR, ความฝันในหอแดง, ซ้องกั๋ง บอกกูทีว่าหัวใจของคนที่อ่านแต่ต้นจนจบรวดเดียวมันทำด้วยอะไร = =
>>505 LOTR มันน่าเบื่อมากจนจะจบเล่มแรกถึงเฮ้ย... แล้วกูก็หยิบเล่ม 2 อ่านต่อ จนตอนนี้ถ้าแนวแฟนตาซีกูยก LOTR ว่าเป็นวรรณกรรมชั้นครูกูชอบมากกว่าแฮรี่
ความฝันในหอแดง มันเล่าถึงจารีตเก่า ประเพณีของจีนโบราณ มึงอ่านมึงต้องสนใจวิถีแนวคิดของคนยุคนั้นแล้ววิเคราะห์ตามมันสะท้อนหลายอย่างที่กูอ่านแล้วสงสารตัวละคร
ซ้องกั๋ง ไม่แปลกที่ส่วนใหญ่จะไม่ชอบ มันหมดยุควรรณกรรมปลกแอกมองหาสังคมการปกครองเพื่อชาติไปแล้ว เรื่องนี้กูจำชื่อตัวละครไม่ไหวพอๆ กับตอนอ่านสามก๊กอ่านไปกุมหัวไปตัวละครเยอะชิบหายแต่สามก๊กกูยังอ่านจบเรื่องซ้องกั๋งกูแพ้เหมือนกัน
ทำไมคนเชียร์เเดนี่ให้ได้บัลลังค์เยอะจังวะในGoT น้องเเกไม่ได้เก่งห่าอะไรเลย เอาเเต่ใจตัวเองเป็นหลักด้วย ถ้าเเค่เมืองเดียวยังปกครองไม่ได้ เเล้วจะปกครองเจ็ดอาณาจักรให้รอดได้ไงวะ ข้อได้เปรียบมีข้อเดียวคือมีมังกร อย่างอื่นติดลบ
หรือเชียร์เพราะ muh female empowerment ถถถถ
ขอถามสหายโม่ง มีใครส่งงานประกวด Young Thai Artist ของ SCG ปีนี้มั้ย? เห็นว่าใกล้หมดเขตแล้ว
>>508 กูก็ไม่ชอบแดนี่ เบื่อการโชว์อภินิหารหนังทนไฟของนาง ไม่ชอบจอนด้วย ฮีดูไม่มีสกิลของการเป็นผู้เล่นเกมที่ดี ใจจริงอยากให้ทีเรียนเป็นคิง แต่ทีเรียนก็ดันเป็นคนแคระ อาจจะโดนต่อต้านอีก ลุงมาร์ตินแม่งไม่เหลือทางที่ได้ดั่งใจไว้ให้เลย
นี่กูรอ ss หน้า ถ้าอีจอนฉลาดขึ้นกูอาจจะย้ายไปอยู่ทีมมัน
เพราะแม่มังกรมีเส้นทางฮีโร่มากที่สุดนะสิ จากเจ้าหญิงที่ถูกขับไล่กลับมาทวงบัลลังก์ด้วยสมบัติแห่งราชวงศ์=มังกร ระหว่างทางก็เพชิญอุปสรรคนานับประการแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเนื้อแท้อันดีงาม อา~ นี่ละวีรชนที่โลกรอ
ถ้านึกภาพไม่ออกก็ไปดูอัสลานซะ
ปล. ในแง่ตัวเลือกราชา ส่วนตัวกูชอบไทวินมากที่สุด รองมาก็ทีเรี่ยน ป้าสวนดอกไม้ก็พอไหว แต่ไม่เอาสตาร์ค พวกนี้ใจอ่อนเกินไป เป็นราชาที่ดีไม่ได้หรอก แย่กว่าเดนี่อีก
Stannis the mannis = best king option of Westeros
ซีรีส์ทำป๋าเเสตนนิสกูกลายเป็นตัวเหี้ยเลย ในหนังสือนี่โคตรฮีโร่ เป็นคนเดียวที่ปกป้องอาณาจักรอย่างเเท้จริงเเละมองเห็นภัยของจริงในอนาคต(whitewalker)
อีกอย่างคือสเเตนนิสมีอัศวินหัวหอมดาวอสอยู่ด้วย
ไปคุยกระทู้แฟนตาซีได้แล้วมึง
จอนไม่ได้โง่ มีการเรียนรู้พัฒนาไปเรื่อยๆ เป็นจอมวางแผน(ในหนังสือ) แตในซีรี่ย์มันดูบุ่มบ่ามไปหน่อย
แดนี่ยังไม่ถึงไหนในหนังสือ แต่ในซีรี่ย์โหดเกิน ยังกะเติมทรูอะ สกิลเต็ม มีสัตว์ขี่ ปาร์ตี้เทพ กิลด์เวลตัน แม่งไม่ได้มีความน่าลุ้นเลย
สรุป กูเชียร์สตาร์ค เชียร์จอน จอน สตาร์ค ไม่เอาจอน ทาแกเรี่ยน นั่นเป็นสิ่งเดียวที่กูภาวนา ขอให้คนอื่นๆอย่ารู้เลยว่าเรการ์เป็นพ่อจอน ให้ทุกคนเข้าใจแบบนี้ล่ะดีแล้ว
กูมีคำถาม พวกนิยายทัณฑ์สวาททาสซาตานเถื่อนมันมีหลักตั้งชื่อกันยังไงให้ไม่ซ้ำกันซักเรื่องวะ กูถามขำๆ ไรสาระนะ ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร พอดีกูว่างๆ แล้วกูก็ฮา 555
จำกัดความของนิยายยูริมันอยู่ตัวหลักอย่างเดียวปะวะ คือกูวางความสัมพันธ์ตัวละครไว้งี้ว่ะ
นางเอกแอบชอบรุ่นพี่ชาย-แต่น้องสาวของรุ่นพี่คนนั้นก็แอบชอบนางเอก(และเป็นเพื่อนกันด้วย)-แต่เพื่อนของนางเอก(หญิง)ก็แอบชอบน้องสาวด้วย
โดยกูจะจับคู่ นางเอก+น้องสาว เพื่อนนางเอก+รุ่นพี่ และนิยายเรื่องนี้มันเน้นเรื่องผจญภัยแฟนตาซีเป็นหลักรักเป็นรองนะ จะเรียกว่ายูริหรือแฟนตาซีดีวะ
>>519 เรียกว่ายูริแฟนตาซีกูว่ามันก็ได้นะมึง อย่างน้อยกูว่าจั่วหัวประกาศแนวไปก็ดีคนไม่ชอบจะได้ไม่อ่าน อย่างยาโอบางเรื่องที่กูเจอมีตัวคู่ชายชายก็จริงแต่เรื่องมันก็ไม่ได้โฟกัสรักเป็นเรื่องหลักวะ(ถึงมีดราม่าเรื่องนี้บ้าง) ก็จั่วหัวว่ายาโอXXXบอกแนวที่แต่งไปอะไรแบบนี้
ถ้ากลัวคนอ่านคาดหวังฉากรักมากไปก็อาจบอกหน่อยว่าไม่เน้นนะอะไรงี้
ปล.แต่งแล้วอย่าลืมลงลิงค์มาด้วย กูต้องการอ่าน
เออ กูไปนั่งดูคลิปเกมShadow of the colossusมาแล้วชอบการเล่าเรื่องเค้าว่ะ แบบไม่ต้องมีคนคอยบรรยาย ปล่อยให้ตลค.กระทำต่อไปเรื่อยๆจนเรื่องเผยออกมาเอง แต่พอเป็นงานเขียนกูยังนึกภาพไม่ค่อยออกว่ะ มีใครแนะนำอะไรให้กูไปลองศึกษาดูหน่อยได้ไหม
จอมมารผู้กล้า รับรู้เรื่องผ่านบทสนทนาอย่างเดียวก็พอได้นะ
เดี๋ยวนี้กูห่างจากการเขียนไปค่อนข้างนานเลยว่ะ เมื้อก่อนเขียนอะไรก็ยังลื่น เดี๋ยวนี้เขียนแค่ครึ่งหน้ายังคิดแทบไม่ออก กูอยากกลับมาฝึกตัวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มไงดี หลายครั้งที่กูมีไอเดียในหัวเป็นภาพๆฉากๆนะ แต่พอจะบรรยายกลับทำไม่ได้แล้วว่ะ เขียนอะไรก็ครึ่งๆกลางๆตลอด เซ็งตัวเองจัง พอหันไปทำอย่างอื่นแม่งก็หมดอารมณ์เขียนอีก กูมีอารมณ์อยากเขียนแต่พอจะเขียนก็ทำไม่ได้ว่ะ
พวกมึง นอกจากเด็กดีแล้วยังมีที่ไหนที่หาคนอ่านแฟนฟิคการ์ตูนได้บ้างวะ
>>531 กูก็เป็นโคตรบ่อย เพราะแบบนี้นักเขียนดังหลายๆ คนถึงได้แนะนำว่า "ต้องเขียนทุกวัน" การเขียนมันเป็นงานที่ต้องการความต่อเนื่อง ระหว่างที่กำลังตันๆ เขียนไม่ออก มึงควรลิสต์สิ่งที่มึงคิดจะเขียนไว้อย่างละเอียด แล้วหานิยายดีๆ มาอ่านสักสามเล่ม หลังจากนั้นค่อยกลับมาเขียนใหม่ คนอื่นทำไงไม่รู้แต่กูทำแบบนี้ ได้ผลนะ แต่ระวังการเผลอยืมภาษาจากนิยายที่มึงอ่านมาใส่งานตัวเองด้วย
ขอถามหน่อย ถ้าพวกมึงเขียนงานแนวแฟนตาซีดาร์กๆ พวกมึงอยากตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ไหนวะ?
>>535 เมื่อก่อนตอนเด็กๆกูอ่านเยอะอยู่นะ ถึงจะแนวแฟนซีเห่อหมอยแถมติดภาษาเขามาอีก 555 แต่ตอนนั้นแบบว่าเขียนลื่นชิบหาย คิดอะไรก็ออกมาเป็นคำหมด เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้อ่าน หาถูกใจยาก แถมค้องไปฝึกวาดรูปอีก กลายเปฌนตอนนี้คิดอะไรก็เป็นภาพหมดละ เขียนไม่ออก /ในเลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่...
ตอนนี้กูว่าจะลองฝึกเขียนวันละ10นาทีด้วยว่ะ อ่านจากเวบฝรั่งมา อย่างน้อยก็น่สจะช่วยอะไรได้บ้างแหละ
มึง นิยายที่กูแต่งอยู่กูวางตอนจบไว้ 2 แบบอ่ะ (จบเศร้ากะจบดี) กูอยากได้ทั้ง 2 แบบเลยจะทำไงวะ ส่งอันนึงให้สนพ.อันนึงลงเว็บก็คงไม่ได้อีก
>>536 กูแนะนำเอนเทอร์ ออลเวย์ หรือ 1168 เพราะที่เหลือกูเห็นดองงานคนไทยหันไปจับนิยายแปลกันครึกโครมละ เอนเทอร์ถึงจะมีนิยายแปลเหมือนกันแต่ก็ยังมีผลงานแต่ละเรื่องสม่ำเสมอเป็นรายปีไม่เหมือนสถาพรที่ดองข้ามปี แถมหมวดดาร์กแฟนตาซีก็เหมือนจะลอยแพไปแล้วนะ ส่วนออลเวย์กับ 1168 เป็นสนพ.เล็กๆ เลยไม่มีงบซื้อนิยายแปลล่ะมั้ง 1168 เองก็ดูจะเน้นขายของพรีเมี่ยม(เข็มกลัด ที่คั่นหนังสือ หรืออะไรจิปาถะที่เอาภาพปกนิยายมาใช้ได้ ซึ่งกูว่านักวาดคงรายได้ดีกว่านักเขียนเลยล่ะมั้ง) ออลเวย์ก็เพิ่งเปิดใหม่ ความจริงเขาก็รับแฟนตาซีทุกแนวนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีคนส่วนใหญ่ส่งนิยายสยองขวัญไป เลยกลายเป็นว่าสนพ.นี้มีแต่ผลงานแนวสืบสวนสยองขวัญแทน(ฮา) เปิดมาได้ครบปีแล้วมั้ง กูก็เห็นว่าน่าจะไปได้ดีกว่าเมจิคนะ
>>541 ดาร์กแฟนตาซี กระแสเฉพาะกลุ่มย่อยลงไปอีก
ขนาดแฟนตาซีธรรมดายอดขายยังลำบากมากเลยช่วงนี้
ที่ขายดีคงตามที่เพื่อนโม่งว่า นิยายแปล กับแนวเฉพาะกลุ่มวาย
อีกอย่างสังเกตว่าช่วงนี้ตลาดเงียบมาก
แฟนตาซีเปิดหัวใหม่ของแต่สนพ. แทบไม่มี ส่วนใหญ่เป็นเล่มต่อเดิม
ปัญหาใหญ่อีกอย่างมาจากร้านหนังสือ ซีเอ้ด b2s นายอินทร์ ค่อนข้างเคี่ยวในการเลือกหนังสือไปลงอีก ตามสภาพเศรษฐกิจ ถ้าไม่ใช่เครือข่ายของ สนพ. ของเขา หนังสือที่ไปวางจะถูกปลดออกจากชั้นวางเร็วขึ้น ยอดเรื่องไหนไม่เดินก็จะห้ามไปวางอีก
แต่เดี๋ยวนี้เด็กเบียวชอบแนวดาร์กแบบบ้าๆฆ่ากันเลือดสาด จูรอเบียว doesn't make anysense กันมากขึ้นนะ แบบทำเหมือนสังคมรอบตัวผิดไรประมาณนี้ กูขอท่ดสำหรับภาษากูพอดีกูรีบ
รู้สึกเหนื่อยว่ะ ลงนิยายไม่มีคนอ่านไม่มีคนเมนท์เลย หรือกูจะเขียนได้น่าเบื่อเกินไป จนคนอ่านไม่สนุกวะ
บางครั้งมันขึ้นอยู่กับการโฆษนาวะ นิยายในเว็ปมีเป็นพันเรื่อง ไม่มีใครไล่หาหมดหรอก กูไล่ top 50 ก็ขี้เกียจหาต่อแล้ว
นิยายบางเรื่องไม่ได้ดีอะไร แต่มันโฆษนาให้คนรู้จักได้ พอจุดนึงมันจะมีคนคอยตามเอง พอเราอัพทีก็ขึ้นดี ลอยลมไปเลย บางเรื่องจบไปแล้วยังติดท็อปก็มี
>>546
หลักๆของการติดท็อปในเด็กดี เพื่อนโม่งต้องลงสม่ำเสมอ
แนวฮิตในขณะนั้น จะเกรียน จะซู ยังไงต้องมีบ้าง เพื่อเรียกคนอ่านกลุ่มใหญ่ในเว็บ
กูเห็นหลายเรื่องวัดกันที่ไม่เกิน 20-25 ตอนแรกว่าติดท็อปได้ไหม ถ้าติดได้จะครองอันดับยาวเลย
เห้นคนเขียนบ้างคนบอกว่าวัดกันช่วงแรกนี้เลย ถ้าได้กระแสตอบรับก็ถือว่าไปได้ แต่ถ้ายังดึงคนอ่านมาไม่ได้ อาจต้องพิจารณาว่ารื้อรีไรท์ใหม่หรือขึ้นเรื่องใหม่ไปเลย
เรื่องสำนวนไม่ต้องคิดมาก แต่เนื้อเรื่องถ้าโดนใจ จะมีคนตามเองอย่างแน่นอน
จากประสบการณ์ที่กูเคยเขียนติดท็อปมาช่วงหนึ่ง
คณะกับภาคีต่างกันยังไงวะ คือกูจะสร้างกลุ่มสองกลุ่มที่ไม่ถูกกัน ลำดับสมาชิกในกลุ่มเรียงลำดับตามความแข็งแกร่งน้อยไปมาก จะใช้คณะเหมือนกันไปเลยได้เปล่าวะ
คณะใช่กับกลุ่มที่มีกฎหรือไม่มีกฎ/มีจุดหมายหรือไม่มีจุดหมาย"ร่วมกัน"ก็ได้ แต่มักใช้กับคนที่มีลักษณะเหมือนกัน เช่นคณะละครสัตว์ คณะเดินทาง
ภาคีคือกลุ่มคนที่มีกฎหรือจุดหมายร่วมกัน เช่นภาคีแห่งแหวนคือทำลายแหวน ภาคีนกฟีนิกซ์คือทำลายโวลดามอร์
กูสงสัยเรื่องการใช้ มึง-กู ในนิยายแฟนตาซีแนวยุโรปได้เปล่าวะ แบบตัวละครที่จะพูดก็ไม่ใช่คนไทย เป็นตัวละครที่สร้างใหม่พร้อมกับโลกนิยายนั่นแหละ ที่นี้จะมีช่วงหนึ่งที่ตัวละครนี้จะหลุดปากอุทานในช่วงคับขันหรือตกใจจนเผลอหลุดสำเนียงชาวบ้านออกมา (มันปลอมตัวเป็นลูกพ่อค้าใหญ่น่ะ ใช้ภาษามีระดับหน่อย) เช่น "กูไม่ได้ทำโว้ย!" แต่มันก็ฟังดูแปลกๆ แฮะ ถ้าเปลี่ยนเป็น "ตูไม่ได้ทำโว้ย!" จะโอเปล่าวะ ถ้าใช้ "ฉันไม่ได้ทำโว้ย!" มันก็ไม่ได้ฟีลว่ะ
ถามคนเคยเขียนจบ ปกติพวกมึงวางพล็อตทีละตอนเลยปะวะก่อนเริ่มแต่ง หรือว่าแต่งไปเขียนพล็อตไป
>>554 "ไม่ได้ทำโว้ย" แค่นี่ก็เข้าใจแล้ว ตัดสรรพนามไป แต่บรรยายให้ได้อารมณ์ช่วงนี้ดีว่า
เช่น "ไม่ได้ทำโว้ย" เขาตะโกนใส่เพื่อนด้วยอารมณ์ฉุน ขึงตากำหมัดแบบโมโหสุดขีด
อะไรประมาณนี่
>>557 เคยวางพล็อตแค่ต้น กลาง ท้าย เรื่องคร่าวๆ กันออกทะเลหาจุดกลับไม่เจอ ส่วนรายละเอียดต่างๆ ปรับไปตามที่หัวนึกเขียนได้ในช่วงนั้นๆ
เพื่อนๆ ถ้ากูจะเขียนตัวละครแฟนตาซีที่มีพื้นฐานจากมโนแทบล้วนๆ จะได้ป่ะวะ กูจะสร้างพื้นมารองรับอยู่ แต่กลัวคนอ่านหาว่าไม่เรียล ไม่อิงความจริงเลย
ไฮแฟนตาซีสินะ ทำได้สิ มีให้เห็นเยอะแยะไป ของพวกนี้เขาเรียกว่า world building/setting จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ขึ้นอยู่กับเสกลโลกและธีมของเรื่อง
ถ้าเป็นเรื่องตลกโปกฮาแบบตำนานเทพอัศวินก็ไม่มีใครสนใจอะไรมากหรอก เน้นขำๆ ไว้ก่อน ถ้าธีมจริงจังก็got สร้างศาสนาและพิธีขึ้นมาอย่างละเอียดเลย
>>565 ไม่มีปัญหา แต่ต้องบรรยาความร้ายกาจให้ดูน่ากลัวสุดๆ
เช่น เทพยุงคือเทพเจ้าที่มีความสามารถควบคุมฝูงยุงเพชรฆาตหลายหมื่นล้านตัวให้มารุมสูบเลือดชาวเมืองทุกคนจนแห้งเหือดตายได้ง่ายๆ เป็นซากศพได้
จนทำให้เมืองที่เขาเดินทางผ่านกลายเป็นเมืองร้างแดนอเวจี
บรา บรา บรา อะไรประมาณนี้
โอเคมาก ขอบใจนะเพื่อนๆทุกคน กูกำลังร่างคาแรกเตอร์อยู่ ก็นึกถึงพวกความเห็นแนวว่ามันไม่เรียล ไม่จริง จริงๆต้องเป็นแบบนี้นะ...บลาๆ เลยไม่กล้าเขียนต่อ
อีกเรื่องถ้าเป็นพื้นฐานจากตำนานดั้งเดิมแล้วเราเอามาแต่งต่อจะโดนพวกสายเรียลด่าป่ะ แบบนรกต้องมีไฟโลกันต์ มีกระทะทองแดง แต่กูแต่งเป็นนรกขนมหวาน ของกินเยอะแยะ
>>570 จะให้ดีก็มีจริงแค่เสี้ยวหนึ่งก็ได้ อย่างเทพยุงก้รู้กันดีในการดูดเลือดกับเป็นแมลง
ถ้าเป็นนรก อาจซ้อนกลว่าขนมมีให้กินเยอะแยะ แต่ไปเล่นซ้อนกลในเรื่องขนมนั้นที่จริงคือวิญญาณที่ตายในโลกนั้นจะกลายเป็นขนมหวานให้เหล่ายมทูตกิน อะไรประมาณนั้น จะได้ชวนดูว่ามันเลวร้ายเหมาะกับเป็นนรกดี
เทคนิดเขียนที่ดีต้องมีจริงเท็จเล็กน้อย เพื่อให้คนอ่านเก็จในเรื่องง่ายๆ
ปกติมีวิธีการตั้งชื่อเรื่องยังไงกันบ้างอะ กุมีเรื่องแต่งพล็อตไปนิดหน่อยละ แต่ตั้งชื่อไม่ออกเลยแฮะ
>>574 ตามแก่นหลักของเรื่อง ธีม หรือสั้นๆ ง่ายๆ ก็เอาชื่อตัวละครไปเลย เช่นแก่นหลักคือการเคลียดันเจี้ยน 100 ชั้น ที่อยู่ใต้ทะเลลึก ก็เป็น "Dungeon Sea ตะลุยดันเจี้ยนใต้ทะเล" ธีมคือการผจญภัยในดันเจี้ยน "ฝ่าทะเลลุยดันเจี้ยน" ชื่อตัวละคร "การผจญภัยในดันเจี้ยนของสมชาย"
มึง... ไอดีใน dek-d มันบึ้มทิ้งแบบลบไปเลยได้ไหมวะ
มีคำถามครับ
1.ในการเขียนนิยายที่พระนางมีความหลังต่อกัน ต้องย้อนฉากไปตอนนั้นเยอะขนาดไหนวะ กูกลัวว่าเขียนเยอะมันจะน่าเบื่อ น้อยไปคนอ่านก็ไม่อิน
2.ใส่รวดเดียวให้จบในพาร์ทแรกๆเลย หรือ ค่อยๆระลึกเป็นช่วงๆดี
>>581 มึงอย่ายัดมาเป็นสิบตอนรวดเลยละกัน เอาแค่ฉากสั้นๆ แทรกมาในปัจจุบันหรือพูดสั้นๆก็ "โหมดระลึกชาติย้อนความหลัง" เช่น รู้สึกคุ้นเคยกับนิสัยบางอย่าง ท่าทางตอนฟันดาบ ความชอบสิ่งของหรือความเกลียดสัตว์ พอเห็นแล้วก็นึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่เคยอยู่ด้วยกัน แล้วพอมาถึงจุดหนึ่งมึงจะเอาพวกฉากสั้นๆ มาสรุปเรียงเป็นความหลังในอดีตได้ภายในบทเดียวหรือสองบทจบ แต่ก่อนหน้านี้มึงต้องสร้างโหมดระลึกชาติให้หนักแน่นและปูทางให้คนอ่านซึมซับทีอย่างเหมือนต่อจิ๊กซออะมึง ไม่ใช่แค่มีโหมดระลึกชาติแค่สี่ห้าตอนก็เฉลยปมไปเลย มันไม่ค่อยลุ้น ไม่ค่อยอินอะมึง ปูทางมาซัก 50-70% ของเนื้อเรื่องแล้วค่อยเฉลยก็โอเค และระหว่างที่ปูทางมึงก็พยายามใส่รายละเอียดให้สั้นๆ เป็นช่วงๆ อย่ายาวมาก ตอนนึงก็โผล่มาแค่สามสี่บรรทัดพอ ยาวไปเดี๋ยวคนอ่านจะเดาทางง่ายและทำให้สับสนด้วยว่าช่วงอดีตกับปัจจุบันทำไมเนื้อเรื่องมันกลืนๆ
แต่ถ้าขี้เกียจปูทางโหมดระลึกชาติ ไม่อยากเกริ่นเยอะ เอารวดเดียวจบ มึงก็อย่าให้เกินสิบบท ห้าบทก็เยอะพอละ เกินกว่านี้เดี๋ยวลืมเนื้อเรื่องปัจจุบัน
ส่วนแบบไหนดี? กูว่าแล้วแต่ความถนัดว่ะ ถ้ามึงถนัดเกริ่นเป็นช่วงๆ ระลึกชาติหลอกคนออ่านหลงทาง ก็ใช้วิธีแรก แต่ถ้ามึงไม่ถนัดการแทรกย้อนอดีตในช่วงปัจจุบันหรือตัดเนื้อหาไม่เป็น ก็ใช้วิธีที่สองไปเลย รวดเดียวจบ แต่หลักสำคัญของการพูดถึงอดีตคืออย่าให้มีเยอะเกินไปจนปัจจุบันถูกลืม และอย่าพูดถึงน้อยเกินไปจนปะติดปะต่อไม่ได้
>>582 ไปที่หน้า my.id control หาคำว่า "ยกเลิก My.iD ถาวร" หรือ
http://my.dek-d.com/OOOOO/control/deletemember.php
ไอ้ตรง OOOOO เปลี่ยนเป็นชื่อ id ของมึง
ใครมีเทคนิคบรรยายช่วงที่ตัวละครมันยืนคุยกันเฉยๆไม่ให้น่าเบื่อบ้าง แบบกูเล่นมุกแสดงสีหน้า ท่าทางจนหมดก๊อกละ ไม่รู้จะใส่อะไรเพิ่มดี
>>585 เอาตามธรรมชาติ ไม่ต้องใส่บรรยายเลยก็ได้ ถ้าสองคนคุยกันก็ให้บทสนทนามันสลับกันไปเรื่อย ๆ ค่อยแทรกกิริยาท่าทางถ้าจำเป็นต้องแทรก
จริง ๆ มันมีงานเขียนที่ดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาเป็นหลัก อย่างงานของเจน ออสเตน อะไรแบบนี้ ซึ่งนักเขียนสไตล์นี้จะเขียนไดอาล็อกสนุกมาก
สำหรับเราตราบใดที่ไดอาล็อกสนุก ไดอาล็อกมีพลังพอที่จะให้คนเขียนจินตนาการถึงสีหน้าท่าทางตัวละครได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่สีหน้าตัวละครมาทุกจุดหรอก
เวลาแต่งแฟนตาซีเป็นโลกใหม่ แล้วบรรยายด้วยของที่มีชื่อในโลกมันจะแปลกๆมั้ยวะ
สมมุติ โลกแฟนตาซี แต่มีข้าวผัด'อเมริกัน', มีแมว'อียิปต์'
แบบชื่อพวกนี้ในโลกนั้นมันไม่ควรจะรู้จักกันปะ อะไรคือเมริกัน อะไรคืออียิปต์ หรือกูคิดมากไปเอง (ปกติกุจะใช้บรรยายให้มันใกล้เคียงกะสิ่งนั้น เช่น ข้าวผัดซอสมะเขือเทศที่มีไส้กรอกใส่ลูกเกดฯลฯ แต่บางทีกุก็ขี้เกียจบรรยายละอะ)
เรากำลังจะเขียนเรื่องของเผ่าพันธุ์ที่อยู่ด้วยกัน อย่างสันติ(ยกตัวอย่าง อ๊อกกับเอฟล์อยู่ร่วมกัน ทำงาน มีครอบครัวไรงี้) เเต่อธิบายที่มาว่าทำไมถึงเกิดเป็นยุคเเบบนี้นี้จะเเปลกไหม ในเรื่องจะมีพวกต่างดาวที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงกับจอมเวทย์อยู่ด้วย ว่าง่ายๆกำลังเขียนมหกรรมยำกันอยู่ตอนนี้กำลังดัดเเปลงบทอยู่ (ในเรื่องเป็นยุคหลังมหาสงครามเเล้ว เเต่เกิดเรื่องสงครามครั้งใหม่ขึ้น)
>>595 Space Fantasyนี่เคยเล่นเกมซีรีย์Warhammer 40k เปล่า ประมาณนั้นล่ะ ลองไปเล่นหรืออ่านLoreดู
เรื่องเผ่าที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันตินี่มันเเปลกขนาดนั้นเลยเหรอวะ หรือออร์คโดนยัดเป็นตัวร้ายตลอดจนคนนึกภาพออร์คสงบไม่ออกเเล้ว เรื่องเเฟนตาซีที่ออร์คพอจะอยู่ร่วมกะชาวบ้านได้นี่น่าจะเป็นThe Elder Scrolls มั้ง
>>593 เออ เห็นมึงทักกูก็สงสัย นอกจากพวกสิ่งของแล้ว พวกคำว่าปะป๊า หม่าม้า เจ้ นี่ใช้ได้ปะวะ หรือจะเปลี่ยนเป็นพ่อจ๋า แม่จ๋า คุณพี่ ตัวอย่าง
"ปะป๊า~ เมื่อไหร่หม่าม้าจะกลับมา" อลิซถามเสียงใส ดวงตาสีฟ้ากลมโตน่ารักจ้องมองผู้เป็นพ่ออย่างคาดหวัง
กับ
"คุณพ่อขา~ เมื่อไหร่แม่จ๋าจะกลับมา"
กูจะแต่งนิยายให้พระเอกออกแนวแต๋วๆหน่อย (ตุ๊ดอ่ะแหล่ะ) ไม่ได้ตุ้งติ้งแต่เป็นตุ๊ดแรดๆอ่ะ แล้วจะให้นางมีเมีย กลับใจเป็นชายภายหลัง เป็นพวกมึง มึงรับได้กันป่ะ
ถ้าชอบเกาหลี แนะนำให้ดูฮีชอล SJ เป็นต้นแบบ รายนั้นตุ้งติ้งแอ๊บแบ้วทุกช็อต หลงตัวเอง ชอบดูแลร่างกาย แต่แมนเกินใคร และหน้าหม้อสุดๆ ที่ทำตัวแบบนั้นมาจากนิสัย+วิธีเข้าหาผู้หญิง
ถามหน่อยได้มั้ย เราเขียนแนวที่ให้ตัวเอกมีนิสัยเด็กๆก่อนแล้วค่อยๆพัฒนาให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่การพัฒนาที่ว่าต้องใช้เวลาเป็นหลายสิบตอน เพราะแพลนไว้หลายภาค
ปรากฏว่าคนอ่านทนอ่านต่อไม่ได้เพราะนางเอกยังนิสัยน่ารำคาญและไม่เก่งอย่างที่เค้าชอบ
เราควรจะแก้ดีมั้ย แล้วแก้ยังไงดี
เพื่อนโม่งช่วยแนะนำกูหน่อย คือกูเป็นประเภทที่ยิ่งเขียนเรื่องยิ่งไม่น่าสนใจวะ งงมะ? แรกๆนี่ดูมีอะไรให้น่าติดตามดีแต่พอยิ่งแต่งยิ่งออกทะเล พล็อตไม่น่าสนใจ ดูยืดเยื้อ คนอ่านเขาบอกกูงี้
เสียจุย
>>611 เรื่องยาวแฟนตาซี?
ถ้าตรงไหนยืดมึงต้องตัดหรือรวบรัดปิดประเด็นไปเลย
สมัยนี้ถ้าเขียนแล้วกะส่ง สนพ. หรือขายทำมือ ต้องเน้นไม่มากเล่มแบบก่อนแล้ว
ช่วงนี้เรื่องยาวบางเรื่องของ สนพ.ยังถูกตัดจบได้ง่ายๆ
สรุปเขียนสนองตัวเองก็ลากยาวได้เรื่อยๆ แต่ถ้าหวังมากกว่านั้นต้องกระชับลง
กูห่างงานเขียนไปประมาณหลายปีว่ะ พอจะกลับมาเขียนแบบว่ามีไอเดียในหัวนะเว้ย มันลื่นปรู๊ดปร๊าดไปหมด แต่พอลงมือจะเขียนจริงๆ อ่าว เฮ้ย ทำไมเขียนไม่ออกเลยวะ รู้สึกหัวแม่งตันไปหมดเลยว่ะ ขนาดพยายามคิดอะไรออกก็เขียนไปก่อนก็ยังคิดไม่ออกอ่ะมึง มีอะไรจะแนะนำมั้ยวะ
>>591 ไม่ควรทำ อันที่จริงอยากจะพูดว่าห้ามทำเลยดีกว่า เหมือนจงใจทำให้เรื่องตัวเองมีช่องโหว่ไปเปล่าๆ
ต้องถามตัวเองก่อนว่าของพวกนั้นจำเป็นต่อเนื้อเรื่องที่จะต้องยัดใส่ลงไปหรือเปล่า ถ้าจำเป็นจริงๆก็น่าจะใช้การบรรยายเสริมช่วยแทน เช่น แทนที่จะบอกว่าแจนกินข้าวผัดอเมริกัน ก็เขียนไปว่า แจนกำลังกินอาหารที่หน้าตาเหมือนข้าวผัดกับซอสมะเขือเทศ โป๊ะหน้าด้วยไข่ดาวและไส้กรอก หรืออย่างแมวอียิปต์ ก็อธิบายเป็น มีแมวหน้าตาประหลาดปราศจากขนตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมาบนโต๊ะ ผิวหนังของมันเหี่ยวย่นราวกับคนแก่ดูน่าชัง
เออ ถ้ามีช่องมาขอซื้อนิยายมึงไปทำละคร มีเหตุผลอะไรที่มึงจะยอม/ไม่ยอมบ้างวะ อยากรู้
กูสงสัยเรื่องการแบ่งเนื้อหานิยายเป็นภาคกับซี่รี่ส์ว่ะ คือกูวางพล็อตไว้ว่าจะเขียนนิยายเป็นซีรี่ส์ที่มีจุดร่วมกันคือท้องฟ้า และจะแบ่งเป็นสามเรื่องคือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว มันเป็นแฟนตาซีอะมึง ก็มีเนื้อหาทำนองว่าของวิเศษที่เทพทั้งสามสร้างขึ้น เกิดในโลกใบเดียวแค่เปลี่ยนตัวเอกแต่ละเรื่อง ปัญหาคือ แค่เรื่องแรก(พระอาทิตย์) กูก็ขยายได้เป็นสามภาคละ เรื่องที่สองก็สองภาค แบบนี้มันยังเรียกรวมกันว่าเป็นซีรี่ส์ได้ปะวะ หรือกูต้องทำแบบไลต์โนเวล เปลี่ยนจากภาคเป็นบท
ปัญหาระดับชาติชัดๆ!!
ถามเรื่องสรรพนามแทนผู้หญิงในนิยายหน่อย ถ้ากูจะใช้ทั้งหล่อนและเธอผสมๆกันไปมันจะเป็นไรป่ะ หรือต้องเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
บางทีก็ก็ครึ้มๆแต่งเธอบ้างหล่อนบ้างงี้
กูควรจะเขียนในสถานการณ์ที่มีบทคนเยอะๆยังไงไม่ให้งงดีวะเพื่อน
อยากบรรยายบทหนีตายออกมาได้ระทึกกว่านี้ รู้สึกว่าคลังศัพท์และความสามารถมีไม่พอที่จะดึงความรู้สึกออกมา ใครก็ได้ช่วยแนะนำหนังสือที่บรรยายได้ระทึกๆ อ่านแล้วกดดันหรือรู้สึกอึดอัด อยากเอาใจช่วยตามตัวละครทีสิ จะเอามาศึกษา
ลองอ่านนิยายแนวพจญภัยหรือขุดสุสานดูสิ น่าจะใช้อ้างอิงได้
แนะนำรหัสลับหลังคาโลกกับคนขุดสุสาน 2 เรื่องนี้บรรยายการฝ่ากลไกตื่นเต้นดี มีหนีสัตว์ประหลาดด้วย
นี่เพื่อนโม่ง ถ้ากูตั้งชื่อเรื่องเป็นภาษาเยอรมัน กูจำเป็นต้องตั้งชื่อตัวละครเป็นภาษาเยอรมันตามปะ แบบว่าเป็นโลกสมมุติอะมึง
คนปกติจะคิดว่า re แปลว่าอีกครั้ง เพราะเป็นภาค 2 แต่ re ในหลายภาษาแปลว่าราชา
ถ้าตั้งแบบเยอรมึงก็จะออกแนวhintให้คนอ่านอ่ะ เก็บเป็นกิมมิคเล็กๆเล่นไปให้เขาเดากันงี้ก็น่ารักดีนะ
เขียนเรื่องตลกยังไงให้ขำวะ ลองเขียนดูแม่งแป้กชิบหาย เขียนดราม่าน้ำเน่าง่ายกว่ากันมาก
ตลกเขียนยากนะ ถ้าเซนส์ไม่ถึงจริงๆ เขียนยังไงก็ไม่ขำ
ส่วนมากคนเขียนจะขำเอง ส่วนคนอ่าน....
มึงเขียนเหี้ยอะไรของมึ๊งงงงง
ประมาณนี้...
อยากเขียนภาษาสวยๆบ้างทำไงวะ ไม่ก็แค่อ่านลื่นไหลก็ได้ กูอ่านมาเยอะแต่ไม่ได้ซึมซับเข้าสู่หัวสมองเลย หรือกูเอาดีด้านนักอ่านน่ะดีแล้ว ?
กำลังเขียนนิยายที่แบบ ต่อมาจากคอมมูอ่ะ (ไม่รู้ว่ารู้จักกันไหม มันเป็นอารมณ์แบบ ให้คนหลายๆคนสร้างตัวละครขึ้นมาในธีมเดียวกัน แล้วก็เหมือนมาแต่งนิยายต่อกัน อะไรงี้) คือมันเป็นคอมมูเนื้อเรื่อง แล้วคนเล่นเปิดเนื้อเรื่องไม่หมด เขาเลยอยากให้เราเขียนสรุปเนื้อเรื่องให้
ทีนี้อ่ะ เนื้อเรื่องของเรามันมีตัวละครหลัก 2 ตัว ฝั่งดีกับฝั่งร้าย แล้วเนื้อเรื่องของ 2 ตัวนี้มันดำเนินไปบนไทมไลน์เดียวกัน เราควรจะเขียนแยกเล่มในมุมมองของทั้งสองคนนี้ไปเลย หรือว่าเขียนในเล่มเดียวกันแล้วตัดไปตัดมาดี เราว่าอย่างหลังมันมึนๆอะ
>>649 แล้วแต่ว่าอยากจะพรีเซนต์แบบไหนนะ ถ้าอยากให้ทุกอย่างบรรจบกันม้วนเดียวก็ดำเนินไปบนไทม์ไลน์เดียวกัน แต่ถ้าอยากให้คนอ่านได้รู้มุมมองอีกด้านทีหลังก็เขียนแยกเล่มไป
ตัดไปตัดมาต้องใช้ฝีมือหน่อย ข้อดีคือคนอ่านจะมีโอกาสคิดในหลายๆมุมก่อนที่จะไปถึงบทสรุป อ่านจบแล้วรู้สึกอิ่มเต็มที่มากกว่าแยกเล่ม ความเสี่ยงคือถ้าไม่ถนัดวิธีเขียนแบบนี้อาจจะทำให้คนอ่านงงจน Rage quit
ส่วนแบบแยกเล่มมีข้อดีคือให้ดูทีละมุมมอง คนเขียนไม่ต้องใช้ลูกเล่นมาก คนอ่านก็จะได้โฟกัสที่มุมมองเดียวไปจนจบ แต่ก็แอบเสี่ยงคือถ้าฉากจบเป็นฉากจบที่"ไม่โอเคเมื่อมองจากมุมเดียว" ถึงเราจะบอกว่า "เฮ้ย มีอีกเล่มนะ! เป็นอีกมุมมองนึง!" คนอ่านก็อาจไม่สนใจแล้ว
คือกำลังจะไปนอนเลยพิมพ์เพลิน ถ้าแต่งเอาสนุกก็ไม่ต้องคิดมาก เอาตามความถนัดโลด ^^'
ปล. รู้จักแต่นิยายรับสมัคร สมัยนี้ยังมีอยู่รึเปล่าเนี่ย
มีใครเป็นเหมือนกูมั่งวะ กูเป็นพวกชอบรื้อพล็อต เขียนไปได้ 3-4 บท และไล่อ่านเล่นๆ เวลาไม่มีอารมณ์แล้วแบบมันไม่ใช่ นี่กูคิดจะเขียนอะไรฟระ สุดท้ายก็รื้อ แต่ท็อปปิคน่ะยังคงไว้อยู่ วางพล็อตใหม่ เขียนใหม่หมดเลย ห่าาาา เกลียดตัวเองฉิบหาย
ของกูจะแบบเขียนตอน 4 ไปแล้วกลับมาเขียนตอน 1-3 ให้สอดคล้องกับตอน 4 วะ ไม่เชิงเขียนใหม่นะ แต่เพิ่มเติมตัดแต่งให้เข้ากับตอนล่าสุดมากกว่า
ไม่รู้ถามถูกที่รึเปล่า แต่กูมีข้อสงสัยเรื่องระบบเหรียญขายนิยายว่ะ
คือกูจะขายนิยายในเว็บด้วยระบบนี้ แต่กูสงสัยว่าลงที่เด็กดีหรือธัญวลัยดีกว่า? แล้วสองที่นี่มันต่างกันยังไง มีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไง โม่งไหนมีประสบการณ์แล้วช่วยบอกกูที
ควรเริ่มเรื่องยังไงให้น่าสนใจดี
>>662 เป็นเหมือนกัน ทางแก้ของกูตอนนี้คือแต่งแล้วอัพตอนต่อตอนไปเลยอะ แบบพออัพไปแล้วมีคนอ่านก็ไม่อยากจะไปเปลี่ยนไปแก้ไขอะไรบ่อยๆแล้ว คืออยากจะแก้แต่ก็กลัวโดนคนอ่านบ่น กลัวเขาอ่านไม่รู้เรื่อง กลัวเขาไม่ได้ย้อนกลับไปอ่านไอ้ที่แต่งเพิ่ม ตอนต่อๆไปเขาจะอ่านไม่รู้เรื่อง ฯลฯ
อาจจะแต่งไปสักสิบตอน ค่อยรีไรททีเดียวไรงี้ไปเลย
กูอัพไม่ได้ เพราะไม่มีวินัยว่ะ เคยตั้งใจว่าจะลงทุกวันที่ 10 20 30 อะไรงี้ แล้วทำไม่ได้ เลยเขียนเก็บไว้เอง แล้วก็ endless loop เหมือนความเห็นบนๆ แหละ
กูเคยผ่านสี่ห้าตอนมาได้สมัยที่เขียนใส่สมุดว่ะ มันกลับไปอ่านไปแก้ยาก เลยเขียนไปเรื่อยๆ ได้ ไม่คิดมาก แต่พอมาใช้คอมฯ อยากแก้ตรงไหนก็สะดวกดี เลยรื้อๆ แก้ๆ ไม่เสร็จที กูเลยสรุปว่าตัวเองไม่เหมาะจะเขียนนิยายด้วยคอมฯ แต่ให้กลับไปเขียนใส่สมุดตอนนี้ก็ไม่ไหวนะ ไม่ได้ฟีลเดิมแล้ว
กูแต่งนิยายแล้วมีฉากเยกันตั้งแต่แรกจะเหี้ยป่าววะ แต่มันสมเหคตุสมผลในเรื่องนะ ไม่ใช่ว่ากูอยากให้พวกมันเยกัน
เห็นคุยเรื่องระบบคอยแล้วกูสงสัย ไอ้พวกนิยายที่เข้าระบบคอลย์แล้วใช้รูปโปรไฟล์จากเว็บคาร์แรคเตอร์กับภาพวาดปล่อยฟรีในเน็ตนี่ไม่ผิดกฎหมายอะไรเหรอวะ
สวัสดีทุกคน เราไม่รู้ว่าผิดห้องหรือเปล่านะ เพราะปกติเราไม่ได้เข้าเว็บโม่ง ไม่ใช่ขาประจำบอร์ด
คือ เราเป็นนักเขียนคนนึง ไม่ได้ดัง แต่ก็พอมีคนติดตามประมาณนึง ยอดวิวนิยายที่ลงเว็บก็หลักแสนขึ้นแหละนะ ช่วงนี้เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะไม่ไหวแล้ว
ปกติกับคนอ่านเราไม่พูดไม่บ่น ดูโลกสวยไปวันๆ แต่เราก็มีความเครียดของเราแหละ เราก็มีความกดดันของเรา
คือ เราเป็นพวกสายแต่งนิยายไปแปะเน็ตไป ความที่เราเชื่อว่าคนเราถ้ารักกันหรือชอบนิยายเรื่องนี้จริงๆ ก็คงสนับสนุน เราก็เลยลงนิยายทุกเรื่องจบ ไม่ได้มีกั๊กไว้ประมาณว่าอีกสักสามสิบเปอร์เซนต์ให้ไปอ่านต่อในเล่มอะไรแบบนี้ เวลาออกเล่มเราก็จะเพิ่มตอนพิเศษให้
แต่ทีนี้ เราสังเกตดู พอนิยายออกมา ยอดขายมันกลับได้ไม่ถึงเป้าทั้งที่มันควรถึง เรายอมรับว่าเราเฟล เราเครียด ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะโดนสำนักพิมพ์เทหรือเปล่า เพราะยุคนี้ต้องยอมรับว่านักเขียนคนไหนออกมาแล้วขายงานได้ไม่ดีพอ สำนักพิมพ์เขาก็ไม่ค่อยจะอยากให้ออกผลงานใหม่หรอก ถ้าไม่ปังจริงๆ
ตอนนี้เรากำลังลงนิยายอีกเรื่อง คนอ่านก็ตามอ่านกันอีกนั่นแหละ ก็เหมือนเดิม แต่มันเหมือนเกิดความรู้สึกวูบๆ ขึ้นมาในใจเรา เวลาเราเห็นคนอ่านเร่ง เหน็บ ประชด ในเวลาที่เราลงเรื่องช้า เรายอมรับว่าเราเครียดและน้อยใจมาก เพราะเราอดเอามาเชื่อมโยงกับนิยายเรื่องก่อนๆ หน้าไม่ได้ เราอดคิดไม่ได้ว่าเขาก็แค่อยากอ่านของฟรีก็เลยมาเร่ง เรารู้สึกว่าเรากำลังเผาวันเวลาของตัวเองเพื่อดูแลความบันเทิงให้คนอื่นในขณะที่ตัวเราต้องแบกรับความเครียดมากขึ้นทุกวัน เงินก็ได้ในมูลค่าที่น้อยกว่าที่ควรจะได้เมื่อเทียบกับยอดคนที่มารออ่าน
เรารักนักอ่านของเรามากนะ เราไม่เคยอยากคิดแบบนี้ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งตรงนี้เรารู้สึกว่าความรักของเรามันไม่มีค่า ยอดขายไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็นนี่มันกระทบกับชีวิตเราและครอบครัวที่เราต้องดูแลด้วย เพราะตอนนี้เราดำรงชีพด้วยการเขียน ความที่สภาพมันเป็นแบบนี้ เราคิดวูบขึ้นมาหลายครั้งมากว่าจะเลิกอัพเดทนิยายที่ลงค้างไว้บนเว็บไซต์ดีไหม เพราะนักเขียนส่วนใหญ่ของสำนักพิมพ์ที่ลงเรื่องให้อ่านไม่จบเขาก็ไม่เห็นจะโดนว่า กลับกัน งานกลับขายได้เยอะแยะ
เราเครียดเรากดดันเราอึดอัด ยิ่งเห็นกระทู้บ่นนักเขียนโน่นนี่นั่นบ่อยๆ เรายิ่งเครียด เรารู้สึกว่า ขอโทษนะ "ทำไมกูต้องมาทนกับอะไรแบบนี้" แต่เราพูดออกไปไม่ได้ไง เรารู้สึกว่าถ้าเราพูดออกไปมันจะกระทบความรู้สึกคนอื่น เราไม่ได้อยากจะทำร้ายความรู้สึกคนอ่านแม้แต่คนเดียว ไอ้ที่กลัวที่สุดคือมันจะทำให้คนที่เราแคร์ก็คือพวกเขาไม่สบายใจนี่แหละ
เราเครียดไง บางทีเราก็อยากวิ่งหนีไง อยากระเบิดทุกสิ่งทุกอย่าง ลบแม่งทิ้งไปให้หมด
แต่เราหนีไม่ได้ เพราะเรารู้ว่ามีคนรอ ไม่ใช่แค่คนอ่านแต่ยังเป็นคนอื่นๆ ที่คาดหวังกับเรา
เราเป็นแค่คนธรรมดาไง ไม่ว่าจะทำใจให้กว้าง ทำใจเย็น มองโลกในแง่ดี ไม่ว่าจะพยายามในทุกๆ วันแค่ไหน แต่เราติดอยู่ตรงกลางของอะไรบางอย่างที่เราก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่ามันจะพันกันยุ่งขนาดนี้ ต้องพยายามทำลายความเครียด แล้วตอบสนองคนที่รอให้ได้ เราต้องเขียนงานให้คนอื่นอ่านแล้วสนุก อ่านแล้วรู้สึกดี ในขณะที่บางทีเราเครียดจนร้องไห้
เราคิดว่าเรากำลังป่วย เราเหมือนกำลังจะเป็นบ้า
เหมือนที่ใครสักคนเคยพูด เรื่องของตัวเลข ยิ่งมากบางทีก็ยิ่งกดดัน ยิ่งมากความคาดหวังมันก็ยิ่งมาก บางทีสิ่งที่คนอื่นคาดหวังอาจจะมากกว่าที่เราคาดหวังหรือน้อยกว่าเราก็ไม่รู้ แต่เราไม่อยากให้ใครผิดหวังหรือรู้สึกว่าเราทำให้ผิดหวังไง
เราไม่รู้ว่ามันผิดห้องไหม แต่เราแค่อยากหาใครสักคนมารับฟัง เราอยากระบาย ก่อนที่เราจะเป็นบ้าตายไปซะก่อน
ถ้าผิดที่ผิดทาง เราขอโทษนะ
>>670 ขอแสดงความเห็นแบบไม่สุภาพตามสไตล์โม่งๆแล้วกันนะมึง อยู่ในนี้สุภาพแล้วครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ 55+
เมื่อก่อนกูเคยเขียนนิยายลงเน็ตแหละ เคยได้พิมพ์ด้วย แต่หันเหมาทำอย่างอื่นเสียก่อน เพราะอยู่ในช่วงที่ต้องเลือกพอดี คือเขียนช้าน่ะ ยึดเป็นอาชีพหาไม่พอแดกแน่ๆ
ตอนเขียนแปะลงเน็ตมันก็สนุกดีนะ รออ่านเมนต์ รอดูคนเข้ามา ทำให้เกิดความกระตือรือร้น มีแรงผลักดันเขียนต่อ คือถ้าทำเป็นงานอดิเรกมันก็แฮปปี้ดี สมัยก่อนมันไม่เหมือนสมัยนี้ด้วย คนอ่านยังน่ารัก มีความเกรงใจ รู้ว่าเป็นการอ่านฟรี จะมาเร่งนั่นนี่หรือวีนใส่ไม่ได้ แต่ทันทีที่มันกลายเป็นอาชีพ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปว่ะ
ถ้ารักจะยึดเป็นอาชีพ อย่าไปใส่ใจคอมเมนต์ในเน็ตมากเลย ไม่ใช่ว่าจะให้เมินใส่คนอ่านในเว็บนะ แต่มันต้องมีลิมิทประมาณหนึ่ง เพราะเอาเข้าจริง จำนวนคนอ่านในเน็ต ไม่ได้รับประกันว่าหนังสือจะขายได้เลย เป็นแค่นักอ่านกลุ่มหนึ่งที่เข้าถึงนิยายได้ก่อนรอบไฟนอลที่จะกลายเป็นหนังสือน่ะ
กูว่าประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ลงจนจบหรือไม่จบ จะมีผลต่อการขายหนังสือได้ว่ะ แต่มันอยู่ที่มึงเขียนเรื่องอะไร แนวไหน ดึงกลุ่มลูกค้า (คนอ่าน) แบบไหนเข้ามาหามึงต่างหาก ต้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วยว่าคนที่อ่านเป็นพวกที่ชอบอ่านฟรีอย่างเดียวหรือเปล่า มีกำลังซื้อมากน้อยแค่ไหน และเรื่องของมึงคุ้มค่ากับการเสียเงินให้โดยไม่เสียดายทีหลังหรือเปล่า
หลังๆนี่กูได้ยินคนรู้จักเขาพูดๆกันว่า เศรษฐกิจไม่ดี สนพ.ลดยอดพิมพ์ยอดขายลด ถูกตัดจบบ้าง เรื่องไม่ผ่านบ้าง เลยลำบากกันจนต้องทำขายเอง มันก็จริงที่ว่าเศรษฐกิจมีผลต่อรายได้ แต่ที่สำคัญจริงๆคือ ไอ้ที่เขียนๆขายกันนี่ ได้ดูตัวเองกันบ้างมั้ยว่าเรื่องมันสนุกหรือเปล่า สนพ.ลงทุนแล้วจะขาดทุนเพราะขายไม่ออกมั้ย เงินลงทุนจะจมไปมากแค่ไหน ดูจะไม่คิดกันว่ามันเป็นธุรกิจที่ต้องพึงพาอาศัยกันเลยน่ะ
พูดแบบนี้อาจจะดูไม่เกี่ยวอะไรกับมึง แต่ประเด็นที่มึงควรรู้คือ งานเขียนมึงกลายเป็นงานตั้งแต่ตอนที่มึงใช้มันหากินแล้ว รักได้ แต่ทุ่มให้ทั้งหมดก็ไม่ไหว เพราะมันมีปัจจัยอีกหลายๆอย่างที่ต้องคำนึงถึง ถ้าจะใช้มันเป็นอาชีพน่ะ มึงทำตามใจตัวตลอดไม่ได้ มึงต้องรู้ลักษณะของลูกค้า มึงต้องดูกระแส/ความต้องการของตลาดและลูกค้า คอมเมนต์ในเน็ตไม่ได้ช่วยการันตียอดขายว่ะ
ว่าง่ายๆคือ ถ้ามึงมองรอบๆ วิเคราะห์หลายๆอย่าง ไม่ใช่แค่เขียนเพราะใจอยากเพื่อหาเงินหรือสนองนี๊ดคนอ่านในเว็บ มองว่ามันเป็นอาชีพที่มีปัจจัยหลายๆอย่างให้คำนึงถึง มึงก็จะไม่ชีช้ำแบบนี้
ลองคิดดูละกันนะ
สำหรับกุนะเพื่อนโม่ง เรื่องงานขายได้ไม่ถึงเป้าเนี่ยไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลยโดยเฉพาะในยุคนี้ บอกเลยจะมีสำนักพิมพ์ไหนล้มในปีสองปีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะอะไรต่างๆที่มันสั่งสมมาทั้งเรื่องเศรษฐกิจ วัฒนธรรมการอ่าน เทคโนโลยี ทำให้เราอยู่บนฐานที่ง่อนแง่นชิบหาย
ที่น่าเจ็บปวดคือสำนักพิมพ์กับนักเขียนก็มีส่วนมาก ฟองสบู่แฟนตาซีที่ชื่อแนวโลกเรียน กับออนไลน์ ก็แตกไปแล้ว แนวรักหวานแหววก็เคยแตกไปแล้ว เพราะพอเราเห็นว่าขายได้ก็แห่ไปทำ ผลของแม่งคือมีงานที่ไม่ได้มาตรฐานออกมาเยอะมาก ผลต่อมาคือแม่งพลอยทำให้คนอ่านแม่งไม่เชื่อถืองานคนไทยเลย
กุไม่รู้ว่างานมึงดีไม่ดี แต่สำหรับคนอ่านที่ตังค์ก็ไม่ค่อยมี ระหว่างงานแปล กับ งานไทยที่มีแววไม่สนุก แล้วเขาจะเอาเงินไปลงที่ไหนล่ะเพื่อน เพราะงั้นขายไม่ได้ โคตรไม่แปลก ควรทำใจ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับมึงแล้วว่าจะยึดอุดมการณ์เขียนอย่างที่เคยเขียนแต่ขายไม่ได้ต่อไปไหม หรือเปลี่ยนไปเขียนไอ้ที่มันขายได้
ส่วนเรื่องคนอ่านที่ตามทวง กุว่ามึงควรจัดลำดับความสำคัญใหม่นะ คนที่สำคัญที่สุดของเรื่อง คือมึง
ไม่มีคนอ่านงานมึง มึงก็ยังอยู่ ส่วนคนอ่านไม่มีมึง เขาก็ไปหาคนอื่น (เหี้ย อย่างกับศิรานีพูดเรื่องความรัก)
ที่แน่ๆ มึงคงไม่อยากเขียนหนังสือแล้วฆ่าตัวตายใช่มะ (โคตรช้ำ ประเทศนี้แม่ง ฆ่าตัวตายไปงานก็ไม่ดัง)
กุเข้าใจว่ามึงอยากยึดอาชีพนักเขียนนะ แต่เมื่อแบบนี้มันอยู่ยาก ก็คงต้องปรับตัว
>>670 กูอยู่สายแฟนตาซีนะเพื่อน สายนี่คนอ่านเยอะแต่ค่อนข้างซื้อน้อยมาก
ของกูทำมือหวังยอดแค่ 100-200 เล่ม + ebook นิดหน่อยหลักหลายสิบเล่มก็พอใจแล้ว
สายนี้จะออกแนวเรื่องยาวหลายเล่มเป็นส่วนใหญ่
เรื่องยอดขายเป็นปัญหาใหญ่ ทำให้กูนึกได้คล้ายสถานการณ์แบบเพื่อนโม่งเล่าลงมา
กูเห็นเรื่องหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์กับ สนพ. เปิดใหม่ และได้มีดราม่าจัดๆ กับคนอ่านในเว็บมาแล้ว
คอมเมนต์ด่าหลายร้อยคอมเมนต์จนขึ้นติดอันดับสูงได้ทั้งที่ไม่ได้ลงตอนใหม่ แต่เรื่องนี่ปกติลงตอนใหม่ก็จะติดอันดับท็อปทุกครั้ง
เป็นเรื่องการปิดตอนท้ายเล่ม และ ลบตอนเก่าๆออกเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว คล้ายให้ไปซื้ออ่านอุดหนุนเขาหน่อย
คนอ่านนี่ถล่มด่าคนเขียนชนิดสามวันสามคืนต่อเนื่องเป็นเดือนๆกันเลยทีเดียว
แต่คนเขียนดูค่อนข้างอินดี้ค่อนข้างมาก ประมาณไม่เป็นไรด่ามาเถอะ
พอช่วงออกเล่ม 2 ต่อ นักเขียนก็ลบตอนไม่ลงช่วงสุดท้ายให้เพื่อบังคับกันกลายๆ ให้อุดหนุน ซึ่งน่าจะมีปัญหาหลักกดดันจากเรื่องลอยแพนี่แหละ
ขนาดเป็นเรื่องที่ขายในเมพจนได้ป้ายแดงเบสเซลเลอร์ติดอย่างรวดเร็ว ทั้งยังติดอันดับยอดขายต้นๆหมวดแฟนตาซี
ยังต้องทำแบบนี้เลย
ทำให้กูรู้ว่าแต่ละคนที่ได้ตีพิมพ์นี่แม่งกดดันจริงๆ
สุดท้ายอยู่ที่ความมั่นใจของเพื่อนโม่งนั่นแหละ ที่อาจต้องมองข้ามคอมเมนต์ไปบ้าง
ปล.แต่กูรู้มาว่าไม่ปิดตอนท้ายให้ช่วยอุดหนุมนี่ยอดขายไม่ได้ตามเป้าจริงๆ นอกจากเรื่องนั้นปังมากๆ
>>670 ขอตอบในฐานะนักอ่านนะ ส่วนตัวกู จะซื้อหนังสือเรื่องนี่ขึ้นอยู่กับปัจจัยสามอย่างนี้ อย่างน้อยซักปัจจัยนึง คือ1.อยากได้ตอนพิเศษ+ราคาไม่แพงเกินจำนวนหน้า/รูปเล่มสวยงาม+นักเขียนดูพูดจาดี ชวนให้น่าอุดหนุน 2.ชอบเนื้อเรื่อง/บรรยากาศในเรื่อง อยากได้มาเป็นรูปเล่มเก็บไว้กับตัว เอาไว้อ่านเมื่อไหร่ก็ได้ 3.ตัวละครในเรื่องถูกสเปค อยากได้มาอ่านอวยเล่น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็แค่ปัจจัยของกู สำหรับนักอ่านคนอื่นๆของมึงก็อาจจะมีปัจจัยนอกเหนือจากนั้นก็ได้ บางคนถ้าแค่ตอนช่วงต้นสนุก ช่วงกลางอืดก็ไม่ตามกันต่อแล้ว เพราะงั้นกูคิดว่าการที่มึงแอคทีฟไว้ตลอดน่ะดีแล้ว แต่ก็ต้องดูฐานคนอ่านอย่างที่โม่งบนๆว่ามาเหมือนกัน
นิยายมึงอาจจะสนุก แต่คนอ่านเองก็มีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะทางความรู้สึกหรือทางกาย ที่ทำให้ไม่ซื้อนิยายได้ และการจะเอาใจให้คนทุกคนที่อ่านซื้อนิยายมึงก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พอๆกับการทำให้ทุกคนพอใจน่ะแหละ ถ้ารอบที่ผ่านมานั้นยอดขายไม่ถึงเป้า ก็ลองดูว่ากับครั้งนี้จะแก้ไขอะไรได้บ้าง ลองจับจุดไปเรื่อยๆ ยังไงมึงเป็นนักเขียน มึงก็ต้องรู้แหละน่าว่านักอ่านของมึงเป็นยังไง เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก สู้ต่อนะมึง
เรา 670 เอง >>671 >>672 >>673 >>674 ขอบคุณมากๆ ที่รับฟังเรา
ประเด็นกลุ่มคนอ่านที่ตามอ่านอยู่นเป็นแบบไหนนี้ อันนี้เราไม่เคยคิดเลยจริงๆ มันเป็นจุดที่เรามองข้ามไป บางทีปัญหามันอาจจะอยู่ตรงนี้ก็ได้ อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องที่เราลงให้อ่านจนจบเรื่องอย่างเดียว
ราคา ใช่เลย อันนี้แทงใจมาก หนังสือเราราคาจัดว่าแพง ตอนรู้ราคาเราก็ยังตกใจเหมือนกัน แต่หนังสือมันค่อนข้างหนา ถ้าไม่ใช่ราคานี้ก็จะไม่เหมาะสม เรื่องนี้เราทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ตอนนี้เลยได้แต่คิดว่า ต่อไปจะลองพยายามเขียนให้เล่มบางๆ ลงดู
ประเด็นผลงานที่ไม่ได้มาตรฐานนี้ ล่าสุด เหมือนเราจะซวยที่นิยายแนวที่เราเขียนดันมีคนมาทำเสียเรื่อง ทำให้คนอ่านในกลุ่มนักอ่านกลุ่มนึงที่เราเองก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วยขยาดงานของนักเขียนไทยในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งไปเลย บางคนก็บ่นลามมาถึงงานแนวนั้นที่เขียนโดยนักเขียนไทย เรายังคิดอยู่เลยว่าพอมันเป็นแบบนี้เราจะเป็นยังไง สำนักพิมพ์จะยังอยากพิมพ์งานแนวนี้อีกไหม แล้วถ้าพิมพ์ออกมาคนอ่านเขาจะกล้าจ่ายเงินซื้ออ่านไหม
เราเคยคุยกับเพื่อนนักเขียนด้วยกันนะ ว่าในสภาพที่มันเป็นอยู่แบบนี้ ความที่พวกเราก็ต้องใช้เงิน เราเปลี่ยนไปเขียนแนวที่มันขายง่ายคนอ่านพร้อมเปย์ดีกว่าไหม อย่างพวกแนวอีโรติกสุดโต่ง วาย อะไรแบบนี้ พวกนั้นคือ ยอดขายอีบุ๊ครายเดือนเป็นแสน ยอดจองทำเล่มบางคนได้เป็นล้าน แต่มันก็ไม่ใช่เราอีกนั่นแหละ บางทีเราสงสัยว่าหรือเราควรเปลี่ยนเส้นทางไปเดินทางสายนั้น ที่มันจะทำเงินเป็นจำนวนมากๆ กว่าสายที่ตัวเองเดิน
สมัยก่อนตอนเราเป็นนักอ่านอย่างเดียว เราแอนตี้นักเขียนที่ไม่ใส่ใจนักอ่าน เราไม่ชอบนักเขียนที่พูดจามะนาวไม่มีน้ำไม่แคร์ความรู้สึกคนอ่านที่จ่ายเงินสนับสนุน เราเคยไม่ชอบมากๆ เวลาที่เจอนักเขียนที่บอกว่าจะลงเรื่องจบแต่พองานผ่านพิจารณาก็ไม่ลงเรื่องต่ออีกเลย พอมาเป็นทุกวันนี้ เราก็รู้สึกเหมือนว่าจะเข้าใจนักเขียนกลุ่มนั้น รวมถึงเข้าใจความจำเป็นในชีวิตของนักเขียนกลุ่มที่เขียนแนวอะไรก็ตาม เช่น อีโรติกแรงๆ เพื่อเน้นทำเงิน คือ ไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี แต่เราแค่รู้สึกว่าจนถึงตอนนี้เราเข้าใจแล้ว
ตอนนี้คือ จากที่เราอ่านที่พวกเธอบอกมาแล้วลองคิดทบทวนดู เราพอมองเห็นอะไรบางอย่างแล้ว ขอบคุณมากๆ
ช่วงนี้เราเครียดเป็นพิเศษ อาจเพราะมันใกล้งานหนังสือด้วยแล้วแหละนะ เรื่องที่เรากำลังลงเว็บอยู่นี้ อีกแป๊บๆ ยอดแอดเฟบก็จะห้าพันแล้ว แต่เรากลับไม่มีความมั่นใจเลยว่าพอเป็นเล่มมันจะขายได้สักเท่าไหร่ เราได้แต่ภาวนาว่าสำนักพิมพ์จะยังอยากลงทุนกับเราและเรื่องใหม่นี้จะไปได้สวย ไม่อย่างนั้น ต่อให้สำนักพิมพ์ไม่เทเรา เราก็คงจะหมดศรัทธาในอะไรบางอย่างไปแล้วเหมือนกัน เรากลัวตัวเองจะเป็นแบบนั้น เราไม่อยากเป็นแบบนั้นเลยจริงๆ
เรื่องเซน กูเคยส่งข้อความถามพี่นักเขียนนะ เขาบอกว่าต่างมีเหตุผลของตัวไม่เป็นไร
แต่เห็นไม่มีเฟซบุ๊คนักเขียนไว้ติดต่อเลยในหน้านิยายนอกจากของสนพ.
กูว่าพี่เขาคงไม่อยากเปิดให้คนตามสักเท่าไรเหมือนกัน
ตอนเด็กๆ รร.เวทกำลังดังเพราะอิทธิพลจากบารามอส มันจึงทำให้กูมาสนใจด้านนี้แต่พอโตขึ้น ได้เห็นอะไรหลายอย่างๆก็รู้สึกว่ามันไม่ง่ายและสวยงามอย่างที่คิดว่ะ แบบว่าเด็กก็ฝันๆไปอ่ะนะ พอเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เก่งอะไรเลยว่าขอเก็บเป็นงานอดิเรกดีกว่า กูชอบเขียนแต่ไม่ถึงขนาดทุ่มทั้งชีวิตให้ได้ว่ะ
>>670 กูก็เคยผ่านอารมณ์แบบนี้มาก่อนนะ เรื่องยอดขายคือทำใจแหละ หมายถึงถ้าขยันโปรโมทแล้วยังไม่ได้ตามหวัง แต่งานดีจริงมันก็ช่วยได้เยอะนะ ยอดขายมันก็ไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องคนอ่าน กูแคร์นักอ่านมากนะมึง แต่กูก็เลือกรับคห.เหมือนกัน อะไรที่ก้าวก่ายงานกูมากไปกูก็จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้าง ส่วนพวกที่หวังอ่านฟรี พอลบในเว็บแล้วมาโวยวาย อันนี้กูไม่แคร์ค่ะ กูทำเป็นอาชีพไม่ได้ทำการกุศล กูต้องแดกข้าวเป็นอาหารค่ะ แต่กูไม่ทำอะไรกับเม้นท์พวกนี้ กูปล่อยผ่าน
ตลาดไม่ใหญ่ด้วยแหละ ถ้าเป็นอังกฤษหรือจีน ที่มีคนอ่านแทบทั่วโลก หรือญี่ปุ่นที่มีกำลังซื้อและชอบอ่านหนังสือ คงพอเลี้ยงตัวได้แหละ
>>681 เรื่องโปรโมทไม่เก่ง อาจจะเป็นปัญหาของเราด้วย ที่ผ่านมาเราไม่เคยทำการตลาดอะไรเลย เอาเข้าจริงเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องทำกันยังไง เราเห็นคนอื่นเขาแชร์ไปขายของในกลุ่มต่างๆ ก็อยากจะทำบ้าง แต่เรากลับรู้สึกเขินๆ
ถ้ายังไงหลังจากนี้เราจะลองพยายามดู
มีแนวทางการโปรโมทอะไรแนะนำบ้างไหมอะ
เพื่อนโม่ง ถ้ากูจะถามเรื่องการจัดหน้าหนังสือให้สำนักพิมพ์ถามกระทู้นี้ถูกมั้ยวะ?
>>684 หมายถึงจัดต้นฉบับยังไงใช่ป่ะ
มันแล้วแต่สนพ.นะ บางสนพ.ก็เอาฟอนต์ cordia บางสนพ.ก็ อังสนา บางที่ขนาดตัวหนังสือ 16 บางที่ขอที่ 14
ช่องว่างระหว่างบรรทัด จัดเป็น 0
ตั้งค่าขอบหน้ากระดาษของเวิร์ดเอาตามปกติที่เวิร์ดให้มา
เวลาขึ้นย่อหน้าใหม่ กด tab หนึ่งครั้ง เวลาเว้นช่องไฟกด space bar หนึ่งครั้ง
พื้นฐานก็ประมาณนี้
ขอบคุณมากเพิ่ลๆ กูหมายถึงจัดหนังสืออ่ะ สนใจอยากลองทำพิสูจน์อักษรดู สนพ.ที่กูจ้องอยู่เขาจะเอาคนที่จัดหน้าได้ด้วย กูบรู๊ฟคำเคยทำมาบ้างแต่จัดหน้านี่ไม่มีประสบการณ์เลย จะลองเสี่ยงดีไหมวะ
>>689 แปลว่าเขาอยากได้คนที่เล่นอินดีไซน์เป็น แล้วก็ปรุ๊ฟได้ด้วย
มึงต้องออกแบบเลเอาท์ได้ประมาณนึง ตั้งมาจิน บลีดดิ้ง โปรยเท็กซ์ เคาะคำตัดตกเอง
ถ้ามีพื้นฐานโปรแกรมตระกูลโฟโต้ช็อป อิลาส ก็พอจะเล่นจับๆคลำๆอนดีไซน์ได้ประมาณนึง
ถ้าไม่มีเลย ก็เรียนรู้ได้ไม่ยาก ถ้ามีคนสอนดีๆ
>>690 เท่าที่รู้ให้บรู๊ฟคำกับจัดหน้านะ ฟรีแลนซ์อ่ะเมิงของสนพ.แซลมอน เข้าไปในหน้าเพจแล้วเลื่อนๆลงหน่อยเขามีประกาศไว้ว่าให้สมัครไง
>>691 อินดีไซน์กูพอเป็นบ้าง แต่ตอนนี้หาวิธีเรียนจัดหน้าอยู่ ศัพท์ที่เมิงว่าอย่างมาจิน บลีดดิ้ง โปรยเท็กซ์กูไม่รู้เรื่องเลยทำเป็นอย่างเดียว ขอถือโอกาสถามเลยแล้วกัน มันคืออะไรวะ?
>>692 แค่พิสูจน์อักษรต้องจัดหน้าหนังสือด้วยเหรอวะ จ้างเกินหน้าที่ไปมั้ยเนี่ย
margin คือขอบเนื้อหาหน้ากระดาษ กำหนดว่าเนื้อหาเมิงไม่ควรเกินขอบนี้ออกไป ไม่งั้นมันจะชิดหน้ากระดาษเกิน
bleeding คือเส้นที่เกินหน้ากระดาษออกไป เอาไว้เผื่อโรงพิมพ์ตัดกระดาษเกิน
สมมติเป็นหน้าปกนิตยสารรูปสีเต็มหน้าเลยก็วางรูปให้ถึงขอบ bleeding เผื่อโรงพิมพ์ตัด มันจะได้ไม่เป็นขอบขาวๆเห็นเนื้อกระดาษ
bleeding ส่วนมากจะกำหนดไว้ประมาณ 3mm
>>693 บางที่ปรู๊ฟกับอาร์ตจะแยกฝ่ายกัน แบบปรุ๊ฟของสนพ แต่จ้างอาร์ตนอก
กุเคยนั่งปรู๊ฟ เสร็จแล้วก็ส่งให้อาร์ตนอกที่เขารับจัดหน้าแก้
ตรงนี้มันมีข้อเสียคือ อาร์ตอาจจะไม่สนใจว่าเคาะแล้วคำมันจะตกไหม
แบบแก้แล้วอักษรเพิ่ม ไปเบียดท้ายตก สุดท้ายเละทั้งย่อหน้า
ส่งกลับมาก็ต้องแก้ใหม่ เพราะอาร์ตกับปรู๊ฟไม่ได้โคกัน
แต่แซลมอนคงใช้รวมซึ่งกุก็ว่าดี (ถ้ามีเงินเพิ่มด้วยก็ดีมาก)
แต่อย่างน้อยแม่งคงไม่น่าหงุดหงิด แบบแก้คำตกรอบแรก
ส่งกลับมารอบสองบรรทัดอื่นเลื่อน สั่งแก้ใหม่ กลับไปตกแบบรอบแรก
วัฎจักรนี้อย่างเหี้ย
>>694 มาตรฐานจัดหน้าของแต่ละสนพ.มีนะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับที่ไหน สมมติ สนพ.ส้ม มึงก็จะใช้ขนาด16 พิเศษ มาจิน กริด เดิมๆไปตลอดกาล เพราะเป็นนิยาย ไม่เปลี่ยนรูปแบบ แต่พวกแซลม่อน มันชอบมีลูกเล่นต่างไปในแต่ละเล่ม หนังสือใหญ่บ้างเล็กบ้าง มาตรฐานอะไรเลยไม่ตายตัว แต่เวลาสั่งงาน บางทีเขาจะบอกมึงว่า เอาขนาดพ็อคเก็ตบุ๊ต เอาไซด์แมกกาซีน เอา 16 ธรรมดา หรือพิเศษ ถ้าไม่เก็ทศัพท์นี่คุยยากพอตัว โม่งที่อยากจัดหน้า ต้องลองวัดเก็บขนาดหนังสือของแต่ละที่ไว้ มีประโยชน์ตอนบรีฟงาน
กูคิดว่าตัวเองจะเพอร์เฟคชั่นนิสต์กับตัวเองมากไปว่ะ พอเห็นคนอื่นเขียนก็แบบเฮ้ย ถึงสำนวนไม่ดียังเขียนได้ เราก็ต้องทำได้ดิ แต่พอทำจริงกูก็จะแบบตรงนี้ก็ไม่ใช่ ตรงนั้นก็ไม่โดน บลาๆ แล้วกูก็มีปัญหากับการทำให้มีงานสม่ำเสมอว่ะ เขาบอกกันว่าอยากให้คนจำต้องมีงานออกสม่ำเสมอ แต่กูขี้เกียจด้วยแหละ แถมเพราะเพอร์เฟคเกินเลยเขียนอะไรแทบไม่ออกซักอย่าง ยิ่งมีเวลามากำหนดยิ่งกดดันเข้าไปอีก กูเหนื่อยตรงจุดนี้จังว่ะ
ยิ่งเขียนตอนมากเรื่อยๆ เนื้อเรื่องยิ่งเริ่มไม่เข้ากัน ตอนนี้แต่งมาได้สี่ตอน ตอนที่สี่มีแต่น้้ำและไม่น่าสนใจ ดูไม่เกี่ยวกันเลย ฮือ
พวกมึงมึวิธีร่างพล็อตมั้ย กูรู้สึกกูแต่งไปตรงๆไม่รอดกูต้องสรุปความคิดร่างมาก่อน แต่พอมาเขียนกูกลับเขียนไม่ออกกล่ยเป็นแต่งไปเลย
ก่อนจะเขียนนิยายได้ทีไรใจกูฟุ้งซ่านทุกที อยากเขียน แต่ก็ไม่อยากเขียนไปพร้อมๆกัน เครียดยังไงก็ไม่รู้ หรือว่ากูกดดันตัวเองมากเกินไปวะ
กูเขียนตามพล็อตไปเรื่อยๆ แต่พอพบว่ามีช่องว่าง กูจะหมดอารมณ์เขียนไปในทันที นานมากกว่าจะตบๆ ให้มันเข้าที่แล้วกลับมาเขียนต่อได้
ทีนี้ปัญหาของกูคือ กูเป็นพวกยอมรับความไม่สมเหตุสมผลไม่ค่อยได้ ทั้งที่อ่านกระทู้แนวๆ ศาลาคนเศร้า อ่านข่าวศึกษา สะสมไว้ก็พอตัว พอให้ยึดไว้ว่า เคสประหลาดๆ หรือการแต่งงานแบบประดักประเดิดแบบนี้มันก็มีอยู่นะเว้ยในชีวิตจริง แต่พอกูจะเอาเคสนั้นมาใช้กับนิยายที่กำลังเขียนบ้าง กูกลับทำใจไม่ได้ มันมีในชีวิตจริง (ของใครบางคน) แต่มันขัดกับความเชื่อกูมาก แล้วก็ลำบากตัวเองสิทีนี้ เราอยากให้ตัวละครเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น แต่หาทางเข้าดีๆ แบบไม่ขัดกับความเชื่อตัวเองให้ตัวละครไม่ได้ นี่ก็ตบทางเข้าให้มันมาหลายรอบแล้วยังไม่เข้าที่ที
คนอ่านเขายอมรับความสมเหตุสมผลได้แค่ไหนวะ กูว่ากูเป็นพวกตั้งอยู่บนความจริงมากเกินไป รับความรักแฟนตาซีไม่ค่อยได้เลยว่ะ เวลาอ่านงานแบบนั้นแล้วก็อึดอัดฉิบหาย
เราว่ามันสำคัญที่ว่า ทำยังไงตัวเองจะเชื่อและอินไปกับเรื่องราว เพราะถ้าคนเขียนยังไม่เชื่อ มันก็จะทำให้เล่าเรื่องไปจนจบลำบาก หรือต่อให้ด้นๆ เขียนไปจนจบได้ เรื่องที่เขียนมันจะขาดอารมณ์ขาดความสมเหตุสมผลบางอย่างในรายละเอียด และส่วนนี้มันจะทำให้คนอ่านจับความรู้สึกได้อะ
เพราะงั้น เขียนอะไรที่ตัวเองเชื่อและมั่นใจ ไม่ต้องไปฝืน เล่าไปตามที่คิดว่าน่าจะเป็นและควรจะเป็นน่าจะดีที่สุด เรื่องอื่นอย่างเรื่องที่ว่าคนอ่านจะอินหรือไม่อินไหม เราไม่ต้องไปเครียด เพราะถือว่าเราทำในส่วนของเราเต็มที่แล้วอะ ปล่อยให้คนอ่านตัดสินไป
เขียนงานออกมาแล้วโดนด่าว่างานอ่านไม่รู้เรื่อง ง่วงนอน เสียใจ ฮือ
แจ่มใสเปิดรับสมัครนักเขียนหน้าใสละ ไปสมัครกันเร้ว
>>720 เขียนแนววกวนนี่ต้องไปเกิดเป็นนักเขียนเยอรมันหรือเบลเยี่ยม เขียนให้วกวนดูฉลาด ถึงจะขายดี
ของไทยสมัยนี้เหมือนต้องเน้นเขียนให้กระชับ คนไม่ค่อยทนอ่านบรรยายยาวๆ ไม่สิ ต้องบอกว่า พวกอ่านบรรยายดึงอารมณ์กับพวกที่อ่านนิยายเน้นรับรู้เรื่องราวเอาบันเทิงอย่างเดียวไม่สนใจวรรณศิลป์ทางภาษา เป็นคนอ่านคนละกลุ่มกัน
>>720 ไม่เห็นตัวงานคอมเมนต์อะไรมากไม่ได้ พูดแบบรวมๆนะ
ความรู้สึกวกวนมันจะเกิดเวลาคนเขียนพยายามบรรยายแบบย้ำคิดย้ำทำ เหมือนในความคิดคนเขียนคิดว่านี่แหละวลีสำคัญ หัวใจหลัก ต้องย้ำบ่อยๆ หรือไม่ก็คิดว่าเล่นคำแล้วจะน่าสนใจ (ความจริงคือถ้าเล่นแล้วไม่ช่วยให้อ่านง่ายขึ้นหรือนำเสนออะไรเพิ่มขึ้น มันจะทำให้คนอ่านเขว)
ปล. ถ้าซีเรียสจริงๆ ควรหาคนที่วิจารณ์งานแบบขีดปากกาแดงเป็นรายประโยคได้ ไม่งั้นก็มีทางเดียวคือนอนพักลบ bias ก่อนกลับมาอ่านซ้ำแล้วหวังว่าจะเจอปัญหา เคยเจอแบบนี้เหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนโดนถีบตกทะเลเลย - -''
พูดถึงนิยายใสๆ นี้กูเคยอ่านแค่สองสามเล่มสมัยเด็กๆ ทุกวันนี้เวลาเห็นตามร้านก็ลองหยิบมาอ่านดู ถึงกับกุมขมับ นี่กูอ่านไปได้ยังไง ขนาดไม่ใช่ติ่งนะ
กูจะเขียนนิยายพาโรดี้สาวน้อยเวทมนตร์(ได้ไอเดียจากการ์ตูนพริตตี้เคียวที่แม่งฉายวนไม่จบซักที กูเบื่อ) ปัญหาคือกูยังคิดไม่ตกว่าจะใช้โลกในเรื่องเป็นญี่ปุ่นหรือประเทศสมมุติตัวละครชื่อฝรั่งจ๋าดี คือมันเป็นโลกในอนาคตอะมึง หรือจะยำรวมกันเอาตัวเอกคนญี่ปุ่นมาใข้ชีวิตในประเทศสมมุติได้ปะวะ แบบว่ามันมีบางเรื่องที่ค่อนข้างล่อแหลมเรื่องเพศ เช่นเกย์ ที่ฝรั่งดูจะเปิดกว้างแต่เอเชียยังปิดกั้นอยู่ กูกลัวดราม่าว่ะ
>>729 ก็เหมือนไรเดอร์เซนไตละมึง ต้องมีรุ่นใหม่เป็นประจำทุกปี 555 กูลงพนันว่าจะจบหลังโคนันรายนี้มีสปอนเซอร์+ขายของเล่นได้
จริงๆมึงไม่ต้องแคร์ว่าประเทศอะไรก็ได้(กูว่าคนอ่านแม่งก็ไม่ได้แคร์หรอก) ขอแค่อย่ามาญี่ปุ่นแต่ชื่อแต่เนื้อในคนไทยใช้มุกไทยๆละกัน เอาจริงยิ่งเรื่องเกย์กูว่าไม่น่าห่วงเลย พรีเคียวนี้แหล่งโดยูริเลยนะมึง...ภาคล่าสุด มาโฮพรีเคียวนี้กูสำลักยูริคู่หลักตายมากๆ
นิยายกูโดนบอกว่าภาษาสละสลวยแต่เข้าใจยาก ต้องพยายามทำความเข้าใจ กูก็ไม่รู้จะทำไงดีเพราะตั้งใจให้เป็นกิมมิคนิยายตัวเองที่กระแดะใช้ศัพท์สูงใช้คำไวพจน์เพื่อความพีเรียดจักรๆ วงศ์ๆ อย่างแบบ ฤทัยขาดห้วงสิเน่หา ลุ่มหลงดำฤษณาเกินยั้งสติ ไรเงี้ยะ อยากบอกเขาว่ามันไม่ต้องแปลทุกประโยคก็ได้อ่า
จะให้ปรับมันก็ได้แค่ระดับหนึ่ง พวกประโยคไม่ให้ยาวเกิน ไม่ให้คำศัพท์ปีนกระไดมันอยู่ติดๆกัน ก็พยายามปรับแล้วในตอนหลังๆ แต่ยังโดนบอกว่าเข้าใจยากอยู่ดี กูไม่รู้แล้วเนี่ยว่าต้องปรับขนาดไหน
>>731 เราว่าลองดูตัวอย่างของพวกชั้นครูที่เขียนสละสลวยเช่นลักษณาวดี แล้วปรับภาษาอย่าให้ยากเกินกว่านั้น เชื่อเราเถอะ ตอนเราอ่านธุวตาราเราใช้เวลานานมากกว่าจะชินกับความยากของภาษาได้
ภาษาที่อ่านยากมันต้องใช้พลังสมองในการอ่านตีความ คงไม่มีใครอยากใช้พลังสมองในการนั่งตีความนิยายทุกบรรทัดหรอก นอกจากว่าจะเป็นคนที่ชอบวรรณศิลป์จริง ๆ แล้วมีความสุขกับการละเลียดความงามของสำนวน ซึ่งคนกลุ่มนั้นมันค่อนข้าง niche
คนธรรมดาทั่วไปจริง ๆ ไม่ได้สนใจความงามของภาษาขนาดนั้นอยู่แล้ว จุดสำคัญคือสำนวนเขียนสามารถเล่าเรื่องเข้าใจ เล่าเรื่องแล้วดึงอารมณ์ร่วมได้มากกว่าน่ะ
>>731 สละสลวยมีศัพท์ยากกับ เวอร์วังอ่านไม่รู้เรื่องมันต่างกันนะ ของมึงกูว่าว่าอยู่ในพวกเวอร์เกิน ไม่รู้เรื่องยังเรื่องเล็กเพราะถ้าพยายามก็เข้าใจได้ แต่อ่านแล้วมันโคตรน่ารำคาญนี่สิ คนจะพาลกดปิดเอา นอกจากมึงไม่แคร์ว่าจะมีคนอ่านเปล่า ถ้าอย่างนั้นมึงก็บรรเลงได้ตามใจเลย
มึงทำให้กูนึกถึงรายการทีวีอันนึงช่อง thaipbs นานแล้วแหละ เกี่ยวกับพาเที่ยวไทยเก่าดั้งเดิม แม่งชอบใช้คำฟุ่มเฟือย ตย. วิจิตรพิศดารโอฬารตระการตาสวยงามเหลือคณา เทือกนั้น แล้วแม่งมาบ่อย ๆ แทบทุกประโยค ถึงรายการมันดีแค่ไหนกูก็ทนดูต่อไม่ได้ว่ะ
อีกอย่าง "ไม่ต้องแปลทุกประโยคก็ได้" นี่เป็นความคิดที่ผิดนะโว้ย คนอ่านนิยายเขาก็อยากละเมียดละไมกับเนื้อหาภาษา ป่ะว่ะ ไม่ได้สอบภาษาไทยนะมึงจะได้อ่านข้าม ๆ เอาแค่เนื้อหาไปตอบข้อสอบ มึงอย่าไปหลุดความคิดนี้ในนิยายมึงเชียว โดนเกลียดแน่นอน
ส่วนแนะนำกูเห็นด้วยกับ >>731 คุณหญิงวิมลน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีได้ หรือถ้ามึงอยากได้ภาษาแบบเก่า ๆ กูแนะนำ ไม้ เมืองเดิม
กูเจอปัญหาสำนวนแกว่งว่ะเพื่อนโม่ง คือกูเขียนนิยายรักธรรมดา ใสๆ
แต่เสือกไปอ่านนิยายจีนมา ชิบหาย รักวัยเรียนกลายเป็นหนังจอมยุทธ์เลยสัด
กูต้องหาอะไรมาถอนวะเนี่ย
>>731-733 ทุกวันนี้กูยังงงว่าไส้เดือนตาบอดในเขาวงกตชนะซีไรต์ได้ไงวะ คนเขียนเคยพูดเองเลยว่าอยากแต่งนิยายให้มันอ่านยากๆอ่านแล้วงงๆ คนอ่านจะได้มีสมาธิกับการอ่าน เนื้อหา1หน้ากระดาษสามารถสรุปได้ใน2บรรทัดที่เหลือมีแต่น้ำ แบบนี้นักเขียนบางคนเขี่ยๆงานให้มันเวิ้นเว้อก็ชนะรางวัลได้แล้วดิ
>>734 รีเซทสมองด้วยนิยายของด็อกเตอร์ป็อบกับสแตมเบอรี่
มีใครเคยคิดพล๊อตที่ทำร้ายตัวละครที่เรารักมากๆ มากจนสุดท้ายไม่กล้าเขียนบ้างมั้ย (คือวางแผนไว้แล้วว่าจะให้มันเกิดเหตุการณ์นี้กับตัวละครที่จะมีบทนี้ แต่พอให้อุปนิสัยใจคอเค้าขึ้นมากลับสงสารจนอยากแก้เมนพล๊อตหรือไม่ก็ถอนรากถอนโคนตัวละครนี้ทิ้งแล้วสร้างเขาใหม่เลย) โอยเศร้า
>>735 เป็นการรีเซ็ตสมองที่อาจจะสมองหายไปทั้งยวงเลยทีเดียว
>>736 มาตอบว่าเคย แต่กูสนุกมากเวลาทำร้ายตัวละคร... กูถือว่าตัวเองเป็นผู้ชมมากกว่า ใส่ปมเนื้อเรื่องให้ ใส่นิสัยกับประวัติให้ จากนั้นแค่นั่งดูว่าตัวละครจะเดินไปทิศทางไหน กูไม่ค่อยแก้อนาคตให้พี่แกเท่าไร ถ้าตัวละครเลือกจะทางเดินนี้ แก้ให้ไปก็เท่านั้น เผลอๆจะหลุดคาร์อีกต่างหาก คิดถึงเขาค่อยย้อนความคิดกลับไปเอา สำหรับกูอ่ะนะ คนอื่นไม่รู้เหมือนกัน
สรุปคือทำใจเหี้ยมแล้วเชือดทิ้งเลย เอ้ย ไม่ใช่ ถ้ามึงอยากแก้จริงๆก็แก้เถอะ เพื่อความสบายใจของตัวเอง ไม่งั้นก็หาเงื่อนไขอะไรสักอย่างเพิ่ม อาจจะพลิกอะไรได้บ้างล่ะมั้ง
>>736 เคย แต่กูทำอะ แต่ส่วนตัวกูว่ามันไม่ขนาดนัั้้น..ถึงคนอ่านจะบอกว่ากูโหดร้ายก็เหอะ(ตัวเอกกูโดนรถชนตาย กลายเป็นวิญญาณมาสิงพ่อของคนที่ขับรถชน แล้ววางแผนให้ครอบครัวแตกแยก คนที่ขับชนตอนแรกก็นิสัยกเฬวราก แต่พอผ่านวิกฤติที่ตัวเอกแม่งทำมาเรื่อยๆก็เริ่มจะกลายเป็นคนไม่เอาอารมณ์เป็นใหญ่ รักครอบครัว พยายามแก้ไข ชดใช้สิ่งไม่ดีที่เคยทำเอาไว้ แต่อนิจจา ตัวเอกดันวางแผนพลาด เลยกลายเป็นว่าไอ่คนที่ขับรถชนตอนแรกแม่งทนรับคำด่าทอของสังคมไม่ไหวจนชิ่งฆ่าตัวตาย ตัวเอกตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดละ แต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่กล้าฆ่าตัวตายเพราะเริ่มผูกพันกับครอบครัวนี้ จนสุดท้ายก็ใช้ชีวิตในฐานะพ่อของคนที่ขับรถชนไปจนตาย)
สำหรับกู กูคิดว่าทุกตัวละครควรมีโอกาสนะ อย่างน้อยก็โอกาสที่จะทำให้มองเขาในด้านดีๆขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับมึงแหละ ว่าจะเหี้ยมพอที่จะสร้างคนๆหนึ่งที่บัดซบในหลายๆความหมายขึ้นมาได้รึเปล่า
วันนี้กูมีไฟ คิดเรื่องคิดพล็อตที่อยากเขียน เสร็จแล้วลงมือเขียนจบไปตอนนึง เหลืออีกสามตอนที่วางพล็อตคร่าวๆไว้แล้ว
จากที่ผ่านมา ยุ่งนู้นนี่นั่น สมองตันไม่มีเรื่องน่าสนใจ อ่านที่ตัวเองกลับมาเขียนรู้สึกมันฝืดๆ ยังต้องเกลาอีกเยอะ
แต่ได้เขียนออกมาหลังจากหยุดไปนาน ดีใจจัง
ถามหน่อยเวลาหาข้อมูลจำพวกมีรูปน่ากลัวเช่นผี วิธีทรมาณ โรค ฯลฯ ทำยังไงให้รูปมันไม่ขึ้นอะ
>>742 https://www.textise.net/ วางURLลงไป จะมาแต่เท็กซ์ล้วนๆ
หรือถ้าใช้ chrome ก็ลง extension "Text Mode" (ไม่แน่ใจว่า firefox มีมั้ย ไม่ได้ใช้)
ทำยังไงดี เขียนแต่เรื่องสั้นกับไลท์โนเวลบ่อยจนเขียนนิยายเรื่องยาวๆไม่ได้แล้ว ฮือออ มีแต่คนบอกกูเขียนรวบรัดเร่งเกินไป
กูอยากระบายว่ะ
ตอนแรกกูเขียนเพราะอยากเขียน แต่พอกูเขียนแล้วขายพอได้มีคนตามอ่านได้พิมพ์กับสนพ. กูก็มายึดเป็นอาชีพหลัก ช่วงแรกกูเขียนตามใจกูเลยยอดขายไม่ดีเรียกว่าถึงอดตาย กูเลยเปลี่ยนแนวเขียนตามที่คนอ่านอยากได้มันก็ได้ผลกูได้เงินกับคนติดตามมากขึ้น แต่การที่คนติดตามมากขึ้นกูเจอแต่ความคิดเห็นที่บังคับทางให้กูเขียนตลอด ขนาดถ้านางเอกไม่เป็นไปตามที่คนอ่านส่วนใหญ่อยากให้เป็นก็ขู่จะเลิกตามงานกู พอกูลองไม่เขียนตามคนอ่านก็ฮวบครึ่งๆ บก.ก็เริ่มบ่นๆ กับกูแล้ว แล้วพอกูตามใจบก.กับคนอ่านเขียนตามที่ส่วนใหญ่อยากอ่านกระแสก็กลับมาแต่ก็เรียกร้องกับกูมากขึ้นอีก บางคนเรียกว่าแทบจะมาคิดเรื่องแทนกูแล้ว
กูเกลียดระบบที่ต้องลงงานในเน็ทเรียกคนอ่านมากต้องให้มีกระแสคนอ่านเยอะๆ กูถึงจะได้เงิน ตอนนี้กูทำตามที่ตัวเองอยากทำก็ไม่ได้ พอทำตามคนอ่านคนอ่านก็เรียกร้องกับกูเพิ่มขึ้นจนมันไม่ใช่งานเขียนกูแล้ว บก.ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ดูกระแสบนเน็ทก่อนอีก กูท้อแล้วเหนื่อยมากตอนนี้
>>748 เราเข้าใจความรู้สึกเธอ แข็งใจไว้นะ ถ้าตั้งหลักได้ มีทุนสำรองมากหน่อย ก็ผันตัวไปเขียนนิยายแนวที่อยากเขียนจริงๆ ดีกว่า พอมีฐานแฟนแล้วมันก็ขยับตัวง่ายขึ้น จริงอู่ว่าจะมีเรื่องความกดดันความคาดหวังที่มันจะตามติดตัวพวกเราไม่หายไปไหนหรอก แต่มองในแง่ดี การมีคนรักมีคนรอตามผลงาน ก็หมายความว่างานเราจะยังขายได้นะเพื่อนโม่งนักเขียน
>>751 ไม่ต้องไปออกหน้าบอกใครว่ามึงมีสองนามปากกา ยกเว้นถ้าเขาถามจัง ๆ มึงจะบอกหรือโกหกก็สิทธิของมึง แต่มึงต้องทำใจว่านามปากกาใหม่เท่ากับเริ่มก้าวแรกใหม่ ถ้ามึงติดชื่อเสียง ติดมีคนเม้น มีคนซื้อเยอะแล้ว มึงอาจจะเฟลกับนามปากกาใหม่ ที่ทั้งใหม่ ทั้งไม่ตามใจตลาดจนเลิกเขียนในนามปากกาใหม่ไปเลยก็ได้ แต่ถ้ามึงแค่จะเขียนสนองนี้ด แล้วหาคนที่จะชอบงานแนวมึงจริง ๆ ซะทีก็โอเค
>>749 ใจมาก
>>750-752 กูลองทำนามปากกาใหม่แล้วนามปากกาใหม่คืออันที่ขายได้ กูเปลี่ยนเมล์เปลี่ยนเฟซทวิตใหม่ด้วย แต่สุดท้ายคนอ่านก็รู้อยู่ดีซึ่งกูก็ไม่รู้ว่าตามไปสืบจากไหนจนรู้ แล้วกูเขียนช้าเขียนได้ทีละงานทำให้ถ้าจะเขียนงานตามใจตัวเองช่วงนั้นต้องมีเงินเก็บ เพื่อนกูแนะนำให้กูย้ายสนพ. แล้วบอกว่าถ้าบ.ก.เป็นแบบนี้กูจะโดนจับขายไปเรื่อยจนกูหมดประโยชน์ บ.ก.ก็จะทิ้งไม่เห็นใจเข้าใจกูแน่นอน
>>753 ย้ายสนพ อาจจะเป็นทางออกนึง แต่มึงต้องทำใจก่อนนะว่าสนพ สมัยนี้ก็อาจจะแนวๆ เดียวกันหมด มันเป็นเรื่องของธุรกิจ เค้าก็ต้องเน้นงานที่ขายได้ไว้ก่อนอยู่แล้ว ยิ่งช่วงนี้ตลาดหนังสือมันแผ่วลงยิ่งแล้วใหญ่ กูว่าสนพ ส่วนมากคงเพลย์เซฟ เลือกแต่แนวที่ขายได้แน่ๆ มาทำนั่นแหละ
กูไม่แน่ใจว่าแนวที่มึงอยากเขียนกับที่นักอ่านอยากอ่านมันต่างขนาดไหน จะเป็นไปได้มั้ยวะถ้ามึงจะเขียนแนวตลาด แต่ว่าก็มีสไตล์ของตัวเองไปด้วยอะ
เอาชัดสุดนะเรื่องบทเลิฟซีน นามปากกาแรกกูแค่เริ่มแล้วตัดไปเลยให้คนอ่านแค่พอรู้ว่ามีอะไรกันแล้วแค่นั้น นามปากกาใหม่กูผิดเองอยากขายได้ใส่มันเข้าไปเยอะ บรรยายชัดขึ้น ตอนเริ่มเขียนกูบ้าด้วยเห่อเขียนแล้วมันได้ผล ตอนออกเล่มแรก บ.ก. ก็โอเค กูก็โอเค คนอ่านก็โอเค เหมือนกันจะฟินไปหมด แต่พอเล่มถัดมาคนอ่านก็จะเอาเพิ่มจนตอนนี้หนักมากขนาดต้องให้ใส่ทุกตอนถ้าไม่มีอะไรกันอย่างน้อยก็ต้องมีกอดมีจูบตอนไหนไม่มีเลยยอดอ่านฮวบ กูรู้แล้วว่าคนอ่านไม่อ่านเรื่องกูแล้วจะอ่านต่อตอนเอากัน กูไม่อยากเขียนเซ็กส์เซล พอกูถามบ.ก.เขาตอบว่าเขียนไปเถอะคนอ่านชอบก็พอ คือกูเขียนจัดให้ได้ ตอน 50สีเทาดังบ.ก.อยากได้ BDSM กูก็เขียนให้ได้ ช่วงก่อนเห่อ NTR กูก็จัดให้ได้ อยากได้แนวเครื่องแบบกูก็เขียนให้ได้ อยากได้ BL GL กูเขียนให้ได้
แต่ตอนนี้กูเขียนไม่ออกแล้ว กูรู้ตัวกูไม่ได้อยากเขียนเรื่องเอากัน ถ้ากูไม่เขียนกูก็ไม่มีเงินที่บ้านกูก็โอเคกับการที่กูเขียนแล้วได้เงินแต่ไม่ได้มาสนใจว่ากูจะเขียนอะไร แล้วตอนนี้ยอดพิมพ์ลดลง กูต้องเขียนเรื่องมากขึ้นให้รายได้เท่าเดิมแต่กูเขียนไม่ได้มาเป็นเดือนแล้ว จนนี่พ้นเดทไลน์งานหนังสือ บ.ก.ก็เหมือนว่ากู ว่าทำกำหนดการเขาเสียกูก็บอกแล้วว่ากูเขียนไม่ทันแน่
ตอนนี้กูเสียใจมากที่ลาออกจากงานประจำ
>>755 โอ๊ะโอว .. สนพ มึงนี่ ใช่ที่หน้าปกเป็นรูปคนมั้ยวะ ...
ถ้าเป็นแบบนี้กูไม่โอเคนะ กูจะเขียนเรื่องอะไรซักเรื่องนึงมากูก็อยากให้คนสนใจเนื้อเรื่อง ไม่ใช่ฉากเย ในฐานะคนอ่าน กูก็ไม่ได้อยากให้มันมีฉากแนวๆ นี้ทุกตอนอะมึง แล้วเอาจริงกูว่ายอดวิวในเว็บมันไม่ได้แปลว่าคนอ่านจะซื้อจริงๆ รึเปล่าวะ อาจจะตามอ่านตามกรี๊ดในเว็บก็จบละ ไม่สนใจจะซื้อเก็บ แถมคนอ่านที่อ่านหนังสือดีๆ มาเจอแนวนี้เยอะๆ ก็ไม่เก็บอีกว่ะ
เป็นกูกูคงย้ายสนพ ว่ะ
>>756 มึงอย่าทายเลย ขอกูระบายเถอะ
ยอดวิวมันทำให้เจ้าของเห็นแล้วจะยอมให้พิมพ์หรือไม่ให้ เรื่องที่กูคิดว่าดีคอมเมนท์พอมีแต่วิวน้อยเขาไม่แลเลย เรื่องเขี่ยๆ ใสแต่เอากันวิวเยอะเมนท์กากได้พิมพ์
แล้วหลังจากนั้นเรื่องที่วิวเยอะหลายๆ เรื่องที่ได้พิมพ์จากหลายคนเขียน เขาจะดูอันที่เข้าตาหลักๆ คือวิวอีก เลือกเอาไปอัดฉีดต่อ เลือกคนทำปกเก่งๆ โฆษณา ทำโปสเตอร์ ของแจก ออกบูทแจกลายเซ็น เขาไม่ได้เลือกเนื้อหาเรื่องดีหรือไม่ดีหรอก ซึ่งการอัดฉีดพวกนี้ทำให้ขายได้มากกว่าคนรู้จักมากกว่าเรื่องที่ได้พิมพ์เหมือนกันแต่เงียบๆ
KY แปป พวกมึงเคยเจอปัญหาจนพล็อตทิ้งไว้นานมากๆ แล้วพอกลับมาอีกทีอ่านลายมือตัวเองไม่ออกมั้ยวะ
คือกุจดไว้เวลาว่างๆในกระดาษ แล้วไม่มีเวลาลงคอมซักที พอผ่านการเวลามานานก็เริ่มขี้เกียจ พอหายขี้เกียจเสือกอ่านลายมือตัวเองไม่ออก
แล้วก็นึกไม่ค่อยออกด้วยว่ากุเพ้อเจ้ออะไร 55555555555555555 เศร้าชิบหาย
กุจดไว้สั้นๆ พอกลับไปอ่านกลับนึกไม่ออกว่าวางพล็อตอะไร T T
กุพิมพ์เก็บไว้ในกูเกิ้ลไดรฟ์อะ
>read this
>get mad as fuck
>mad at the bitch
>mad at old fag
>mad at OP being beta fuck
http://imgur.com/gallery/7hwxI1s
literally nothing make me mad as this.
Red Wedding from GoT cant make me this mad.
moral of the story(?) : The most powerful tale is the one that seems real, yes or no?
อยากศึกษาเรื่องที่บรรยายด้วยมุมมองบุคคลที่สอง อะเพื่อนโม่ง หายากจัง มีเรื่องไหนแนะนำบ้าง
มึงมีนิยายแฟนตาซีแนวไทยๆป่าวว่ะ แบบเรื่องตำนาน ครุท นาค จักๆวงๆ เอาโครงเรื่องวรรณคดีมาแต่งแนวๆนี้อ่ะ กุอยากลองแต่งดู แต่หัวว่างมากเลยว่าจะลองอ่านก่อนขอเรื่องภาษาสวยๆมีไหมว่ะ
ล่องไพร เพชรพระอุมา
เยอะ เรื่องแนวความเชื่อ แต่ต้องเป็นนักเขียนเก่าๆหน่อยภาษาถึงจะสวย สมัยนี้ภาษาหวือหวาไปหน่อย เน้นแต่เขียนให้อ่านโต้งๆ ไอ้จะบรรยายใช้คำให้ลื่นๆไพเราะน่ะ ยากกก
แฟนตาซีแนวไทย ๆกูชอบเรื่องลำนำหกพิภพว่ะ
ชื่ออย่างกะนิยายกำลังภายใน
ถามหน่อยปกติเอานิยายแฟนตาซีไปฝากบูธไหนในงานหนังสือกัน
ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์นิยายยูริความจริงมันต้องเขียนว่า ลิลี่(Lily) หรือ ลิลลี่(Lilly) วะ กูถูกนักอ่านท้วงมาว่ะว่าต้องเขียนแบบแรก แบบหลังมันผิด ซึ่งกูลองหาข้อมูลดูปรากฏว่าใช้ร่วมกันมั่วเลยว่ะ ใครพอมีแหล่งอ้างอิงที่พอเชื่อถือได้บ้าง
Lily คือชื่อดอกไม้น่ะถูกแล้ว แต่ Lilly นี่ไม่รู้ว่ะ อาจจะเป็นชื่อคนที่มีความหมายว่าดอกลิลี่เหมือนชื่อซูซานล่ะมั้ง
มึง กูมีปัญหาว่ะ คืองี้นะ กูเขียนนิยายเป็นเซ็ทๆจะเอาไปส่งสนพ.แล้ววันดีคืนดีนึกครึ้มอะไรไม่รู้เปิดเรื่องใหม่โดยพระนางของคนละเรื่องกันให้มาคู่กัน (ใช้ตีมพาราเรลเวิร์ลอ่ะ) กุก็เขียนเอาสนุกเฉยๆไว้อ่านคนเดียวอ่ะ พอทีนี้ปัญหามันมีอยู่ว่า กูเสือกอินกะอีเรื่องสองคนนี้ชิบหาย ไอ้ที่อินไม่เท่าไหร่ ประเด็นคือพอจะกลับไปเขียนสองเล่มนั้น กูไม่มีอารมณ์เขียนอ่ะ เหมือนสลับพระนางกันไปแล้ว จะให้แยกมาเหมือนเก่าอารมณ์มันไม่ได้แล้วว่ะ
จากที่ต้องส่งสองเล่มกลายเป็นหายทั้งคู่เลย เสียงานเสียการกูหมด มีวิธีแก้ยังไบ้างวะ ช่วยกูที
เออ ลืมบอก ถ้ามึงจะแนะนำว่าเอาเรื่องใหม่ที่ได้ไปส่งเลย กูตอบไว้ก่อนว่าทำไม่ได้ เพราะพล็อตมันเหี้ย ผิดศีลธรรมและเรทมาก ....
กูเขียนนิยายสร้างโลกใหม่ขึ้นมา ออกแนวแฟนตาซียุคกลางหน่อยๆ กูจะใช้คำที่เป็นแนวเอเชียอย่างชุดกิโมโน นินจา ได้ไหมวะ แบบมันมีจะพื้นที่หนึ่งที่ประชากรเป็นเผ่าที่กูอิงมาจากญี่ปุ่น ให้มีชื่อญี่ปุ่นหรือผสม เช่น เบลริว แบบนี้ได้ปะวะ
กูติดอยู่ในกำแพงเขียนนิยายไม่ได้มานานมากเลยเพื่อนโม่ง ห้าปีได้ กูกดดันตัวเองจนเขียนได้แค่สั้นๆ ไม่มีความสุข พล็อตดีแค่ไหนก็เขียนไม่ได้ กลายเป็นการบังคับตัวเองให้เขียนนิยาย วันหนึ่งหน้าหนึ่งยังเขียนไม่ได้เลย ตอนนี้กูกลับมาเขียนนิยายไม่มีพล็อต ไม่มีสาระ อยากเขียนอะไรก็เขียน จับแพะชนแกะไปเรื่อย พยายามเขียนให้ได้ทุกวัน วันละตอน ตอนสั้นๆเอง 2,000 กว่าคำ ตอนนี้เขียนมาเกือบจะหนึ่งเดือน ได้ 26,000 คำแล้ว...ไม่รู้ว่ากูก้าวข้ามผ่านกำแพงของตัวเองหรือยัง แต่กูภูมิใจว่ะ รู้สึกดียังไงก็ไม่รู้
พวกมึงเคยเป็นกันไหม คิดเซ็ตติ้งแฟนตาซีได้เป็นวรรคเป็นเวร แต่ดันแต่งเรื่องไม่ออก
ขอถามนักเขียนที่ร่วมเล่มนิยายขายเอง คิดยังไงถึงกล้าเสี่ยงพิมพ์เอง ทำไมถึงคิดจะรวมเล่ม พิมพ์กี่เล่ม ฟีดแบกคนอ่าน-คนซื้อดีมั้ย กำไรเป็นไง
ขอบคุณล่วงหน้านะ
>>785 ถ้าหมายถึงทำไมไม่ส่งต้นฉบับให้กับสนพ. เหตุผลเยอะค่ะ เช่น โดนบังคับขายขาดให้แค่ตอบแทนน้อยกว่าทำเองอีก เจอบีบไม่ให้ค่าตอบแทนอีบุ๊ค โดนแก้งานจนไม่ใช่งานตัวเอง ดองไม่เซ็นสัญญาเสียที แก้แล้วแก้อีก เร่งงานกดดันนักเขียนเกินพอดี สนพ.ไม่ดันงานให้ไม่ต่างจากลงในเน็ทเอง มีปัญหากับกองบก. และอื่นๆ เหล่านี้ทำให้นักเขียนที่พอมีฐานคนอ่านแล้วและมีรายได้จากทางอื่นด้วยมาทำหนังสือเอง
ถ้าเหตุผลการผลิต เช่น รูปเล่มปกทำไม่ถูกใจนักเขียน นักเขียนมีคนซื้อมากพอได้ค่าตอบแทนมากกว่าส่งสนพ. แล้วตอนนี้การพิมพ์เองใช้วิธีสั่งจองแต่ชำระเงินก่อน สั่งพิมพ์จำนวนน้อยๆ ได้ นักเขียนไม่ต้องเสี่ยงทุนจมแล้ว เลยทำเองถูกใจสบายใจกว่า
กูไปอ่านนิยายเรื่องนึงมา ไม่ขอบอกชื่อนะ เป็นแนวแฟนตาซี เรื่องกึ่งๆ ดราม่า แล้วให้ตัวเอกในปัจจุบันเติมเต็มอดีต ทีนี้เว้ยคนเขียนก็เขียนแบบให้พระนางคู่กันงั้นงี้ เดินเรื่องมากลางทางเริ่มมีแววพระนางไม่ได้คู่กันว่ะ พออ่านจนจบเท่านั้นแหละแม่มเอ้ย นอกจากนางเอกจะหายไป หายแบบลบจากความทรงจำทุกคน ตามเหตุผลห่านเหวทั้งหลายแหล่ พระเอกกูเสือกไปแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน ประมาณแต่งงานการเมือง ทั้งที่แม่งเหมือนจะนึกออกว่ามีนางเอกอยู่แล้ว กูก็แบบเฮ้ยทำงี้ไม่ให้นางเอกกูตายเลยวะ เป็นพวกมึงจะรู้สึกยังไง สำหรับกูแบดเอ้นด์สลัดอ่ะ มีโมเม้นต์ดีๆ ด้วยกันมาตั้งนานคือไรว้าาาา
>>787 ส่วนกูอ่านอีกเรื่องแนวแฟนตาซีเหมือนกัน
เรื่องนี้อออกมา 3 เล่มและยังลงเว็บให้อ่านอยู่เนื่องจากยังไม่จบ
คนเขียนเขียนได้คลุมเครือมากในเรื่องความรักของพระเอกนะว่าจะลงเอยกับใคร
จนแบ่งคนอ่านออกเป็นหลายฝั่งคือไม่เอานางเอก พระเอกรักเดียว พระเอกได้ฮาเร็ม
เนื่องจากคนเขียนให้พระเอกไม่แสดงท่าทีสนใจใคร แต่เสือกใจดีกับสาวหลายคนแต่ไม่ใช่แบบเชิงชู้สาว
ทำให้กูเข้าใจว่าการเขียนตอนจบของเรื่องหนึ่งๆ จะมีคนชอบกับคนไม่ชอบเสมอ
กูแต่งนิยายไปนิดนึง แล้วพักไว้เพราะว่าตัน วันนี้กะจะแต่งต่อ ปรากฏว่ากูลืมเรื่องที่จะต่อไปหมดละ ปริศนาที่ใส่ไว้มันคือไรอ่านเองไปสองรอบก็จำไม่ได้
ที่จดไว้ก็แบบโคตรคร่าวๆ ไหนจะพวกที่ใส่เข้าไปตามอารมณ์ระหว่างแต่งอีก เซ็งชิบ 55555
กำลังเขียนนิยายเรื่องหนึ่ง แล้วหาวิธีลงฉากอดีตให้น่าสนใจไม่ได้สักที ลบๆ แก้ๆ จะตายแล้ว จะลงเป็นตอนๆ ย้อนอดีตยาวๆ กันก็เกรงจะเยอะไป จะลงแทรกรำลึก บรรยายความรู้สึกว่าเคยอย่างนั้น เคยอย่างนี้ก็ดูไม่มีน้ำหนัก แบบว่าอดีตของคู่หลักมันสำคัญมากกกก พอๆ กับปัจจุบันเลยอะ มีหนังสือเรื่องไหนดีๆ พอให้กูศึกษาการย้อนความหลังบ้างวะ หรือช่วยแนะนำก็จะขอบใจมาก
เพื่อนโม่งกูอยากถามหน่อยว่าเวลาแต่งนิยายทั่วไป ถ้าอ้างอิงสถานที่จริงเช่นห้างหรือสถานศึกษาแบบใส่ชื่อลงไปเลยจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ แบบเจ้าของสถานที่ หรือคนที่อยู่ในที่นั่นๆจะคิดยังไง มีผลอะไรมั้ย
กูไม่ได้จะเม้น กูกดผิด ซอรี่
กูประหลาดเปล่าวะ เขียนนิยายโรแมนติกคอมเมดี้แต่ฟังเพลงรักอะไรแบบนี้ไม่มีสมาธิเลย ต้องเปิดเพลงที่มันกระแทกหูแบบ smells like teenage dream, creep อะไรทำนองนี้...
ขอคำแนะนำหน่อยถ้าจะเขียนถึงตัวเอกที่บ้านๆ ไม่ได้ฉลาดเทพทรูอะไร ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้าง ยังไงไม่ให้คนอื่นเขวี้ยงหนังสือทิ้งก่อนวะ เข้าใจอารมณ์คนอ่านเวลาอ่านนิยายถ้าเห็นตลค.ทำตัวไม่สมเหตุสมผล แกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้วมันหงุดหงิดนะ เป็นเหมือนกัน เลยมาถามหาไอเดียว่ามันแก้ไงดีวะจุดนี้
>>802 ทุกการกระทำมันต้องมีเหตุผลอะ ถึงจะดูไม่มีเหตุผลยังไงก็ตาม ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้างก็ได้ แต่คงต้องบอกให้ได้ว่าทำไมมันตัดสินใจอย่างนั้น จู่ๆคนเราจะหาเรื่องใคร ถึงดูไม่มีเหตุผลแต่ลึกๆมันก็มี ไม่ใช่แบบอยากมีเรื่องเพราะนิยายจะได้เดินหน้าอะมึง
ตัวละครอาจชอบเสือกเรื่องชอบบ้าน เสือกมากเข้าเลยเผลอไปอยู่กลางดงตีนไม่รู้ตัวงี้ ก็รับได้ เพราะเราบอกแล้วว่ามันขี้เสือก
ที่น่าหนักใจว่าน่าจะเป็น ทำยังไงไม่ให้มันน่ารำคาญอะ กุเห็นหลายคน บรรยายดี พลอตเก๋ แต่ตัวละครแม่งน่ารำคาญไม่ควรเอาใจช่วย
จนกุแอบคิดว่าจริงๆ คนเขียนมันอยากเล่นพวกตัวรองมากกว่า ตัวเอกมีไว้แค่ให้เรื่องเดิน
เห็นพวกมึงคุยกันเรื่องฮาเร็มแล้วสะดุ้งเลย คือกูกำลังคิดพล็อตนิยายฮาเร็มชาย 5 คนต่อนางเอกคนเดียว คือกูคิดตอนจบไว้ว่าหนุ่มที่ได้จูบแรกนางเอกตายเพื่อปกป้องนางเอก ที่เหลือก็คอยดูแลช่วยเหลือนางเอกอย่างห่าง ๆ เช่น นางเอกเปิดร้านขายดอกไม้ ก็มาช่วยงานเป็นลูกน้อง หรือย้ายมาอยู่บ้านข้าง ๆ รั้วติดกัน มีโมนเม้นทำอาหารให้กินทุกเช้า สรุปคือจบแบบปลายเปิดให้คนอ่านมโนเอง แบบนี้พอได้ปะวะ
>>802 แกว่งเท้าหาเสี้ยนเราว่าไม่ใช่ปัญหานะ ทำให้เรื่องสนุกด้วยซ้ำ แบบ...มันจะเอาความฉิบหายอะไรมาใส่ตัวได้อีก (ขึ้นอยู่กับว่าความฉิบหายที่ว่าอ่านแล้วสนุกรึเปล่าด้วยแหละ) แต่ที่แย่กว่าคือ เวลาคนเขียนกลัวคนอ่านเกลียดตัวละครแล้วพยายามลดความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของแม่ง หรือบังคับให้ตัวละครตัวอื่นพูดแก้ต่างให้อ่ะ หนักกว่าคืออธิบายยืดยาวว่าการกระทำนี้เห็นแบบนี้จริงๆแล้วผ่านกระบวนการความคิดแบบนี้(เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าพวกมรึงคนอ่านก็ทำเหมือนกันนั่นล่ะ) เห็นแล้วแบบ เหมือนโดนโน้มน้าวอะ ไม่อยากอ่านต่อแบบฉับพลัน 555
>>806 ประเด็นสุดท้ายนี่โคตรเห็นด้วย เวลาเจอแฟนๆที่อวยตลค.ไม่ลืมหูลืมตาแล้วหาทฤษฎีมโนมาสนับสนุนหาความชอบธรรมให้การกระทำของตลค.(ทั้งที่นักเขียนแม่งตั้งใจสร้างมาให้เป็นตัวกรียนชัดๆ)ว่าแย่แล้ว มาเจอคนเขียนที่เขียนให้(ดูเหมือน)เป็นตัวเกรียน การกระทำก็เกรียน แล้วทำมาอธิบายทีหลังว่าที่จริงทำเพื่อคนอื่น แนวๆแอนตี้ฮีโร่ไรงี้มันโคตรจะแย่กว่า ไม่ได้บอกว่าตลค.แนวนี้ไม่ดีนะเว้ย ชอบด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครจะเขียนช่วยทำให้เนียนหน่อยเห้อ
เอ้า ไหนๆ แม่งก็เป็นปัญหาแล้ว โม่งคิดว่าควรเขียนยังไงให้มันไม่ดูยัดเยียดวะ ส่วนตัวเราไม่เขียนนิยายนะ แต่จากปสก.อ่านที่ผ่านมาคิดว่าถ้าไอ้ตัวเกรียน(ที่มีเนื้อแท้สีทอง)ตัวนี้เป็นประเภทไม่แยแสโลก ไม่แก้ตัวในทุกสถานการณจริงๆ แล้วพอถึงบทจะแถลงความดีก็ให้ตลค.อื่นมันพูดเอา ทยอยยอมรับกันด้วยตัวเองไรงี้ เราพอจะถูไถไม่เหม็นหน้ามันมากว่ะ
>>808 เกรียนแบบไร้ข้ออ้างก็สนุกไปอีกแบบนะ คือเกิดมาแบบนี้ ชีวิตเป็นแบบนี้ คิดแบบนี้เลยเกรียนแบบนี้ ไหนๆก็จะให้เกรียนแล้ว จะครึ่งๆกลางๆลดแรงกระแทกไปไย ความเกลียดไม่ได้ตรงข้ามกับความรักเฟ้ย 555+
...ในฐานะคนหัดเขียน ถ้าจะเขียนตัวละครเกรียนๆสร้างปัญหาแบบไม่มีข้ออ้าง มันต้องมีแผนกู้ชื่อเตรียมไว้ทีหลังว่ะ ประมาณว่า act1 ก่อเรื่อง act 2 ใช้กรรม ...ถ้าซื้อใจคนอ่านคืนไม่ได้หรือโดนเลิกอ่านก่อนก็เงิบไป 5555+
แต่เอาจริงๆเราว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเขียนให้ใครอ่านด้วย ถ้าเขียนให้พวกนักอ่านมุ้งมิ้งกรี๊ดตัวละครอ่าน เขียนคำอธิบาย(หรือกลยุทธิ์โน้มน้าวอื่นๆ)แบบให้เข้าใจง่ายๆเอาไว้ให้แฟนๆใช้เวลาสนับสนุนตัวละครก็อาจจะเป็นวิธีเขียนที่ถูกต้องที่สุดแล้ว - w -'
กูไม่รู้ว่ากูควรมามู้ไหน แต่คิดว่าน่าจะมู้นี้ ว่าจะทำเพจแปลโดเเปลแก็กว่ะ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี กูไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่ากูเป็นคนแปลอ่ะ แต่แบบนั้นมันก็จะไม่มีคนเห้นอ่ะดิ ;__;
อย่างเพจดังๆ อย่างนายแมวหรือเคะเกรียนนี่ได้ขอก่อนไหมนะ
พวกมึงถามหน่อย ถ้ากูเขียนนิยายที่มีมุมมองแบบที่แพลนกล้องแค่พระเอกคนเดียว ความคิดความรู้สึกมีแต่ของพระเอก แต่กูใช้สรรพนามในบทบรรยายว่า เขา แบบนี้จะเรียกว่ามุมมองบุคคลที่ 1 ได้ไหม
>>817 แบบนั้นน่าจะบุรุษที่สามแบบแพนกล้องติดตามพระเอกมากกว่านะ บุรุษที่หนึ่งตราบใดที่พระเอกไม่ได้เป็นคนเล่าเรื่องเองมันก็ไม่ใช่อยู่ดี อีกอย่างบุรุษที่หนึ่งมันให้ความรู้สึกเฉพาะตัวของมันในการเล่าเรื่องนะ มีความคิดของคนเล่ามาเกี่ยวข้อง ใช้ปกปิดปมเรื่องบางอย่างได้ แต่ถ้าเราเป็นคนเล่าถึงจะรู้เรื่องของพระเอก รู้ความคิดแต่มันก็ต่างกัน เพราะเรารู้ทุกอย่างตามความจริงป่ะ?
>>802 นิยายแม่งกากแค่ไหน ตัวละครต้องซ่อนปม ตัวละครต้องมีปมในอดีต แล้วค่อยๆ ปล่อย แล้วคนจะตาม เพราะนิสัยของมนุษย์ทุกคนคือชอบเสือกและอยากรู้อยากเห็น ดังนั้น คนอ่านแม่งก็อยากจะรู้ว่าทำไมพระเอกแม่งเป็นงี้ นางเอกแม่งทำงี้ แต่มึงต้องแน่ใจว่าปมมึงดีงามนะเว้ย ไม่งั้น สภาพจะแม่งเหี้ยเหมือนละครสงครามนางงามอะไรที่ตอนจบ นางเอกเป็นกระเทย เคยฆ่าคน และเป็นเบาหวาน อีคนเขียนบททิ้งปมเยอะจัด จบไม่ลง
คือกุพึ่งไปอ่าน fbfy ตามที่โม่งมู้นู้นแนะนำมา อบอุ่นละมุนละไมจริงว่ะ(กุอ่านอิ้งนะ) เอาแค่คำโปรย to meet or not... กุก้น้ำตารื้นละสึส พอดีอินง่าย 5555 แต่กุอ่านไปก้เริ่มหนักใจว่ะ คือกุกำลังแต่งแนวย้อนอดีตเหมือนกัน แต่พอมาอ่านแล้วพบว่าตัวเองคิดซ้ำกับเรื่องนี้เยอะเลยว่ะ ไม่ใช่ตรงพุทธศาสนานะ แต่เป็นกฎเกณต่างๆ ลำดับการคิดของนางเอก อิปิรามิดของมาสโลวนี่ก็เหมือนอีกพาลเอากุไม่อยากแต่งต่อเลย ตอนนี้กุเลยหยุดการอ่านไว้ตอนที่5ก่อนกลัวได้รับอิทธิพลเข้าไปในงานเขียนของตัวเอง+จิตตกว่าจะไปซ้ำกับเขาตรงไหนอีกจนต้องฝืนหาทางลงที่แปลกใหม่ เขียนจบแล้วกุค่อยไปอ่านต่อ ขออย่าให้คุณฮารุลบหรือเกิดอะไรขึ้นก่อนเล้ยย เพราะกุแต่งสปีดหอยทากมาก
เพื่อนโม่ง แนะนำวิธีเขียนนิยายประวัติศาสตร์หน่อยสิ อาจารย์สั่งงานกูไว้นานแล้วให้เขียนนิยายสั้นไปส่ง กูกะจะเอาเรื่อง
Christmas truce สงครามโลกครั้งที่ 1เพราะส่งเดือนธันวาก่อนคริสมาต์พอดี พระนางเป็นเยอรมันกับอังกฤษ เจอกันวันสงบศึกคริสมาสต์อีฟ หลังปีใหม่ก็กลับมาฆ่ากันต่อ แต่แม่งติดตรงกูเขียนให้เห็นถึงบรรยากาศไม่เก่งควรบรรยายเยอะๆดีมั้ยวะ? แต่ก็ติดที่มันเป็นนิยายเรื่องสั้นนี่ล่ะ มีเทคนิคอะไรเขียนให้มันดูกระชับบ้าง แล้วบทตัวละครร้องเพลงควรจะทำยังไงดีอ่ะ? ช่วยแนะนำหน่อย
ถามในนี้ได้มั้ย เห็นมีแต่คนมีความรู้ด้านนี้ คือกูสงสัยว่า นิยาย ไลท์โนเวล ฟิคชั่น สามคำนี้ต่างกันยังไง
>>833 Fiction คือนิยายนั่นแหละตามความเข้าใจมึง Light novelเป็นคำที่ญี่ปุ่นบัญญัติขึ้นใช้เรียกนิยายที่ใช้คำเบาๆ ง่ายๆ ไม่เน้นบรรยายเท่าไหร่เน้นการไหลของเนื้อเรื่อง ส่วนnovelเป็นคำที่สื่อคือความยาวของfiction novelคือนิยายที่แต่งยาวๆ ถ้านิยายเล่มนึงจบหรือบางๆสั้นๆจะเรียกnovella
กูเขียนนิยายไม่ออกว่ะมึง คือกูชอบวางพลอตไว้หลวมๆแล้วหาข้อมูลทีหลัง
เวลาได้ข้อมูลก็เอาไปเขียน แต่คิดบทพูดตัวละครไม่ค่อยออกเลย แล้วอารมณ์แต่งกูก็ไม่ค่อยมีเหมือนเริ่มใหม่ๆ
เพราะนิยายกูเริ่มเละ จะลบทิ้งก็ทำไม่ลง 50กว่าตอนแล้วไง เห้อออ
เพื่อนโม่งถามหน่อย ระหว่างเขียนโดยไม่ให้คนอ่านรู้ว่าตัวละครนี้จะตายไหม กับให้คนอ่านรู้แต่แรกเลยว่าจะตายแน่ๆ แบบไหนจะขยี้ได้ดีกว่ากัน พอดีอ่านนิยายมาเรื่องนึง มันเผยตั้งแต่เล่มแรกว่าตายห่ากันหมดแน่นอน แล้วก็รู้สึกว่าแบบนี้มันเล่นกับเวลาได้ดีเหมือนกัน ยิ่งท้ายเล่มยิ่งลุ้นว่าตายตอนไหน เพื่อนโม่งว่าไงมั่ง
หาข้อมูลแต่งนิยายนะ ถ้าเราไปเจอคนความจำเสื่อมแล้วเอามันไปส่งตำรวจเขาจะช่วยยังไงวะ
>>841 จากประสบการณ์ตอนญาติกูหายแล้วต้องแจ้งความตามหานะ ตำรวจจะค้นหาหลักฐานที่ติดตัว สืบถามจากผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณที่พบเจอบุคคลนั้นว่ามีใครรู้จักหรือพบเห็นหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมอะไรได้บ้าง สืบจากฐานข้อมูลคนหายเดี๋ยวนี้ดีหน่อยมีฐานข้อมูลออนไลน์แล้ว เมื่อก่อนต้องโทรเช็คที่ละรพ.หรือหน่วยฉุกเฉินหรือโรงพักเลย ถ้าไม่มีที่พักนอนโรงพักไปก่อน ติดต่อรพ. ตรวจหาอาการว่าความน่าเชื่อถือแค่ไหนที่ความจำเสื่อม หรือติดต่อสถานสงเคราะห์เข้าช่วยเหลือให้ที่พักพิงเริ่มต้น แต่บ้านกูตามตัวญาติเจอจากเอากระเช้าของขวัญไปหาเจ้าพ่อแถบนั้นวันรุ่งขึ้นมีโทรศัพท์มาบอกเลยว่าเจออยู่ที่ไหน
>>843 เรื่องจริงนะแต่จะว่าไปโคตรเหมือนนิยาย บ้านกูติดต่อตำรวจสองสามอาทิตย์ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยบอกกำลังติดตามผลให้ ทั้งบ้านนึกว่าตายกันหมดแล้ว ป้ากูสั่งให้กูนั่งกดโทรถามตามรพ.ว่ามีเคสคนไข้หน้าตาแบบญาติกูเข้ารักษาหรือเปล่า ให้โทรถามตามวัดด้วยมีศพไม่มีญาติหรือเปล่า จนพ่อกูหิ้วกระเช้าไปกราบเท้าคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง ไปเล่าให้เขาฟังว่ารู้แค่ก่อนหายไปญาติกูบอกว่าจะไปชลบุรี กลับมาวันรุ่งขึ้นมีโทรศัพท์มาเลยว่ารู้แล้วญาติกูใฝ่ต่ำหนีตามผู้ชายไปหลบอยู่แถวนิคมที่ชลบุรีจริงๆ ด้วย พ่อกูก็เอาคนงานไปกับคนที่นำทางไปลากญาติกูกลับมา อายชาวบ้านทั้งซอย โคตรงามหน้า แล้วทำให้กูรู้ว่าตำรวจทำห่าอะไรไม่ได้เลย
>>845 กูไม่ได้ไปกับพ่อ ตอนไปกราบพ่อกูไปกับญาติผู้ชายที่เป็นพี่ชายตัวก่อเรื่อง พ่อไม่ได้บอกว่าไปหาใครแต่กระเช้าของแพงมากเหล้านอกพวกเอ็กซ์โอแล้วพวกขวดทรงตัวโอที่กูไม่คุ้น มีบุหรี่แบบใส่กล่องโลหะด้วย ผลไม้นอกก็แบบที่ห่อเป็นลูกๆ องุ่นลูกใหญ่มาก แล้วก็มีซองด้วยแต่กูไม่รู้ว่าในซองมีเท่าไร แต่ตอนไปเอาตัวญาติกูกลับ พ่อกูไปกับลุงที่เป็นพ่อตัวก่อเรื่องแล้วก็คนงานอีกสองคน นอกนั้นกูก็ไม่รู้แล้ว ผู้ใหญ่ไม่เล่าให้กูรู้ ป้ากูก็บอกให้กูเงียบเวลามีใครถามให้บอกว่าญาติกูเข้ารพ.ตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดพึ่งไปรับกลับ แต่เขารู้กันทั้งซอยว่าญาติกูหนีตามผู้ชาย กูโคตรอายอ่ะช่วงนั้นกลับบ้านไปโรงเรียนไม่แวะเดินร้านปากซอยเลยจนน่าจะครึ่งปีคนถึงเลิกพูดเลิกถามกู ไม่ใช่โม่งกูไม่กล้าเล่าว่ะ
>>846 มึงโทรตามรพ.กับวัดไม่สนุกเลยว่ะ มึงคิดดูเน็ตสมัยก่อนข้อมูลไม่เยอะแบบนี้ กูต้องโทรไป 13 จดเบอร์รพ.กับวัดที่ละเขตที่คอลเซ็นเซอร์บอก คิดดูมึงกี่เบอร์ แล้วโทรไปเรื่อยๆ ติดบ้างไม่ติดบ้าง คนรับไม่รู้เรื่องเลยโยนให้โทรไปเบอร์อื่น แล้วกูกลับมาจากโรงเรียนก็ต้องมาผลัดเวรกับป้ากูโทรถาม หนังสือไม่ต้องอ่าน เกมไม่ต้องเล่น ตอนนี้อีตัวต้นเหตุมันยังไม่คิดว่ามันทำผิดเลยแต่งผัวแล้วก็หย่าหาผัวใหม่ โคตรสงสารลุงกู
เออ เคยมีประสบการณ์ญาติหายเหมือนกันแต่ที่เมืองนอก ผัวน้าอยู่ๆก็เดินหายไปจากบ้านเฉย หายไปเป็นเดือนเลย น้ากูไปเที่ยวตามหาไม่ได้กินไม่ได้นอน แถมต้องเลี้ยงลูกอีก พอไปแจ้งคนหายเสือกตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าผัวตัวเองเปล่า เพราะเหมือนมีปัญหากันอยู่
อยู่ๆก็กลับมาบ้านแบบงงๆ บอกตอนแรกปัญหาเยอะกะไปตายเอาเงินประกัน แต่ไม่ตายสักทีเลยกลับบ้าน WTF?
เห็นมีโม่งพูดถึงการบรรยายใช้มุมมองบุคคล กุขอคำแนะนำหน่อย
คือกุต้องการบรรยายให้ได้อารมณ์แบบบุคคลที่ 1 ที่กุสามารถบรรยายตรรกะอารมณ์ความคิดเห็นของตัวละครนั้นๆ
แต่คือกุต้องการให้คนอ่านมันฟังตรรกะจากตัวละครอื่นได้แบบเดียวกับบุคคลที่ 1 เพราะกุกลัวตรรกะจากบุคคลที่1ทำคนอ่านเป๋เพราะเชื่อในสิ่งที่ตัวละครบุคคลที่1คิด
กุควรทำไงดีวะ
-บรรยายแบบบุคคลที่1ผ่านตัวละครหลายๆตัว
ข้อดี: ได้คลอบคลุมตามที่กุต้องการ
ข้อเสีย: คนอ่านมึน และเป็นแบบที่กุเคยอ่านเรื่องอื่นบางเรื่องไม่ชอบด้วย เหมือนเปลี่ยนตัวนักแสดงกลางทาง
-บรรยายแบบบุคคลที่3แทนชนิดเจาะความคิดได้ด้วย
ข้อดี: บรรยายได้หมดทุกสิ่งอย่าง
ข้อเสีย: เจาะความคิดตัวละครได้ไม่ลึกเท่าที่ควรเพราะต้องเกลี่ยบท แนวทางการคิดของตัวละครจะหายไปด้วย
-แบบบุคคลที่1ผ่านตัวละครเดียวแบบเดิม
ข้อดี: เข้าถึงได้ลึก แสดงสิ่งต่างๆชัดเจนผ่านตัวละคร
ข้อเสีย: มันเป็นการมองโลกผ่านคนๆเดียว มันจะเป็นยังไงก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวละคร ซึ่งจริงๆอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้
หรือกุควรปล่อยคนอ่านไว้กลางทางให้วิเคราะห์เอาเอง ว่างนี่ไม่ใช่สิ่งที่กุต้องการสื่อ แต่นั่นมันคือสิ่งที่ตัวละครต้องการดีวะ
>>851 เรื่องหลายคนแม้แต่ตัวประกอบนี่ กุว่าเยอะกุก็เขียนไม่ไหวว่ะ กุกะใช้แค่2ก็พอเพื่อถ่วงสมดุลของอีกฝ่าย เท่าที่เห็นเยอะผุดๆก็ อย่างเพอร์ซี่ภาค 2 ไม่งั้นกุก็เห็นแบบดารารับเชิญ
นี่กุต้องเลือกระหว่างเขียนให้คนอ่านย่อยง่ายๆ กับเขียนให้สุดโต่งไปเลยซินะTT
กุไม่อยากต้องมาย่อยให้คนอ่านฟังนอกรอบว่าที่กุเขียนไปมึงต้องมองนี่ๆนะถึงจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมันเหมือนเขียนเรื่องไม่สำเร็จไงไม่รู้ หรือกุไม่ควรดูถูกสติปัญญาคนอ่าน ปล่อยให้แม่งงมกันเองดีวะ
>>850 ทำไม บค.3 ต้องเกลี่ยบท บค.3 มุมมองคนเดียวก็มีเยอะแยะ อย่างแฮรี่ แต่นิยายรักก็จะมี พระ-นาง
อคติของกูก็คือกูรู้สึกว่าคนที่ชอบสลับมุมมอง บค.1 กับ บค.3 และหมุนมุมมองตามสะดวกเป็นพวกไม่เก่งจริง ไม่สามารถเขียนมุมมองเดียวให้รู้เรื่องได้ แต่บางเรื่องที่ตัดได้ smooth กูก็โอเคอยู่นะ อย่าง I am ex-demon king หรือจะเพราะเรื่องมันสนุกมากไม่รู้ แต่ส่วนมากกูเห็นตัดเหี้ยเยอะกว่าว่ะ มันทำให้กูรำคาญว่ามึงตัดสลับอะไรกันนักหนา กูไม่ต้องรู้ความคิดของทุกตัวละครก็ได้ไหม อย่างมากสุดในฉากนึงควรเขียนมุมเดียวว่ะ
ในที่นี้กูหมายถึงตัดตามใจฉันนะ ถ้าเป็นเรื่องที่ระบุอยู่แล้วว่าจะหมุนมันทุกบท แต่ในบทเดียวกันมีคนเดียว แบบเพอร์ซี่กูก็ว่าเจ๋งดี
ส่วนที่มึงกลัวจะทำให้คนอ่านเป๋ กูว่านั่นเป็นเสน่ห์ของเรื่อง บค.1 นะ คือ ฉันคิดกับคนคนนึงแบบนึง มองมาด้วยอคติตลอด จนท้ายเรื่องค่อยเข้าใจ ดูแฮรี่กับสเนปดิ ตอนเฉลยโคตรพีคอ่ะ ก่อนนี้สิบหน้าถึงไม่ได้เกลียดสเนปเท่าเล่มแรกก็ไม่ได้ชอบ พอเฉลยปุ๊บ โคตรสงสารเลย ถ้ารู้ความคิดทุกคนตั้งแต่เริ่มต้นมันจะขาดความน่าสนใจไปนะ แต่ถ้ามึงอยากให้คนอ่านเก็ทมึงก็ใส่ hint ไปเยอะ ๆ มองคนนี้แล้วเห็นกำมือแน่น เม้มปาก กลั้นหายใจ เกร็ง ในแววตามี ฯลฯ ถ้ามึงอยากให้ ตลค.หลักไม่เข้าใจก็ตบท้ายไปว่าเขามองงง ๆ สงสัย ไม่เข้าใจ อะไรก็ว่าไปได้
>>>850ที่กูพึ่งอ่าน(สนวม.อิคุเซย์) คือเรื่องมันมีตัวละครเยอะมาก+ไม่ได้เจาะจงตัวเอกชัดเจน เขาก็ใช้มุมมองบค.3 เดินเรื่องแต่เจาะมุมมองของคนเดียว มีบรรยายความคิด อารมณ์ของคนที่โฟกัส เช่น xxx เป็นห่วงว่านู้นนี้นั่น
จะเปลี่ยนมุมมองไปที่คนใหม่ก็ขึ้นชื่อบุคคลที่จะโฟกัสแล้วก็บรรยายไป อีกเรื่องที่เห็นทำงี้คือเพอร์ซี่ภาค2 แต่จะไม่เปลี่ยนบ่อยเท่าเรื่องนี้
กุคือ>>850 ขอบคุณโม่งๆช่วยมาตอบกุมาก ฮือๆ
>>854 โทดที่บุคคลที่3ในที่นี้กุไม่ได้พูดถึง3แบบจำกัดนะ แต่เป็นแบบตามนิยามอ่ะ
ที่โม่งแนะนำอีกอย่างคือแนวบุคคลที่3แบบแพนกล้องตามตัวเอกหรือ"บุคคลที่3แบบจำกัด"ที่เคยมีโม่งมาถามใช่มะ
กุก็อยากลองเล่นดูนะว่าจะเล่าแบบบุคคลที่3แบบจำกัดจากคนนึงไปคนนึงยังไงให้ไม่สะดุด
แต่คืออารมณ์แบบบุคคลที่3เลย มันก็ได้อรรถรสไม่เหมือนบุคคลที่1ไง กุยังอยากได้รสชาติแบบบุคคลที่1แต่ไม่เสียภาพรวมไป บุคคลที่3แบบจำกัดคือคำตอบของกุใช่ป่ะ
ตอนนี้กุกะว่าจะลองเป็นแบบบุคคลที่1(แบบที่ไม่ใช้ทำว่าฉันแทนตัวเองอ่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง) แล้วค่อยๆซูมกล้องออกเป็นบุคคลที่ 3 สลับกับบุคคลที่1 แต่กลัวอารมณ์สะดุดนี่สิ
แต่กุคิดว่ากุยังไม่บ้าเล่าฉากเดิมซ้ำๆผ่านคนละมุมมองตลอดอย่างที่>>853 ว่ามาหรอกอ่ะ ว่าเก็บแนวคิดไว้เฝื่อเป็นลูกเล่นตอนสำคัญๆ
ให้เดินเรื่องแบบเพอร์ซี่ภาค2 คือตอนแรกเวลาอ่านกุขัดใจมาก คือพออ่านไปเรื่อยกุรู้สึกเหมือนผูกพันกับตัวละครนั้นๆ แต่พอขึ้นบทคนใหม่ๆเหมือนมึงต้องทำความรู้จักกับตัวละครใหม่ อารมณ์มันสะดุด
>>856 ถ้าเป็นสลับจาก บค.1 -> บค.3 เกม Visual Novel ที่เล่นอยู่พักนึงก็ทำนะ คือเนื้อเรื่องหลักใช้บรรยายบุคคลที่ 1 (มุมมองพระเอก) พอจบเหตุการณ์ช่วงนึงก็ปิดด้วยบุคคลที่สาม ขึ้นชื่อตัวละคร เวลา สถานที่ แล้วก็ด้นเลย ไม่มีงง (บางตอนที่ตัดแบบ Cliffhanger ก็ไม่งงอยู่ดี เพราะมันให้สัญญาณชัดเจนอยู่แล้ว) ส่วนตัวคิดว่ามันทำให้เรื่องน่าสนใจขึ้น คือระหว่างที่พระเอกงมหาเบาะแส ตัวละครที่เป็นกุญแจของเรื่องก็ไปก่อหวอดอยู่ที่ไหนสักแห่ง ชวนให้ลุ้นว่ามันจะมาบรรจบกันยังไง (ปรากฏว่าจบแบบปาหมอน เอาเวลากุคืนมา T _ T)
>>857 อันนั้นมันเปลี่ยนท้ายบทไง แล้วเราเข้าใจว่าเขาเปลี่ยนทุกตอนเลยใช่เปล่า เหมือนเป็นกิมมิค แต่ 856 บอกจะตัดสลับกูไม่ชอบว่ะ คนอื่นอาจจะโอเคแต่กูบอกเลยว่ากูไม่อ่านต่อแน่ (นอกจากกูอยากเม้นด่าตอนจบกูก็จะอ่านให้จบจะได้เม้นได้) ขนาดมังกรเนียร์สนุก ๆ ไรท์เตอร์อยู่ ๆ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนมุมมองกลางเรื่องกูยังไม่อยากอ่านต่อเลยตอนนั้น
รู้เรื่องอ่ะมันรู้เรื่องอยู่หรอก แต่มันสะดุด มันรำคาญ
กูเขียนนิยายที่ใช้ตัวละครอยู่ต่างประเทศ เป็นฝรั่งกันทั้งหมด มันมีตัวละครชายตัวนึงที่กำลังจะเรียนจบและอยู่ในวัยออกหางานแล้ว แต่บ้านมันรวยมาก เป็นคุณชายอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่เบ้อเริ่ม เด็กฝรั่งส่วนใหญ่ก็จะแยกบ้านไปอยู่กับแฟนบ้างอะไรบ้างตั้งแต่อายุ 18 อย่างนี้ใช่มะ กูก็คิดจะให้ตัวละครนี้แยกบ้านออกไปอยู่เองคนเดียวเหมือนกัน แต่ปัญหาที่คิดตามมาคือ บ้านของอีนี่ นอกจากเมดกับพ่อบ้านแล้วก็ไม่มีคนอยู่ พ่อกับแม่ก็ทำงานต่างประเทศไม่ค่อยกลับบ้านด้วย กูควรจะให้มันอยู่บ้านเดิมของมันต่อไป หรือแยกออกไปอยู่เองข้างนอกดีวะ คนรวยฝรั่งนี่เขาทำตัวกันยังไงอะ
ถามหน่อยได้ไหมชาวโม่ง คิดยังไงกับการบรรยายแบบร่างสูง ร่างบาง ร่างอรชร เสียงแหลม เสียงเล็ก เสียงทุ้ม กุเห็นบางคนบ่นกัน อยากรู้ว่าแทนตัวละครแบบนี้มันแย่มากเลยอ่อ ถ้าไม่แทนแบบนี้แทนแบบไหนดี บอกกุที..
ขอพื้นที่ระบายนิดนึง มันคาใจมานานละ 555 คือก็บอกตัวเองว่าเขียนสนองนี้ด จะสั้นยาวก็ช่าง แค่มีความสุขก็พอ แต่บางทีเห็นงานคนอื่นก็อดเปรียบเทียบไม่ได้บ่อยๆ ไหนจะคอมเม้นท์ที่สุดแสนจะเงียบเหงาอีกล่ะ แต่เอาเหอะ ลงทีก็มีคนแวะเวียนมาอ่านบ้างก็พอไหว ถึงเขาจะแค่มาแล้วผ่านไปก็เถอะ เหอะๆ ปลอบใจตัวเองต่อไป
กูว่าที่คนเขารำคาญเพราะมันเป็นการใช้คำที่ไม่ใช่เอกลักษณ์ของตัวละครด้วย
ผู้หญิงก็ ร่างบาง ร่างเล็ก ร่างน้อย ปากบาง คิ้วเรียว เสียงเล็ก เสียงหวาน ตาหวาน
ผู้ชายก็ ร่างหนา ร่างใหญ่ ร่างโต ปากหนา คิ้วหนา คิ้วเข้ม เสียงทุ้ม เสียงนุ่ม ตาคม
คือพระนาง 90% มันก็แบบนี้อยู่แล้วไง แต่ถ้ามึงมีนางเอกสูงเปรต จะใช้ร่างสูงคงไม่มีใครว่า หรือ ตลค อ้วน จะร่างท้วม ร่างจ่ำม่ำ หน้ากลม คนก็คงโอเค เพราะมันเป็นจุดเด่นของ ตลค
อีกอย่างคือแม่งใช้บ่อยเกินด้วย ถ้าเป็นลักษณะที่ไม่ใช่เอกลักษณ์ออกมาบทละครั้ง (ต่อ 1 ตลค) ก็บ่อยแล้วนะกูว่า กูได้ยินว่ามันมีพวกโปรแกรมที่นับคำซ้ำใช่ป่ะ กูว่านักเขียนควรจะใช้กัน พวกมึงได้รู้ว่าใช้ร่างบางกันบ่อยแค่ไหน
ปล. อย่างเช่นพารากราฟที่กูเขียนมานี้ใช้ กูว่า เยอะไปหน่อย แต่กูขี้เกียจแก้
กูว่าใช้ชื่อแทน หรือใช้เธอ เขา หล่อน ดีกว่าร่างทั้งหลายว่ะ ใช้ร่างแล้วให้ความรู้สึกเหมือนนิยายทัณฑ์พิศวาสทาสซาตานเถื่อน
กูเคยอ่านแบบแทนแค่ชื่อตัวละคร ชายหนุ่ม หญิงสาว เขา เธอ แค่นี้จริงๆ ก็อ่านได้ไม่ขัดนะ
ร่างสูง ร่างบางก็พอรับได้บ้าง แต่ถ้ากูเจอปากหนา....ใดๆก็ตามแล้วหลุดหัวเราะทุกที ขอหน่อยเหอะ 5555555555555
>>870 กูจะยกตัวอย่างให้ดูนะ (อาจจะไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี แต่คิดว่าน่าจะได้แนวทาง)
โม่งศรีกลั้นหายใจเมื่อเห็นหลังคาสีม่วงเข้ม รู้สึกปั่นป่วนในท้องขึ้นมาเสียดื้อๆ หล่อนเลียริมฝีปากที่แห้งแล้วถอนหายใจ พอเหลือบมองคนข้างๆ ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่กำลังขับรถยนต์เขามีสีหน้าเรียบเฉย แทบไม่สนใจความกระวนกระวายของหล่อนแม้แต่น้อย ไม่นานรถยนต์ก็แล่นช้าลงกระทั่งจอดสนิทเทียบทางเท้า
หญิงสาวปลดเข็มขัดนิรภัยออกพยายามจะอ้อยอิ่งอยู่ในรถในนานขึ้นสักวินาทีเดียวก็ยังดี แต่ดูท่าคนข้างๆ จะไม่คิดอย่างนั้น พอเปิดประตูรถได้ก็เดินอ้อมมากระชากประตูด้านข้างที่หล่อนนั่งให้เปิดออก สายตาคมกริบดั่งนกเหยี่ยวจ้องมองหล่อน
อะนับดู ว่ามีสรรพนามเท่าไร
ปล.ถ้าไม่ดี ไม่ต้องด่า กูไม่สู้คน
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.